คำถามเกี่ยวกับความรู้ทั่วไป ที่ไม่รู้จะไปถามใครดี......

กระทู้จากหมวด 'ETC' โดย aurora, 18 ธันวาคม 2007.

  1. aurora

    aurora คาตะโอโม่ย

    EXP:
    1,631
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    86
    สิ่งที่ผมจะถามต่อไปนี้ คือสิ่งที่ผมสงสัยมานานแล้วครับ แต่ไม่รู้ว่าจะเอาไปถามใครดี หรือจะหาคำตอบได้จากที่ไหนดี ไปถามอาจารย์ ท่านก็ไม่ทราบและไม่สามารถให้คำตอบได้.....ดังนั้น....ผมจึงขอตั้งกระทู้ถามไว้ เผื่อจะมีใครที่พอทราบ หรือมีแหล่งข้อมูลอ้างอิงให้ด้วยจะดีมากครับ


    หมวดวิทยาศาสตร์
    - เมื่อนานมาแล้ว ผมเคยได้ดูสารคดีเกี่ยวกับดาราศาสตร์ เรื่องการใช้กล้องดูดาวส่องดูดาวจากสถานที่ที่อยู่ไกลมากๆ ในสารคดีได้กล่าวถึงทฤษฎีหนึ่งว่า "ในการใช้กล้องดูดาว ส่องดูดาวที่อยู่ห่างออกไปมากๆ นั้น ภาพที่เราเห็น จะไม่ใช้ภาพปัจจุบันของดาวดวงนั้น แต่เป็นภาพในอดีต (เช่น หากใช้กล้องดูดาวส่องดูดวงดาวที่อยู่ห่างออกไป 200ปีแสง ภาพที่เราเห็นก็คือภาพของดาวดวงนั้นเมื่อ 200 ปีก่อน เพราะแสงใช้เวลาเดินทางจากดาวดวงนั้นมาถึงตาเรา 200 ปี *-* )" ผมไม่ใช่คนที่เรียนสายวิทย์ จึงงงมากครับว่า หากแสงต้องใช้เวลาเดินทางมาถึงเราถึง 200 ปี แล้วทำไมเราจึงยังเห็นดาวดวงนั้นได้ในพริบตาที่เราส่องกล้องไปดู ทำไมไม่ต้องรอไปอีก 200 ปี ถึงจะเห็น :confused: (เห็นเค้าว่า ดวงอาทิตย์ที่เราเห็นอยู่ทุกวันนี้ ก็ไม่ใช่ดวงอาทิตย์ที่แท้จริง แต่เป็นดวงอาทิตย์ในอดีตเมื่อ 5 นาทีก่อนหรือไงเนี่ยแหละ (แสงใช้เวลาเดินทางจากดวงอาทิตย์มาโลกประมาณ 5 นาที) ถ้าผมจำไม่ผิดนะ)

    หมวดประวัติศาสตร์
    - ผมเป็นคนที่ชอบประวัติศาสตร์มาก แต่ก็ไม่ได้เรียนด้านนี้โดยตรง เพราะไม่รู้ว่าจบไปแล้วจะทำงานอะไร จากการที่ได้ศึกษาประวัติศาสตร์มา ก็เกิดข้อสงสัยขึ้นมาอยู่ 2 ประการที่อยากรู้ หากใครพอทราบหรือมีแหล่งอ้างอิงอื่นใด ได้โปรดกรุณาตอบผมทีนะครับ

    1. จากการที่ศึกษาประวัติศาสตร์ของหลายๆ ชนชาติ มักพบว่า ในอดีตไม่ว่าจะเป็นตำนาน หรือประวัติศาสตร์จริงๆ กษัตริย์และเชื้อพระวงศ์ต่างๆ นั้นจะแต่งงานกันกับพวกพี่น้อง หรือไม่เครือญาติกันเองเท่านั้น ด้วยความเชื่อที่ว่า เพื่อสายเลือดอันบริสุทธิ์ของราชวงศ์ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะอียิปต์โบราณ ถึงขนาดเคยมีฟาโรห์พระองค์หนึ่ง อภิเษกกับพระมารดาของพระองค์เอง และมีลูกกับพระมารดาของพระองค์เองด้วย (จำพระนามของฟาโรห์ไม่ได้ แต่พระมารดาของพระองค์ที่กลายมาเป็นพระมหาสีชื่อ พระนางตีย์)

    ปัจจุบัน เป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่า ผู้คนทั่วโลกไม่ยอมรับการมีความรักกันในสายเลือดเดียวกัน ถือเป็นสิ่งที่ผิดศิลธรรมอย่างร้ายแรง ผมจึงเกิดข้อสงสัยว่า "การแต่งงานกันระหว่างเครือญาตินี้ มีต้นกำเนิดมาตั้งแต่ยุคสมัยใด เหตุใดปัจจุบันนี้ถึงได้กลายเป็นเรื่องผิดศิลธรรมที่คนทั่วไปไม่ยอมรับ (ผมว่ามันต้องมีเหตุผลอะไรสักอย่างที่สำคัญมากๆ ที่ทำให้ประเพณีที่สืบทอดมาแต่โบราณกลายเป็นสิ่งต้องห้าม ผิดศิลธรรม ผิดกฏหมายไปได้ นอกจากเหตุผลทางวิทยาศาสตร์และการแพทย์) ชนชาติใดที่ยกเลิกประเพณีนี้ไปเป็นครั้งแรก ยกเลิกไปในยุคของกษัตริย์พระองค์ใด และเพราะเหตุผลใดจึงต้องยกเลิก (มีเหตุการณ์สำคัญอันใด ที่ทำให้ต้องยกเลิก)" เป็นที่น่าสนใจว่า ในประวัติศาสตร์หลายร้อยปีของชนชาติไทย เท่าที่ผมทราบไม่เคยมีกษัตริย์องค์ใดที่อภิเษกกันเองในพี่น้องสายเลือดเดียวกัน ***อันนี้ย้ำว่า เท่าที่ผมทราบนะ อาจมีที่ผมไม่ทราบอยู่อีกมากที่มีก็เป็นได้

    2. ข้อนี้ถามสั้นๆ ง่ายๆ ครับคือผมอยากทราบว่า "การปกครองแบบเทวราชา (กษัตริย์เปรียบสเมือนตัวแทนของพระเจ้า) นั้น มีขึ้นครั้งแรกของโลกที่อารยธรรมใด.......และกษัตริย์องค์แรกของโลกนี้.....มีพระนามว่าอะไร ?"

