วันสิ้นโลก

กระทู้จากหมวด 'Fiction' โดย aquafay, 19 ธันวาคม 2007.

  1. aquafay

    aquafay Member

    EXP:
    97
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    6
    WARNING : เนื้อหาในเรื่องสั้นเรื่องนี้อาจมีเนื้อความที่กระทบรุนแรงต่อความเชื่อเกี่ยวกับพระเจ้า และเนื้อหาในพระคัมภีร์ไบเบิลฉบับพันธะสัญญาเก่า โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน ผู้ที่อ่อนไหวเกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่สมควรอ่านเป็นอย่างยิ่ง











    วันสิ้นโลก



    __________ผมเจอเขาครั้งแรกในวันหิมะตก


    __________ อากาศหนาวเหน็บเสียดแทงถึงขั้วกระดูก เกล็ดหิมะโปรยปรายจากฟากฟ้า ครั้งแรกในกรุงเทพมหานคร ผู้คนตื่นตะลึงพรึงเพริด กรูกันออกจากเรือนพำนักของตนเองยิ่งกว่านกแตกรัง ท้องถนนเนืองแน่นด้วยหลากหลายพันหมื่นชีวิต การจราจรเรียกได้ว่าตายสนิท เวลานั้นเองที่ผมเห็นเขา


    __________วินาทีแรกที่เราจ้องตากัน คล้ายกาลเวลาหยุดชะงักงัน กระทั่งเข็มวินาทีที่ดังสะเทือนลั่นข้างใบหูยังเงียบหาย ผมยืนอยู่ในร้านนาฬิกา เขายืนอยู่บาทวิถีฝั่งตรงข้ามถนน ทั้งที่คนมากมาย แต่พวกเราก็ยังเจอกัน


    __________ผมไม่แน่ใจว่าผมมองเขาอยู่ ผมมองใครกันอยู่หรือ แรกที่เห็นเขา เขาดูแก่ชราและอัปลักษณ์ แต่ทันทีที่คิดเช่นนั้น เขาก็กลับดูเยาว์วัยและหล่อเหลา รอยยิ้มระรื่นบนริมฝีปาก ดวงตาเป็นสีทองอย่างแสงอาทิตย์ยามโพล้เพล้ แสงอาทิตย์ในยามสายัณห์ที่นภาอาบไล้สรรพสิ่งจนแลเป็นสีเหลืองซีดเหมือนภาพถ่ายใบเก่า ดวงตา นั่นเป็นสิ่งเดียวเกี่ยวกับตัวเขาที่ผมรำลึกได้ ส่วนที่เหลือนอกนั้นเลอะเลือนบิดเบี้ยว


    __________คุณยายเรียกผมจากในร้าน สั่งให้ผมหยิบร่มและเสื้อกันหนาวให้แก เพราะแกจะออกไปดูหิมะข้างนอก ผมหันไปรับคำกับคุณยาย เหลียวกลับมาหาเขาอีกที เขาก็หายไปแล้ว









    __________ผมเจอเขาครั้งที่สองในวันฝนตก


    __________หิมะตกแค่วันเดียว คือวันหนึ่งในหน้าหนาวที่อุณหภูมิติดลบ แต่หลังจากวันนั้น ละอองน้ำแข็งที่สุมตามทางก็หายไปอย่างอัศจรรย์ ท้องฟ้ามืดหม่น ละอองฝนโปรยปรายจากฟากฟ้า ไม่ได้ตกหนัก แต่ตกต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน เม็ดฝนละเอียดยิบ ซ้ำร้ายยังหนาวยะเยือกราวละอองน้ำแข็ง วันนี้เป็นวันแรกที่กรุงเทพฯ ตกในความมืด ถนนร้าง รอบข้างว่างเปล่า ผู้คนเก็บตัวในบ้าน หวาดกลัวกับอะไรบางอย่างที่แม้ไม่อาจมองเห็นด้วยตา แต่รับรู้ได้ด้วยลางสังหรณ์


