Final Fantasy 6 Full - Detail Story

กระทู้จากหมวด 'Fiction' โดย hannover96, 18 ธันวาคม 2007.

  1. hannover96

    hannover96 New Member

    EXP:
    881
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    เอาตอนแรกมาลงอีกครั้งคงไม่ว่ากันนะครับ เพราะมีการเปลี่ยนแปลงอักษรและคำพูดต่างๆให้มีความถูกต้องและไม่ดูแปลกให้มากกว่าเดิม

    คนที่เคยอ่านตอนแรกๆแล้วก็ลองกลับมาทวนความจำกันอีกครั้งก็ได้นะครับ เพราะผมได้ซ่อนเงื่อนงำอะไรไว้อีกหลายๆอย่างต่างจากเดิมไม่มากเท่าไร แต่มันจะมีผลตอนหลังๆเยอะเลย

    ส่วนผู้ที่พึ่งเข้ามาอ่านก็อ่านไปพร้อมๆกับที่ผมกำลังแก้ไขอยู่เลยด้วยก็ได้ครับ แต่ถ้าอยากอ่านก่อนก็ไปที่นี่เลย http://www.all-final.com/oldforum/read.php?tid=37285&forumid=9&page=all

    ส่วนตอนใหม่หลังจากปราบวาร์กัสแล้ว ใจเย็นนิดนึงนะ กำลังเล่นแล้วตามจดข้อมูลอยู่...

    --------------------------------------------------

    Final Fantasy VI Full-Detailed Story

    Chapter 1 : The Beginning

    ในเวลาเย็นที่โลกนั้นเริ่มอากาศเย็นลงเนื่องจากมีหิมะตก สิ่งต่างๆรอบตัวเริ่มเปลี่ยนแปลงเหมือนเคยในแต่ละวัน สัตว์ป่าเริ่มหาที่นอนเพราะความอ่อนเพลียจากการล่าเหยื่อเพื่อดำรงชีวิต ไม่ต่างจากคนที่ต้องล่าเหมือนกันก็ยังต้องรีบเดินกลับที่อยู่ หน้าหนาวย่อมค่ำเร็วเสมอ....

    ณ ตีนเขาแห่งหนึ่ง บนแถบที่น่าจะหนาวเย็นที่สุดในเขตนัลเซ...

    ทหารจักรวรรดิ 3 คนพร้อมกับหุ่นแมจิเทคส์ที่ถูกบังคับอยู่ กำลังเดินต้านแรงโน้มถ่วงของโลกเพื่อขึ้นไปบนจุดชมวิวบนหน้าผา เพียงแต่ไม่ได้ขึ้นไปชมวิวเท่านั้น ยังรวมไปถึงการสำรวจว่าปลายทางที่ทั้งสามกำลังมุ่งไปนั้นเหลืออีกไกลเท่าไรถึงจะไปถึง จะว่าไปแล้วทั้งหมดก็เดินทางกันมาเกือบ 2 วันแล้ว....กว่าจะขึ้นมาได้ก็เล่นเอาพลังที่เรียกว่า Power Booster เกือบหมดไปเลยทีเดียว แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่เป็นไรอยู่ดี เพราะแหล่งพลังงานนี้สามารถชาร์จแบตเตอร์รี่ในตัวได้....

    “เฮ่อ...!! เหนื่อยเหมือนกันนะเนี่ย ถ้าชั้นไม่ได้ไปฝึกขับหุ่นนี่ก่อนคงกลิ้งลงเขาไปแล้วแน่ๆ...” ชายที่ชื่อวิคส์พูดขึ้นมาหลังจากถึงตรงหน้าผา

    “ก็ดีแล้ว ดีกว่านายต้องไปอยู่หน่วยซ่อมอาวุธกระจอกๆกับพวกที่ไม่ได้เรื่องนี่นา....” เวจจ์พูดขึ้นบ้าง ทั้งสองนั้นเป็นทหารประจำกลุ่มจักรวรรดิที่พึ่งได้เลื่อนยศเป็นสิบเอกได้ไม่นานก็ถูกส่งตัวมาเพื่อปฏิบัติภารกิจบางอย่างที่ทั้งสองไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่ถูกบังคับบัญชาให้ไปตามคำสั่งก่อน......

    “พวกคุณไปถึงหรือยัง...?” เสียงจากผู้บังคับบัญชาทั้งสองติดต่อมา วิคส์ขับหุ่นไปรอบๆผาเพื่อสำรวจรอบๆ

    “ตอนนี้พวกเรากำลังอยู่บนยอดเขาที่นึงครับท่าน...” เวจจ์ตอบ

    “แล้วอีกไกลมั้ยกว่าจะถึงที่หมาย...?”

    “น่าจะประมาณสักเที่ยงคืนครับ”

    “ตกลง เมื่อพวกคุณไปถึงแล้วให้ส่งสัญญาณมาบอกเราด้วย เราจะติดต่อกลับไป...เลิกกัน !”

    วิคส์เดินมาถามเวจจ์หลังจากสำรวจโดยรอบเสร็จแล้ว “ว่าไงมั่ง?”

    “ไม่ได้ว่าไรหรอก แค่ว่าถ้าถึงที่หมายแล้วให้ติดต่อไปที่กองจักรวรรดิอีกทีนึง”

    พระอาทิตย์ตกไปแล้ว เหลือแต่ความมืดที่ปกคลุมบริเวณโดยรอบพร้อมกับความหนาวเย็น หิมะเริ่มตกลงมาเรื่อยๆ...

    “เฮ้อ....ขอพักสักหน่อยละได้มั้ย? เดินมาตั้งแต่เช้าไม่ได้พักเลยนะเนี่ย...!” วิคส์เริ่มออกอาการล้าและเริ่มขี้เกียจ ทำให้เวจจ์ต้องเตือน “นายจะมามัวชักช้าอย่างนี้ไม่ได้นะ ไม่งั้นได้โดนเบื้องบนปลดตำแหน่งออกแน่ๆ...เราต้องไปให้ถึงภายในวันนี้แหละ”

    วิคส์ถอนหายใจพลางมองไปที่ผู้ที่บังคับหุ่นอีกตัวนึง ...

    “แล้วยัยนี่ละ 2 วันแล้วนะที่มันไม่พูดอะไรกับพวกเราเลย....ทำตัวก็เหมือนไร้ความรู้สึก ไม่มีชีวิตหรือเป็นใบ้หรือไงเนี่ย” พลางบุ้ยปากไปที่หุ่นตัวนั้น แน่นอน...ผู้บังคับเป็นผู้หญิง

    “นี่นายไม่รู้อะไรเลยหรือเนี่ย....” เวจจ์ประหลาดใจ “เหอะ..! ไม่รู้ว่ะ”

    เวจจ์เริ่มเล่าให้ฟังทีละเปลาะ “ก็ผู้หญิงคนนี้น่ะ เป็นเชลยศึกของจักรวรรดิเรา แล้วโดนเบื้องบนส่งลงมาทำภารกิจนี้ด้วย เพราะว่าทางจักรวรรดิสืบทราบมาว่าหล่อนมีบางสิ่งบางอย่างที่ไม่เหมือนคนธรรมดาทั่วๆไป ทางจักรวรรดิคิดว่าน่าจะมีประโยชน์...เลยให้ออกเดินทางมาด้วย” พลางชี้บนหัวของผู้หญิง “นายเห็นอะไรมั้ย??”

    วิคส์มองไปตามนิ้ว ที่บนหัวปรากฏเป็นสายโลหะสีเงินรัดหน้าผากของหญิงสาวผู้นั้นอยู่ ตรงหน้าผากมีเสารับสัญญาณอะไรบางอย่างอยู่

    “มันคืออะไรน่ะ?”

    “Slave Crown....” เวจจ์อธิบายสรรพคุณ “ใครก็ตามที่ถูกสวมด้วยไอ้เครื่องนี้ จะทำให้ไม่มีสติ และจะถูกผู้ที่มีรีโมทของเครื่องนี้ควบคุมจากระยะไกล ให้สามารถทำอะไรได้ต่างๆ ไม่ต่างจากตุ๊กตาชักใยเลย...ถ้านายยังมัวมาพักผ่อนแบบนี้ ถ้าเบื้องบนรู้เข้า ไม่แน่นายอาจจะถูกหุ่นตัวนี้ยิงเอาก็ได้นะ...”

    “เหวอออ!!!” วิคส์เริ่มวิตกพลางลุกจากพื้น “มันน่ากลัวขนาดนั้นเลยหรอเนี่ย?!”

    “ยังมีข่าวรั่วออกมาอีกนะว่า เมื่อสัปดาห์ก่อน ผู้บังคับบัญชาหลายคนได้ทำการทดลองโดยควบคุมร่างหล่อนให้ขับหุ่นที่กำลังพัฒนาอยู่ ผลปรากฎเป็นไงมั้ย...ขนาดว่าหุ่นยังไม่ค่อยมีพิษสงเท่าไร แต่เธอกลับทำลายหุ่นได้มากกว่า 50 ตัวเลย คิดว่าไงล่ะ...พลังของเธอน่ากลัวมากจริงๆ” เวจจ์พูดพลางหวาดกลัวเช่นเดียวกัน

    หญิงสาวยังไม่พูดอะไร....ยังไม่รู้สึกอะไรทั้งสิ้น...

    “งั้นเรารีบไปกันเถอะ....เดี๋ยวจะไม่ทันการณ์เอานะ “ วิคส์เร่ง “ตกลงๆ...” ทั้งสองสำรวจอีกนิดหน่อยแล้วจึงเดินลงเขานำหน้าหญิงสาวไป เวลานั้นประมาณทุ่มนึง...

    --------------------------------------------------
  2. hannover96

    hannover96 New Member

    EXP:
    881
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    Chapter 2 : In the Mine of Nalshe

    ท่ามกลางหิมะที่หนาและตกลงมาอย่างหนัก ทำให้การเดินทางของทั้งสามเริ่มล่าช้าลง แต่ถึงกระนั้นพลังงานก็ยังคงไม่หมด หุ่นแมจิเทคส์รุ่น MA-07 ออกแบบมาสำหรับ support เรื่องของพลังงานโดยเฉพาะ มีแผ่น Solar System ที่สามารถดูดพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อชาร์จไฟในตัวหุ่นได้ แถมยังสามารถชาร์จเข้าประจุอาวุธเพื่อความรุนแรงยิ่งขึ้นก็ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ยังสามารถแปลงพลังงานเป็นลำแสงสีขาวเพื่อเพิ่มพลังงานให้กับผู้บังคับได้ด้วย...

    หมู่บ้านนัลเซอยู่ข้างหน้าทั้งสาม...

    เวจจ์พลางดูแผนที่ “ไม่ผิดแน่ จุดหมายคือที่นี่แหละ...” พลางคิด

    “งั้นเราเข้าไปกันเถอะ....” วิคส์พูด

    “เดี๋ยวว!!!!” เวจจ์ปฏิเสธ “มีเขียนไว้ด้วยว่า....ระวังอันตรายในสถานที่นี้ด้วย ....เห็นมั้ย” ชี้ไปที่บ้ายที่เขียนไว้ ทั้งหมดเดินมาถึงหน้าหมู่บ้านแล้ว ประตูใหญ่หน้าหมู่บ้านถูกเปิดทิ้งไว้ บรรยากาศข้างในเงียบสงบ มีเพียงแสงไฟตามเสาไปในนั้น ภายในบ้านแต่ละหลังปิดไปหมดแล้ว... ควันไฟจากปล่องควันบนหลังคาบ้านแต่ละหลังเริ่มจางลง

    “ชั้นจะเดินนำหน้าเอง นายคุมหลังกับยัยนี่...โอเคนะ...” วิคส์พยักหน้า

    “ได้เลย นายไม่ต้องห่วง”

    รอบๆตัวมีแต่ความเงียบ มีแต่ก็แค่เสียงแมลงที่อยู่บนต้นไม้และเสียงเดินเท้าของหุ่นเท่านั้น ไม่มีเสียงใดเลยที่เล็ดลอดออกมาจากในหมู่บ้าน บรรยากาศเช่นนี้ทำให้ทั้งสองถึงกับวิตกว่าจะมีเหตุอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า....

    มีคนวิ่งออกมาประจันหน้ากับแมจิเทคส์ 2 คน.....

    “พวกแกมาทำอะไรที่นี่!!!” หนึ่งคนที่ออกมาตะโกนถามด้วยความโกรธแค้น

    “พวกเรามาตามคำสั่งของเบื้องบน คนที่ไม่เกี่ยวให้ถอยไป มิฉะนั้น...”

    ยังไม่ทันขาดคำ ดาบเล่มหนึ่งก็บินมาปักที่กระจกแก้วตรงห้องบังคับ เกือบเสียบโดนหน้าวิคส์...

    “ออกไป!!....เราเตือนพวกแกแล้วนะ” อีกคนพูด “กลับไปซะ...!!”

    ด้วยความโมโหที่ถูกโจมตีก่อน วิคส์ยิงลำแสงสีแดงไปที่บ้านหลังนึง....เกิดประกายไฟไหม้ขึ้นมา

    “พวกนายควรจะให้ความร่วมมือกับเราดีกว่านะ ถ้าไม่ช่วยก็อย่าขัดขวาง....!! ถ้าไม่ฟัง จะไม่ใช่บ้านหลังนั้นหลังเดียวแน่ที่เป็นแบบนี้....” เวจจ์ขู่ สีหน้าชาวบ้าน 2 คนไม่พอใจแกมเคียดแค้น ทันใดนั้น.....

    “เฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮ................!!!!!!!!!!!!!!!!!! !!” กลุ่มชาวบ้านเกือบร้อยคนพร้อมทั้งสัตว์เลี้ยงที่ดุร้ายของแต่ละคนเริ่มเข้าโจมตีทั้งสาม ทำให้ทั้งวิคส์และเวจจ์ชะงักไปและตกใจในการถูกลอบโจมตีครั้งนี้ “พวกเยอะเหรอ....ได้เลยยยย Fire Beammmmm....!!!!” ลำแสงสีแดงถูกยิงมาอีกครั้ง คราวนี้เป้าหมายไม่ใช้บ้านคน...

    “อ๊ากกกกกกกกก............โอยยยยยยยย” เสียงคนหลายสิบคนร้องเพราะถูกไฟคลอกและกำลังล้มลงดิ้นอย่างทรมาน แต่ไฟแค่นี้ก็ไม่ทำให้ชาวบ้านกลัวหุ่นที่แข็งแกร่งราวเหล็กกล้าทั้งสามตัวได้.......

    “ตายซะเหอะ....!!!” คนหนึ่งยิงปืนลูกซองเข้าไปในกระจกของเวจจ์ กระจกแตกทันที ไม่มีอะไรปกป้องห้องบังคับของเวจจ์แล้ว...

    “หนอยยยยยย.......!!” วิคส์โมโหแทนเพื่อน “เวจจ์ พร้อมนะ....!!” ทั้งสองพยักหน้า แล้วยิงลำแสงสองสีตัดกัน...

    “Fire Beam.....!!”

    “เอาไป Ice Beam.....”

    มีลำแสงออกมาจากปากกระบอกปืนของหญิงสาว แน่นอน....Thunder Beam ทั้งสามลำแสงกำลังรวมตัวกันเป็นลำแสงเดียว ทำให้ชาวบ้านที่ไม่โดนลำแสงนี้ ถึงแม้จะอยู่ใกล้ๆก็ถูกไฟคลอกทันที ส่วนคนที่โดนไปเต็มๆ ร่ายกายแทบจะไม่เหลืออะไรเลย...... แต่.......
    “พวกแกต้องเจอกับสิ่งนี้......!!!” หัวหน้าหมู่บ้านตะโกนใส่ แล้ววิ่งหายเข้าไปในหมู่บ้าน....ทั้งสองแปลกใจว่าจะเกิดอะไรขึ้น....

    ชาวบ้านทั้งหลายยังโจมตีไม่หยุดหย่อน ทั้งดาบ มีด ปืน ระเบิด จนตอนนี้หุ่นของแต่ละคนเริ่มเสียหายไปทีละส่วน เวจจ์กระจกแตก แขนซ้ายที่ใช้อาวุธประชิดตัวถูกทำลายลง วิคส์เองก็ไม่ต่างกัน พลังงานไนโตรเจนในตัวหุ่นเริ่มรั่ว ส่งผลให้ต้องระวังประกายไฟโดยทันที แต่แปลกที่หุ่นของหญิงสาวนั้นกลับไม่ได้รับความเสียหายเท่าไร จะมีก็แค่กระจกเป็นรอยร้าวเท่านั้น.....

    “นายไหวมั้ย....?!” วิคส์ถาม

    “ยังได้อยู่ แต่สภาพแบบนี้คงอยู่ได้ไม่นานแน่ๆ...!!” เวจจ์บอก.. “ระวัง.....!!” กระสุนปืนยาวบินผ่านกระจกของวิคส์ไปแบบฉิวเฉียด “หนอยยยยพวกแก....!!”

    ยันไม่ทันที่วิคส์จะยิงลำแสง กระบอกปืนของหญิงสาวนั้นก็ยิงพลังงานสีเขียวอะไรบางอย่างออกมาเป็นบริเวณกว้าง

    “ส.อ.เวจจ์ เนื่องจากสภาพหุ่นของคุณตอนนี้ ขอให้หลบจากบริเวณที่ถูกยิงพลังงานนี้ด้วย.....” เสียงอินเตอร์คอมของหุ่นดังขึ้น ทางจักรวรรดิเตือนมา.... เวจจ์กระโดดถอยหลังออกมาแล้วเริ่มเข้าใจว่าพลังงานที่ถูกยิงออกมานั้นคืออะไร

    จากตอนแรกเป็นบริเวณเล็กๆ ตอนนี้มันถูกขยายแผ่จนเริ่มกว้างขึ้นๆ ชาวบ้านที่ไม่รู้และวิ่งหนีไม่ทันก็ถูกพลังงานนี้ฆ่าเอา เนื่องจากมันเป็นพลังงานเคมีปฏิชีวภาพที่สามารถฆ่าคนให้ตายได้ในพริบตาและเป็นบริเวณกว้าง....คนที่หนีไปได้ก็เริ่มกลับมาโจมตีต่อพร้อมกับ..... เงาดำมืดของอะไรบางอย่างที่คืบคลานเข้ามา

    “Bio Blast.....ต้องเป็นไอ้นี่แน่ๆ” เวจจ์พึมพำออกมาพร้อมสู้รบไปด้วย

    “มันคืออะไรน่ะ.....!?” วิคส์ก็ยังต้านทานและต่อสู้กับชาวบ้านอยู่

    “อาวุธชีวภาพที่ทางจักรวรรดิเริ่มค้นคว้าจนประสบความสำเร็จ โครงการพัฒนานี้ทางจักรวรรดิพัฒนาเพื่อต้องการคืนชีพ เวทย์มนต์อีกครั้ง.....เท่าที่รู้มาก็เท่านี้..... “ วิคส์ตกใจทันที

    “Thunder Beam.....!!” เวจจ์ยิงไปที่โคนต้นไม้ต้นใหญ่ต้นนึง ส่งผลให้มันล้มลงมาทับผู้คนในหมู่บ้านหลายสิบคน จำนวนคนเริ่มลดน้อยลงไป

    “พวกเราถอยยยยย.....!!!!” ชาวบ้านทั้งหลายเริ่มถอยทัพไปอยู่บนยอดเขา

    “โธ่.....คนธรรมดาจะทำอะไรหุ่นเหล็กได้ ฮ่าๆๆๆ” วิคส์ขำ

    “เดี๋ยว.......เสียงอะไรน่ะ!!!” ทั้งคู่พลางเงี่ยหูฟัง เสียงนั่นเริ่มใกล้เข้ามา มันเป็นเสียงเหมือนหนอนคลานดังสึบ....สึบ และกำลังคลานเข้ามาเรื่อยๆพร้อมกับเงามืดที่มองเห็นยังไม่ชัด แต่หุ่นก็ยังไม่ขยับไปไหน ได้แต่จ้องดูว่ามันคือตัวอะไรกันแน่ แต่เมื่อมาถึงแล้ว....ทั้งสองถึงกับตะลึง

    หอยทากตัวใหญ่มหึมากำลังจ้องมาที่หุ่นอย่างดุร้าย หัวของมันสูงประมาณเกือบ 10 เมตร....ตัวใหญ่ประมาณบ้านหลังนึงในหมู่บ้านนี้ได้ บนหลังของมันมีเปลือกหอยสีขาวอมเหลืองขนาดใหญ่ มีประจุไฟฟ้าวิ่งรอบๆอยู่

    “นี่มันหอยทากอะไรกันนี่....!!” เสียงวิคส์อุทานออกมา ตาของเขายังจ้องไม่กระพริบ

    “ไม่รู้สิ แต่เหมือนเคยได้ยินเรื่องของไอ้ตัวนี้ที่ไหนเหมือนกันนะ แต่....จะ....จำไม่ได้....แล้ว...” คู่หูอีกคนตอบมาอย่างหวาดกลัวและประหม่า.... ผิดกับหญิงสาวที่ยังดูเงียบขรึมอยู่ในเวลานี้

    มันเริ่มคลานมาใกล้ๆ ใกล้ขึ้น ใกล้ขึ้น.....

    “ไม่รู้แล้วล่ะ ตอนนี้ที่ทำได้คือต้องกำจัดมันเท่านั้น....!! ลุย...!!” เวจจ์บอก “ถึงเราจะบอบช้ำถึงขนาดนี้ก็ต้องสู้แล้ว...”

    ชาวบ้านที่อยู่บนเนินเขาเริ่มโจมตีด้วยปืนยาวอีกครั้ง คราวนี้มีชาวบ้านที่อยู่ในเหมืองมาช่วยระดมยิงอย่างบ้าคลั่งอีกหลายๆคนเลยทีเดียว ทำให้เหล่าทหารจักรวรรดิทั้งสามต้องหลบลูกกระสุนเป็น พัลวัน...

    “Fire Beam.....!!” ลำแสงสีแดงถูกยิงไปอีกครั้ง....คราวนี้ดูจะรุนแรงกว่าเดิมอีกเท่าตัว..... มันแหวกอากาศไปโดนเปลือกหอยที่มีประจุไฟฟ้าอยู่ในนั้น มันมีปฏิกิริยาทันที หัวของมันเชิดขึ้น

    “กรรรรรรรรรรรรรรู.......!!!!!!!!” มันเริ่มส่งเสียงร้องออกมา บ่งบอกถึงความโกรธของมันที่โดนยิง

    “นายจัดการพวกชาวบ้านไปก่อนนะ...ชั้นจะซัดกับมันเอง ....” วิคส์บอก

    “นายจะรับมือมันไหวแน่นะ??”

    “เชื่อฉันสักครั้งสิ ฉันเองก็เก่งพอๆกับนายนะ เรียนมาเหมือนกัน....โตกันมาด้วยกัน ฉันไม่มาตายด้วยเรื่องแค่นี้หรอกกก..!!”

    ห่ากระสุนเป็นร้อยๆลูกยังถูกยิงมาเรื่อยๆอย่างไม่หยุดหย่อน...แต่ก็ยิงไม่โดนหุ่นทั้งสามตัวเลย ที่แย่กว่านั้น หอยทากยักษ์โดนลูกหลงเป็นส่วนใหญ่ ยิ่งสร้างความโกรธและโมโหให้กับมันมากเลยทีเดียว

    “Ice Beam..............!!!” แสงสีขาวดั่งน้ำแข็งของเวจจ์วิ่งขึ้นไปบนเนินเขา ชาวบ้านที่ต่อต้านบางคนที่โดนยิงก็ถูกแช่แข็งไปตามผลของมัน บางคนที่ไม่คิดสู้ก็หนีเอาตัวรอด บางคนก็เปลี่ยนจุดยิงเพื่อให้เกิดความได้เปรียบ

    ชาวบ้านหลายคนเริ่มจะหมดจำนวนลง แน่นอนแค่ชาวบ้านธรรมดาย่อมสู้กลุ่มจักรวรรดิที่มีทั้งหุ่นแมจิเทคส์ที่มีร่างเป็นเหล็กไม่ได้.... .

    “หนีไปหมดแล้ว.........” เวจจ์พูดหลังจากยิง Fire Beam เส้นสุดท้ายไป.....แต่

    “อ๊ากกกกกกก!!!!..........อ๊าหหหหหหหหห์.......! !!” เพื่อนของเขาถูกช็อตด้วยไฟฟ้าแรงสูง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าโดนมาจากที่ใด..... “Heal Force...!!” แสงสีขาวนวลอุ่นๆถูกยิงเข้าไปที่หุ่นของวิคส์ ช่วยให้เขาหายไฟช็อตไป...

    “ขอบใจมาก..........ระวังงงง.....!” ทั้งสองกระโดดถอยหลังพร้อมกันเพราะถูกยิงด้วยไฟฟ้าอีกครั้ง...

    “นายระวังนะ ไฟฟ้าของมันร้ายกาจมาก....”

    “อืมมมม....” เวจจ์พูดพลางคิดวิเคราะห์และหลบหลีกไปด้วย “Ice Beam....!!” แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรเจ้าสัตว์ยักษ์ได้ “มันต้องมีจุดอ่อนสิ....”

    ยังไม่ทันคิดอะไรได้มาก หัวของเจ้าหอยยักษ์ก็มุดเข้าไปในเปลือกหอย แล้วซ่อนหัวของมันอยู่ในนั้น ไม่ยอมออกมา

    “อ้าว!! ไหงเป็นงี้ไปล่ะ....” ทั้งสองคิดคล้ายๆกัน และด้วยความใจร้อนของใครคนหนึ่ง ลำแสงสีแดงถูกยิงไปที่กระดองของมัน...

    “Fire Beam.....!!” แต่เมื่อพอยิงถูกลำตัว แทนที่มันจะร้องด้วยความเจ็บปวด กลับถูกมันสะท้อนการโจมตีด้วยไฟฟ้าพลังงานสูงกว่าที่วิคส์เคยถูกช็อตมาซะอีก ทั้งสามหุ่นในเวลานี้ขยับทำอะไรไม่ได้เลย...จนเวลาผ่านไปนาทีกว่า ไฟฟ้าเริ่มจะหมดพลังลง แล้วทั้งสามก็เริ่มขยับตัวได้อีกครั้งนึง...

    “โอยยยยยยยยยยยย..........ขยับไม่ได้เลย......!! “

    “อืมมมม.......ชั้นรู้แล้วแหละว่าไอ้ตัวนี้มีจุดอ่อน อยู่ตรงไหน และรู้วิธีกำจัดแล้ว....” เวจจ์นึกในสิ่งที่ตัวเองนึกตอนแรกไม่ออกได้แล้วและเริ่มพูด “เคยได้ยินมาว่า เจ้าตัวนี้เป็นปีศาจในป่าวงกต.......หลบบบบบบบ!!” มันเริ่มโผล่หัวออกมาโจมตีอีกครั้งด้วยไฟฟ้า ทั้งสามหลบกันไปคนละทาง “แต่ถูกพวกชาวบ้านในหมู่บ้านหนึ่งจับไปเพื่อทำอะไรสักอย่าง ไม่นึกว่ามันจะถูกจับมาที่นัลเซ.....”

    เจ้าหอยยักษ์ยังไม่สนใจ และยังคงโจมตีด้วยไฟฟ้าหลายครั้งด้วยกัน แต่ก็ยังไม่โดนเป้าหมาย “Heal Force....” ลำแสงสีขาวถูกยิงอีกครั้งเพื่อรักษาอาการเหน็บชาของเวจจ์ ส่วนเจ้าหอยเริ่มชาร์จประจุไฟฟ้าอีกครั้งหลังจากไฟฟ้าในประจุเริ่มหมดลง

    “ดูจากอาการและนิสัยของมันแล้ว....ให้ชั้นลองดูก่อนนะ นายยังไม่ต้องโจมตีใดๆทั้งสิ้น....” วิคส์พยักหน้า

    เวจจ์เดินหน้าเข้าไป แล้วทิ้งวิคส์ไว้กับหญิงสาว....แล้วเริ่มโจมตี “Ice Beam.....” ลำแสงน้ำแข็งยิงออกจากปากกระบอก เป้าหมายของมันอยู่ที่หัวของหอยยักษ์...

    “กรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรู.......” ได้ผล มันเริ่มส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดอย่างรุนแรงที่ถูกยิงที่หัว

    “ใช่แล้ววว.....! วิคส์ โจมตีไปที่หัวของมันเลย...”

    “ได้เลย......Fire Beam.....!!!” คราวนี้เป็นลำแสงสีแดง แล้วยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น เนื่องจากหัวของมันถูกยิงด้วยน้ำแข็งไปแล้ว พอโดนความร้อนจึงแทบจะเจ็บแสบเข้าไปถึงแกนสมองของมันเลยทีเดียว....

    มันเริ่มจะขี้ขลาดอีกครั้งโดยการมุดหัวเข้าไป......

    “มันช่างขี้ขลาดจริงๆ........ลองเอาไปอีกทีสิ Fire......B”

    “เดี๋ยว........!!” เวจจ์เตือน “อย่ายิง....ถ้ายิงอีก ประจุไฟฟ้าของมันจะเล่นงานเราทันที....” วิคส์พยักหน้า เริ่มที่จะเข้าใจ

    เจ้าหอยทากยังคงไม่ขยับเขยื้อนไปไหน และดูเหมือนว่ากำลังจะชาร์จพลังงานในเปลือกของมันอีก และดูเหมือนว่าจะรุนแรงมากๆ ทั้งสามก็ยังคงดูทีท่าของมันอยู่ ได้แต่เล็งปากกระบอกปืนลำแสงไปที่ส่วนหัวที่ตรงเปลือกหอย

    “คงต้องรอสักพักใหญ่ๆ ตัดสินกันตอนที่มันโผล่หัวออกมาล่ะ...” เวจจ์บอก วิคส์พยักหน้า

    แล้วมันก็โผล่หัวออกมา..... ตาของมันแดงก่ำ ไฟฟ้าหลายแสนโวลท์กำลังจะถูกปล่อยออกมาอีกครั้ง ทั้งสองขยิบตาให้กัน “ต้องลองดูแล้วล่ะ.....” แต่ทันใดนั้น....

    มีขีปนาวุธ 2 ลูกถูกยิงออกมาจากที่หนึ่งอย่างรุนแรง ตรงเข้าไปที่หัวของเจ้าปีศาจหอย... “เฮ้ยหลบบบบบ....!!!”

    เกิดประกายไฟใหญ่ที่ส่วนหัวของมัน บวกกับความรุนแรงของประจุไฟฟ้าที่มันชาร์จอยู่ในตัวด้วยเลยกลายเป็นไปเพิ่มความรุนแรงให้ขีปนาวุธมากขึ้น แล้วเกิดระเบิดทันที.....

    “ตูมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม...........!!!!!” เจ้าหอยยักษ์สิ้นฤทธิ์แล้ว...... เหลือเพียงแต่ซากกระดองรั่วๆพร้อมกับประกายไฟที่เผาร่างที่กำลังคลาน.....

    ทั้งสองได้แต่งุนงงว่าไอ้ขีปนาวุธ 2 ลูกนั้นมาจากไหน แล้วทั้งหมดก็รู้คำตอบ....

    ปากกระบอกปืนที่มีแต่ควันบางๆจากปากกระบอกของหญิงสาวยังชี้อยู่ที่ซากหอย เป็นเธอนั่นเอง.....ทั้งสองเริ่มกลัวเธอขึ้นมาอีกครั้งนึง...

    “เป็นไปถึงขนาดนี้แล้วหรือจักรวรรดิเรา....?!” เวจจ์พึมพำ “เหวอๆๆ น่ากลัวมากเลยอ่ะ....” วิคส์เองก็เช่นกัน

    มีเสียงจากอินเตอร์คอมดังขึ้น...

    “พวกคุณทำงานพลาดนะ แค่สัตว์อสูรตัวเดียวก็ยังจัดการให้เสร็จเร็วๆไม่ได้ เมื่อคุณ 2 คนกลับมาให้คุณไปรายงานตัวต่อแผนกเสนาธิการที่กองบัญชาการใหญ่ด้วย ในเวลานี้ขอให้พวกคุณบรรลุภารกิจของฝ่ายเราให้สำเร็จโดยเร็วที่สุด เลิกกัน....” ทั้งสองมีอาการหดหู่แกมโกรธแค้นหญิงสาวขึ้นมา “เพราะยัยนี่แท้ๆ.....!!” วิคส์ต่อว่า

    “อย่าเสียเวลาอีกเลย รีบทำงานต่อเถอะก่อนที่เราจะคอขาด...!” เวจจ์เริ่มฉุนขึ้นมาแล้วเดินนำหน้าไปที่เหมืองที่ถูก ปิดด้วยไม้หนาๆหลายแผ่น แน่นอน....เหมืองนี้ถูกปิดตายลงเนื่องจากสาเหตุใดทั้งสองก็ไม่ทราบได้...

    “พลังงานไนโตรเจนนายยังเหลือเพียงพอมั้ย....? อยากให้นายช่วยอะไรหน่อย...” เวจจ์ขอร้องเพื่อนของเขา

    “น่าจะพอ....สำหรับแค่ขามานะ...”

    “นายใช้หมัดหุ่นนายทำลายกำแพงนะ เพราะถ้ายิงลำแสงไป ไม่รู้ว่ามันจะทะลุเข้าไปข้างในแล้วจะทำให้อะไรๆข้างในมันเสียหายหรือเปล่า เพื่อความชัวร์” เวจจ์อธิบาย “โอเค....”

    วิคส์เดินไปที่ตำแหน่งใกล้ๆเวจจ์ “ถอยไป........” หมัดหนักๆลูกหนึ่งต่อยเข้าไปที่ประตู ไม้ที่ตอกกั้นไว้ถูกพังทำลายลง....บรรยากาศในนี้มืดมาก

    “โอเค นายเดินตามชั้นมานะ ไฟหน้านายไม่ต้องเปิด เดี๋ยวจะเปลืองพลังงานซะเปล่าๆ....” เวจจ์เดินนำหน้าเข้าไป ส่วนหญิงสาวที่ถูกควบคุมอยู่กับวิคส์ก็เดินตามหลังเข้าไป...

    ภายในเหมืองนี้ยังมีสิ่งของต่างๆวางเกลื่อนกลาดอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นหมวกกรรมกร พลั่ว ค้อนปอน หรือรถเข็นแร่ เพียงแต่ว่าของพวกนี้ก็ไม่ได้รับการดูแลเหมือนกัน ถูกปล่อยให้ฝุ่นเขรอะสนิมขึ้นอยู่ในเหมืองนี้ แล้วยังมีรังหนูใหญ่ๆอยู่หลายๆจุดด้วย ทำให้ทั้งสองคนเริ่มจะเหวอๆกันอีกครั้ง “รอบนี้จะโดนหนูยักษ์อีกหรือเปล่าเนี่ย.....” วิคส์เริ่มโอดครวญ เวจจ์ยังไม่พูดอะไร....

    เดินมาเรื่อยๆจนสุดทาง แล้วทั้งสองก็ต้องตกตะลึง....

    สิ่งที่ตั้งอยู่ตรงหน้าทั้งสองหาใช่เป็นสัตว์ดุร้ายไม่ และไม่ใช่หุ่นยนต์ มันคืออสูรที่ถูกผนึกด้วยน้ำแข็ง ซึ่งไม่มีวันละลาย มันมีรูปร่างเหมือนคนกับนกรวมอยู่ด้วยกัน ปีกมีหลายสีมากมาย ตั้งอยู่บนแท่นขุดเจาะที่ชาวเหมืองได้สร้างเอาไว้....

    “นี่สินะ...เป้าหมายเรา...” เวจจ์เริ่มพูด “กว่าจะเจอ... แต่มันก็สวยดีเนอะ ว่ามั้ย....??”

    “อื้มมมม.....” พลางยิ้ม เสียงอินเตอร์คอมดังขึ้นอีกครั้ง

    “ให้สิบเอกเวจจ์เริ่มชาร์จพลังงาน Fire Beam เป็นเวลา 10 นาที เพื่อที่เราจะลองหลอมน้ำแข็งก้อนนี้ดู ปฏิบัติ....” เวจจ์เหวอไปเลย เพราะการที่เขาต้องหลอมให้น้ำแข็งละลายนี้ เมื่อละลายแล้ว พวกเขายังต้องเจอกับอสูรตัวนี้อีกหรือนี่....

    “รับทราบ....” แล้วเริ่มชาร์จพลังงานทันที

    เวจจ์เองก็เริ่มตั้งใจชาร์จพลังงาน ส่วนวิคส์เองก็ยืนรอ พลันหันกลับไปมองที่หญิงสาว....

    เกิดออร่าสีฟ้าขึ้นที่ตัวของหญิงสาวที่อยู่ในหุ่น ร่างของเธอถูกปกคลุมไปด้วยสีฟ้าอ่อนๆ ตาของเธอก็เปลี่ยนเป็นสีฟ้า ร่างของเธอก็เช่นกัน.... วิคส์เกิดอาการงงขึ้นมา ที่ยิ่งกว่านั้น

    เวจจ์เองก็เริ่มสังเกตว่าที่น้ำแข็งของตัวอสูรนั้นเริ่มที่จะเปลี่ยนเป็นสีฟ้าเช่นกัน...และยังมีออร่าปกคลุมด้วย...

    ทั้งสองต่างหันกลับไปมองสิ่งที่ตัวเองไม่ได้มอง...

    มีลำแสงบางอย่างออกมาจากตัวหญิงสาวเป็นสีฟ้า....ตรงเข้าไปที่อสูรที่ถูกผนึกอยู่

    บนเพดานเริ่มมีเศษดินหลุ่นลงมา พื้นเริ่มสะเทือน ทั้งสองเริ่มเกิดอาการกลัวสุดขีด... “นี่...มัน...เรื่องบ้า....อะไรเนี่ย...!???”

    ลำแสงถูกเชื่อมต่อกัน เวจจ์รู้สึกถึงพลังงานของลำแสงนี้ได้ว่ามันสามารถทำลายหมู่บ้านนี้ได้แน่ๆ เกิดอาการกลัวขึ้นมามากกว่าเดิมอีก “แย่แน่ๆๆๆๆๆ....!!!” วิคส์ในตอนนี้ไม่ต้องพูดถึงเลย...เขาสติแตกไปแล้ว...

    มีลำแสงเล็กๆมากมายออกมาจากตัวอสูร คราวนี้ลำแสงถูกยิงเหมือนลูกบอลที่เด้งอยู่ทั่วในเหมือง แล้วก็โดนเข้าที่วิคส์จังๆ หุ่นของเขาถูกดึงไปที่มิติอื่นในทันที.... “อ๊ากกกกกกกก!!!!!!!!!”

    “วิคสสสสสสสสสส์.....” เขาตะโกนเรียกเพื่อน แต่ไม่เห็นตัวแล้ว และไม่มีการตอบกลับของเพื่อนรักเลย....

    หญิงสาวยังคงนิ่งพร้อมกับพลังงานที่ยังปล่อยออกมาจากในตัวอย่างไม่หยุดหย่อน.....

    เวจจ์เองเริ่มหลบหลีกลำแสงที่เด้งไปมาในห้องเพื่อที่จะออกไปจากเหมืองนี้ เขายอมโดนปลดออกจากทหารเลยทีเดียวเพื่อที่จะได้ไม่ต้องตายเหมือนเพื่อนของเขา

    แต่โชคร้าย.....ไม่ต่างจากเพื่อนของเขาเลย ลำแสง 2 สายพุ่งเข้าหาตัวเขาเช่นกัน “อ๊า...................!!!!!!!!” สิ้นเสียงตัวเขา หุ่นแมจิเทคส์ก็หายไปเช่นกัน

    ณ ที่จักรวรรดิ.....

    “นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย....เราควบคุมบังคับเธอไม่ได้เลย. ..!!!” นายทหารชั้นสูงคนหนึ่งพูดขึ้น “ติดต่อกับทหารก็ไม่ได้....”

    “นี่ต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ.....” จักรพรรดิกัสโทร่าบอกให้ทุกคนรู้ ทั้งพลเอกเคฟก้า พลโทลีโอ นาวาตรีหญิงเซริส นาวาตรีเอ็ดการ์ และอีกหลายๆคน.....

    “เอางี้มั้ยท่านจักรพรรดิ เราจะส่งคนไปตรวจดูอีกครั้งหนึ่ง ถ้าออกไปตอนนี้คาดว่าน่าจะถึงที่หมู่บ้านตอนเช้า เราจะเอาเธอกลับมา เพราะจะปล่อยให้เธอไปตกอยู่กลับพวกต่อต้านไม่ได้...” เคฟก้าบอก

    “อืมม...ให้เจ้าเกณฑ์ทหารที่ไว้ใจได้ไปหน่วยนึง สืบมาให้หมดเลยนะว่าเป้าหมายของเรายังอยู่หรือไม่ แล้วเอาเธอกลับมาเป็นๆด้วย ถ้าเธอหมดลมหายใจแล้วก็ไม่ต้องพากลับมา เราจะคิดแผนต่อไปกัน....” พลางมองออกผ่านช่องหน้าต่างไปทิศตะวันตก ทางหมู่บ้านนัลเซ....

    “รับทราบ.......!!!!” เคฟก้าตอบพลางนึกยิ้มอยู่ในใจ ผิดกับเอ็ดการ์.....ที่ตรงกันข้ามกันเลย...


    กลับมาที่ในเหมือง.....

    น้ำแข็งเริ่มละลายลงเนื่องจากพลังงานความร้อนเกินขีดจำกัด หลังจากนั้นไม่นานลำแสงเล็กๆก็ถูกรวมเป็นลูกใหญ่ขึ้น มันยังเด้งอยู่ในเหมืองนี้ แต่ตอนนี้ไม่เด้งอย่างเดียวแล้ว เมื่อตกกระทบตรงส่วนไหนมันก็จะเกิดการระเบิดไปด้วย สักพักไม่นาน เหมืองนี้ก็พังทลายลง พร้อมกับอสูรที่บินออกจากหมู่บ้านไป ทิ้งให้หญิงสาวนอนอยู่ใต้ซากหินซากไม้อย่างไม่ได้สติ

    Slave Crown หยุดทำงานลงในบัดดล.....

    --------------------------------------------------
  3. hannover96

    hannover96 New Member

    EXP:
    881
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    Chapter 3 : Escape

    เช้าวันรุ่งขึ้น....

    แสงสีทองของท้องฟ้าเนื่องจากพระอาทิตย์ขึ้น ทำให้ทุกคนในหมู่บ้านนัลเซเริ่มตื่นออกมานอกบ้านอีกครั้ง หลังจากเมื่อคืนต้องปะทะกับพวกหุ่น หลายคนร้องห่มร้องไห้เนื่องจากต้องเสียบุคคลที่รักไปเมื่อคืน หลายคนที่ไม่เป็นอะไรมากก็เริ่มซ่อมแซมบ้านพักและอาคารสถานที่ต่างๆ ด้วยความโกรธแค้นพวกจักรวรรดิในหลายๆจุด ไม่ว่าจะเป็นแท่นเผาถ่าน เตาหลอมแร่ หรือแม้กระทั่งบ่อน้ำบาดาลที่ชาวบ้านใช้ดื่มกินกัน เด็กๆหลายๆคนเริ่มออกมาวิ่งเล่นกันหลังจากเมื่อคืนต้องขดอยู่ในบ้านด้วยความกลัว คนเฒ่าคนแก่ก็เริ่มออกมาวิพากษ์วิจารณ์เหตุการณ์เมื่อคืนกันที่ในร้านอาหารกลางหมู่บ้าน....

    “มันรู้เรื่องในหมู่บ้านเราได้ไงนี่ ต้องมีใครสักคนคอยเป็นสายอยู่ในหมู่บ้านเราแน่ๆ....” ชายชราคนหนึ่งเริ่มเรื่อง

    “นั่นสิ เรื่องที่เราปิดเอาไว้ตั้ง 100 กว่าปีถูกคนนอกรู้เรื่องไปได้ แสดงว่าต้องมีคนเอาไปบอกพวกมันแน่...”

    อาร์วิส หัวหน้าหมู่บ้านนัลเซซึ่งเป็นคนปล่อยหอยยักษ์ออกมาเมื่อคืนเริ่มครุ่นคิด หรือจะมีสายในหมู่บ้านจริงๆ หรือเป็นว่าพวกจักรวรรดิสืบทราบได้เอง ‘ถ้าอย่างงั้นการรักษาความปลอดภัยในหมู่บ้านนี้ก็หละหลวมสิเนี่ย’ เขาคิด “พวกคุณคิดกันมากไปเองหรือเปล่า...? บางทีการป้องกันภายในหมู่บ้านของเราอาจจะไม่ดีพอก็ได้นะ...”

    “มันก็จริงนะ เป็นไปได้เหมือนกันที่พวกจักรวรรดิจะมาสืบทราบได้เอง ....” อีกคนสนับสนุน

    “แล้วคราวนี้ถ้ามันบุกมาอีกครั้งนึงล่ะ เราจะทำยังไงกันดี อาวุธและกระสุนของเราก็ใกล้จะหมดแล้วด้วย....”

    อาร์วิสพูด “ไม่เป็นไร เรื่องนี้เราจะจัดหามาให้เอง แต่ในความรับผิดชอบของพวกคุณ ขอให้พวกคุณรักษาความปลอดภัยเมืองนี้ให้รัดกุมมากยิ่งขึ้น ซ่อมแซมสิ่งก่อสร้างสาธารณะและคลังเก็บอาวุธด้วย เนื่องจากเราต้องรักษาโรงคลังนี้เอาไว้ไม่ให้ถูกทำลายไป เพราะถ้าถูกทำลายไปได้ เราก็คงไม่มีอะไรออกไปต่อกรกับพวกนั้นอีกถ้ามันบุกมาที่นี่อีกครั้ง....เข้าใจนะ..” ทุกคนรับทราบ

    ปล่อยให้ถกเถียงและรับฟังเรื่องต่างๆอีกสักพัก อาร์วิสก็ขอตัวกลับไปที่บ้านเพื่อไปดูว่าหลานชายของเขากลับมาจากข้างนอกหรือยัง ในใจของอาร์วิสตอนนี้ไม่ได้อยู่ที่เรื่องการจัดหาอาวุธปืน หรือการซ่อมแซมหมู่บ้าน หากแต่อยู่ที่ต้องกลับไปดูอาการของหญิงสาวซึ่งเขาได้นำกลับมารักษาที่บ้าน หลังจากเมื่อคืนเขาได้ออกไปสำรวจความเสียหายในเหมืองนั้นโดยที่ไม่มีใครได้สังเกตเห็น ขณะนี้เธอยังไม่ได้สติ....

    เมื่อกลับถึงบ้าน หลานชายของเขายังไม่กลับมา อาร์วิสได้แต่ถอนหายใจ “เฮ้อ.....3 วันแล้วนะ” เขาบ่นแล้วเดินไปดูอาการหญิงสาว เธอยังนอนไม่ไหวติง แต่ชีพจรยังเดินอยู่ เขาจับหน้าผากดู รู้สึกว่าอาการไข้เริ่มลดลงจากเมื่อคืนมาก เมื่อเสร็จแล้วก็ก้มลงที่กระป๋องน้ำโลหะ เพื่อหยิบผ้าชุบน้ำมาโปะที่หน้าผากเธออีกครั้ง

    มีเสียงครางในลำคอเบาๆ.....

    อาร์วิสได้ยินเสียงนั้นจึงหันหลับไปดู ลำคอของเธอเริ่มสั่น ตัวเริ่มกระตุก...สักพักเธอก็ลืมตาขึ้นมา อาร์วิสยิ้ม

    “เป็นอย่างไรบ้างเธอ...” อาร์วิสถามเธอหลังจากที่เธอลุกขึ้นนั่งได้เอง

    “ฉัน..................อยู่.........ที่ไหนกัน...........??” หญิงสาวพูดประโยคแรกขึ้น “นี่ฉันเป็นอะไรไป.....???”

    “เธอสลบไปเมื่อวานนี้นี่เอง ตอนนี้เธออยู่ในหมู่บ้านของเรา ซึ่งตอนนี้ยังไม่ปลอดภัยเท่าไร....”

    “อูยยยยยยยยยย...........” หญิงสาวจับที่ขมับ เธอเกิดอาการปวดหัวขึ้นมา “งั้นรอเดี๋ยวนะ.....” อาร์วิสรีบไปหยิบยาเม็ดมาให้หญิงสาวกิน เธอรับไว้พร้อมกินแล้วดื่มน้ำตามเข้าไป

    “เดี๋ยวก็ดีขึ้นเอง เห็นเธออาการไม่ดีแต่เมื่อคืน ฉันเลยถอดที่รัดหัวของเธอออกแล้วเช็ดตัวให้ เมื่อคืนเธอเป็นไข้สูงมาก....” พลางชี้ไปที่ Slave Crown

    อาร์วิสเองก็พอที่จะเข้าใจ เรื่องเมื่อคืนนั้นน่าจะรุนแรงมากพอที่จะทำให้คนๆนึงที่อยู่ในนั้นอาจจะเกิดอาการเสียสติหรือความจำเลอะเลือนไปได้

    “อืมมมม.....ไม่เป็นไรหรอกสาวน้อย เธอคงต้องรอพักฟื้นอีกนิดหน่อย แล้วเธอก็จะจำได้เอง....” เขาบอกแล้วถามต่อ “แต่เธอ...พอจะจำได้ไหม ว่าเธอชื่ออะไร....??”


    เธอคนนั้นครุ่นคิดนิดนึง พร้อมกับอาการปวดหัวเริ่มกำเริบ “นอนพักบนเตียงก่อนก็ได้นะ เดี๋ยวนึกออกค่อยบอกละกัน...” แล้วอาร์วิสก็ลุกขึ้นเพื่อจะไปเตรียมอาหารเช้าให้เธอ

    “ชั้น......จำได้.......” เธอบอก อาร์วิสหันกลับมาอีกครั้ง “ชั้น.......ชื่อ.........ทีน่า...” พร้อมกับก้มหน้าครุ่นคิดสิ่งต่างๆอีก อาร์วิสทึ่ง

    “นั่นคือชื่อเธอหรอ?.....อืม.......เธอนี่เยี่ยมยอดมากเลยนะ.......!!” เขาชม ทีน่าแปลกใจ “ทำไมหรือคะคุณลุง?”

    อาร์วิสตอบ “เมื่อคืนนี้เกิดเหตุการณ์ระเบิดรุนแรงมากในเหมืองที่นี่ เธอเองซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ด้วยก็โดนระเบิดแล้วติดอยู่ในนั้น ชั้นเองเป็นคนที่ช่วยเหลือเธอออกมา....” ทีน่ายังตั้งใจฟังต่อไป “แค่เธอรอดชีวิตมาได้ ก็เก่งแล้ว แล้วนี่ความจำยังไม่กลับมา แต่เธอยังจำชื่อตัวเองได้....นี่สิ.....”

    ทีน่าไม่ค่อยรู้สึกประหลาดใจอะไรสักเท่าไร คงเป็นเพราะเธอร่างกายอ่อนเพลียจนไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรสักอย่าง “เธอนอนพักผ่อนให้เพียงพอเถอะ ชั้นจะเตรียมข้าวต้มไว้ให้เธอทานหลังตื่นละกัน” อาร์วิสพูดทิ้งท้าย ทีน่าพยักหน้าพร้อมกับนอนลงบนเตียง

    ที่หน้าหมู่บ้าน......

    เหล่าทหารจักรวรรดิพร้อมหุ่นแมจิเทคส์หลายสิบตัวมาถึงหน้าหมู่บ้านแล้ว “เราต้องหาตัวเธอให้เจอ เข้าใจมั้ย...!!!”

    “ครับ!!!!!!!!!!!” เสียงทหารหลายสิบคนตอบกลับมาด้วยเสียงอันดัง แล้วทั้งหมดก็เดินเข้าไปในหมู่บ้านท่ามกลางชาวบ้านที่ถืออาวุธรอต้อนรับอยู่แล้ว

    “ชาวบ้านทุกคนโปรดทราบ เนื่องจากทางเราสืบทราบมาว่ามีคนของจักรวรรดิอยู่ในหมู่บ้านนี้ เราต้องการแค่ค้นหาคนของเราตามบ้านของทุกคนเท่านั้น หาใช่มารบราฆ่าฟันกันไม่ เราแค่ขอความร่วมมือจากทุกคน ขอให้เราได้เข้าไปตรวจสอบในบ้านทุกหลังด้วย......” เสียงของหัวหน้ากองทหารตะโกน

    ชาวบ้านทั้งหลายเริ่มพากันประชุมปรึกษากันสักพักหนึ่ง แล้วเริ่มวางอาวุธลงทีละคน

    “โอเค เราจะยอมให้ตรวจค้น แต่ทางเราก็มีข้อแลกเปลี่ยนเหมือนกัน...” รองหัวหน้าหมู่บ้านพูด

    “ว่ามา....!!”

    “เราขอให้ท่านวางอาวุธลงทั้งหมดด้วย และทหารที่อยู่บนหุ่นนั้นขอให้ลงมาจากหุ่นทั้งหมดเลย เพื่อความปลอดภัยของหมู่บ้าน”

    “ตกลง เราจะทำตามที่พวกท่านต้องการ......” หัวหน้ากองบอก

    เมื่อตกลงกันตามนั้นแล้ว ทหารทั้งหลายก็พากันทิ้งอาวุธลง คนที่อยู่บนหุ่นก็ปิดพาวเวอร์การทำงานของหุ่นชั่วคราว แล้วลงมาช่วยกันค้นหาตามบ้านเรือน และตามที่ซ่อนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นตามห้องใต้หลังคา ตามปล่องไฟ และที่อื่นๆอีก เริ่มตั้งแต่หน้าหมู่บ้านมาเรื่อยๆจนเกือบจะถึงสุดหมู่บ้านซึ่งเป็นบริเวณที่พักของอาร์วิสและทีน่า....

    “อืม ไม่ได้การแล้ว......” อาร์วิสคิดในใจพลางเดินออกจากหน้าต่างในห้องครัวไปที่เตียงที่เธอนอนอยู่

    “ทีน่า ตื่นๆๆๆ.....” เขาปลุก เธอยังตื่นขึ้นมาด้วยอาการมึนหัวเหมือนเดิม....พลางทำหน้าสงสัย

    “มีอะไรเกิดขึ้นหรือคะคุณลุง...?”

    อาร์วิสเองก็จนปัญญาไม่รู้จะพูดยังไง “ตอนนี้ชั้นเองก็ไม่อยากทำร้ายจิตใจเธอเหมือนกันนะ แต่ตอนนี้เธอต้องออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด...ตอนนี้ทางการกำลังมาเอาตัวเธอกลับไปที่เก่า...” ทีน่างง อะไรคือทางการ อะไรคือที่เก่า...

    “ชั้นรู้ว่าตอนนี้เธอยังต้องนอนพักผ่อนให้มากๆ เพราะเธอเองร่างกายก็ยังไม่แข็งแรงพอ....” พร้อมกับชี้ไปทางหลังบ้าน “เธอต้องใช้ประตูที่อยู่หลังตู้กับข้าวนั้นหนีออกไปจากบริเวณนี้ แล้วไปหลบอยู่ที่ในเหมืองก่อน เมื่อเรื่องสงบแล้ว ชั้นจะส่งคนเข้าไปหาเธอเพื่อรับกลับมาที่นี่เอง....เข้าใจมั้ย?” ทีน่าพยักหน้า

    มีเสียงเคาะประตูที่หย้าบ้านของอาร์วิส “ปึงๆๆๆๆ!!!”

    “เปิดประตูด้วย.....!!” เสียงดังมาจากข้างนอก อาร์วิสรีบขยับตู้กับข้าวออกเพื่อให้ทีน่าหลบหนีไป “ตอนข้ามสะพานข้ามเหวพยายามก้มต่ำๆไว้นะ พวกมันจะได้ไม่เห็นเอา....” แล้วอาร์วิสก็ส่งเสื้อคลุมกันหนาวให้ใส่พร้อมกับปิดประตู เลื่อนตู้กับข้าวมาที่เดิมแล้วไปเปิดประตูหน้าบ้าน

    “ว่าไง....จะมาตรวจที่บ้านของข้าด้วยหรือ....??” อาร์วิสถาม

    “พวกเราตกลงกับทางหมู่บ้านแล้วว่าจะขอเข้าตรวจค้นบ้านทุกหลัง แม้แต่บ้านของท่านก็ไม่ยกเว้นนะ....” ทหารคนนั้นพูด อาร์วิสเลยทำท่าเชิญให้พวกจักรวรรดิเข้าไปตรวจค้นได้ตามสบาย ทหารทั้งหลายก็เข้าไปตรวจค้นทุกซอกทุกมุม แต่ก็ไม่พบ

    แต่...กลับพบอะไรบางอย่างเข้า ทหารนายนั้นรีบเก็บมันเข้าชายพกอย่างมิดชิด

    เสียงตะโกนจากบริเวณใต้สะพาน “เฮ้....! หยุด....!!!” พวกมันเห็นทีน่าแล้ว เหล่าทหารก็มารวมตัวกันตรงจุดนั้น

    ทีน่าเองก็ไม่อยู่ในสภาพที่จะเดินเหินอะไรได้สะดวกนัก การที่เธอเองนอนหลับไม่เพียงพอแล้วยังบาดเจ็บจากเหตุการณ์ในเหมืองเมื่อคืนนี้ทำให้เรี่ยวแรงไม่เหลือเลย ทั้งร่างกายและจิตใจเธอกำลังทรุดอย่างหนัก แต่จากการที่อาร์วิสพูดแม้ว่าเธอเองจะไม่เข้าใจ เธอก็ต้องเดินต่อไปเพราะไม่งั้นอันตรายจะมาถึงตัว....เธอเชื่อเช่นนั้น

    เสียงฝีเท้ามากมายกำลังวิ่งมาจากทางด้านขวาของเธอ.....!! เธอรีบเดินไปเรื่อยๆจนถึงปากประตูเหมืองแล้วก็เปิดประตูเข้าไปพร้อมกับล็อคกลอนอันเขื่องไว้ด้านในเพื่อไม่ให้ใครติดตามเข้ามา ฉวยได้คบไฟที่อยู่ข้างประตูเพื่อนำทางเธอเดินไปต่อ แต่หารู้ไม่ว่า เธอกำลังเผชิญหน้ากับอันตรายที่เธอไม่คาดคิด.....

    --------------------------------------------------
  4. hannover96

    hannover96 New Member

    EXP:
    881
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    Chapter 4 : Darkness and the Moogle.....

    ตามเส้นทางในเหมืองที่ไม่ได้เป็นทางตรงนั้น ทีน่ากำลังคลำทางไปเรื่อยๆ ถึงแม้ว่าคบเพลิงที่เธอถือมาจะช่วยทำให้สว่างมากขึ้น แต่หนทางก็ยังคงวกวนในความคิดของเธอ เธอเองก็รู้ว่าการที่ต้องถือแสงสว่างอยู่ในมือในสถานการณ์ตอนนี้มันล่อแหลมมากที่อันตรายจะมาถึงตัว แต่เธอก็ไม่อยากตกอยู่ในความมืดอีกแล้ว.......