    ================================================================

    ทั้งหมดที่อยากถามก็มีเท่านี้แหละครับ เป็นคำถามที่เหมือนจะมีสาระ :555: นี่คือสิ่งที่ผมสงสัยมาเป็นแรมปีแล้วล่ะครับ แต่ไม่รู้ว่าจะเอาไปถามใครดี หรือค้นหาข้อมูลพวกนี้จากที่ไหนได้ ซึ่งหากมีผู้ใดทราบและมีแหล่งข้อมูลอ้างอิงที่เชื่อถือได้ ได้โปรดอย่าเก็บไว้คนเดียว มาแบ่งปันความรู้ให้เพื่อนๆ บ้างนะครับ !! :aha:

    ปล. ส่วนใครมีข้อสงสัยอย่างอื่น เกี่ยวกับความรู้ทั่วไปต่างๆ ก็ลองโพสถามดูในนี้ได้เลยครับ เพื่อตอบได้ จะได้มาแลกเปลี่ยนความรู้กัน ^^
  2. Agleam

    Agleam Member

    EXP:
    246
    ถูกใจที่ได้รับ:
    11
    คะแนน Trophy:
    18
    (เอาน่ะข้อแรกพอไหว) จะลองเอาแบบเข้าใจง่าย ๆ ละกัน
    คือเวลาตาเรามองเห็นอะไรเนี่ย มันคือการมองเห็นแสงคับ จะแสงสะท้อนวัตถุหรือแสงที่วัตถุเปล่งมาเองก็เถอะ เวลาเห็นแสงดาวน่ะ ดาวมันปล่อยแสงออกมาตั้งนานแล้ว แต่มันเพิ่งเข้าตาเราใน200ปีต่อมาอะคับ

    เออ จะเข้าใจหรืองงกว่าเดิมเนี่ย
  3. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    ตอบแบบความรู้งูๆปลาๆละกัน >_<

    1. ภาพของวัตถุที่เราเห็นปกติแล้วนั้นเกิดจากการที่แสงส่องลงมากระทบวัตถุ จากนั้นแสงที่กระทบวัตถุจึงสะ้ท้อนมาเข้าตาของเรา
    โดยปกติถ้าเป็นภาพของวัตถุบนพื้นโลกแสงจะมีความเร็วมากจนใช้เวลา แค่ไม่ถึงเสี้ยวหนึ่งของวินาที
    แต่ถ้าเป็นภาพของดาวที่อยู่ห่างออกไปจากโลกหลายปีแสงนั้น เพราะว่าเมื่อเรามองไปยังทิศทางของดาวดวงนั้น ดวงตาของเรารับแสงที่สะท้อนมาดาวดวงนั้นพอดี จึงรับรู้ภาพของดาวดวงนั้น ที่เดินทางผ่านเวลามานานแล้วนั่นเองคับ (เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมภาพที่เราเห็นเป็นอดีต)

    2. ข้อ 2นี่การแต่งงานในเครือญาติเกิดขึ้นเมื่อใดผมไม่รู้เหมือนกัน ส่วนสาเหตุที่กลายเป็นเรื่องผิดจารีตประเพณีนั้นมันมีสาเหตุอยู่ที่ว่า หากมีการสืบทอดทายาทในสายเลือดเดียวกันไปเรื่อยๆ
    จะทำให้มีทายาทรุ่นหนึ่งที่จะได้รับข้อบกพร่องทางพันธุกรรมออกมา และแสดงผลออกมาเป็นโรคๆหนึ่ง ทำให้เมื่อผู้ที่ป่วยเป็นโรคนี้ได้รับบาดแผลแล้ว เลือดจะไม่หยุดไหลเองตามปกติคับ
    (แต่ถ้าถามว่าสมัยนั้นเขารู้ได้ไงอันนี้ผมเองก็ไม่ทราบเหมือนกันนะ >_<" )

    เพราะฉะนั้นการแต่งงานในสายเลือดเดียวกันเองเลยเป็นข้อห้ามไป (ซึ่งโดยปกติจะเป็นสายตรง หรือสายใกล้เคียง) แล้วต่อมาก็เปลี่ยนมาเป็นจารีตในสังคมไปแทน

    [action]รอผู้รู้ลึกมาเพิ่มเติม[/action]
  4. cdaz

    cdaz นักเล่นแร่ แปรภาพ

    EXP:
    2,015
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    86
    เพื่อให้เห็นภาพ ลองนึกถึงเวลาดูทีวีแล้วสัญญาณเสียงมันดีเลย์น่ะ ประมาณนั้น คือมันดีเลย์ จากสถานีมายังทีวี ไม่ได้ดีเลย์จาก ทีวีมายังหูคุณไงล่ะ (เพระระยะทางห่างกันมา เสียงทีวี และ แสงจากนอกโลกเลยเดินทางใช้เวลานาน)

    แล้วกล้อง เป็นวัตถุที่ทำหน้าที่รับแสง ก็เหมือนเครื่องรับสัญญาณ ทีวีนั่นแหละ คือคุณตั้งเสาปุ๊บทีวีก็ดูได้ปั๊บ แต่รายการที่เห็น จะช้ากว่ากว่าสถานีจริง ประมาณนั้น (ถ้าทำให้งงกว่าเดิมก็ขอโทษด้วยนะครับ)