    __________ผมเป็นคนเดียวที่ออกจากบ้าน กิจวัตรยามเช้าทุกวันของผมก็เป็นแบบนี้ ตื่นเช้ามา ออกไปซื้อของในมินิมาร์ทไม่ไกลจากร้านนาฬิกาของคุณตา แต่เมื่อไปถึง ก็พบว่าร้านประจำของผมมืดสนิท จะว่าไป เดินมาจนถึงนี่ ไม่มีร้านไหนเปิดเลยสักร้าน


    __________แล้วผมก็เจอเขาอีก


    __________คราวนี้ เขาอยู่บาทวิถีฝั่งเดียวกับผม ผมมองเขานิ่งงัน เขาเดินมาหาผม ดูตัวไม่สูงกว่าผมเท่าไหร่ ที่จริง เราสูงไล่เลี่ยกัน ดวงตาของเขายังเป็นสีทอง รอยยิ้มก็ยังเป็นรอยยิ้มเดิม


    __________“นึกว่าจะไม่ออกมาซะแล้ว” เขาว่า ยิ้ม ยิ้มราวเรารู้จักกันมา... นิรันดร์ “ผมรอคุณอยู่... นานมาก... ที่จริง ผมก็รู้หรอกว่าคุณจะออกมาในวันนี้ เพราะมันเหมือนเป็นชะตาที่เราต้องเจอกัน ปากกาพระเจ้าลิขิตไว้อย่างนั้น”


    __________ตลกไหม เขาถาม


    __________ตลกร้ายนะ พระเจ้าออกจะรวยอารมณ์ขัน พวกเราโชคร้ายเอง เจอพระเจ้าแบบนี้


    __________ดวงตาสีทองของเขาลึกล้ำโดยแท้จริง คำพูดของเขาคล้ายถูกสายธารชะหายไป กลายเป็นคำแว่วสะท้อนไกลแสนไกล ผมตกในสีทองเจิดจ้านั่น กลางความมืดมิดของมหานครที่กำลังดับสลาย เขาคือสัจจะ เขาคือแสง คือเปลวเทียนสุกสว่าง แต่เขาเป็นใครกันล่ะ แม้พยายามจดจำรายละเอียดอื่นนอกจากดวงตา แต่ก็คล้ายรายละเอียดเหล่านั้นบิดเบี้ยวเลอะเลือนไปทุกวินาทีที่พ้นผ่าน ชั่วครู่แรก เขาดูเป็นเด็กหนุ่มวัยเดียวกับผม แต่แล้ว ก็กลับดูเป็นผู้ใหญ่เคร่งขรึม และทันทีที่คิดว่าเขาดูมีอายุ เค้าโครงหน้านั้นก็กลับดูเปี่ยมล้นด้วยเยาวภาพ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยน ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเนิ่นนานเท่าใด คือดวงตา กับรอยยิ้ม


    __________“คุณตัวสั่นเป็นลูกนกเลย” คำนี้คล้ายผุดพรายเข้ามาในกระแสจิตสำนึก เขายังคงยิ้มละไม “หาที่หลบฝนกันดีกว่า หนาวไม่ใช่หรือ?”


    __________ไม่


    __________ไม่หนาวเลย


    __________เพราะเวลาเขาอยู่ใกล้ เหมือนไม่มีอะไรมาแตะต้องทั้งเขาและผมได้เลยแม้แต่นิดเดียว






    __________พวกเรานั่งหลบฝนอยู่ที่ขั้นบันไดของอาคารปิดตายแห่งหนึ่ง ใต้ชายคาที่ยื่นเงื้อม รอยปูนแตกร้าวเห็นเป็นปื้นด่างดวงสีเทา กระทั่งเนื้อปูนสีขาวยังดูหม่นเศร้าใต้ผืนฟ้าที่กำลังร่ำไห้ ฉับพลันนั้น ผมสังหรณ์ใจว่าฝนที่ตกลงมาจะไม่มีวันหยุด เชื่องช้า สงบเงียบ นิ่งงัน ไม่ได้ตกหนัก แต่ก็ตกไม่หยุด