    เธอ......รู้อย่างเดียวว่าเธอหมดแรงไม่ได้

    เธอ......ล้มไม่ได้

    เธอ......ต้องหนีพวกมันให้ได้

    ประตูแล้วประตูเล่าที่เธอเปิดแล้วปิดพร้อมล็อคกลอนแน่นหนา เส้นทางที่เธอเลือกหนีนั้นก็ยังไม่ได้เป็นเส้นทางที่ปลอดภัยสักเท่าไร....

    เสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาอีกแล้ว คราวนี้มันมาจากด้านไหน เธอไม่รู้.....!! เธอหาที่หลบซ่อนไม่ทันแล้วในตอนนี้...

    “นั่นไง!! อยู่ตรงนั้น” เสียงผู้ชายตะโกนมาจากด้านหลังที่เธอปิดประตูมาเมื่อตะกี้.... ทีน่าหันไปดูด้วยความตกใจ เริ่มวิ่งหนีอย่างสุดแรงทั้งๆที่เธอก็ไม่มีแรงที่จะวิ่ง

    “จะไปไหน......!!” ทหารจักรวรรดิโผล่ออกมาจากหัวโค้งทางเดิน ดักทางทีน่าไว้ไม่ให้วิ่งต่อไปได้ ตอนนี้เธอถูกดักหน้าหักหลัง....

    ความสิ้นหวังเริ่มเข้าสู่ความรู้สึกของทีน่าในตอนนี้.....เธอไม่รู้จะทำอย่างไร ทั้งหน้าทั้งหลังเริ่มเดินเข้ามาใกล้ทีละนิดๆ เธอก็ถอยออกด้านข้างทีละนิดเช่นกัน แต่พอหลังกำลังจะชนกับผนัง

    พลัน...!! พื้นบริเวณนั้นยวบตัวลง ทีน่าตกลงไปชั้นข้างล่างใน

    ------------------------------

    อาร์วิสเดินไปเดินมาอยู่ในบ้าน เขาเดินคิดไปคิดมามากมายว่า....

    ที่เราทำลงไปมันดีมั้ย.....?

    การส่งผู้หญิงที่ไม่มีเรี่ยวแรงอะไรให้หนีไปคนเดียวมันดีหรือ...?

    หนำซ้ำเธอยังจำอะไรไม่ได้ด้วย......?

    ทหารจักรวรรดิเริ่มออกค้นหาในเหมืองแทนในหมู่บ้าน ยิ่งทำให้อาร์วิสรู้สึกวิตกกังวลมากขึ้นเข้าไปใหญ่

    หลานชายตัวแสบของเขากลับเข้าบ้านมาพอดี.....

    “นี่แก.....ข้าบอกแกแล้วใช่มั้ยว่าอย่าโดดเข้ามาทางหน้าต่าง....!!” อาร์วิสบ่นอย่างไม่พอใจ

    ล็อค โคล ชายหนุ่มอายุประมาณ 25 ปีโดดเข้ามาทางหน้าต่างด้านข้างของบ้าน สภาพของเขาตอนนี้ดูไม่จืด มีแต่ฝุ่นผงและคราบดำติดตัวเป็นจุดๆเหมือนไปทำงานในเหมืองมา ความสูงประมาณ 175 เซนติเมตร

    “โธ่ลุง....! บ่นทุกครั้งเลยนะ นึกว่าจะชินแล้วซะอีก...”

    “แล้วนี่แกหายไปไหนมา 4 วัน 5 วัน แล้วก็ไม่ติดต่อส่งข่าวเลยนะ นี่คงจะไปแอบขโมยของไปขายมาอีกแล้วสิเนี่ย.....เมื่อไรแกจะเลิกพฤติกรรมแบบนี้ซะที....ถ้าแกโดนจับได้ ข้านี่แหละที่จะขายหน้ามากกว่าแกอีก...!” อาร์วิสบ่นอีกเป็นชุด

    “โธ่ๆๆๆ....” ล็อคอ้อนอีก “อย่าเรียกผมว่าขโมยสิ น่าจะเรียกว่า ‘นักล่าสมบัติ’ มากกว่านะ ฮ่าๆๆๆ”

    “มันก็ไม่ได้ต่างอะไรกันเลย เพราะพอแกได้มันมา แกก็เอาไปขายแล้วเอาเงินไปใช้หมดแหละ....”


    “มันต่างกันมากเลยนะลุง.....ไอ้อาชีพหัวขโมยกับนักล่าสมบัติน่ะ...” ล็อคให้เหตุผล “ขโมยอ่ะ มันไม่มีกลยุทธ์อะไรหรอกนอกจากตรงดุ่มๆๆๆเข้าไปหยิบแล้วหนีออกมา แต่นักล่าอ่ะ มันต้องมีการวางแผนอย่างแนบเนียน คือต้องใช้สมองแหละ...”

    “แกอธิบายเป็นรอบที่เท่าไรแล้วเนี่ย พอๆๆๆ ข้าไม่อยากฟังแกและ..” อาร์วิสตัดบทในขณะที่ล็อคส่ายนิ้วชี้ไปมาเหมือนกับว่ายังไงมันก็ไม่เหมือนกัน

    “เออลุง ได้ข่าวว่า ‘พวกมัน’ มาที่นี่หรือ...?” ล็อคหมายถึงพวกจักรวรรดิ “อืม...ใช่ มากันเมื่อคืน 3 คน กับเมื่อเช้าอีกเป็นร้อย....”

    ล็อคถามต่อ “มากันทำไม? หรือว่า.....” ใช่ ล็อคเข้าใจไม่ผิด “อืม.... ‘มัน’ ถูกปลดปล่อยไปแล้ว....” ล็อคทำหน้าเซ็ง

    “ไม่อยากจะเชื่อเลย ใครเป็นคนทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นเนี่ย...?!”

    อาร์วิสเองมีหลายเรื่องที่ต้องคิดจัดการให้เสร็จไปอีกหลายอย่าง แต่ตอนนี้เขาเองห่วงทีน่ามากที่สุด เธอจะเป็นอย่างไรบ้างนะ....แล้วความคิดอย่างนึงก็เกิดขึ้น

    “แกช่วยอะไรข้าอย่างนึงได้มั้ย.....?”

    “ลุงจะให้ผมไปทำอะไรล่ะ ถ้ามันสนุกล่ะก็ไม่ต้องถามเลย ขอให้บอก กระพ้มเต็มใจรับใช้โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น....เพราะเดี๋ยวผมก็ออกหาล่าสมบัติไปด้วยเลย ฮ่าๆๆๆ....” อาร์วิสทำท่าเซ็งกับหลานตัวเองอีกครั้ง “เฮ้ออ........ให้มันได้อย่างงี้สิ” แล้วพูดต่อ

    “ข้ามีงานให้แกทำอยู่ 2 อย่างนะ.....”

    “ว่าไปเลยลุง.....”

    “อย่างแรก ข้าให้ ‘ผู้หลบหนี’ คนนึงเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในเหมืองตรงข้ามสะพานหลังบ้านเรา ซึ่งตอนนี้เธอบาดเจ็บอย่างหนัก และยังไม่ได้ความจำส่วนนึง
    กลับมา....ให้แกเข้าไปค้นหาในเหมืองนั้น และสอง เมื่อแกพบแล้วให้พาหนีออกจากหมู่บ้านไปที่ปราสาทฟิกาโร่ พาไปหาท่านเอ็ดการ์ แล้วท่านเอ็ดการ์จะจัดการต่ออีกทีนึง...” พูดจบแล้วก็ยื่นจดหมายปิดผนึกให้ล็อคฉบับนึง ล็อคเก็บมันไว้ใต้เสื้อกั๊กสีฟ้าที่แสนจะซอมซ่อของเขาอย่างมิดชิด แล้วถามข้อมูลเพิ่มอีก

    “แล้วคนๆนี้เป็นใครล่ะ...?”

    “คนของจักรวรรดิ เป็นผู้หญิง เมื่อคืนเธอขับหุ่นมารบกับคนในหมู่บ้าน....แล้วเกิดสลบไปในเหมือง ข้าเป็นคนช่วยออกมา...”

    ล็อคทำหน้าสยองขึ้นมาเลย “เหอๆๆๆ ลุง จะให้ผมไปช่วยพวกจักรวรรดิเนี่ยนะ แล้วยังเป็นทหารขับหุ่นอีก นี่ลุงส่งผมไปตายหรือเปล่าเนี่ย....?!!” อาร์วิสเองก็กลัวเหมือนกัน เป็นเพราะเขาเองก็รู้ว่าทีน่ามีความแปลกประหลาด มีความสามารถพิเศษเหนือมนุษย์อยู่ในตัว เขาเองก็ไม่อยากพูดออกไปอีกว่า เธอเองนั่นแหละเป็นชนวนให้อสูรตัวนั้นบินหนีออกจากนัลเซไป....

    สิ่งที่เขาฝันเห็นเมื่อคืนทำให้ขนลุกขึ้นมาอีกครั้ง.....

    “ตอนนี้แกยังติดต่อกับพวกกลุ่มต่อต้านอยู่หรือเปล่า...?”

    “ก็ไม่ค่อยได้เจอกับตัวเฮดๆเท่าไรนะ จะเจอก็แค่พวกหน่วยข่าวซะมากกว่า...”

    “ข้าอยากให้แกเข้ามาอยู่ในกลุ่มเต็มๆตัวซะทีนะ ไม่ต้องไปยุ่งกับพวกคนข่าวหรอก พวกนั้นทำงานเสี่ยง ข้าไม่อยากให้แกเป็นเช่นนั้น...” อาร์วิสอ้อน ล็อคพยักหน้าช้าๆ พลางคิดว่า ถ้าเขาคุยกับเอ็ดการ์รู้เรื่อง เขาจะขอร่วมอุดมการณ์เต็มๆตัวสักที เหตุผลก็ที่ว่าเพราะพวกจักรวรรดิได้ทำลาย ‘สิ่งที่เขารัก’ มากที่สุดไปด้วย

    “แล้วลุงจะตามไปที่ฟิกาโร่หรือเปล่า...?” อาร์วิสส่ายหน้า “ข้าคงต้องดูสถานการณ์พวกจักรวรรดิที่นี่ซะก่อน พวกมันยังถอนกำลังออกไปไม่หมดเลย เพราะนี่ไง ข้าถึงให้แกรีบออกไปค้นหาเธอให้เร็วที่สุด ก่อนที่พวกมันจะได้ไป....” ล็อคร้องอ๋อขึ้นมาเลย เพราะเธอคืออาวุธของจักรวรรดิสินะ....

    “โอเคเลยลุง แล้วเตรียมของเดินทางไว้ให้หรือเปล่าเนี่ย...?” พูดทวงถามสิ่งของ ลุงของเขากุมขมับเมื่อได้ยินขึ้น “ให้ตายสิ....เรื่องนี้แกไม่เคยลืมเลยนะ...”

    “ฮ่าๆๆๆ....” หลานตัวแสบหัวเราะ แล้วอาร์วิสก็เดินไปหยิบกระเป๋าเป้ใส่อาหารและน้ำใบหนึ่งที่เขาเตรียมไว้ให้แล้วมาให้ ล็อคสะพายมันแล้วดันตู้กับข้าวออก เปิดประตูเดินออกไป

    “ขอพระเจ้าคุ้มครองหลานข้าด้วย....” อาร์วิสอ้อนวอนหลังจากล็อคปิดประตูไปแล้ว


    ตอนนี้ในหมู่บ้านยังมีทหารจักรวรรดิเดินเพ่นพ่านอยู่เป็นประปราย ถึงตอนนี้จะไม่มากนัก แต่ยังคงปักหลักเฝ้าตามจุดต่างๆอย่างไม่หละหลวม ล็อคเองเป็นคนหนึ่งที่ทางจักรวรรดิก็หมายตัวไว้เหมือนกัน สืบเนื่องจากเมื่อเดือนก่อนเขาลอบเข้าไปที่เขตจักรวรรดิเพื่อเข้าไปขโมยสิ่งของออกมา แล้วเลือกเข้าไปที่ห้องของพลโทลีโอ วันนั้นเป็นวันที่นายพลออกตรวจที่เขตอื่น ไม่มีคนเฝ้าในห้อง แต่ก็มิวายมีคนเห็น จึงทำให้ถูกหมายหัวอยู่ในขณะนี้

    ล็อคเดินข้ามสะพานที่เต็มไปด้วยใบปิดล่าค่าหัวของเขา ไปตามทางที่ทีน่าน่าจะใช้หลบหนี

    “อืม.....เธอน่าจะไปหลบที่ไหนนะ.......ตรงไหนๆๆ” เขาคิด... แต่ตอนนี้ยังคิดไม่ออกเลย ที่ซ่อนและทางลับในเหมืองใหญ่เหมืองนี้มีมากมายหลายสิบที่ เขาเองยังหาได้ไม่หมดเลย บางครั้งกลับเป็นตัวเขาเองที่หลงอยู่ในเหมือง และต้องอดข้าวไปประมาณ 3 วันเพราะความไม่รอบคอบ จึงถูกกับดักตกลงไปในหลุม....

    ถึงหน้าประตูแล้ว ประตูถูกล็อคอยู่ เขาหยิบลวดแข็งที่อยู่ในเสื้อกั๊กออกมาแล้วเริ่มสะเดาะกลอนที่อยู่ด้านใน ไม่นานนัก...

    “แอ๊ดดด..........!!!” เสียงประตูที่ไม่ได้ลงน้ำมันถูกเปิดออก ข้างในยังมืดเหมือนเดิม แต่คราวนี้เขาไม่หยิบคบเพลิงเหมือนทีน่า แต่เอาหมวกกรรมกรที่มีไฟฉายอยู่บนหมวกมาสวมแทน แล้วเดินตามทางไปเรื่อยๆ ในใจก็ครุ่นคิดว่า ถ้าเกิดว่าพาเธอออกมาได้แล้วพาไปหาเอ็ดการ์ พวกจักรวรรดิจะต้องเบนเป้าไปที่ปราสาทฟิกาโร่แน่ๆ ซึ่งมันเสี่ยงต่อแผนการของกลุ่มต่อต้านอยู่...

    เดินไปข้างหน้า คิดไปคิดมาๆ ก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้หลายๆอย่าง

    เธอคนนี้เป็นคนแบบไหน....?

    ทำไมพวกจักรวรรดิต้องการตัวเธอนักหนา.....?

    และเกิดอะไรขึ้นในคืนเมื่อวานนี้....?

    พลันสายตาของเขาที่เห็นอยู่ข้างหน้า....

    หลุมขนาดใหญ่มีความกว้างประมาณเมตรหนึ่งเห็นจะได้ปรากฏอยู่ข้างๆกำแพง “เหอะๆๆๆ เจอทางลับอีกทางแล้ว...” คิดหัวเราะอยู่ในใจ ล็อคเดินเข้าไปใกล้แล้วก้มลงไปดู

    ร่างของทีน่านอนนิ่งไม่ไหวติงอยู่ตรงข้างล่าง ‘น่าจะใช่เธอคนนี้แน่ๆ’ เขาคิด แลซ้ายแลขวาหาเครื่องมือที่สามารถทำให้โรยตัวลงไปข้างล่างได้ เพราะถ้าหาทางลงไปชั้นล่างตอนนี้คงไม่ทันการณ์แน่ ‘ขออย่าให้ทางจักรวรรดิเจอทางลับลงไปเลย’ ภาวนาอยู่ในใจ

    มีเชือกยาวๆอยู่ตรงมุมทางเดิน เห็นดังนั้นจึงเอาเหล็กแหลมขนาดใหญ่ปักดินแล้วเอาฆ้อนปอนด์ในนั้นตอกไป 3-4 ทีให้แน่น เสร็จแล้วเอาเชือกนั้นผูกกับแท่งเหล็กแล้วโรยตัวลงไปรับทีน่าข้างล่าง “แหม่ พวกมันก็ช่างโง่จริงๆเล้ย...” ล็อคแอบด่าพวกจักรวรรดิ

    เมื่อถึงด้านล่างแล้ว ล็อครีบไปประคองตัวทีน่าดู เธอมีบาดแผลหลายอย่าง ตัวร้อน มีไข้ขึ้นสูงและยังไม่ได้สติ โชคดีของเธอที่ไม่มีอวัยวะส่วนไหนหักไป ล็อคดูด้วยความสงสาร จึงเอาผ้าในกระเป๋าเป้มาชุบน้ำสะอาดในอ่างล้างมือที่อยู่ใกล้ๆกันมาเช็ดหน้าเช็ดตาให้ทีน่า แต่เธอก็ยังไม่ฟื้น ล็อคก็ปล่อยเธอนอนลงกับพื้นที่เขาได้ปูผ้ายาวที่เขาเก็บมาเมื่อกี้ไว้แล้ว

    มีเสียงเปิดประตูอยู่ใกล้ๆที่เขานั่งอยู่.....!!!

    เขาหาที่หลบซ่อนไม่ได้แล้ว เขาไม่เคยลงมาถึงชั้นล่างของเหมือง เลยไม่รู้ทางหนีทีไล่ในชั้นนี้

    “ต้องเป็นพวกมันแน่ๆ...!”

    ล็อคหยิบมีดมาถือในมือไว้อย่างกระฉับกระเฉง เตรียมพร้อมที่จะสู้กับพวกมัน “เข้ามาเลย....มีกี่คนก็จะสู้...!!”

    พวกมัน 3-4 คนเดินเข้ามาในระยะสายตาของเขา “เจอแล้ว อยู่ตรงนี้นี่เอง เราได้ตัวเธอแล้ว.....”

    “อย่าหวังให้ยากเลย.....ถ้าจะเอาตัวเธอไป ผ่านข้าให้ได้ก่อนสิ....!!” ล็อคตะโกนท้าท้าย หัวหน้านายทหารที่อยู่ข้างหลังทหารเลวนั้นเดินออกมาข้างหน้า “อ้อ....อยู่นี่เองสินะ ล็อค โคล หัวขโมยที่ทางการเราต้องการตัวในขณะนี้.....ดี!! ยิงปืนนัดเดียวได้นก 2 ตัวเลย.....”

    “ข้าไม่สนหรอกว่าเรื่องของข้าจะเป็นอย่างไร แต่แกเอาตัวผู้หญิงคนนี้ไปไม่ได้...!! และอีกอย่าง ข้าไม่ใช่หัวขโมย จำไว้!!!” ล็อคตะโกนอีกครั้ง ความรู้สึกของเขาตอนนี้ไม่เหมือนกับตอนอยู่ในบ้านของอาร์วิสเลย “ฆ่าข้าไปก่อน....แล้วถึงจะได้ไป..!!”

    “เมื่อเจ้าต้องการเช่นนั้น......อืม.....ไม่ได้หรอก เพราะถ้าเจ้าตายไป ข้าเองก็ชวดเงินรางวัลค่าหัวสิ.... ทหาร!!! จับมันเป็นๆ...!!”

    ขาดคำทหารที่เหลือก็พุ่งเข้าใส่ล็อคด้วยดาบยาวทั้งหมด แต่.....

    มีลูกธนูถูกยิงมาจากที่ไหนที่หนึ่ง ปักลงหน้าผากของทหารคนนึงที่พุ่งเข้ามา ล้มลงไปในทันที....

    ล็อคมองไปที่วิถีของลูกธนูนั้น

    “คู......โป.....คูโป” อสูรสีขาวมีปีกสีชมพูตัวหนึ่งพร้อมบริวารของมันอีก 7-8 ตัวออกมาจากที่ซ่อน ล็อคงุนงงมากว่านี่คือตัวอะไร...

    “คูคูโป......คู......คู......โป.....” มันส่งเสียงอีกครั้ง พรรคพวกส่วนหนึ่งวิ่งกระโดดเหยงๆมาดูอาการทีน่าพร้อมปฐมพยาบาลให้ในขั้นตั้น ส่วนที่เหลือนั้นออกมายืนข้างล็อค

    ‘นี่คืออะไรกันเนี่ย.....เจ้าพวกนี้มาช่วยเราหรือ......’ เขาคิด ในขณะที่พวกทหารที่กรูเข้ามาเมื่อกี้ก็ดูชะงักไปชั่วขณะ

    “หยุดทำไม!! จับมันสิ!!” เสียงหัวหน้าทหารตะโกนสั่งมาอีกครั้ง ทหารเลวเริ่มพุ่งเข้าใส่อีกครั้ง ล็อคโดดหลดคมมีดไปได้แบบฉิวเฉียด แล้วก็ขว้างมีดที่เขาเหน็บไว้ข้างสะโพกด้วยมืออีกข้างนึง แต่ก็พลาดเป้าเหมือนกัน

    เหล่าอสูรตัวน้อยเริ่มลงมือ แต่ละตัวก็ถืออาวุธที่หนักๆไม่แพ้กัน เป็นต้นว่า ดาบ ฆ้อน ขวาน กระบอง ธนู พวกมันสามารถใช้งานได้เหมือนมนุษย์ธรรมดาเลยทีเดียว

    “คู...........!!!” เสียงตัวนึงกระโดดเอาขวานจามที่ตัวของทหาร โดนเข้าไปที่แขนแบบถากๆ มีเลือดไหลออกมา ส่วนตัวอื่นๆก็แบ่งช่วยกันโจมตีทหารคนอื่นๆ

    ล็อคเองก็สู้เคียงคู่พวกอสูรพวกนี้ไป พลางคิดว่าอสูรพวกนี้คือตัวอะไรกันแน่ คิดไปคิดมา ลุงของเขาเองเคยเล่าให้ฟังว่ามีอสูรใจดีอยู่ในเหมืองนี้เป็นจำนวนหนึ่ง ที่อยู่ของมันลึกลับมาก ไม่ค่อยมีคนได้พบเห็นเท่าไร แต่เวลาที่มีใครเดือดร้อนในเหมืองแห่งนี้ พวกมันจะออกมาช่วยคนที่อยู่ในเหมืองทันที......แต่ลุงเองก็ไม่ได้บอกชื่ออสูรพวกนี้กับเขา

    “คูโป.............!!” เสียงอีกตัวตะโกนมาทางล็อค เตือนให้หลบ ดาบบูเมอแรงเฉียดหน้าเขาไปนิดเดียว

    หัวหน้าทหารก็เริ่มออกอาวุธบ้างแล้ว.....

    “คูโปๆ..........!!” เจ้าอสูรตัวหนึ่งยิงธนูไปที่หัวของเจ้าหัวหน้าที่กำลังเดินเข้ามา แต่ก็ถูกจับลูกธนูเอาไว้ได้ แล้วก็ถูกหักกลางไป....

    “ย้ากส์....!!” ล็อคกระโดดพุ่งตัวเข้าไปพร้อมกับเงื้อมีดจะทิ่มที่หัวไหล่ของมัน แต่กลับโดนหมัดสวนกลับมาเต็มๆ “อูยยย.....”

    “อย่างแกน่ะ ล้มข้าไม่ได้หรอก มันคนละชั้นกัน ข้าน่ะเป็นทหาร ส่วนแกน่ะเป็นโจร เห็นๆกันอยู่ว่า.....”

    “ข้าไม่ใช่โจร!!!!!!!!!!!!!!!” ด้วยความโกรธแค้น ว่าเสร็จก็เอามีดพกข้างเอวที่อาบยาพิษผีเสื้อยักษ์ไว้ขว้างไปที่มันอีกครั้ง โดนที่แขนเข้าอย่างจัง “อุ๊บส์.....!!!”

    “คู......โป.......” มีเสียงออกมาจากอสูรตัวนึง มันกำลังโดนทหารเลวเอามือกดหน้าลงกับพื้น

    “หนอย!!! ฮึบ!!!” มีดพกอีกเล่มก็ถูกขว้างไปเช่นกัน คราวนี้พุ่งเสียบหัวเต็มๆ ทหารนายนั้นตายทันที ทำเอาทหารคนอื่นๆโกรธแค้นขึ้นมากกว่าเดิม แต่ก็ไม่วายที่แต่ละคนจะโดนธนูไฟ กระบองหนาม และอาวุธอื่นๆเข้าไป พวกมันสู้อสูรน้อยไม่ได้เลย

    “แก........!! ฮึ่มม ข้าไม่เอาตัวแกแล้ว แต่จะเอาชีวิตแทนล่ะ...!!” เจ้าหัวหน้าโกรธจัดเป็นฟืนเป็นไฟ ในขณะที่ตัวมันเองก็กุมแขนขวาที่ถูกมีดปักเข้าไป แล้วก็ดึงมีดออกมา แผลตรงนั้นก็เกิดเป็นฟองสีเขียวๆ และเนื้อเหวอะหวะก็ปรากฏให้เห็นชัดขึ้น

    “เป็นยังไง นี่ไงล่ะคือคนละเกรดกัน.....” ล็อคยิ้มแสยะให้

    “เตรียมตัว.....!!”

    “คู.......โป........คูโป.....” เจ้าหัวหน้าอสูรออกมาข้างๆล็อค ล็อคหันมาดูแล้วทำนิ้วชี้ส่ายไปมาเหมือนกับบอกว่า ‘ชั้นจัดการเอง’ เจ้านั่นก็เลยกระโดดเหยงๆไปช่วยตัวอื่นที่กำลังสู้กับทหารที่เหลืออีกคนเดียว

    “ตัวต่อตัวแล้ว ย้ากสสสส์!!!” ล็อคกระโดดเข้าโจมตีอีกครั้ง หัวหน้าทหารก็เงื้อดาบจะฟัน แต่ล็อคเอี้ยวตัวกลางอากาศหลบได้หวุดหวิด เมื่อลงสู่พื้นได้ล็อคคว้าเอาคบเพลิงที่ได้นั้นจุดไฟในเตาหลอมแร่ที่อยู่ในนั้นขึ้น แล้วโยนมีดเล่มหนึ่งไปใกล้ๆเตา

    “แกกลัวหนาวตายหรือวะ......ถึงต้องจุดไฟ.....หรือว่านั่นเอาไว้ขู่....ฮ่าๆๆๆ”

    “เดี๋ยวแกจะได้รู้เองแหละ......ย้ากสส์!!!” คราวนี้วิ่งไปข้างหน้าพร้อมกับถือมีด 2 มือ “เจ้าโง่!! วิ่งเข้ามาเพื่ออะไร....” แล้วก็ถูกดาบฟันเข้าไปที่สีข้าง เลือดไหลอาบเป็นทาง “โอยยยย.....”

    “ประมาทข้าไปหน่อยมั้ง.....ล็อค ถึงข้าจะไม่คล่องแคล่วเหมือนเจ้า แต่ก็ยังมีสมองอันปราดเปรื่องที่ไม่วิ่งเข้าหาศัตรูที่อยู่ตรงหน้าหรอก....”

    ล็อคกุมที่สีข้างด้วยความเจ็บปวดจนจะยืนไม่ไหว แต่ยังยิ้มแล้วหยิบมีดที่อยู่ใกล้เตาออกมา พูดออกมาต่อ “ที่ประมาทน่ะแกต่างหาก..!!”

    ว่าเสร็จก็วิ่งเข้าไปอีกครั้ง..... “เข้ามาอีกทีก็เหมือนเดิม......ตายซะ!!”

    เจ้าหัวหน้าเงื้อดาบสูงมากแล้วฟันลงที่ตัวล็อค แต่เขากลับโดดหลบได้อีกครั้ง “คนที่จะตายน่ะ คือแก.....!!! รับไป....!!” ว่าเสร็จก็ขว้างขวดยาขวดหนึ่งไปที่ร่างของมันแล้วขว้างมีดที่เก็บมาในแทบจะเวลาเดียวกัน

    ประกายไฟลุกท่วมตัวทันที.......!!!

    “โอย!!! อะไรกันเนี่ย ช่วยด้วย...... ทหาร ช่วยข้า.......ด้วย....”

    แล้วก็ล้มลงสิ้นใจลงไป เพราะไม่มีทหารคนไหนหลงเหลืออยู่อีก แน่นอน เป็นฝีมือของอสูรน้อย....

    ล็อคแทบจะหอบกินในทันทีเมื่อล้มเจ้านั่นได้....

    “เฮ้อ....ขวดสุดท้ายเลยนะนั่นน่ะ...” เขาหมายถึงขวดยาน้ำมันดอกลาเวนเดอร์ผสมกับปีกของลูกคิเมร่าที่เขาคิดค้นขึ้นมา ซึ่งมีอานุภาพแรงกว่าน้ำมันกลจักรทั่วๆไป คือ แค่โดนของร้อน ก็สามารถติดไฟได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องเป็นเปลวไฟ.... “ต้องเหนื่อยไปสู้กับมันอีกหรอเนี่ย....!” หมายถึงลูกคิเมร่าที่น่ากลัวพอๆกับพ่อแม่ของมันเลย

    “คู.........โปๆๆ” เสียงพวกมันร้องเรียกมาที่ล็อค เขาหันหน้ามาดูแล้วพูด...

    “ถึงพวกแกจะฟังชั้นไม่รู้เรื่อง แต่ก็ขอบใจนะที่มาช่วยชั้นและเธอพ้นจากอันตราย” แล้วก็ลูบหัวอย่างเอ็นดู เจ้าตัวที่โดนลูบหลับตายิ้มและหัวเราะออกมา “คู.ๆๆๆ..ๆ โป คูโปๆๆ” แล้วก็กระโดดเหยงๆไปดูทีน่าที่ยังไม่ได้สติร่วมกับพรรคพวกอีกหลายๆตัว บางตัวก็คอยช่วยเอาผ้ามาเช็ดตัว เอาสิ่งของมาพัดเป็นลมเพื่อให้เกิดความเย็น ล็อคเห็นแล้วอดทึ่งไม่ได้ว่าเจ้าพวกนี้ทำไมช่างเหมือนมนุษย์นัก

    แต่เมื่อนึกอีกทีแล้วเขาไม่ควรที่จะมาเสียเวลาตอนนี้อีกต่อไป อีกอย่าง พวกเขาต้องหลบหนีให้เร็วที่สุดอีกครั้งก่อนที่จะมีใครจะลงมาที่ชั้นล่างอีก ไม่งั้นเขาก็คงอาจจะสลบเหมือนกับทีน่าแล้วจะเป็นอย่างไรต่อไปก็ไม่รู้...

    “เอ.....มันต้องมีทางลับที่จะออกไปจากตรงนี้บ้างสิ” เขาคิด เดินไปทั่วๆห้องก็ยังไม่เจอทางลับตรงไหนเลย เดินผ่านหัวมุมทางเดินไปก็เป็นทางตัน ไม่มีสิ่งของมากมายเท่าไรที่พอจะบอกว่าตรงนั้นหรือตรงนี้เป็นทางลับออกไป..... “อูยยย....!” เขาเริ่มเจ็บที่สีข้างอีกครั้ง

    “คู.....โปๆๆๆ” เจ้าอสูรตัวหนึ่งยื่นผ้าพันแผลให้ “ขอบใจอีกครั้งนะ....” เขายิ้มแล้วก็รีบถอดเสื้อกั๊กและเสื้อกล้ามด้านในออก แล้วรีบเช็ดเลือดด้วยผ้า ก่อนที่จะพันด้วยผ้าพันแผลตามอย่างรวดเร็ว

    ล็อคสังเกตได้ถึงความผิดปกติของสิ่งของบางอย่างในห้องนี้.....แต่ในทันทีที่ได้เห็น...

    ทีน่าค่อยๆลืมตาขึ้นมา “อูยยย.....เจ็บ......” เสียงเธอร้องอย่างเจ็บปวด พวกอสูรตัวน้อยดีใจกันยกใหญ่ “คูๆๆๆๆๆ โป..............คูโปๆๆ” แล้วกระโดดวิ่งไปรอบๆตัวของทีน่า เธอยังไม่รู้สึกตัวเท่าไรนัก

    “ฟื้นแล้วหรอ.....อ่ะ..นี่ดื่มซะ...” ยื่นขวดน้ำที่เอาออกมาจากเป้ให้ทีน่า เธอรับมาแล้วค่อยๆดื่มมัน ก่อนที่จะปิดฝาแล้วยื่นส่งคืนให้ล็อค “พวกมันไปไหนแล้ว....? แล้วชั้นอยู่ที่ไหนกันเนี่ย....?” เธอถาม

    “พวกมันตายหมดแล้ว....นี่ไงล่ะ” ชี้ไปที่ซากศพของพวกทหาร ทีน่าตกใจทันที “ตายแล้ว...! ทำไมมีคนตายด้วยล่ะ..?! เธอ.....เป็น.....คนฆ่า.....พวกมันหรือ...?”

    “โธ่เธอ...! ถ้าชั้นไม่ฆ่าพวกมันนะ ป่านนี้ชั้นโดนจับไปขังคุก ส่วนเธอก็คงจะถูกพวกมันจะจับไปทำอะไรชั้นก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ชั้นไม่ได้ช่วยเธอเท่าไหร่หรอก ถ้าจะขอบคุณชั้นน่ะ ไปขอบคุณพวกนั้นเถอะ....” ชี้ไปที่พวกกลุ่มเจ้าตัวน้อยอีกครั้งที่กำลังวิ่งเล่นสนุกสนาน...

    “คูโป.....คูๆ คูโปๆ” เจ้าหัวหน้ากลุ่มส่งเสียงมาที่ทีน่าอีกครั้ง เธอค่อยๆคลานเข้าไปที่ตัวของมันแล้วเริ่มพูดภาษาเดียวกัน.....

    “โปๆๆ คูโปๆ คู.........”

    “คูโปๆ คู.......โปๆ คูโปๆ วี๊ด........” แล้วทั้งหมดก็วิ่งพากันไปตั้งแถวหน้ากระดาน ล็อคเกิดอาการงง.....

    “คูโปๆ คูๆๆๆๆ คูโป โป คูโปๆ........คู”

    “นี่เธอพูดโต้ตอบกับพวกมันหรอเนี่ย.....?” ล็อคถาม “อื้ม ใช่แล้ว...” เธอหันหน้ากลับมาตอบ

    “เธอพูดกับพวกมันได้ยังไงน่ะ.....? ชั้นเองยังฟังไม่ออกเลย....”

    “ชั้นเองก็ไม่รู้เหมือนกัน มันมีความรู้สึกเหมือนกับว่าชั้นสามารถพูดคุยกับพวกมันได้โดยที่ต่างฝ่ายก็รู้เรื่องกัน....”

    “แล้วเธอรู้เรื่องอะไรบ้างล่ะ.....” เขาถามแบบอยากรู้แกมประชด เธอไม่ตอแยด้วย แต่กลับตอบไปตามตรงแบบไร้เดียงสา

    “พวกมันบอกว่า พวกมันคืออสูรมูเกิ้ล ปกปักรักษาเหมืองนี้มานานกว่าหลายปีมาแล้ว ที่ต้องลงมาอยู่ชั้นล่างก็เพราะว่าพวกมนุษย์น่ะชอบจับพรรคพวกของมันไปเลี้ยง และเอาไปออกงานรื่นเริงบ่อย เลยต้องหนีลงมาข้างล่างนี้ แล้วพวกนี้นี่แหละ เป็นตัวต้นติดที่สร้างทางลับขึ้นมามากมายเลยหล่ะ....”

    ล็อคไม่กล้าที่จะประชดเธออีก ดูไปแล้วเธอคนนี้ก็รักสัตว์และสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีพิษมีภัยกับมนุษย์นะ.....

    ‘น่าชื่นชมจิงๆ........’ เขาคิด

    “พวกมันยังบอกอีกว่า ว่างๆถ้าเจอกันอีกครั้งจะพาไปดูที่อยู่ของพวกมัน แต่เราต้องสัญญากับมันก่อนว่าจะไม่บอกเรื่องนี้ให้ใครรู้อีก นอกจากเรา 2 คน...”
    ทีน่าบอกหลังจากคุยกับพวกมูเกิ้ลแล้ว ล็อคเดินเข้าไปหาเจ้าตัวหัวหน้าแล้วลูบหัว “ตกลง ชั้นสัญญา.....” เจ้านั่นหัวเราะคิกคัก

    ทั้งหมดพากันโค้งแล้วบ๊ายบายให้กับทั้งสอง แล้วก็เดินเข้าไปยังโพรงที่พวกมันออกมาตอนแรก

    “น่ารักดีเนอะ....ชั้นไม่เคยเห็นมันมาก่อนเลย....” ทีน่าพูดชมหลังจากนั้น

    “อืม...... ต่อไปก็เป็นเรื่องของเราแล้วล่ะที่จะต้องออกไปจากที่นี่....”

    “โอว...ลืมไปเลย อาร์วิส! เอ....หรือเธอคือ....”

    “ใช่.....ลุงส่งชั้นมาเพื่อที่มาตามหาเธอน่ะแหละ....” พลางยืดอก ทำเอาทีน่าหัวเราะชอบใจ “ฮิๆๆๆ จริงเหรอเนี่ย.....เธอเนี่ยดูตลกจังนะ....” ล็อคเขินหน้าแดงพลางหงุดหงิดเล็กน้อย

    “แล้วคราวนี้เราจะออกไปจากที่นี่ยังไงดี....?” เธอถามขึ้น ล็อคเองก็ตอบไปตามที่ตัวเขาเองรู้ “ที่นี่คือส่วนของทางลับ ชั้นเองก็ไม่เคยมาถึงตรงนี้เหมือนกัน.....”

    “หา...!! ว่าไงนะ ..... แล้วเราจะออกกันไปยังไงดีเนี่ย.....มืดก็มืด....” เธอบ่นกระปอดประแปด ทำเอาล็อคตอนนี้เริ่มหงุดหงิด แต่ก็ยังเดินสำรวจรอบๆบริเวณ ‘มันน่าจะมีสวิทช์หรือคันโยกที่ไหนที่นึงสิ.....’

    แล้วก็นึกได้ว่าเจออะไรเข้าก่อนที่ทีน่าจะฟื้นขึ้นมา.....

    ล็อคเดินไปยังของชิ้นที่ที่ติดอยู่บนผนังถ้ำ.... ไม่ใช่คบเพลิง ไม่ใช่แผงเครื่องมือ แต่เป็นเชิงเทียน ‘แปลกมาก....เพราะคนในเหมืองไม่ใช้เทียนกันนี่หว่า.....’ ว่าแล้วก็สับเชิงเทียนลง.....

    ประตูหินที่อยู่ทางด้านขวามือของเขาถูกเลื่อนขึ้นไปข้างบนเหมือนมีอะไรดึงขึ้นไป มองเข้าไปเป็นทางยาวไปทางด้านซ้ายต่ออีก....

    ทีน่าเองก็แอบชื่นชมล็อคอยู่ในใจ เธอเองเมื่อแรกเห็นก็พบแล้วว่าผู้ชายคนนี้ต้องปกป้องเธอได้แน่ๆ เธอคิด ด้วยความเฉลียวฉลาดของล็อคนั่นเอง “เก่งจังเลย....เธอฉลาดมากๆ รู้เปล่า....?”

    “เหอๆๆ ชั้นใช้สมองที่ชั้นมีมาตลอดในการแก้ปัญหาแหละ....แล้วยังใช้ในการดำรงชีวิตด้วยนะ....” ยิ้มให้ทีน่าอีกครั้งนึง

    “เธอคงจะเป็นโจร.....หรือไม่ก็นักขุดสมบัติละสินะ.....”

    “บ้าหรอ..! อย่ามากล่าวหาว่าชั้นเป็นโจรนะ ชั้นเป็นนักล่าสมบัติต่างหาก” หัวเสียทันทีที่ทีน่าพูดเช่นนั้น ทีน่าหัวเราะเบาๆ “โธ่....! ชั้นล้อเล่นหรอกน่า อย่าโกรธกันเลยนะ....” พลางลุกขึ้น แต่.....

    เธอเกิดอาการปวดหัวขึ้นมาอีกครั้ง เธอเซจนจะล้มลงไปกองกับพื้น “อูยยยยย........”

    ล็อครีบเข้าไปประคองตัวทีน่าแนบแขนเขาไว้ “เป็นอะไรไป....?”

    “ชั้นแค่......ปวดหัว......นิด.....หน่อยน่ะ.....” เธอหมดเรี่ยวหมดแรงอีกครั้ง ล็อคจับเธอขี่คอโดยไม่หวั่นเลยว่าตัวเธอจะหนักเท่าไรก็ตาม สิ่งที่คิดได้ตอนนี้คือ ยังไงๆก็ต้องพาเธอหนีออกไปก่อนให้ได้....

    “ถึงชั้นจะยังไม่รู้จักเธอเท่าไรในตอนนี้นะ แต่เมื่อชั้นต้องช่วยเธอแล้ว ไม่ว่ายังไงก็ตาม ชั้นจะปกป้องเธอเอง จนกว่าความทรงจำเธอจะกลับมา ไม่ว่าจะนานแค่ไหนก็ตาม.....” ล็อคพูดขณะที่กำลังวิ่งเหยาะๆไปตามทางเรื่อยๆ

    “ขอบ......คุณ.......” แล้วทีน่าก็สลบไป....

    “บ้าเอ๊ยยยย......” ล็อคพยายามวิ่งให้เร็วกว่านั้น แต่ก็ไม่เร็วไปจนทำให้ร่างกายเธอบอบช้ำไปมากกว่านี้

    มีแสงเล็กๆเล็ดลอดออกมาจากข้างหน้า เขารีบสืบเท้าไปเรื่อยๆก็เจอกับประตูๆหนึ่ง

    “เจอแล้ว ไชโย...!! ทางออก....” เขาเดินไปที่ประตู แล้วจัดการเอากลอนออกแล้วเปิดออกมา สิ่งที่เห็นคือเขาอยู่ตรงริมทางเดินตรงหน้าหมู่บ้าน..... “เรารอดแล้ว......เอาล่ะ.....ไปแล้วนะลุง....” มองไปที่หลังหมู่บ้านอีกครั้งแล้วรีบวิ่งไปโดยที่ไม่มีทหารจักรวรรดิคนไหนมองเห็นเลยสักคน......

    --------------------------------------------------
  5. nintendo

    nintendo นักข่าว

    EXP:
    139
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    ฮือๆๆ มาต่อแล้วเหรอครับ บอร์ดเก่าผมรอตอนต่อแทบตาย หายจ๋อยไปเลย อย่้างเศร้า

    Final Fantasy 6 ห้ามตายนะครับ ขอส่งกำลังใจไปให้ทั้งหมดเลย ตอนต่อจงออกไวๆ ตอนต่อจงออกไวๆ

    ตอนต่อจงออกไวๆ ฟู่วๆๆ (เหม็น) ขอบคุณที่มาต่อครับผม
  6. yoshiki

    yoshiki FATE

    EXP:
    862
    ถูกใจที่ได้รับ:
    17
    คะแนน Trophy:
    38
    กร้ากๆ นึกว่าจะไม่อ่านต่อซะแย้ว สู้คับเพ่ รออ่านอยู่เด้อ
  7. hannover96

    hannover96 New Member

    EXP:
    881
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    Chapter 5 : Protect Her!!

    เส้นทางที่ออกจากนัลเซไปนั้นเต็มไป ต้นเส้นทางนั้นก็ยังเต็มไปด้วยพวกซากเครื่องมือที่คนงานในเหมืองนั้นไม่ได้ใช้แล้วกองเต็มไปหมด ธรรมดาถ้าเป็นเวลาที่เขาว่างๆ เขาจะลงมือค้นขยะพวกนี้ดู เผื่อว่าจะเจออะไรที่สามารถนำไปประดิษฐ์เป็นของอื่นๆได้บ้าง หรือไม่ก็เก็บไปให้เพื่อนของเขาอีกคนนึงที่เป็นนักประดิษฐ์เหมือนกัน แต่ในเวลานี้หรือ..... “อืม เอาไว้ก่อนและกันนะ...” เขาคิดในใจ

    ในความกดดันจากด้านหลังที่เขาต้องแบกทีน่าที่ยังไม่ได้สติ ทำได้ตอนนี้ก็แค่เดินเหยาะแหยะๆไปเรื่อยๆ “คงน่าจะปลอดภัยแล้วแหละ...ให้ตายก็หาไม่เจอแล้ว ฮ่าๆๆๆๆ.....!!” แอบหัวเราะเยาะพวกจักรวรรดิ แต่เขาก็ยังคงเดินต่อไปเรื่อยๆ “อืมม......เส้นทางไปฟิกาโร่...?? อืม......” เกิดลืมเส้นทางขึ้นมาในทันที ด้วยความที่ไม่อยากคิดอะไรมากจึงหยิบเอาแผนที่จากในเสื้อกั๊กออกมาดู

    เขาต้องผ่านป่าแมงมุมก่อน.....”ออๆๆ....จำได้แล้ว” ว่าแล้วก็หยิบกระดาษขึ้นมาอีกแผ่นหนึ่ง แผ่นนี้เป็นส่วนของส่วนผมสในการปรุงยาพิษต่างๆ แน่นอน เมื่อเข้าไปป่าแล้ว เขาก็ต้องเจอกับอสูรหรือสัตว์ร้ายๆต่างๆแน่นอน เพื่อไม่ให้เสียเที่ยว จึงต้องศึกษาก่อนว่าเขาสามารถได้อะไรกลับออกไปจากป่าหรือสถานที่ทุกๆแห่งบ้าง....

    วิญญาณนักล่าสมบัติจริงๆ......

    เขาเดินมุ่งหน้าไปเรื่อยๆ รอบๆตัวก็เริ่มจะปรากฏให้เห็นต้นไม้น้อยใหญ่ๆขึ้นทุกทีๆ เขาเริ่มเตรียมตัวอีกครั้งโดยการถือมีดคู่ใจออกมากำไว้ที่มืออีกครั้งนึง แล้วเดินเข้าป่าไปตามเส้นทางเรื่อยๆ...

    ป่าแห่งนี้เมื่อก่อนเคยมีคนเข้ามาหาสิ่งของและวัตถุดิบมากมายหลายชนิด เช่น เห็ด ลูกแพร์ รวมไปถึงพวกสัตว์ต่างๆ เช่น กวาง กระต่าย หมูป่า แต่ไม่นานมานี้ เหล่าคนเก็บของป่าก็ต้องหนีออกจากป่านี้กันหลายคน เพราะมีสิ่งประหลาดอาศัยอยู่....

    ล็อคมองซ้ายมองขวาไปเรื่อย ป้องกันอันตรายที่จะเข้ามาทุกเมื่อ....

    แบกทีน่าไปตามทางจนเจอกับบ้านร้างหลังหนึ่ง สภาพบ้านยังดูดีอยู่ ไม้ที่สร้างเป็นตัวบ้านนั้นก็ดูแข็งแรง แถมประตูยังเปิดอ้าไว้อีกต่างหาก “ดี.....ไม่เหนื่อยแรงสะเดาะประตูล่ะ....”

    ล็อคเดินเข้าไปในบ้านหลังนั้นทันที สภาพข้างในนั้นน่าจะไม่มีคนอยู่มานานแล้ว มีโต๊ะกับข้าวกับเก้าอี้อีก 2 ตัวรวมไปถึงตู้เสื้อผ้าไม้ เตียงนอนที่ไม่มีฟูก และหยากไย่บนเพดานมากมาย เขามองไปรอบๆตัวอีกครั้ง ฉวยได้ไม้กวาดแล้วก็ปล่อยทีน่าให้นอนอยู่ที่เตียงอย่างสบายๆ เธอยังไม่ฟื้นขึ้นมาเลย

    ล็อคเริ่มทำความสะอาดทั้งข้างบนและพื้นบ้าน “โอยยย.....ฝุ่นเยอะจังเลยเว้ยย....” เขาเอาผ้าพันคอของเค้าขึ้นมาปิดจมูกตัวเค้าเอง แล้วเอาผ้าสะอาดที่อยู่ในเป้มาปิดที่หน้าของทีน่าไว้เพื่อไม่ให้ฝุ่นเข้า

    ไม่นานนักก็ทำความสะอาดเสร็จ บ้านสะอาดขึ้นในระดับหนึ่ง “แหม่......ทำไมตอนอยู่บ้านเราไม่ทำอย่างงี้มั่งฟะ..!!” นึกแล้วมองไปที่ทีน่าแล้วก็ขำ คงเป็นเพราะได้อยู่กับหญิงสาวที่ถูกชะตาด้วยหรือเปล่า...?

    เป็นเวลาค่ำมืดแล้ว เขาใช้เวลาเดินทางมาจากนัลเซได้ประมาณ 5 ชั่วโมงแล้ว... ตอนนี้เป็นเวลา 20.35

    ล็อคตรวจสอบดูในบ้านแล้วแทบไม่พบของกินอะไรเลย พบก็แค่ขนมปังก้อนหนึ่งที่ขึ้นราเขียวๆทั่วก้อน แน่นอนมันย่อมไม่น่ากินแน่ๆ

    “มืดแล้วด้วยสิ จะออกไปหาอะไรกินดี เอ.......” เขานึกว่ามืดอย่างงี้แล้วจะเก็บอะไรมากินประทังหิวดี พลางจุดไฟในเตาผิงขึ้นเพื่อให้ความอบอุ่นก่อนที่ความหนาวเย็นในตอนดึกจะเริ่มโจมตี

    ทีน่ายังไม่ฟื้นขึ้นมาเลย......

    ล็อคเองก็ดูแลรักษาเต็มที่ ทั้งเช็ดตัว ห่มผ้า เอาผ้าชุบน้ำโปะหน้าผาก เค้าเองไม่อยากให้เธอต้อง ‘สูญเสีย’ อะไรไปมากกว่านี้....

    คนหัวอกเดียวกันย่อมเข้าใจกันดี...

    เขาเปลี่ยนผ้าเช็ดหน้าที่โปะหน้าให้ทีน่าอีกครั้งก่อนที่จะหยิบมีดพกแล้วเดินออกประตูบ้านไป ข้างนอกนั้นเริ่มหนาวและมืดลงเรื่อยๆ มีเพียงแสงดาวและพระจันทร์เสี้ยวบนท้องฟ้าที่ส่งแสงเพียงน้อยนิดลงมา ล็อคจุดคบเพลิงที่เขาเก็บมาจากในเหมืองเพื่อทำให้บริเวณรอบๆตัวเขาสว่างขึ้น

    สายตาที่มองออกไปตอนนี้มีแต่ความหิวอย่างมาก ทั้งวันตั้งแต่กลับเข้าไปที่นัลเซนั้น แทบจะไม่มีอะไรตกถึงท้องนอกจากน้ำเปล่าขวดนึงเท่านั้นเอง....ล็อคเดินไปข้างบ้านแล้วก้มมองเรื่อยๆ.....

    สิ่งที่สัมผัสได้ตอนนี้คือ กลิ่น.....!!

    มีกลิ่นเลือด ไม่สิ.....กลิ่นน่าจะอยู่ใกล้ๆนี่แหละ.....เริ่มใจคอไม่ดีอีกครั้ง พลางกำมีดแน่น....

    ‘นี่จะต้องเจอศึกอีกแล้วหรอ.....โอยยยย อะไรกันเนี่ย....’

    ส่องแสงลงไปที่พื้นก็พบรอยคราบเลือดไหลเป็นทางเข้าไปยังที่อยู่ลึกเข้าไป ล็อคเดินตามเลือดไปเรื่อยๆ กลิ่นเลือดก็ยิ่งแรงขึ้นๆ จนมาถึงต้นตอของกลิ่น...

    เจ้าแมงมุมยักษ์กำลังลากร่างของใครคนหนึ่งด้วยขาของมัน แล้วมันกำลังจะชักใยขึ้นไปพร้อมกับเอาร่างนั้นขึ้นไปด้วย ล็อคไม่มีทางเลือก จึงขว้างมีดไปสุดแรง

    “ฉึก.....!!” โดนเข้าที่ตรงตัวของมันอย่างจัง มันร้องเสียงหลงแล้วเริ่มปล่อยร่างที่ไร้วิญญาณนั้นลงพื้น พร้อมกับหันมาพร้อมที่จะเล่นงานผู้ที่ทำร้ายมันอย่างเต็มที่ นัยตาของมันแดงก่ำ ล็อคไม่สะทกสะท้านแต่อย่างใด “แหม่....ไม่ได้เจอของดีๆนานและ ขอเล่นกับแกให้คุ้มหน่อยเถอะ...” แล้วเสียบคบเพลิงไว้ที่ต้นไม้

    เขาลงมือโจมตีด้วยมีดที่เค้าถนัดอีกครั้งนึง วิ่งเข้าไปพร้อมกระโดดเข้าแทงเหมือนที่เคยถนัดอีกครั้ง คราวนี้เล็งไปที่ตาแดง... “ย้ากสส์!! “

    “ฉึกกก!!” มันโดนแทงอีกครั้งพร้อมกับพ่นพิษออกมาในจังหวะเดียวกันจากทางปากแหลมๆ “แค่กๆ....! โอยยย.....” ล็อคโดนพิษของมันทางจมูกเข้าไปเต็มๆ พลางต้องกระโดดหลบอีกครั้ง เพราะคราวนี้เกือบจะโดนขาหน้าของมันฟาดเข้าไป ก่อนที่จะหยิบขวดยาจากข้างสะโพกออกมาดื่มเพื่อแก้พิษ “เกือบไปแล้ว ถ้าไม่ได้เอามานี่ยุ่งแน่ๆ....” เขาคิด มันเอาขาหน้าเหวี่ยงมาอีกครั้ง คราวนี้ไม่หลบ ได้แต่เอามีดที่อาบยาพิษไว้เสียบแทงไปที่ขามันในจังหวะเดียวกัน แต่ต้องยอมเจ็บตัวพอสมควร ผลคือโดนเตะออกมาไกลประมาณเกือบ 10 เมตรได้..

    “อูยยย......เกือบหักแน่ะ...” พลางกำที่ข้อศอกที่บวมเขียวอยู่ และเริ่มลามเป็นจ้ำๆ “เอาจริงแล้วนะ จะได้จบๆกันไปซะที!!” เจ้าแมงมุมก็เริ่มมีอาการกระตุกๆเวลาเดินให้เห็น ล็อคเห็นดังนั้น จึงหยิบขวดน้ำยาออกมาอีกขวดหนึ่งมีสีแดง แล้วเขย่าๆ แล้วรวบรวมแรงทั้งหมดที่มีวิ่งเข้าไปหามันอีกครั้ง เมื่อมันรู้สึกดังนั้นจึงพ่นพิษออกทางปาก

    “อย่าอยู่เลยยย!! ย้ากสสสส์....!!” แล้วก็สไลด์ตัวผ่านใต้ท้องพร้อมทั้งขว้างขวดน้ำยายัดเข้าไปในปากของมัน พอลุกขึ้นได้ล็อคกระโจนทันที

    บรึมมมมมม....!!

    เสียงระเบิดออกมาจากที่ปากของแมงมุม เจ้านั่นล้มพับลงไปกอง ตายในทันที....

    “โห.....นี่จะไม่เหลือขวดน้ำยาอาวุธแล้วนะเนี่ย....” ล็อคบ่นเบาๆ เพราะแค่ไม่กี่ชั่วโมง เขาใช้น้ำยาที่คิดค้นขึ้นมาไป 2 ขวดแล้ว น้ำยาที่สร้างขึ้นมานั้นใช้วัตถุดิบที่หายากมาผสมกันหลายอย่าง ขวดนี้ก็เช่นกัน เป็นน้ำยาที่สร้างมาจากเขาของเกรมลินกับเขาของการ์กอยล์ที่นำมาปั่นเป็นผงแล้วนำไปอังไฟให้เป็นเกล็ดแดงๆ แล้วนำมาบรรจุลงขวด เวลาจะใช้ก็แค่เขย่าแรงๆ จะเกิดแรงระเบิดขึ้นเองในระยะเวลาไม่กี่วินาที

    ล็อคเดินไปที่ตัวแมงมุม เอามีดคว้านท้องมันออกดู.... “โธ่....!! ตัวผู้....!! เซ็งเลยเรา....” บ่นเสียดายที่ไม่เจอไข่แมงมุม....

    มีสายตามองมาจากทางด้านหนึ่งแล้ววิ่งหนีไป.... “นั่นใคร...!!” ล็อคตะโกนถาม ไม่มีเสียงตอบกลับมา เขาจึงดึงมีดออกมาจากตาแมงมุมยักษ์พร้อมเตรียมรับมือสิ่งที่เขาไม่รู้ว่าเป็นอะไรอีกครั้ง แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าจะเจอสิ่งนั้นอีกครั้ง เลยเก็บมีดใส่ปลอก แล้วเดินหาของกินแถวนั้นอีกครั้ง ซึ่งไม่เจออะไรเลยนอกจากหน่อไม้และเห็ดตามต้นไม้ที่สามารถกินได้เท่านั้น...

    เขาเดินกลับมาที่บ้านพร้อมกับเห็คโคนจากต้นไม้ที่สามารถกินได้ พร้อมทั้งถั่วป่าที่ขึ้นอยู่บนต้นไม้ซึ่งเขาลงทุนปีนขึ้นไปเก็บเองมาเต็มกำมือ พร้อมทั้งยังแบกหน่อไม้หน่อใหญ่ไว้ที่หลังแล้วใช้แขนดามไว้เดินเอากลับมาด้วย ล็อคนั้นรู้ว่าทีน่าต้องการสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากที่สุด นั่นคือ อาหารและน้ำ ‘เธอจะตื่นหรือยังนะ......’

    เปิดประตูเข้ามาในบ้านอีกครั้งนึง ทีน่ายังนอนหลับสนิทอยู่....ดูเสร็จเขาก็เดินไปสำรวจที่ส่วนของครัวในบ้าน พบแค่หม้อเก่าๆและไม้ขีดไฟกล่องนึง “แหม่...ฟืนเฟินก็ไม่มีเนอะ....” บ่นอีกครั้งแล้วถือหม้อออกไปหลังบ้าน แล้วหาเศษกิ่งไม้มาสุมกันเยอะๆ เขาเลือกกิ่งที่ไม่ชื้นหิมะมากเพราะมันจะจุดไม่ติด เมื่อกองรวมได้แล้วก็เริ่มทำการปักไม้สามง่าม 2 ท่อนลงพื้น แล้วเอาไม้กิ่งที่แข็งๆสอดเข้าไปในหูหม้อ จากนั้นก็ใส่น้ำที่พกมาด้วยลงไป “อืม.....จะได้กินแล้วๆๆ”

    รอจนน้ำเดือดแล้ว ก็เริ่มลงมือเอาวัตถุดิบทั้งหลายแหล่ลงหม้อทันที นึกขึ้นได้อีกเหมือนกันว่าเหมือนเขาจะเห็นช้อนส้อมอยู่ในเป้สะพายหลัง ว่าแล้วก็วิ่งเข้าไปในบ้านเพื่อที่จะไปหยิบมัน

    “กลิ่นอะไรน่ะ.....หอมจังเลย....” เธอตื่นขึ้นมาแล้ว ล็อคดีใจ “ฟื้นแล้วเหรอ คราวนี้แหละเธอจะได้กินอาหารแล้วล่ะ แถมยังเป็นฝีมือชั้นเองอีกด้วยนะ” ยิ้มยิงฟันให้เธอ ทีน่าพยายามลุกขึ้นนั่ง แต่เธอยังมีอาการปวดหัวอยู่ “อูยยย....ที่นี่ที่ไหน?”