    ส่วนประวัติสตร์ เอาตามที่เข้าใจ
    คิดว่า น่าจะมาจากชนชาติที่เป็น ต้นกำเนิดอารยะธรรม นั่นแหละครับ เพราะ เท่าที่ผมเรียน(ผมเรียนวิชาประวัติศาสตร์ศิลปะมานิดหน่อย) ความเชื่อ และอารยะธรรม ต่างๆ ในโลกนี้มันรับต่อกันเป็นทอดๆ ผมคิดว่าน่าจะเป็นพวก อียิปต์ นะครับกลุ่มแรกที่เชื่อเรื่องนี้ เพราะเหมือนต้นกำเนิดอารยะธรรมและความเชื่อหลายๆ อย่างเริ่มจากทางอียิปต์ กรีก โรมัน แล้วกระจายประยุกต์ไปทั่วโลก แต่อันนี้เดาจริงๆ เพราะประวัติศษสตร์ผมจำไม่ค่อยได้
  5. PoP

    PoP Well-Known Member

    EXP:
    1,369
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    86
    เอาแค่ข้อแรกละกันนะครับ จะลองอธิบายเป็นภาพ(อักษร)ดูนะ สมมติว่า O เป็นดวงดาวนั้น แล้ว E คือโลกเรา
    > คือแสงก่อนเกิดการเปลี่ยนแปลง x คือแสงหลังการเปลี่ยนแปลง โลกเราห่างจากดาวดวงนั้น200ปีแสง

    1.สมมติดาวนั้นเกิดขึ้นมา(เราจะยังไม่เห็น)
    O______________________E
    2.หลังจากดาวเกิดแสงก็จะค่อยๆเดินทางมา(3*10^8 เมตรต่อวินาที)ใช้เวลา200ปี
    O>>>>>>>>>____________E
    3.200ปีถัดมาเราก็จะเห็นดาวดวงนั้น
    O>>>>>>>>>>>>>>>>>E
    4.คราวนี้ถ้าเกิดการเปลี่ยนแปลงบนดาวนั้นเช่นแหว่งไปละกัน-*-
    ในทันทีทันใดที่ดาวเกิดการเปลี่ยนแปลง เราก็จะยังไม่เห็นเพราะต้องใช้เวลาส่งภาพ200ปี
    Cxxxxxxxxxxx>>>>>>>>>E
    5.อีก200ปีต่อมาเราถึงจะเห็นการเปลี่ยนแปลงของดาว
    CxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxE

    ^ ^" คิดว่าคงเข้าใจนะครับ

    ที่คุณcdazว่ามาก็ถูกแล้วครับ เหมือนทีวีดีเลย์น่ะแหละ บางครั้งการสื่อสารในอวกาศก็ดีเลย์ก็ยังมีครับ
    เช่น ยานสำรวจตรวจพบก้อนหิน แต่คลื่นวิทยุต้องใช้เวลาเดินทาง10วิมายังโลก ที่โลกก็จะรู้หลังยานสำรวจพบก้อนหิน
    10วินาทีนั่นเองครับ
  6. netto

    netto New Member

    EXP:
    51
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    ข้อ 1 นี่เอาไปทำพล็อตหนังได้เลยนะ
  7. dominica

    dominica สิ่งมีชีวิตอ้วนกลม

    EXP:
    1,818
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    36
    ข้อ 2 หมวดประวัติศาสตร์ น่าจะ บาบิโลน ( เอ๊ะ รึเมโสโปเตเมีย)มากกว่าอียิปต์นะ รู้สึกแถวลุ่มแม่น้ำไทกริสยูเฟรติสจะเกิดก่อนไนล์
  8. prockdj

    prockdj Member

    EXP:
    358
    ถูกใจที่ได้รับ:
    1
    คะแนน Trophy:
    18
    โรคนั้นที่ว่า ก็คือ ธารัสซีเมีย ในปัจจุบันนั่นเองครับ ;)
  9. citrus

    citrus New Member

    EXP:
    608
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    ข้อแรกแนะนำไปอ่านไอน์สไตน์พบพระพุทธเจ้าเห็นน่าจะช่วยให้เข้าใจเกี่ยวกับเรื่องแสงและเวลามากกว่านี้นะคะ ส่วนหมวดประวัติศาสตร์ข้อแรกขอผ่าน แต่ข้อสองนี้มันเยอะนะกว้างมากด้วย แต่เราว่าน่าจะประเทศทางแถบๆจีนไม่ได้อินเดีย(ชมพูทวีปนั่นแหละ) แต่จะให้แน่ใจไปค้นดูในวิกิพีเดียจะแน่นอนกว่า (รู้ทุกเรื่องที่อยากรู้ แต่ต้องภาษาอังกฤษนะไม่ใช่ภาษาไทย)
  10. spao99

    spao99 Detonator

    EXP:
    810
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    36
    หมวดวิทย์ การใช้กล้องดูดาว

    ตอบเหมือน PoP<Porize> เลยครับ เคลียร์แล้ว :D ( มักง่ายจริงๆตรู หุๆๆ )
    ขยายความอีกนิดคือ จากที่ผมอ่านประโยคคำถามของคุณ ผมเห็นว่า คุณเข้าใจกระบวนการมองเห็นเป็นดังนี้
    1. เรามองไปยังวัตถุ
    2. แสงจากวัตถุ วิ่งออกมาจากวัตถุ( ไม่ว่าจะเป็นแสงในตัวเอง หรือ การสะท้อน ) ทิศตรงมาทางเรา
    3. แสงนั้นเข้าตาเรา เราจึงเห็นภาพ

    แต่ข้อผิดพลาด ของความเข้าใจตามกระบวนการด้านบนนี้คือ ข้อ 2 ไม่จำเป็นต้องเกิดหลังข้อ 1
    2 ไม่ใช่ "ผล" ของ 1