    __________“คุณรู้อะไรไหม?” เขาถามขึ้น ไม่ได้มองผม แต่ทอดสายตาเหม่อลอยไปข้างหน้า “ในวันที่พระเจ้าสร้างโลก ฝนก็ตกแบบนี้นะ หนาวเย็นจับใจ ไม่มีวันหยุด จนน้ำท่วมสูงถึงฟ้า ถึงตอนนั้นแหละ เปลวไฟแรกถึงถือกำเนิด และจากนั้นก็เป็นแผ่นผืนดิน พระแม่ธรณีลืมตาขึ้นอย่างเจ็บปวดอยู่ใต้น้ำ อ้าปากสูดลมหายใจ ดิ้นรนจนหลุดพ้นจากพันธนาการน้ำนั่น ออกมาสู่อากาศธาตุได้... แล้วแสงสว่างก็ส่องทะลุเมฆที่ปิดผืนฟ้าไว้ ตอนนั้นแหละ ที่พวกเรารับรู้ได้ถึงแสงอาทิตย์แรก”


    __________ผมมองเขา ไม่รู้ควรจะพูดอะไร ก็เลยถามออกไป “ทำไมถึงรู้ล่ะ? คุณอยู่ในช่วงเวลานั้นหรือไง?”


    __________เขายิ้ม ยิ้มอีกแล้ว ทันทีนั้น ผมรู้สึกชิงชังรอยยิ้มของเขา ยิ้มคล้ายไม่รู้สึกรู้สากับอะไรทั้งสิ้น “ผมอยู่ตลอดเวลา อยู่ตั้งแต่ก่อนพระเจ้าคิดแผลงๆ วางแผนสร้างมนุษย์อย่างพวกคุณขึ้นมาเสียอีก จะว่าไป ตอนนั้น คิดอะไรอยู่ก็ไม่รู้ ทำไมถึงคิดจะสร้างสิ่งมีชีวิตอย่างพวกคุณขึ้นมาได้นะ พวกคุณมีปัญญา แต่ไม่รู้จักใช้ปัญญาให้เกิดประโยชน์ ตรงข้าม กลับใช้ปัญญาเพื่อขวนขวายหาความสุขที่ไม่จีรังให้กับตนเอง พวกคุณเข่นฆ่ากันเอง ขณะเดียวกันก็เข่นฆ่าโลกที่สร้างพวกคุณมา”


    __________จะว่าไป เป็นแบบนั้นก็ดีแล้ว เขาเสริม


    __________ถึงวันนี้ จะได้รู้ไว้ ดิ้นรนยังไง ก็ไม่พ้นความตายหรอก จะช้าจะเร็วก็ต้องตาย สร้างยาวิเศษมากี่ขนาน ต่ออายุตนเองให้ยืดยาวเป็นร้อยปี ยังไงก็ต้องตาย


    __________ผมถามเขา “โลกจะถึงกาลดับสลายแล้วหรือ?”


    __________เขาหันมามองผม ครานี้ ดวงตาสีทองไม่ได้เวิ้งว้างลึกล้ำเหมือนมหาสมุทรไพศาลอีกแล้ว หากดูเป็นดวงตาของสิ่งมีชีวิตมีเลือดเนื้อ เขาเริ่มดูมีตัวตนขึ้นมาเป็นครั้งแรกก็ตอนนั้น


    __________“ถ้าผมตอบว่าใช่ คุณจะทำยังไง” เขาถามผม “จะกลับไปหาคุณตาคุณยายที่เลี้ยงดูคุณมาไหม? ผมให้โอกาสคุณแล้วนะ”


    __________ผมนิ่งคิด


    __________“ถ้าเกิดผมเลือกจะกลับไป คุณจะทำยังไงล่ะ? ตามผมไปหรือ?”


    __________เขาสั่นศีรษะ “ผมก็จะให้เวลาคุณหนึ่งวัน พรุ่งนี้ คุณต้องมาเจอผมที่เดิม ที่นี่”


    __________ผมกวาดตามองรอบข้าง บริเวณนี้เป็นบริเวณที่ผมคุ้นเคย แต่ไม่ใคร่มาเยือนบ่อยนัก ในวัยเด็ก ผมเคยมีเพื่อนสนิทหนึ่งคนอาศัยในละแวกนี้ แต่เขาย้ายสำมะโนครัวไปอยู่เสียที่อื่น ข่าวล่าสุดที่ได้ยินเกี่ยวกับเขา คือเขาตายแล้ว ตายเพราะถูกพ่อบังเกิดเกล้ายิงเข้าที่ศีรษะสิบเอ็ดนัด แหลกละเอียดไม่มีเหลือ พ่อของเขายังยิงภรรยา ยิงลูกชายคนเล็กที่เป็นน้องของเพื่อนผม และสุดท้ายก็แขวนคอตาย เพราะไม่มีกระสุนเหลือให้ยิงตนเอง