    ล็อคกระแอม “อะแฮ่ม....! ที่นี่คือแหล่งกบดานลับของชั้นที่ชั้นใช้ซ่อนตัวเป็นประจำ” แกล้งพูดเล่นเพื่อให้ดูเหมือนว่ามีบ้านเป็นของตัวเองด้วยเหมือนกับคนอื่นๆ แต่ทีน่าขำเบาๆ

    “ทำไมต้องเป็นที่กบดานลับล่ะ? เหมือนเธอต้องคอยหลบๆซ่อนๆ...” ล็อคมองค้อนตาขวาง ทีน่าหัวเราะเยาะเบาๆ เขาเองก็ไม่ได้โกรธอะไรเธอในตอนนี้แล้ว แค่เห็นเธอตื่นขึ้นมาหัวเราะ ยิ้ม แค่นี้ก็เริ่มมีความสุขขึ้นมาเหมือนกัน.... ‘ดีแล้วล่ะ...’ เขาคิด

    “เออ....แล้วคุณลุงเธอล่ะ?” เธอหมายถึงอาร์วิส

    “คือ....ลุงชั้นตอนนี้ยังไม่ว่างที่จะจัดการเรื่องของเธอน่ะ เลยให้ชั้นช่วยพาเธอไปยังอีกที่หนึ่งที่ปลอดภัยกว่านี้ก่อน แล้วลุงจะตามเราไปทีหลัง....” อธิบายสั้นๆ

    “แล้วกว่าจะถึงนี่อีกไกลมั้ย....?”

    “ก็น่าจะเดินเท้าอีกไม่ไกลหรอก....” มองออกไปนอกหน้าต่างบ้านไปทางปราสาท เขาคำนวนไว้ทุกอย่างแล้วว่าจะต้องออกเดินทางในตอนไหน เพราะการที่ไม่มีการวางแผนอะไรเลย อาจทำให้ถูกซุ่มโจมตีจากบุคคลไม่พึงประสงค์ ทั้งจักรวรรดิ ทั้งสัตว์ร้าย หรือกระทั่งสายตาที่ได้เห็นเมื่อตอนอยู่นอกบ้านก็ตาม....

    “อืม.....หิวจังเลย......” ทีน่าโอดครวญเพราะเริ่มท้องร้อง ล็อครีบกุลีกุจอหาถ้วยมาตักอาหารที่ทำขึ้นมา “เอาล่ะ แอ่นแอ๊นนน!! นี่คือ ซุปอาหารป่า......ทานซะ” แล้วบรรจงวางต่อหน้าเธอ แต่เธอส่ายหน้า “คือ......แบบว่า.....เอ่อ.....คือ....”

    ล็อคร้องอ๋อในใจขึ้นมาทันที ‘แหม่....พึ่งฟื้นจากไข้ยังมีมารยากันอีกเนอะ’ คิดในใจอีกครั้งก่อนที่จะตักขึ้นมาป้อนให้ทีน่า “อ่ะ....อ้าปาก....” เธอก็อ้าปากทานอาหารที่ล็อคตักให้ แต่เธอก็รู้สึกว่ารสชาติมันทะแม่งๆอยู่ แน่นอน ล็อคไม่เคยทำอาหารเลยในชีวิต เพราะเขาเคยแค่ใช้เงินซื้อเสบียงมาตุนไว้กินอย่างเดียว

    เธอกินจนหมดชามแล้วดื่มน้ำเปล่าที่ล็อคเตรียมไว้ให้เหมือนกัน “อืม...อิ่มจัง...ขอบใจนะ...” หันหน้ามาขอบคุณล็อค “โอ้ย....ไม่เป็นไรหรอก แค่เธอกินอาหารฝีมือชั้นแล้วเธอไม่บ่นออกมาก็ดีเท่าไรแล้ว....”

    ‘ใจจริงอยากบ่นจะตายแหละ.....’ เธอคิดในใจก่อนที่จะล้มตัวนอนเพราะความเพลียอีกครั้ง ล็อคหาผ้ามาห่มให้อีกทบนึงเพราะอากาศเริ่มเย็นลง

    “ทำไมเธอ.....ถึงต้องช่วยชีวิตชั้นไว้ด้วย....?” เธอถามทีเล่นทีจริง ทำเอาล็อคก็เขินไปเหมือนกัน

    “คงเป็นเพราะ.....เอ่อ.....คำสั่ง...ของลุงชั้นมั้ง.....” พูดแบบขอไปที “แต่จริงๆแล้ว คือ ชั้น......แค่....อยากจะ....ปกป้องเธอ.....ที่เป็นผู้หญิง...ตัวคนเดียว....ก็เท่านั้นเองน่ะ...” รีบพูดให้จบๆไป ทำเอาทีน่ายิ้มไม่หุบเลย “อื้ม....ขอบใจอีกครั้งนะสำหรับทุกอย่าง....ชั้นยังไม่รู้จักเธอเลยนะ ชั้นชื่อทีน่า....”

    “เอ่อ....ชั้น....ล็อค..” ยังไม่หายประหม่าและหน้าแดง ยังก้มหน้าอยู่อีกเล็กน้อย สักพักเขาเงยหน้าขึ้นกำลังจะพูดอะไรอีกสักประโยคนึง แต่เธอหลับไปแล้ว เขาเองก็มองหน้าเธอที่กำลังหลับตานอน

    ‘เธอก็น่ารักดีนะ’ เขาแอบชมเธออยู่ในใจ ‘เอาวะ เราเองก็นอนเหมือนกันดีกว่า เดี๋ยวไม่มีแรง....เอ้ย แต่....’ สะดุดในความคิดนิดนึง

    ‘ยังไม่ได้กินอะไรเลยนี่หว่าเรา....!!’ กลับไปดูที่หม้อ ปรากฏว่าอาหารที่ทำนั้นหมดแล้ว “ซวยเลย ดันตักให้หมดไม่ได้เหลือไว้เลย เวรกรรม!!”

    เมื่อรู้ดังนั้นเขาจึงต้องเอาขนมปังในเป้ออกมากินประทังหิวไปก่อนอย่างหัวเสียในความเซ่อซ่าของตนเอง ก่อนที่จะปิดเป้ ล็อคประตูบ้าน แล้วนอนหลับอยู่ข้างล่างข้างๆที่ทีน่านอนอยู่

    ------------------------------

    เป็นเวลา 07.00 น..........

    ล็อคตื่นขึ้นมาด้วยความงัวเงียเหมือนอย่างเคย ถึงแม้ว่าการที่เขาจะเป็นคนที่ตื่นเช้าเป็นประจำเนื่องจากลักษณะนิสัยของเขาเอง แต่ก็ยังไม่สามารถปรับตัวให้ตื่นเช้าได้เป็นประจำ ยกเว้นแต่ตอนนี้ เขาเดินไปล้างหน้าที่ในอ่างที่ใช้ทำอาหารเมื่อคืน แล้วหันกลับมามองที่ทีน่า

    เธอนอนเอามือกุมไว้บนหน้าอกอย่างเรียบร้อย...ล็อคจ้องมองอยู่พักหนึ่ง ‘ใจจริงไม่อยากปลุกเธอเลยนะ...’ คิดในใจแล้วพูดขึ้น

    “ตื่นได้แล้วครับ....เราต้องออกเดินทางกันแล้วนะ...” ล็อคพูดอย่างสุภาพกับเธอ ทีน่าก็ตื่นขึ้นมาด้วยความงัวเงียเช่นกัน “เช้าแล้วหรือ...?” เธอถาม

    “อื้ม...รีบออกเดินทางกัน เราจะได้ไปถึงเร็วๆ แล้วจะได้ไม่ร้อนเกินไปด้วย เดี๋ยวเธอเป็นลมขึ้นมาอีก ชั้นไม่แบกเธอแล้วนะ....” พูดขู่แบบหยอกๆ

    “เธอเก็บของหมดหรือยัง..?” เป็นห่วงล็อคนิดๆ

    “ยัดลงเป้หมดแล้วล่ะ อย่ามัวชักช้าเลย ไปล้างหน้าล้างตาแล้วรีบไปกันเถอะ ชั้นจะรอข้างนอก อ่ะนี่....” ยื่นแปรงสีฟันกับยาสีฟันให้ เธอรับมันไว้แล้วไปทำธุระส่วนตัว ส่วนล็อคเดินออกไปรอข้างนอก...

    เขามองไปที่ดวงอาทิตย์ที่พึ่งขึ้นด้วยตาหยีๆ ‘น่าจะไปถึงก่อนเที่ยงนะ....’

    มีสายตาคู่เดิมจ้องมาอีกครั้ง.....ล็อคหันไป

    “เฮ้ย...!!!! ใครน่ะ ออกมานะ..!!!!” เขาตะโกนเสียงดังพร้อมปลดเป้ลงพื้น มือกำมีดแน่นอีกครั้ง แต่ก็....

    เงียบ.....ไม่มีอะไรผิดปกติอีก ทำเอาล็อคหัวเสียอีกครั้งนึง “นี่มันอะไรกันวะเนี่ย...!! สองครั้งแล้วนะ..!!” บ่นพึมพำ

    สะพายเป้ขึ้นหลังอีกครั้งแล้วร้องเรียก “เสร็จหรือยัง...? ทีน่า..”

    “อื้ม....มาแล้ว....” เธอออกมาจากหลังบ้านให้ตกใจเล่น “โธ่....ออกทางหน้าบ้านก็ได้ ไม่ต้องขี้เล่นขนาดนั้นหรอก...” พูดแล้วยิ้มให้ เธอเองก็ยิ้มให้เขาเหมือนกัน

    แน่นอน....นิสัยที่ร่าเริงอย่างนี้ไม่มีทางที่สายตาแปลกๆที่มองมาจะเป็นของเธอ ‘เหมือนเราจะเข้ากันได้ดีเนอะ’ ทั้งคู่คิดในใจคล้ายๆกัน แล้วก็เดินคู่กันไปทางทิศตะวันตก

    ผ่านมาได้ 3 ชั่วโมง....

    “โอย เหนื่อยจังเลย ล็อค...!” เธอบ่นสั้นๆ ล็อคให้กำลังใจ “เอาน่า เดี๋ยวก็จะถึงแล้ว เดินไปอีกแปปเธอก็ไม่ต้องเดินแล้วจริงๆ” เธอจำยอมต้องเดินต่อไปตามที่ล็อคบอก

    เขาชี้ไปทางข้างหน้า “นั่นไง เราจะถึงแล้วนะ....รีบเดินเถอะ” ทั้งสองจึงรีบเดินต่อไปเรื่อยๆ รอบๆตัวที่เป็นป่าต้นไม้มากมายก็เริ่มจะหายไปทีละนิด แต่พื้นดินที่ดูแน่นกลับกลายเป็นว่าเริ่มเดินยากขึ้นเพราะมีแต่ทราย.... “เราจะนั่งอูฐไป เพราะที่ๆเราจะไปมันอยู่กลางทะเลทราย....” ล็อคบอกกับทีน่า ทีน่าเองก็ไม่รู้ว่าอูฐคืออะไร เพราะเธอไม่เคยเห็นมัน จึงถามล็อคไป ก็ได้คำตอบกลับมา “เอาเป็นว่า เดี๋ยวเธอจะได้เห็นมันเองแหละ....”

    ออกจากป่ามาได้แล้ว ข้างหน้าที่ทั้งสองเห็นนั้นมีเพิงเล็กๆอยู่หลังนึง มีกระโจมที่ล่ามอูฐไว้สามตัว ล็อคเดินเข้าไปที่หน้าประตูบ้านแล้วเคาะประตู ชายคนหนึ่งออกมาต้อนรับด้วยอาการง่วงนอน “อ้อ....เจ้านี่เอง จะยืมอูฐหรอ....?”

    “อืม....จะไปหาเอ็ดการ์หน่อยน่ะ....แต่ขอ 2 ตัวนะ”

    “เลือกเอาไปสิ แล้วบอกให้ทหารที่นั่นเอากลับมาคืนข้าด้วย....ฮ้าวววว!!”

    “ตกลง ข้าจะบอกตามนั้น....”

    ชายคนนั้นปิดประตูเสียงดังเพื่อกลับไปนอน เมื่อตกลงกันได้แล้วเขาก็เดินไปที่กระโจม แล้วปลดเชือกที่ล่ามมันออกมา 2 ตัว “มานี่เร็วทีน่า..” ล็อคร้องเรียกเธอซึ่งกำลังอึ้งกับอูฐ สิ่งมีชีวิตที่เธอยังไม่เคยเห็นมันในชีวิต “เหมือนม้าผสมกับยีราฟเลยนะ.....” เธออุทาน ล็อคยิ้มแล้วส่ายหน้าเบาๆ “เอาน่า รีบๆขึ้นมา แล้วจับเชือกนี้ไว้ให้ดี” ยื่นเชือกควบอูฐให้ เธอกระโดดขึ้นไปนั่ง เจ้าอูฐก็ยังไม่มีปฏิกิริยาใดๆ

    ล็อคเองก็กระโดดขึ้นไปเหมือนกัน แล้วเริ่มสะบัดเชือกควบ “ไปกันเถอะ ตามชั้นมานะ...” แล้วเดินต่อไปเรื่อยๆลงไปทางใต้

    มีสิ่งก่อสร้างข้างหน้าเห็นอยู่ไกลๆ.....ล็อคดีใจที่พบว่าไม่หลงทางแน่ๆ จึงรีบควบอูฐให้เดินเร็วขึ้น ทีน่าก็เร่งตามล็อคไปติดๆ แล้วเธอก็ได้เห็นสิ่งที่เธอไม่เคยเห็นอีกครั้ง

    ปราสาทที่ใหญ่โตมโหฬาร ผิวปราสาทเป็นสีขาวออกเงิน มีหอขนาบข้างปราสาทอยู่ 2 ป้อม มีปืนใหญ่ถูกสร้างอยู่บนนั้นด้วย บนยอดของปราสาทนั้นมีธงเป็นรูปดาบคู่ประทับบนโล่ห์สีทองโบกสไวไปมาอยู่ ผิวปราสาทส่องแสงเงางามตามแสงที่สะท้อนกระทบลงมา ประตูทางเข้าที่เป็นประตูไม้สีน้ำตาลก็ดูใหญ่โตเหมือนจะเอายักษ์ตัวนึงจับเข้าประตูได้อย่างง่ายดาย มีทหารเฝ้าหน้าประตูแต่งชุดทหารอย่างสง่างามเฝ้าหน้าประตูอยู่ 2 คน และบนป้อมอีกป้อมละคน

    “สวัสดี.....” ล็อคทักทายกับทหาร

    “มาหาฝ่าบาทหรอ....” เขาถามกลับด้วยหน้าตายิ้มแย้มอย่างเป็นมิตร แล้วเหลือบหันดูทีน่านิดนึง

    “อืม....มีธุระด่วนเกี่ยวกับความมั่นคงของกลุ่มต่อต้านน่ะ...” อธิบายสั้นๆ ทหารทั้งสองก็ยืนตรง เอาหอกที่ถือกั้นหน้าประตูออก แล้วกดปุ่มสวิทช์ข้างๆตัว

    ประตูถูกเปิดออก ข้างในก็ใหญ่โตโอ่อ่าไม่แพ้กัน ทีน่าตะลึงอีกครั้งกับบันไดทางขึ้นที่สูงอย่างที่เธอเองก็ไม่เคยเห็นอีก เธอเดินตามล็อคขึ้นบันไดไป เธอสังเกตเห็นหัวบันไดทั้งบนและล่างมีรูปปั้นมังกรสง่างาม 4 ตัวปรากฎอยู่ แต่ละตัวมีประวัติเขียนไว้ข้างใต้ด้วย แต่เธออ่านไม่ออกจึงไม่ได้สนใจอะไรมันมากนัก....

    “เดี๋ยวจะถึงแล้วนะ....ชั้นจะแนะนำให้รู้จักกับเพื่อนของชั้นอีกคน...”

    “อืม.....ใครหรือ...??”

    “ตามมาก่อนน่า.....เร็วๆ” ยิ้มให้แล้วเดินนำขึ้นไป บันไดนั้นมี 2 ชุด อีกชุดนึงก็สูงพอๆกัน แล้วก็ยังพบกับมังกรอีก 4 ตัวเหมือนกับบันไดชุดที่แล้วด้วย เดินขึ้นไปข้างบนแล้วเปิดประตูเข้าไปอีกครั้งก็เจอกับ...

    “โอว ท่านล็อค.....!! ไม่เจอกันนานมากเลยนะครับ....” เฟร็ด ทหารคนสนิทของเอ็ดการ์ทักขึ้น

    “โธ่....เฟร็ด เลิกเรียกชั้นว่าท่านซะทีเถอะ ชั้นเป็นแค่คนธรรมดาเอง มีดีก็แค่เป็นเพื่อนกับเจ้าเอ็ดการ์มันก็เท่านั้น....”

    “โอ้ย....ไม่ได้หรอกครับ ท่านเอ็ดการ์รู้เรื่องเข้าผมอาจถูกปลดไปเป็นทหารปืนใหญ่บนป้อมแน่ๆ” แน่นอน ตำแหน่งนั้นเป็นตำแหน่งที่เหนื่อยที่สุดในปราสาทนี้

    “อืม....เอาเถอะ เพราะบอกกี่ครั้งๆนายก็ยังพูดอย่างนี้ทุกครั้งแหละ ไปบอกเอ็ดการ์นะว่าข้าต้องการพบ...”

    “รับทราบครับ....” แล้วเฟร็ดก็เดินเข้าไปที่ท้องพระโรงของปราสาท “เดี๋ยวรอแปปนะทีน่า...” ล็อคบอกกับทีน่าที่ไม่ได้สนใจฟังการสนทนาเมื่อกี้เลย เพียงแต่เธอก็กำลังชื่นชมกับความสวยงามภายในปราสาทนี้ ซึ่งข้างในนั้นก็หรูหราไม่แพ้ข้างนอกเลย ไม่สิ.....น่าจะเรียกว่าเป็นพิพิธภัณฑ์มากกว่า เพราะมันมีตู้โชว์อะไรต่อมิอะไรเยอะแยะมากมาย ตั้งไว้ตามจุดต่างๆ แชนเดอร์เลียร์ข้างบนเพดานก็ดูสวยงามมากๆ แวววาวเหมือนหยดน้ำใสๆอยู่ 2 ชุด ‘เพดานถูกบุด้วยเหล็กแน่ๆ’ เธอคิด

    “สวยงามมากเลยล่ะสิทีน่า....” ล็อคถามพร้อมทั้งมองไปบนเพดานด้วย “อื้ม มันสวยงามมากๆเลยแหละ....” เธอตอบ

    ละสายตาจากเพดานมาได้ เธอก็เดินชมรอบๆท้องพระโรงอย่างช้าๆ เธอสังเกตเห็นเครื่องมือต่างๆที่เธอไม่เคยพบเคยเห็นถูกโชว์อยู่ในตู้กระจก ใหญ่บ้าง เล็กบ้าง ล้วนแต่ทำให้เธอรู้สึกทึ่งว่า สิ่งต่างๆเหล่านี้มหัศจรรย์จริงๆ

    ผิดกับล็อคที่ยืนนิ่งอยู่กับที่พร้อมกับล้วงไปในเป้แล้วหยิบจดหมายที่อาร์วิสส่งมาให้เอ็ดการ์มาถือไว้ในมือ คิดไปคิดมา....”เอ.....ลุงจะเขียนว่าอะไรบ้างนะ...??” ด้วยความอยากรู้ก็เลยเปิดออกอ่านดู

    “ถึงท่านเอ็ดการ์ กษัตริย์ฟิกาโร่

    เนื่องด้วยตอนนี้ทางหมู่บ้านนัลเซมีความต้องการยุทโธปกรณ์ทางด้านการรบ เช่น ปืนยาว ลูกกระสุนปืน สืบเนื่องมากมาจากการรบกับเหล่าจักรวรรดิเมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมาเป็นอย่างมาก จึงอยากให้ท่านช่วยส่งยุทโธปกรณ์เหล่านั้นมาให้หมู่บ้านเรา แล้วทางเราจะคอยสอดส่องและเป็นหูเป็นตาเกี่ยวกับความมั่นคงของอาณาจักรของท่านและจะคอยสืบข่าวของพวกจักรวรรดิให้อีกทางหนึ่ง

    ประการหนึ่ง เนื่องจากการรบในวันนั้น ข้าพเจ้าได้ช่วยเหลือทหารของจักรวรรดิได้นายหนึ่ง บัดนี้ข้าได้ส่งตัวทหารคนนั้นมากับหลานชายของข้าแล้ว ขอให้ท่านช่วยพิจารณาความเหมาะสมในการตัดสินใจจัดการต่างๆเกี่ยวกับทหารนายนี้ด้วย

    ด้วยความเคารพอย่างสูง

    อาร์วิส โคล
    หัวหน้าหมู่บ้านนัลเซ”

    “โธ่เอ้ย...! นึกว่าเรื่องอะไร....” แล้วก็เอาเนื้อจดหมายเก็บเข้าซอง พร้อมทั้งปิดผนึกให้มิดชิดอีกครั้ง แล้วก็ถอนหายใจเฮือกยาวๆ ‘เฮ่ออ.....หมู่บ้านเรากำลังอันตรายจริงๆนะเนี่ย....’

    เฟร็ดเดินออกมาจากประตูม่านด้านหลังบัลลังก์พร้อมกับชายผู้หนึ่งท่าทางสง่างาม ผมสีทองยาวถึงแผ่นหลัง สวมเสื้อคลุมแขนยาวสีน้ำเงิน กางเกงหนังสีขาว ส่วนสูงประมาณ 180 เซนติเมตรกว่าๆ

    “ไม่เจอกันนานนะสหายเรา.....” เขาทักขึ้น ทีน่าหันกลับมามองตาชายผู้นั้น เจ้าตัวก็เช่นกัน

    “ใช่.....ข้าไม่ได้มาที่นี่นานมากแล้ว....ข้ามัวแต่ไปอยู่กับพวกพันธมิตรที่อัลบรูคมาน่ะ....”

    “อืม....เรารู้แล้วล่ะ....ฮ่าๆๆๆ!!” เอ็ดการ์หัวเราะลั่น “นายรู้ได้ไงน่ะ...??” ล็อคถาม

    “มีอะไรในอาณาจักรนี้ที่เราไม่รู้บ้างล่ะ นายทำอะไรที่ไหนอีกทำไมเราจะไม่รู้....” พลางชูนิ้วชี้ขึ้น กระดิกซ้ายขวาไปมา

    “เออๆๆๆ นายมันรอบรู้ไปทุกเรื่อง เอ้านี่ จดหมายจากลุงข้า....” พลางยื่นจดหมายให้เอ็ดการ์ เปิดอ่านสักพักนึงแล้วเก็บเนื้อจดหมายเข้าไปในเสื้อพก พลางสนอกสนใจเรื่องทหารจักรวรรดิที่อาร์วิสส่งมาทันที

    “อืม ไหนล่ะทหารที่พาตัวมาได้น่ะ?”

    “ทีน่า...!! มานี่เร็ว” ล็อคเรียกเธอให้เดินมาที่ข้างหน้า เธอเดินเข้ามาพร้อมกับความงุนงง

    เพื่อนของล็อคหรือนี่?

    เพื่อนล็อคเป็นกษัตริย์หรือ?

    แล้วเขาจะทำอะไรเรา?

    ด้วยความกลัว เธอจึงไม่กล้าสบตากับเอ็ดการ์อีก คงเป็นเพราะความอายด้วยกระมัง เพราะเอ็ดการ์มองเธอตาไม่กระพริบเลยทีเดียว

    “นี่คือทีน่า ลุงของข้าเข้าไปช่วยเหลือจากเหตุการณ์เมื่อวันก่อนมา ตอนนี้เธออยู่ในช่วงสูญเสียความทรงจำอยู่....” พร้อมทั้งบอกทีน่า “ทีน่า ที่เธอเห็นอยู่นี่คือท่านเอ็ดการ์ กษัตริย์แห่งปราสาทฟิกาโร่ และรองหัวหน้ากลุ่มต่อต้านจักรวรรดิ เพื่อนของชั้นเอง...” เธออึ้งไปพักนึงพร้อมทั้งมองไปข้างหน้า ก็ยังเห็นเอ็ดการ์ยืนยิ้มมาที่เธออยู่ ทำเอาเธอต้องก้มลงอีกครั้งด้วยความอาย

    “อืม....คงเป็นเพราะ Slave Crown ด้วยแหละมั้งที่ทำให้เธอสูญเสียความจำไป...” เอ็ดการ์บอกทั้งสองคนพร้อมๆกัน แล้วก็เรียกล็อคเข้าไปหา แล้วกระซิบบอกอะไรไปสักอย่างนึง แล้วหันกลับมาถามทีน่า...”บ้านเกิดเธออยู่ที่ไหน?”

    “ฉัน.....จำไม่ได้น่ะ....” เธอตอบ แต่ยังก้มหน้าอยู่

    “นี่.....เธออย่าเสียมารยาทสิ เราถามก็ต้องมองหน้าเราด้วย....ไม่งั้นเราจะ....” สิ้นคำเธอเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับความกลัวในตัวกษัตริย์องค์นี้นิดๆ ‘นี่มันอะไรกันเนี่ย....?’ เธอคิด

    “เออนี่เอ็ดการ์ เดี๋ยวชั้นจะเข้าไปที่ห้องผสมยาแปปนะ น้ำยาที่ผสมไปมันจะหมดแล้ว คุยกับเธอไปก่อนละกัน” ล็อคขอตัวออกไป เอ็ดการ์พยักหน้าให้ทีนึงแล้วก็ยื่นแบมือเชิญให้ล็อคออกไปอย่างสุภาพ

    ยิ่งทำให้ทีน่าเริ่มประหม่ามากขึ้น...

    เธอเริ่มมีอาการเกร็ง....

    เริ่มอาย....

    และความกลัวในจิตใจของเธอก็เริ่มมากขึ้นๆ...

    เอ็ดการ์ค่อยๆเดินเข้ามาหาทีน่า “อะแฮ่ม...!! เงยหน้าฟังเราก่อน...”

    เธอค่อยๆลืมตาขึ้นมาแล้วมองมาที่หน้าของราชาอย่างประหม่า

    “เราจะแนะนำตัวเราเองก่อนนะ เราคือกษัตริย์แห่งปราสาทฟิกาโร่ เอ็ดการ์ โรนี่ ฟิกาโร่ สืบราชสกุลเป็นรุ่นที่ 15 ต่อจากจักรพรรดิฟิลลิปส์ พระบิดาของเราเอง และเธอ....” เขาพูดจบแล้วเพ่งมาที่ดวงตาของทีน่า ทำเอาเธอเกรงไปอีกครั้งนึง

    “ชั้น....ทีน่า....เบรนฟอร์ด....แต่ชั้นยังจำ....”

    เอ็ดการ์จุ๊ปาก “จุ๊ๆๆ เรารู้แล้วว่าเธอเจอะเจออะไรมาบ้าง เรารู้ว่าตอนนี้เธอยังไม่สามารถที่จะนึกอะไรต่อมิอะไรในความทรงจำของเธอออกตอนนี้ แต่ไม่ต้องห่วงนะ เรากับเพื่อนของเราและทหารทุกๆคนจะช่วยกันปกป้องเธอไม่ให้ใครมาพาตัวเธอไปที่ไหนหรือมาทำอันตรายกับเธอได้เลย ขอเอาเกียรติของกษัตริย์แห่งปราสาทฟิกาโร่เป็นประกัน...” เอ็ดการ์ร่ายยาว

    “ไม่ต้องเรียกเราว่าท่านนะ เพราะถ้าเราอยากที่จะเป็นมิตรกับใคร คนๆนั้นก็มีศักดิ์เป็นสหายของเรา ไม่ใช่คนที่ต่ำกว่า...” ทำเอาทีน่าที่ตอนแรกอ้ำอึ้งพลอยโล่งใจไปด้วย ‘นึกว่าจะเป็นคนไม่ดีเสียอีก’ เธอคิดในใจ แล้วเธอก็ถามขึ้นมาว่า

    “ทำไมนายถึงช่วยชั้น เอ็ดการ์..?? ชั้นสำคัญตรงไหนหรือที่เธอกับล็อคจะต้องมาคอยปกป้อง...?? หรือพวกนาย...คิดจะใช้ประโยชน์...จากตัวชั้น เหมือนที่ชั้นเคยได้เจอมาก่อนหน้านี้??” เธอถามอย่างไร้เดียงสา ไม่ได้คิดอะไรจริงๆ

    เอ็ดการ์เดินกลับหลังหัน พลางเอามือกุมคางตนเองเหมือนคิดหนัก สักพักก็หันกลับมาแล้วชูนิ้วขึ้นมา 3 นิ้ว...

    “เรามีเหตุผล 3 ประการนะทีน่า นั่นคือหนึ่ง เราจะไม่ยอมให้ใครมาทำอันตรายผู้หญิงที่หน้าตาน่ารักๆอย่างเธอให้ต้องบาดเจ็บอีก สอง เราไม่อยากให้เธอคิดว่าเรากับเธอเป็นศัตรูกัน เราเองก็รู้ว่าตอนแรกเธอเองก็ไม่อยากที่จะเสวนากับเราเท่าไรหรอกนะ ถึงแม้ว่าเธอเองตอนนี้จะเป็นทหารของฝ่ายจักรวรรดิ แต่เราจะบอกให้อย่างนึงว่า ปราสาทเรานั้น ภายนอกเป็นมิตรกับจักรวรรดิ แต่ข้างในนั้น เราตั้งกองกำลังกลุ่มต่อต้านจักรวรรดิกันอยู่ เราเองนั้น...เป็นรองหัวหน้า” เธอตั้งใจฟังต่อไปเรื่อยๆ

    “ส่วนเรื่องการหลอกใช้ประโยชน์จากเธอนั้น เราสงสัยว่า อาจจะเป็นเหตุผลที่สามกระมัง แต่มันก็ห่างไกลจากสองข้อแรกอยู่มากนะ...เราแค่คิดว่า สักวันนึง ถ้าเธอได้มาอยู่กลุ่มต่อต้านกับเรา เธออาจจะช่วยอะไรเราได้ไม่มากก็น้อย...เราหวังว่าจะเป็นเช่นนั้น” แล้วก็ขยิบตาให้ทีน่า

    เธอรู้สึกดีมากในตอนนี้ เธอคิดมาตั้งแต่ได้สติแล้วว่าทำไมเราถึงอ่อนแออย่างนี้ เราช่วยคนอื่นไม่ได้เลย ‘หรือเราจะเข้าร่วมกับเขาดี??’ เธอลังเล

    “เธอจะเข้าร่วมกับเรามั้ย...??” เอ็ดการ์ถาม เธอเริ่มลังเลหนัก คิดอะไรไม่ออก สมองตอนนี้ปั่นป่วนไปหมด หลายสิ่งหลายอย่างกำลังตีกันอยู่ในหัวเธอ แต่ด้วยความคิดที่เธอเกือบจะจนมุมเหมือนไม่มีทางเลือก ในที่สุดก็...

    “ตกลง...ถึงชั้นอาจจะอ่อนแอ แต่ชั้นก็อยากจะช่วยพวกนายนะ...” เธอยิ้ม เอ็ดการ์เดินเข้ามาช้าๆ ทำเอาเธอเริ่มแปลกใจ

    “ขอบคุณนะ เราสัญญาว่าจะดูแลไม่ให้เธอได้รับอันตรายแม้แต่นิดเดียว...” แล้วเขาก็จับมือทีน่าขึ้นมาจุมพิตเบาๆอย่างสุภาพ ทำเอาเธออายหน้าแดงและทำอะไรไม่ถูกเลย....สักพักก็ปล่อยมือ

    เฟร็ดเดินเข้ามาจากหน้าประตูท้องพระโรง “ท่านเอ็ดการ์ ได้เวลาประชุมกองทัพเราแล้วครับ...!!”

    เขาปัดเสื้อคลุมเพื่อทำความสะอาดเล็กน้อย ก่อนที่จะพูดสั้นๆกับทีน่า

    “ขอต้อนรับสู่ปราสาทฟิกาโร่นะทีน่า ทำตัวตามสบายได้เลย ไม่ต้องกังวล...” ขยิบตาให้อีกครั้งแล้วเดินออกไปพร้อมกับเฟร็ด...

    เธอมองเขาเดินออกไปจนประตูปิดแล้วกลับมากังวลเรื่องของตัวเอง นึกในใจ

    ‘ผู้หญิงอย่างชั้นจะทำอะไรได้จริงหรือเปล่านะ เขาอาจจะเป็นผู้นำที่ดูน่าเกรงขาม แต่เราทำไมไม่มีความมั่นใจเลย ชั้นแปลกจากคนทั่วไปตรงไหน...’ เธอถอนหายใจแล้วเดินดูรอบๆท้องพระโรงที่แปรสภาพคล้ายพิพิธภัณฑ์อย่างตื่นตาอีกครั้ง...

    ------------------------------

    ในห้องพักของปราสาทเวคเตอร์...

    ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ มองออกไปทางช่องหน้าต่างที่กำลังรับแสงอาทิตย์ยามอัสดงอยู่ แสงแดดเริ่มโรยไปพร้อมกับหิมะที่กำลังจะร่วงลงมาในคืนนี้อีกครั้ง เขามองไปไกลถึงภูเขาลูกไกลๆสุดหูสุดตา สายตาพลางครุ่นคิดอะไรบางอย่างที่ยังไม่สามารถตัดสินใจได้ ด้วยความที่เครียดในขณะนั้น เขาเอื้อมมือไปหยิบกล่องเหล็ก แล้วเปิดเอาซิกการ์มาจุดแล้วดูดเข้าปอดเพื่อคลายความคิดลง...

    มีเสียงเคาะประตูจากหน้าห้อง

    “ก๊อกๆๆๆ!!”

    ทหารที่อยู่ประตูด้านในนั้นเปิดให้ผู้ที่เคาะเข้ามา

    “ขออภัยฝ่าบาท พลเอกเคฟก้ามาขอพบอยู่ข้างล่างขอรับ!!” ทหารผู้หนึ่งบอก

    กัสโทร่าลุกขึ้นแล้วเอามือไพล่หลัง มองออกไปทางหน้าต่างอีกครั้ง “เจ้าช่วยไปบอกว่า สักครู่ข้าจะลงไป...” แล้วดูดซิกการ์อีกครั้งนึง ก่อนที่จะปล่อยควันออกมา

    “รับทราบ!!!” แล้วเดินออกไปจากห้อง...

    รอดูดซิกการ์จนหมดแล้วบี้มันลงในที่เขี่ย สวมเสื้อคลุม แล้วเดินออกไปทางประตู ลงบันไดไปเรื่อยๆจนถึงท้องพระโรง...

    เคฟก้ายืนรออยู่ที่หน้าบัลลังก์....

    “ขออภัยท่านกัสโทร่าที่มารบกวนเวลาฉะนี้....!!” บุคคลที่ชื่อเคฟก้ากล่าว กัสโทร่าพลางนั่งลงที่บัลลังก์แล้วพูด

    “เจ้ามีธุระอะไรเร่งด่วนรึ เคฟก้า...??”

    “ก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ เพียงแต่จะบอกว่า ทางคนของผมได้สืบเรื่องของ ‘เธอ’ จนพอทราบแล้วว่าอยู่ที่ไหน”

    กัสโทร่านึกลำดับเหตุการณ์ที่นัลเซอีกครั้ง แล้วพูดว่า

    “เธอยังมีชีวิตรอดอีกรึ??”

    เคฟก้าตอบด้วยความมั่นใจ... “ล้านเปอร์เซ็นต์ ขอเอาเกียรติของทหารเป็นเดิมพัน ว่าเธอยังมีชีวิตอยู่ และยังอยู่ใกล้ๆเราด้วย....”

    กัสโทร่าพลางลูบเครางามๆของเค้า คิดอะไรไปมาอยู่ในหัว... “เจ้ารู้หรือว่าเธออยู่ที่ไหน...??”

    “แน่นอน แต่เราต้องการแผน...ที่จะชิงตัวเธอมา...”

    “เธอถูกจับอยู่หรอ...” กัสโทร่าเริ่มสนใจขึ้นมาทีละนิดๆ “ไม่ถึงกับถูกจับครับ แต่เหมือนกับว่ากำลังจะถูกพาไป ‘พบ’ กับใครบางคนอยู่...เท่าที่ทราบมาก็มีเท่านี้”

    “แล้วเจ้าต้องการอะไรรึ...??” กัสโทร่าถามตรงๆอย่างไม่อ้อม

    “ทางเราวางแผนกันมา 3 วันแล้วว่าจะเข้าไปเจรจากับอีกฝ่ายก่อน ถ้าไม่ดี เราจะขอกำลังหลักจากท่านไปสมทบกับเราเพื่อชิงตัวเธอกลับมา...”

    กัสโทร่าพลางต้องขมวดคิ้วคิดอีกครั้ง...

    ต้องวางแผนกันนานขนาดนั้นเลยหรือ...?

    ต้องการกองหนุนด้วยหรือ...?

    ฝ่ายนั้นเป็นพวกกลุ่มต่อต้านหรือเปล่านะ...?

    “แต่ไม่ต้องกังวลนะครับ ถ้าเราชิงกลับมาได้ เรามีวิธีที่จะทำให้เธอไม่สามารถหนีออกจากจักรวรรดิได้อีกตลอดกาล...” พลางหัวเราะเบาๆ ยิ่งทำให้กัสโทร่าต้องคิดหนักขึ้น...สุดท้าย

    “เอาอย่างนี้...เจ้าดำเนินการขั้นแรกก่อน เมื่อแผนแรกที่เจ้าคิดไม่สำเร็จ เราจะประชุมหารือกับหัวหน้าทหารของฝ่ายเราในคราวหลัง...แต่ถ้าเป็นเรื่องที่นอกเหนือจากนี้ ถ้าเจ้าต้องการความช่วยเหลือล่ะก็ ขอให้บอกแจ้งเรามา เราจะดำเนินการให้ภายหลัง...”

    “เป็นพระคุณอย่างมากขอรับ...” แล้วก็เดินออกไปนอกประตูใหญ่ไป...

    กัสโทร่าได้แต่ถอนหายใจแล้วคิดในใจ “เจอตัวซะที ยัยทีน่า...” แล้วสั่งทหารที่อยู่เวรข้างล่างว่า

    “อย่าให้ใครเขามารบกวนข้าอีกเป็นอันขาด เข้าใจมั้ย...!!”

    “รับทราบ!!!!”

    แล้วเดินขึ้นบันไดเพื่อกลับไปพักผ่อนที่ห้องข้างบน

    ------------------------------

    “สวยงามจริงๆ ไม่นึกว่าจะได้มาเห็นอะไรสวยๆงามอย่างนี้เลย...”

    ทีน่านึกไปพลางเดินชมไปเรื่อยๆ จนเธอพอใจแล้วเธอก็เดินออกไปหน้าประตู

    “ให้ผมเป็นไกด์พาเที่ยวในปราสาทนะครับ....” ทหารคนหนึ่งที่ยืนอยู่หน้าประตูยืนตรงแล้วพูดขึ้น

    “ได้เลยจ๊ะ” เธอพูดตอบอย่างสุภาพ ทหารคนนั้นเก็บดาบเข้าฝักแล้วแล้วเดินนำหน้าเธอออกประตูไป แล้วพาเดินเข้าไปที่ห้องเกียรติยศที่อยู่ทางฝั่งซ้ายมือของบันไดหัวมังกรชุดที่ 2

    “เธอเป็นไกด์ประจำปราสาทนี้เหรอ??” เธอถาม

    “มิได้หรอกครับ เป็นเพราะคำสั่งท่านเอ็ดการ์ว่า ให้ดูแลและอำนวยความสะดวกกับแขกทุกคนที่มาเยือนปราสาทนี้ ยิ่งเป็นสุภาพสตรีด้วยแล้ว ท่านกำชับให้ดูแลเป็นพิเศษและให้สิทธิ์กับทหารคนใดก็ได้ที่ต้องการพานำเที่ยวในปราสาทนี้ด้วยครับ...” ทหารไกด์อธิบาย ทำเอาเธอเริ่มปลื้มกับกษัตริย์องค์นี้อย่างยิ้มไม่หุบ...

    “ห้องนี้จะเป็นห้องเกี่ยวกับประวัติของปราสาทนี้ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งฟิากาโร่ ไปจนถึงรางวัลต่างๆของกษัตริย์แต่ละพระองค์ที่เคยครองราชย์ที่นี่ “

    เธอมองดูไปรอบๆอย่างชื่นชม ภาพกษัตริย์ต่างๆทั้ง 15 รูป ถ้วยรางวัลรวมไปถึงใบประกาศต่างๆที่ติดกรอบทองแขวนไว้ตามผนังต่างๆรอบห้อง...

    ทหารไกด์นายนั้นชี้ไปที่ถ้วยทองเด่นที่ตั้งอยู่ตรงฝั่งมุมห้องด้านซ้ายไกลๆ...

    "ถ้วยทองนั่นเป็นของท่านเอ็ดการ์สมัยที่ยังไม่ได้ขึ้นครองบัลลังก์ ซึ่งท่านได้รางวัลชนะเลิศการประกวดเครื่องจักรกลประจำปี ในประเภทเครื่องจักรอาวุธ ซึ่งวันที่ได้รางวัลนั้น...เอ่อ...."

    ทีน่าหันกลับมามอง "ทำไมรึ...หลังจากนั้น...??"

    "ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ท่านฟิลลิปส์ประชวรหนัก ท่านเอ็ดการ์นั้นยืนกรานที่จะไม่ไปไหนเพื่อต้องการที่จะดูแลพระบิดาของท่าน แต่ท่านฟิลลิปส์ก็ขอให้ท่านเอ็ดการ์ไปแข่งขัน ซึ่งพอกลับมานั้น....ท่านฟิลลิปส์.................ได้สิ้นลมแล้ว...." แล้วก็ดูเศร้าไป

    ทีน่านึกเสียใจที่ได้มารับฟังเรื่องราวนี้

    "เมื่อท่านเอ็ดการ์กลับมา รู้ว่าท่านพ่อเสียชีวิตแล้ว....ท่านขว้างถ้วยที่ได้รางวัลมาทิ้งจากข้างบนลงมาข้างล่าง แต่ท่านแมชซึ่งเป็นน้องชาย ก็ยังอุตส่าห์ลงไปเก็บมาให้พี่ชายของท่าน...."

    ทีน่ารับฟังต่อไปเรื่อยๆ

    "หลังจากนั้นท่านเอ็ดการ์ตั้งใจที่จะนำถ้วยนี้ไปตั้งไว้ที่หลุมศพท่านพ่อ แต่แม่นมแมทรอนที่เลี้ยงดูทั้งสองท่านมาตั้งแต่เด็กๆส่งพินัยกรรมให้อ่าน...ท่านจึงสร้างห้องเกียรติยศขึ้นมาและนำสิ่งของต่างๆตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมาตั้งประดับไว้ให้ผู้ที่เยี่ยมชมได้เข้ามาดูกัน..."

    "ถึงกระนั้นก็ตาม...ที่นี่ก็ยังไม่สมบูรณ์เหมือนอย่างเดิม..."

    เสียงหญิงชราคนหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง ทั้งสองหันไปพร้อมกัน...เธอเดินเข้ามาช้าๆ

    "เอ่อ ป้าคือ...." ทีน่าสงสัย

    "ใช่ ชั้นเองที่เป็นคนเลี้ยงทั้งสองท่านมาตั้งแต่เด็กๆ...เธอออกไปก่อน...เดี๋ยวชั้นจะดูแลเธอคนนี้เอง" บอกทหารที่เป็นไกด์

    "รับทราบครับ..." โค้งแล้วเดินออกจากห้องเกียรติยศไป

    "ป้าคะ...เอ่อคือ..."

    "หนูยังไม่ต้องพูดอะไรหรอกนะ ป้าเข้าใจเรื่องที่หนูจะถามอยู่..." แมทรอนพูดจบแล้วยื่นซองจดหมายให้เธอฉบับหนึ่ง ทีน่าลองเปิดอ่านดู

    "ถึงทุกคนที่เกี่ยวข้องในปราสาทฟิกาโร่แห่งนี้

    ขอให้สิ่งที่ข้าพเจ้าเขียนในพินัยกรรมฉบับนี้เป็นไปตามที่ข้าพเจ้าตั้งใจไว้เมื่อข้าพเจ้าสิ้นลมไปแล้ว 1 สัปดาห์ สิ่งที่ข้าพเจ้าต้องการให้ทุกคนทราบและน้อมรับปฏิบัติมีดังนี้

    1.กษัตริย์ที่จะได้ครองราชย์ต่อจากข้าพเจ้านั้น ขอให้ลูกชายฝาแฝดทั้งสองของข้าพเจ้าได้ตัดสินใจกันเองว่าใครต้องการที่จะขึ้นครองราชย์ แต่ขออย่าให้เกิดการนองเลือดกัน ซึ่งข้าพเจ้าหวังว่าจะเป็นเช่นนั้น เนื่องจากลูกชายทั้งสองของข้าพเจ้านั้นได้ถูกปลูกฝังและเลี้ยงดูมาอย่างดี มีคุณธรรม มีความกล้าหาญ กล้าตัดสินใจในทุกสถานการณ์ และมีความสามัคคี ไม่แตกแยกกันอย่างแน่นอน

    2.ขอให้ฝ่ายก่อสร้างและซ่อมแซมของปราสาทได้สร้างห้องเกียรติยศเพิ่มขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ต่อกษัตริย์องค์ก่อนๆและองค์ปัจจุบัน เพราะข้าพเจ้าต้องการที่จะให้คนรุ่นหลังไม่ว่าจะเป็นลูกชายของข้าเอง รวมทั้งทุกคนที่เกี่ยวข้องในปราสาทนี้ได้ภาคภูมิใจ และนำไปปฏิบัติใช้ในทางที่ถูกที่ควร เพื่อความสงบสุขของปราสาทและหมู่บ้านของเรา

    3.เรื่องของการเป็นพันธมิตรกับฝ่ายจักรวรรดินั้น ขอให้เป็นไปตามสนธิสัญญาเดิมที่ข้าพเจ้าได้ตกลงไว้กับท่านกัสโทร่า ไม่จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงใดๆทั้งสิ้น

    สุดท้าย ขอให้ทุกคนมีความสามัคคีกัน อย่าได้แตกแยกเป็นเหล่าเป็นพรรค และขอให้ทุกคนเชื่อฟังคำสั่งของราชาองค์ใหม่ที่จะขึ้นครองราชย์ต่อจากข้าพเจ้า และขอให้การฝังศพของข้าพเจ้าเป็นไปอย่างราบเรียบและเรียบง่าย....

    ลาก่อน....เอ็ดการ์ แมช ลูกรักทั้งสอง แซมมวล สหายรบ ทหารข้าพเจ้า และพสกนิกรทุกคน...

    ฟิลลิปส์ เรโนลด์ ฟิกาโร่...."

    ทีน่าเก็บจดหมายออกแล้วหยิบรูปภาพที่อยู่ในซองออกมาดู...

    "คุณป้าคะ คนไหนเป็น..."

    "ที่หนูถืออยู่น่ะ เป็นรูปของท่านแมช น้องชายของท่านเอ็ดการ์..."

    ทีน่าถามต่อไป "แล้ว...."

    "ท่านแมชออกจากปราสาทฟิกาโร่ไปเกือบปีแล้ว....."

    ------------------------------

    เป็นเวลาเที่ยงคืนเศษ...

    เอ็ดการ์นั่งอยู่ในห้องสมุดเพียงลำพังพร้อมกับตะเกียงที่จุดอยู่บนโต๊ะ ในใจก็คิดไปเรื่อยๆว่า

    เมื่อเราไม่มีพ่อแล้วเราจะอยู่อย่างไร....?

    เราจะทำอะไรดี....?

    คิดไปคิดมาก็คิดไม่ตก นั่งกุมขมับตนเอง น้ำตาก็จะไหลออกมาให้ได้ แต่เมื่อคิดได้ว่าพ่อเคยบอกไว้ ลูกผู้ชายย่อมไม่ร้องไห้ออกมายามที่ไม่จำเป็น จึงปาดดวงตาเพื่อให้น้ำตาที่คลอเบ้าออกจากเบ้าตาให้หมดจนหยดลงมาที่โต๊ะ...

    แมชเดินเข้ามาหาพี่...ตามที่ตกลงกันไว้

    "ท่านพี่เรียกข้ามีเรื่องอะไรหรือ....?" แมชถาม

    เอ็ดการ์เดินลุกออกมาจากโต๊ะ...แล้วถามว่า

    "เจ้าเองก็เหมือนกับพี่ใช่มั้ย ที่ต้องการจะออกไปสู่โลกกว้าง ท่องเที่ยวไปตามสิ่งที่ตัวเองมุ่งหวังไว้...."

    "ท่านพี่พูดอะไร ข้าไม่เข้าใจเลย...."

    "เจ้าบอกพี่มาตามตรงเถอะ...ถ้าเจ้าอยากที่จะไป พี่ก็จะปล่อยให้เจ้าไป..."

    แมชเริ่มงง อะไรที่ทำให้พี่ของเขาพูดเช่นนั้น.... ต่างคนต่างนิ่งอึ้งกันไป...แต่ต่างอารมณ์กัน

    "ท่านพี่ต้องการจะบอกอะไรกับข้า? ถ้าเรื่องที่เราต่างเคยคุยกันตอนนั้นล่ะก็....เอ่อ...." เงียบแล้วก้มหน้า

    "ในเมื่อเจ้าตัดสินใจไม่ได้" เอ็ดการ์พูดอย่างเรียบๆ แล้วหยิบเหรียญขึ้นมาเหรียญนึง "พี่จะให้พระเจ้าตัดสินเอง...ถ้าออกหัว เจ้าต้องไปตามที่เจ้าเคยบอกกับพี่ไว้ แต่ถ้าออกก้อย พี่จะยอมออกไปจากปราสาทเอง..."

    แมชเริ่มหน้าเศร้า แล้วพูด "แต่ท่านพี่ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องแยกกับข้านี่ ข้าเองก็สามารถอยู่ในปราสาทได้โดยที่ไม่ขออะไรมากกว่านี้ ถ้าท่านพ่อรู้เรื่องเราเข้า ท่านพ่อจะรู้สึกยังไง...."

    "พี่รู้ แต่เจ้าเองก็อยากที่จะได้อิสระ เราต่างคนต่างก็อยากที่จะเที่ยวไปบนโลกใบนี้ พี่เองก็อยากไปเหมือนกัน เจ้าเข้าใจใช่มั้ย เมื่อลูกผู้ชายได้พูดอะไรออกไปแล้ว ก็ต้องไม่เสียคำสัตย์ ตอนนี้โอกาสมาถึงแล้ว..." เอ็ดการ์พูดเสียงดังขึ้น

    แมชได้ยินดังนั้น เลือดลูกผู้ชายในตัวเริ่มฉีดและวิ่งพล่านทั้งตัว "ข้าเข้าใจแล้ว ให้เหรียญเป็นผู้ตัดสินเลยละกัน...!!!"

    "ตกลง.....!!!"

    แล้วเอ็ดการ์ก็โยนเหรียญขึ้นไปสูงเกือบถึงเพดาน....

    ต่างคนต่างมองหน้ากัน แมชมีน้ำตาคลอเบ้ามากขึ้น ผิดกับเอ็ดการ์ที่มองแมชเหมือนกับเป็นการมองหน้ากันครั้งสุดท้าย....

    กริ๊งง.............กริ๊งงงงงงงงง!!!

    "ขอให้เจ้าเดินทางโดยสวัสดิภาพนะ....ลาก่อนน้องรัก..." แล้วเอ็ดการ์ก็เดินหันหลังกลับไปพร้อมกับน้ำตาที่หล่นลงมาอาบแก้ม แล้ววิ่งออกไปจากประตู

    "เดี๋ยว....ท่านพี่.....!!!" แมชร้องเรียกไว้แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว เขาทรุดลงนั่งที่เก้าอี้ ร้องห่มร้องไห้เป็นการใหญ่ แล้วก็สังเกตเห็นหยดน้ำบนโต๊ะที่ยังไม่จางหายไป

    "นี่มัน....น้ำตา.....ของพี่......." แล้วหันกลับไปมองที่ประตูทางออก แล้วเก็บเหรียญขึ้นมาดู....

    น้ำตาของแมชไหลออกมาเป็นเผาเต่าอีกครั้ง....

    "ทำไม?!!! ทำไมต้องบังคับข้าด้วย....? ข้าไม่เข้าใจ.....ท่านพี่......................................................!!!!!!!"

    ฝนเริ่มเทลงมาที่นอกปราสาท แสงสายฟ้าที่วูบวาบทุกครั้งที่มีฟ้าผ่าลงมา ยิ่งทำให้หัวใจของราชบุตรคนเล็กของจักรพรรดิฟิลลิปส์เศร้าใจและเสียใจมากขึ้น.....

    ------------------------------

    ทีน่าฟังแล้วก็ยังอดน้ำตาไหลไม่ได้ ที่เธอร้องไห้นั้นเป็นเพราะว่าเธอไม่อยากให้ใครต้องมาแยกจากกัน ในหัวใจของเธอนั้นช่างเป็นคนดีจริงๆ....

    "ใจจริงแล้วท่านเอ็ดการ์เองก็ไม่อยากที่จะครองราชสมบัติ เมื่อสมัยก่อนนั้นทั้งสองเคยบอกกับป้าว่า อยากออกไปผจญภัย เป็นผู้กล้า ปราบปีศาจร้ายหรือสัตว์อสูร เพื่อให้ประชาชนแต่ละแห่งมีความร่มเย็นเป็นสุข แต่เมื่อท่านฟิลลิปส์ทรงสวรรคต ความคิดของทั้งคู่จึงต้องมีคนเดียวเท่านั้นที่จะสมหวัง...." แมทรอน
    อธิบาย

    ทีน่าเริ่มปาดน้ำตาให้หายจากอาการอินกับเรื่องราว แล้วดูในซองจดหมายอีกครั้ง...

    เหรียญนั้นเอง....

    เธอมองดูเหรียญแล้วอุทาน "ตายจริง....."

    "ใช่แล้ว เหรียญนี้เองที่ท่านแมชฝากคืนมาที่เอ็ดการ์ แต่ป้าไม่คิดที่จะส่งคืนให้ท่านเอ็ดการ์หรอกนะ บางที ท่านเอ็ดการ์ก็อาจจะคิดว่า ท่านแมชเป็นคนเก็บเอาไว้ดูต่างหน้าก็เป็นได้นะ..." ป้าแอบยิ้มที่มุมปาก

    เธอดูทั่วทั้งเหรียญอีกครั้ง....แล้วก็ต้องตกใจ

    "นี่....มัน....เหรียญหน้าเดียว!!!"

    "ท่านเอ็ดการ์ยอมให้น้องชายของเขาได้สมหวัง...ในขณะที่ตนเองยอมที่จะแบกรับภารกิจของปราสาทนี้แต่เพียงผู้เดียว....ช่างเป็นคนที่เสียสละอย่างมากมายจริงๆ...." แมทรอนพูดจบก็พาลน้ำตาจะไหลเหมือนกัน ทีน่าเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมตอนนี้เอ็ดการ์ถึงเป็นคนที่ดูมีความเป็นผู้นำสูง และมีความสุภาพต่อคนอื่นๆด้วย

    "คุยอะไรกันหรือเนี่ยสาวๆ??" เอ็ดการ์เดินมาจากด้านหลัง.... "ท่านป้าคุยอะไรกันหรือครับ...??"

    "อ๋อเปล่าจ้า ไม่มีอะไรหรอกค่ะท่าน ก็แค่ชวนคุยชวนเที่ยวตามประสาคนเฒ่าคนแก่ที่เห็นเด็กสาวตัวคนเดียวก็กลัวที่จะเหงา เลยมาคุยเป็นเพื่อนด้วย..."

    "อ้อครับ...." แล้วยิ้มให้ป้าแม่นม....

    "ป้าขอตัวก่อนนะคะ จะไปช่วยงานที่แผนกครัวหน่อย จะไปทำอาหารให้แม่หนูคนนี้กินตอนเย็นนี้หน่อย...." แล้วหันมายิ้มให้ทีน่า

    "เชิญคุณป้าตามสบายครับ..." พูดอย่างสุภาพ แล้วแมทรอนก็เดินออกไปที่ประตูฝั่งไกล

    "เธอคงจะรู้เรื่องราวของเรามาไม่มากก็น้อยสินะทีน่า...." เค้าเริ่มเรื่องกับทีน่าอีกครั้ง ทีน่าพยักหน้า...

    "เอาเป็นว่า ตอนนี้เรายังไม่อยากคุยเรื่องของเรากับเธอในตอนนี้นะ ตอนนี้เธอต้องดูแลตัวเองด้วย เพราะเราไม่รู้ว่า พวกจักรวรรดิจะหาตัวเธอไปอีกนานแค่ไหน...."

    เธอเริ่มก้มหน้าคิดหนักอีกครั้ง....

    เฟร็ดรีบวิ่งเข้ามาอย่างหน้าตาตื่นแล้วมากระซิบที่ข้างหูเอ็ดการ์ พยักหน้าสองสามครั้งแล้วบอกกับทีน่าว่า

    "เธอตามเฟร็ดเข้าไปที่ ‘ห้องหลบภัย’ ก่อนนะ แล้วชั้นจะบอกล็อคให้พาเธอออกมาเอง....ตกลงนะ..."

    เธอพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง....

    "เชิญทางนี้ครับ...!" เฟร็ดเดินนำทางเธอไปข้างหน้า

    "เอาล่ะ เป็นไงเป็นกัน.....!!" เอ็ดการ์เหน็บกระบี่ยาวที่คาดเอวไว้แล้วเดินออกจากห้องไปที่หน้าปราสาทฟิกาโร่ตามที่เฟร็ดเข้ามาบอก...

    -----------------------------

    ที่หน้าปราสาทฟิกาโร่...

    "โอ้ยย.......! ทำไมมันช่างร้อนอย่างนี้เนี่ย เจ้าเอ็ดการ์ทำไมมันต้องมาตั้งปราสาทตรงที่นี่ด้วยนะ ช่างบ้าบอจริงๆ...." เคฟก้าที่พึ่งเดินทางมาถึงด้วยหุ่นแมจิเท็คส์พร้อมกับทหารเลวอีก 2 นายบ่นไม่หยุด "มันคิดได้ไงเนี่ย...ตั้งปราสาทในทะเลทราย....ฮ่วย!!"

    มองที่ปราสาทด้วยอารมณ์หงุดหงิดแกมรีบร้อนที่จะดำเนินแผนการแรกให้เสร็จๆกันไป เพื่อที่จะได้ไม่ต้องทนร้อนอีก "พวกแก!! มีทรายเปื้อนอยู่ที่รองเท้าบูทของข้าเนี่ย...!!!"

    ทหารทั้งสองงง "แล้วยังไงต่อ...??"

    "เพี๊ยะ!!!"

    "ไอ้ทึ่ม!!! ได้ยินแล้วก็รีบเช็ดให้มันสะอาดสิวะ ถามอะไรโง่ๆ จริงๆเลย!!" พลางยืนกอดอก ทำให้ทหารทั้งสองต้องช่วยขัดรองเท้าเปื้อนทรายทั้งสองข้างอย่างลวกๆ

    "เสร็จแล้วครับ!!! เรียบร้อยครับ!!"