    เพราะ แสงมันไม่ได้รอคำสั่งจาก "เรา"..... ว่า นี่น่ะ ถ้าเราหันลูกตาไปมองเจ้าแล้ว เจ้าจึงจะส่งแสงออกมาหาเราได้
    แต่ความเป็นจริง แสงจากวัตถุ จะมีเมื่อมันเปล่งแสงเอง หรือ มีแสงตกไปกระทบมัน(แล้วสะท้อน)
    มันไม่จำเป็นต้องรอคำสั่งจากเราสายตาเรา เพื่อปล่อยแสงออกมา


    หมวดประวัติศาสตร์
    ข้อ 1 : ถ้าจะเอานอกเหนือจากเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ และ การแพทย์ (นั่นหมายถึง ไม่เอาเหตุผลจากการเรียนรู้จากประสบการณ์ของพวกเขาด้วย) , ก็คือว่า ในหลายวัฒนธรรม เทพเจ้า(พระเจ้า)ของพวกเขา สอนจริยธรรมพวเขามาอย่างนั้น( ซึ่งเหล่าเทพพวกนั้น ก็ใช้เหตุผลทางวิทย์ และ การแพทย์ นั่นเอง ที่ตนรู้นั่นเอง )
    สำหรับ กษัตริย์ ยุคโบราณ มากๆนั้น ที่มีวัฒนธรรมการแต่งงานภายในตระกูลตัวเอง เพราะ เป็นการรักษาสายเลือด(พันธุกรรม)บริสุทธิ์ เพราะเข้าใจว่า กษัตริย์หลายตระกูลในยุคแรกเริ่มมนุษย์ เป็นบุคคลที่ถูกคัดสรรค์จากเทพเจ้า(พระเจ้า) ว่าเป็นผู้ที่ดีที่สุด ให้นำหมู่มนุษย์บนโลก น่าจะหมายถึง พันธุกรรมทั้งหมดถูกสร้างขึ้นมาโดยไม่มียีนพันธุ์ทางหรือโรคติดต่อแฝงอยู่ ดังนั้นตามทฤษฎี แม้จะแต่งงานกันในเครือญาติ ก็จะไม่มีการเกิดโรคหรือแสดงลักษณะด้อยออกมาได้เลย
    แต่ถ้าเมื่อไหร่ มีการนำเข้ายีนโรคหรือยีนพันทาง เข้าไปในวงศ์เครือญาติ(แม้เพียงคนเดียว) หลักการนี้ ก็จะไม่เหมาะสมอีกต่อไป เพราะยีนที่แย่เหล่านั้นจะกระจายตัวอย่างรวดเร็ว ถ้ายังจะแต่งงานในวงเครือญาติกันอีก

    อีกทั้ง การเสียสายเลือดบริสุทธิ์นั้น มีแรงชักจูงมาก , คือ โดยปรกติ มนุษย์เรา ถ้าเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน ฟีโรโมนจะกดพัฒนาการทางเพศ(และกลิ่นไม่ดึงดูดมากนัก) ในทางตรงข้าม ถ้าไม่ใ่ช่ในครอบครัวพ่อแม่เดียวกัน ฟีโรโมนกลับจะเร่งพัฒนาการทางเพศอย่างรวดเร็ว

    สำหรับ ในประเทศไทย , ผมว่าที่คุณไม่เห็นการแต่งงานในวงเครือญาติแบบชัดๆ เพราะคนเขียนประวัติศาสตร์ เขียนไม่ให้เรารู้สึกไม่ดี(แม้ในอดีตถือเป็นเรื่องไม่ผิด แต่คนอ่านปัจจุบัน ก็จะใช้มาตรฐานจริยธรรมปัจจุบันของตัวเอง ปรุงแต่ง ตัดสินดีหรือไม่ดี ) ต้องยกจุดดีเป็นหลัก ดังนั้นเรื่องพวกนี้คนไม่พูดถึงกันแน่ๆ
    ถ้าคุณดูดีๆ ก็จะเห็นว่า ในยุคหลังๆ เหล่ากษัตริย์ แม้ไม่แต่งงานกันเองในหมู่พี่น้องร่วมพ่อแม่ แต่ก็ยังแต่งกันในวงเครือญาติอยู่ดี เช่น ในหมู่ลูกพี่ลูกน้อง หรือ ในญาติห่างๆ แทน ( เพราะอย่างไรเสีย กษัตริย์ จะแต่งงานกับสามัญชน มันก็เหมือนลดเกียรติ์ลง แบบแปลกๆ ทะแม่งๆ , ต้องแต่งงานกับคนที่มีบรรดาศักดิ์ไม่ด้อยกว่ากันเป็นหลัก) ซึ่งก็เป็นการหลีกเลี่ยงการเกิดโรคพันธุกรรมได้ดีในระดับหนึ่งทีเดียว( แม้จะไม่ดีทีุ่สุด เหมือนกรณีแต่งงานกับคนที่ไม่ใช่ญาติกันเลย )
    แม้แต่ปัจจุบันนี้ ก็ยังเห็น การแต่งงานแบบนี้ได้ทั่วไป ในไทยเราเอง ก็ใช่จะไม่มี( แม้จะเป็นลักษณะ แต่งงานระหว่าง สองราชวงศ์สองประเทศ แต่ถ้านานๆไปเข้า รุ่นลูกก็ยังแลกเปลี่ยนการแต่งงานกันอยู่อีก มันก็ไม่ต่างกับการแต่งงานกันในเครือญาติตัวเองแล้วล่ะครับ )

    ปล. ที่เล่ามานี้ ผมใช้ความรู้ทางประวัติศาสตร์น้อยมาก คิดว่า คุณไม่ควรเอาไปอ้างอิงแบบประวัติศาสตร์
    เพราะผมคิด ตามลักษณะธรรมชาติมนุษย์เป็นหลักมากกว่า :) ( จะบอกว่าผมคิดเอง ก็ไม่ผิดนัก และแน่นอน แหล่งอ้างอิงหาไม่ได้หรอก )
    ดังนั้น อย่าเชื่อผมดีกว่า :p คิดซะว่า ผมกำลังเล่านิทาน~ ปรัมปรา