    __________ผมหันกลับไปหาเจ้าของดวงตาสีทอง จู่ๆ ความรู้สึกก็ท่วมท้นในใจ บอกไม่ถูกว่าตนเองหวาดกลัว หรือเวทนาสงสารกันแน่ ผมโพล่งออกไป “พาพวกท่านมากับผมไม่ได้หรือ? ทำไมผมต้องไปกับคุณแค่คนเดียว?”


    __________เขาชะงักงัน มองผมคล้ายประหลาดใจ เสแสร้ง ประหลาดใจ แล้วก็แย้มยิ้ม


    __________“ไม่ได้หรอก”


    __________ก็ผมเลือกคุณแค่คนเดียว เขาว่า


    __________มันต้องเป็นแบบนี้แหละ


    __________ปากกาพระเจ้าลิขิตไว้ว่าอย่างนั้น ผมบอกคุณแล้วว่าพระเจ้าน่ะรวยอารมณ์ขัน










    __________ผมเจอเขาเป็นครั้งที่สามในวันที่มืดมิด


    __________มันมืดมิดจริงๆ จนผมนึกกลัว นาฬิกาข้อมือบอกเวลาเจ็ดโมงเช้า แต่รอบด้านยังคล้ายถูกครอบงำโดยมนตราแห่งรัตติกาล ละอองฝนที่หนาวเหน็บราวใบมีดหล่อหลอมจากน้ำแข็งนั่นยังโปรยปรายไม่หยุด ตอนนี้ ท้องถนนเริ่มเจิ่งนองไปด้วยน้ำ ผมสังหรณ์ใจว่าหากผมไม่ได้ใส่รองเท้าหุ้มข้อมิดชิดคู่นี้ และปล่อยให้เท้าเปล่าเปลือยสัมผัสน้ำนั่น เท้าของผมต้องแข็งเป็นน้ำแข็งแน่ เซลล์ทุกเซลล์คงตายในฉับพลัน


    __________เขารอผมอยู่ ท่านั่งท่าเดิม ราวเขาไม่เคยลุกจากที่นั่นเลย ผมรีรอครู่หนึ่งก็เดินไปหาเขา และนั่งลงตรงตำแหน่งเดิม เขายิ้มให้


    __________“พวกท่านว่าไงบ้าง?” เขาถาม


    __________ผมยักไหล่


    __________“ไม่ได้บอกว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมแค่กลับไป แล้วพอวันนี้ก็บอกพวกท่านว่าจะออกไปเดินเล่นข้างนอก”


    __________“ไม่คัดค้านหรือ?”


    __________“คัดค้านอะไร?”


    __________“ผมหมายถึง พวกท่านไม่คัดค้านหรือไงที่คุณจะออกมานอกบ้าน?”


    __________“ก็... คัดค้านนะ” ผมลังเล ไม่รู้ควรตอบอย่างไร “คุณตาบอกผมว่าช่วงนี้อะไรมันรวนเรแปรปรวนไปหมด น่ากลัวเลยไม่อยากให้ออกมา ส่วนคุณยายน่ะกลัวมาก ถึงขั้นผวาเลยล่ะ คุณยายบอกว่า... กลัวไม่ได้เจอผมอีก”


    __________เขานิ่งไป ประโยคต่อมาเหมือนพึมพำ “...เพศหญิงลางสังหรณ์สูงเหมือนกันนะ ตั้งแต่อิวา”


    __________“อิวา?” ผมทวนคำพูดเขา ชื่อคุ้นหูอย่างประหลาด


    __________“อิวา” เขาย้ำ “ผู้หญิงคนแรกของโลก ไม่สิ คนที่สองถึงจะถูก คนแรกชื่อลิลิธ แต่ไม่นับเป็นมนุษย์ เพราะเธอไม่เชื่อฟังพระเจ้า เลยถูกเนรเทศ เธอลงนรกไปสมสู่กับพวกปิศาจ เพราะงั้น ถึงจะไม่มีอะไรใกล้เคียงกับปิศาจ แต่เธอก็นับเป็นปิศาจตนหนึ่ง”