    "แล้วไม่ต้องให้ข้าสั่งอีก เข้าใจมั้ย?!!!

    "ครับ!!!"

    เคฟก้าเริ่มคลายความหงุดหงิดลงบ้าง แต่ก็ยังต้องถอดเสื้อคลุมสีเขียวตัวโปรดออก อากาศตอนกลางวันบนทะเลทรายนี่ช่างร้อนเสียจริงๆ....

    "นี่!!! เมื่อไรนายของพวกแกจะออกมาซะทีวะ??! ข้ารอนานเกินกว่าที่จะทนไหวแล้วนะ!!" หันไปหงุดหงิดใส่ทหารหน้าประตู

    "เดี๋ยวท่านก็คงจะออกมาครับ พึ่งจะเสร็จสิ้นประชุมประจำสัปดาห์"

    ทหารคนนั้นตอบอย่างนิ่มๆ ทำเอาเคฟก้าที่ยิ่งอารมณ์เสียอยู่ยิ่งเลวร้ายลงไปอีก...

    ราชาฟิกาโร่เดินออกมาจากประตูด้วยหน้าตาที่ยิ้มแย้มสดใส แล้วกล่าวทักทาย "สวัสดีพลเอกเคฟก้า อะไรหอบท่านมาถึงที่ปราสาทข้าได้นี่...?" พลางยิ้มให้ปนความแปลกใจนิดๆ

    เคฟก้ามองหน้าเอ็ดการ์ตรงๆ "ข้ามาเพื่อถามเจ้าข้อเดียวเท่านั้น....."

    "ไม่เห็นจะต้องลำบากเลยท่าน ก็แค่ส่งคนมาถามข้าที่ปราสาทก็ได้ ข้าก็จะส่งจดหมายกลับไปเอง ท่านก็รู้นี่ เราอยู่ฝ่ายเดียวกัน ไม่จำเป็นหรอกที่ท่านต้องเดินทางมาอย่างลำบากเพื่อที่จะมาถามคำถามแค่ข้อเดียว มันเสียเวลาอยู่น้า....." แล้วกระดิกนิ้วชี้อีกครั้ง....

    เคฟก้าเริ่มฉุนที่ถูกราชาหนุ่มยอกย้อนและดึงเวลาแบบนี้ "ข้าไม่ฟังเจ้าแล้ว เจ้าตอบมาคำเดียว คนของเราคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้หญิง ได้หายตัวไปจากกองจักรวรรดิใหญ่ ทางเราสืบทราบมาว่าที่ฟิกาโร่นี้ได้ตัวหญิงสาวคนนี้ไป พวกเจ้า...จะส่งคนของเราคืนมาได้หรือไม่??!!!" มองตาเขม็งไปที่เอ็ดการ์

    ราชาแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้แล้วย้อนกลับไปอีก "โอยท่านเคฟก้า! ข้าจะไปเก็บผู้หญิงที่ไม่รู้ว่าเป็นใครมาทำไม จริงอยู่ ข้าเป็นสุภาพบุรุษคนหนึ่งที่หลงไหลในความงามของอิสตรี แต่ข้าก็ไม่เคยไว้ใจอะไรได้ง่ายๆ แล้วอีกอย่าง ปราสาทนี้ตั้งอยู่กลางทะเลทราย จะมีผู้หญิงคนไหนที่มันมาหลงอยู่ในบริเวณนี้ และอีกอย่าง ถ้าคิดจะค้นหาเธอในปราสาทนี้ ขอบอกเลยว่าหายังไงก็หาไม่เจอ เพราะไม่ได้อยู่ที่นี่จริงๆ..."

    เคฟก้าเริ่มโมโหมากขึ้น แต่ต้องข่มอารมณ์ไว้ก่อน เพราะตอนนี้ตัวเองกำลังเสียเปรียบ ถ้าเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาตอนนี้ อาจจะจะต้องกลับออกไปด้วยความอับอายก็เป็นได้

    ‘ยังก่อน....ยังก่อน....’ เขานึกในใจ แล้วพยายามใจเย็นลงก่อนที่จะพูด

    "ถ้าเจ้าแน่นอนเช่นนี้แล้ว ข้าจะไม่ถามอีก แต่...ข้าจะบอกอะไรให้เอาบุญไว้อย่างนึง ข้า....ไม่เคยไว้ใจฟิกาโร่เลยตั้งแต่พ่อของเจ้ารู้จักกับเบอร์นอน แล้วมาเข้าร่วมกลุ่มของเรา..."

    เอ็ดการ์ยังเก็บอาการอยู่ แต่จริงๆแล้วตกใจมากที่มีคนล่วงรู้ความลับของฟิกาโร่....

    "แล้วอีกอย่างนึง สักวันข้าจะเปิดโปงโฉมหน้าที่แท้จริงของฟิกาโร่ให้พวกจักรวรรดิได้รู้....สักวัน...กลับ!!!" แล้วเดินหันหลังกลับไปพร้อมทหารทั้งสองนายที่ติดตามมาด้วย เอ็ดการ์หน้าเครียดขึ้นมาในทันที...ตัวนิ่งเหมือนโดนสาบในทันใด

    เสียงหุ่นแมจิเท็คส์เริ่มหายออกไปไกล....

    ราชาหนุ่มถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ๆ "ว่าแล้ว....แล้วเราจะทำยังไงดีเนี่ยคราวนี้??"

    ล็อคเดินออกมาจากหลังประตู "เครียดไปทำไมเล่า....กะอีแค่เรื่องแค่นี้เองเพื่อน อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดแหละ ใช่มะ...?" เอ็ดการ์พยักหน้าแต่ไม่ได้มองหน้าที่ชายหนุ่ม

    "แล้วทีน่าล่ะ...เป็นไงบ้าง...??"

    "อยู่นี่แล้ว....ทีน่า ออกมาได้แล้วเร็ว...."

    เธอเดินออกมาจากประตูที่ล็อคเดินออกมาตอนแรก สีหน้าของเธอก็ดูเศร้าพอๆกัน เพราะทั้งสองแอบมองอยู่ที่หลังประตูตั้งแต่ต้นเลย...

    "พวกเราเห็นหมดแล้วล่ะ แต่ชั้นไม่ได้เป็นคนอยากแอบดูนะ ทีน่าต่างหาก..." แล้วโบ้ยให้เธออย่างขำๆ เอ็ดการ์ไม่ว่าไร ยิ้มเช่นกัน

    "ทีน่า ตอนนี้เราต้องขอโทษเธออีกครั้งที่ต้องบังคับเธอให้หลบตรงนู้น ซ่อนตรงนี้ บางทีเธออาจะกลัว หรืออาจจะเบื่อ ก็ขอโทษด้วยละกันนะที่เราเองเป็นเจ้าบ้านที่ไม่ค่อยดีเท่าไร นี่เดี๋ยวเราก็ต้องเรียกประชุมเป็นการด่วนอีก ก็ไม่มีเวลาที่จะพูดคุยกับเธอ คงจะได้คุยกันอีกทีก็ช่วงเวลาอาหารเย็นเลย ตกลงนะ..." เธอพยักหน้า

    "ล็อค นายเองก็เข้าประชุมกับเราด้วยนะ เราต้องการความช่วยเหลือจากนายด้วยแล้วตอนนี้..." บอกกับเพื่อนนักล่าสมบัติ

    "อ้าว แล้วตอนอื่นนี่ชั้นไม่สำคัญเลยหรอ ถึงได้มาขอชั้นตอนนี้..." เจ้าล็อคย้อนแหย่ๆ

    "แหงสิ...ก็นายมันไม่ค่อยที่จะอยู่เป็นหลักเป็นแหล่ง จะตามตัวก็ไม่ค่อยจะเจอ อย่าเสียเวลาเลย ไปกันเถอะ..." กษัตริย์หนุ่มชวน แต่...

    "อื้ม...นายไปก่อนเถอะ ชั้นจะพาทีน่าไปส่งที่ห้องพักก่อน เธอเองจะได้รู้ด้วยว่าห้องพักเธออยู่ตรงไหน จะได้ไม่หลง..." พร้อมกับยิ้มกว้าง เอ็ดการ์ตกลง

    "เฟร็ด ไปกับเราได้แล้ว เร็ว!!" ร้องเรียกเฟร็ดที่ยืนอยู่ประตูด้านในอีกคน...แน่นอน...เจ้าตัวเองก็แอบดูอยู่กับสองคนนี้เช่นกับ

    "แหะๆ...ขอรับท่านเอ็ดการ์!!" แล้วก็เดินตามหลังนายหัวไป

    "เอาล่ะทีน่า เธอต้องตามชั้นมาอีกครั้งแล้ว...มาเร็ว..." ชักชวนทีน่าให้ตามตนไป ทีน่าเดินตามไปช้าๆพร้อมกับถาม

    "มันจะเกิดเหตุการณ์ที่เลวร้ายขึ้นหรือล็อค??"

    "ชั้นเองก็ยังไม่รู้เหมือนกัน รู้เพียงว่าตอนนี้ปราสาทฟิกาโร่ไม่ปลอดภัยแล้ว เพราะเราอาจจะถูกพวกจักรวรรดิจับได้ว่าปราสาทเราเป็นหนอนบ่อนอยู่เมื่อไรก็ได้ เธอเองก็เห็นแล้ว เจ้าเคฟก้านั่น...คือคนที่เป็น...คนบังคับเธอในคืนนั้น..."

    เธออึ้งไป... "จริงหรือ.....คนนั้นน่ะนะ?? เธอรู้มาจากไหน..."

    "เอ็ดการ์น่ะ เป็นถึงสมาชิกระดับสูงของจักรวรรดิในตอนนี้ ภายหลังจากที่จักรพรรดิฟิลลิปส์ตายไป เอ็ดการ์ก็ได้เลื่อนขึ้นเป็นเสนาธิการอีกคนหนึ่ง และดูเหมือนว่าจะไม่ถูกกับเคฟก้าเอามากๆเสียด้วยแหละ..." อธิบายยืดยาวพร้อมกับเดินลงบันไดไป

    ทั้งสองออกมานอกตัวปราสาทใหญ่มาทางหอคอยทางด้านขวา มีทหารยามขี่นกสีเหลืองๆที่เรียกว่าโจโกโบะอยู่ 2-3 คน

    "อ่ะ...ห้องเบอร์นี้..." ล็อคยื่นเบอร์ห้องที่ได้จากเอ็ดการ์ให้ทหารยามรักษาการณ์หน้าหอ ดูเสร็จก็ส่งคืนพร้อมกับเปิดประตูเดินนำเข้าไป ทั้งสองเดินตามทหารนายนั้นเข้าไป แล้วเดินขึ้นบันไดต่อไปอีกที่ชั้น 3

    "ถึงแล้วครับ..."

    "โอเค...ขอบคุณมากๆ" แล้วทหารนายนั้นก็เดินลงไปข้างล่าง ปล่อยให้ทั้งสองอยู่กันลำพัง

    "เรื่องทั้งหมดที่เธอเห็นน่ะ เธอไม่ต้องกังวลนะ ทางเอ็ดการ์ ชั้น และลุงของชั้นที่กำลังจะมาถึงในปราสาทในไม่ช้านี้จะหาทางออกเอง...เธอพักผ่อนเถอะ"

    ทีน่ายังไม่เข้าใจอีกจึงถามไป "จากนี้ชั้นควรจะทำตัวยังไงดีล็อค??"

    ล็อคทำหน้ายิ้มแย้ม แล้วบอกกับเธอว่า "ไม่เห็นจำเป็นต้องคิดมากเลย เธอดูแลตัวเองให้ดี รักษาสุขภาพ อย่าให้เจ็บป่วยเหมือนตอนที่อยู่ที่นัลเซก็พอแล้ว แล้วชั้นกับเจ้าเอ็ดการ์จะช่วยเธอไม่ให้ใครมาทำอะไรเธอได้แม้แต่ปลายเล็บเลยแหละ..." พร้อมชูกำปั้นขึ้นมาอย่างขึงขัง ทำเอาเธอหัวเราะในความตลกของเขา

    "โอเคล็อค ขอบคุณมากนะ..."

    "เจอกันตอนอาหารเย็นนะทีน่า...."

    "บ๊ายบายๆ...." แล้วล็อคก็เดินลงบันไดไป

    ทีน่ามองตามแต่ก็ต้องเปลี่ยนสีหน้าเป็นกังวลอีกครั้ง ‘ชั้นเลือกทางเดินถูกแล้วหรือ กับการที่ต้องมีคนมาเดือดร้อนเพราะเรา เราคิดดีแล้วหรือ...’ ถอนหายใจแล้วเปิดประตูเข้าห้องไปพักผ่อนเพื่อคลายอาการอ่อนเพลียหลังจากที่ต้องเดินทางตั้งแต่เช้าตรู่.......

    -----------------------------
  8. hannover96

    hannover96 New Member

    EXP:
    881
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    Chapter 6 : Night of Fire

    ณ ปราสาทเว็คเตอร์

    เคฟก้ากลับมาด้วยอารมณ์ขุ่นมัว พร้อมทั้งคิดมาแล้วว่า คืนนี้จะต้องบุกปราสาทฟิกาโร่ให้ได้ เมื่อคิดได้ดังนั้นแล้วจึงนำเรื่องไปปรึกษาและเตรียมเข้าที่ประชุมกับกัสโทร่า...

    "ไปบอกท่านกัสโทร่าด้วยว่าข้ามาขอพบโดยการด่วน...!! เร็ว!!" สั่งทหารอย่างเสียงดัง ทหารที่ได้ยินดังนั้นก็กลัว จึงรีบวิ่งขึ้นไปบอกทหารองครักษ์ที่อยู่ด้านใน

    สักพักเจ้าตัวก็เดินเข้ามารอในท้องพระโรง ตามองไปที่นาฬิกาเรือนใหญ่ที่ติดอยู่บนผนังปราสาท

    กัสโทร่าเดินลงมาพร้อมกับสีหน้าเคร่งเครียดเช่นกัน "เคฟก้า มีเรื่องอะไรว่ามาเลย..."

    "ข้าได้ไปตรวจสอบที่ๆนังนั่นจะถูกนำไปซ่อนอยู่ แต่เมื่อไปแล้ว ข้ารู้ได้คำเดียวว่า ข้าเจอแล้ว แต่ยังไม่พบตัว ข้าแน่ใจ ว่าต้องใช่ที่นั่น...!!"

    กัสโทร่าฟังไปแล้วพยักหน้าไปด้วย "เจ้าเอ็ดการ์มันย้อนกลับมาว่าไม่มีทางที่จะหานังนั่นเจอในนั้น แต่ข้าดูจากเหตุการณ์แล้ว เห็นทีเราต้องบุกเพื่อค้นหา แล้วชิงตัวกลับมาอย่างเดียวเท่านั้น...!!" เคฟก้าพูดเสียงดังอีกครั้ง ทำเอากัสโทร่าต้องปราม

    "ใจเย็นก่อน แล้วมันคือที่ใด..."

    แล้วคำตอบที่ได้รับทำเอากัสโทร่าถึงกับอึ้งไปในทันที "ปราสาทฟิกาโร่!!!!!"

    "เจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าฟิกาโร่นั้นจะซ่อนมันเอาไว้...??"

    เคฟก้าไม่ตอบแต่ยื่นจดหมายฉบับหนึ่งส่งให้กัสโทร่าอ่าน...


    "ถึง อาร์วิส โคล

    เนื่องจากทางเราได้สืบทราบมาว่าทางจักรวรรดิกำลังจะส่งคนเข้าไปตรวจสอบ ‘สิ่ง’ ที่ท่านปกปิดรักษามาชั่วอายุคนในเร็ววันนี้ ขอให้ท่านได้เตรียมการเพื่อต่อต้านการทำงานของพวกจักรวรรดิด้วย ถ้าต้องการสิ่งใดเพิ่มเติมขอให้ส่งจดหมายมาถึงข้า แล้วข้าจะจัดหามาให้

    เอ็ดการ์ ร. ฟิกาโร่"

    กัสโทร่าเข้าใจความหมายในทันที เรื่องไม่จบแค่นั้น...

    "แต่ที่แน่ๆ มีคนที่เป็นไส้ศึกในกลุ่มพวกเรานอกจากเจ้าเอ็ดการ์อีก...ท่านรู้มั้ย??"

    "เหอะ....ไม่นะ..."

    "ท่านจำได้มั้ยว่ามีใครที่เข้าร่วมประชุมบ้างในวันนั้น..."

    กัสโทร่าทวนความจำ "อืม....มีข้า มีเจ้า เซริส และลีโอ 4 คน" กัสโทร่าได้คิดทันที...

    "แน่นอนครับ...นาวาตรีหญิงเซริส เชียร์ เป็นหนอนอีกคนที่อยู่ในจักรวรรดิเรา ข้ากับท่านไม่มีทางที่จะเป็นไส้ศึกแน่นอน พลโทลีโอก็ได้รับคำสั่งให้ไปที่โซโซ ก็เหลือแค่คนเดียวเท่านั้นที่เอาเรื่องในที่ประชุมไปบอก..."

    กัสโทร่าเริ่มหงุดหงิดขึ้นมา แล้วสั่งทหาร "ทหารทุกคน จับตัวเซริส เชียร์ มาที่ห้องโถงเดี๋ยวนี้...!!!"

    ทหารบางคนยังงงอยู่ว่าเกิดอะไรขึ้น

    "เร็วววววววว!!!!!!!!!!!!!!!" เสียงจากกัสโทร่าดังไม่แพ้เคฟก้าเลย ทำเอาทหารก็กลัวเหมือนกันแล้วรีบกรูกันออกไปทั้งหมดพร้อมอาวุธในมือ....

    "แค่นี้รู้แล้วใช่มั้ยท่านจักรพรรดิ์ ว่าเจ้าเอ็ดการ์นั้น มันไม่ได้มีความดีความชอบอะไรเลย จะดีก็แค่ประดิษฐ์เครื่องจักรอาวุธเหมือนช่างตีเหล็กธรรมดาๆคนนึง..."

    กัสโทร่าคิดได้แล้ว แต่ยังหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่...

    "ข้าตาสว่างแล้ว ขอบใจเจ้ามาก เคฟก้า!!"

    "ไม่เป็นไรครับ เพื่อจักรวรรดิของเรา ข้าทำได้ทุกอย่าง...."

    ------------------------------

    เวลาบ่ายสามโมงกว่า...

    การประชุมในปราสาทฟิกาโร่กำลังจะเริ่มขึ้น....เอ็ดการ์เดินเข้ามาพร้อมกับเฟร็ด ตามมาด้วยล็อคที่วิ่งมาอย่างเร่งรีบหลังจากส่งทีน่าเข้าที่พักแล้ว

    เอ็ดการ์นั่งที่หัวโต๊ะ ตามด้วยทั้งสองที่นั่งเก้าอี้ที่เหลืออยู่ แล้วเริ่มต้นเปิดประชุม "ทุกคนคงจะทราบกันไม่มากก็น้อยแล้วว่า ปราสาทของเราตอนนี้ ไม่ปลอดภัยอีกต่อไป...นั่นคือ เราจะต้องระมัดระวังกันให้มากขึ้น การรักษาความปลอดภัยต้องเข้มงวดให้มาก โดยเฉพาะหอคอยทางฝั่งขวามือ ที่เป็นที่พักของ ‘คนสำคัญ’ ที่เราต้องป้องกันรักษาไว้ไม่ให้พวกจักรวรรดิมาชิงตัวไปได้..."

    ทุกคนในที่นั้นพยักหน้าเข้าใจกัน...

    "เนื่องจากในค่ำคืนนี้เป็นคืนที่ล่อแหลมต่อการเข้าโจมตีของพวกจักรวรรดิ แน่นอนว่าทางนั้นก็น่าจะรู้กันแล้วว่าเราเป็นกลุ่มต่อต้านที่แฝงเข้าไปเป็นพวก เพราะฉะนั้น ขอให้ทุกหน่วยในปราสาทนี้ จงเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นในคืนนี้ หรือถ้าคืนนี้ไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรง ก็อย่านิ่งนอนใจว่าพรุ่งนี้มันจะไม่เกิด..." ลุกจากโต๊ะ เดินออกไปทางหน้าต่าง มองออกไปไกลๆแล้วพูดต่อ...

    "เราจะกำหนดแผนการคือ หนึ่ง ป้องกันไม่ให้ทหารของจักรวรรดิเข้ามาในปราสาทได้ แน่นอน เราจะต้องตั้งป้อมในปราสาทให้แข็งแกร่ง ขอให้ทางฝ่ายปืนใหญ่นั้นจงเตรียมดินปืนและตรวจสอบสภาพของปืนใหญ่ให้อยู่ในสภาพใช้งานได้ และเตรียมพร้อมตลอดเวลา ขอความร่วมมือด้วย..." มองไปทางหัวหน้าฝ่ายทหารปืนใหญ่
    "ครับ!!!"

    "ประการต่อมา เรื่องของอาวุธยุทโธปกรณ์ ให้ฝ่ายคลังตรวจสอบอาวุธที่จะใช้เช่นกันว่าใช้งานได้มากน้อยเพียงใด แล้วแจกจ่ายให้ทหารแต่ละคนอย่างเคร่งครัด" มองไปทางหัวหน้าฝ่ายคลัง

    "รับทราบ!!"

    "ต่อมาสำคัญมาก ถ้าปราสาทเราเริ่มเข้าสู่สภาวะที่เลวร้าย ซึ่งรวมไปถึงปราสาทเรากำลังจะถูกตีแตก เราจะใช้แผนสอง นั่นคือ...............การดำลงไปในทราย...!!"

    ทั้งหมดตกใจระคนอึ้งไปตามๆกันว่าจะต้องมาใช้แผนนี้.... "ไม่ต้องห่วง เราจะต้องป้องกันไว้ไม่ให้ใครมาทำลายปราสาทเรา ถึงเราจะต้องเสียตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ไปก็ตาม แต่ก็ยังดีกว่าที่จะถูกทำลายไปโดยที่เราไม่สามารถซ่อมแซมได้ หรือไม่ก็อาจจะใช้เวลาเป็นปี...." เอ็ดการ์อธิบายยืดยาว...

    "แต่ท่านเอ็ดการ์ เมื่อดำลงไปแล้วเราจะไปออกทางทิศไหน และตำแหน่งไหน??" หัวหน้าฝ่ายห้องเครื่องยกมือถามขึ้น

    "อืม....ตอนแรกเราตั้งใจว่าจะให้ลงไปทางใต้ แต่ทางนั้นเสี่ยงที่จะถูกกองเรือจักรวรรดิพบเห็นเอา เราจะไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ส่วนตำแหน่งไหนนั้น เรายังไม่สามารถบอกได้ หรือถ้าท่านคิดว่าตำแหน่งไหนเหมาะสมที่จะซ่อนปราสาทไม่ให้ถูกตรวจพบ เราให้อำนาจในส่วนนั้นเต็มที่ แต่ขอให้คิดให้รอบคอบก่อนที่จะโผล่ขึ้นมา หวังว่าคงเข้าใจ...."

    "ครับ!!!"

    "ส่วนตัวเรานั้น เราจะออกไปจากปราสาทพร้อมกับล็อคและ ‘คนสำคัญ’ แล้วมุ่งหน้าไปที่ฐานลับของกลุ่มต่อต้าน เพื่อดำเนินการหารือกับท่านเบอร์นอน มีใครขัดข้องมั้ย...?" ถามเพื่อให้แน่ใจ

    ไม่มีผู้ใดยกมือขึ้นมา มีเพียงแต่ล็อคเท่านั้น....

    "แล้วเราจะไปที่นั่นอย่างไรล่ะ....?"

    เอ็ดการ์ไม่จำเป็นต้องคิดมากเลย มองไปที่หัวหน้าฝ่ายพาหนะ "เจ้าจงเตรียมโจโกโบะที่มีร่างกายแข็งแรง เดินทางได้ไกลเป็นจำนวน 3 ตัวไว้รอเราตรงสะพานหอคอย แล้วเราจะออกไปพร้อมกับโจโกโบะเอง ถึงตอนนั้น เราจะแต่งตั้งให้เฟร็ดรักษาการณ์แทนเราก่อน จนกว่าเราจะกลับมาที่ปราสาทอีกครั้ง...มีใครขัดข้องมั้ย..."

    ไม่มีมือผู้ใดยกขึ้นมาอีกเช่นกัน....

    "ดี!! และสุดท้าย เราเองก็มีจุดประสงค์อยู่อีกข้อหนึ่งที่เราต้องการความเห็นชอบจากพวกท่าน..." ทุกคนจ้องหน้าราชาหนุ่มเหมือนอยากรู้

    "เราจะไปตามแมชกลับมา ทุกท่านมีใครขัดข้องอีกมั้ย....?"

    เกิดเสียงฮือฮาอีกครั้งในห้องประชุม....ล็อคและเฟร็ดเองก็ตกใจเช่นกัน....แต่ยังเก็บอาการไว้

    "เราต้องการตัวน้องชายเรากลับมา เรารู้ว่าเรื่องในอดีตอาจจะทำให้จิตใจน้องเราเจ็บปวด แต่เราก็ยังอยากที่จะพากลับมา....ทุกท่านว่าอย่างไร??"

    "ดีๆๆ!!"

    "เยี่ยมไปเลยท่าน!!"

    "ไม่มีปัญหา...!!"

    เสียงทั้งหมดแสดงความเห็นชอบเป็นเอกฉันท์ให้แมชกลับมาที่ปราสาท "ขอบคุณทุกคนมาก และหวังว่าทุกคนคงจะให้อภัยกับสิ่งที่เราได้ทำลงไปในอดีต เราขอโทษจากใจจริงๆ" พร้อมโค้งคำนับอย่างสวยงาม

    เสียงปรบมือดังทั่วห้องประชุม ล็อคยิ้มออกมาที่มุมปาก ไม่ต่างจากเฟร็ดที่น้ำตาอาบแก้ม เพราะเมื่อตอนทั้งคู่ยังเด็กนั้น เฟร็ดนี่เองที่เป็นทั้งเพื่อนเล่น เป็นพี่ และเป็นองครักษ์ที่คอยป้องกันทั้งสองพี่น้องไม่ให้ได้รับอันตรายใดๆทั้งสิ้น และตอนนี้ ทั้งคู่กำลังจะได้กลับมาเจอหน้ากัน ความปีติจึงเต็มล้นออกมาเป็นน้ำตาที่ไหลไม่หยุดในขณะนี้....
    "เอาล่ะ มีใครสงสัยอะไรมั้ย...?" เอ็ดการ์กล่าวเป็นครั้งสุดท้าย

    "เราจำเป็นต้องใช้กองหนุนจากพันธมิตรหรือไม่...??" หัวหน้าฝ่ายการทหารถามขึ้น

    เอ็ดการ์คิดสักพัก แล้วบอก "ไม่จำเป็น เราไม่อยากให้เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่โตมากไปกว่านี้อีก ขอให้เราจัดการกันเองดีกว่า..."

    "ครับ..!!"

    "เมื่อไม่มีอะไรแล้ว เราขอปิดการประชุม ทุกคนแยกย้ายทำหน้าที่ของตัวเองได้..."

    "ครับ!!!!!!" ทั้งหมดพูดเป็นเสียงเดียวกันแล้วแยกย้ายกันเก็บเอกสารที่แต่ละคนจดไว้ออกไป เหลือเพียงแค่เฟร็ดกับล็อคเท่านั้นที่ยังอยู่กับราชาหนุ่ม...

    "เฟร็ด...เราฝากด้วยนะ ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับนายคนเดียวนะ...อย่าทำให้เราผิดหวัง.."

    "ขอรับท่านเอ็ดการ์..." แล้วทำวันทยาหัตถ์ตามแบบฉบับของทหาร เอ็ดการ์เคารพกลับ...แล้วเฟร็ดก็เดินออกไปอีกคน

    "คราวนี้เราล่ะ จะทำอย่างไรกันดี...??" เอ็ดการ์หารือกับล็อค

    "ชั้นว่านะ มันต้องบุกกันมาคืนนี้แน่ๆ แต่มันจะมาไม้ไหนแค่นั้นแหละ..." คิดแบบง่ายๆ

    "เราว่านะ ยังมีอีกคนที่กำลังอยู่ในอันตรายไม่แพ้ทีน่าเลยตอนนี้...เพราะ ‘เธอ’ ก็เป็นถึงเสนาธิการของกลุ่มต่อต้านของเราเหมือนกัน"

    "ใครกัน...?"

    "เซริส!!!"

    ------------------------------

    ช่วงเวลาเดียวกันในปราสาทเว็คเตอร์

    หัวหน้าทหารฝ่ายต่างๆเริ่มทยอยเข้าห้องประชุมใหญ่ทีละคนๆ จนเริ่มจะเต็มห้อง แล้วจักรพรรดิกัสโทร่าก็เดินเข้าห้องมาพร้อมกับพลเอกเคฟก้าและพลโทลีโอที่เดินทางมาด้วยเรือเหาะอย่างเร่งรีบเพื่อเข้าร่วมประชุมด้วย...

    "ทั้งหมด ตรง!! ทำความเคารพ..!!" ทั้งหมดยืนตรงขึ้นเมื่อกัสโทร่า เคฟก้า และลีโอเดินเข้ามาในห้อง ทั้งสามนั่งลงบนเก้าอี้บนหัวโต๊ะ...

    "ขออภัยทุกท่านที่เราต้องเรียกมาประชุมเป็นการเร่งด่วน..." กัสโทร่าเริ่มต้น "เรามีเรื่องที่จะต้องหารือกับพวกท่าน 2-3 ประเด็น ซึ่งเป็นเรื่องเร่งด่วนมากเพราะมันส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของจักรวรรดิเรา...พวกเราทราบกันดีอยู่แล้วใช่มั้ยว่าจุดประสงค์ของเรานั้นคืออะไร...แน่นอน การปกครองอาณาจักรทั้งหมด กลับกลายเป็นว่า...ตอนนี้...มีสายสืบของพวกต่อต้านที่เราเป็นศัตรู ปะปนอยู่ในกลุ่ม..."

    ทหารยาม 3 คนลากตัวเซริส เชียร์ที่สลบไปแล้วแถมมีโซ่มัดที่ข้อมือเข้ามาในห้อง....

    แน่นอน....เกิดเสียงฮือฮาและกึกก้องในห้องประชุมแห่งนี้....

    "ทุกคนฟังก่อน...เราสืบทราบมาว่า เซริส เชียร์ ‘อดีต’ เสนาธิการของกลุ่มจักรวรรดิได้แอบส่งข่าวให้พันธมิตรของกลุ่มต่อต้าน เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการป้องกันของหมู่บ้านนัลเซ...."

    มีเสียงดังฮือฮาอีกครั้งนึง...

    "ฟังทางนี้!!!" ทุกคนเงียบกริบในทันที

    "ไม่เพียงเท่านั้น เราสืบทราบมาอีกว่า พันธมิตรใหญ่ของเราอีกส่วนหนึ่ง ก็เป็นไส้ศึกของเรามาช้านานมาก ซึ่งจดหมายฉบับนี้สามารถเป็นหลักฐานได้เป็นอย่างดี..."

    เคฟก้าอ่านประโยคในจดหมายแบบนั้นให้ทั้งห้องประชุมได้รับทราบ...

    ทั้งห้องประชุมอึ้ง บางคนตกใจ อ้าปากค้าง ปิดปาก หรือไม่ก็ทำตาโตอย่างตกใจ

    เคฟก้าอ่านจบก็เริ่มเวียนจดหมายให้ทุกคนอ่านเพื่อยืนยัน แล้วอธิบายต่อ "มีคนเข้าไปค้นและเก็บได้จากบ้านของหัวหน้าหมู่บ้านนัลเซ เมื่อวันที่เราไปตรวจค้นหา ‘ผู้สูญหาย’ ซึ่งมันเป็นประโยชน์มากที่จะเปิดโปงโฉมหน้าที่แท้จริงของพวกหลอกลวงได้..." แน่นอน ทหารนายนั้นที่เข้ามาตรวจค้นบ้านของอาร์วิสในคราวที่ทีน่าหนีออกไป จนพบจดหมายฉบับนี้ซ่อนอยู่ โดยที่อาร์วิสเองประมาทในเรื่องนี้ไป

    กัสโทร่าเอ่ยขึ้นบ้าง "นี่คือประเด็นแรกที่เราจะบอกมากับพวกท่านทั้งหลาย เรื่องที่สอง เราจะขอมติจากทุกคนในที่ประชุมนี้ ว่าจะทำยังไงกับ ‘คนทรยศ’ ผู้นี้ดี??" ชี้ไปที่เซริส

    มีเสียงปรึกษาหารือต่อกันและกันเป็นเวลานานเกือบ 5 นาที

    "เราจะขอมติโดยการยกมือนับเสียง ผู้ใดต้องการที่จะให้ประหาร ขอให้ยกมือ..."

    มีมือยกขึ้นมา 11 เสียงจาก 25 เสียง

    "ใครต้องการที่จะให้คุมขังไว้ก่อน...ขอให้ยกมือ..."

    ยกขึ้นมา 13 เสียง ไม่ออกเสียง 1 คน... เคฟก้าไม่พอใจเป็นอย่างมาก แต่ก็ยังเก็บอาการไว้....

    "ตกลงว่าเรามีมติว่า ให้คุมขังเธอเอาไว้ก่อน แล้วเราจะตัดสินโทษอีกครั้งหลังจากที่เราจะจัดการกับประเด็นที่ 3 ที่กำลังจะพูดอยู่นี้ให้เสร็จเสียก่อน...ทหาร...เอาตัวไปคุมขังไว้ที่ห้องใต้ดิน!!!" แล้วทหารยามก็ลากตัวเธอออกไปจากห้องประชุม

    แล้วลุกขึ้นพูด "เนื่องจากประเด็นแรกนั้น เราสืบทราบมาอีกด้วยว่า ทางฟิกาโร่นั้นได้ซ่อน ‘ผู้สูญหาย’ ในเหตุการณ์ที่นัลเซไว้ ซึ่งทางจักรวรรดิเองก็ไม่สามารถที่จะนิ่งนอนใจได้ เราจึงต้องชิงลงมือในคืนนี้โดยไปการเข้าตีปราสาทเพื่อชิงตัวมันมา ก่อนที่พวกมันจะพาไปซ่อนที่อื่น เพราะเราเองก็คิดว่า พวกมันคงจะรู้ตัวแล้วว่าความลับถูกเปิดเผย...เราจะเตรียมแผนการกันต่อไปนี้..."

    ทุกคนตั้งใจฟังกันอย่างเต็มที่...

    "ขั้นแรก ให้หัวหน้าฝ่ายหุ่นยนต์แมจิเท็คส์ เตรียมหุ่นเพื่อการรบไป 50 ตัว น่าจะเพียงพอต่อการเข้าตีของเรา แล้วเตรียมหุ่นที่จะเป็นกองหนุนด้วย ขั้นที่สอง ให้ทหารทั้งหลายแต่งชุดรบเต็มสูตร เราจะโจมตีให้เสร็จสิ้นภายในคืนเดียว และขั้นสุดท้าย ให้หน่วยแผนที่ตรวจสอบจุดยุทธศาสตร์ในบริเวณรอบๆด้วยว่า ตรงไหนที่จะสามารถซุ่มโจมตีได้ถ้ามีการหลบหนีของผู้นำปราสาท และ ‘คนของเรา’ ขอย้ำอีกข้อนึงว่า ขอให้จับเป็น ‘เธอ’ และเอ็ดการ์มาให้ได้ เป็นไปได้ ให้จับตัว ล็อค โคล เจ้าโจรห้าร้อยที่มีค่าหัวมาด้วยยิ่งดี เพราะเราสืบรู้มาอีกเช่นกันว่าเจ้านี่ คือตัวส่งและกระจายข่าวลำดับต้นๆของพวกต่อต้านเลยทีเดียว..."

    ทุกคนเริ่มจดแผนการที่ได้ฟังลงในเอกสารของแต่ละคน...

    "และที่จะลืมไม่ได้เลย เราจะส่งพลเอกเคฟก้า เป็นผู้บัญชาการรบในคืนนี้ และให้พลโทลีโอเป็นกองหนุน ส่วนตัวเราจะเป็นทัพใหญ่ที่จะคอยดูสถานการณ์ก่อนว่าจะยกไปตอนไหนถึงจะได้เปรียบ...เข้าใจกันตามนี้นะ"

    ทุกคนพยักหน้า บางคนก็จดงุดๆๆๆลงไปในสมุดหรือกระดาษ...

    "เราจะเช็คยอดรวมพลกันตอน 6 โมงเย็นวันนี้ ขอให้ทุกท่านเตรียมตัวให้พร้อม...ปิดการประชุม"

    "ทั้งหมด ตรง!! ทำความเคารพ..!!"

    กัสโทร่า เคฟก้า และลีโอทำความเคารพกลับแล้วเดินออกไปนอกห้องประชุม

    "ลีโอ เคฟก้า เตรียมตัวให้พร้อมนะ เราต้องการตัวมันเป็นๆ ทั้งสามตัวเลยได้ยิ่งดี..."

    "ครับท่าน..." ทั้งสองรับคำแล้วแยกย้ายกันไปตามส่วนที่ตัวเองได้รับมอบหมาย ส่วนกัสโทร่านั้นเดินขึ้นไปบนห้องที่พัก แล้วอาบน้ำชำระร่างกายเพื่อเตรียมทำศึกกับเอ็ดการ์ โรนี่ ฟิกาโร่ ราชันต์แห่งปราสาทดำดิน...!!

    ------------------------------

    ในห้วงเวลาแห่งหนึ่ง...

    ในห้องทดลองใหญ่ของกองบัญชาการจักรวรรดิ ‘เขา’ กำลังง่วนกับการทดลองสิ่งหนึ่งอยู่ในห้อง บรรยากาศรอบๆโดยรวมเงียบเชียบ มีเศษเหล็กเศษโลหะอยู่ในห้องเต็มไปหมด แผงควบคุมอันยาวเหยียด สวิทช์อีกนับไม่ถ้วน ดูแล้วมันมากมายจริงๆ

    "ฮ้า......เสร็จสักที คราวนี้ละ ทดลองกันเลย!!!!" ‘เขา’ ทำสำเร็จแล้วในการทดลองนี้ เหลือการทดสอบ...

    ‘เธอ’ ถูกแขวนอยู่บนกำแพงหินทางหลังห้อง สภาพของเธอตอนนี้ ไม่มีความรู้สึก ไม่มีสติ ตาปิด หัวตก ไม่มีปฏิกิริยาใดๆให้เห็น มีเพียงอาภรณ์เสื้อผ้าและมงกุฏเหล็กลักษณะแปลกๆบนหัวของ ‘เธอ’ แค่นั้น

    ที่ล็อกข้อมือถูกคลายออกมา ตัวของ ‘เธอ’ หล่นลงมาข้างล่าง ‘เขา’ ไม่รอช้า หยิบรีโมทอันนึงขึ้นมา แล้วชี้ไปที่ ‘เธอ’ พร้อมกับกดปุ่มเดินกำลัง

    ‘เธอ’ ลุกขึ้นมาอัตโนมัติ แล้ว ‘เขา’ ก็หยิบรีโมทอีกอันนึง กดไปที่ประตูเหล็กหน้าห้องทดลอง ประตูใหญ่ถูกเปิดออก ข้างในนั้นเป็นห้องโถงใหญ่เหมือนโรงอะไรสักอย่าง ข้างในนั้นมีหุ่นแมจิเทคส์ตัวหนึ่งถูกเปิดฝาห้องเครื่องไว้

    ‘เขา’ กลับมาหยิบรีโมทอันเดิมแล้วกดเพื่อบังคับ ‘เธอ’ ให้เดินไปที่หุ่นแมจิเท็คส์ แสงไฟบนมงกุฎตอบรับเป็นดวงไฟสีแดงเป็นระยะๆ

    ‘เธอ’ เดินอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร ปีนขั้นไปข้างบนหุ่นพร้อมกับปิดฝาแก้ว

    ‘เขา’ ยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์แล้วหัวเราะเสียงดังลั่น "ฮ่าๆๆๆๆ มันต้องอย่างนี้สิ เยี่ยมเลย สิ่งประดิษฐ์ของข้า!!! ฮ่าๆๆๆๆ" เสร็จแล้วก็หยิบรีโมทอีกอันนึง กดไปที่ประตูโรงใหญ่

    ประตูนั้นถูกเปิดออกมา หุ่มแมจิเท็คส์อีก 50 กว่าตัวเดินออกมาภายใต้คำสั่งการรบอัตโนมัติที่อยู่ในระบบของหุ่น...ทั้งหมดเข้าแถวเรียงหน้ากระดานตับเป็นระเบียบเรียบร้อย...

    ‘เขา’ ไม่รอช้าเริ่มดำเนินการต่อไป โดยกดรีโมทที่ใช้บังคับ ‘เธอ’ อีกครั้ง แล้วกดรีโมทอีกอันเพื่อให้หุ่นแมจิเท็คส์เริ่มโจมตีเป้าหมายที่ได้สั่งการไว้ ทั้งสองคำสั่งถูกนับถอยหลัง 30 วินาที

    ‘เขา เดินเข้ามาในห้องทดลองอีกครั้ง ปิดประตูเหล็กที่เชื่อมต่อห้องทดลองกับโรงใหญ่ แล้วขึ้นไปสังเกตการณ์ที่ชั้น 2 ตรงกระจกใส

    5...

    4...

    3...

    2...

    1...

    ‘เขา’ เฝ้าดูการเคลื่อนไหวอยู่ในนั้น ‘เธอ’ ที่ถูกบังคับอยู่ในโรงใหญ่นั้นก็ตอบโต้หุ่นทั้ง 50 กว่าตัวด้วยการโจมตีอันหนักหน่วง ถึงแม้เธอจะโดนรุมอยู่ก็ตาม...

    ไม่นาน...

    หุ่นทั้งหมดนั้นถูกทำลายเกลี้ยง ไม่มีชิ้นดี เศษเหล็กเศษแก้วแตกอยู่ในโรงมากมายนับไม่หวาดไม่ไหว แต่หุ่น ‘เธอ’ นั้น กลับไม่เป็นอะไรเลยสักนิดเดียว

    ‘ฮ่าๆๆๆๆ เยี่ยมมาก มันเยี่ยมจริงๆ ฮ่าๆๆๆๆๆ" ‘เขา’ คำรามหัวเราะอีกครั้ง ก่อนที่จะบังคับ ‘เธอ’ ให้ลงมาจากหุ่น พร้อมกับให้เข้ามาที่ประตูห้องทดลอง...

    ห้วงเวลาถูกเปลี่ยนผันไปอีกครั้ง

    ‘เธอ’ ในตอนนี้อยู่บนที่สูง กลางมหาชนมากมาย ไม่ใช่สิ...พวกข้างล่างนั่นเป็นทหารทั้งนั้น เครื่องแบบทหาร ทั้งหมดเข้าแถวตามกองร้อยกัน...

    ‘เขา’ ยืนอยู่ข้างหน้าเธอ พร้อมกับผู้ชายที่รู้สึกเหมือนเป็นผู้นำอะไรสักอย่าง พร้อมกับคนอีก 2-3 คนที่ยืนอยู่หลังคนนั้น แล้วก็มีเสียงดังออกมาจากคนนั้นเช่นกัน...

    "ขอให้นายทหารทุกคน!! จงจำเอาไว้ว่า!! เมื่อได้เป็นทหารของจักรวรรดิแล้ว ขอให้ทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด!! การที่เราจะเป็นหนึ่งในอาณาจักรได้นั้น!! เราต้องมีความสามัคคี!! ความกล้าหาญ!! ความอดทน!! ดั่งที่ทหารหาญทุกคนควรจะมี!! พี่น้องทหารทั้งหลาย!! เรารู้อยู่แก่ใจว่าทุกคน!! ทำเพื่อจักรวรรดิมากมายขนาดไหน ดังนั้น เพื่อความรุ่งเรืองของจักรวรรดิเรา!! เรามาพร้อมใจกันสร้างอาณาจักรแห่งจักรวรรดิ!! ให้ยิ่งใหญ่กันเถอะ..." แล้วชูนิ้วโป้งเอียงซ้ายขึ้นฟ้า...

    เสียงทหารมากมายโห่ร้องสดุดีคนๆนั้นดังทั่วลานทหาร...

    "ทรงพระเจริญๆๆ!!!!"

    "เรารักจักรวรรดิๆๆๆ!!!!"

    เสียงโห่ร้องๆต่างๆนาๆ ทุกคนที่อยู่ใกล้ๆ ‘เธอ’ ตอนนี้กำลังเดินกลับเข้าไปที่ประตูด้านหลัง

    เสียงโห่ร้องยิ่งดังขึ้นๆๆ....’เธอ’ รู้สึกได้ถึงอย่างนั้นจริงๆ จนเธอเองยิ่งจะจนไม่ไหว จะเดินตามกลับเข้าไปก็ไม่ได้เพราะถูกครอบด้วยมงกุฏอันเดิมอยู่...เธอทนไม่ไหวแล้ว ไม่อยากจะอยู่ที่หน้าตรงนี้อีกแล้ว.....

    ------------------------------

    "ก็อกๆๆ....!"

    "ทีน่า ตื่นได้แล้ว ถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว....!!" ล็อคที่มาในชุดงานเลี้ยงเต็มยศเคาะประตูเพื่อปลุกทีน่าให้ลงไปทานอาหารเย็นด้วยกันที่ห้องจัดเลี้ยงของปราสาท เวลานั้นเป็นเวลา 5 โมงเย็นนิดๆ

    ทีน่าตื่นขึ้นมาพร้อมกับสิ่งที่ตัวเองเห็นเมื่อสักครู่นี้...แล้วนึกลำดับเหตุการณ์



    หุ่นแมจิเท็คส์....??

    เคฟก้า...??

    จักรวรรดิ...??

    "เฮ้ ทีน่า!!" เคาะประตูเรียกอีกครั้ง...

    "แปปนึงนะล็อค.." เธอตะโกนบอกออกไป แต่เธอก็ยังไม่ลุกออกจากเตียง

    เธอ...พอที่จะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้วว่า...

    เธอเป็นใคร...

    เธอมาจากที่ไหน...

    ทำไมพวกจักรวรรดิถึงต้องการตัวเธออย่างมากมาย...

    เธอเริ่มปวดหัวขึ้นมาอีกครั้ง...แต่ก็ตะโกนบอกไป "ขอชั้นอาบน้ำแปปนึงนะล็อค..."

    "โอเคได้เลย...ไม่มีปัญหา แล้วชั้นจะรอเธอที่ชั้นล่างตรงที่นั่งนะ..."

    "ตกลง ชั้นจะลงไปหาเอง" เธอบอกไป แล้วหยิบผ้าเช็ดตัว แล้วเข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำ...

    ล็อคเดินลงมาด้วยความที่อิ่มเอิบนิดๆ ทำไม...เราต้องเดินมาปลุกเธอด้วยนะ...หรือเรา

    แอบหลงเธอเข้าให้อีกครานึงแล้ว....

    สบัดหน้าทันที ‘เฮ่ย....ไม่จริงหรอกมั้ง ก็แค่เป็นห่วงเธอเท่านั้นแหละ....’ คิดในใจ แล้วก็หยุดคิดเรื่องของเธอไว้แค่นั้น...

    20 นาทีผ่านไป...เธอเดินลงมาพร้อมกับชุดราตรีกระโปรงสีขาวที่ป้าแมทรอนแอบเอามาวางไว้ในห้องตอนเธอนอนพักอยู่...ทำเอาล็อคอึ้งไปในทันทีกับความสวยของเธอ...

    "ไปกันเถอะล็อค...โทษทีนะที่ช้าไป...รอนานหรือเปล่า..."

    ล็อคนิ่ง...หน้าแดงไปอีกครั้ง ไม่กล้าสบตา แต่ตอบกลับไปสั้นๆเบาๆ "อือ"

    ทีน่าแอบยิ้มไม่ให้เห็น แล้วบอกกับล็อค "ไม่เห็นต้องอายเลย ไปกันเถอะ..." แล้วเดินนำหน้าล็อคไป ล็อคเดินตามหลังก็ต้องอึ้งอีกครั้งเพราะชุดนี้มันผ่าหลังจนถึงเอวเลย...

    อึ้งไปอีกที...คราวนี้หยุดเดินแล้วจ้องอ้าปากค้าง....

    ทีน่าหันกลับมาดู "ล็อค...เป็นอะไร..." ยิ้มแล้วเดินกลับเข้ามาเขย่าตัวเบาๆ

    ได้สติกลับมาแล้ว... "ออๆ เอ่อ ไม่มีอะไรๆ ไปกันเถอะ..."

    "อย่ามองชั้นอย่างนั้นอีกนะ ชั้นเองก็อายเป็นเหมือนกัน..." เธอเองก็หน้าแดงเล็กๆเช่นกัน

    แล้วทั้งสองคนก็เดินไปที่ปราสาทใหญ่ด้วยกันโดยที่ไม่มีการสนทนาใดๆเกิดขึ้นอีก...

    สองฝั่งของสะพานเชื่อมต่อระหว่างหอคอยกับปราสาทใหญ่ที่ทั้งสองกำลังเดินผ่านไปห้องจัดเลี้ยงนั้น มีกระจกแก้วหุ้มป้องกันไม่ให้ทรายพัดเข้ามาบนทางเดินได้เมื่อเวลามีพายุใหญ่ สองข้างสะพานเป็นจุดชมวิวทะเลทรายที่กว้างใหญ่ไพศาล เมื่อมองออกไปไกลๆก็จะเห็นภูเขาลูกใหญ่หลายลูกตั้งตระหง่านอยู่ไกลลิบ ทั้งสองเดินกันไปเรื่อยๆแล้วมองสิ่งเหล่านี้อย่างสนอกสนใจ โดยเฉพาะทีน่า เธอชี้ไปที่ๆหนึ่ง


    "ทำไมตรงนั้นมันมีเหมือนแอ่งน้ำด้วยล่ะ...?"

    "อ้อ...ตรงนั้นเรียกว่าโอเอซิส เป็นส่วนเล็กๆของทะเลทราย มันจะมีแอ่งน้ำและต้นไม้ขึ้นอยู่นิดเดียว...เหมือนเป็นจุดพักเหนื่อยของคนที่ต้องเดินทางผ่านทะเลทรายน่ะ..." เขาอธิบายสั้นๆ เธอพยักหน้าตาม...

    ทีน่ามองออกไปแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ๆออกมา...

    "เป็นอะไรไปทีน่า...ทำหน้าทำตาเหมือนเด็กเฝ้าบ้านอย่างนั้นแหละ.." เขาแซว แต่เธอตอบกลับ

    "ล็อค...เมื่อตอนบ่ายนั้นน่ะ...ชั้นฝันไม่ดี ไม่ใช่สิ มันเหมือนชั้นเห็นอดีตของตัวชั้นเอง...หรือเปล่าชั้นเองก็ไม่แน่ใจนัก..."

    "มันเป็นอย่างไรล่ะ...?" เขาถามอย่างสนอกสนใจแต่ยังสืบเท้าเดินไปเรื่อยๆ

    "ชั้นเห็นตัวเองกำลังยืนอยู่บนที่สูงที่หนึ่งหลัง...เอ่อ...น่าจะเป็นพวกของจักรวรรดิ และข้างล่างนั้นมีพวกทหารยืนเข้าแถวกันมากมายหลายหมื่นพันคน แล้วชั้นก็ตื่นขึ้นมา..."

    ล็อคพยักหน้าพลางคิดไปด้วย "อาจจะเป็นไปได้ที่ว่าเธออาจจะจำความอะไรได้บ้างแล้ว หรือไม่ถ้าคิดอีกอย่าง มันอาจจะเป็นลางบอกเหตุอะไรก็ได้...มั้ง...??" ทีน่าพยักหน้า...

    "แต่เธอไม่ต้องกังวลหรอกนะ เรื่องแบบนี้ชั้นว่า มันไม่น่าจะเป็นอะไรหรอก ดีซะอีกนะ ถ้าเธอพบว่า อดีตของเธอเป็นแบบนั้น สักวัน เธออาจจะรู้อะไรเกี่ยวกับอดีตอีกมากมายที่เธอกำลังตามหามันอยู่...ก็เป็นได้นะ..." พร้อมยิ้มให้ ทีน่ายิ้มคืนให้

    "ขอบคุณนะ...ชั้นรู้สึกดีขึ้นมากเลย..." ทำเอาล็อคหน้าแดงเล็กๆไปอีกครั้ง

    ทั้งสองเดินขึ้นไปข้างบนอีกชั้นนึง เดินผ่านบันไดเกลียวแล้วก็เจอกับประตูหน้าห้องซึ่งทำจากเหล็กกล้าหนาประมาณสามเมตร หน้าประตูถูกแกะสลักด้วยเลเซอร์ที่มีความร้อนจัดเป็นรูปดาบสีแดงเลือด หอกสีฟ้าน้ำทะเล และขวานสีเขียวใบไม้...ทีน่ามองด้วยความตะลึงเพราะมันสวยงามมากเลยทีเดียว

    "นี่แหละ คือสัญลักษณ์ของกลุ่มต่อต้านของเรา จำสัญลักษณ์นี้ไว้ให้ดีด้วยนะ เพราะเมื่อเธอเห็นสัญลักษณ์นี้ที่ไหน รู้ไว้เลยว่า ถ้าตอนนั้นเธอต้องการความช่วยเหลือ เธอก็สามารถที่จะขอความช่วยเหลือจากทหารของเราแถวนั้นได้ได้..." ล็อคอธิบายให้ฟัง เธอพยักหน้า

    ทหารหน้าประตูเปิดประตูเหล็กด้วยระบบปุ่มที่อยู่ข้างๆนั้น ประตูใหญ่ถูกเลื่อนออก แล้วทีน่าก็ต้องตกตะลึงด้วยความทึ่งยิ่งกว่าหน้าบานประตู...

    ข้างในนั้นถูกประดับตกแต่งด้วยบรรยากาศที่เหมือนได้เข้าไปในป่าลึก มีต้นไม้ปลอมที่สร้างเหมือนจริงอยู่ในห้องหลายต้น ใบไม้แต่ละใบเขียวเหมือนช่วงฤดูใบไม้ผลิใหม่ๆ ลำต้นก็ใหญ่โตและบางต้นก็สูงเกือบถึงเพดาน ของประดับที่จัดโชว์ไว้ไม่ว่าจะเป็นจานชามที่ถูกจัดโชว์อยู่ในตู้ หุ่นทหารเหล็กที่ถูกตั้งให้ยืนอยู่แต่ละจุดก็ดูสง่างามไม่แพ้กับอาวุธทั้งหลายที่ถูกประดับอยู่บนผนังตามจุดต่างๆ...

    ‘เชื่อเอ็ดการ์เลยจริงๆ...’ เธอคิดในใจและแอบชื่นชม

    "ล็อค...ทีน่า เชิญทางนี้เลย..." เสียงราชาหนุ่มที่นั่งอยู่หัวโต๊ะร้องเรียกให้ทั้งคู่มาร่วมโต๊ะรับประทานอาหารที่สวยงามและยาวใหญ่โตมาก พอที่จะรองรับแขกที่มานั่งรับประทานที่นี่ได้ถึง 30 กว่าคนเลยทีเดียว...

    ล็อคเลื่อนเก้าอี้ให้ทีน่านั่งก่อนที่ตัวเองจะนั่งฝั่งตรงกันข้าม เอ็ดการ์ถามขึ้นมา...

    "เป็นไงหลับสบายดีมั้ย...?"

    "ก็ดีนะ...ที่นอนนิ่ม หมอนก็นุ่ม ชั้นไม่เคยได้นอนเตียงอะไรแบบนี้เลย..."

    เอ็ดการ์หัวเราะเบาๆพร้อมทั้งยิ้มให้ "ถ้าเธอต้องการอะไรก็บอกป้าแมทรอนหรือคนดูแลที่หอนั้นก็ได้นะ...ไม่ต้องเกรงใจ" เธอพยักหน้า

    "ไก่งวงอบเนยมาแล้วค่ะท่าน..." แมทรอนเดินยกเอาอาหารมาให้ถึงที่เอง "โอว...ป้าครับ ป้าไม่น่าลำบากเลย ให้คนอื่นยกมาก็ได้นี่ครับ..."

    "แหม...ไม่เป็นไรหรอกค่ะท่าน อิชั้นเองก็อยากจะเจอแม่หนูคนนี้อีกนี่" แล้วยิ้มมาทางทีน่า...เธอเองก็ยิ้มตอบกลับป้าแม่บ้านไป


    เอ็ดการ์รู้สึกเหมือนกับว่ามีอะไรบางอย่างที่ทำให้เธอกับป้าคนนี้เหมือนผูกพันอะไรกันสักอย่าง แต่ก็เลิกคิดไปเพราะไม่รู้จะคิดไปทำไม อีกอย่าง ความจำของทีน่านั้นก็ยังไม่ฟื้นคืนมาหมด เลยล้มเลิกไปเสียแล้วถามว่า...

    "ป้าจะมาร่วมโต๊ะคุยกับเรากันมั้ย...? อย่าเกรงใจกันเลย ถือว่าเป็นคนครอบครัวเดียวกัน..."

    "ขอตัวล่ะคะท่าน ยังมีงานที่ห้องซักรีดข้างล่างอีกน่ะค่ะ เพราะคนงานทั้งหลายตอนนี้กำลังเร่งช่วยกันซ่อมแซมชุดทหารตามคำสั่งของท่านหัวหน้าฝ่ายยุทธภัณฑ์น่ะค่ะ..." เอ็ดการ์พยักหน้า "งั้นป้าตามสบายถอะ...กระผมไม่รบกวนแล้ว..."

    แมทรอนเดินออกไปที่หน้าประตู ทีน่าถามขึ้น "ป้าแมทรอนนี่เค้าเป็นคนน่ารักนะ ชั้นชอบจังเลยเอ็ดการ์..."

    เขาอธิบายเรื่องให้เธอฟังเกี่ยวกับป้าแม่นมคนนี้ "อืม...เพราะป้าท่านอยู่มาหลายชั่วอายุคนแล้วน่ะสิ..."

    เธอสงสัย...

    "ในปราสาทนี้มีตระกูลเก่าแก่ที่รับใช้ปราสาทนี้มาแล้วหลายยุคสมัยเลยนะ ตระกูลนี้สร้างทั้งชื่อเสียง ความจงรักภักดี ความกล้าหาญ และคุณธรรมต่างๆให้กับฟิกาโร่ของเรามาหลายอย่างเลยทีเดียว..."

    "ใช่ตระกูล ‘ฟาริโอรอส’ หรือเปล่า...?" เธอถามขึ้นเพราะได้เห็นชื่อนี้มากมายในห้องเกียรติยศ...

    "ใช่แล้วล่ะ...ฟาริโอรอสกับฟิกาโร่นั้นถือได้ว่าน่าจะเป็นครอบครัวเดียวกันไปเลยทีเดียว เพราะเรารู้ว่า ตระกูลเรากับฟาริโอรอสจะไม่มีวันแยกทางกัน เวลามีสุขก็ร่วมสุข มีทุกข์ร่วมกันแก้ไข..." พูดพร้อมนึกถึงเรื่องราวเก่าๆ

    "นี่...เล่าให้ฟังได้มั้ย? เมื่อก่อนทั้งนายและฟาริโอรอสผ่านอะไรมาบ้าง...?"