    EDIT
    ผมปรัมปรา แต่ไม่ได้มั่วในหลักการอ่ะน่ะ อิอิ

    เห็นรีพลาย ด้านบนผม ^ แล้วนึกขึ้นได้ว่าจะพูดอะไร
    หนังสือ ไอสไตน์พบพระพุทธเจ้าเห็น เป็นหนังสือที่ใช้อ้างอิงข้อความที่ยกมาจากประไตรปิฎกได้ครับ แต่ ไม่สามารถใช้อ้างอิงความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์ได้ คนเขียนถึกทักเอาเอง นักวิทย์อ่านเองยังไม่เข้าใจที่เขาพูดซักเท่าไหร่เลย แล้วจับจุดผิดในการให้เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ได้หลายจุดมากๆ

    ดังนั้น อ่านหนังสือเล่มนี้ อ้างอิงเนื้อหาอภิธรรมได้ แต่ อ้างอิงเนื้อหาวิทย์ไม่ได้น่ะครับ
  11. dominica

    dominica สิ่งมีชีวิตอ้วนกลม

    EXP:
    1,818
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    36
    อืม.... นึกอะไรออกอีกนิดหน่อย

    --เจ๊ยซ้ำ(รึเปล่า) ขอโทษค่ะ---

    เราจะมองเห็นวัตถุที่ไม่สามารถส่องแสงเองได้ ต่อเมื่อมีแสงไปตกกระทบมัน แล้วสะท้อนเข้าตาเรา
    ต้นกำเนิดแสง ----( nปี)-----> ตกกระทบ [วัตถุ] /// แสงสะท้อนจากวัตถุ[วัตถุ]----(nปี)----> [ตา] = ภาพสะท้อนดีเลย์
    เวลาที่เราเห็นก็คือ ราวๆ 2 เท่า ละมั้งจากเวลาที่แสงออกเดินทางจากต้นกำเนิด

    อืม....คือภาพดาวที่เราเห็นเป็นภาพ ตอนแสงเดินทางไปถึงดาวเคราะห์ดวงนั้น แต่มันเกิดขึ้นเมื่อ 1เท่าตัวที่แล้วของระยะห่าง น่ะค่ะ
    ถ้าสงสัย หรืองงก็ลองเปิดๆ พวกหนังสือวิทย์หาภาพประกอบละกาน เรื่องของแสงและการมองเห็น

    ทั้งนี้ แสงจากดาวฤกษ์ต่างๆ( เช่นดวงอาทิตย์) ก็คงส่องไปกระทบมันตลอดแหละ
    แล้วมันก็คงสะท้อนออกมาตลอดเวลา ไม่ต่างจากโต๊ะหรือเก้าอี้ที่เรามองเห็นตลอดเวลา
    แต่ก็เป็นภาพอดีตอยู่ดีนะ แต่อดีตไม่กี่เสี้ยววิ เพราะอยู่ใกล้เรา เลยเท่าๆกับปัจจุบัน ไม่คลาดเคลื่อนมาก
    เพราะงั้นก็เลยไม่ว่าจะมองดาวไปตอนไหน ก็เห็นภาพมันได้จ้า

    อ้อ... ถ้าเราจะเห็นเฉพาะเวลาเราอยากเห็น เหมือนเอากล้องส่องถึงเปิดสวิตช์... เราต้องเป็นแหล่งกำเนิดแสงเองน่ะ
    นึกภาพอยู่ในห้องมืดๆ ที่ไม่มีแสงเลยนะ แล้วเราส่องไฟฉายไปบนลูกบอล เราถึงมองเห็นบอลจ้า
    ต่างจากการโดนแสงส่อง และสะท้อนอยู่ตลอดเวลานะ

    ส่วนเรื่องอารยธรรมแถบลุ่มแม่น้ำไทกริสยูเฟรติส นี่ เคยจำได้ว่าเป็น แหล่ง อารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดของมนุษย์น่ะค่ะ เลยคิดว่าคงเป็นอาณาจักรแรกด้วย

    ปล. ไม่ชัวร์อะไรทั้งสิ้นนะคะ แหะๆ เรียนศิลป์เหมือนกัน แต่จำได้ลางๆว่าเคยเรียนพวกนี้มาบ้างถ้าผิดก็ขออภัยล่วงหน้าค่ะ
    edited : พิมพ์ผิดบาน

    อิอิ ทนนั่งจามไม่ไหวหรอคะ กระทู้นี้มีแต่คนพูดถึงแสง
    v
    v
  12. sankkid

    sankkid New Member

    EXP:
    147
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    ... ว่าจะมาใช้มุขเก่า "พี่sonic สุดหล่อ" ซะหน่อย... :( อดเลย ตอบกันหมดแล้ว
  13. Liefellen

    Liefellen 情報屋

    EXP:
    335
    ถูกใจที่ได้รับ:
    1
    คะแนน Trophy:
    38
    ตอบขอ้แรกด้วยภาษาที่ง่ายที่สุด

    แสงทำงานทุกวินาทีครับ มันไม่ได้รอให้เรามองแล้วค่อยส่องมามันส่องมาอยู่แล้ว แค่นั้นเอง
  14. romeo

    romeo New Member

    EXP:
    98
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    200 ปีแสงคือระยะทางที่แสงใช้เวลา 200ปีใหนการเดินทางครับ