    __________“เธอไม่เชื่อฟังพระเจ้าเรื่องอะไรหรือ?” ผมถาม “จะว่าไป คุณเล่าตำนานของศาสนาคริสต์ให้ผมฟังใช่ไหม? ถ้าอย่างนั้น อิวาก็นับว่าไม่เชื่อฟังพระเจ้าเหมือนกันนี่ เพราะเธอกินผลไม้ที่พระเจ้าบอกไม่ให้แตะต้อง”


    __________เขาพยักหน้า พูดพลางยิ้ม “คุณก็พอรู้อะไรบ้างนี่ นึกว่าจะลืมไปหมดซะแล้ว ที่จริงนะ ผู้หญิงไม่ว่าจะผ่านไปกี่ยุคกี่สมัยก็ไม่เคยเชื่อฟังพระเจ้าง่ายๆ หรอก พวกเธอเชื่อฟังสิ่งอื่นมากกว่า... ความรักไงล่ะ เธอฟังที่ความรักกระซิบกระซาบกับเธอทุกถ้อยคำ มันอิ่มเอมใจกว่าคำประกาศิตทื่อๆ ของพระเจ้าล่ะมั้ง ความรักทำให้พวกเธอยอมแบกภาระแทนผู้ชาย ยอมตั้งท้อง และยอมเสียเลือดเนื้อเพื่อให้กำเนิดบุตรคนหนึ่งออกมา ที่จริง พระเจ้าก็ไม่พอใจมากกับเรื่องนี้ แต่พระองค์ก็ปล่อยไป เพราะอย่างน้อย ความรักมันก็ทำให้ผู้หญิงเชื่องได้”


    __________เขานิ่งไปนิดหนึ่ง ก่อนจะพูดต่อ


    __________“อิวาน่ะเป็นผู้หญิงที่ฉลาดนะ คนสมัยนี้เชื่อกันว่าพระเจ้าสร้างเธอจากซี่โครงของอดัมใช่ไหม งี่เง่าสิ้นดี ที่จริง พระเจ้าไม่ได้สร้างใครด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะอดัมหรืออิวา พระเจ้าสั่งลงมาให้พวกเราที่เป็นวิศวกรของพระองค์สร้างต่างหากล่ะ และพวกเราก็ไม่ได้สร้างอิวาจากซี่โครงของอดัมแน่ กระดูกท่อนเดียวมันจะไปทำอะไรได้ พวกเราสร้างทั้งคู่ขึ้นมาจากอณูธาตุต่างหาก”


    __________เขาอธิบายขั้นตอนนานาให้ผมฟัง ผมฟังแล้วไม่เข้าใจเลยสักกระผีกเดียว แต่รู้สึกว่าคงไม่ดีนักหากจะไปขัดเขา เลยนิ่งฟังต่อ


    __________มนุษย์... อย่าเรียกว่ามนุษย์เลย เรียกว่าสัตว์ทดลองหมายเลขหนึ่งดีกว่า สัตว์ทดลองหมายเลขหนึ่งยังไม่มีเพศ ต้องการสร้างมาเพื่อเป็นพื้นฐานในการสร้างตัวต่อไปให้สมบูรณ์แบบเท่านั้น ขนก็รุงรังเพราะพิมพ์แบบมาจากลิง ใช้ชีวิตบนโลกได้ไม่ถึงวันก็ถูกสัตว์ร้ายคาบไปแดก


    __________จากนั้น ก็มีสัตว์ทดลองหมายเลขต่อๆ มา เขาและเพื่อนวิศวกรเริ่มกำหนดเพศให้เหมือนอย่างสัตว์อื่น เพราะภาพสัตว์สองขาหน้าตาอัปลักษณ์ตนนี้สามารถมีสองเพศในร่างเดียว และสมสู่กันเองในร่างนั้นได้ แน่นอนว่ามันไม่น่าอภิรมย์เท่าไหร่ เขาไม่มีทางเสนอความคิดนี้ให้พระเจ้ารับฟังเด็ดขาด เกิดพระองค์เห็นดีเห็นงามด้วยขึ้นมา เขาจะพาลไม่กล้ามองลงไปที่โลกอีก