    "อื้ม...ช่าย ชั้นเองก็ไม่เคยรู้เหมือนกันว่าตระกูลนี้กับนายมันเกี่ยวดองกันมายังไง...ตั้งแต่เป็นเพื่อนกันมา ไม่เคยได้รู้เลย" เจ้านักล่าสมบัติตัวแสบที่กำลังง่วนกับการกินหนุนราชาหนุ่มให้เล่าออกมา

    เฟร็ด ฟาริโอรอส เดินเข้ามาจากหน้าประตูใหญ่... "ขออนุญาติครับท่านเอ็ดการ์!!"

    "เราว่าให้คนในตระกูลนี้มาเล่าดีกว่านะ...เราเองก็อยากรู้เรื่องที่เรายังไม่รู้เหมือนกัน เข้ามาสิ เฟร็ด!!" เอ็ดการ์บอกทั้งสองแล้วตะโกนบอกให้องครักษ์ของเขามานั่งข้างๆล็อค...

    "ขออภัยที่มาช้าครับ เพราะผมกำลังเรียกประชุมหัวหน้าทหารแต่ละฝ่ายอีกครั้งเรื่องกำหนดการต่างๆ..."

    "อืม...ยังรอบคอบเหมือนเดิมนะ..." เอ็ดการ์ชมต่อหน้าทีน่าและล็อค "ขอบคุณครับ..."

    "เอ่อ...คือ เฟร็ด...พวกเรา...เอ่อ...อยากรู้ประวัติความเป็นมาของตระกูลนายน่ะ...นาย...จะลองเล่าให้พวกเราในนี้ฟังได้มั้ย...?"ทีน่าถามอย่างเกรงๆเพราะกลัวเหมือนกันว่าจะละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวของเขาไป

    "แต่ถ้านายไม่อยากเล่า เราก็จะไม่บังคับนาย..." เอ็ดการ์พูดช้า...ล็อคจ้องรอที่จะฟังคำตอบอยู่

    เฟร็ดคิดอะไรไปสักพักพร้อมกับถอนหายใจเบาๆ แล้วเปล่งเสียงเล่าออกมา...

    "ตระกูลของผมนั้นเดิมอยู่ที่อัลบรูค เป็นตระกูลที่ประกอบอาชีพค้าขายมาตั้งแต่บรรพบุรุษสมัยตั้งแต่ยังไม่เกิดสงครามเวทย์มนต์ แต่แล้วเมื่อถึงยุคของคุณตาและคุณยายของผม..."

    "ออ...แสดงว่าเป็นญาติฝ่ายแม่...?" ล็อคสอดขึ้นมา ทำเอาทีน่ามองอย่างดุๆ

    "ใช่ครับ พ่อผมเมื่อก่อนเป็นทหารของจักรวรรดิ ญาติฝ่ายพ่อก็เป็นพวกของจักรวรรดิ แต่พ่อของผมนั้นกลับที่จะไปกับแม่เพราะรู้ว่าพวกจักรวรรดิไม่ได้เป็นกลุ่มที่มีคุณธรรมอะไรเลย ตรงกันข้ามมันกลับทำให้พ่อผมต้องลำบากในหลายๆเรื่อง ทั้งเรื่องเบี้ยเงินที่ได้รับ เรื่องสวัสดิการ มันทำให้พ่อต้องลาออกจากการเป็นทหาร ตัดขาดกับญาติฝ่ายท่านเอง แล้วมาอยู่ที่อัลบรูคเพื่อค้าขายกับแม่ แต่แล้ววันหนึ่ง ตากับยายเฝ้าร้านอยู่ในตอนกลางวัน มีกลุ่มพวกนักเลงหลายสิบคนบุกเข้ามาทำลายข้าวของ จนร้านพังเสียหายไปหลายอย่าง แต่ทุกคนไม่มีใครเป็นอะไร ผมเองตอนนั้นอายุยังน้อย ยังเที่ยวเล่นอยู่นอกบ้าน พ่อและแม่ผมขี่โจโกโบะกลับมาจากซื้อของมาอีกต่อ ก็แทบเป็นลม..."

    เขาเริ่มน้ำตาคลอเบ้าเรื่อยๆ ทีน่าเลยหยิบผ้าเช็ดหน้าที่เธอพกมาตั้งแต่ที่นัลเซออกมาให้ซับ...ทั้งเอ็ดการ์และล็อครู้สึกสงสาร...

    "พ่อผมจึงเริ่มสืบหาคนลงมือ ก็พบว่า มันเป็นฝีมือของพวกจักรวรรดิที่ต้องการขู่เพื่อจะกำจัดคนทรยศทิ้ง หากว่านำเอาเรื่องราวต่างๆของจักรวรรดิไปเผยแพร่ พ่อและแม่จึงปรึกษาตากับยายและญาติคนอื่นๆในบ้านว่าจะทำอย่างไร พ่อบอกว่า เราไปตายเอาดาบหน้าดีกว่า เราอยู่ที่นี่กันไม่ได้แล้ว แม่ถามอีกว่าแล้วเราจะไปไหน ท่านบอกว่าเราจะเลิกอาชีพค้าขาย เราจะไปที่ปราสาทฟิกาโร่ที่ท่านฟิลลิปส์ปกครองอยู่..." แล้วน้ำตาก็ไหลออกมาพรากๆ ทำเอาทีน่าเองก็พลอยร้องไห้ไปด้วย...

    "ตอนนั้นเองที่ผมต้องจากบ้าน เดินทางมาไกลมาก ตอนนั้นฟิกาโร่ยังไม่ได้ตั้งอยู่บนทะเลทราย เลยสามารถที่จะเดินทางมาที่นี่ได้ง่ายๆ แล้วท่านฟิลลิปส์ก็รับเราเข้ามาทำงานที่ในปราสาทนี้ พ่อ ในตอนแรกได้เป็นแค่ช่างจักรกล แม่เป็นช่างตัดเย็บ ตัวผมนั้นยังเป็นเด็กเลยยังทำอะไรไม่ได้มาก...จนวันหนึ่งได้พบกับท่านเอ็ดการ์และท่านแมช ซึ่งชวนผมออกไปเที่ยวเล่นนอกปราสาท แล้วสอนให้ผมรู้อะไรหลายๆอย่าง ได้เจออะไรหลายสิ่งหลายอย่างที่ผมยังไม่เคยรู้..."

    เช็ดน้ำตาอีกครั้งนึง...

    "แล้ววันนั้น มังกรเขียวตัวหนึ่งบินหลงมาโจมตีเราที่ปราสาทนี้ ตอนนั้นจำได้ว่าทั้งปราสาทปั่นป่วนกันไปหมด พ่อบอกให้ผมกับแม่หลบอยู่ในห้องนี้ ตอนนั้นห้องนี้ก็ใช้เป็นที่หลบภัยอยู่ แล้วพ่อก็คว้าดาบเล่มหนึ่งไป แล้ววิ่งขึ้นไปบนดาดฟ้า กระโดดลงมาที่เจ้ามังกรที่กำลังบินอยู่ ท่านรบกับมังกรตัวนี้อย่างกล้าหาญและไม่เกรงกลัวใดๆทั้งสิ้น...แล้วพ่อก็ปักดาบเข้าที่หัวของมันเข้าให้ มันร้องโอดโอยเสียงดังมาก ดังทั่วปราสาทเลยทีเดียว...แต่พ่อ..............พ่อ................ฮือๆๆๆๆ!!" น้ำตาเฟร็ดที่คิดถึงพ่อไหลออกมามากมาย เขาคิดถึงพ่อของเขามากเลยทีเดียว

    เอ็ดการ์พยักหน้าเข้าใจ เพราะตอนนั้นเองที่พ่อของเขา ก็ออกรบแล้วป่วยลงเพราะพิษของเจ้ามังกรร้ายนั่น แล้วก็ต้องเสียตามพ่อของเฟร็ดไป ทีน่าและล็อคไม่ต่างอะไรไปจากสองคนนี้นัก...

    "แต่ผมก็ภูมิใจนะ...พ่อสู้ด้วยความกล้าหาญ ยอมตายในชุดรอบ...ยอมทำเพื่อฟิกาโร่...เสียสละเพื่อฟาริโอรอส..." แหงนหน้ามองเพดานแล้วเช็ดน้ำตาที่ยังไหลไม่หยุด... "แล้วจากนั้น พอท่านเอ็ดการ์ได้เลื่อนเป็นกษัตริย์องค์ต่อมา องครักษ์คนก่อนก็เสียชีวิตจากการปกป้องท่านฟิลลิปส์ จึงได้มีการสอบหาองครักษ์ที่ท่านเอ็ดการ์จัดขึ้นเพื่อความเท่าเทียมกันและการแข่งขันของทหารฝีมือดี ผมเองก็เข้าร่วมการสอบนี้ด้วย แล้วผมก็ได้มาเป็นองครักษ์จนถึงปัจจุบันนี้..." เริ่มยิ้มออกมาได้บ้าง...

    "พ่อของเธอคือ...แซมมวล ฟาริโอรอสใช่มั้ย..." ทีน่าถาม เพราะเธอเห็นดาบเล่มหนึ่งในห้องนั้นมีคราบเลือดสีเขียวติดกรังอยู่ทั่วดาบและมีดอกไม้แห้งวางอยู่หน้าตู้โชว์

    "ใช่ครับ...มันเป็นสิ่งของที่ไว้ดูต่างหน้าผม เวลาที่ผมคิดถึงพ่อ ผมจะไปที่ห้องเกียรติยศและจะยืนมองมันด้วยความภูมิใจ ที่ผมเป็นลูกพ่อ พอครบวันที่ท่านเสีย ผมจะนำดอกไม้ไปวางที่หน้าตู้นั้น..."

    "แล้วป้าแมทรอนล่ะ เป็นอะไรกับนายหรือ...?" ทีน่าถาม

    เฟร็ดมองมาที่ทีน่าแล้วตอบ "ท่าน...เป็นแม่ของผมเองครับ..." ทำเอาทีน่าอึ้งอีกครั้ง เอ็ดการ์ยิ้มอย่างชื่นชม

    ‘อยากให้เจ้าได้ฟังและมารับรู้ด้วยจังเลย...’ เขานึกถึงน้องของเขาเอง...

    ล็อคตัดบท "เอาล่ะ เราฟังเรื่องราวกันมาพอและ กินกันดีกว่า อาหารมันเย็นหมดแล้วนะ เดี๋ยวจะไม่อร่อย และอีกอย่าง ไม่มีอะไรต้องเศร้ากันแล้ว ลุย!!"

    ทั้งหมดขำเบาๆกับความเฮฮาของล็อคที่เปลี่ยนความเศร้าเมื่อตะกี๊นี้ให้เป็นความสนุกสนานอีกครั้ง แล้วทั้งสามที่เหลือก็พากันตักอาหารเข้าจานแล้วรับประทานกันอย่างเอร็ดอร่อย จนอาหารหมดแล้ว

    "เฮ้อ...อิ่มจัง...เฮ้...เอ็ดการ์...เรื่องของกำหนดการนี่เราต้องเริ่มตั้งแต่วันนี้เลยสินะ..."

    เอ็ดการ์เก็บช้อมส้อมให้เข้าที่แล้วตอบ "อืม...มันอาจจะลงมือวันนี้ก็ได้ ทางที่ดีนะ นายนอนที่ห้องข้างๆทีน่าละกัน มีอะไรฉุกเฉินจะได้แก้ไขกันทัน..."

    "ตกลง" แล้วทั้งสี่ก็แยกย้ายกันออกไปเพื่อกลับไปพักผ่อนที่ห้องของตัวเอง...

    ------------------------------




    00.17 น.

    ทั้งปราสาทฟิกาโร่มีแต่ความเงียบสงัด ไม่มีเสียงจากการทำงานใดๆเกิดขึ้นอีก ยังคงมีเพียงเสียงเดินของทหารที่เข้าเวรยามในตอนกลางคืนแค่นั้น แสงไฟสลัวๆจากตะเกียงที่ติดอยู่ตามทางเดินก็ทำให้ปราสาทนี้ดูเงียบสงบและดูน่ากลัวในตอนกลางคืนอีกด้วย วันนี้ทหารที่เข้าเวรนั้นมากขึ้นกว่าปกติ เนื่องจากหัวหน้าฝ่ายรักษาความปลอดภัยของปราสาทนี้กำชับว่าต้องเพิ่มมาตรการคุมเข้มให้มากขึ้นเผื่อมีอะไรฉุกเฉินจะได้ไหวทัน...

    ยามดึกในกลางทะเลทรายนี่ช่างเงียบสงบนัก...

    แต่ทว่า...

    ทหารยามที่อยู่บนยอดดาดฟ้า สังเกตุเห็นอะไรบางอย่าง รู้สึกจะเป็นหมู่คนมากมายกำลังเดินทาจากทางหน้าปราสาทเป็นจำนวนมาก มันดูดำทะมึน แถมเสียงมันยังเข้ามาใกล้ทุกที แล้วยังเสียงของเครื่องจักรอีก แน่นอน...มันมาแล้ว!!!

    นายทหารคนนั้นรีบวิ่งไปกดสัญญาณเตือนภัยให้ดังทั่วปราสาท...

    "หวอ...หวอ...หวอ...หวอ...หวอ..."

    สัญญาณไฟสีแดงสว่างทั่วบริเวณ เสียงเตือนภัยดังทั่วทุกมุมปราสาท ความเงียบถูกทำลายด้วยเสียงวิ่งของพวกทหารหลายๆร้อยนาย

    "ทั้งหมด...เข้าสู่สภาวะเตือนภัยระดับแรก!!" เสียงเฟร็ดตะโกนสั่งการผ่านทางโทรโข่งที่ติดอยู่ตามมุมต่างๆ "ขอให้ทุกท่านเตรียมพร้อมรับมืออย่างเคร่งครัดด้วยๆ" แล้วก็รีบวิ่งไปที่หน้าห้องของเอ็ดการ์ แต่เมื่อมาถึงหน้าห้อง

    "ไม่ต้องมาปลุกเราแล้ว เราได้ยินก่อนนายอีก..." เขาตื่นขึ้นมาพร้อมกับชุดออกรบอย่างเต็มที่ ทำเอาเฟร็ดทึ่งกับชุดของนายของเขามากเลย...

    "นายรีบวิ่งไปบอกทีน่าและล็อคนะว่า ให้เตรียมหลบหนีกันไว้ก่อน ยังไม่ต้องเข้ามาที่หน้าปราสาท..."

    "แล้วจะให้ทั้งสองคนไปตรงไหนล่ะครับ...?" เฟร็ดถาม

    "สองคนนั้นรู้ดี เราบอกทุกอย่างไว้แล้ว" พร้อมกับนำกระบี่เหน็บเอว "เสร็จแล้วก็ตระเตรียมแผนที่เราได้บอกไว้ด้วยนะ..."

    "ได้ครับท่าน...!!" เฟร็ดรับคำแล้วรีบวิ่งไปทางหอคอยที่ทั้งสองนอนอยู่

    "เคฟก้า...!!" กษัตริย์หนุ่มกำมือ กัดฟันโกรธแค้นเป็นอย่างมาก แล้วเดินออกนอกบริเวณห้องพักไป แล้วเมื่อไปถึงหน้าประตูใหญ่...

    เหล่าจักรวรรดิทั้งหลายกำลังใกล้เข้ามาถึงแล้ว เขาตรวจดูอย่างคร่าวๆ มีพวกหุ่นมาจิเท็คส์... “ให้ตายสิ นี่มันรุ่นที่เราออกแบบนี่นา...” เขาอุทานออกมา แต่ก็ยังไม่ได้สนใจอะไร ใจหนึ่งคิดว่าการรบพุ่งกันครั้งนี้อาจจะไม่ยืดเยื้อมากนัก เพราะตัวเขาเองอาจจะต้องถอยทัพไปก่อน สถานการณ์ตอนนี้ ไม่มีหนทางที่จะขับไล่พวกมันออกไปได้เลย....

    เคฟก้าบังคับหุ่นแมจิเท็คส์รุ่น MA-13C มาถึงหน้าประตูทางเข้าปราสาท ทหารของฟิกาโร่ทั้งหลายก็ยืนเตรียมพร้อมรับการโจมตีจากหุ่นทั้งหลาย เจ้านั่นเดินลงมาจากหุ่นพร้อมกับดาบยาวแหลมในมือ...

    "ข้าถามเจ้าอีกครั้งเดียวเท่านั้น!! เธออยู่ที่ไหน...??!!" ทวนคำถามเดิมๆอีกครั้ง เอ็ดการ์ตอบไป

    "ถ้าอยากได้นัก ก็ลองฝ่ากองกำลังของเราเข้ามาสิ อยากได้ของดีก็ต้องเหนื่อยกันหน่อย จริงมั้ย..." แล้วชี้นิ้วกระดิกอีกทีพร้อมมองอย่างทีท่าเยาะเย้ย ทำให้เคฟก้าโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาเลย...

    "ทหาร...!!!!! ลุย...!!!!!" แล้วตัวเขาเองก็รีบวิ่งขึ้นไปบนหุ่นที่ขับมา

    "เตรียมการป้องกันขั้นแรก..!!!" ตัวราชาหนุ่มตะโกนบอกอย่างเสียงดังให้ทหารที่อยู่บริเวณนั้นได้ยิน

    "วี๊ด..!!!!!!!" เสียง Fire Beam ลูกแรกถูกยิงขึ้นโดยใครคนหนึ่ง และกระทบกับกำแพงปราสาทที่ถูกสร้างด้วยเหล็ก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เลย ยิ่งทำให้เคฟก้ายิ่งแค้นหนักเข้าไปใหญ่



    ทหารจักรวรรดิเริ่มวิ่งกรูเพื่อที่จะเข้าโจมตีและยึดปราสาทฟิกาโร่ให้ได้ ฝ่ายทหารของเอ็ดการ์เองก็ตั้งรับอย่างเต็มที่ เสียง Beam หลายลูกดังขึ้นมาถี่ๆเป็นระยะผสมด้วยเสียงระเบิดของลูกดินปืนที่ยิงมาจากป้อมปืนใหญ่บนหอคอยทั้งสอง เสียงคนร้องอย่างเจ็บปวด เสียงดาบต่อดาบปะทะกัน เสียงปืนยาวที่มุ่งจะยิงให้อีกฝ่ายตายหรือล้มลง ล้วนแล้วแต่ทำให้ทีน่าที่หลบอยู่ในห้องรู้สึกตกใจกลัวเป็นอย่างมาก...

    มีเสียงคนเคาะประตูที่หน้าห้องของเธอ...

    "คุณทีน่า...เปิดประตูเร็วครับ...!!!" เสียงเฟร็ดร้องเรียก เธอเปิดประตูออกมาก็เจอหทารหนุ่มยืนอยู่กับล็อค...

    "ท่านเอ็ดการ์สั่งมาบอกว่าให้ท่านทั้งสองไปประจำตามแผนการที่ได้ตกลงกันไว้น่ะครับ...!! ผมขอตัวก่อนนะครับ ตอนนี้ข้างนอกกำลังวุ่นวายเลยทีเดียว" เขาบอกพร้อมกับรีบวิ่งไป ล็อคพยักหน้านิดนึง

    "ทีน่า...ตอนนี้เราต้องหนีออกจากปราสาทก่อนแล้วหล่ะ และบางที สิ่งที่เราต้องการจะให้เธอได้พบ อาจจะต้องเร็วกว่ากำหนดแล้วละมั้ง..." แล้วชวนเธอให้รีบวิ่งไปตรงจุดหมาย

    ในอารมณ์ของเธอตอนนี้นั้นทั้งกลัว...ทั้งหวาดหวั่น...และเป็นห่วงว่าปราสาทนี้จะเป็นอะไรไหม “เอ็ดการ์ล่ะ...เธอถามที่ล็อค”

    "กำลังสู้รบกับกองกำลังจักรวรรดิอยู่หน้าประตูใหญ่ ความจริงชั้นเองก็อยากจะไปร่วมรบด้วย แต่เป็นคำสั่งของเจ้านั่นที่บอกให้ชั้นมาดูแลเธอ เพราะกลัวว่าอาจจะมีทหารจักรวรรดิคนใดคนหนึ่งลอบเข้ามาพาตัวเธอออกไปได้น่ะ..." ลงบันไดมาอีกชั้นนึง แล้วพูดต่อ

    "แต่เชื่อชั้นเหอะ เจ้านั่นคงไม่เป็นอะไรหรอก เก่งออกอย่างงั้น เธอรู้หรือเปล่า เจ้านั่นเคยชนะเลิศการดวลกระบี่ในเทศกาลแข่งขันยอดอัศวิน แถมยังได้รางวัลชนะเลิศในประเภท Endurance ด้วยนะ..." ทีน่าฟื้นความจำก็จำได้ว่าเคยเห็นถ้วยรูปหมีตัวใหญ่อยู่ และถ้วยรูปกระบี่ถูกวางไว้ด้วยกันอยู่ "อืม...ชั้นเห็นมันแล้ว"

    ล็อคพาทีน่ามาถึงแล้ว...มันเป็นสะพานเชื่อมต่อชั้นล่าง ที่ด้านบนนั้นก็คือสะพานที่ทั้งคู่เคยเดินผ่านนั่นเอง ผิดแค่ว่าชั้นนี้ไม่มีกระจกกั้น...ล็อคชวนเธอหมอบลงเพราะกลัวว่าพวกจักรวรรดิจะเห็นเธอเข้า

    "เราต้องรออยู่ตรงนี้จนกว่าจะมีเสียงเรียกของเจ้านั่นจากข้างล่าง แล้วเราจะลงไป ตกลงมั้ย..."

    เธอทำหน้าตกใจ จริงอยู่ที่ว่าเราต้องหลบหนีกัน แต่การที่จะให้เธอโดดลงไปจากชั้นสองลงที่ชั้นหนึ่ง เธอคงไม่กล้าแน่ๆ...

    เอ็ดการ์ในตอนนี้ก็กำลังรบพุ่งสุดแรงเกิด...เขาชักดาบออกมาจากร่างของทหารจักรวรรดิคนหนึ่งแล้วมองมาทางประตูใหญ่...

    "เฟร็ด!! มาช่วยเราที เราไม่ไหวแล้ว!!" เขาร้องเรียก ทหารหนุ่มไม่พูดพร่ำทำเพลง เอาดาบออกมาจากฝักแล้วจัดการทหารบริเวณนั้นไม่เหลือซาก แต่...

    "วี๊ดดดด!!" ลำแสง Ice Beam ถูกยิงมาโดนที่ข้อเท้าของเฟร็ด น้ำแข็งเกาะอยู่ทำให้ไม่สามารถขยับไปไหนมาไหน...เจ้าหุ่นตัวนั้นก็กำลังจะยิงลำแสงอีกลูก...

    "ตายล่ะ Fire Beam!!" กษัตริย์หนุ่มคิดในใจพร้อมกับสติอันเฉียบพลัน เพราะรู้ดีว่าถ้าองครักษ์ของเขาโดน Fire Beam ขั้นมา นั่นหมายความว่า เฟร็ด...ต้องเป็นคนขาด้วนไปในทันที จึงไม่รอช้า หยิบหน้าไม้เหล็กที่พกติดออกมาจากปราสาท ขึ้นนกด้วยลูกดอกโลหะทั้ง 7 ลูก แล้วยิงออกไปด้วยแรงอัดแก๊สที่อยู่ในหน้าไม้นี้

    "เอานี่ไป...Auto Crossbow!!!"

    ได้ผล...ลูกดอกโลหะนั้นพุ่งเข้าไปในกระบอกปล่อยลำแสงก่อนที่มันจะถูกยิงออกมา

    "บรึม!!!"

    เจ้ากระบอกปืนนั้นใช้การไม่ได้อีกแล้ว...เฟร็ดยังขยับตัวไม่ได้ และเจ้าหุ่นนั่นก็กำลังเตรียมที่จะเล่นงานเอ็ดการ์แทน...

    "เข้ามาเลย..." แล้วตัวเขาก็หงายมือแล้วกวักเรียกดั่งซามูไรท้าคู่ประลอง...

    หมัดลูกหนึ่งกำลังเงื้อเพื่อจะทุบดินให้แตก แต่เอ็ดการกระโดดหลบไปที่ด้านหลังของหุ่น พื้นดินแตกเป็นเสี่ยงๆตรงที่พึ่งกระโดดออกมา เจ้านั่นหันหลังกลับตามก็โดน Auto Crossbow อีก 5-6 ลูกยิงเข้าไปที่กระจกห้องควบคุม แต่ยังไม่สามารถทำให้กระจกแตกได้

    "ยังก่อน...ยังก่อน..." เขานึกในใจ

    "มาแล้วท่านเอ็ดการ์!!" เฟร็ดกลับเข้าสู่การรบอีกครั้ง

    "นายไปจัดการทหารอื่นก่อน แล้วเตรียมตัวเดินแผนของเรากับล็อคและทีน่าด้วย..!!"

    "รับทราบครับ!!" แล้ววิ่งออกไปอีกทาง

    แต่เจ้าหุ่นนั้นไม่สนใจอะไรทั้งนั้น มันก้าวเดินเข้ามาเหมือนดั่งโกรธแค้นอะไรมาสักอย่าง แต่เอ็ดการ์ก็ยังยืนเผชิญกับมันอย่างไม่กลัวเกรง...

    มันเหวี่ยงหมัดลูกลุ่นๆเข้าใส่เอ็ดการ์อีกครั้ง แต่ก็ได้แค่จั่วลม เอ็ดการ์กระโดดฉากออกมาทางด้านซ้าย แล้ววิ่งกระโจนโดดตีลังกาผ่านบนห้องควบคุม แล้วเอากระบี่ฟันกระจกตรงรอยเสี่ยงๆที่โดนลูกดอกยิง "เพล้ง!!!" ไม่มีอะไรปกป้องที่ห้องควบคุมแล้ว แต่...

    ข้างในนั้น...ไม่มีคนขับ!!!

    เอ็ดการ์แปลกใจมาก แล้วก็ร้องอ๋อออกมา "ทำสำเร็จแล้วสินะ...ระบบ Auto Pilot" แล้วเขาก็ใช้ความคิดนึกในระหว่างที่ต้องหลบหมัดของมันเป็นพัลวัน ดูเหมือนว่ามันจะโจมตีแรงขึ้นเรื่อยๆ อาจจะเป็นแรงโกรธแค้นที่เอ็ดการ์ทำลายกระจกแตกหรือเปล่า...

    เขาหลบไป ใช้สมองไป ตาของเขาก็ยังมองเห็นปราสาทฟิกาโร่ที่ตอนนี้กำลังดูไม่ดีเอามากๆ ถึงแม้ว่าจะก่อสร้างแข็งแรงเพียงใด แต่เมื่อโดนโจมตีอย่างต่อเนื่อง ก็มีสิทธิ์พังทลายลงเอาง่ายๆ อิฐตามที่ต่างๆเริ่มมีรอยร้าว มีไฟไหม้ตามจุดต่างๆตามตัวปราสาทมากมาย ฝ่ายรักษาความปลอดภัยก็ช่วยกันดับไฟเพื่อไม่ให้ลุกลามใหญ่โตอย่างเร่งรีบ ทุกส่วนตอนนี้โกลาหลกันไปหมด...

    แล้วเขาก็คิดได้ว่า...

    "ตูม!!!" แรงระเบิดปะทะกับตัวเอ็ดการ์แค่ถากๆ แต่ต้นเหตุมาจากปากกระบอกปืนของเจ้าเคฟก้า...

    "เป็นไง...นี่คือผลงานของข้าเอง...อยากลองมันอีกมั้ย...??"

    เอ็ดการ์ลุกขึ้นโดยต้องใช้ดาบยันตัวขึ้นมา แต่ยังไม่พูดอะไร...

    "Gun Cannon!!" ระเบิดเมื่อกี้ถูกยิงออกมาอีกลูกจากปากกระบอกปืนของมัน แต่คราวนี้ราชาหนุ่มหลบทัน แต่ก็เกือบจะโดนเข้าอีกดอก...

    "ข้าไม่ปล่อยเจ้าให้ลอยนวลเหมือนเพื่อนเจ้าแน่...!!" เคฟก้าตะโกนบอก

    "ใคร...เจ้า...เจ้าทำอะไรกับเซริส..!!"

    "ยังก่อน...ถ้าข้าจับเจ้าได้...เจ้าจะได้เห็นแม่นั่นเอง...!!" แล้วก็บังคับให้เดินเข้ามาใกล้อีก พร้อมกับหุ่นแมจิเท็คส์ที่เขาปะมือมาก่อนตอนที่เคฟก้ายังไม่มา

    เขา...ถูกปิดล้อมทางหนีไว้

    "ย้ากส์.............!!" เฟร็ดมาช่วยทันไว้พอดี เอ็ดการ์ยิ้ม...

    "เฟร็ด ฝากด้วยนะ...เราจะจัดการกับเจ้าตัวเล็กก่อน..."

    "ตกลง...!!" แล้วเอ็ดการ์ก็เข้ามาเผชิญหน้ากับหุ่นกระจอก...

    "ข้าไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่...!!" เขาพูดแล้ววิ่งพร้อมกับจับกระบี่ให้มั่น เจ้านั่นกำลังคลั่งเลยทีเดียว ตอนนี้เหมือนมันมีฤทธิ์มากกว่าตอนแรกซะอีก...

    "ย้ากสส์!!!!!!" เขาวิ่งพร้อมกับหลบหมัดเร็วของมันพร้อมกับเริ่มสังเกตหาอะไรอย่างหนึ่ง แล้วเขาก็ได้เจอ

    "เจ้าเสร็จข้าแล้ว!!!!" แล้วก็ฟันฉับลงไปที่แผงควบคุมหลักของหุ่นที่อยู่ทางด้านแขนขวาที่เป็นแขนหมัด เจ้านั่นเกิดอาการช็อตในร่าง ไฟฟ้าไหลรั่วทั่วตัว แล้วระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ...

    "บึม...!!!!" เอ็ดการ์รอดูจนควันหายไป เฟร็ดก็เหลือบหันมาดูเหมือนกัน แต่ก็เกือบที่จะโดนเคฟก้ายิง Tech Missile เข้าไป แล้วมันก็ระเบิดเหมือนกับที่เจ้าหุ่นนั่นระเบิดคล้ายๆกัน...

    "ท่านเอ็ดการ์...ผม...รับมือมัน...ไม่ไหวแล้ว...โอยยย..." เขาบ่นจากอาการที่ออกแรงต่อสู้จนจะหมดแรงยืนแล้ว เอ็ดการ์ก็คิดเหมือนกันว่า ในตอนนี้ฟิกาโร่ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องหนีเท่านั้น

    "เป็นไง!!! จะเปลี่ยนใจยอมมอบ ‘มัน’ มาให้ข้ามั้ย??" เคฟก้าถามทวนประโยคเดิมอีกครั้ง แต่เอ็ดการ์ไม่ตอบพร้อมแบกร่างของเฟร็ดที่ไม่มีแรงแล้วขึ้นบ่า แล้วรีบวิ่งเข้าตัวปราสาทไปพร้อมตะโกนบอก

    "ดำเนินแผนการสุดท้าย!!!" ทหารทั้งหลายที่เหลืออยู่ก็พากันนำทหารที่บาดเจ็บและล้มเสียชีวิตจากการรับเข้ากลับปราสาท กองกำลังจักรวรรดิก็ติดตามอย่างเต็มกำลัง แต่ก็ไม่ทัน...

    ทุกคนหนีเข้าปราสาทได้แล้ว...ประตูใหญ่กำลังปิดลง ไม่มีจักรวรรดิคนไหนหลงเข้ามาได้เลยสักคน เอ็ดการ์ปล่อยร่างเฟร็ดลง "ปฐมพยาบาลให้เขาด่วนที่สุดเลยนะ...แล้วนับถอยหลังสู่การหลบหนี...ขอให้ดำลงไปแล้วไปโผล่ทางตะวันตกเฉียงเหนือที่เราเคยตั้งอยู่ แล้วเราจะไปหาที่จุดนั้นเอง" สั่งเสร็จแล้วก็วิ่งไปที่กำแพงเตี้ยทางด้านขวา

    ข้างล่างมีโจโกโบะพันธุ์วิ่งเร็วอยู่ 3 ตัว เอ็ดการ์โดดลงไปขี่ที่ตัวหนึ่งพร้อมกับจูงอีก 2 ตัวไว้

    "โชคดีครับท่านเอ็ดการ์" หัวหน้าฝ่ายพาหนะลากษัตริย์หนุ่ม "โชคดี!" แล้วก็ขี่พร้อมกับจูงเจ้าตัวเหลืองอ้อมหลังปราสาทไปรอรับทีน่าและเจ้านักล่าสมบัติที่รออยู่ตรงสะพานเชื่อม...
  9. nintendo

    nintendo นักข่าว

    EXP:
    139
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    อ๊าคค ล็อคสุดยอดๆๆๆๆๆ เอ็ดการ์้เจ้าขี้หลีเอ๊ย ล็อคเป็นสามัญชนดีจังเลย ช๊อบชอบ

    พระเอกอันดับหนึ่งตลอดกาลของผม

    [​IMG]
  10. hannover96

    hannover96 New Member

    EXP:
    881
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    Chapter 7 : Match , The Bodybuilder

    ทีน่าก้มลงมาได้ประมาณเกือบครึ่งชั่วโมงได้แล้ว...แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะมีใครมารับเลยที่ข้างล่าง

    "เอาน่า เดี๋ยวเราก็ได้ไปเองแหละ...ใจเย็นๆ..." เจ้านักล่าสมบัติบอกเธอ เธอก็ยังคงต้องรอต่อไปเรื่อยๆ แล้ว...

    "เฮ้!!...ล็อค...ทีน่า...ไปกันเร็ว..." เสียงเอ็ดการ์ร้องเรียกข้างล่าง

    "เอาล่ะ อย่ารอช้าอยู่เลย เร็วเข้า..." ล็อคบอกกับเธออีกครั้ง แต่เธอกลับกล้าๆกลัวๆที่จะโดดลงไป

    "เร็วสิ...!! เรารอรับอยู่..." เอ็ดการ์เร่งเร้า ทำเอาเธอต้องตัดสินใจโดดลงไปข้างล่างทันที

    "ว้ายยย!!" เสียงเธอร้องเพราะกลัวว่าจะลงไม่ตรงจุด แต่เธอก็ถูกอุ้มไว้โดยเจ้าชายหนุ่ม แล้วล็อคก็โดดลงตามมา แค่ความสูงแค่นี้ ไม่ทำให้เขาเจ็บเท่าไรหรอก ชีวิตเจ้านี่ผาดโผนมานักต่อนักแล้ว...

    เอ็ดการ์ปล่อยเธอลงนั่งที่โจโกโบะตัวหนึ่งแล้วบอก "เธอถือสายจูงนี่ไว้นะ มันเป็นเสมือนสายควบคุมเจ้านี่เหมือนกัน...โอเค ตามเรามาเลยนะ...!!" แล้วก็วิ่งนำหน้าออกไปทางข้างๆปราสาทเพื่อที่จะอ้อมหลบหนีไปทางตะวันตก โดยที่มีทีน่าและล็อคควบเจ้าตัวเหลืองมาติดๆ...

    แต่...

    "ช่างเป็นกษัตริย์ที่น่าชื่นชมจริงๆ ทิ้งทหารของตนหนีเอาตัวรอด...!! จะไปไหนกัน!!!!" เสียงเคฟก้านั่นเอง เจ้านั่นลงมาจากหุ่นแมจิเท็คส์แล้วเอาดาบยาวชี้มาทางราชาหนุ่มที่กำลังควบหนีไป ตามด้วยทีน่า และล็อคที่หันมาแลบลิ้นปลิ้นตาใส่เคฟก้าโดยไม่สนใจที่จะหยุดควบโจโกโบะ

    "แบร่....!!"

    "หนอยไอ้เจ้าล็อค!!" ทำเอาเจ้าเคฟก้าเดือดเป็นน้ำต้มสุกเลยเลยทีเดียว

    พื้นดินเริ่มเกิดอาการสั่นสะเทือน...!!!

    "เข้าสู่ระบบดำดิน...!! นับถอยหลัง 10 วิ..."

    10...

    9...

    8...

    7...

    เคฟก้าประหลาดใจมากที่ได้ยินเสียงใครคนหนึ่งในปราสาทตะโกนบอก...

    3..

    2..

    1...

    เกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงของปราสาท หอคอยทั้งซ้ายและขวาถูกเลื่อนให้เข้ามาชิดติดกับตัวปราสาทใหญ่ ป้อมปืนทั้งหลายถูกเลื่อนเข้าเก็บข้างในหมดแล้ว ทรายที่อยู่บริเวณนั้นปลิวขึ้นมาอย่างมากมาย ทำเอาทหารจักรวรรดิแถวนั้นทั้งไอและจามออกมาเกือบทั่วทุกคน


    ฐานของปราสาทเริ่มดำลงดินทีละนิดๆ แถมทั้งยังทำให้ทหารจักรวรรดิที่ยืนอยู่รอบๆปราสาทเคลื่อนไหวและขยับตัวกันไม่ได้เลย เคฟก้าก็เช่นกัน ตัวของเขาตอนนี้ก็ยังไม่สามารถเดินไปขึ้นหุ่นได้ สายตาได้แต่จับจ้องมองทั้งสามกำลังหลบหนีออกไปจากปราสาทฟิกาโร่ แล้วความคิดชั่วร้ายอีกอย่างก็บังเกิดขึ้น

    "เจ้าสองคน!!! ตามมันไป และจัดการจับเป็นมันมาให้ได้...!!!" สั่งทหารที่ควบคุมหุ่นแมจิเท็คส์รุ่น MA-12 ที่สามารถเดินทางได้ไกล และยังมีขาอันหนักหน่วงเพื่อเอาไว้ใช้เป็นอาวุธอีกอย่างหนึ่งด้วย ที่แขนทั้งสองก็ยังเป็นกระบอกปืนทั้งสองข้าง เพียงแต่มันมีแค่ Fire Beam , Bolt Beam และ Ice Beam เท่านั้น... ในตอนนี้หุ่นทั้งสองยังสามารถขยับไปไหนมาได้อยู่ ก็เพราะเป็นที่แรงขาของมันนั่นเอง...
    "รับทราบ!!!" ทั้งสองหุ่นรับคำแล้วเริ่มวิ่งรุดหน้าไปยังที่ทั้งสามคนหลบหนี...

    "เฮ้อ...กว่าจะหลบมาได้นี่...แทบแย่เหมือนกัน..." เอ็ดการ์เป่าปากพร้อมกับกำบาดแผลที่ได้รับจากการสู้กับหุ่น

    "เฮ้ย...เอ็ดการ์ มัน...ตามเรามาจริงๆน่ะ..." ล็อคชี้ให้ดูด้านหลัง ทั้งสามมองไปจุดเดียวกัน พวกมันใกล้เข้ามาเรื่อยๆ และยังเร็วกว่าความเร็วของโจโกโบะที่ทั้งสามกำลังขี่อยู่อีก...

    "เอางี้...เราหยุดก่อน...แล้วมาหยุดมันกันดีกว่ามั้ย...??" ล็อคถามความเห็น ทีน่าพยักหน้า ส่วนเอ็ดการ์นั้นก็เห็นด้วยเช่นกัน ทั้งๆที่ตัวเองน่าจะหมดแรงไปตั้งนานแล้ว...

    ล็อคและทีน่าลงจากเจ้านกเหลืองแล้ว แต่เอ็ดการ์นั้นไม่ขอลงไปด้วย...

    "เราน่ะเก่งเรื่องบังคับเจ้านี่มากเลยนะ...พวกนายคอยดูเราละกัน" เขาพูดอวดนิดๆ ล็อคเริ่มขยับเสื้อกั๊กที่เตรียมขวดน้ำยามาเยอะแยะ พร้อมกับคว้ามีดออกมาจากปลอกที่เขาพกอยู่...ทีน่าก็ยังยืนเก้ๆกังๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำอะไรดี

    "เธออยู่ด้านหลังเราไปนะทีน่า..." เอ็ดการ์บอก เธอก็ต้องทำตามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้...

    เจ้าหุ่นยนต์สองตัวนั้นมาอยู่ตรงหน้าแล้ว คราวนี้มีคนขับๆมาด้วย และใครคนหนึ่งตะโกนออกมา

    "เอ็ดการ์...!! วันนี้เจ้าไม่รอดแน่...ข้าจะจับตัวเจ้าไปส่งนายท่านเดี๋ยวนี้แหละ...!!"

    ล็อคหัวเราะ "อ่าๆๆๆ ถ้าจะเอาเอ็ดการ์ไปนะ เอาตัวข้าไปไม่ดีกว่าหรือ ตัวข้านี่ค่าหัวเยอะกว่าเจ้านี่น้า...."

    "เจ้าไม่ต้องมาทำปากดี...ข้าจะเอาตัวพวกเจ้ากลับไปทั้งหมดนี่แหละ...เตรียมตัว...!!" แล้วเจ้านั่นก็ยิงลำแสงออกมา...

    "วี้ดดดดดดด!!......"

    "หลบ!!!" เสียงเอ็ดการ์บอก ทั้งล็อคและทีน่ากระโจนออกไปคนละทิศ แต่เอ็ดการ์ไม่อย่างนั้น เขาแค่กระชากสายจูงโจโกโบะให้มันกระโดดหลบเท่านั้นเอง.

    "เอ็ดการ์!! นายไหวอยู่แน่นะ? ถ้าไม่ไหวมาอยู่ด้านหลังชั้นได้เลย...!!" ล็อคพูดแล้ววิ่งพุ่งเข้าไปที่เจ้าหุ่น 2 ตัวนั่นด้วยมีดคู่ใจ

    "นายพูดผิดคนแล้วล่ะ..." เอ็ดการ์ยิ้มพร้อมกับชักกระบี่ออกมาจากฝักพร้อมกับสะบัดเชือกบังคับ แล้วมันก็วิ่งไปข้างหน้าตามหลังล็อคไป "ทีน่า...ระวังตัวด้วย..."

    "อื้ม..."

    เจ้าหุ่นนั่นวิ่งเข้ามาอย่างเร็วแล้วเหวี่ยงขาเตะทั้งสอง ต่างคนต่างกระโดดขึ้นข้างบนเพื่อหลบแต่สิ่งที่ได้รับนั้นกลับไม่ใช่ขาของมัน แต่กลับเป็นทรายที่เจ้าหุ่นเตะขึ้นมาเพื่อให้ฟุ้งในอากาศ ทรายมากมายลอยขึ้นมาเข้าในตาของทั้งสอง รวมทั้งเจ้าตัวเหลืองด้วย...

    "แค้กๆๆ นายเป็นไรมั้ย..."

    "ชั้นมองไม่เห็นอะไรเลยน่ะ..." เอ็ดการ์ว่า ล็อคได้ยินดังนั้นก็รีบวิ่งหลบ Beam ลูกสีขาวที่มันยิงออกมาแล้วนำเอาขวดน้ำยาที่สร้างมาขวดหนึ่งไปยัดใส่มือเจ้าชายหนุ่ม "เอานี่ไป มันช่วยนายได้..."

    ไม่ต้องทำความเข้าใจอะไรมาก เอ็ดการ์กระชากเจ้าโจโกโบะกลับหลังไปหนึ่งช่วง แล้วเอาน้ำยาที่ได้ป้ายตาตัวเขาเองและเจ้านก สักพักไม่ถึงสิบวินาที ตาของเขาก็เริ่มมองเห็นชัดขึ้น และชัดยิ่งกว่าเดิมอีก

    "มันสว่างมากเลย ทำไมเนี่ย..." เอ็ดการ์ตะโกนถามพร้อมวิ่งเข้าไปอีกครั้ง คราวนี้เขาเปลี่ยนเป็นมาถือสิ่งของอย่างหนึ่ง สภาพมันเหมือนกับเครื่องเล่นเสียงเพลงที่มีลำโพงเป็นวงกลมใหญ่

    "ชั้นคิดค้นมันขึ้นมาเองแหละ มันคือยาไฟฉาย... ใช้แล้วจะทำให้เหมือนตาเรามองเห็นกลางคืนเหมือนกลางวัน" ล็อคที่กำลังติดพันอยู่บนห้องควบคุมกับเจ้าคนบังคับหุ่น แน่นอน กระจกของเจ้านี่พังแล้วโดยฝีมือของเจ้านักล่าสมบัติตัวแสบ เขาหันกลับมามอง

    ‘อะไรของนายวะเนี่ย...’ นึกขำในใจ แต่แล้วก็ต้องหลบคมมีดที่เจ้าทหารคนนั้นจ้วงมา โดดลงมาที่พื้นทรายอย่างสง่างาม

    "นายเข้าไปก่อนนะ เราจะหาจังหวะเหมาะๆก่อน..." เขาบอกเจ้านักล่าสมบัติ แล้วควบเจ้านกเหลืองไปรอบๆหุ่นทั้งสองตัวที่กำลังหมายจัดการล็อคให้อยู่หมัด

    ท่ามกลางความมืดในทะเลทรายที่มีแค่แสงจันทร์ส่องลงมาเท่านั้น ทั้งล็อคและเอ็ดการ์ก็ต่างคนต่างต่อสู้เพื่อปกป้องสตรีที่ยืนอยู่ข้างหลังนั้น...

    "ย้ากส์!!!!!" ล็อควิ่งเข้าไปครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วก็อีกครั้งนึง คราวนี้เขาหมายที่จะแทงเข้าไปที่แผงควบคุมด้านหลังของหุ่นตัวที่โดนหนักสุด แต่แล้วก็เข้าไปไม่ทัน แล้วยังถูกเตะด้วยเท้าเหล็กอันเบ้อเร่อกลับออกมาอีก ทำให้ตัวเขาเองไถลไปกับทราย "หนอย!!"

    "เป็นไง เจ้านี่น่ะมันเร็วกว่าแกอีกนะ ฮ่าๆๆ" เจ้าคนบังคับหุ่นหัวเราะออกมาอย่างกึกก้อง

    "เดี๋ยวก็รู้กัน...ย้ากส์!!!!" วิ่งเข้าไปอีกครั้ง "เข้ามาอีกครั้งก็เหมือนเดิมอยู่ดี รับไป!!!" คราวนี้มันไม่เตะ แต่กลับชาร์จลำแสง Ice Beam ที่ปลายกระบอก ทำเอาเอ็ดการ์แปลกใจ แล้วก็เข้าอีกในอึดใจต่อมา

    "รุ่นนี้เริ่มชาร์จ Beam ได้แล้วสินะ..." แต่เจ้าตัวก็ยังควบเจ้านกไปรอบๆและหลบการโจมตีของหุ่นอีกตัวไปเรื่อยๆ มือยังถืออุปกรณ์แปลกๆชิ้นนั้นอยู่...

    ล็อคเห็นปากกระบอกปืนดังนั้นก็ตกใจ เลยรีบหลบฉากไปทางขวาทันทีก่อนที่จะโดนแช่แข็ง "ฮึ่ย....เกือบไปแล้ว" แสงสีขาวลูกใหญ่พุ่งออกไปนอกบริเวณที่ต่อสู้ แต่ก็เกือบโดนทีน่าที่อยู่ด้านหลัง ถ้าหากเธอไม่พุ่งตัวหลบซะก่อน หลังจากนั้นเธอก็ต้องหลบ Fire Beam อีกลูกที่ถูกยิงมาที่เอ็ดการ์ซึ่งกระโดดหลบได้อย่างหวุดหวิด

    ในกลางอากาศนั้นเอง...

    "จังหวะนี้หล่ะ!!!...เอาไปเลย....!! Bio Blaster....!!" แล้วตัวเขาก็เหนี่ยวไกที่มือจับอยู่ แล้วเล็งไปที่ข้างล่าง สิ่งที่ออกมาจากรูของลำโพงก่อเกิดเป็นควันสีเขียวเข้มๆผสมด้วยละอองของอะไรสักอย่างหนึ่ง...

    "ล็อค...นายหลบไป!!! มันอันตราย...!!" เขาเตือน ก่อนที่จะชักโจโกโบะออกมาด้านหลังเพื่อไม่ให้โดนสารเคมีนั้น

    หุ่นทั้งสองออกอาการทันที ร่างเหล็กเริ่มมีสารกัมมันตภาพติดอยู่ตามร่าง กระจกเริ่มร้าวและเป็นรู แต่เจ้าทหารข้างในนั้นรู้ทันเพราะพวกมันเอาหน้ากากกันสารกัมมันตภาพออกมาใส่ก่อนแล้ว...

    "ลูกไม้แค่นี้ทำอะไรพวกเราไม่ได้หรอก...!! รู้ไว้ซะ...!!" คนหนึ่งบอกออกมา เอ็ดการ์ยังนิ่ง ล็อคกำมีดแน่นหมายวิ่งเข้าไปอีกครั้ง แต่เอ็ดการ์รั้งข้อมือไว้

    "ยังก่อนเพื่อน...เราคอยป้องกันไว้ก่อนดีกว่า..." แล้วหันกลับมามองที่ทีน่า... "ระวังด้วยนะ คราวนี้มันเล่นเราหนักแน่..." แล้วขยิบตาให้พร้อมกับหันหน้ากลับไปท้าทาย

    "งั้นมาลองดูซิว่า พวกแกจะอยู่กับพวกเราได้นานแค่ไหนกัน!!! เข้ามาเลย..."

    "ได้...!!" แล้วทั้งสองตัวก็วิ่งปรี่เข้ามาหวังที่จะใช้การโจมตีแบบประชิดตัวอีกครั้ง...ทั้งสองคนก็เตรียมรับมืออยู่แล้ว...

    เอ็ดการ์เก็บเจ้าอุปกรณ์ลำโพงนั่น แล้วเอาหน้าไม้เหล็กออกมาอีกครั้ง ขึ้นนกด้วยลูกดอกเหล็กเต็มอัตรา แต่ยังไม่ทันที่จะได้ยิงก็ต้องกระโดดหลบอีกครั้ง คราวนี้เขาไม่โดน กลับเป็นเจ้านกโจโกโบะที่ได้รับไปเต็มๆ

    "กรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรู!!!!!" เสียงมันดังลั่นด้วยความเจ็บปวด...ทำเอาเอ็ดการ์สงสารปนโกรธแค้นขึ้นมาโดยทันที
    "เจ้า...ทำร้ายนกของเราอย่างนั้นรึ!!!?? ดี!!! เราไม่ปราณีพวกเจ้าแล้วนะ...ล็อค ลุยเลย เต็มกำลัง...!!"

    "ฮ่าๆๆๆ สมกับเป็นกษัตริย์จริงๆ ช่างมีเมตตากรุณา แต่กลับละทิ้งทหารของตน...เยี่ยมมากๆ" เจ้าคนหนึ่งประชดเยาะเย้ยออกมา ทำเอาไฟโกรธของราชาหนุ่มเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

    "ปากดีนักนะ...!" ล็อคพึมพำเบาๆ คราวนี้เขามาพร้อมกับขวดน้ำยาลูกหนึ่งในมือที่เขาทำขึ้นมาเพิ่มอีก...แล้ววิ่งอย่างเร็ว จุดหมายอยู่ที่การอ้อมไปที่ด้านหลัง...

    "Fire Beam!!" ลำแสงสีแดงถูกปล่อยไปทางเอ็ดการ์ที่ลงจากเจ้านกและยังยืนอยู่ข้างหน้าตัวทีน่า

    "ฮึบ!!!" ผ้าคลุมโดนไฟเผาเป็นรูกว้าง แต่โชคดีที่ทีน่านั้นถูกตะครุบออกไปทางด้านซ้ายได้ทัน ทำให้เธอไม่เป็นอะไร...

    สิ่งหนึ่งในตัวเธอก็กำลังปั่นป่วนขึ้นมา...มันเริ่มทีละนิดๆ เธอเองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร เธอคิดเช่นนั้น...

    ล็อคตะโกน "วันนี้แหละ!! ข้าจะเอาเศษเหล็กพวกแกไปขายหาเงินกินข้าวล่ะ..." วิ่งไปจนถึงหน้า แล้วเงื้อมีดเพื่อจะเสียบตรงรอยต่อที่ขา "ต้องเล่นงานที่จุดนี้สินะ..." เขานึก แต่...

    "อุ๊บ!!!" โดนขาข้างนั้นเตะกลับมาอีก... คราวนี้ไม่ไถล แต่จมลงไปในพื้นทรายเลย...ล็อคค่อยๆยันตัวขึ้นมา แล้วยิ้มออกมาเหมือนได้รับชัยชนะ...

    "ทำไม...โดนเตะสองสามที สติเลอะเลือนเลยหรือ ไหนบอกจะเอาเศษเหล็กนี้ไปขาย ปากดีจริงๆ ข้านี่แหละ จะเอาเจ้าไปขาย ฮ่าๆๆๆ" คู่อริเยาะเย้ย "คราวนี้...แกไม่รอดแน่...!!"

    เจ้านั่นกำลังจะเดินเข้ามา แต่กลับ...ยกขาข้างที่เตะไปนั้นไม่ขึ้น...

    "นี่...มัน...เป็นบ้าอะไรเนี่ย!!!" มันสบถออกมา

    "ฮ่าๆๆๆ บอกแล้วไง ข้าจะเอาเศษเหล็กไปขาย เพราะตอนนี้ หุ่นแกกำลังจะขึ้นสนิมทั้งตัวแล้ว ฮ่าๆๆ" เป็นเพราะเจ้าขวดยานั้นนั่นเอง...เขาแอบขว้างไปเมื่อกี้นี้...

    "แก....!! ฮึ่ม Fire Beam!!!" แต่แล้วก็ไม่มีลำแสงอะไรออกมาจากปลายกระบอก ไฟแผงควบคุมในห้องขับก็ดับลงหมด

    "ช้าไปแล้ว...!! แกเสร็จข้าแล้วล่ะ...เฮ้ เอ็ดการ์!! รับนี่ไป..." แล้วโยนขวดให้เอ็ดการ์ขวดหนึ่ง "ดื่มมันซะ...!!"

    เอ็ดการ์รับในขณะที่กำลังสู้กับหุ่นอีกตัว มือซ้ายดื่มน้ำยาที่ได้ มือขวายังถือหน้าไม้เหล็กอยู่ "เฮ้...ยาอะไรเนี่ย...ทำไมเรารู้สึกเหมือนมีพลังขึ้นมาเลย...??"

    "ให้ชื่อมันว่า...Potion ละกัน..." พูดเสร็จแล้วก็วิ่งเข้าไปช่วยเอ็ดการ์อีกต่อหนึ่ง ความจริงเขาจะใช้วิธีเดียวกับเมื่อกี๊ แต่ก็คิดได้ว่าไม่ควรที่จะใช้พร่ำเพรื่อ จึงเก็บเอาไว้ก่อน

    เอ็ดการ์หลบการโจมตีไปเรื่อยๆ พร้อมหาจุดอ่อนสำคัญ แล้วก็ค้นพบจุดเดียวกับที่ล็อคเจอมาก่อนเมื่อครู่นี้ ไม่รอช้า เจ้าหุ่นนั่นยกขาเพื่อที่จะกระทืบพื้นทรายเพื่อให้ทรายขึ้นมาสาดร่างของราชาหนุ่ม แต่ก็พลาดไป แล้วก็ต้องเจอกับ...

    "Auto Crossbow!!" ลูกดอกทั้ง 8 ถูกเล็งไปที่จุดเดียว นั่นคือ...

    ข้อต่อขาระหว่างหัวเข่ากับหน้าแข้ง....!!

    ทั้ง 8 ดอกปักอยู่ตรงนั้น สักพักเกิดการช็อตของไฟฟ้าที่ส่วนล่าง แล้วเริ่มลามไปทั่วตัว ทำให้ขยับตัวและทำอะไรไม่ได้เลย ทั้งคนขับอีกคนด้วย ก็ยังถูกกระแสไฟฟ้าช็อตไป...

    "กรอดดดดดด....!!"

    "อ๊า..............!!!"


    หุ่นทั้งสองสิ้นฤทธิ์แล้ว แต่เพื่อความแน่นอน...

    "ล็อค พร้อมนะ....!!"

    "อื้อ!!"

    แล้วก็วิ่งเข้าไปทั้งคู่...แต่ก็ต้องหยุด

    มีลูกไฟสีแดงเหมือนดาวตกพุ่งแซงผ่านหน้าพวกเขาไป 2 ลูก มันตรงไปหาเจ้าหุ่นแมจิเท็คส์ที่ซึ่งตอนนี้เดินไม่ได้และไร้พิษสง เมื่อกระทบแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่กำลังโดนไฟคลอก ทหารจักรวรรดิสองนายนั้นร้องโอดโอยอย่างโหยหวน...

    แล้วก็มอดไหม้หมดไป...

    ทั้งเอ็ดการ์และล็อคหันกลับไปดู...แล้วก็แทบช็อค

    เธอ...กางนิ้วทั้งห้าค้าง ตรงมาที่หน้าพวกเขาอยู่...

    ทั้งล็อคและเอ็ดการ์ยืนนิ่งงันไม่ต่างอะไรกับสาวน้อยที่แสดงอะไรออกมาโดยไม่รู้ตัวเองเลย...

    "นี่...มัน..." เอ็ดการ์อุทานเบาๆ แต่

    เสียงหุ่นแมจิเท็คส์เริ่มวิ่งเข้ามาใกล้ๆทุกทีๆ ทั้งสามได้ยินพร้อมกัน ล็อคจึงพูดขึ้น

    "ไม่ต้องมาพิรี้พิไรอยู่เลย รีบควบหนีออกกันไปก่อนที่พวกมันจะมาเล่นงานเราดีกว่านะ..."

    ทั้งสองพยักหน้ากันแล้วขี่โจโกโบะอย่างเร่งรีบลงไปทางใต้ของจุดที่ปราสาทเคยตั้งอยู่ สวนทางกันไปกับกองฝุ่นทรายที่กระจายขึ้นมาเพราะแรงดำดินของปราสาท

    เคฟก้ามาถึงจุดที่มีการต่อสู้กันพร้อมกับทหารทั้งหมด แต่ก็ไม่พบใครอยู่แถวนั้นนอกจากร่างไร้วิญญาณของทหาร 2 คนนั้นกับซากเหล็กหุ่นแมจิเท็คส์

    "ฮึ่มมมม!!!! ข้าไม่ปล่อยพวกเจ้าไว้แน่....กลับ!!!!!" แล้วพาทหารที่ยืนอยู่ด้านหลังกลับไปที่ศูนย์บัญชาการ

    ------------------------------

    ห่างจากตรงนั้นมาประมาณ 2 กิโลเมตรกว่าๆ....

    ทั้งสามควบเจ้านกมาเรื่อยๆเอื่อยๆเพราะไม่ต้องรีบแล้ว

    "พวกมันคงไม่ตามมาแล้วล่ะ..." ล็อคเริ่มพูด

    เอ็ดการ์พยักหน้าแต่ตายังจ้องไปข้างหน้าเหมือนคิดอะไรอยู่ในใจ ทีน่าเองก็เงียบอยู่ ระคนต่างอึดอัด...