    เพราะฉะนั้นถ้าดาวนั้นอยู่ห่างออกไป 200ปีแสง แสดงว่าแสงที่คุณเห็น ณ

    ปัจจุบันคือแสงที่เดินทางมาจากดาวนั้นเมื่อ 200 ปีที่แล้วครับ :D
  15. Avatar

    Avatar Member

    EXP:
    76
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    6
    หมวดวิทยาศาสตร์
    - ข้อแรกนะครับ
    ดาวที่เราเห็นอยู่ตอนนี้คือดาวในอดีตเมื่อ x นาที ที่แล้ว
    ส่วนตำแหน่งของดาวในปัจจุบัน มันจะปรากฏบนท้องฟ้าในอีก x นาทีข้างหน้าครับ
    (x คือเวลาที่แสงใช้เดินทางจากดาวดวงนั้นมาที่โลก)
    แสง จำเป็นต้องใช้เวลาเดินทางครับ
    (ซึ่งจริงๆแล้วทุกสิ่งทุกอย่างในโลกก็ต้องใช้เวลาในการเดินทางหมดทุกอย่างครับไม่มีอะไรที่เป็น instant หรอกครับ ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึก ความเจ็บปวดหรืออะไรก็ตามที
    อธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับความเจ็บปวด เวลาที่เราหยิกตัวเอง จะมี process ที่เรารับรู้ความเจ็บปวด ซึ่งใช้เวลาเดินทางจากจุดที่เราโดนหยิกไปสู่สมอง เหมือนกันนะครับ ไม่ใช่ว่าหยิกปุ๊ปเจ็บปั๊ปเลยนะ แต่ว่าเวลาที่ความรู้สึกเจ็บมันวิ่งผ่านเส้นประสาทไปถึงสมองนั้นเร็วมากครับจนแทบเหมือนรู้สึกในทันที)
  16. naiamibios

    naiamibios ชีวิตไร้ตัวตน

    EXP:
    350
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    16
    หมวดประวัติศาสตร์นะครับ อันนี้สายตรงเลย ก็พอๆรู้มาได้นิดๆหน่อยๆ

    ข้อ 1 เรื่องของการแต่งในเชื้อสายตนเองนั้น ตอบตรงๆว่าไม่ทราบว่ามันเริ่มมาจากเมื่อไหร่ บางทีอาจจะมาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์แล้วก็ได้ เพราะระบบการปกครองที่มีมาแต่สมัยโบราณก็คือ ผู้ที่แข็งแรงกว่า เข้มแข็งกว่า แต่เนื่องจากมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีการเรียนรู้ และมีการพัฒนาตนเอง ก็เริ่มจะศึกษาถึงสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว คุณจึงเห็นว่าสมัยแรกๆชาวเผ่าจึงบูชาไฟ บูชาเจ้าป่าเจ้าเขา และตั้งตัวเองว่าเป็นสมมติเทพ สืบทอดอำนาจมาจากสวรรค์ ทั้งนี้การอ้างเรื่องเหนือธรรมชาติ มักจะเป็นสิ่งที่ทำให้บุคคลอื่นนั้นเคารพและเชื่อฟังได้ง่าย แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานๆความคิดของคนก็เปลี่ยน อย่างเช่นเรื่องของการแต่งกันกับเชื้อสายตนเอง ก็จะเริ่มมองเห็นแล้วว่า แต่ละคนมีอายุสั้น ไม่ก็มีแนวโน้มไม่ค่อยสมประกอบ อ่อนแอ ขาดความเป็นผู้นำ ส่งผลให้แต่ละราชวงศ์สืบทอดอยู่กันได้อย่างไม่ยาวนานนัก ก็ต้องล่มสลายไป ส่วนมากจะอยู่ได้ราวๆ 300 ปี
    ที่เรียกๆกันระบบเทวราชา และผู้ที่มาสร้างราชวงศ์ใหม่ก็มักจะเป็นคนจากเชื้อสายอื่น ที่มีแนวความคิดแตกต่างจากเดิม บางคนอาจจะฉลาดกว่าเดิม บางคนอาจจะโง่กว่าเดิม ซึ่งก็แล้วแต่ว่าจะเป็นใคร เท่าที่ยังพบๆทราบๆ รู้สึกจะเป็นในช่วงจักรวรรดิโรมัน ที่ยังมีเรื่องการแต่งในเชื้อสายตนเองอยู่ แต่หลังจากโรมันแล้ว มันก็มีหลักการเรื่องของศาสนาเข้ามากำหนดและมีส่วนในแต่ละที่ พอมีศาสนาเข้ามาเกี่ยวมันก็เริ่มที่จะถูกกำหนดรูปแบบต่างๆแล้ว สาเหตุก็เพราะกฏนั้นถูกเขียนมาโดยพระ ซึ่งสมัยก่อนพระเป็นบุคคลที่มีการศึกษาสูงที่สุดในระบบ เพราะว่าวันๆไม่ต้องทำอะไรนอกจากคัดลอกและอ่านตำรา ไม่ต้องไปยุ่งกับการปกครองและการสู้รบ สถาบันศาสนาจึงมีบทบาทมากในช่วงหลังการสิ้นสุดยุคโรมัน และเป็นกลุ่มอำนาจใหญ่ในช่วงเวลาที่วุ่นวาย ซึ่งก็รู้จักกันดีในชื่อของยุคมืด

    ข้อ 2 เรื่องระบบเทวราชา เท่าๆที่เคยศึกษามา รู้สึกจะเริ่มมาจากอารยธรรมแถวๆอินเดีย นี่แหละ ศาสนาฮินดู-พราหณ์ ที่มีต้นกำเนิดมากกว่า 2550 ปี (ก่อนอียิปต์ ก่อนกรีกนะครับ) ทำให้คนเชื่อว่า บุคคลที่เกิดมาจากอวัยวะส่วนต่างๆของเทพนั้น จะมีหน้าที่ และมีตำแหน่งที่แตกต่างกัน ส่งผลไปทั่วทั้งระบบการปกครอง การค้าขาย และการใช้ชีวิต