    __________แล้ววันหนึ่ง มนุษย์ ก็สมบูรณ์แบบ พระเจ้าโปรดปรานมนุษย์คนแรกนี้มาก โปรดปรานก็แค่ไหน ก็ดูเถิด พระองค์อุตส่าห์ตั้งชื่อให้ว่าอดัม และยินยอมให้อยู่ในสวนอีเดน


    __________“ได้ยินว่าเดี๋ยวนี้พยายามหาสวนอีเดนแทบเป็นแทบตายบนโลกใช่ไหม” เขาถามผม และผมก็ตอบเขาด้วยการส่ายหน้าอย่างคนโง่ อย่าว่าแต่การตามหาสวนอีเดนเลย กระทั่งคำว่าอีเดนยังไม่ค่อยจะคุ้นหู ผมใช่คริสตศาสนิกชนเสียเมื่อไหร่


    __________“เออ จะยังไงก็ช่างเถอะ อย่าหวังจะเจอเลย อีเดนไม่ได้อยู่บนโลกนี้หรอก ไม่มีทางที่หลังจากมนุษย์ทำผิดมหันต์ขนาดนั้น พระเจ้าจะยังปล่อยให้กลับสู่อีเดนได้เด็ดขาด อีเดนอยู่กึ่งกลางระหว่างสวรรค์กับโลก เป็นดินแดนเชื่อมต่อระหว่างสองภพนี้ ไม่มีทางที่มนุษย์จะกลับไปเยือนอีเดนอีกได้ พอๆ กับที่ไม่มีทางที่มนุษย์จะได้ขึ้นสวรรค์หรือลงนรกนั่นแหละ”


    __________พระเจ้ากลัวอดัมเหงา วันหนึ่งก็เลยประกาศิตลงมาอีก น่ารำคาญจริง สั่งให้สร้างมนุษย์อีกคนมาอยู่เป็นเพื่อน


    __________เขาและเพื่อนก็เลยสร้างมนุษย์ผู้หญิงคนแรกของโลกขึ้นมา พระเจ้าให้ชื่อเธอว่าลิลิธ


    __________เผอิญวันนั้น วัตถุดิบหมดคลัง เพื่อนกลัวตายเลยไม่ยอมให้เขาไปเรียนพระเจ้าว่าของหมด เขาเลยจำใจต้องสร้างลิลิธขึ้นมาจากร่างที่ตายแล้วของเผ่าพันธุ์ของเขาเอง นั่นทำให้ลิลิธมีความงามล้ำเลิศกว่าสัตว์มีเลือดเนื้อทั่วไป ผมหยิกสลวยสีแดงเพลิง ดวงตาสีเขียวเหมือนมรกต ผิวกายนั้นเล่าก็ขาวราวหิมะ ทรวดทรงอ้อนแอ้นบอบบาง เสียอย่างเดียวว่าเธอพูดไม่ได้ เขาสงสาร จึงใส่กล่องเสียงของนกชนิดหนึ่งที่พบได้แต่ในสวรรค์เท่านั้นให้เธอไป ถึงเธอไม่อาจถ่ายทอดถ้อยคำจำนรรจาได้ อย่างน้อย เธอก็ขับขานเพลงได้ ผู้หญิงในเผ่าพันธุ์ของเขารักเสียงเพลงเป็นชีวิตจิตใจ ผู้หญิงในเผ่าพันธุ์มนุษย์คงไม่ต่างกัน... มั้ง ปัดโธ่ เขาไม่ใช่ผู้หญิงนี่


    __________ขนาดพวกเขายังนึกชอบเธอเลย อดัมนั้นยิ่งกว่า เขาหลงรักเธอจนโงหัวไม่ขึ้น


    __________“ความรักหรือความใคร่ดีนะ ไม่รู้เหมือนกัน” เขารำพึง “พวกผมไม่เคยมีความรู้สึกพรรค์นั้น เลยไม่เข้าใจ จะว่าไป คุณน่าจะรู้นะ ไอ้ ‘ความรัก’ เนี่ยมันเป็นยังไงเหรอ”