    เอ็ดการ์ค่อยๆกระซิบกับเจ้านักล่า

    "นาย...เห็นเหมือนที่เราเห็นใช่มั้ย..."

    "อืม...แต่ชั้นไม่รู้ว่ามันคืออะไรน่ะ..." ล็อคตอบอย่างเครียดๆ

    "มันคือเวทย์มนต์ไง...เวทย์มนต์ที่สูญหายไปแล้วเมื่อสมัยสงคราม แล้วตอนนี้มันกลับมาแล้ว...." เอ็ดการพูดให้ฟัง

    "หา!!! ว...ว...ว...เวทย์มนต์....อย่างนั้นหรือ??"
    เอ็ดการ์ไม่ตอบแต่กลับหันกลับไปถามทีน่า

    "ทีน่า...เธอรู้ไหมว่าเธอทำอะไรลงไปเมื่อกี๊นี้??"

    ทีน่าตื่นจากอาการกดดัน แล้วละล่ำละลักตอบ "เอ่อ...ค..คือ..ชั้น...ขอโทษด้วยถ้า...เอ่อ...ท...ทำอะไร...ผิดไป...."

    เอ็ดการ์ยิ้มออกมาด้วยความไร้เดียงสา "โธ่ ทีน่า เธอไม่ได้ทำอะไรผิดหรอก ดีซะอีก เธอช่วยพวกเราไว้รู้มั้ย...?"

    ทีน่าแปลกใจ

    "แต่เราอยากถามอะไรเธอหน่อยนะ...เธอ...ไปเรียนรู้เวทย์มนต์นั่นมาจากไหน...?"

    ‘อ้อ...นั้นเรียกว่าเวทย์มนต์หรอกหรือ...’ เธอคิด

    "เอ่อ...คือ...ชั้น...."

    ล็อคโพล่งขึ้นมา "ถ้าเธอความจำยังไม่กลับมาก็ไม่เป็นไรนะ เพราะเราไม่ได้ต้องการที่จะคาดคั้นจากเธอ รอให้เธอจำได้แล้วบอกกับพวกเราดีกว่านะ..."

    เอ็ดการ์พยักหน้าเห็นด้วย...ทีน่าเริ่มคลายความกังวลใจ

    “แต่เมื่อกี๊นี้เธอไม่รู้สึกตัวเลยหรือ...?" เจ้านักล่าสมบัติถามอีก

    ทีน่าตอบออกมาเป็นฉากๆ "ตอนแรกนั้นชั้นรู้สึกเหมือนกับว่า พลังงานบางอย่างในตัวชั้นมันเริ่มมากขึ้นๆ ชั้นเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคืออะไร แต่หลังจากที่เกือบโดนลำแสงสีแดงนั่น กลายเป็นว่า พลังงานเหล่านั้นมันกำลัง...ไม่สิ...มันต้องออกมาข้างนอก ไม่งั้นมันจะ..."

    เอ็ดการ์และล็อคพลางตั้งใจฟัง...

    "แล้วพอเสี้ยวเวลาหนึ่ง มันก็หายไป เหมือนดั่งกับว่า...หลุดออกไปอีกมิตินึงแค่ชั่วเดี๋ยวเดียว..."

    เอ็ดการ์เข้าใจอย่างถ่องแท้ "ทีน่า...ที่เธอทำนั้นเราไม่รู้หรอกนะว่าเธอไปได้เวทย์มนต์พวกนี้มาจากไหน แต่เหมือนกับว่าเธอเอง...ยังควบคุมมันไม่ได้..."

    ล็อคพูดสวนขึ้นมาอีก "เอ็ดการ์!! ทีน่าใช้เวทย์มนต์ได้ ในขณะที่พวกเราทำไม่ได้ นี่ไง...เธอสามารถช่วยพวกเราได้แล้ว เห็นกันแล้วใช่มั้ย...เมื่อกี๊เธอก็จัดการเจ้าหุ่นทั้งสองอยู่หมัดเลย"

    ทั้งคู่ยิ้ม...แล้วกษัตริย์หนุ่มพูดออกมา

    "ทีน่า...พวกเราจะช่วยเธออีกแรงนึง เธอฝึกฝนเวทย์มนต์ให้กล้าแกร่งให้ได้นะ ควบคุมมันให้ได้ แล้วเธอจะช่วยพวกเราได้เยอะเลย..."

    เธอดีใจ อย่างน้อยเธอก็ใช้สิ่งที่พวกเขาเรียกว่าเวทย์มนต์ช่วยพวกเขาได้...

    "อืม...ขอบใจนะ..." แล้วยิ้มพลางขยิบตาให้ทั้งคู่ ทำเอากษัตริย์หนุ่มและเจ้านักล่ายิ้มไม่หุบ แล้วพากันขำไม่หยุด

    "นี่...!! ทั้งคู่นี่ เลิกหัวเราะซะทีสิ..." เธอยิ้มแบบขำๆ แล้วหัวเราะตามแล้วก็ว่าขึ้นอีก

    "นั่นคือคนที่ชั้นเห็นในความฝันเลย..." เธอพูดถึงเคฟก้าที่ได้เห็นตอนออกมาจากปราสาท "เห็นอย่างนั้นแล้วทำเอาชั้นกลัวขึ้นมาอีกครั้งเลยล่ะ..."

    เอ็ดการ์ขี่โจโกโบะมาใกล้ๆเธอแล้วว่า

    "ไม่ต้องกลัวหรอกทีน่า...เราจะพาเธอไปที่ๆพวกมันหาไม่พบแน่นอน และเธอจะได้พบกับหัวหน้าของพวกเรา..."

    ล็อคก็ขี่เข้ามาขนาบข้าง "ใช่...ท่านเบอร์นอน หัวหน้าของกลุ่มต่อต้านเราเอง...ท่านเคยบอกว่า เราต้องหา ‘อะไร’ ซักอย่างเพื่อที่จะเอาชนะพวกจักรวรรดิงี่เง่านั่น บางทีอาจจะเป็นเธอก็ได้นะ..." เขายิ้ม

    "เพราะเวทย์มนต์อะไรนั่นหรือ...?" เธอถามย้อน

    เอ็ดการ์ยังมองไปข้างหน้าอย่างครุ่นคิด แล้วพูด

    "ในตัวเธอนั้นน่ะ มีพลังเวทย์มนต์อยู่ในตัวนะ สิ่งหนึ่งที่ทำให้เราเชื่อนั้น ก็คงเป็นเพราะเมื่อเธอเข้าไปที่หมู่บ้านนัลเซ เธอคงไปเจอสัตว์อสูรนั่นเข้า แล้วคงมีปฏิกิริยาต่อกัน เลยทำให้พลังเวทย์มนต์ในตัวเธอเริ่มก่อเกิดขึ้นมา...คงงั้นมั้ง..."

    "แต่ชั้นไม่เคยรู้มาเลยนะว่าในร่างกายชั้นมีพลังงานมาก่อน..." เธอบอก เอ็ดการ์คิด

    "แต่เราไม่เคยเห็นมนุษย์คนไหนมีพลังเวทย์มนต์มาก่อนเลยเหมือนกัน..."

    เธอหยุดเจ้านกเหลือง...พลางน้ำตาจะไหล ทำเอาทั้งคู่ต้องหยุดเหมือนกันแล้วหันกลับไป

    "นี่สินะ...ที่ชั้นไม่เหมือนพวกนาย..."

    เอ็ดการ์ตกใจปนรู้สึกผิดที่ทำให้สาวน้อยรู้สึกแย่ไป "เอ่อ...เราขอโทษ ถ้าเราพูดอะไรที่เป็นการไม่เข้าใจต่อเธอนะ..." เธอพยักหน้า

    "ชั้น...ควรจะทำอย่างไร..." น้ำตาเธอไหลออกมา ล็อคจำยอมถอดผ้าโพกหัวที่เขาทั้งรักทั้งหวงให้ทีน่าซับน้ำตา เอ็ดการ์แปลกใจที่เห็นล็อคทำเช่นนั้น แต่เวลานี้ไม่ใช่ประเด็น...เธอซับน้ำตาแล้วคืนผ้าให้

    "แน่นอน ตอนนี้พวกจักรวรรดิมันต้องการตัวเธอกลับไปที่นั่นแน่ เพราะถ้ามันได้เธอกลับไป คราวนี้โลกต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของพวกมันแน่ๆ เพราะคิดว่าพวกมันก็คงรู้เรื่องพลังในตัวเธอบ้างแล้ว สิ่งที่เธอทำได้ตอนนี้ คือต้องอยู่กับพวกเรา...ไม่ได้บังคับนะ แต่เราไม่อยากให้อะไรๆเลวร้ายไปมากกว่านี้..."
    ทีน่าก้มหน้าคิดแล้วถามต่อ "เหมือนพวกนายจะห่วงถึงพลังของชั้นมากกว่าตัวชั้นอีกนะ..."

    "ไม่ใช่หรอก...เธอเป็นบุคคลสำคัญสำหรับพวกเรา ถึงเธอจะมีพลังหรือไม่มี แล้วไงล่ะ มาถึงขนาดนี้แล้ว พวกเราก็คงไม่ปล่อยให้เธอต้องผจญกับอะไรที่เธอยังไม่รู้...แล้วอีกอย่าง ชั้นปล่อยให้คนที่จำความอะไรไม่ได้ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวหรอก อย่าลืมที่ชั้นบอกเธอไว้ล่ะ..." ล็อคเตือนสิ่งที่เขาพูดเมื่อตอนอยู่ที่ปราสาท

    "ตอนนี้เราต้องพาเธอไปพบกับเบอร์นอน สิ่งเดียวเท่านั้นที่เราทำได้ในตอนนี้” เธอเงียบไปอีกครั้ง

    "ได้โปรดนะ...ไปกับพวกเรา..." เอ็ดการ์ขอความมั่นใจจากตัวเธอ เธอพยักหน้าแล้วกลับมายิ้มอีกครั้ง...ทั้งสองดีใจที่ได้เห็นรอยยิ้มอย่างจริงใจที่เธอให้มา เอ็ดการ์พูดต่อไป

    "เอาล่ะ...เมื่อตกลงได้แล้ว เราจะเดินทางต่อไปนะ แต่เราจะไปพักกันก่อน แล้วจะเดินทางต่อพรุ่งนี้ เราจะมุ่งหน้าไปทางใต้นี่แหละ ที่นั่นจะมีที่พักอยู่ ไปกันเถอะ..." แล้วก็พากันควบเจ้าตัวเหลืองไปจนถึงบริเวณภูเขาลูกหนึ่ง

    เอ็ดการ์ลงจากโจโกโบะแล้วจูงมันไปเรื่อยๆจนเจอกับกระท่อมใหญ่หลังหนึ่ง กระท่อมนี้เป็นที่ๆมีความทรงจำของเขา แมช ล็อค และเฟร็ดมากมาย เพราะที่นี่คือจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้โลกกว้างเลยทีเดียว

    ทั้งหมดลงจากเจ้านกแล้วเอาเชือกไปผูกไว้ที่ตรงเพิงที่ผูกพวกสัตว์ต่างๆไว้ เอ็ดการ์พูดขึ้น

    "เราจะนอนห้องข้างนอก ส่วนทีน่า เธอนอนในห้องนะ เรากับล็อคจะผลัดกันเฝ้ายามจนถึงเช้า ไม่ต้องกังวล หลับตามสบายเลย..." ทีน่าพยักหน้า แล้วก็เข้าห้องไป

    ล็อคพูดกับเอ็ดการ์ขึ้นมา "นี่ถ้าพวกมันดันรู้ที่อยู่ตรงนี้ล่ะ...เราจะเอาไงกันดี..." เอ็ดการ์คิดพลางพูดออกมา

    "ไม่น่าถามเลย...เราก็ต้องหนีสิ แต่คงต้องไปให้ถึงที่ซ่อนของเราในทีเดียวเลยล่ะ..." ล็อคพยักหน้าปนแอบเซ็งนิดๆที่โดนย้อนกลับมา

    "เดี๋ยวนายไปนอนเถอะ ชั้นจะเฝ้ายามให้เอง นายเหนื่อยมาพอแล้ว ทำแผลใส่ยาให้เสร็จซะแล้วนอนไปเลย..."

    "เอางั้นเลยหรือ...?"

    "เออน่า...ไม่เป็นไรหรอก ชั้นเองก็ยังไม่ง่วงเท่าไรด้วย ถึงแม้จะหมดแรงเหมือนกันก็ตามเหอะ..." เจ้านั่นบอกแล้วพลางนั่งเก็บกิ่งไม้ขึ้นมาแกะเปลือกเล่นๆ

    "อืม...ขอบใจนะ ไม่ไหวก็ปลุกเราไปเฝ้าได้นะ..."

    "โอเค..." แล้วเอ็ดการ์ก็เดินเข้าประตูไป

    เสียงแมลงกลางคืนส่งเสียงร้องออกมาระงมทั่วบริเวณ ล็อคยิ้มออกมา "แหม่...ไม่ได้บรรยากาศอย่างนี้มานานแล้ว...เสียดาย" สีหน้าจากที่ร่าเริงตอนแรกก็กลับกลายเป็นเศร้า เขาก้มลงนั่งแล้วกอดเข่าพลางนึกถึงอดีตที่ผ่านๆมาหลายๆอย่าง น้ำตาของเขาเริ่มซึมออกมา...

    เขาคิดถึงบุคคลผู้หนึ่งขึ้นมาจับใจ...

    เวลานั้นประมาณ 02.10 น. .......

    เสียงแมลงต่างๆยังคงร้อง แซมด้วยเสียงสัตว์ป่าต่างๆที่ออกหากินตอนกลางคืน ล็อคพยายามเดินดูรอบๆกระท่อมเพื่อสำรวจสิ่งต่างๆ เพราะเขาไม่ได้มาที่นี่นานแล้ว ‘เอ...ไอ้สิ่งนั้นยังจะอยู่มั้ยน้า...’ แล้วก็เดินอ้อมออกไปทางหลังกระท่อม ดึงลังใบหนึ่งออกมาจากใต้ถุนเบาๆ แล้วค้นของข้างใน...

    มีสายตามองมาจากหลังต้นไม้ใหญ่...ยังไม่รู้ตัว...

    เขาค้นไปเรื่อยๆจนเจอมีดเล่มหนึ่ง มีดเล่มนี้เป็นมีดที่ "บุคคล" คนหนึ่งให้ในวันเกิดของเขา เขาหยิบมันขึ้นมาเช็ดขัดตามประสามีดที่เก็บไว้นาน

    เงาตะคุ่มอย่างหนึ่งพุ่งเข้าหาตัวเขา...แล้วผ่านไปอย่างรวดเร็ว...

    มีดหายไปจากในมือ!!!

    ล็อคหันกลับไปทางที่เจ้าเงานั่นหายไปทันที "เฮ้ย...!!! หยุด...!!" แล้ววิ่งตามติดไป แต่ก็ไม่ทัน เขาหอบแฮ่กๆเพราะเหนื่อยกับการวิ่งไล่ตามเงานั้น แล้วก็เดินกลับมาที่กระท่อม พลางโกรธแค้นและนึกเสียดายมากๆ "คอยดูนะ...ถ้าชั้นจับแกได้...ชั้นจะส่งทางการแล้วเอาเงินค่าหัวแกมาเลย..." เขารู้ดีว่าฝีมือขนาดนี้ก็คงมีค่าหัวเหมือนกับตัวเขาเองแหละ...

    เอ็ดการ์งัวเงียๆตื่นขึ้นมาเพราะเสียงที่เจ้านั่นตะโกน "เป็นอะไรหรือล็อค?"

    ล็อครีบปกปิด "เปล่าหรอก ไม่มีอะไร แค่ลิงตัวนึงมันขโมยขนมที่ชั้นกำลังกินอยู่....ฮ่าๆๆ"

    เอ็ดการ์พลางหัวเราะเหมือนกัน... "งั้นถ้าไม่มีอะไร นายไปนอนมั่งมั้ย? เราตื่นขึ้นมาแล้วก็ไม่อยากนอนแล้วล่ะ...."

    "ก็ดีเหมือนกัน....ฮ้าวววว จะได้งีบบ้างซะที วิ่งตามเจ้าลิงนั่นจนเหนื่อยเลย" แล้วก็เดินเอามือปิดปากหาวไปตามทาง เดินเข้าประตูไป เอ็ดการ์มองตามไปจนสุดทางแล้วเดินตรวจตรารอบๆเหมือนทหารเฝ้ายาม...

    ------------------------------

    พระอาทิตย์เริ่มโผล่ขึ้นจากภูเขา...

    สัตว์น้อยใหญ่ที่กินพืชเป็นอาหารเริ่มออกหากินในตอนนี้ พรานล่าสัตว์หลายๆคนเริ่มออกมาดูเหยื่อที่กับดักของตนเองเพื่อดูว่าจะมีอะไรมาติดกับให้เอากลับไปบ้านหรือเปล่า ต้นไม้หลายๆต้นก็เริ่มปลิวไหวตามลมหนาว น้ำค้างและน้ำแข็งทั้งหลายที่เกาะอยู่บนต้นก็เริ่มสลัดลงมาตามลม

    ทีน่าตื่นขึ้นมาพร้อมกับหาวแล้วเดินออกมาจากห้องที่นอนอยู่ เมื่อคืนเธอหลับสบายจริงๆ เพราะในห้องนั้นมีทั้งเตียงนุ่มๆ แถมยังมีอากาศถ่ายเทระบายออกมาอีก ทำให้ไม่ร้อนจนเกินไป เธอเดินออกมาก็เจอล็อคนอนอยู่บนโซฟากลางห้อง ท่าทางเหมือนจะหมดแรงมาจากอะไรสักอย่าง เธอมองแล้วขำในใจ...

    ในตัวกระท่อมนั้นแทบจะเรียกได้ว่าเป็นบ้านขนาดย่อมๆได้เลย แต่ที่มันดูลึกลับก็เพราะต้นไม้ต้นใหญ่ที่อยู่ข้างๆนั้นบังส่วนบนที่เป็นหลังคากระท่อมจนเกือบมิด แต่ถึงกระนั้นแสงอาทิตย์ก็ยังส่องลงมาได้ถึงในตัวบ้าน...
    เธอเดินลงมาข้างล่างก็เห็นเอ็ดการ์แอบงีบหลับอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่นั้น เธอเดินรอบๆกระท่อมแล้วดู ‘สวยงามเหมือนกันนะ...’ เธอคิด

    "เป็นไง บ้านเล็กที่เราสร้างขึ้นมาตอนเด็กๆ..." เอ็ดการ์ตื่นขึ้นมาตอนไหนก็ไม่รู้บอกอยู่ที่ข้างหลังเธอ

    "นี่คือ...บ้านที่นายสร้างตอนเด็กๆหรือ??"

    "โธ่ทีน่า...เราคนเดียวสร้างไม่ได้อยู่แล้วล่ะ มันก็มีลูกมือช่วยด้วยอีก 3 คนแหละ เจ้านั่น..." ชี้ไปในบ้าน "เฟร็ด และแมช..." พูดจบก็นึกถึงความทรงจำในวัยเด็ก..

    ทีน่าเองก็แอบชื่นชมราชาหนุ่มในใจ การที่สร้างบ้านอย่างนี้ได้ในตอนเด็กๆ นี่ไม่ใช่คนธรรมดาๆแล้วนะเนี่ย...

    "ฮ้าวววว...หลับสบายเลย.....อ้าว....ตื่นกันแล้วหรือเนี่ย....นึกว่าชั้นจะตื่นก่อนซะอีก..." เจ้านักล่าก็เดินตามลงมาเหมือนกัน

    "ตอนเด็กๆเธอก็มาสร้างบ้านนี้ด้วยหรือ...?" เธอถาม

    "อื้อ...เป็นความต้องการของเอ็ดการ์น่ะ ที่จะมาพักที่นี่ตอนกลางคืน เพราะอะไรน่ะหรือ เพราะการผจญภัยในตอนมืดนั้นมันสนุกสนานมากเลยล่ะ...พวกเรา 4 คนเมื่อก่อนนั้นสนุกมากเลยเมื่อได้มาอยู่ในบ้านหลังนี้..." ล็อคอธิบายพลางยิ้มไม่ต่างอะไรกับเอ็ดการ์ที่ยิ้มให้ทีน่าเช่นกัน

    "มีความทรงจำมากมายที่กระท่อมหลังนี้...ทั้งความสุข ความทุกข์ ความสนุกสนาน อันตรายต่างๆ และมิตรภาพที่ยอดเยี่ยม ใช่มั้ย..." หันกลับไปที่ล็อคที่พยักหน้าทันทีที่พูดจบ

    ทีน่ารู้สึกอิจฉาทั้งคู่ที่ตอนเด็กๆทั้งคู่มีความทรงจำดีๆมากมาย แต่เธอ...

    "อิจฉาพวกนายจังเลยนะ...ชั้นนี่สิ...."

    ล็อคเห็นท่าจะไม่ดี จึงพูดว่า "เอางี้....เดี๋ยวชั้นจะไปเก็บของป่ามานะ แล้วจะมาทำอะไรให้กินเอง..."

    "พอเลยๆ เราจำได้ดีว่านายทำอาหารได้ห่วยแตกที่สุดในบรรดากลุ่มเลยล่ะ..." เอ็ดการ์ท้วง
    "แต่ชั้นก็เคยทำให้ทีน่ากินนะ แล้วเธอก็ยังกินได้ด้วย ใช่มั้ยทีน่า...?" หันกลับไปหาทีน่าเพื่อหาคำตอบ แต่ได้รับมาแค่ยิ้มแหยๆของเธอ ทำเอาเขาเสียเซลฟ์ไปในถนัดตา

    "โหยย....เอาเล้ยย รวมหัวกันเข้าไป ได้!!! วันนี้ชั้นจะยกผลประโยชน์ให้พวกนายไป แล้ววันนึง ชั้นจะทำให้เห็นว่า ชั้นเองก็ทำอาหารได้ดีไม่แพ้การปรุงยาเลย คอยดู..." ทำหน้าแหยๆพลางงอนเล็กๆใส่ ทั้งคู่หัวเราะเพราะไม่บ่อยนักที่จะเห็นเจ้านี่น้อยใจใครๆ...

    "เอาล่ะ...ชั้นจะออกไปหาอาหารกับล็อคนะ เธออยู่ที่นี่ แต่ต้องขอให้เธออยู่ในห้องไปก่อนนะ..."

    ทีน่าพยักหน้า แล้วเดินขึ้นบ้านไป...

    เอ็ดการ์กับล็อคหันหน้ามองกันอย่างรู้ใจอะไรบางอย่าง แล้วพยักหน้าให้กัน จากนั้นก็เดินออกไปทางหลังบ้าน...

    ------------------------------

    ณ ปราสาทเวคเตอร์ในตอน 3.30 น.

    เคฟก้าพาทหารทั้งหลายที่ต่างคนต่างก็บาดเจ็บเล็กใหญ่ไม่เท่ากันเข้ามาในบริเวณปราสาท สภาพของพวกเขาดูไม่ได้เลย หุ่นส่วนใหญ่มีอาการพิกลพิการหลายๆอย่าง แขนแหว่ง กระจกแตก เหล็กร่างกายร้าว รวมๆแล้วต้องซ่อมกันยาวเลยทีเดียว

    เขาลงจากหุ่นด้วยความโกรธแค้น จริงอยู่ที่ทำไมเขาไม่เรียกกองหนุนไป แต่เขาก็เลือกที่จะไม่เรียก ก็เพราะปราสาทดันดำดินไปก่อนแล้วน่ะซิ...

    กัสโทร่าเดินลงมาจากบันไดพร้อมกับลีโอ "เจ้าทำงานพลาด..." เขาพูดเบาๆ ยิ่งทำให้เคฟก้าโกรธแค้นพวกเอ็ดการ์เข้าไปอีก "เจ้ามีอะไรจะแก้ตัวหรือเปล่า...เคฟก้า...?"

    เคฟก้าคุกเข่าลงแล้วตอบอย่างโกรธเกรี้ยว "ผม....ผม...ขอโทษ ให้โอกาสผมอีกสักครั้งนะครับ...ท่านกัสโทร่า..."

    หัวหน้าจักรวรรดิลูบเครางาม คิดอะไรสักอย่างหนึ่ง แต่ลีโอเสริม "เราน่าจะลองให้โอกาสเคฟ้าอีกสักทีนะครับ เขาทำงานมาด้วยความสุจริตมาตลอด จงรักภักดีกับจักรวรรดิมานาน ผมจะขอให้ท่านช่วยยกโทษให้เขาด้วยอีกแรง...เอ่อ...จะได้มั้ยครับ...?"

    กัสโทร่าคิดแล้วบอกออกมา "ได้...แต่ไม่มีคราวหน้าอีกแล้วนะที่เจ้าจะพลาดภารกิจเช่นนี้...เจ้าไปพักผ่อนเถอะ..." แล้วกัสโทร่าก็เดินขึ้นไป ลีโอเดินลงมาพร้อมประคองเคฟก้าให้ลุกขึ้น "เดินไหวมั้ย..." แต่เคฟก้าปัดความหวังดี

    "ไม่ต้อง!!! ข้าลุกเองได้ ไม่จำเป็นต้องให้ใครช่วย..." ลีโอจำยอมต้องปล่อยออกมาแล้วเดินตามกัสโทร่าขึ้นไปอย่างเซ็งในอารมณ์ เคฟก้ายืนอยู่อย่างนั้นแล้วสบถออกมา

    "ไอ้พวกบ้า!!! พวกแกไม่รอดแน่...." พลางนึกในใจแล้วหัวเราะเสียงดังลั่น....

    "ทหาร!!! เลิกทัพ...!!!" แล้วทหารทั้งหมดก็พากันกลับที่พักพร้อมนำหุ่นเข้าโกดังเพื่อทำการซ่อมแซมบำรุงต่อไป

    ------------------------------

    "ฮ้า....คงพอแล้วนะ..." เอ็ดการ์บอกออกมาหลังจากเก็บเสบียงป่ามาเต็มอุ้งแขน เช่นเดียวกับล็อค

    "แล้วจะทำอะไรกินกันดี...?" แล้วมองดูวัตถุดิบในมือ มีทั้งเห็ด เนื้อหมูป่า ถั่ว น้ำแร่ และยังอื่นๆอีก ล็อคมองดูแล้วพลางนึก แล้วร้องอ๋อขึ้นมา

    "ได้แล้ว...เมนูอมตะของเรานั่นเอง!!" หันกลับมามองที่เอ็ดการ์

    "นายอย่าบอกนะว่า..." เอ็ดการ์ถามอย่างไม่อยากเชื่อพลางยิ้มอย่างดีใจ

    "ผัดหมูป่าใส่ถั่วที่ไม่ได้กินกันมานานแล้วไง....!!" ล็อคก็ยิ้มออกมาเหมือนกัน

    "ถ....ถ....ถูกต้องนะคร้าบบบ!!!" ทั้งคู่พากันหัวเราะอย่างสนุกสนาน แต่ก็ถูกขัดจังหวะโดยสาวน้อยทีน่า

    "ขำคิกคักๆอะไรกันหนุ่มๆ..." เธอเดินลงมาแล้วก็ต้องตกใจกับเสบียงในมือ...

    "โห! นี่กะจะกินกันถึงเย็นเลยหรอ..."

    ล็อคอธิบายให้เธอฟัง "อะแฮ่ม...คือ...เราจำเป็นต้องทำเผื่อไว้เวลาเดินทางด้วย เพราะเราอาจจะต้องเดินทางกันอีกประมาณ 2-3 วันเลยล่ะ...คือ...เราต้องทิ้งเจ้านี่ไว้กลางทางน่ะ..."

    "ทำไมล่ะ...?"

    "เราต้องผ่านถ้ำที่ต้องปีนป่ายพวกหินหรือพื้นที่สูงๆ เจ้าพวกนี้ก็บินไม่ได้ซะด้วยสิ..." เอ็ดการ์อธิบายเพิ่ม

    "ความผิดของนายเลยล่ะเอ็ดการ์..." เจ้านักล่าสมบัติโบ้ยราชาหนุ่มเข้าให้

    "อะไรของนายอีกล่ะเนี่ย...?"

    "ก็ไม่ลองผสมพันธุ์เจ้าเหลืองออกมาให้มีปีกล่ะ จะได้สบายๆ เก่งนักไม่ใช่หรือ..." แอบแขวะให้ ทำเอาเอ็ดการ์งงปนขำกับความตลกสิ้นคิดของเจ้านี่ เหมือนกับทีน่าที่เธอขำได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องใช่มุขตลกมากมาย...

    "เอาน่า...ชั้นหิวแล้ว...นายทำสิเอ็ดการ์..." เจ้านั่นยังไม่หยุด

    "เออ...รู้แล้วน่า...ทีน่า เธอจะช่วยเราทำมั้ยล่ะ...?"

    ทีน่าอึกอักเล็กน้อย แต่ก็ตอบตกลงไป ล็อคแอบเซ็ง...

    "เฮ้อ...ชั้นละเซ็งเลย กลายเป็นคนตกงานละ หมดประโยชน์แล้วนี่..." แล้วเดินออกไปนอกบริเวณ เอ็ดการ์ยิ้มแล้วหัวเราะออกมาเหมือนทีน่าเช่นกัน แต่เธอตะโกนบอกไป

    "เสร็จแล้วจะตะโกนเรียกนะ..."

    เจ้านั่นไม่ตอบ แต่ชูนิ้วโป้งขึ้นฟ้า แล้วก็หยิบมีดคู่ใจออกไปฝึกขว้างมีดที่เขาซุ่มซ้อมมาหลายปี แต่ฝีมือก็ยังไม่คืบหน้ามาหลายปีเช่นกัน...

    ทั้งเอ็ดการ์และทีน่าเข้าครัวกันทำอาหารอย่างขมักเขม้น เอ็ดการ์เองก็สังเกตว่า เธอคนนี้ก็มีดีตรงที่การทำอาหารเหมือนกัน การที่เธอหั่นเนื้อเป็น แกะเปลือกถั่วเป็น หรือแม้กระทั่งการเลือกใช้เครื่องปรุงต่างๆ มันทำให้เขารู้สึกว่า เธอเหมาะกับการเป็นแม่ศรีเรือนจริงๆ

    ‘เฮ่ย...คิดมากไปแล้วเรา...’ แล้วก็เลิกคิดไปเพราะกลัวจะฟุ้งซ่าน

    ทีน่าเองก็สนุกสนานกับการทำอาหาร เธอเองก็ไม่รู้ตัวอีกเช่นกัน ว่าทำไมเธอถึงทำสิ่งต่างๆเหล่านี้ได้คล่องแคล่ว เธอเองก็คิดในใจ แต่ก็ไม่ได้ฟุ้งซ่านอะไรมาก สิ่งเดียวที่เธอต้องการตอนนี้คือ ความสนุกสนาน ที่เธออยากได้เหมือนทั้งสองคนเคยผ่านมา

    ไม่เกินครึ่งชั่วโมง ผัดหมูป่าใส่ถั่วพร้อมกับข้าวที่หุงเสร็จใหม่ๆก็เสร็จสมบูรณ์เรียบร้อย เธอภูมิใจกับอาหารที่เธอทำจานนี้มาก เช่นเดียวกับเอ็ดการ์ที่เขาไม่ได้เข้าครัวมานานแล้ว มีแต่ป้าแมทรอนทำให้เขากินอย่างเดียวเท่านั้น

    "น่ากินดีเนอะ...ว่ามั้ย...?"

    "อื้ม...กลิ่นก็หอมนะ..." เอ็ดการ์ตอบแต่ตายังจ้องไปที่จานผัดหมูป่า "เธอไปตามล็อคมาดีกว่า จะได้กินกันซะที แล้วจะได้รีบเก็บของออกเดินทางกันต่อ..."

    เธอพยักหน้าแล้วออกไปนอกบ้านเพื่อไปตามล็อค...

    เอ็ดการ์เดินตรวจดูในรอบๆบ้านไปเรื่อยระหว่างรอ...รำลึกถึงอดีตอีกครั้งนึงที่เขาได้เคยอยู่ร่วมกับแมช น้องชายร่วมสายเลือดของเขาเอง เดินไปเรื่อยๆ แล้วเขาก็ต้องแปลกใจกับอะไรบางอย่าง...

    บนขื่อบ้าน...มีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ข้างบน เอ็ดการ์ลากเก้าอี้ออกมาจากโต๊ะกินข้าวแล้วปีนขึ้นไปดู "นี่มัน...!!"

    มันเป็นแผ่นกระดาษพับ เขาเปิดดูก็พบ...

    "ถึง เฟร็ด

    ถ้านายได้มาเจอจดหมายฉบับนี้หลังจากที่เราได้ออกมาจากฟิกาโร่แล้ว ขอนายรู้ไว้ว่า เราจะตั้งหลักปักฐานอยู่ในบริเวณหมู่บ้านเซาท์ฟิกาโร่ แต่เราจะไม่อยู่ที่ไหนเป็นการถาวรนะ ตอนนี้เรายังไม่อยากเจอผู้ใดทั้งนั้น แม้แต่พี่ของเราเองก็ตาม ให้นายเก็บความลับนี้ให้มิดชิดที่สุด สักวัน เราจะกลับไปหาพี่เรา และกลับไปที่ฟิกาโร่เอง...

    แมช เรเน่ ฟิกาโร่..."

    เอ็ดการ์อ่านแล้วน้ำตาก็เริ่มไหลออกมาทันที "แมช.....พี่ขอโทษ....พี่ขอโทษ...." ร้องไห้ฟูมฟายแล้วพึมพำประโยคนี้ซ้ำๆกันเหมือนคนบ้า พอดีกับที่ล็อคและทีน่าเดินขึ้นมาเห็นเข้า

    "เฮ้...!! เป็นอะไรไปเพื่อน...?!" ล็อครีบวิ่งรุดเข้ามาปลอบเช่นเดียวกับทีน่า เอ็ดการ์ส่งกระดาษให้อ่าน ทำเอาทั้งคู่ก็พลอยตกใจ โดยเฉพาะทีน่าที่ป้องปากด้วยความสะเทือนใจ...

    "นาย...ไปเจอมาจากไหน...?" ล็อคถาม

    เอ็ดการ์ไม่ตอบ แต่ชี้ขึ้นไปบนขื่อ ล็อคพยักหน้า... "ชั้นเข้าใจนายอยู่นะ...ใจเย็นๆ เราจะออกตามหาแมชด้วยกัน...ตกลงนะ..."

    เอ็ดการ์ก็ไม่ตอบ แต่พูดออกมา "เราจะเปลี่ยนเป้าหมายก่อน เราจะไปตามหาน้องชาย แล้วเราจะไปหาเบอร์นอนกัน..." ล็อคเองตอบตกลง

    "เราจะช่วยนายด้วยอีกแรงนะ..."ทีน่าตอบ "นายช่วยชั้นค้นหาความทรงจำ ชั้นก็จะช่วยนายหาน้องชายของนายด้วย..." เอ็ดการ์ตอบ "ขอบใจเธอมากทีน่า...ขอบใจจริงๆ"

    ทีน่ากำมือกษัตริย์หนุ่มแน่นเพื่อคลายความโศกเศร้า...

    เอ็ดการ์รู้สึกแปลกขึ้นมามาก ความรู้สึกนี้เหมือนความอบอุ่นอะไรบางอย่าง มันส่งผ่านมาจากมือของเธอ มันเหมือนดั่งเช่น...

    ความอบอุ่นของแม่...

    แล้วเขาก็ได้สติกลับมาอีกครั้งหลังจากตกอยู่ในภวังค์ของความอบอุ่นนั้น แล้วค่อยๆคลายมือออกมา...ทีน่ายิ้มให้อย่างไม่เคอะเขิน ทำเอาล็อคอิจฉาไปในทันที แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก แล้วตัดบทอีกครั้ง...

    "เดี๋ยวกับข้าวก็เย็นหรอก..."

    ได้ยินดังนั้นทั้งคู่ก็อุทาน "เออ...ใช่..."

    "งั้นจะช้าอยู่ใยเล่า รีบกินกันดีกว่านะ..." แล้วเจ้านั่นก็เป็นคนแรกที่นั่งที่เก้าอี้แล้วโซ้ยผัดหมูป่าเข้าปากไป ทั้งคู่ก็ยังขำเจ้าล็อคกับลักษณะที่ชอบตัดบทแบบนี้อยู่เรื่อยๆ แล้วก็พากันรับประทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อยและสนุกสนานกับเรื่องเล่าบนโต๊ะกินข้าวที่ทั้งคู่นำมาเล่าสู่กันฟังให้ทีน่าได้ยิน...
  11. hannover96

    hannover96 New Member

    EXP:
    881
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    Chapter 8 : Support Team

    ในโรงซ่อมหุ่นแมจิเท็คส์ของปราสาทเว็คเตอร์ เวลา 08.50

    เคฟก้าเดินตรวจตราดูความเสียหายของหุ่นแต่ละตัวไปเรื่อยๆ เพราะหุ่นที่เขาสร้างมานั้น เขาเชื่อในฝีมือตัวเองว่ายอดเยี่ยมและไม่สามารถทำลายได้นอกจาก ‘พลัง’ ที่เหนือไปกว่ามัน...

    ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้นกษัตริย์หนุ่มแห่งฟิกาโร่ขึ้นมาอย่างจับใจ...

    ทหารคนหนึ่งรีบวิ่งเข้ามาแจ้ง "ท่านเคฟก้า...ซากหุ่นที่โดนเผานั้นลากเข้ามาในโรงแล้วครับ...!!"

    เคฟก้ามองหน้าทหารคนนั้นด้วยสายตาที่โกรธแค้นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ทำเอาทหารนายนั้นที่วิ่งโร่มาบอกถึงกับขอตัวไปทันที แล้วเขาก็เดินไปตรงที่ๆลากเลื่อนนั้นลากซากหุ่น 2 ตัวที่โดนทีน่าเผาด้วย ‘ไฟ’

    เหล็กสีดำกองใหญ่ๆ 2 กองวางอยู่บนแผ่นเหล็กบนพื้น สภาพนั้นถ้าเป็นคนที่ได้เห็นก็คงไม่เอามาซ่อมใหม่แล้วแน่ๆ เพราะมันเละไม่มีชิ้นดี การที่พวกจักรวรรดิต้องเก็บกู้ซากพวกนี้มาก็เพราะว่ากลัวว่าจะโดนขโมยเอาส่วนประกอบพวกนี้ไปวิจัยเพื่อหาจุดอ่อน หรืออะไรก็ช่างที่จะทำให้ความับของหุ่นนั้นถูกปรากฏออกมา...

    บริเวณนั้นมีหัวหน้าทหารหลายนายยืนพากันวิพากษ์วิจารณ์หุ่นเน่า 2 ตัวนี้อย่างออกรส แต่คงไม่รวมไปถึงเคฟก้าแน่นอน เจ้าตัวตอนนี้กำลังโกรธแค้นเป็นอย่างมาก มือนั้นกำเป็นหมัดแน่น...ในใจตอนนี้เขาอยากจะระบายแค้นออกมาเป็นอย่างยิ่ง

    "เอาไปทำลายทิ้ง...!!!!" เขาสั่งเสียงเนิบๆ

    "แต่ท่านเคฟก้า..." ทหารนายหนึ่งเอ่ยก่อนที่จะโดนเบรก

    "เอาไปทิ้ง...!!" เริ่มขึ้นเสียงมาอย่างอารมณ์เสียทันที สายตาของเขาก็ยังจ้องที่เศษหุ่นอยู่ ลูกตาตอนนี้ก็แทบจะถลนออกมาเสียให้ได้

    "ครับ!!!!" ทหารทั้งหมดรับคำอย่างเกรงกลัว แล้วคนหนึ่งก็กดปุ่มลากเลื่อนเพื่อให้เลื่อนทำงาน แล้วนำชิ้นส่วนทั้งหมดไปที่ถังทำลายขยะเหล็ก...

    "มัวยืนทำอะไร...ทำงาน!!!!" ด่าทหารที่ยังยืนนิ่งอยู่ ทั้งหมดก็พากันกลัวจนวิ่งหนีกลับไปทำงานกันหมด

    "เจ้าเอ็ดการ์......................" เคฟก้านึกในใจว่าสักวันเขาจะจับเอาเอ็ดการ์และเพื่อนๆของเขามารับโทษ แล้วประหารไปพร้อมกับคนทรยศที่ตอนนี้ยังโดนขังอยู่ในคุกใต้ดินของปราสาท... "ข้าไม่ปล่อยแกไว้แน่...ฮึ่มมม!!!"

    ------------------------------

    เวลา 12.35...

    "ทำไมมันช่างร้อนอย่างนี้นะ....ให้ตายสิ" เจ้านั่นบ่นออกมาอีกครั้งนึง "กลางวันแดดออก กลางคืนหิมะตก นี่มันยังไงเนี่ย...?!!"

    เอ็ดการ์ยิ้มปนอารมณ์รำคาญนิดๆ "ก็แถบนี้มันแถบทะเลทรายนี่นา มันก็ต้องร้อนเป็นธรรมดา" พลางเอาของใช้ที่จะเดินทางยัดลงกระเป๋า "ทีน่า เก็บของเสร็จหรือยังน่ะ...?"

    เธอเดินออกมาจากห้องพร้อมกับเป้หนังสีน้ำตาลใบหนึ่งที่เอ็ดการ์ยื่นให้เมื่อชั่วครู่นี้ "เสร็จแล้วล่ะ มีแต่พวกของใช้ส่วนตัวของชั้นทั้งนั้นแหละ ไม่มีอะไรแล้ว..."

    ล็อคเองก็กำลังยัดของลงเป้เหมือนกัน และดูเหมือนว่าเป้ของเขานั้นท่าทางจะหนักกว่าทุกคนเสียด้วยสิ...

    "นั่นนายจะยัดมันลงไปทำไมน่ะ..." เอ็ดการ์ถามถึงเชิงเทียนที่เจ้านั่นกำลังยัดลงไป...

    "โธ่...ชั้นไม่เอาไปขายหรอกน่า มันจะได้เท่าไรกันเชียว เอาไปด้วยแหละ เผื่อจะมีประโยชน์..."

    "อ่ะ...นี่..." ทีน่ายื่นเทียนให้เหมือนหวังดีอีกต่อหนึ่ง

    "โอ้ย...ไม่เอ๊า...!!"

    "แล้วนายจะเอามันไปทำไม ถ้าไม่มีเทียน...?" เธอถามย้อน ล็อคเองก็ตอบไม่ได้ แต่เขาก็ตอบกลับไป

    "ช่างชั้นเหอะน่า...มันอาจจะเป็นประโยชน์กับชั้นตอนไหนก็ได้..."

    เอ็ดการ์ก็ปล่อยให้เพื่อนของเขาพกไปโดยที่ไม่ตอแยอีก โดยที่ขนาดเขาเป็นคนที่มีไหวพริบดีแล้ว เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้านักล่าสมบัติตัวแสบจะเอาของสิ่งนี้ไปทำไม เพราะเวลากลางคืนคงไม่มีใครมาจุดเทียนแทนการก่อกองไฟกันหรอก และนอกจากเรื่องนี้ เขาก็ไม่รู้อีกแล้วว่า จะเอาไปทำไม...

    ทั้งหมดเดินออกมาจากตัวบ้าน "เอาละ..." เอ็ดการ์ดูที่พระอาทิตย์ที่ขึ้นอยู่ตรงกลางหัวพอดี แล้วก้มลงดูเข็มทิศที่เขาจะพกติดตัวอยู่ตลอดเวลา... "ไปกันเถอะ เดี๋ยวจะไม่ทันการณ์เอา..." ว่าเสร็จเอ็ดการ์ก็ขึ้นโจโกโบะตัวเดิมของเขาหลังจากที่มันนอนพักรักษาตัวหลังจากที่ต่อสู้ร่วมกับเขามาอย่างหนักตั้งแต่เมื่อคืน...

    "แล้วเราจะไปไหนกันก่อนล่ะ..." เธอถามแล้วเริ่มสบัดเชือกเจ้านกเดินตามไปพร้อมกับล็อคที่ขี่อยู่บนตัวมันเหมือนกัน

    "เราจะไปที่หมู่บ้านของเราก่อน เซาท์ฟิกาโร่..." ราชาหนุ่มตอบ "เราจะต้องผ่านถ้ำที่เราขุดไว้เพื่อเป็นทางลัดไปยังหมู่บ้าน..." เขาชี้ไปที่ข้างหน้าที่เป็นทะเลทรายกว้างใหญ่...

    "เราจะมุ่งไปยังตรงนั้น..." เขามองเข็มทิศอีกครั้ง "แน่นอน...ไม่หลงแน่ ตามมาเลย...!!" แล้วก็สบัดเชือกให้เจ้าโจโกโบะวิ่งไปยังตรงหน้า...วิ่งจนเริ่มที่จะทิ้งทั้งสองคน

    "เอาล่ะ...ไม่ได้วิ่งกับเจ้านี่ซะนานและ ไป!!!" ว่าแล้วเจ้านักล่าหนุ่มก็สบัดไปอีกคน..."ทีน่า ตามมาให้ทันนะ..."

    เธองง แต่ก็เริ่มเข้าใจว่ามันคืออะไร "อ๋อ...วิ่งแข่งกันหรือ ได้เลย...สู้ๆนะเจ้านกน้อย..." พลางลูบหัวมันก่อน ก่อนที่จะสบัดเชือกอย่างแรง แล้วเจ้านกของทีน่าก็วิ่งตามทั้งสองไปอย่างสุดแรงเช่นกัน

    เอ็ดการ์หันกลับมามองที่ข้างหลังก็เห็นฝุ่นทายตลบอบอวล "ตามมาแล้วสินะ...ไป!!" สบัดให้นกของเขาวิ่งเร็วขึ้นบ้าง

    ฝุ่นทรายตอนนี้ปลิวฟุ้งขึ้นมาเป็นระยะๆ ทั้งสามผลัดกันนำ ผลัดกันตาม และผลัดกันเป็นที่โหล่ สร้างความสนุกสนานให้กับทั้งสามคนเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะสาวน้อยทีน่า ที่ในชีวิตของเธอไม่เคยได้เล่นอะไรที่สนุกๆแบบนี้เลย...

    ‘ทำไมชีวิตของพวกเธอสองคนถึงได้สนุกสนานแบบนี้บ่อยๆนะ...’ เธอคิด แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดให้มันเปลืองสมอง เพราะแค่เธอคิดแค่แวบเดียว เธอก็โดนเอ็ดการ์แซงขึ้นนำอีกครั้ง จากที่ตอนแรกแซงนำเป็นที่ 1 อยู่ ส่วนเจ้าล็อคน่ะหรือ...ที่โหล่...

    "หนอย..จะตามไปเดี๋ยวนี้แหละ...คอยดู!!" เขาตะโกนเสียงดัง แล้วควบเบียดตำแหน่งกับทีน่ามาแต่ไกล ทีน่ามองกลับหลังมา

    "อุ้ย...! มาตั้งแต่เมื่อไร...?" เธอพยายามไม่ลนลาน แล้วสบัดเชือกอีกครั้งเพื่อที่จะทิ้งห่างเพื่อนนักล่าของเธอ และพยายามที่จะแซงเอาตำแหน่งจากกษัตริย์หนุ่มคืนด้วย...

    "มันไม่ง่ายนักหรอกทีน่า...อย่าดูถูกพวกเรานะ...!" เอ็ดการ์หันหลังกลับมาบอกพร้อมชูนิ้วกระดิกตามสไตล์ของเขา ทำเอาทีน่าขำปนเคืองเล็กๆ แต่เมื่อเธอมองมาทางด้านขวามือของเธอ...

    "ว่าไงเบบี๋...!! อย่าเหม่อสิ..." แล้วก็โดนแซงไปอีกครั้ง "หนอย...ทั้งสองคนนี่..." ยิ้มแล้วเธอก็รีบควบตามไปบ้าง

    "เฮ้เอ็ดการ์...ชั้นมาแล้ว!!!" เขาตะโกนบอกข้างหน้า เอ็ดการ์ทำไม่แยแส ตอบกลับมาอย่างไม่มองหน้า

    "อีกไม่กี่กิโลก็จะถึงหน้าปากถ้ำแล้ว...มาดวลกันสามคนเลยมาว่าใครจะถึงก่อนกัน...ไป!!" สบัดเชือกเร่งให้นกของเขารีบวิ่งขึ้นไปอีก เพราะไม่ต้องกลัวอยู่แล้วว่านกจะหมดแรง ถึงยังไงถ้าถึงหน้าปากถ้ำก็ไม่ต้องลากเจ้าพวกนี้ไปด้วยอยู่แล้ว...

    ทั้งสามเริ่มที่จะเร่งความเร็วใส่กัน และเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เจ้านกพวกนี้ก็ตอบสนองเจ้าของแต่ละคนไม่แพ้กันเองเลย ดั่งเหมือนจะประลองความเร็วของพวกมันเองด้วย ขณะเดียวกัน เส้นทางที่กำลังจะถึงหน้าปากถ้ำก็เหลือลงไม่มากแล้ว...

    500 เมตรสุดท้าย...

    ล็อคเร่งความเร็วโดยใช้เชือกตีที่ตัวของเจ้านก แล้วขึ้นมาแซงนำทีน่าที่นำอยู่เป็นที่ 1 ในตอนแรก "ที่ 1 ชั้นขอรับกินแล้วกันนะ...ไปล่ะ...!" แล้วควบขึ้นนำไป

    300 เมตรสุดท้าย...

    เอ็ดการ์เริ่มโล้ตัวไปข้างหน้าเพื่อให้ตนเองต้านลมให้น้อยลง นกของเขาจะได้ไปได้เร็วขึ้น แล้วก็ได้ผล เมื่อเขาสามารถแซงผ่านทีน่า และล็อคขึ้นนำไปได้... "ชิชะ...ยังเร็วไปนะเพื่อนๆที่จะเป็นที่1" หันกลับมากระดิกนิ้วให้...

    แต่ 100 เมตรสุดท้าย...

    ทีน่ากลับเร่งขึ้นมาโดยการให้นกวิ่งตามหลังนกของล็อค แล้วแซงผ่านไปทางซ้ายมือไปอยู่หลังเอ็ดการ์ แล้วแซงขึ้นทางขวาของผู้นำอีกที สร้างความประทับใจให้เอ็ดการ์เป็นอย่างมากจนเขาต้องปรบมือให้ขณะที่ควบนกอยู่ "โธ่อะไรกันหนุ่มๆ...หมดแรงกันแล้วหรือ...??"

    ช่วงสุดท้ายทั้งสามเริ่มเร่งอย่างเต็มกำลังสุดๆจนนกทั้งสามคนออกอาการหน้าแดงและเริ่มเหนื่อยๆและล้าลงเรื่อยๆ ตัวเอ็ดการ์นั้นก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่ชำนาญในการบังคับนกโจโกโบะได้เป็นเลิศอีก ดังนั้นเขาจึงต้องไม่ยอมแพ้ และแพ้ไม่ได้ด้วย ‘ไม่งั้นขายหน้าแย่เลย...’ นึกในใจ แล้วในที่สุด เขาก็นำวิธีการอีกแบบมาใช้...

    โดยการก้มเพื่อให้ต้านลมน้อยลง...

    แต่คราวนี้...เขาเอาขาเกี่ยวลำตัวนกไว้แล้วเอาลำตัวของเขาเองไปห้อยอยู่ข้างๆตัวนก...

    วิธีนี้ทำเอาทีน่าตกใจ แต่ล็อคเห็นจนชินแล้วเพราะตอนนี้เขาเองก็กำลังทำแบบเดียวกัน เรื่องผาดโผนแบบนี้ล็อคเองก็ไม่ได้ยอมแพ้เหมือนกันหรอก...

    แต่แล้ว...ก็ไล่ไม่ทันจนได้...

    ทั้งหมดถึงทางเข้าหน้าถ้ำด้วยกันทั้งสามคน เอ็ดการ์นั้นเฉือนล็อคไปประมาณช่วงตัวนกนิดเดียว แต่ทีน่านั้น โดนทิ้งไปเยอะเหมือนกัน...

    "พวกนายนี่ท่าทางจะชำนาญกันเหลือเกินนะ..." พูดพลางทำหน้างอนนิดๆ

    ทั้งคู่มองหน้ากันแล้วขำเบาๆ แล้วเอ็ดการ์บอกต่อไป "คราวหน้าเราจะสอนพิเศษเรื่องบังคับเจ้านี่ให้เธอละกัน แต่ต้องหลังจากเราทำธุระของเราเสร็จก่อน แล้วจะสอนให้..."

    เธอพยักหน้าแล้วเริ่มคลายอาการงอนลง...หันกลับมายิ้มให้ทั้งสองคน ขยิบตาให้ด้วยอีก 1 ที

    "ว่าแต่ฝีมือนายยังเหมือนเดิมนะ ขอชมๆ" ล็อคปรบมือให้เอ็ดการ์อย่างไม่มารยาและไม่ได้ประชด

    "ขอบคุณๆ แต่เรายังไม่เก่งหรอกนะ ยังมีคนที่เก่งกว่านี้อีกหลายคนบนโลกเลยแหละ ขึ้นชื่อว่าเป็นเลิศ ก็ยังได้แค่เป็นเลิศ แต่ไม่ใช่อันดับ 1 สักหน่อย..." เขาถ่อมตัวอย่างน่าฟัง ล็อคเองพยักหน้าหงึกๆแล้วว่าต่อ

    "พาพวกมันไปหาน้ำท่ากินเถอะ ร้อนจะตาย เจ้าพวกนี้ก็คงไม่ต่างอะไรกันมากหรอก..." พลางลากพวกมันไปข้างหน้าอย่างช้าๆ เช่นเดียวกับอีกสองคน...

    ถ้ำที่ทั้งสามกำลังเดินไปข้างหน้านั้น มีลักษณะเป็นถ้ำเล็กๆ ถ้าไม่สังเกตุจริงๆจะพบว่าไม่เห็นเหมือนจะมีถ้ำอยู่บริเวณนี้เลย เนื่องจากประตูถ้ำนั้นก็เป็นประตูหินที่เวลาเข้าออกก็ต้องเลื่อนซ้ายขวา แล้วสีของหินยังกลืนกับสีภูเขาข้างบนด้วย หน้าถ้ำนั้นก็มีทหารฟิกาโร่นายหนึ่งมาเฝ้าอยู่ที่นี่ตามแผนการที่ได้ประชุมกันมาก่อนหน้านี้เรียบร้อยแล้ว...ทหารยามคนนั้นรีบวิ่งมารับเชือกเจ้านกของทั้งสามคนทันที

    "ถวายความเคารพท่านเอ็ดการ์..." คุกเข่าคำนับลงพร้อมในมือยังกำเชือกอยู่

    "ลุกขึ้นๆ อืม...ดีแล้ว เจ้าดูแลบริเวณนี้ได้ดีมาก มีใครหรือสิ่งแปลกปลอมอะไรหลงเข้ามาแถวนี้บ้างหรือเปล่า...?”

    "เอ่อ...คิดว่าไม่น่ามีครับ...อ้อ!...ลืมไปครับ ผมว่าผมเห็นใครคนหนึ่งแหละครับ รู้สึกจะใส่ชุดดำ มองไม่เห็นหน้า วิ่งกระโดดขึ้นเขาไปอย่างเร็ว ผมเองก็สังเกตเห็นแว่บๆ เลยไม่ได้ตรวจดูว่าเป็นใคร...แต่คิดว่าคงไม่ใช่พวกจักรวรรดิหรอกครับ..."

    เอ็ดการ์พลางคิดเหมือนนักสืบ "อืม....ไม่แน่หรอกนะ บางทีพวกมันอาจจะมาสืบอะไรแถวๆนี้หรือเปล่า...แต่ช่างเถอะ เอาเป็นว่า เจ้าจงเอาเจ้านกเร็วทั้งสามตัวไปผูกไว้ในโรงเก็บนะ แล้วไปแจ้งข่าวที่ปราสาทด้วยว่าพวกเรานั้นปลอดภัยดี แล้วจะกลับไปหลังจากทำเรื่องที่เราตกลงกันไว้เสร็จ..."

    "ครับ...!! ดูแลตัวเองกันด้วยนะครับทั้งสามคน" ทุกคนพยักหน้า แล้วทหารนายนั้นก็รีบวิ่งเอาเจ้าพวกนกไปเก็บไว้ แล้วกดปุ่มสวิทช์ในห้องควบคุม...

    ประตูหินบานใหญ่ถูกเลื่อนออกมาทางด้านซ้ายมือ ฝุ่นทรายฟุ่งกระจายขึ้นมาอีกครั้งนึง คราวนี้เป็นวงกว้างและนานมากกว่าจะหายไป...

    "นี่ครับ..." ทหารนายเดิมยื่นคบเพลิง 3 อันให้เอ็ดการ์

    "ขอบใจมาก...เจ้าไปได้แล้วล่ะ..."

    "ครับ...!!" แล้วรีบขึ้นโจโกโบะอีกตัววิ่งไปยังทางปราสาทฟิกาโร่ที่พิกัดใหม่...

    "เอาล่ะ...เราต้องรีบหน่อยและ...ตามเข้ามาเลย..." เอ็ดการ์เดินนำเข้าไปข้างในที่ปกคลุมไปด้วยความมืดมิดจนมองไม่เห็นอะไรในตัวถ้ำ ทีน่าและล็อคพอจุดไฟเสร็จแล้วก็เดินตามราชาหนุ่มที่เป็นต้นหนอยู่แล้วโดยที่ไม่ห่างตัวกันเท่าไหร่...

    ภายในถ้ำนั้นไม่มีแสงสว่างอะไรเลย มีแต่หยากไย่ของเหล่าลูกแมงมุมยักษ์ที่พวกทหารของฟิกาโร่พึ่งจะจัดการกำจัดทิ้งไปเต็มไปหมด พวกมันสร้างความสกปรกให้กับในถ้ำนี้มาก ถึงกระนั้นก็ตาม ก็ยังไม่มีใครจะทำความสะอาดทางลัดนี้ให้สะอาดซะทีเดียวซักที...

    ทีน่าเริ่มไอออกมาหลังจากเข้ามาในนี้ได้สักพักหนึ่ง...

    "แค้ก...ๆ...ๆ อากาศไม่ดีเลย..." บ่นออกมา เอ็ดการ์กับล็อคมองหน้ากันแล้วก็พยักหน้า เหมือนกับจะเห็นด้วย แล้วล็อคก็ค้นอะไรอย่างหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเป้

    "เอานี่ไปคนละอัน...ชั้นพกเผื่อมาด้วย เพราะอาจจะต้องเจอกับอันตรายบางอย่างน่ะ..." ยื่นผ้าปิดปากให้กับทุกคนในที่นั้น ทั้งสามคนก็เอามันมาสวมครอบปากไว้เพื่อกันฝุ่นผงและหยากไย่ที่อาจจะหล่นลงมาเมื่อไรก็ได้ แล้วเดินเข้าไปเรื่อยๆ...

    "ตามชั้นมาติดๆนะ เพราะในถ้ำนี้ ทางเดินมันอาจจะยวบลงไปตรงไหนก็ได้..." ทีน่าพยักหน้า ล็อคเองก็เช่นกัน...