    พอดีเรื่องพวกนี้มันไม่ค่อยจะมีความสำคัญนักในชีวิตประจำวัน ก็เลยไม่ค่อยได้ศึกษาให้ละเอียดมากน่ะครับ ลำพังจำเรื่องที่เกิดในช่วงเวลา 2-300 ปีที่ผ่านมา ก็มีมากมายแล้ว
  17. shuu

    shuu Banned

    EXP:
    1,993
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    กระทู้เครียดจังแหะ ^^" ตั้งแต่ Deto ลงมารู้สึกมันเนื้อหาเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ
  18. citrus

    citrus New Member

    EXP:
    608
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    นั่นสิ ดูเครียดกันจัง.... แต่เรื่องหนังสือที่เรายกมานี้ก็นะ... ไม่รู้ในแง่ของหลักวิทยาศาสตร์แบบฮาร์ดคอร์เท่าไหร่หรอกนะคะ (เพราะเราเรียนสายศิลป์หาอ่านได้แค่หนังสือที่กับนิตยสาร ขายทัวไปพวกพูดถึงทฤษฎีต่างๆอ่ะค่ะ) แต่ว่าถ้ามองในแง่ของความเข้าใจเบื้องต้นของคนที่ไม่เคยเรียนมาแบบเข้มข้น คือมันก็ช่วยให้อ่านหนังสืออื่นๆจำพวกนี้รู้เรื่องมากขึ้นอ่ะค่ะ ไม่มีอะไรมาก
  19. flamefox

    flamefox Well-Known Member

    EXP:
    2,755
    ถูกใจที่ได้รับ:
    4
    คะแนน Trophy:
    88
    :D เห็นด้วย กระทู้นี้มาตามอ่านอย่างเดียวเลยแหะ : )
  20. spao99

    spao99 Detonator

    EXP:
    810
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    36
    อ่าว กรรม ^^; ผมกลายเป็นผู้นำพาความซีเรียสมาให้กระทู้เหรอ......... -_-;

    [action]แย่แล้ว.... ถ้าเป็นแบบนี้ ... สาวๆเมินแย่ T^T[/action]
    แต่เอาน่า จขกท. อยากได้ความรู้ เราก็จัดให้สิ :E หุๆๆ

    EDIT
    เห็น sig ตัวเองแล้ว เข้ากันดีจัง คุ คุ คุ คุ :E
  21. terasphere

    terasphere Poets

    EXP:
    792
    ถูกใจที่ได้รับ:
    4
    คะแนน Trophy:
    38
    ตอบเรื่องเทวราช หลักฐานเก่าแก่สุดที่เราพบ คืออารยธรรมอัสซีเรีย และกษัตริย์พระองค์แรกคือ กิลกาเมช ครับ
    ก่อนหน้านั้นจะเป็นรัฐนครปกครองโดยนักบวช
  22. aurora

    aurora คาตะโอโม่ย

    EXP:
    1,631
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    86
    อ๋า.......

    ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณมากๆ ครับสำหรับทุกๆ คนที่เข้ามาช่วยตอบคำถาม (ตอนแรกคิดว่าจะร้างซะแล้ว 555+)

    สำหรับคำถามข้อแรกนั้น.....ผมกระจ่างชัดแจ้งแล้วครับ :confused: แสงทำงานตลอดเวลาอย่างนี้นี่เอง ภาพที่เราเห็นที่จริงก็คือ ภาพเก่าของแสงที่ส่งมาถึงเมื่อนานมาแล้วสินะ ถ้าเช่นนั้น..... พวกเนบิวล่าต่างๆ ที่อยู่ห่างออกมาเป็นพันๆ หมื่นๆ ปีแสง....ภาพที่เราเห็นตอนนี้......ป่านนี้ที่แท้จริงแล้วอาจไม่มีอยู่แล้วก็ได้สินะ.....

    สำหรับข้อสองและสามนั้น.......

    เรื่องประเพณีแต่งงานกันในสายเลือด เท่าที่อ่านดู ดูเหมือนว่าประเพณีนี้จะค่อยๆ หายไปอย่างช้าๆ ใช่ใหม่ครับ คือไม่มีเหตุการณ์สำคัญๆ ที่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อประวัติศาสตร์ (เช่นการเลิกทาส ที่ทำให้เกิสงครามกลางเมือง) แล้วระยะเวลาที่แน่นอนที่ประเพณีนี้หายไปก็ยังไม่เป็นที่กระจ่างชัดนัก (เข้าใจว่า ในแต่ละอารยธรรมช่วงเวลาย่อมไม่เท่ากัน แต่ที่ผมต้องการคือ "ครั้งแรก" ครับ)

    ค่อนข้างผิดคาดนิดหน่อย เพราะประเพณีที่มีมานมนาน ซ้ำยังเป็นประเพณีของกษัตริย์ จะหายไปโดยที่ไม่เกิดเหตุการณ์อะไรที่มีผลกระทบรุนแรง

    เรื่องคำสอนจากเทพเจ้า....อันนั้นผมยังมีข้อโต้แย้งนิดหน่อย....เพราะเทพเจ้าตามตำนานของอียิปต์ กรีก หรือโรมัน มิได้สอนหรือให้แง่คิด/ห้ามเกี่ยวกับการมีความรักกันในสายเลือดเดี่ยวกันเลยแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำ แม้แต่เทพเจ้ายังกระทำเสียเองด้วย โดยเฉพาะเทพเจ้ากรีกที่มักจะทำตัวผิดศิลธรรมอยู่บ่อยๆ เช่น เทพีแห่งความงามอโฟรไดท์....ที่มีสามี สามีน้อย กิ๊ก ชู้ เต็มเพียบ..... เทพอียิปต์องค์หนึ่งที่มีตำนานว่าหลังชิงบัลลังก์จาก ผู้เป็นพ่อแล้วก็กระทำการข่มขืนแม่ตัวเอง.....เนื่องจากหลงรักมานาน (จากหนังสือตำนานอียิปต์โบราณฉบับสมบูรณ์) ยังมีเทพอีกหลายๆองค์ ที่แม้ว่าตนนั้นมีคู่สามี-ภรรยาอยู่แล้ว (ซึ่งก็แน่นอนว่า มีทั้ง พ่อ+ลูก พี่+น้อง อา+หลาน หลาน+ลุง หรือแม้กระทั่ง ยาย+หลาน= =) ก็ยังมิวายมีชู้อีกต่างหาก = =

    ทั้งที้ทั้งนั้นก็ต้องขอบอกก่อนว่า วัฒนธรรมของฝั่งตะวันตกค่อนข้างแตกต่างกับเรามาก คือพวกเขาอาจไม่คิดติดใจเรื่องรักๆ ใครๆ มากเท่าเรา ดังนั้นจึงอย่าคิดมาก.....!!