    __________โดนถามแบบนี้ ผมก็เหวอไปพักหนึ่ง


    __________“ก็... คงเป็นความรู้สึกที่อยากจะให้ อยากจะเสียสละ อยากจะปกป้อง... ใครซักคน... มั้ง”


    __________ผมเคยมีความรักครั้งหนึ่งสมัยอยู่มัธยมต้น หากจะเรียกได้เต็มปากว่ามันคือ ความรัก เป็นความรักกับเพื่อนสาวคนหนึ่ง


    __________รู้จักกัน และชอบพอกัน เพราะที่นั่งในห้องเรียนอยู่ติดกันโดยแท้ แต่สุดท้าย พวกเราก็เลิกรากันไป เพราะเธอไปมีคนใหม่ ถัดจากวันที่ประกาศยุติความสัมพันธ์กันอย่างเด็ดขาดไม่กี่วัน ข่าวล่าสุดที่ผมได้รับเกี่ยวกับเธอคือเธอถูกรถบรรทุกที่แหกโค้งปลิวมาทับจนบี้แบน งานศพไม่มีศพจะให้เผา เพราะแรงกดทับของรถบรรทุกหนักเป็นตันทำให้เนื้อแหลกเหลวติดกับถนน ยากจะบอกได้ว่าเคยมีร่างมนุษย์อยู่ใต้รถคันนั้น พ่อแม่ผู้โศกเศร้าได้แต่ร่ำไห้ให้กับภาพถ่าย และโลงกลวงเปล่า


    __________หลังจากนั้น ผมก็ไม่เคยมีแฟนอีก ผู้หญิงชอบเข้าใกล้ผม แต่ไม่กล้าสานความสัมพันธ์ต่อ เพราะข่าวการตายของแฟนคนเก่าของผมทำให้พวกเธอปักใจเชื่อว่าผมมีอาถรรพ์


    __________ผมคบกับเธอได้ครึ่งปี จนถึงตอนนี้ ก็ยังไม่แน่ใจเลยว่าความรู้สึกที่มีต่อเธอใช่ความรักแน่หรือเปล่า ผมอบอุ่นใจที่ได้อยู่ใกล้เธอ ได้กลิ่นผมหอมเหมือนดอกไม้ของเธอ ได้ฟังเสียงหัวเราะของเธอ เธอพูดคุยเรื่องราวต่างๆ นานาให้ผมฟัง ผู้หญิงนี่ช่างจ้อเหมือนนก เสียงเจื้อยแจ้วนั้นราวไม่มีวันหยุด แต่ผมก็ชอบฟังเสียงของเธอ ไม่ใช่ถ้อยคำของเธอนะ แค่เสียง


    __________เธอนับเป็นคนที่คบกับผมได้แนบแน่นที่สุด กระทั่งเพื่อน ผมยังรู้จักพวกเขาแค่ผิวเผิน พวกเขาก็รู้จักผมแค่ผิวเผินเหมือนกัน พวกเขามองว่าผมเป็นเพื่อนร่วมชั้นอารมณ์ดี ไม่ค่อยพูด แต่ก็ยิ้มแย้ม และหัวเราะเวลามีคนเล่าเรื่องตลก อาศัยอยู่ตามลำพังกับคุณตาคุณยาย เพราะพ่อแม่เสียชีวิตไปตั้งแต่ผมยังเล็กเกินจะจำความได้ เรียนเก่งทุกวิชาเว้นเลข เลขนี่ถึงขั้นตกต่ำ ขนาดที่ถ้าไม่นับเด็กดาวน์ซินโดรมในห้องสองคน ผมก็ได้คะแนนเป็นที่โหล่ของชั้น


    __________พวกเขารู้จักผมแค่นั้น พูดคุยกับผมบ้างเวลาชวนกันไปกินข้าวเที่ยง หรือทำงานกลุ่ม


    __________ผมก็บอกไม่ถูกว่าทำไมถึงได้ด้านชากับคนอื่นนัก บางครั้ง ก็รู้สึกเหมือนตนเองแปลกแยก เป็นแกะดำในหมู่แกะขาว ผมเดียวดาย อยู่กลางผู้คนตั้งมากที่ยิ้มและส่งเสียงทักทายผมทันทีที่เห็น แต่ก็กลับคล้ายว่าพวกเขาทักทาย คนอื่น คนคนนั้นอยู่ในร่างผม พอได้ยินใครทัก ก็จะรีบยิ้ม และทักทายพวกเขาตอบอย่างสุภาพ นานครั้งก็เดินไปถามไถ่สารทุกข์สุขดิบอย่างคนรู้จักกัน คนคนนั้นเป็นมิตร อ่อนโยน ใจดี และคนคนนั้นไม่ใช่ผม