    ทั้งหมดเดินตรงมาเรื่อยๆตามแสงคบเพลิงของแต่ละคนที่จุดแล้วถืออยู่ในมือ ทีน่ามองซ้ายมองขวาอย่างหวาดกลัวอะไรสักอย่าง แต่เธอคิดมากไปเอง ผิดกับล็อคและเอ็ดการ์ที่เดินไปข้างหน้าอย่างไม่เกรงกลัวอันตรายอะไรทั้งสิ้น

    มีเต่าตัวหนึ่งกำลังว่ายลอยน้ำอยู่ข้างหน้าตัวหนึ่ง ขนาดใหญ่มากพอที่จะขี่มันลงไปในน้ำกับมันได้เลย เล่นเอาทีน่าที่เดินอยู่นั้นร้องตกใจด้วยความกลัว

    "แค่นี้ก็กลัวหรือ...?" เอ็ดการ์หยอกนิดๆ ทำเอาหันกลับมาค้อนให้ซะหนึ่งที "ก็ใครจะไปรู้ล่ะว่ามันเป็นแค่เต่าตัวนึง ดีนะไม่ใช่เต่าปีศาจ..."

    เอ็ดการ์เล่าให้ฟังขณะที่กำลังเดินขึ้นขั้นบันไดที่เป็นหินทราย "เต่าตัวนี้น่ะ เป็นเต่าของตระกูลฟาริโอรอสอีกเช่นกันแหละ ถูกเก็บมาเลี้ยงตั้งแต่ตอนเล็กๆ เมื่อก่อนก็เอาไปเลี้ยงตรงบ่อน้ำใกล้ๆบ้านพักที่เราพักะ แต่หลังจากนั้น เฟร็ดสังเกตเห็นว่ามันเริ่มตัวใหญ่ขึ้นๆ จนสุดท้ายทั้งเรา เฟร็ด และแมชต้องช่วยกันจับมันมาลงที่บ่อในถ้ำนี้..."

    ล็อคถามขึ้นมาแบบแหวกอากาศ "แล้วมันเป็นไงมั่ง...?"

    เอ็ดการ์หันกลับมาบอก "คือว่า...มัน...ไม่ยอมดำลงน้ำมาหลายปีแล้วนะสิ..."

    ทำเอาทั้งคู่ตกใจไปในถนัดตา เอ็ดการ์อธิบายต่อ "แต่ว่าการที่มันได้มาอยู่ที่นี่นั้น มันทำให้ไม่มีอสูรหรือสัตว์ประหลาดจากนอกถ้ำเข้ามาในนี้ได้เลยนะ...ไม่ว่าเวลากลางวันที่มีคนอยู่เฝ้า หรือกลางคืนอันมืดมิด..." แล้วมองลงไปที่เจ้าเต่าที่อยู่ข้างล่างอีกครั้ง

    ทั้งสามคนไต่ทางเดินขึ้นมาเรื่อยๆตาเส้นทางที่ขรุขระและสูงชันจนมาถึงข้างบนที่มีบริเวณอาณาเขตกว้างขวาง พอๆกับท้องพระโรงที่ฟิกาโร่เลยทีเดียว "พอถึงตรงนี้แล้ว ทุกคนระวังนะ เพราะพื้นถ้ำในตอนนี้ยังไม่ได้รับการซ่อมแซม อาจจะทรุดลงตรงไหนก็ได้..." เอ็ดการ์เตือนทั้งสองอีกครั้ง ทั้งคู่พยักหน้า แต่ยังไม่ทันขาดคำ...

    พื้นด้านล่างยวบลงไปทันที...ทีน่าร้องเสียงหลง

    "ว้ายย...!! ช่วยด้วย...!!" เธอติดอยู่ตรงปากหลุมที่ยวบลงไปข้างล่าง ทั้งคู่ก็พลอยตกใจไปด้วยแต่ก็ดึงสติกลับมาช่วยกันดึงทีน่าขึ้นมา...

    "ไม่ต้องกลัวๆ เราจับเธอไว้แล้วนะ..." เอ็ดการ์บอกแล้ว..."ฮึบ...!!"

    ล็อคเองก็ช่วยออกแรงดึงแขนอีกข้างหนึ่ง ทั้งคู่พยายามช่วยสุดความสามารถ ทีน่าเองก็ยายามยันตัวขึ้นไปโดยการถีบผนังหลุมเพื่อนยันขึ้นมา ไม่นานนัก...เธอก็สามารถขึ้นมาได้ด้วยความร่วมแรงร่วมใจของทั้งสองคน รวมทั้งของตัวเธอเองด้วย
    "แฮ่กๆๆๆ โอย...แค่เดินมาเรื่อยๆก็เหนื่อยแล้ว นี่ยังต้องเจอเรื่องเหนื่อยๆอีกนะเนี่ย...ให้ตายสิ...!!" มีใครคนหนึ่งบ่นขึ้นมา

    "เอาน่า...เราปล่อยเธอตกลงไปข้างล่างไม่ได้ด้วย ไม่งั้นล่ะก็ หาทางลงไปช่วยกันนานเลยล่ะ..." เอ็ดการ์บอก

    ทีน่าปัดฝุ่นออกจากเสื้อผ้าออกก่อนที่จะเอ่ยปากขึ้น

    "ขอบใจพวกนายอีกครั้งนะ เกือบเหมือนตอนที่หมู่บ้านแล้วสิ..." ล็อคได้ยินเท่านี้ก็รู้เลยว่าหลุมที่เห็นในเหมืองนั้น ไม่ใช่ทางลับ...

    เอ็ดการ์บอกต่อขึ้นมาอีก "ลองมองดูที่พื้นด้วยนะ ถ้าเห็นรอยหินแยกเยอะๆล่ะก็ อย่าไปเหยียบมัน เพราะเดี๋ยวจะเป็นแบบเมื่อกี๊เข้าให้อีก เข้าใจมั้ย" กำชับอีกครั้ง

    ทีน่าพยักหน้ารับรู้เหมือนเดิมอีกที คราวนี้เธอตั้งใจแล้วว่าจะระวังตัวให้ดีที่สุดเพื่อที่จะไม่ให้เสียเวลาในการเดินทางอีกต่อไป...

    แต่แล้ว...

    พรึ่บ....พรึ่บ....พรึ่บ...............

    เอ็ดการ์เงี่ยหูฟังแล้วจุ๊ปาก "ชู่ว์.............เงียบก่อน......" เธอเงียบ ล็อคเองก็หันซ้ายขวาหน้าหลังมองดูไปรอบๆบริเวณนั้น...

    มันเริ่มใกล้เข้ามา...พร้อมกับละอองสีม่วงอ่อนๆ....

    เอ็ดการ์รู้สึกได้ถึงว่าด้านหลังของเขามีอะไรไม่ชอบมาพากล จึงหันกลับไป

    ถึงกับผงะ...ผีเสื้อยักษ์ตัวหนึ่งกำลังบินมาอย่างช้าๆพลางสะบัดปีกพร้อมปล่อยละอองออกมาเรื่อยๆ จนตอนนี้ละอองเหล่านั้นเริ่มจะหนาและหนักขึ้น...

    "โอ้...คราวนี้เป็นเจ้านี่หรือ...ดีเลย ไม่ต้องเสียเวลาไปตามหาให้ไกล...!!" เจ้านักล่าตัวดีบอกอย่างดีใจพร้อมกับชักมีดออกมาพร้อมกับจุ่มลงในขวดสีเขียวใบใหญ่ๆที่พึ่งหยิบออกมาเมื่อกี๊นี้ใบหนึ่ง...ยาพิษนั่นเอง

    เอ็ดการ์ก็ไม่รอช้ารีบจับอาวุธดาบขึ้นมาเหมือนกันพร้อมกับความสงสัยในอะไรบางอย่างในจิตใจ แล้วบอกล็อค "นายว่ามันแปลกๆมั้ย ว่าทำไมมันถึงเข้ามาในถ้ำนี้ได้เนี่ย...?"

    "เรื่องนั้นชั้นไม่สนหรอกนะ ชั้นรู้อย่างเดียวว่า ชั้นได้ของเล่นชิ้นใหม่อีกแล้ว ลุย!!!" ไม่รอเช้าก็ปรี่เข้าไปลุยกับเจ้าผีเสื้อนั่น

    "นายนี่มันช่าง...." พลางยิ้มออกมาแล้วบอกทีน่า "เธออยู่ข้างหลังเรานะ อย่าถอดผ้าปิดปากออกล่ะ ไม่งั้นได้หลับยาวแน่..." เขาเตือนแล้ววิ่งออกตามล็อคเพื่อจัดการกับเจ้าผีเสื้อ

    ทีน่าเดินถอยหลังหลบไป แต่ก็ไม่ลืมที่จะตรวจดูพื้นด้วยว่าตรงไหนไม่ควรผ่าน...

    "ย้าก.....!!!" เจ้าล็อคกระโดดสุดแรงแล้วเงื้อมีดอาบยาพิษเพื่อจะแทงเข้าที่ปลายหนวดจมูกของมัน แต่กลับโดนเป้าหมายนั้นฟาดเข้าที่หน้าท้อง จนกระเด็นมาทางเอ็ดการ์...

    "เฮ้ย....!" เขาหลบได้ทันก่อนที่ร่างของเพื่อนของเขาเองจะกระเด็นมาโดนตัว แต่เพื่อนนี่สิ...ตอนนี้ลงไปกลิ้งอยู่ใกล้ๆกับผนัง ล็อคยันตัวขึ้นมาแล้วแสยะยิ้ม ยังดีใจอยู่...

    "แหม่....แรงแกมีแค่นี้เองเหรอ สงสัยคงไม่มีใครหาแมลงให้กินสินะ....ย้ากส์........!!!" วิ่งเข้าไปสบทบกับเอ็ดการ์ที่ตอนนี้กำลังบล็อคหนวดที่มันสะบัดตีอย่างหนักหน่วงอย่างคล่องแคล่ว...

    "ล็อค...นายอ้อมไปด้านหลังนะ...เราจะล่อมันไว้เอง....!"

    ล็อคเข้าใจ "อ้อ...เป็นแผนใช่มั้ย....ได้เลย...."

    แล้ววิ่งอ้อมไปเรื่อย พลางหลบหนวดอีกเส้นที่คอยฟาดใส่ตัวเขาอีกเส้นหนึ่ง เหมือนกับรู้ตัวว่ากำลังโดนรุมสอง...

    ขณะนั้นเอง ทีน่าพยายามหลับตานึกคิดเหตุการณ์ที่ทะเลทราย...

    มันออกมาได้อย่างไร...

    จะทำได้อย่างนั้นได้อย่างไร...

    เธอคิดก็คิดไม่ออกจริงๆ แต่ด้วยความที่อยากช่วยเหลือทั้งคู่ที่กำลังสู้กับเจ้านั่นอย่างสนุก...เธอลองหลับตาลึก...แล้วลองทำสิ่งหนึ่ง...

    สมาธิ..........................

    "นายยังมีขวดน้ำยาระเบิดอะไรหรือเปล่า...?" ราชาหนุ่มถามขึ้นขณะที่กำลังเอาดาบขึ้นบล็อคหนวดที่ฟาดลงมาจนเกือบจะโดนหน้าผากของเขาอยู่แล้ว

    "มีน่ะมีอยู่ แต่นายจะเอาไปทำอะไร...?" เขาถามกลับแล้วหลบหนวดอีกเส้นหนึ่งไปทางด้านหลัง หนวดของมันฟาดจนพื้นแตกเป็นรอย...แน่นอน...ถ้าไปเหยียบได้ตกลงไปอีกแน่ๆ

    "โอเค...ถ้ายังมีติดตัว...หลบ!!" เขาตะโกนบอกล็อค เพราะเจ้านั่นกำลังโดนซ้ำดาบสองด้วยหนวดที่เอ็ดการ์รับมืออยู่...แน่นอน เขาหลบทันอย่างหวุดหวิด แล้วตะโกนบอกอย่างเร็ว...

    "อย่าช้า!!!!!"

    แน่นอน....ราชาหนุ่มกระโดดขึ้นไปขี่อยู่บนตัวของเจ้าปีศาจผีเสื้อนั่นแล้วเงื้อดาบปักลงที่ปีกข้างหนึ่ง....แล้วกระโดดลงพื้น...

    มันเริ่มบินโงนเงนๆ เอียงไปทางด้านซ้ายเหมือนกับจะร่วงลงพื้นแล้ว หนวดของมันเริ่มอ่อนกำลังลงทันที

    "นายรู้ได้ไงว่าจุดอ่อนของเจ้านี่อยู่ที่ปีก...?" ล็อคถามขึ้น

    เอ็ดการ์ก็สบัดนิ้วชี้อีกครั้ง แล้วบอก "เราเองก็ไม่ได้ด้อยไปกว่านะ เรื่องสัตว์ประหลาดต่างๆเนี่ย...." พลางเริ่มจับดาบให้แน่นขึ้น

    "เราจะใช้แผนนี้นะ นายเห็นตรงนั้นมั้ย..." เริ่มปรึกษากันในขณะที่เจ้าผีเสื้อนั่นยังไม่ได้เรี่ยวแรงกลับมา แล้วชี้ไปที่พื้นบริเวณหนึ่ง...

    "เห็นอยู่...รอยแยกเหมือนหลุมที่นายบอก...ทำไมล่ะ...?"

    "เราจะล่อให้มันบินไปอยู่เหนือหลุม แล้วนายหาจังหวะเหมาะๆจัดการมันลงหลุมไปให้ได้ แล้วเราจะเอา Crossbow ยิงซ้ำลงไป เอาวิธีไหนก็ได้นะ...ที่สามารถส่งมันลงไปในหลุมให้ได้...." เอ็ดการ์บอกถึงแผน

    "หึๆๆ ได้เลยเพื่อน ขอมาเดี๋ยวจัดให้ ณ บัดนาวเลย...." ยิ้มอีกครั้งแล้วหยิบเอาขวดน้ำยาระเบิดออกมา "นายคงอยากให้ชั้นใช้นี่สินะ..." เอ็ดการ์ไม่ตอบแต่ได้แค่พยักหน้า ตายังคงจ้องพลางคิดว่าจะจัดการเจ้านี่เหมือนอย่างในแผนได้หรือไม่...

    จากด้านหลัง........

    มีแสงสีขาวอุ่นๆล้อมรอบตัวทั้งคู่ที่ยืนดูและคิดแผนอยู่....เอ็ดการ์รู้สึกได้ถึงความสบาย และความเจ็บปวดทั้งหลายจากการต่อสู้เมื่อกี๊ก็หายไปเป็นปลิดทิ้งด้วย ล็อคเองก็รู้สึกเหมือนกัน

    เป็นอีกครั้งที่ทั้งสองคนมองหน้ากันเองแล้วหันกลับไปมองที่ทีน่า...

    เธอยิ้มให้พร้อมกับมือที่กางออกมาต่อหน้าพวกเขา "นี่......มันคือ....." เอ็ดการ์อุทานเหมือนกำลังจะเดาในสิ่งที่ตัวเองคิด

    "เอ่อ......ชั้น........แค่.........อยากลองทำดูน่ะ.....เผื่อมันอาจจะได้....อื้มมม" แล้วยิ้มให้พลางขยิบตา ทำเอาเอ็ดการ์และล็อคยิ้มไม่หุบเลยทีเดียว...

    "นี่อาจจะเป็นหนึ่งในคาถาสายรักษาพลังสินะ..." ล็อคถามพร้อมกับจุ่มมีดลงในขวดยาพิษอีกครั้ง

    "ใช่ คาถาสาย Cure และจากที่เห็นที่ทะเลทราย นั่นเป็นสาย Fire แน่ๆ เราจำได้แล้ว..." เอ็ดการ์พูด "พร้อมนะ....!!"

    ล็อคปิดฝาขวดสนิทแล้วตอบ "แน่นอน...ได้กองหนุนแล้วนี่..." หันกลับไปหาทีน่าแล้วขยิบตาให้ ทำเอาเธอเหรอหราปนงงงวยว่าล็อคเป็นอะไร...

    "ย้ากส์!!!" เอ็ดการ์วิ่งเข้าไปก่อน เจ้านั่นเริ่มรู้ตัวแล้วในจังหวะที่ราชาหนุ่มเริ่มวิ่งเข้าไป แล้วมันก็เริ่มออกอวุธที่หนักขึ้น ละอองพิษของมันเริ่มหนาและรุนแรงกว่าปกติ...

    "หนอย...ท่าทางเชื้อแกจะดีนะ...พิษแรงจริงๆ แต่ทำอะไรชั้นไม่ได้หรอก..." เขานึกในใจแล้ววิ่งหามุมดีๆที่จะปิดบัญชีกับเจ้าผีเสื้อพิษตัวนี้...

    เอ็ดการ์รับมือกับมันได้ง่ายขึ้นหลังจากได้รับคาถา Cure ไปเรียบร้อย "เรี่ยวแรงกลับมาแล้ว...เอาล่ะ..." เขาพึมกำแล้วจัดการสวิงดาบเป็นวงกว้าง ปลายดาบตัวเข้าที่ปลายหนวดด้านซ้าย ส่งผลให้หนวดขาดสะบั้นลง เจ้าผีเสื้อเริ่มโงนเงนหนักไปทางด้านหลัง

    ตัวของมันนั้นบินอยู่ตรงด้านบนของรอยแยกอีกรอยหนึ่ง...เอ็ดการ์ไม่สนแล้วว่าจะเป็นรอยเดิมหรือไม่ แต่ยิ้มออกมาอย่างได้ชัยชนะ

    "จังหวะนี้แหละ!!!...จัดการเลย..."

    ล็อคก็ไม่รอช้า คว้าน้ำยาระเบิดออกมาแล้วขว้างไปที่รอยแยกของดินนั้น พร้อมกับเหน็บมีด 2 เล่มที่เขาจุ่มยาพิษเมื่อกี๊นี้ที่มือขวา...

    "มาดูซิ...ผลของการฝึกมันจะเป็นอย่างไรมั่ง...!!!" แล้วก็ขว้างออกไปทั้งสองเล่มในเวลาเดียวกัน

    ได้ผล...!!

    เล่มแรกปักลงที่หนวดขวาที่ยังไม่ถูกตัด ส่วนอีกเล่มเสียบเข้าที่ปีกเข้าไปถึงครึ่งเล่ม

    แล้วระเบิดก็ทำงานทันทีหลังจากนั้น...

    "บึมมมมมม!!!"

    เอ็ดการ์ถอยฉากออกมาด้านหลัง แล้วคว้าหน้าไม้เหล็กออกมา...กระโดดขึ้นไปเหนือปากหลุมที่มีควันปกคลุมมากมาย...

    "ลาก่อน...Auto Crossbow!!!" แล้วยิงหน้าไม้เต็มอัตราที่สามารถจะขึ้นนกได้ ทุกดอกถูกยิงลงไปในหลุมนั้นอย่างต่อเนื่อง

    แล้วก็กระโดดลงอย่างสวยงาม....

    ทั้งสองคนรวมทั้งทีน่าด้วยก็มาดูผลงานการพิฆาตผีเสื้อตัวนี้กัน...

    มันนอนตายอยู่ในหลุมตื้นๆนั้นอย่างเละเทะ เหลือเพียงแค่ชิ้นส่วนเพียงไม่กี่ชิ้น...

    "เวรกรรม...ปีกผีเสื้อที่ชั้นเล็งไว้ โธ่....เละหมดเลย..." พลางเสียดายต่อชิ้นส่วนของผีเสื้อที่เขาจะนำไปทำเป็นยา

    "เออ...ลืมไปเลย...โทษทีน่าล็อค...เอาไว้คราวหน้าเราจะหามาให้ใหม่นะ..." เอ็ดการ์ปลอบใจ

    "โธ่...นี่เห็นเป็นนายนะเนี่ย...ไม่งั้นชั้นโกรธไม่หายจริงๆด้วย..."

    ทำเอาทีน่าและเอ็ดการ์หัวเราะขึ้นมาทันที แล้วก็ชวนกันเดินต่อไปข้างหน้าเพื่อไปสู่ทางออกของอีกด้านหนึ่งของถ้ำทางลัด...

    ทั้งสามเดินมาจนจะสุดทางแล้ว เพราะเห็นแสงจากปากประตูที่ส่งเข้ามาเพียงนิดหน่อยลอดซอกประตูมาตกกระทบบนพื้นที่ทั้งสามมองเห็นอยู่

    "เอาล่ะ...จะได้ออกไปจากที่อุดอู้ๆเสียที..." มีคนบ่นขึ้นมาอีกครั้ง

    "อืม....เชื้อเพลิงที่คบเพลิงก็จะหมดแล้วด้วย..." ทีน่าก็บอกออกมาบ้างพลางจ้องไปที่คบเพลิงของตัวเองที่กำลังจะมอดดับลง

    เอ็ดการ์เดินไปที่ปากประตู กดสวิทช์อินเตอร์คอม แล้วพูดออกไปที่ข้างนอก...

    "สันติสุข...." พูดเป็นรหัสบอกไป

    สักพัก ประตูหินนั้นก็เลื่อนออกซ้ายขวาต่อกัน ทั้งหมดได้สูดอากาศที่สดชื่นอีกครั้ง ข้างหน้าทั้งสามคนนั้น เป็นทุ่งหญ้าที่สวยงามมากที่หนึ่งเลยทีเดียว ท้องฟ้าที่ดูสดใสเป็นสีฟ้า เมฆก้อนใหญ่กำลังลอยอย่างช้าๆ ไปเรื่อยๆเอื่อยๆ มีต้นไม้น้อยใหญ่อยู่ตามบริเวณต่างๆมากมาย แน่นอน บริเวณนี้ไม่มีอันตรายใดๆทั้งสิ้น มีแต่ซึ่งความน่าประทับใจของผู้ที่ได้มาเหยียบและได้มาเห็น...

    ทีน่าสูดอากาศเข้าปอดอย่างเต็มอกพร้อมกับถอนมันออกมาอย่างสดชื่น "เฮ่อ......ดีจังเลย ได้สูดอากาศดีๆอย่างนี้ซะทีเนอะ..." ล็อคยิ้มแล้วหันไปพูดกับเอ็ดการ์

    "เออนี่...จริงๆแล้วตรงนี้ต้องเป็นทุ่งหิมะนี่ นี่มันฤดูหนาวนะ..."

    เอ็ดการ์จุ๊ปาก "ไม่หรอก...เพราะว่าบริเวณนี้น่ะ เป็นบริเวณที่ต่างจากที่อื่นๆนะ อย่าลืมว่า แถวนี้น่ะ ฤดูแทบไม่มีผลต่อสภาพแวดล้อมนะ...ชั้นรู้ดี..." ล็อคถึงบางอ้อเลย

    สาวน้อยทีน่าเองก็เดินไปตามทุ่งหน้าและมุ่งหน้านำไปเรื่อยๆ เธอเห็นทั้งกระต่ายน้อยใหญ่วิ่งผ่านไปอย่างตื่นๆ เหมือนว่าพวกของเธอมารบกวนกระมัง และไม่ใช่แค่กระต่ายเท่านั้น สัตว์ต่างๆที่ดูน่ารักๆหลายๆตัว วิ่งเล่นไปที่นั้นที่นี้ต่างๆนาๆ...ดอกไม้ต่างๆก็บานสะพรั่ง หญ้าก็ปลิวไหวไปตามแรงลมที่พัดผ่านตัวเธอไป

    ‘เหมือนได้อยู่บนสวรรค์เลยนะ...’ เธอคิด

    "ถึงตรงนี้แล้วเราไม่มีพาหนะแล้ว คงต้องเดินเท้าแล้วล่ะ..." เอ็ดการ์บอกให้ทุกคนรับทราบ

    ทั้งสามคนเดินไปตามเส้นทางเดินที่ผ่าทุ่งหญ้าไปทางทิศตะวันออกเรื่อยๆพลางเดินดูสิ่งแวดล้อมที่สวยงามมากๆรอบๆตัว พร้อมมุ่งหน้าสู่หมู่บ้านเซาท์ฟิกาโร่...

    ------------------------------

    ณ ปราสาทฟิกาโร่...

    ภายใต้ความมืดมิดของกระจกแก้วในปราสาทที่มุดดำลงดินอยู่ในตอนนั้น ทหารทั้งหลายกำลังเตรียมตัวที่จะรับแรงสั่นสะเทือนอีกครั้งตอนปราสาทกำลังจะโผล่ขึ้นเหนือพื้นโลก เพราะในตอนที่กำลังดำดินลงไปนั้น ทหารหลายนายก็ได้รับผลกระทบต่างๆไปตามๆกัน

    เฟร็ดเดินตรวจตราดูความเสียหายภายในปราสาทหลายๆจุด ถึงแม้ว่าพวกทหารจักรวรรดิจะเข้ามาไม่ได้ แต่แรงปะทะของลำแสงที่กระทบมาโดนตัวปราสาทก็สามารถทำให้สิ่งของที่ตั้งโชว์ในนี้หล่นแตกกระจายได้เหมือนกัน...

    เขาเดินเข้าไปตรวจดูในห้องเกียรติยศ เดินตรวจดูมุมนั้นและมุมนี้ในหลายๆจุด แล้วก็ไปตกใจในสิ่งหนึ่งเข้า...

    ดาบเปื้อนเลือดมังกรเล่มนั้นกำลังส่องแสง....

    เฟร็ดรีบวิ่งเข้าไปจ้องดูอย่างสงสัย พลันแปลกใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น แล้วก็มีเสียงออกมา...

    "เฟร็ด............................................"

    "เสียงของพ่อ...." เขาตกใจมากพร้อมกับหันซ้ายหันขวาไปรอบๆห้อง เสียงยังคงร้องเรียกเขาอยู่ต่อไปเรื่อยๆ....

    "ท่านพ่อ....!! ท่านพ่อใช่มั้ย....!?" น้ำตาเริ่มไหลออกมาจากตาทีละนิด

    ร่างเลือนๆของแซมมวล ฟาริโอรอส เริ่มปรากฎขึ้นเหนือดาบ เฟร็ดมองขึ้นไปก็ตกใจปนอาการคิดถึงพ่อก็เริ่มก่อขึ้น แล้วร่างนั้นก็พูดขึ้น "เจ้าฟังพ่อให้ดีนะ...ตอนนี้พ่อยังไม่ได้ไปเกิด แต่พ่อยังเฝ้าดูแลปราสาทนี้อยู่พร้อมๆกับท่านเอ็ดการ์และท่านฟิลลิปส์ที่ได้ลับไป เจ้าไม่ต้องห่วงนะ ถ้าเจ้าไม่สบายใจอะไร ขอให้เจ้าหยิบดาบขึ้นมาพูดกับพ่อได้ทุกเวลา..."

    เฟร็ดฟังไปน้ำตาก็ไหลพรากลงมา พร้อมกับพูด "ท่านพ่อ...ข้าคิดถึงท่านพ่อมากเลย...." แล้วก็ก้มลงคำนับคุกเข่าที่หน้าของร่างวิญญาณ

    "เจ้าจะร้องไห้ทำไม ท่านเอ็ดการ์เคยบอกเจ้ามั้ยว่าลูกผู้ชายย่อมไม่ร้องไห้โดยไม่มีเหตุจำเป็น...ปาดน้ำตาออกซะ..." แซมมวลพูดเสียงเรียบๆ เฟร็ดรีบปาดน้ำที่ไหลออกมาให้หมดแล้วมองขึ้นไปข้างบน

    ดาบเปื้อนเลือดมังกรนั้นกำลังลอยลงมาที่ข้างหน้าช้าๆ พร้อมกับแสงสว่างที่ยังไม่หายไป...

    "พ่อจะอยู่ในดาบนี้กับเจ้า เจ้าจะได้อุ่นใจ..." แล้ววิญญาณของแซมมวลก็หายวับเข้าไปในดาบเล่มนั้น

    แคร้งงงงง......!!!

    แล้วดาบก็ร่วงหล่นลงมา แสงสว่างสีเหลืองเมื่อครู่ก็หายไปเช่นกัน แต่รอยเลือดของมังกรที่พ่อของเขาเคยปราบมันไปนั้นหายไปจากคมดาบจนหมดสิ้น

    เฟร็ดหยิบมันขึ้นมาดูทั้งรูปเล่ม คันจับ รวมทั้งปลอกกระบี่ที่อยู่ในตู้โชว์ด้านล่างที่เขานำออกมาเพื่อที่จะได้เข้าคู่กัน...

    สีหน้าดูเศร้าไปถนัดตา....

    เฟร็ดมองที่ดาบพร้อมกับคิดในใจ "ผมจะไม่ทำให้พ่อผิดหวัง...เป็นเด็ดขาด..." แล้วก็เก็บดาบนั้นเข้าฝักแล้วติดมันที่เข็มขัด แล้วเดินออกมาจากห้องด้วยความรู้สึกที่เริ่มอิ่มเอิบขึ้นมาบ้าง....

    ------------------------------

    "โอย....อะไรกันเนี่ย....ยังไม่ค่ำเลยทำไมยุงเยอะจังฟะ...!!!" มีคนบ่นเหมือนเดิมจากกลุ่ม 3 คนนั้น เอ็ดการ์เองก็เริ่มที่จะรำคาญกับเจ้าสัตว์ดูดเลือดตัวน้อยที่สร้างความรำคาญกับทุกคนในเวลานี้...

    "นายไม่ได้หยิบพวกยาไล่แมลงอะไรพวกนี้มาจากที่นั่นบ้างหรือ....?" เอ็ดการ์ถาม

    "อ้าว!! ก็ไหงนายบอกว่าวันเดียวถึง ชั้นก็เลยไม่เอาของที่ต้องค้างคืนมาสิ...!!" แอบย้อนเข้าให้ ทำเอาเอ็ดการ์พยักหน้าอย่างเห็นด้วยที่สุด...

    "โอ้ย....!!" เสียงเธอร้องเพราะโดนอะไรสักอย่างหนึ่งเข้า เอ็ดการ์และล็อคหยุดมองทางด้านข้าง ก็เห็นเธอกุมข้อเท้า มีเลือดไหลออกมาซิบๆ...

    "ทีน่า...!! โดนอะไรเข้าน่ะ...!!?" สองคนถามแทบจะพร้อมกัน เธอชี้ไปที่เนินหินหนาๆก้อนหนึ่ง

    "สะดุด....??"

    "อืม....โทษทีนะเพราะชั้นซุ่มซ่ามเองน่ะ...โอยยย" นั่งลงกุมข้อเท้าที่เริ่มจะเขียวขึ้นมาอยู่ตรงนั้นอย่างเจ็บปวด ล็อคไม่รอช้า พลางเอาผ้าโพกหัวถอดออกมาพันที่ข้อเท้าให้เธอเพื่อที่จะได้คลายความเจ็บปวดลงบ้าง...

    "ขอบใจนะ...." เธอบอกเขา

    "อืม....ไม่เป็นไรหรอก...."

    เอ็ดการ์สังเกตได้ถึงความใจดีของล็อคถึงขนาดที่นำของรักของหวงของตัวเขาเองมาใช้ประโยชน์อีกครั้ง แล้วถามขึ้น

    "แต่คือ...นายนี่ก็นะ...ทำไมนำผ้าผืนนี้มาใช้ได้หลายอย่างจัง...ทั้งๆที่นายหวงมันอยู่ออก...?"

    ล็อคมองหน้าแล้วยิ้ม "นายไม่รู้อะไรหรอกเอ็ดการ์...ถึงตอนนี้ชั้นก็จะยังไม่บอกนายอยู่เหมือนเดิม แต่สักวัน นายจะรู้เองว่า ผ้าผืนนี้ มีวิญญาณของ ‘ใครบางคน’ สถิตอยู่ เจ้าตัวก็คงไม่โกรธหรอกถ้าจะนำผ้าไปทำอะไรที่สามารถเป็นประโยชน์และช่วยเหลืออย่างอื่นได้...ถึงแม้มันจะต้องเลอะดินเลอะทราย...หรือจะสมบุกสมบันขนาดไหนก็ตาม...."

    เอ็ดการ์พยักหน้าเข้าใจ ทำเอาทีน่าที่ฟังอยู่ด้วยนั้นลืมความเจ็บไปได้ชั่วครู่...

    "ทีน่า...เธอเดินไหวมั้ยล่ะ....? ถ้าไม่ไหว ชั้นให้เธอขี่คอก็ได้นะ..." เอ็ดการ์เสนอตัว ทำเอาทีน่าตกใจ

    "ไม่ต้องๆๆ ชั้นเดินเองได้..ๆๆ" เริ่มออกอาการประหม่าเล็กน้อย ทำเอาล็อคขำขึ้นมาทันที

    "เอาน่าทีน่า ขี่คอเจ้านั่นไปเถอะ เดี๋ยวเดียวไม่เกิน 15 นาทีก็ถึงหมู่บ้านแล้ว...นั่นไง..." ชี้ไปทางตะวันออกไกลๆ เห็นเป็นหลังคาใหญ่พร้อมกับกังหันวิดน้ำหลังเบ้อเร่อ...

    เธอเลี่ยงไม่ได้จึงต้องจำยอมขี่คอราชาหนุ่ม "โอเค...งั้นก็รบกวนด้วยละกัน ขอโทษด้วยนะ..."

    เอ็ดการ์นั่งยองๆเพื่อให้เธอขึ้นมาขี่คอได้สะดวก ล็อคมองดูทั้งสองแล้วรู้สึกตลกว่า ไม่เคยเห็นราชาองค์นี้ยอมให้ผู้หญิงคนไหนได้ขนาดนี้เลยจริงๆ "นายขำอะไรหรือล็อค?"

    "อ๋อเปล่าๆ ชั้นเผอิญนึกมุขของลุงชั้นได้น่ะ...เลยขำนิดหน่อย..." แกล้งกลบเกลื่อน... "เออ พวกนายเดินไปก่อนนะ"

    "ทำไม....นายจะทำอะไร....?" ทีน่าหันหลังถามมา

    เจ้านั่นชี้ไปที่ต้นไม้ใหญ่ด้านหลังแล้วทำเสียง "ฉี่................." ยาวๆ ทีน่ารู้ก็ตกใจปนหน้าแดงที่ถามออกไปโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ ส่วนเอ็ดการ์หรือ...ส่ายหัวพร้อมขำของมาดังๆแล้วนึกในใจ ‘ไม่ไหวเลยจริงๆเจ้านี่....’ แล้วก็เดินนำหน้าไปก่อน....

    ล็อคเดินกลับหลังไปที่ต้นไม้ใหญ่นั้น พลางคิดถึงอดีตของตนเองที่ผ่านๆมา...หลายๆอย่าง

    เรเชล........

    พ่อ.......

    ปล่อยปัสสาวะเบาไปเรื่อยๆ แล้วมองดูที่ใต้ต้นไม้พลางคิดอะไรไปต่างๆนาๆ แต่ก็ต้องสะดุดกับสิ่งหนึ่งเข้า...

    มันมีประกายเป็นสีเงินๆ เหมือนเครื่องประดับอะไรสักอย่าง....เขาเก็บมันขึ้นมาดูหลังจากทำธุระเสร็จแล้ว....

    ‘นี่มัน....แหวน.....!!’

    ล็อคมองซ้ายมองขวาอย่างที่ติดจนเป็นนิสัยเวลาเจอของตกแล้วมองอย่างพินิจพิจารณา มันเป็นแหวนสีเงิน มีรอยกร่อนนิดๆ คาดว่าน่าจะมีเจ้าของที่ทำตกไว้ มีอักษรเขียนเป็นตัวเล็กๆว่า

    True Knight

    ล็อคเริ่มแปลกใจอีกครั้งพลางนึก "เอ.....เคยได้ยินที่ไหนน้า............." แต่นึกเท่าไรก็นึกไม่ออก เลยเผลอลองใส่มันดู

    ความรู้สึกเย็นวาบเริ่มก่อตัวขึ้นที่ส้นเท้า แล้วเริ่มขึ้นมาเรื่อยๆถึงขา หน้าท้อง อก คอ จนถึงหน้า...

    เขาเริ่มรู้สึกว่า...มีออร่าสีขาวแผ่ออกมาจางๆ แถมยังรู้สึกว่าพลังและเรี่ยวแรงเยอะขึ้นกว่าเก่าอีกต่างหาก จากนั้นเริ่มมองจากปลายเท้าจรดขึ้นมาเรื่อยๆ ก็รู้สึกอีกเช่นกันว่า ร่างกายเริ่มหนาขึ้นไม่มากไม่น้อย นอกจากนั้น ความรู้สึกที่แขนทั้งสองข้างก็มีพละกำลังมากมายเช่นกัน....

    "นี่มัน....Legendary Relic!! ใช่....!! ชั้นเจอแล้วววววว.........ไชโย!!!" กระโดดดีใจเหมือนคนได้ของเล่นอะไรสักอย่าง "คราวนี้ล่ะ.....ชั้นรวยเละแล้ว ฮ่าๆๆๆ แต่เอ........นี่มันของหายาก ไม่ควรขาย งั้นเก็บเอาไว้แหละ เดี๋ยวไม่มีค่อยขายเอา.....ฮี่ๆๆๆๆ" พูดคนเดียวเหมือนคนบ้าคนหนึ่ง

    เมื่อลองของได้อย่างหนำใจแล้ว เขาจึงถอดมันออกมาแล้วเก็บมันเข้าที่ช่องเล็กๆในเป้สะพาย...

    ร่างกายกลับสู่สภาพเดิมเหมือนตอนแรกเริ่ม....แล้วก็ไม่รอช้าวิ่งตามเอ็ดการ์ที่เดินแบกทีน่านำไปก่อนแล้วอย่างเร่งรีบ.....
  12. hannover96

    hannover96 New Member

    EXP:
    881
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    Chapter 10 : Dog Fight

    ทั้งสามเดินมาได้ร่วมประมาณ 5 ชั่วโมงแล้ว วิ่งบ้าง เดินบาง หยุดบ้างตามแต่ความเหนื่อยอ่อนของเจ้านกตัวเหลืองและความโหดร้ายของสภาพอากาศในแถบนั้น "เฮ้อ....อยากตากลมเย็นๆสักทีจัง.....!! ว่ามั้ยทีน่า?" เจ้าตัวแสบหันมาพูดคุยแกมหยอกเล่นๆกับสาวน้อย แต่ทีน่าเองก็พยักหน้าพร้อมยิ้มๆ ทำเอาเอ็ดการ์ที่มองอยู่ครู่นี้ยิ้มออกมาแล้วนึกในใจ ‘น่ารักดีนะ....’

    "ว่าแต่มันน่าจะถึงแล้วนะ.....บ้านของเจ้านั่นน่ะ...." ล็อคให้ความเห็นอีกครั้ง เอ็ดการ์กางกระดาษแผนที่ที่มาร์วินให้มาตั้งแต่อยู่ในหมู่บ้านออกดูอีกครั้ง "อืม......." มองซ้ายมองขวาไปเรื่อย ล็อคค่อยๆผ่อนความเร็วลง

    "เจ้านั่นก็ช่างชอบออกผจญภัยจริงๆน้า......เหมือนตอนเด็กไม่ผิดเลย...." พูดลอยขึ้นมา

    เอ็ดการ์เก็บม้วนกระดาษแล้วยิ้ม "เราว่าอีกไม่ไกลแล้วล่ะ....." แล้วชี้ไปที่ทางทิศตะวันออกไกลๆ เห็นเป็นจุดดำๆเหมือนอะไรสักอย่าง ล็อคลุกขึ้นไชโยสุดเสียง

    "เฮ้....!! จะได้กินข้าวแล้ว....!!" แล้วเกิดพลังขึ้นมาทันที เขาควบเจ้านกวิ่งไปข้างหน้าโดยไม่รอใครเลย "ตามมาให้ทันล่ะ...."

    เอ็ดการ์และทีน่ายิ้มให้กันกับความเฮฮาของเจ้านี่ แล้วก็ควบโจโกโบะตามไปยังจุดหมายที่ได้เห็นกันทั้งสามคน.....

    วิ่งกันไปเรื่อยๆจนไปถึงจุดที่ได้เห็นในตอนแรก มันเป็นบ้านที่ดูคล้ายๆกระท่อมไม่ใหญ่ไม่เล็กนักตั้งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ "เหมือนไม่มีผิดเลย...." เอ็ดการ์อุทาน

    "เหมือนอะไรหรือ.....?" ล็อคถามงงๆ

    "เหมือนกับบ้านที่เราได้เคยสร้างด้วยกันไง....." เอ็ดการ์ตอบโดยไม่มองหน้า ทำเอาทั้งสองคนมองไปรอบๆตัวบ้าน ซึ่งก็พบว่ามันคล้ายกันมากจริงๆ

    ประตูบ้านไม่ได้ปิดสนิท....

    "เฮ้....น่าจะมีคนอยู่นะ....." เจ้าล็อคบอกแล้วลงจากโจโบโบะ จากนั้นจูงไปผูกไว้ตรงอ่างน้ำที่อยู่ข้างบ้าน ทีน่าเองก็ลงมาเช่นเดียวกับราชาหนุ่ม และด้วยความไม่รอช้า

    "แมช.......!!!" เสียงเอ็ดการ์ตะโกนเรียกเข้าไปในบ้าน ล็อคเองก็ไม่ได้ช้าไปกว่ากัน ถือวิสาสะเดินเข้าไปในบ้านทันทีที่เอ็ดการ์ทัก....

    ข้างในนั้นดูเรียบร้อยมาก ถึงแม้ว่าแสงแดดในตอนนี้จะเริ่มเป็นเวลาเย็นแล้ว แต่ก็มองเห็นภายในบ้านได้อย่างชัดเจน เฟอร์นิเจอร์อะไรมากมายทั้งหลายแหล่ถูกจัดไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ดูสะอาดสะอ้าน เหมือนมีคนอยู่ประจำ

    เอ็ดการ์และสาวน้อยทีน่าเดินตามเข้ามาเหมือนกัน แล้วความทรงจำเก่าๆของเอ็ดการ์ก็ตื่นขึ้นอีกครั้ง เขาเดินดูรอบๆตัวบ้านอย่างละเอียด

    แก้วชา....

    ดอกไม้....

    จานชาม...

    ‘แมช......’ เขารู้ได้ทันทีว่าแมชอยู่ที่นี่อย่างแน่นอน....เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นของที่เขาและน้องชายคุ้นเคยมาก เรียกว่าแทบทั้งบ้านนี้เป็นสิ่งที่เขาและน้องชายชื่นชอบเอามากๆเลยทีเดียว

    "เขาต้องอยู่ที่นี่อยู่แล้วแหละ....." ล็อคมองไปที่ๆหนึ่งอย่างนิ่งๆ ทีน่ามองตามก็ตกใจจนร้องอุ้ยออกมาเบาๆ

    เอ็ดการ์หันตามสายตาทั้งคู่ไป แล้วก็ต้องตกใจเล็กๆ....

    รูปที่อยู่ในกรอบรูปนั้น เป็นรูปของเขา ล็อค เฟร็ด และตัวแมชเองกำลังโพสท์ท่าให้ทหารฟิกาโร่ถ่ายอย่างเฮฮาในสมัยกำลังจะเริ่มเป็นผู้ใหญ่...


    ลิ้นชักความทรงจำถูกเปิดออกมาอีกครั้ง......เอ็ดการ์นิ่งไปในทันที ล็อคเห็นอย่างนั้นก็เลยปล่อยให้เพื่อนของเขาได้รำลึกเรื่องราวในอดีตไปคนเดียวแล้วเดินออกมาโดยชวนทีน่าออกมาด้วย

    "นี่ล็อค....แสดงว่าแมชเองนี่ก็เป็นคนที่รักพี่ชายมากเลยสินะ....?"

    ล็อคพยักหน้าแล้วพูด "เอ็ดการ์น่ะยังดี...ที่ยังมีคนที่รักอยู่บนโลกใบนี้ ชั้นสิ....ไม่มีคนที่ชั้นรักเหมือนกับเจ้านั่นเลย...." พูดแล้วเริ่มเศร้าไป

    ทีน่าเห็นท่าเศร้าๆเลยพลอยเศร้าตามไปด้วย ล็อคนั่งชันเข่าพิงผนังหน้าบ้านแล้วมองขึ้นไปบนฟ้า คิดถึงคนๆหนึ่งขึ้นมาอย่างมากมาย น้ำตาเริ่มจะไหลเอ่อ....

    "เอ่อ....เอานี่มั้ย....?" เธอยื่นผ้าซับเหงื่อที่ยังไม่ได้ใช้ที่เตรียมออกมาจากหมู่บ้านให้ "ขอบใจนะ...." เขาขอบคุณแล้วซับน้ำตาให้หายออกไป

    ลิ้นชักความทรงจำของล็อคก็ถูกเปิดออกมาอีกครั้งในหัวสมองของเขาในตอนนี้ ผิดกับทีน่า ที่เธอไม่สามารถมานึกอะไรได้ในตอนนี้เลย.....

    มีเสียงเดินมาจากทางด้านหลังบ้าน.....

    เอ็ดการ์ได้ยินก่อนใครเพื่อน ‘แมช!!!’ เขานึกถึงชื่อนี้ก่อนใครเพื่อน แล้วรีบวิ่งออกไปตามเสียงเดินที่เข้ามาเยือนบริเวณนี้ แต่....

    ชายชราคนหนึ่งเดินเข้ามาเพื่อหยิบไม้กวาดเพื่อไปกวาดใบไม้ที่ร่วงอยู่ทางด้านหลังบ้านไกลๆ เอ็ดการ์ก็แปลกใจ เลยเดินเข้าไปทักลุงคนนั้น "เอ่อลุงครับ...."

    ชายชราคนนั้นพอได้เห็นเอ็ดการ์ก็รีบคุกเข่าคำนับตามมารยาทของพสกนิกรชาวเมือง "โอวท่านเอ็ดการ์....ขอจงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน...."

    "ไม่ต้องเป็นพิธีหรอกลุง ลุกขึ้นเถอะ....เรามีอะไรจะถามท่านลุงหน่อย..." เอ็ดการ์พูดอย่างนิ่งๆ

    ชายแก่ลุกขึ้นแล้วถ้า "มีเรื่องอะไรหรือขอรับ....? หรือจะเป็นเรื่อง....?"

    "อืม....เขาอยู่ที่บ้านนี้ใช่มั้ย....?" เอ็ดการ์ถามในสิ่งที่ชายชราเข้าใจ

    "ใช่ขอรับ....ท่านแมชพักอยู่ที่นี่ แต่เขาไม่ค่อยได้กลับลงมาที่ข้างล่างนี่เท่าไรหรอกขอรับ ส่วนมากจะฝึกวิชากับอาจารย์ดันแคนที่บนภูเขาโคลท์....นี่ตอนนี้ก็พึ่งจะขึ้นไปข้างบนก็เพราะว่า...." แล้วก็นิ่งเงียบปนเศร้าๆไป

    ล็อคและทีน่าเดินเข้ามาในวงสนทนาของทั้งสองคนแล้วถามขึ้นเหมือนได้ยินมาหมดแล้ว "เพราะอะไร....?"

    ชายชราคนนั้นตอบเบาๆ "อาจารย์ดันแคนถูก ‘ใครบางคน’ ฆ่าตายบนที่ฝึกวิชา....ด้วยการวางยาพิษ...."

    ทำเอาทั้งสามคนตกใจใหญ่ขึ้นมาเลยในทันที ล็อคถามต่อ "แล้วใครเป็นคนสังหารท่านอาจารย์....?!!"

    "อันนี้ข้าเองก็ไม่ทราบได้ ทราบแต่เพียงว่าตอนนี้ท่านแมชขึ้นไปข้างบนเพื่อที่จะตามล่าลูกชายของอาจารย์ดันแคน เจ้าวาร์กัส....." ชายชราตอบนิ่งๆ

    ล็อคเองก็เคยได้ยินเรื่องของอาจารย์คนนี้มาเหมือนกัน และเป็นอาจารย์คนนี้นี่เองที่สอนวิชาต่างๆให้กับลุงของเขาสมัยที่ลุงยังหนุ่มๆ แต่เขาเองจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยรู้จักกับเจ้าลูกตัวแสบของอาจารย์คนนี้อยู่เหมือนกัน

    "ก็คือ...แมชสงสัยว่า วาร์กัสจะเป็นคนวางยา....?" เอ็ดการ์ถามย้ำ

    "ขอรับ....."

    ทีน่ายิ่งคิดยิ่งสะเทือนใจ "ทำไมนะ...ลูกต้องฆ่าพ่อของตัวเองได้ลงคอ...." เธออุทานออกมาเบาๆพอได้ยิน ล็อคคิดวิเคราะห์ลึกๆ แล้วคิดออกได้บางเรื่อง จึงซุบซิบบอกเอ็ดการ์ ราชาหนุ่มพยักหน้าเห็นด้วย จึงถามต่อ "จากตรงนี้ไกลมั้ยกว่าจะไปถึงที่ฝึกวิชาข้างบน?"

    "ก็ไกลเอาการอญู่เหมือนกันนะขอรับ เพราะถ้าเดินไม่ดีมีสิทธิ์หลงทางได้ง่ายๆเลยล่ะขอรับ.....มันต้องผ่านถ้ำหลายถ้ำ ข้ามสะพานตรงหน้าผา แล้วยังต้องระวังทางลาดชันด้วย เดินไม่ระวังก็อาจจะตกลงไปข้างล่างได้..."

    ล็อคถาม "เอาไง....?" เอ็ดการ์ตอบกลับทันที "ถึงเรารีบกันตอนนี้อาจจะค่ำเสียก่อน คงไม่ทันแน่ เอาอย่างนี้ เราจะขอพักที่บ้านหลังนี้ก่อนได้มั้ยครับลุง....?" ถามไปที่ชายชรา "ไม่มีปัญหาขอรับท่านเอ็ดการ์ ยินดีมากเลยที่ท่านเอ็ดการ์มาเยี่ยมเยือนที่นี่ขอรับ..."

    แล้วล็อคก็เดินไปเอาเป้หลังเจ้านกเหลืองทั้งสามใบเข้าบ้าน "เฮ้อ....ไม่น่าเชื่อว่ายอดฝีมืออย่างอาจารย์ดันแคนจะโดนวางยา นี่แหละน้า...ชีวิตคนเรา" พูดแบบปลงๆ เอ็ดการ์นั่งลงแล้วมองดูรอบๆบ้านอีกครั้ง

    ยิ่งมอง.....

    ก็ยิ่งคิดถึง.....

    พลางเดินดูรอบๆบ้านด้วยความรู้สึกภายในใจลึกๆอีกครั้ง แล้วก็ตัดสินใจได้อย่างหนึ่ง....

    "ล็อค....เราขึ้นไปข้างบนกันเดี๋ยวนี้เถอะ..."

    ล็อคแปลกใจมากกับคำพูดของเพื่อนเขา "เฮ้ย...! นี่มันจะมืดแล้วนะ อันตรายจะตาย...."

    เอ็ดการ์คะยั้นคะยอ "เอาน่า...เราไม่อยากรอแล้วล่ะ...." ขอร้องเพื่อนตัวแสบ สุดท้าย ล็อคมองแบบเห็นใจๆ

    "เออๆๆ....เพื่อนายโดยเฉพาะเลยนะ...." แล้วเดินไปหยิบเป้ที่พึ่งจะวางเมื่อครู่นี้ไปอีกครั้ง "เฮ้ทีน่า....! ไปกันเถอะ...."

    เธอได้ยินเองก็แปลกใจไปเช่นกัน "อ้าว...ไปไหนล่ะ...?"

    "เราจะขึ้นข้างบนกันตอนนี้เลย...เธอจะขัดข้องอะไรมั้ย....?"

    "แต่ว่าตอนนี้ข้างนอกมันมืดมากเลยนะ....." เธอให้ความเห็นเหมือนล็อค

    "เรื่องมืดน่ะช่างมันเหอะ เพราะเรานำทางกันได้แน่นอน ห่วงแต่เรื่องแรงเธอน่ะ ไหวหรือเปล่า...?" ล็อคถามอีกเรื่องหนึ่ง เธอคิดนิดหนึ่งแล้วพยักหน้า ชายชราได้ยินดังนั้นก็เลยไปหยิบแผนที่มาให้ทันที

    "ท่านเอ็ดการ์ขอรับ นี่คือแผนที่บนภูเขาโคลท์ ถ้าไม่มีแผนที่นี่รับรองว่าหลงแน่นอน...."

    เอ็ดการ์รับมันมา "ขอบคุณมากลุง....ฝากลุงดูแลพวกเจ้าโจโกโบะให้ด้วยนะ แล้วเราจะส่งคนมารับกลับไปเอง...."

    "ได้ขอรับ....ไม่ต้องห่วง...."

    แล้วทั้งสามคนก็เดินออกจากบ้านไปเพื่อมุ่งสู่สถานที่ฝึกวิชาด้วยความมุ่งมั่น.....

    ------------------------------

    ณ เกาะร้าง บนแถบชายฝั่งแห่งหนึ่ง....

    ชายชราคนหนึ่งที่มีชื่อเรียกสั้นๆว่า ซิด กำลังอ่านจดหมายฉบับแรกจากทั้งหมดสองฉบับ ซึ่งหลานสาวของตนแอบลอบส่งมาจากห้องคุมขังของจักรวรรดิเพื่อขอความช่วยเหลือจากลุงของเธอ

    "ลุงซิด........

    กว่าจดหมายฉบับนี้จะไปถึง ตอนนั้นข้าก็คงไม่รู้เหมือนกันว่าชะตากรรมของข้าจะเป็นอย่างไรไปแล้ว แต่ถึงอย่างไรข้าก็จะยังไม่ยอมแพ้ตามอย่างที่ท่านลุงสอนสั่งข้ามาตั้งแต่ยังเด็ก...



    ตอนนี้ข้ายังสบายดี ท่านอาจจะรู้มาบ้างว่าข้าในตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง ข้านั้นเหมือนคนมีปัญญาเพียงน้อยนิด เพียงแค่การเอาตัวรอดและแทรกซึมแค่นี้ยังทำไม่ได้ ข้าก็คงไม่กล้าที่จะกลับไปหาท่านลุงอีก... แต่ก็เพราะว่าเป็นเพราะเอ็ดการ์อีกนั่นแหละที่ทำให้ได้เรียนรู้อะไรๆอีกหลายอย่างหลังจากที่ข้าต้องจากท่านลุงมา

    ตอนนี้ท่านลุงเป็นอย่างไรบ้าง? สบายดีหรือเปล่าคะ...? ข้าเองก็เป็นห่วงท่านลุงที่นับวันอายุก็ยิ่งจะเยอะขึ้นๆ แล้วมีคนช่วยดูแลบนเกาะอยู่เหมือนเดิมหรือเปล่าน้า...?

    หากว่าเรายังมีวาสนาต่อกัน ข้าก็ขอให้ได้พบท่านลุงอีกครั้งหนึ่งก็ยังดี ก่อนที่ข้าจะหมดลมหายใจไปพร้อมกับกลุ่มต่อต้านที่นับวันจะโดนกดดันจากเจ้าพวกนั้นๆมากขึ้นเรื่อยๆ....

    เซริส เชียร์"

    ซิดอ่านพลางคิดหน้านิ่วคิ้วขมวด ‘เฮ่อ....หลานเอ้ย ลุงเชื่อว่าเจ้าเข็มแข็งอยู่แล้วล่ะ อย่าพึ่งยอมแพ้หรือตัดใจไปซะก่อนละ ลุงสวดมนต์ให้อยู่ทุกวันแหละ....." แล้วก็เก็บจดหมายของเซริสเข้าลิ้นชักโต๊ะใกล้ๆหัวนอนไป แล้วฉีกจดหมายประทับตราของกลุ่มต่อต้านอีกฉบับอ่านดู

    "ถึง ซิด เชียร์

    เนื่องด้วยทางตอนนี้ โลกของเรากำลังโดนรุกรานอย่างหนักจากพวกจักรวรรดิที่นับวันจะเพิ่มอำนาจทางการทหาร อาวุธ และจุดยุทธศาสตร์สำคัญ รวมถึงการที่จะพยายามคืนชีพสิ่งที่เรียกกันว่า ‘เวทย์มนต์’ ขึ้นมาอีกครั้ง

    ท่านเองน่าจะทราบมาดีอยู่ว่า ทางกลุ่มของเราได้จัดตั้งขบวนการลับกลุ่มหนึ่งขึ้นเพื่อต่อต้านจักรวรรดิมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว และเนื่องด้วยจังหวะนี้เป็นโอกาสอันดีที่จะขอเชิญให้ท่านมาเข้าร่วมเป็นสมาชิกอาวุโสของกลุ่มของเราโดยการรับตำแหน่งเป็นหัวหน้าฝ่ายยุทโธปกรณ์ เพราะเนื่องจากเซริส เชียร์ ซึ่งเป็นหลานของท่านถูกฝ่ายจักรวรรดิควบคุมตัวอยู่ ซึ่งท่านเองก็คงมิอาจที่จะอยู่ได้ เราเชื่อเช่นนั้น

    จึงเรียนมาเพื่อให้ท่านพิจารณาตามความเห็นสมควร ถ้าท่านตอบรับเรา ให้ส่งคำตอบรับนั้นมากับนกพิราบที่เราจะส่งไปหลังจากนี้อีก 3 วันให้หลัง...

    เบอร์นอน เปรซิโอรี่"

    จบจดหมายฉบับนี้ซิดยิ่งหน้านิ่วกว่าเมื่อครู่ยิ่งขึ้นไปอีก เขามองออกไปยังทะเลอันไกลโพ้นทางทิศตะวันออกซึ่งตอนนี้พระจันทร์เสี้ยวกำลังขึ้นจากขอบน้ำทะเล แล้วนำจดหมายฉบับนี้เก็บลงลิ้นชักเช่นกัน พร้อมทั้งหยิบกระดาษพร้อมหมึกกับขนนกออกมาเพื่อเขียนจดหมายฉบับหนึ่งบนโต๊ะที่สว่างไสวไปด้วยแสงจากเทียนไขเล่มเล็กๆ....

    ------------------------------

    เอ็ดการ์และอีกทั้งสองคนเดินขึ้นมาเรื่อยๆบนภูเขาโคลท์พร้อมกับแสงจากตะเกียงที่จุดหรี่ๆมาด้วย พระจันทร์ที่วันนี้ไม่เต็มดวงเลยทำให้ดวงดาวหลายๆดวงส่งแสงสว่างทั่วท้องฟ้าเหนือหัวทั้งสามคน ทีน่ามองขึ้นไปก็ชวนคุย "ทำไมวันนี้ดาวเยอะจังเลยเนอะ...."