    ส่วนเรื่องกษัตริย์สมมติเทพ กลับไปค้นคว้ามาเรียบร้อย ทว่า สิ่งที่ผมค้นคว้าได้ ไม่รู้ว่าจะตรงกับสิ่งที่คนอื่นว่ามาหรือไม่ เพราะประวัติศาสตร์ไม่ใช่สิ่งแน่นอน มีการคลาดเคลื่อนและเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ตามแต่หลักฐานที่ค้นพบได้ แต่ส่วนใหญ่แล้วก็ค่อนข้างจะใกล้เคียงกัน...

    ราว 2,300 ปีก่อน ค.ศ. นักรบชาวเซมิติกชื่อซาร์กอน ได้ทำการพิชิตนครต่างๆ ในเมโสโปเตเมีย รวมทั้งสุเมเรียนได้ทั้งหมด เป็นการรวบรวมอาณาจักรนี้เป็นปึกแผ่นได้เป็นครั้งแรก เรียกว่า อาณาจักรอัคคัด และการปกครองของอาณาจักรอัคคัดนี้ ดำเนินไปตามแบบเทวราชา แนวคิดนี้ได้มาจาก ชาวสุเมเรียนดั้งเดิมที่กำหนดให้กษัตริย์ทรงมีฐานะเป็นผู้รับใช้พระผู้เป็นเจ้า แต่เมื่ออำนาจของกษัตริย์มีมากขึ้น อาณาจักรกว้างขวางมากขึ้น อำนาจที่ต้องใช้ในการควบคุมก็ย่อมต้องมีมากขึ้น จากกษัตริย์ทรงมีฐานะเป็นผู้รับใช้พระผู้เป็นเจ้า กลายมาเป็นกษัตริย์ผู้มีฐานะเป็นตัวแทนของพระเจ้า
    *****อ้างอิงจากหนังสือ อารยธรรมตะวันตกยุคโบราณ ของ มัทนา เกษกมล หน้า 56-57

    จากข้อความข้างบน พอจะบอกได้ว่า กษัตริย์เทวราชาคนแรกของโลก คือ พระเจ้าซาร์กอน แห่งอาณาจักรอัคคัด ในอารยธรรมเมโสโปเตเมีย

    ทว่า ช่วงเวลาของอารยธรรมเมโสโปเตเมียกับอียิปต์โบราณนั้นคาบเกี่ยวกันอยู่ นักวิชาการบางคนก็ว่าอียิปต์นั้นเจริญอารยธรรมมาก่อนเมโสโปเตเมีย แต่ก็มีหลายคนแย้งว่าเมโสโปเตเมียนั้นเจริญขึ้นมาก่อนอียิปต์ ซึ่งยังหาข้อสรุปไม่ได้
  23. cdaz

    cdaz นักเล่นแร่ แปรภาพ

    EXP:
    2,015
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    86
    โห.. เจ้าของกระทู้ แน่นปึ้กเชียว
  24. storboy

    storboy Active Member

    EXP:
    585
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    36
    ขอสูบความรู้ละกันนะ
  25. spao99

    spao99 Detonator

    EXP:
    810
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    36
    อืม

    จขกท. แ้ย้งมาก็ถูกครับ :)

    เผอิญว่า
    - พวกเทพฯ มีหลายองค์ , หลายก๊ก
    - พวกเทพฯ องค์เดียวกัน แต่ถ้าต่างเวลากัน ก็อาจสอนไม่เหมือนกัน

    และในยุคแรกเริ่มมนุษย์นั้น( อย่างที่ จขกท. ว่ามาคือแถวๆ แอฟริกา ตะวันออกกลาง ) ก็ยังไม่มีข้อห้ามเรื่องการแต่งงานในครอบครัวเดียวกัน ( อียิปต์ ชัดเจนที่สุด ) ซึ่งก็ด้วยเหตุผลของการรักษาสายเลือดบริสุทธิ์

    ส่วนในระยะหลัง เรื่องการไม่ให้แต่งงานในสายเลือดเดียวกัน มีที่มาจากศาสนาแน่นอนครับ ( เพราะถ้าคุณ จขกท. บอกให้ตัดเรื่อง ความรู้ทางพันธุศาสตร์ , รวมถึงประสบการณ์ค้นคว้าสังเกตของพวกมนุษย์ยุคนั้นเองแล้ว ( เป็น Assumption ที่ จขกท. กำหนดมา) ก็เหลือแหล่งเดียว คือ คำสอนจากเบื้องบน , อันที่จริง ความรู้ทางคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ ดาราศาสตร์ หลายอย่าง เหล่าเทพฯ ก็ถ่ายทอดให้มนุษย์ที่ถูกเลือกไว้หลายอยู่ , แน่นอนว่า ต้องระบุช่วงเวลา และ ตัวตนของเทพฯ ด้วย เพราะมีแค่บางองค์เท่านั้นที่ทำแบบนั้น )

    แต่ก็อย่างว่า ผมก็ไม่ได้เอาความรู้ประวัติศาสตร์เพียวๆมา ถ้าเป็นเรื่องแนวนี้แล้วล่ะก็....มีคนๆนึง ที่น่าจะให้คำตอบได้ชัดๆ....

    ผมว่า ต้อง summon ท่านพี่ Sonic สุดหล่อ มาบรรยายซะแล้ว :E

Share This Page