    "ก็วันนี้พระจันทร์ยังขึ้นไม่สูง แสงจันทร์ก็เลยยังไม่กลบแสงดาวน่ะสิ....." เอ็ดการ์ตอบให้กระจ่าง ทีน่าพยักหน้าพร้อมกับมองดูดาวไปเรื่อย ล็อคเตือน

    "อย่ามองจนไม่มองข้างหน้าด้วยล่ะ ขืนล้มอีกทีชั้นไม่มีผ้าให้เธอพันแผลแล้วนะ......" ทีน่านึกได้ก็เลยพยักหน้าแล้วเดินตามหลังเอ็ดการ์ไปเรื่อย

    เส้นทางภูเขาก็เริ่มชันขึ้นเรื่อยๆ จากพื้นหญ้าก็เริ่มที่จะเป็นดินลูกรังมากขึ้น ทำให้การเดินขึ้นเขาลูกนี้ยิ่งเพิ่มความยากเข้าไปอีก "เอาน่า ทนหน่อยเถอะ...ขึ้นไปข้างบนเราอาจจะได้เบาะแสบ้างก็ได้...." เอ็ดการ์พูดปลอบใจเสียงเบาๆในขณะที่ทั้งสามกำลังเดินเข้าถ้ำเล็กๆถ้ำหนึ่งไป

    "ปรับไฟให้สว่างหน่อยนะ เพราะในถ้ำมันมืดกว่าข้างนอกมาก....." เอ็ดการ์บอกพลางปรับหมุนตะเกียงให้สว่างขึ้น "ระวังกันด้วย เพราะข้างหน้าเป็นสะพานไม้ แต่ไม่ต้องกลัวนะ มันแข็งแรงปลอดภัย ไม่หล่นลงไปแน่นอน"

    ล็อคมองไปรอบๆตัวขณะเดินข้ามผ่านสะพาน ก็พบว่าบนเพดานนั้นมีหินงอกหินย้อยอยู่มากมาย ทั้งเล็กทั้งใหญ่ แถมยังมีประกายน้ำค้างอยู่ประปราย เลยชี้ให้สาวน้อยดู

    "อุ้ย....! สวยจังเลย เอ็ดการ์ดูสิ...." เธอชักชวนให้คนนำทางดู เอ็ดการ์หันมายิ้ม "เห็นมาตั้งนานแล้วล่ะ...." เลยโดนทีน่าค้อนให้ทีนึง
    ทั้งสามเดินออกมาอีกฝั่งของถ้ำแล้ว เสียงจิ้งหรีดและแมลงเริ่มร้องระงมบนต้นไม้หลายๆต้น

    ‘ฟรึ่บบบบบบบบ............!!!’

    "นั่นใคร....!!!" เสียงเอ็ดการ์ตะโกนพร้อมหันหลังกลับไป มือเริ่มจับไปที่ดาบตรงชายพก ล็อคและทีน่าเองก็รู้สึกได้ถึงเงาที่เคลื่อนผ่านไปอย่างรวดเร็วและน่ากลัว

    "ท่าทางจะตัวใหญ่น่าดูเลยล่ะเอ็ดการ์ ระวังกันด้วยนะทุกคน..." จอมโจรแห่งนัลเซเตือนทั้งสองคนอีกครั้ง เอ็ดการ์ค่อยๆเดินอย่างเงียบและเบาที่สุดเพื่อจะจะใช้โสตประสาทของเขาได้อย่างดีที่สุด ‘ออกมาสิ....ออกมาเลย’ เขาท้าทายอยู่ในใจ

    เดินผ่านกันมาได้ประมาณเกือบ 10 นาที ก็ไม่ปรากฏให้เห็นเงาเดิมอีกครั้ง "โธ่เว้ย...มันเป็นใครกันวะเนี่ย..." ล็อคหัวเสีย พลางยิ่งอารมเสียเข้าไปอีกเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่คล้ายๆกันมาก่อนหน้านี้ที่ถูกชิงเอามีดพก ‘เล่มสำคัญ’ ไป

    เอ็ดการ์พลางเริ่มคลายภาวะการเดินเงียบลง แล้วบอก "ตอนนี้เริ่มจะเที่ยงคืนแล้ว เร่งกันหน่อยดีกว่า ข้ามเขาลูกนี้ได้เราจะตั้งแคมป์พักกันถึงเช้า...เร็วเข้าเถอะ..." แล้วเริ่มสืบเท้าเดินให้เร็วขึ้น

    ทั้งหมดเดินขึ้นมาตามทางที่สูงชันเรื่อยๆ จนมาถึงยอดเขาบนสุด... ในขณะที่กำลังเดินไปที่ทางลาดลง

    เงาร่างเดิมประกฏจากด้านหลังอีกครั้ง ล็อคกระโดดพร้อมกลับหลังหันมอง "ใคร.....!!!"

    ร่างนั้นค่อยๆเดินเข้ามาพร้อมกับแสงสว่างของพระจันทร์ที่เริ่มส่องให้เห็นถึงหน้าของเจ้าของเงานั้น ล็อคเริ่มคุ้นๆหน้า

    "แก....แกนี่เอง....วาร์กัส...!!!" ล็อคอุทานออกมาพอได้ยิน เอ็ดการ์มองพินิจพิจารณาก็พบว่า ชายผู้นี้รูปร่างสูงใหญ่ กล้ามแขนและขาเป็นมัดดูแข็งแกร่งไปทั่วร่าง แถมแผงอกยังกว้างมากเลยทีเดียว แน่นอน เขาสวมเพียงแค่กางเกงฝึกวิชาขายาวเท่านั้น....

    "ดีใจนะที่แกยังจำข้าได้...." วาร์กัสบอกเบาๆ เอ็ดการ์เดินเข้ามาสมทบ "เจ้า...วางยาฆ่าพ่อของเจ้าใช่มั้ย วาร์กัส...?!!"

    วาร์กัสเดินกลับหลังพร้อมมองไปที่พระจันทร์ แล้วพูด "เหอะๆๆๆ ไม่รู้อะไรอย่ามาพูดดีกว่าท่านจักรพรรดิ ข้าไม่เคยนับเจ้านั่นเป็นพ่อมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว...." เอ็ดการ์ได้ยินแล้วเลือดลมขึ้นหน้าออกหูทันที "นี่เจ้า.....!!!"

    "ทำไม....!!" วาร์กัสหันกลับมาพร้อมตะคอกใส่ พาให้ทั้งสามคนรู้สึกได้ถึงพลังอำมหิตของเจ้านี่ได้อย่างดี "คนที่เห็นคนอื่นดีกว่าลูกตัวเอง คนที่กดขี่ข่มเหงใช้งานแต่ลูก คนที่ไม่เคยใส่ใจคนที่เป็นลูก อย่างนี้ยังเรียกว่าพ่อได้อีกหรือ....หา!!!" ท่าทางโกรธแค้นมาก

    ทีน่าได้ยินแล้วพยายามพูด แต่เหมือนกับถูกสะกดด้วยรังสีความโหดร้ายของเจ้าหมอนี่เป็นอย่างมาก เลยกลายเป็นว่าจะพูดก็พูดไม่ได้ เอ็ดการ์ยังฝืนพลังของเจ้านั่นแล้วพูดกลับออกไป "เจ้า...เจ้าคิดผิดมาก...จริงๆแล้วถึงเขาจะทำให้เจ้าเป็นอย่างนั้น แต่เขาก็ยังเป็นพ่อ...พ่อที่ให้ทุกอย่าง ไม่มีใครที่ไหนหรอกที่จะฆ่าลูกตัวเองหรือทำร้ายลูกตัวเองได้ลงคอ ถ้าเป็นอาจารณ์ดันแคนน่ะ เขาสามารถยอมตายเพื่อเจ้าได้เลย ข้าเชื่อเช่นนั้น...."

    "หนวกหู......!!!" เจ้านั่นเริ่มคลั่งพร้อมกับตะคอกออกมา "ท่านมันคนอื่น อยู่แต่ในปราสาท มีแต่ความสุขสบาย แต่ข้าน่ะ ต้องเจออะไรบ้าง ท่านไม่เคยรู้หรอก..."

    ล็อคเริ่มพูด "แต่แกก็ไม่ควรที่จะทำเช่นนั้น อย่างน้อยการฆ่าคนนั้น ก็ไม่ใช่วิสัยของนักฝึกฝนกายหรอกนะ...." เขาจำมาจากลุงเขาแล้วพูดออกมา

    "แกจะรู้อะไรล็อค...แกก็แค่ลูกคนเหมืองในหมู่บ้าน เหอะๆ ลุงแกใหญ่หน่อย เลยได้ใจมาสั่งสอนข้าหรือไง..." เหยียดหยามถึงอาร์วิส ทำเอาล็อคก็เลือดขึ้นหน้าเหมือนกัน "แกนี่มันช่าง.....เลวได้ใจจริงๆ"

    "ฮ่าๆๆๆ ไม่มีใครทำอะไรข้าได้หรอก...ข้าทำถูกทุกอย่าง ถ้าพวกเจ้าอยากพิสูจน์ ข้าให้เข้ามาทั้งหมดเลย 3 คน เข้ามาพร้อมๆกันไปเลย..." ท้าทายให้เอ็ดการ์และล็อค รวมทั้งทีน่าเริ่มการต่อสู้สักที

    "ได้...!! เมื่อแกต้องการเช่นนั้น....ย้ากส์!!!" เจ้านักล่าวิ่งเข้าใส่โดนไม่เกรงกลัว ทั้งๆที่ขนาดตัวนั้นต่างกันมากมาย กระโดดพุ่งเข้าหาพร้อมกับมีดคู่ใจ เอ็ดการ์วิ่งเข้าไปด้วย


    "อ่อนหัด.....!!" วาร์กัสเงื้อหมัดลูกใหญ่ขึ้นมาจับข้อมือของล็อคไว้แล้วกำหมัดอีกข้างชกเข้าไปที่หน้าพร้อมปล่อยข้อมือ ล็อคลอยไปตามแรงหมัด "ล็อค...!!" ทีน่าเรียกเสียงหลงเพราะตกใจที่ทำไมมันช่างโหดร้ายถึงขนาดนี้ แล้วเข้าไปดูอาการของล็อค

    "ไม่เป็นไร....ชั้นยังไหว แค่นี้ไม่ตายหรอก" เลือดไหลออกมาจากมุมปาก ทำให้เขาต้องปาดออกพร้อมกับบ้วนน้ำลายทิ้ง

    เอ็ดการ์วิ่งไปข้างหน้าพร้อมกับชักดาบออกมา แล้วกำแน่กึ่งเทินขึ้นบ่า ปลายดาบหันไปทางเจ้านั่น "อย่าว่ากันเลยนะ เพราะเจ้าท้าเราเอง...ย้ากส์!!!"

    "ไม่ไหวมั้ง ท่านจักรพรรดิ...เอ็ดการ์..." พร้อมกับโดดหลบขึ้นไปข้างบนอย่างสูง เอ็ดการ์วืดเป้าหมายไป "เอานี่ไป...พายุมังกร...!!!" แล้วกางนิ้วทั้ง 10 ออกมา เกิดเป็นคลื่นลมขนาดใหญ่ พัดให้เอ็ดการ์ปลิวไปตามลมแล้วไปตกกระเด็นอยู่ตรงทางขึ้นมาบนยอดเขา แต่ไม่เป็นอะไรนัก

    วาร์กัสลงมาอย่างนิ่มนวล "นี่คือความต่างของคนธรรมดา กับราชวงศ์ที่เอาแต่อยู่ในปราสาท" เอ็ดการ์ได้ยินก็โกรธแค้น เขาไม่ได้โกรธแค้นที่โดนเหยียดหยาม แต่โกรธที่เจ้านั่นด่าทอแมชแบบอ้อมๆ

    "ท่านเองก็เหมือนเจ้านั่นแหละ อ่อนแอ ไม่มีกำลัง แถมยังไม่ขยันฝึกอีก ข้าจะบอกอะไรให้ ที่ข้าต้องฆ่าอาจารย์น่ะ ก็เพราะว่าอาจารย์ พยายามที่จะถ่ายทอดวิชาให้กับเจ้านั่น ทั้งๆที่ข้าเป็นลูกแท้ๆกลับเห็นคนอื่นสำคัญกว่า มันทำให้ข้าแค้นยิ่งนัก....ข้ารับไม่ได้!!"

    "เพราะอย่างนี้สินะ แกถึงแค้นทั้งแมชและอาจารย์ดันแคน..." ล็อคยันตัวขึ้นมาพร้อมๆกับเอ็ดการ์ที่ทีน่าพยุงขึ้นช่วย

    "ข้า...ไม่มีทางเลือก ข้าจึงต้องฆ่า ก่อนที่มันจะสอนวิชาให้กับเจ้านั่น...." วาร์กัสพูดเรียบๆ "แต่คิดอีกที เรื่องนี้เป็นเรื่องภายในที่ข้าจัดการไปแล้ว ข้าขอแนะนำว่าพวกแกอย่าเข้ามายุ่งอีก ถ้าไม่อย่างนั้นแล้ว ไม่ใช่แค่อาจารย์ดันแคนแน่ที่โดนฆ่า...ขอเตือนเป็นครั้งสุดท้าย" เขาขู่เพื่อให้ทั้งสามคนหยุดเรื่องนี้ แต่ล็อคเหมือนไม่หยุด

    "งั้นข้าจะบอกอะไรแกให้อย่างนะ...ถึงแกจะมีกำลังมาก ฝึกมาเป็นอย่างดี แถมวิชาก็แกร่ง แต่รู้หรือไม่ แก...ได้สูญเสียหัวใจ...ของนักฝึกฝนกายไปแล้ว...จำไว้เลย..." ล็อคพูดเงียบๆ

    "หุบปาก...หนอย....!! ในเมื่อกล้าพูดขนาดนี้ ข้าก็จะแสดงให้ดูว่า ถึงข้าไม่มีหัวใจ แต่ข้าก็มีความแข็งแกร่งและวิชาของข้าเป็นอาวุธ รับไป....!!!" แล้วเริ่มก่อพายุลูกใหญ่ออกมาจากฝ่ามืออีกครั้ง คราวนี้ดูเหมือนจะเป็นพายุที่ดูรุนแรง แต่ไม่ได้ทำให้ถึงกับกระเด็นไปไกล

    ทั้งสามหลบไม่ทัน พายุลูกนั้นครอบคลุมรอบๆด้านเพื่อไม่ให้ทั้งสามขยับไปไหนได้ "แค่นี้ก็รู้แล้วว่ะ ข้ากะแกน่ะ มันต่างกันเยอะ..." เจ้านั่นบอกกับทั้งสามคน ทีน่าตอนนี้ก็ทำอะไรไม่ถูก เอ็ดการ์จับมือเธอไว้แน่นไม่ต่างจากล็อค สายตาทั้งสามมองวาร์กัสอย่างโกรธแค้น

    เจ้านั่นเริ่มรวบรวมกำลังภายในเพื่อเตรียมจัดการทั้งสามคนที่อยู่ในห้วงพายุ "ลองเจอสิ่งนี้เป็นไงเล่า....หมัดพายุทลายผา...!!!" ต่อยลมอย่างแรง แล้วเกิดเป็นคลื่นหมัดแหวกอากาศ พุ่งเข้าไปที่ในวงพายุ

    "ฮึ๊บ.........!!!!" ชายผู้หนึ่งสวมชุดฝึกเหมือนกันกับวาร์กัสกระโดดออกมาจากผาด้านบนพร้อมกับเอามือกันตรงหน้าอกตัวเองเพื่อป้องกันไม่ให้พายุโดนพี่ชายของเขา

    "แมช!!!!" เอ็ดการ์และล็อคอุทานออกมาด้วยความดีใจพลางแปลกใจที่ได้เห็นการปรากฏตัวของเขา ที่สำคัญ เขามาถูกเวลามากเลยทีเดียว

    "ท่านพี่อดทนไว้นะ...ข้าขอสะสางเรื่องส่วนตัวกับเจ้านี่ก่อน..." แมชมองมาแล้วบอก แล้วหันกลับไป "ข้าตามหาแกตั้งนาน วาร์กัส ทำไมแกต้องทำแบบนั้นด้วย...?"

    "ไม่ต้องพูดมากหรอก!! แกก็ย่อมรู้อยู่แก่ใจดีว่าทำไมข้าต้องทำ...!"

    "แก...แกมองพลาดไปนิดเดียว...!!"

    "ทำไม....!!"

    "จริงๆแล้วอาจารย์ไม่เคยคิดจะสอนวิชาสุดยอดให้ข้า แต่เพื่อเป็นการทดสอบจิตใจของแก ท่านอาจารย์เลยต้องทดสอบก่อนว่า แกมีคุณสมบัติพอหรือไม่..."

    "หุบปาก.....ย้ากส์!!" วิ่งเข้าใส่หมายต่อสู้กับแมชด้วยมือเปล่า แมชฉากตัวหลบไปได้ แต่วาร์กัสก็ไวพอที่จะกลับลำแล้วพุ่งเข้าหาน้องชายของเอ็ดการ์อีกครั้ง
    เกิดการต่อสู้ด้วยมือเปล่าอย่างรวดเร็วมากจนทั้งสามคนอึ้งไปเลยว่าทำไมถึงได้มีศิลปะการต่อสู้ที่รวดเร็วกันขนาดนี้ ล็อคเองที่ว่ารวดเร็วแล้ว พอเห็นแมชก็แทบจะอึ้งไปเหมือนกัน

    แมชตั๊นหมัดไปลูกหนึ่งโดนที่ท้องวาร์กัสเต็มๆ แต่วาร์กัสเองก็เอาคืนได้ในทันทีโดนการเตะเข้าไปที่ชายโครง ทำเอาทั้งสองกระเด็นออกมาคนละทาง "พอเหอะ...วาร์กัส แกสำนึกผิดตอนนี้ได้นะ...."

    "สำนึกผิดเรอะ....น่าขำ แกเป็นบาทหลวงหรือไงถึงมาสั่งสอนข้า...? จะบอกให้เอาบุญอีกอย่างนะ... ข้าน่ะ ไม่เคยเชื่อใครนอกจากตัวเองเท่านั้น...ย้ากส์" คราวนี้พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว แมชตั้งตัวไม่ติด เลยโดนฝ่าเท้าถีบลอยกระเด็นไปชนกับหินผาอย่างจัง หินหน้าผาแตกทลายลงมาอย่างน่ากลัว

    "อูยยยยย......"

    "แมช....!!!" เอ็ดการ์ร้องอุทานออกมา แต่แมชก็หันกลับมามองแล้วทำสัญลักษณ์เหมือนบอกว่าไม่เป็นอะไร แต่ล็อคกลับชี้ขึ้นบนฟ้า "นั่นระวัง....!!!"

    วาร์กัสที่พึ่งกระโดดขึ้นไปเมื่อครู่นี้กำลังพุ่งลงพร้อมด้วยลูกถีบแหวกอากาศที่ดูรุนแรง โดยมีเป้าหมายที่แมช "แกตายซะ...!! ลูกเตะมังกรถลาลม...!!!" แมชที่เห็นดังนั้นก็ตกใจ แต่ยังรวดเร็วอยู่จึงม้วนตัวหลบออกไปด้านข้างได้ทัน เท้าของวาร์กัสกระทืบพื้นเป็นรู

    แมชกระโดดยันตัวขึ้นมาพร้อมตั้งท่าและฟุตเวิร์ค "ถ้าแกเชื่อใจตัวเองอย่างเดียว... แกไม่มีทางชนะข้าได้แน่นอน...วาร์กัส" ได้ยินดังนั้นก็เขย่งตัวตั้งฟุตเวิร์คตาม "อย่าพล่ามนัก...เข้ามา!!!"

    แมชไม่รอช้า พุ่งตัวเข้าหาวาร์กัสอย่างเร็วจนอีกฝ่ายตั้งตัวไม่ติด เลยโดนหมัดลุ่นๆตุ๊ยเข้าไปที่ท้องอย่างจัง "เอานี่ไปกิน...!! หมัดหมีป่า...!!!" วาร์กัสกระเด็นไปตามแรงหมัด แต่เขากลับลำกลางอากาศทัน

    "แค่นี้ทำอะไรข้าไม่ได้หรอก....!!!" แล้วเอาขาถีบตัวออกจากหินตรงหน้าผาตรงที่ตัวเองลอยเกือบจะโดน พร้อมกับยื่นฝ่ามือทั้งสองข้าง "นี่คือสุดยอดวิชาของข้า....!! รับไป...!!!"

    เกิดเป็นคลื่นลมแรงจุกอยู่บนฝ่ามือ แมชในตอนนี้หลบไม่พ้นแล้วเพราะมันเข้ามาเร็วมาก จึงเอามือกันหน้าอกตัวเองอีกครั้ง ร่างของแมชลอยตามลมและติดฝ่ามือของวาร์กัสจนโดนอัดเข้าไปที่ต้นไม้ใหญ่ ไม่เพียงแค่นั้น พอกำลังจะถึงพื้นก็ถูกแขนของวาร์กัสจับเอาขาข้างซ้ายเหวี่ยงเข้าไปที่ต้นไม้ต้นเดิมซ้ำหลายๆครั้งจนต้นไม้ที่ใหญ่ประมาณ 4 คนโอบกำลังจะหักลง

    สุดท้ายเขาโดนจับเหวี่ยงขึ้นไปบนอากาศ แล้วเจ้าวาร์กัสตามขึ้นไป ทีน่าร้องเสียงหลงพร้อมปิดปากตัวเองด้วยความตกใจสุดขีดที่ได้เห็นความโหดร้ายป่าเถื่อนอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ทั้งเอ็ดการ์และล็อคต่างจ้องมองการต่อสู้นี้อย่างตื่นเต้นและลุ้นเอาใจช่วยแมชกันอย่างสนุกเช่นกัน

    "แกต้องได้รับการลงทัณฑ์อย่างสาสม.....ย้ากกกสสส์!!!" วาร์กัสที่ตอนนี้กระโดดเหนือร่างที่ลอยขั้นมา เงื้อหมัดที่ยังมีลมพายุติดอยู่ที่มือข้างขวาชกร่างของแมชให้ลงไปข้างล่างอีกครั้ง

    ร่างของฝาแฝดเอ็ดการ์จมลงไปในหลุมที่พื้นดิน ฝุ่นผงตลบกระจายออกมามากมาย วาร์กัสก็ถลาลงมาด้วยหมัด 2 ข้างตรงจุดที่แมชลงมา "ระวัง!!!" เอ็ดการ์ร้องตะโกนให้แมชสติผุดขึ้นมา แต่ก็หลบไม่ทันอีกครั้ง ทำได้แค่ป้องกันตัว และ...

    ตูมมมมมม!!!!......

    เสียงพื้นดินดังสนั่นจนทั้งสามคนที่โดนพายุกักอยู่นั้นต้องยกมือขึ้นปิดหูทันที ฝุ่นควันตลบขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้มันมากมายกว่าตอนที่แมชร่วงลงมาก่อนอีก

    ควันจางลงเรื่อยๆ แล้ววาร์กัสก็กระโดดลังกาหลังมายืนอยู่บนพื้นอย่างสง่างาม "นี่คือชุดการโจมตีที่ข้าเฝ้าฝึกฝนมา นี่คือ ‘ปั้นจั่นมนุษย์’ จำเอาไว้ให้ดี....!!" แล้วหันหน้ามาทางที่ทั้งสาม "ส่วนพวกแก ข้าจะให้โอกาสอีกครั้ง ถ้าไม่อยากเป็นเหมือนเจ้านั่น อย่าเข้ามายุ่งเรื่องของข้า และรีบไสหัวออกไปจากภูเขาโคลท์ทันที...."

    เอ็ดการ์พลางคิดพิจารณาหน้านิ่วคิ้วขมวด วาร์กัสค่อยๆเดินเข้ามาที่ลูกกรงพายุที่เขาสร้างขึ้นมา "ว่าไง.....??" เอ็ดการ์คิดพลางมองหน้าไปด้วย ทีน่ารีบวิ่งไปหลบอยู่หลังทั้งสองคนด้วยความกลัว

    มีเสียงเคลื่อนไหวมาจากทางด้านหลังของเจ้าลูกทรพี...

    "โอยย....หึหึ ข้าขอชม ว่าวิชาของแกเนี่ย มันเป็นสุดยอดของการโจมตีต่อเนื่อง...แต่อย่านึกนะ ว่าข้า...โอยย จะตายด้วยมือแกน่ะ...." เขาพูดพร้อมกับกุมมือไปที่ชายโครงซึ่งดูเหมือนจะสาหัสที่สุดเนื่องจากโดนจู่โจมที่ลำตัวมากกว่าที่อื่นๆ

    "แกนี่มันตายยากจริงๆนะแมช... งั้นข้าจะสอนให้เองแล้วกันว่า วิชาของข้าน่ะ ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้ลิ้มลองเข้าไป มันจะต้องได้รับความเจ็บปวดอย่างมากมายมหาศาลเลยทีเดียว เตรียมตัว....!!!" ว่าแล้วก็พุ่งเข้าไปอย่างรวดเร็ว "รับไป...!!! มันมาด้วยหมัดพายุอีกแล้ว

    แมชยังนิ่ง มองตรงไปข้างหน้าอย่างจดจ่อ...เสี้ยวหนึ่งในความคิดของเขาตอนนี้เหมือนว่าโลกนี้เคลื่อนไหวช้าไปถนัดตา

    สมาธิ....

    "ข้าจะบอกให้ก็ได้ว่า ข้ามองเห็นแกช้าอืดอาดมากเลยว่ะวาร์กัส....!!" ว่าแล้วก็กระโดดขาคู่หลบขึ้นไปข้างบนพร้อมกับลังกาหน้าม้วนลงมา วาร์กัสวืดเป้าไป แต่ก็ยังพลิกกลับหลังมาได้อย่างทันควัน "เชอะ...นั่นมันคำพูดของคนไม่มีทางสู้ที่เอาไว้ใช้ปลอบตัวเองรึเปล่า....?? อย่าเสียเวลา!! เข้ามา!!" ร้องท้าทายพลางขยับนิ้วทั้ง 5 ท้าให้เข้าหา

    แมชยืนนิ่ง แล้วหลับตา พลางคิดอะไรอยู่ในหัว

    ‘เจ้านั่นมันจะทำอะไรของมันนะ...??’ ล็อคคิดในใจ แต่พอเห็นเอ็ดการ์ยิ้มออกมาที่มุมปาก ก็ถามไป "นายยิ้มอะไรเพื่อน...?"

    เอ็ดการ์หันกลับมาที่ล็อค แล้วยิ้มออกมาอย่างไม่ปิดบัง "เราเชื่อแน่ ว่าแมชน้องเรา...จะไม่แพ้คนชั่วๆอย่างนั้นแน่นอน..."

    ล็อคเองก็แอบยิ้มออกมาเหมือนกัน ‘สู้ๆเว้ยเพื่อน...’ เอาใจช่วยอยู่เหมือนกัน ทีน่าเองก็กุมมือตัวเองเหมือนกับจะขอพรจากอะไรสักอย่างที่เธอจะนึกได้บนโลกใบนี้ให้แมชมีชัยชนะในการต่อสู้
  13. hannover96

    hannover96 New Member

    EXP:
    881
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    "แกทำอะไรน่ะ...?? อ๋อ...คงกลัวความตายขนาดนั้นเลยสินะ ไม่ต้องกลัวหรอก แกไม่ตายง่ายๆแน่ ข้าจะเล่นกับแกก่อนเพื่อที่แกจะได้ตายตอนหลังอย่างเทียบชั้นข้าไม่ติด ในเมื่อ...แกไม่เข้ามา ข้าก็ขอเปิดอีกรอบล่ะ....ย้ากส์!!!" วิ่งเข้าหาเช่นเดิมอีกครั้ง

    ‘ความวู่วามของแก จะทำให้แก...ต้องจบชีวิต.......’

    แมชพึมพำเบาๆพร้อมกับลืมตาขึ้น....

    ร่างของวาร์กัสนั้นเหมือนกับหยุดนิ่ง ทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนนิ่งไปหมดดั่งหยุดเวลาไว้

    "ข้าไม่ไว้ชีวิตแกละนะ....เพลงหมัดดินระเบิด....!!!!!!!!!!!!!!"

    แล้วแมชก็สาวหมัดอย่างหนักหน่วงไปที่ร่างที่พุ่งเข้ามาหาเขาเมื่อครู่ วาร์กัสร้องโอดโอยเมื่อเจอท่าไม้ตายของน้องชายเอ็ดการ์เล่นงานเข้าไป

    "โอยยยยยยยยย.........อ๊าาาาาาาาา........โอ้ยยยยๆๆๆ"

    เป็นเวลาเกือบนาทีแล้วที่แมชยังไม่หยุดชุดโจมตี หน้ำซ้ำยังเริ่มหนักหน่วงขึ้นด้วย เอ็ดการ์รู้สึกได้ดังนั้น และคิดในใจ ‘นาย...เก่งขึ้นอีกขั้นแล้วนะ...’ ยิ้มออกมาทางมุมปากเหมือนเดิม ทั้งสองคนเองก็เช่นกัน

    และแล้ว....ร่างที่เกือบไร้สติของวาร์กัส ก็ล้มลงไปกองอยู่ปากหลุมที่ซึ่งเขาเป็นคนส่งศัตรูลงไปนอนกองตรงนั้น แมชหอบแฮ่กพร้อมกับปาดเหงื่อบนหน้าผากพร้อมกับมองไปที่วาร์กัส

    "ขอให้พระเจ้ายกโทษให้ลูกและเพื่อนร่วมสำนักลูกด้วย..." กำมือพร้อมสารภาพบาปตรงนั้น...

    สักพัก...วาร์กัสก็สิ้นใจไปจากโลกนี้...

    กรงพายุที่ขังทั้งสามหมดฤทธิ์ลงทันที... เอ็ดการ์เดินเข้าไปหาน้องชายของเขาช้าๆ แล้วตบไหล่เบาๆ "เก่งมากน้องเรา..."

    แมชหันหลังกลับมาแล้วน้ำตาเริ่มคลอเบ้า "ท่านพี่...ท่าน...หาข้าพบได้อย่างไรเนี่ย...?" เอ็ดการ์พลางปาดน้ำตาให้
    "จะร้องไห้ทำไมเล่า เจ้าน่าจะดีใจนะที่ได้เจอเราและพรรคพวก...อีกครั้งหนึ่ง เจ้าลืมแล้วหรือ ที่พ่อเคยสอนไว้...."

    แมชพลางปาดน้ำตาอีกครั้ง พร้อมกับเข้าสวมกอดพี่ชายตัวเองโดยไม่อายใคร "ท่านพี่.......!!!!!"

    เอ็ดการ์เองก็ดีใจไม่แพ้กัน สิ่งที่ทั้งล็อคและทีน่าได้เห็นนั้นมันช่างมีความสุขมากมายจริงๆ ถึงแม้ว่าตัวของพวกเขาเองจะไม่ได้เป็นเช่นนั้นก็ตาม แม่สาวน้อยนั่นถึงกับน้ำตาซึมเลยทีเดียว

    ‘นี่คือความรักหรือเปล่านะ...?’ เธอคิด

    "รีบวิ่งไปหาพวกเขากันเถอะ..." ล็อคชวน

    "อื้อ...."

    ทั้งสองคนิ่งเข้าไปสมทบ ล็อคทักแบบกันเอง "ไงท่าน...ไม่ได้เจอกันนาน กล้ามเป็นมัดเลยนะ..." แซวเล็กน้อย ทำเอาแมชตลกขึ้นมา

    "ไม่หรอกน่า ก็แค่ชั้นฝึกวิชาทุกวันๆละประมาณ 12 ชั่วโมงเท่านั้นเอง..."

    อึ้งกันไปหมด....

    "ก็มันไม่มีอะไรทำนี่นา ชั้นเองก็เลยอยากเก่งเหมือนพี่ชั้นบ้างสิ...เผื่อวันนึงชั้นอาจจะได้เป็นผู้ท้าชิงในศึกชิงเจ้าที่โคลอสเซียมกับพี่ตัวเองในปีนี้บ้าง...ฮ่าๆๆๆ" มองไปที่เอ็ดการ์ที่ยืนยิ้มยกนิ้วโป้งให้อยู่

    ทีน่าพูดขึ้นบ้าง "ถ้าอย่างนี้ ชั้นจะเรียกนายว่า เป็นสุดยอดของนักฝึกฝนร่างกาย...จะได้มั้ยล่ะ...?"

    แมชหันมามองหญิงสาวแปลกหน้าที่ไม่เคยเจอะเจอกันมาก่อนแล้วตอบอย่างสุภาพ "งั้นชั้นขอรับเป็นคำชมแล้วกันนะ...ขอบคุณมาก"

    เอ็ดการ์ตกใจเล็กน้อยเหมือนลืมอะไรไป "ออจริงสิ...ลืมไปเลย นี่...แมช เรเน่ ฟิกาโร่ น้องแท้ๆของเรา ส่วนนี่ ทีน่า เอ่อ....เบรนด์ฟอร์ด..." หันไปมองเพื่อความแน่ใจ เธอพยักหน้า "ทหารเก่าของจักรวรรดิ...ตอนนี้เธอออกมาจากที่นั่นแล้ว..."

    แมชตกใจเล็กน้อย แน่นอน...เมื่อก่อนเขาเองก็เป็นผู้ช่วยของเอ็ดการ์ในกลุ่มต่อต้านอยู่ "เออ...แล้วแต่ท่านพี่แล้วกัน ท่านพี่เห็นอย่างไร ข้าก็เห็นตามนั้นแหละ...ว่าแต่ นามสกุลเบรนด์ฟอร์ดเนี่ย รู้สึกเหมือนคุ้นๆนะ..."

    ทำเอาทีน่าตาเบิกโพลง...

    "ชั้นเคยได้ยินมาเหมือนกัน เมื่อตอนออกไปฝึกกายนอกเขาโคลท์ รู้สึกชื่ออะไรนะ...เมเดนหรืออะไรสักอย่างนี่แหละ...."

    เอ็ดการ์พลางคิด แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรไปมากกว่าความโชคดีที่ยังได้ข่าวจากแมชด้วยเรื่องนี้ ทีน่าเศร้าลงอีกครั้ง ล็อคตบไหล่ปลอบ

    "ไม่ต้องห่วงหรอก สักวันเธอก็จะจำได้เอง..." แมชถาม "เธอเป็นอะไรไปหรือ...?"

    ล็อคหันหน้ากลับมาตอบพร้อมถอนหายใจ "เฮ่อ...เธอสูญเสียความจำน่ะ...เราเลยพาเธอออกเดินทางด้วย เผื่อสักวันเธออาจจะจำอะไรได้บ้าง..."

    แมชพยักหน้าแล้วถามต่ออีก "ถ้าข้าเดาไม่ผิด อย่าบอกข้านะว่า...."

    เอ็ดการ์ตอบในทันที "ใช่...เธอโดนบังคับให้สู้รบด้วย Slave Crown ที่นายไปสืบรู้มานี่แหละ แล้วเกิดระเบิดขึ้นที่นัลเซ แล้วล็อคก็ช่วยเธอออกมาหาเรา...ตอนนี้เราจะพาเธอไปหาท่านเบอร์นอน..."

    แมชพยักหน้าเหมือนเข้าใจทุกอย่าง "ถ้าอย่างนั้น...ชั้น...จะติดตามเธอไปด้วยแล้วกันทีน่า..."

    ทั้งสามคนยิ้มเหมือนคาดไว้ไม่ผิด "เอาสิ เราต้องการให้เจ้าไปกับพี่อยู่แล้ว..." พี่ชายของเขาพูด แมชยิ้ม "งั้นเราจะช้าอยู่ไยเล่า รีบไปกันดีกว่า แต่ว่าตอนขาลงไปเนี่ย ข้าขอลงเก็บสัมภาระก่อนนะ...ท่านพี่"
    เอ็ดการ์พยักหน้า แล้วออกเดินนำหน้าไป โดยมีทีน่าเดินตามหลัง พร้อมขนาบข้างด้วยสองคนที่เหลือ "แหม...น่าอิจฉาจัง มีองค์รักษ์ปกป้องให้ตั้งสามคน..."

    แขวะเธออีกแล้ว ทำเอาเธออายพร้อมค้อนให้ทีหนึ่ง พี่น้องฟิกาโร่หัวเราะร่า แล้วก็เดินลงจากบริเวณการต่อสู้นั้นไปพร้อมกับแสงตะเกียง โดยทิ้งร่างไร้วิญญาณของเจ้าลูกทรพีนั้นไว้ในหลุมเพียงลำพัง...
  14. joi100

    joi100 นักเดินทางแห่งมิดการ์ด

    EXP:
    478
    ถูกใจที่ได้รับ:
    23
    คะแนน Trophy:
    38
    [action]ในที่สุด ในที่สุด ก็ย้ายบ้านเสร็จแล้วสิ :eek:ld:[/action]


    [action]ลั้นลาๆ นั่งอ่านสบายใจ นึกว่า จะไม่ได้อ่านเสียแล้ว แล้วตอนหน้า หวังว่าคงจะได้อ่านก่อน ตรุษจีน นะ ท่านลอร์ดนพ ฮาๆๆ[/action]
  15. hannover96

    hannover96 New Member

    EXP:
    881
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    ตอนใหม่มาตอนปีใหม่เลยละกันนะครับ...

    ------------------------------

    Chapter 11 : Split Up

    เวลาเดียวกันกับแมชจัดการเจ้าวาร์กัส ที่หมู่บ้านฟิกาโร่...

    “เฮ้...ตรงนั้นน่ะ รีบๆเอาลังเหล็กไปกั้นซะ เดี๋ยวจะไม่ทันการณ์เอานะ...” ชายที่ท่าทางเป็นใหญ่คนหนึ่งสั่งการหลังผ่านวันเฉลิมฉลองในตัวเมืองกันมาอย่างสนุกสนาน เสือบเนื่องจากที่คราวก่อนเอ็ดการ์ กษัตริย์หนุ่มได้เดินทางมาบอกเรื่องที่ปราสาทฟิกาโร่โดนตีแตกไปแล้ว แน่นอน...พวกมันย่อมต้องการยึดที่นี่ตามนัลเซให้ได้อีกที่หนึ่ง

    เดนิส อาร์ค เจ้าเมืองที่เอ็ดการ์แต่งตั้งให้ดูแลเมืองเดินตรวจตราและควบคุมการป้องกันในตอนบ่าย แดดร้อนๆเช่นนี้แต่เขากลับไม่รู้สึกว่ามันร้อนหรือเหนื่อยเลย ตรงกันข้ามกลับยิ่งภูมิใจเสียอีกที่ตัวเองนั้นได้เดินตามรอยเอ็ดการ์อย่างเคร่งครัด และยังจงรักภักดีกับกษัตริย์ฟิกาโร่อย่างสุดหัวใจเลยด้วยทีเดียว...ซึ่งก็แน่นอนอีกเช่นกัน เขา...เป็นหนึ่งในกลุ่มต่อต้านจักรวรรดิที่เข้ากลุ่มตามเอ็ดการ์ไป

    ทหารนายหนึ่งนำสาส์นเข้ามา “ท่านเดนิส....” ยื่นซองข้อความให้ เขาเปิดอ่านออกดู

    “ถึงเจ้าเมืองฟิกาโร่...เดนิส อาร์ค

    คราวก่อนนี้ ทางกลุ่มต่อต้านได้ส่งข้อความมาบอกข้าเกี่ยวกับการขอให้ข้าเข้าร่วมกับกองกำลังของท่านเอ็ดการ์ ข้าได้พิจารณาแล้ว จึงขอตอบตกลงไป ซึ่งก็ได้ส่งจดหมายไปอีกหนึ่งฉบับไปหาท่านเอ็ดการ์ที่กลุ่มแล้ว

    แต่ข้าอยากจะขอความร่วมมือจากท่านอีกอย่างหนึ่ง ข้าอยากให้ท่าน...จงยอมให้กับพวกจักรวรรดิ โดยสันติวิธี อย่าได้มีการสู้รบ ซึ่งเหตุผลคือ
    1. จากข้อความอีกฉบับ ข้าได้บอกไว้ถึงแผนการทั้งหมดที่จะจัดการกับพวกจักรวรรดิขั้นต้น หลังจากที่พวกมันเข้ายึดที่นี่แล้ว
    2. ท่านย่อมรู้ดีว่า เซริส เชียร์ หลานของข้า ถูกพวกจักรวรรดิจับได้ว่าเป็นไส้ศึกอยู่ภายใน และข้าได้รู้จากจดหมายของเธอว่า พวกมันกำลังจะนำเธอมาขังไว้ที่นี่
    ตามกองทัพของพวกมันมา ข้าไม่อยากให้เธอต้องได้รับอันตรายหรือโดนลูกหลง ขอให้ท่านได้เข้าใจข้าด้วย

    อนึ่ง ด้วยเหตุผลและแผนของข้านั้น ข้าได้ส่งไปให้ท่านเอ็ดการ์ด้วย ถ้าเกิดผิดพลาดประการใด ท่านไม่ต้องกลัวว่าท่านจะเป็นคนผิด ข้าจะเป็นผู้รับผิดชอบทุกอย่างเอง

    ขอแสดงความนับถืออย่างจริงใจ
    ซิด เชียร์”

    เดนิสอ่านแล้วครุ่นคิดอยู่นานสองนาน เสร็จแล้วก็เอาข้อความนั้น เก็บเข้าชายพกเสื้อคลุมไปแล้วสั่งทหารนายนั้นเบาๆ...

    “ยกเลิกการป้องกันทั้งหมด...”

    “ท...ท่านว่าอย่างไรนะครับ...???”

    หันมองหน้าช้าๆ “ยกเลิกทั้งหมด...เราจะไม่มีการป้องกันกองกำลังอะไรทั้งสิ้น เราจะให้มันเข้ายึดก่อน แล้วทางนั้นจะส่งคนมาช่วยเอง...” พูดเบาๆอีก ทหารนายนั้นถอยห่างออกไปบอกทุกคนอย่างงงๆ

    เขาเดินออกจากแดดร้อนๆไปทางคฤหาสน์ของเขาเพื่อวางแผนตามจดหมายที่ให้มานั้นต่อไป...

    ------------------------------

    ตีนเขาอีกฝั่งของภูเขาโคลท์...เวลา 23.15

    ทุกคนนั่งล้อมวงกลางกองไฟที่ก่อเพื่อแก้ความหนาวเวลากลางคืนแล้วนั่งคุยกันไปเรื่อยๆพร้อมทั้งรับประทานอาหารเย็นซึ่งเป็นเสบียงที่นักกังฟูคนเก่งเตรียมเอาไว้ในที่พักเพื่อดำรงชีพ

    “เฮ้...แมช ตั้งแต่นายออกมาจากปราสาทน่ะ นายไปได้เรียนกับอาจารย์ดันแคนได้ไง...” เจ้านักล่าแห่งนัลเซถามขึ้น

    “ก็ไม่มีอะไรมาก แค่ข้ากำลังจัดการกับหมีป่าบ้าพลังตัวหนึ่ง ก็เท่านั้นเอง...ด้วยมีดเล่มเดียวด้วยน้าเอ้า...” พูดเสร็จก็เอามีดขึ้นมาโชว์ เอ็ดการ์รับไปดู ก็พบว่ามันเป็นมีดที่เขาเคยให้เจ้าตัวไว้ตั้งแต่สมัยไปเที่ยวที่บ้านต้นไม้ใหญ่...จากชื่อที่มันสลักอยู่บนมีด

    ‘เจ้าช่างเป็นคนรักพวกพ้องจริงๆนะ...’ นึกชมในใจ แต่ล็อคก็ฉวยไปดูอีกครั้งตามคนที่ชอบเล่นมีดและของมีคม “เออ ก็สวยดีว่ะ...ชั้นชอบมันนะ แต่มันเป็นของๆนายนี่หว่า ไม่เอาหรอก...” แอบเห็นชื่อสลักเหมือนกัน ยื่นส่งคืนให้เจ้าของเก็บเข้ากระเป๋าไป

    “แต่อาจารย์ดันแคนนั้น ไม่ค่อยชอบสอนใครสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ใช่หรือ? เพราะพี่ได้ยินมาว่า ผู้ที่ได้เรียนจนหมดวิชากับอาจารย์ท่านแล้ว มีไม่ถึง 20 คนในแถบนี้ด้วยซ้ำ...” พี่ใหญ่ของเขาถามขึ้น

    “มันก็ใช่แหละท่านพี่...แต่ข้าคงโชคดีที่อาจารย์มาเห็นข้าเข้าตอนนั้นมั้ง...” ตอบอย่างเลี่ยงๆไป ทีน่าถามขึ้นบ้าง

    “แล้ว...นาย...เอ่อ... ทำไมถึงแข็งแกร่งมากมายขนาดนี้ แล้วไม่เจ็บไม่ปวดบ้างหรือ เห็นอัดกับเจ้านั่นอย่างหนักเลยนี่...?”

    แมชยืนขึ้น แล้วก็เริ่มเบ่งกล้ามให้ดูเต็มอัตรา “ไม่หรอก เพราะชั้นฝึกฝนมันมาตั้งกี่ปีแล้ว...ฝึกทุกวัน ทำกายบริหาร ทำสมาธิ ทำบ่อยๆเข้ามันก็ชิน ไม่ค่อยเจ็บปวดเท่าไรหรอก แค่เมื่อกี๊นะ จิ๊บจ๊อย...” อวดเข้าให้ ทำเอาทีน่ายิ้มที่ได้เห็นความใหญ่โตของร่างกายเจ้านั่น เอ็ดการ์แอบชมในใจอีก

    “เจ้านั่น...มันเป็นคนวางยาฆ่าจริงๆหรือเนี่ย...? ไม่อยากเชื่อ...” ล็อคยังไม่จบเรื่องพร้อมทั้งเคี้ยวเนื้อกวางย่างสุกแล้วอย่างอร่อย... “จริง...ก็ข้าเห็นกับตามาเลย มันจับเอายากรอกใส่ปากอาจารย์แล้วบังคับให้กลืนลงไป สักไม่ถึงนาที อาจารย์ก็นิ่งไปแล้ว...” คิดแล้วก็เริ่มนั่งเศร้าปนอารมณ์แค้เคืองเจ้าลูกอกตัญญู

    เอ็ดการ์เริ่มเห็นบทสนทนาตึกเครียดเลยตัดบท “เอางี้ดีกว่า เอาเป็นว่ารีบๆกิน รีบๆนอนกันก่อนเถอะ...พรุ่งนี้ถ้าเป็นไปได้ เราอยากให้เดินทางกันแต่เช้าเลย ตกลงมั้ย?”

    ทั้งหมดพยักหน้าเห็นพ้องกันหมด จึงค่อยๆรีบกินให้หมดอาหารค่ำเพื่อเพิ่มพลัง ก่อนที่จะหาที่พักนอนแล้วหลับไปอย่างเหนื่อยอ่อนจากการเดินทางและสู้รบมาทั้งวัน...

    เช้าวันรุ่งขึ้น...

    ทั้งหมดเก็บของออกจากบริเวณไม่ให้เหลือร่องรอย แล้วเดินไปเรื่อยๆประมาณ 1 ชั่วโมงเศษๆก็เจอกับเพิงพักโจโกโบะ...

    “ถวายความเคารพขอรับท่าน...อ้าว...!! ท่านแมช ไม่พบกันนานเลยนะขอรับ...” ทหารที่เฝ้ายามตรงเพิงย่อก้มลง “4 ตัวนะขอรับ...”

    “ข้าเจอพี่เราที่บนเขาน่ะ ตอนนี้ข้าพร้อมที่จะออกสู่โลกภายนอกกับพี่ข้าละ...” เขาบอกให้ฟัง ทำเอาทหารนายนั้นเป็นปลื้มไปสักพัก แล้วถามต่อ “4 ตัวนะขอรับ...”

    “อือ...รบกวนด้วยนะ...” ราชาหนุ่มบอกแล้วชวนทั้งหมดพาไปหาน้ำท่าในเพิงกินกันก่อนที่จะออกเดินทาง

    ทีน่านั้นดีใจมากที่จะได้ขี่หลังเจ้านกเหลืองอีกครั้ง แมชเองก็เช่นกัน ตั้งแต่ออกมาจากปราสาทเขาเองก็ไม่เคยได้ขึ้นขี่เจ้าพวกนี้เหมือนกัน เพราะวันๆก็อยู่แต่บนเขา อย่างมากก็เพียงแค่ได้เห็นมันผ่านหน้าบริเวณบ้านพักตีนเข้าไปก็เท่านั้น...

    โจโกโบะอ้วนท้วน 4 ตัวถูกคนเลี้ยงจูงมาอย่างเชื่องๆ แล้วเขาก็ส่งเชือกให้แก่ทุกคนที่ออกมาจากเพิงแล้วพร้อมกับยาเม็ดอะไรสักอย่าง 4 เม็ด จับโจโกโบะอ้าปากแล้วหย่อนให้มันกลืนลงไป

    “เฮ้...!! อะไรน่ะ...?” แมชถามด้วยความสงสัย พี่ชายของเขาตอบแทนคนเลี้ยงให้ “นั่นคือยาวิหค กินแล้วจะทำให้เจ้านี่มีปีกงอกขึ้นมา...” แล้วชี้ไปที่เจ้านักล่าตัวแสบ...เขาเป็นคนคิดค้นขึ้น ซึ่งตอนนี้ เจ้านั่นยืดอย่างเต็มภาคภูมิ...แถมยังมองขึ้นฟ้าอีกด้วย...

    “นายนี่มันเก่งพวกเรื่องยาจริงๆเลยว่ะล็อค ขอชมๆ...” นักกังฟูเอ่ยออกมา เขาหันกลับมายิ้มให้ ทีน่าก็ชูนิ้วโป้งให้ไปอีกหนึ่งทีเช่นกัน

    สักพัก...นกทั้ง 4 ตัวก็ไม่ใช่นกที่เอาไว้วิ่งอีกต่อไป ปีกที่เคยเล็กและตกลงข้างตัว ตอนนี้กลับใหญ่ขึ้นแล้วยังสามารถกระพือได้ด้วยเช่นกัน ตอนนี้พวกมันร้องเสียงระงมด้วยความดีใจที่จะได้บิน...

    “เราต้องรีบหน่อยนะ ก่อนที่ฤทธิ์ยาของเจ้านี่จะหมด เพราะถ้าหมด มันจะหล่นลงมาอย่างรวดเร็วเลย...เอาละ รีบขึ้นกันเถอะ...!!” กษัตริย์หนุ่มสั่งทันที ทั้งหมดขึ้นตามๆกัน “ขอให้โชคดีนะขอรับ ท่านเอ็ดการ์รวมทั้งทุกๆคนด้วย...”

    แล้วเอ็ดการ์ก็ตีเชือก 1 ทีเบาๆ เจ้านกที่เขาบังคับอยู่ก็เหินขึ้นฟ้าอย่างรวดเร็ว...สักพักก็มองไม่เห็นทั้งคู่แล้ว

    “เอาล่ะ...จะช้าอยู่ไย ตามไปกันสิเร็ว...!!” ว่าเสร็จล็อคก็ตีเชือกตามไป เหินขึ้นฟ้าไปอีกคน

    “งั้น...ไปกันเถอะ ทีน่า...” นักกังฟูชวนสาวน้อย แล้วทั้งคู่ก็ตีเชือกให้มันเหินขึ้นไปเหมือนกัน

    ทั้งสี่คนรวมกลุ่มกันได้แล้วในตอนนี้ เอ็ดการ์พูดขึ้น “เราทึ่งมากเลยล่ะ ที่ตอนแรกล็อคบอกว่า เขาสามารถคิดค้นยานี้ขึ้นมาได้ ในตอนแรกนั้นเราไม่กล้าที่จะให้ลองเลย กลัวว่ามันจะเป็นอะไรไป แต่เขาก็ทดลองกับงูให้ดูก่อน ซึ่งเกือบจะทำเอาเราดับไปด้วยแน่ะ เพราะมันกลายเป็นงูบิน...” เขาเล่าอดีตให้ฟัง ทำเอาทั้งหมดหัวเราะ

    “ก็นายไม่เชื่อเองนี่หว่า...ชั้นเองก็หาสัตว์อะไรแถวนั้นไม่ได้ด้วย ก็เลยต้องเอาตัวที่ชั้นขังไว้รีดพิษมาสาธิตให้ดู จะได้ไม่หาว่าชั้นยกเมฆเอาสูตรอะไรมาลองอีก...” แล้วก็หัวเราะตามออกมา

    “เออนี่ล็อค...นายไปศึกชิงเจ้าที่โคลอสเซี่ยมปีที่แล้วมาหรือเปล่า...?” แมชถามขึ้น

    “ไปๆ ก็ตอนนั้นชั้นไปแข่งชิงเจ้าประเภทปีนป่ายและปรุงยามาน่ะ แต่ไม่ติดอันดับเลย มันมีคนเก่งกว่าชั้นอีก...” คิดแล้วก็ยิ้มๆปนแค้นเล็กๆ

    “รู้มั้ยว่า เจ้าวาร์กัสน่ะ มันก็ไปแข่งที่นั่น Battle ในประเภท Deathmatch มันเข้าถึงรอบสุดท้าย แต่มันกลับแพ้ในรอบชิงให้กับบุรุษนิรนามคนหนึ่งน่ะ...นายรู้จักมั้ย...?”

    “มันเป็นอย่างไรล่ะ...?” ล็อคถาม ทำเอาเอ็ดการ์เริ่มสงสัยตะหงิดๆ

    “แต่งตัวชุดดำ โพกผ้าคลุมห่อหุ้มเหลือแค่ดวงตาด้วย แล้วยังมีหมาอยู่ข้างๆอีก...”

    ทุกอย่างโป๊ะเชะเลย...เอ็ดการ์บอกไป “รู้...พึ่งจะเจอกันเมื่อวานซืนนี้เอง...ไคล์ แอโรว์นี”

    “เออใช่ๆ มันชื่อนี้แหละ ฉายาชาโดว์ จำได้แล้วๆ....”

    ล็อคถามแบบเคืองๆอีก “แล้วนายมีธุระอะไรกับมันหรือ ถึงถามขึ้นมาเนี่ย....” พลางบังคับให้เจ้านกเลี้ยวซ้ายตามราชาหนุ่มไป

    “ก็ไม่มีอะไร เห็นเก่งดี นายก็น่าจะรู้ว่าข้าน่ะ ชอบสู้กับคนเก่งๆจะตายไป...”

    ล็อคคิดพินิจและคำนวนแล้ว ท่าทางน่าจะสู้ได้สูสีกันอยู่ คนนึงรวดเร็ว คนนึงแข็งแกร่งและเร็วไม่ด้อยกว่ากัน “ถ้าเจอชั้นจะบอกมันให้ละกัน...แต่คงไม่หรอกมั้ง”

    “อือ...ว่าแต่เจ้าวาร์กัสนะ พอมันแพ้กลับมา มันก็โกรธอาจารย์ใหญ่เลยล่ะ หาว่าไม่สอนวิชาสุดยอดบ้างล่ะ หาว่าลำเอียงบ้างล่ะ เลยกลายเป็นความขัดแย้งตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว...” เขายังเล่าต่อไม่หยุด “แล้วพอได้เรื่องที่ว่าอาจารย์จะสอนวิชาสุดยอดให้ข้า ทำให้มันหลงผิดใหญ่เลย ตั้งแต่นั้นมา ข้ารู้ได้เลยว่ามันสูญเสียจิตวิญญาณของนักต่อสู้ไปแล้ว...แย่จริงๆ” เศร้าลงไปอีกครั้ง

    “เอาน่า...เรื่องผ่านไปแล้ว ทำใจเหอะเพื่อน เราต้องมองไปข้างหน้าสิ ถึงนายจะยังเรียนรู้จากอาจารย์ไม่หมด แต่โลกเรานี้ ยังมีอะไรให้เรียนรู้อีกเยอะแยะนะ...ดูอย่างชั้นสิ ชั้นเองก็ไม่อยากเชื่อเลยว่า ตัวเองจะเป็นคนสร้างวิวัฒนาการให้กับเจ้าพวกนี้...” มองไปที่โจโกโบะของตัวเอง “อือ...นั่นสินะ...”

    เอ็ดการ์ชื่นชมทั้งคู่ในใจที่ต่างคนต่างสามารถพูดปลอบใจกันได้ ถึงแม้เวลานี้เรื่องภายในทวีปจะสั่นคลอนเพราะพวกจักรวรรดิก็ตาม แล้วหันกลับมาคุยกับทีน่าที่ตอนนี้กำลังลูบหัวเจ้านกเหลืองที่เธอบังคับอยู่

    “เธอไม่ต้องกลัวท่านเบอร์นอนนะ ท่านเป็นคนใจดี ไม่ตัดสินคนที่อดีตแน่นอน...” พูดปลอบทีน่าเหมือนกัน เธอเองก็ไม่ได้คิดอะไรได้แต่พยักหน้า “อือ...” แล้วยิ้มให้

    “เอาล่ะทุกคน พร้อมกันหรือยัง....” เอ็ดการ์ตะโกนบอกรอบๆ

    “มันเอาอีกแล้ว...วิ่งแข่งอีกแล้วหรือเนี่ย...?” เจ้านักล่าเริ่มรู้ทัน

    “ไม่ใช่วิ่งแข่งหรอก บินแข่งต่างหาก...” แมชแก้ให้ ทำเอาล็อคเซ็งกับมุขทื่อๆแบบนี้ไปนิดหนึ่ง

    “ตามเราให้ทันนะทีน่า...ไป...!!!” แล้วราชาหนุ่มก็ตีเชือกอย่างแรงพร้อมทั้งหมุนควงสว่านพุ่งไปข้างหน้า...

    ทั้งหมดตะลึงกับเทคนิคสุดยอดของเจ้านั่น...แต่ก็บินตามไปอย่างรวดเร็วเพื่อต้องการเข้าที่ 1 เมื่อถึงจุดหมาย...

    ------------------------------
  16. joi100

    joi100 นักเดินทางแห่งมิดการ์ด

    EXP:
    478
    ถูกใจที่ได้รับ:
    23
    คะแนน Trophy:
    38
    โอ้ตอนใหม่ ปีใหม่ ดีจังๆ


    สวัสดีปีใหม่นะท่านนพ ขอให้ไม่เจ็บไม่ป่วยนะเอ้อ

    [action]กลับไปนอนต่อเพราะเมาค้าง[/action]
  17. nintendo

    nintendo นักข่าว

    EXP:
    139
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    ป๊าดๆๆๆๆ เปาบุ้นจิ้นมาเอง หุหุ :555:


    สนุกมากๆเลยครับ โชโคโบะบินได้ด้วย :p ตอนใหม่ต้อนรับปีใหม่ Happy New year นะครับ
  18. hannover96

    hannover96 New Member

    EXP:
    881
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    ขออณุญาติขุดมันขึ้นมาจากไหนะครับ...*0*

    เพราะตอนนี้ ผมจะเริ่ม

    ปั่นฟิคนี้อีกครั้ง!!!

    อดใจรอไม่เกิน 1 สัปดาห์แน่นอนครับ

    ปล. ตอนนี้กำลังตามเล่นเคลียร์ไปตามเนื้อเรื่องอยู่ครับ
  19. Ryuto

    Ryuto 終わる道、始まる夢

    EXP:
    964
    ถูกใจที่ได้รับ:
    16
    คะแนน Trophy:
    88
    5 5 5 5+ ไม่ใช่ตามเคลียร์ในดอทเหรอครับพี่ ><

    ว่าแต่ 2007 เลยเหรอเนี่ยได้ฤกษ์ทุบไหสินะ

    สู้ๆ!!
  20. LittleMFox

    LittleMFox New Member

    EXP:
    39
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    ว้าวได้กลับมาอ่านนิยายแล้วววววว
    รอตอนต่ออย่างใจจดใจจ่อค้า

Share This Page