    __________เขามองลึกเข้าไปในดวงตาผม เขาเห็นอะไรในดวงตาผมกันนะ บอกไม่ถูกเหมือนกัน บางทีการย้อนรำลึกอดีตช่วงสั้นๆ เมื่อครู่ของผมอาจจะถ่ายทอดสู่หัวสมองของเขาผ่านดวงตาสีทองคู่นั้นก็ได้


    __________“คุณเองก็ไม่รู้จักความรักเหมือนกันนี่นะ” เขาพูดคล้ายต้องการเหน็บแนม ไม่มีรอยยิ้ม แต่ยังคงมีความหฤหรรษ์บนใบหน้า “น่าขำจริง ทั้งที่อุตส่าห์ได้เกิดเป็นมนุษย์แล้วแท้ๆ”


    __________ผมเลิกคิ้ว ถามเขาไป พูดเรื่องอะไร ไม่เข้าใจ


    __________เขายิ้มอีกแล้ว คราวนี้อยากจะเอื้อมมือไปบีบคอ สั่งให้หยุดยิ้มซะจริง กระนั้น ผมก็ไม่ได้ทำ


    __________“ยังไงก็ช่าง ถ้าความรักเป็นความรู้สึกที่ต้องการจะให้ เสียสละ หรือปกป้องใครซักคนอย่างที่คุณว่า งั้นที่อดัมรู้สึกต่อลิลิธก็ไม่ใช่ความรักแน่ล่ะ” เขาว่า สอดมือสองข้างลงในกระเป๋าเสื้อกันหนาว ถึงตอนนี้ ผมเพิ่งสังเกตว่าเขาใส่เสื้อกันหนาวตัวยาวสีดำ เป็นเสื้อที่คนนิยมใส่ในประเทศแถบยุโรปมากกว่าประเทศเขตร้อนอย่างเมืองไทย “อาจจะเป็นอย่างหลัง ความใคร่ จริงๆ สองความรู้สึกนี้ให้คำนิยามแยกจากกันยาก เพราะการกระทำที่พวกคุณแสดงออกมามันคล้ายๆ กัน กิจกรรมปกติระหว่างชายกับหญิงที่อยู่ด้วยกันคือการสมสู่ มันเป็นธรรมชาติ แต่พวกคุณพยายามประณามว่ามันเป็นการกระทำชาติชั่ว ทั้งที่ใต้หลังคาบ้าน พวกคุณก็ลักลอบทำกันอยู่ดี


    __________“อย่างไรก็ตาม ลิลิธขัดขืน เธออาจขยะแขยงอดัมที่โง่ทึบก็ได้ เธอดิ้นพล่านเหมือนหนูที่เราจับช็อตไฟฟ้าเพื่อดูปฏิกิริยา มือพยายามทุบตีผลักไสอดัม แต่แรงผู้หญิงสู้แรงผู้ชายไม่ได้ เธอเลยหันไปคว้าหินข้างๆ แล้วทุบหัวอดัม”


    __________พระเจ้าโกรธมาก เขาเล่าต่อ


    __________โกรธจนสวรรค์เกือบลุกเป็นไฟ พระองค์สาปส่งลิลิธ แต่ก่อนจะทันสั่งให้สิงโตมาขม้ำเธอ เธอก็วิ่งหนีไปก่อน พระเจ้าสั่งให้ทหารของพระองค์ไล่จับเธอแล้วฆ่าทิ้งเสีย แต่เธอก็หนีเอาตัวรอดไปได้ ไปไกลถึงไหน เขาก็ไม่รู้ แต่ได้ข่าวมาว่าเธอตกลงไปอยู่กับพวกปิศาจ และสมสู่กับพวกมัน ให้กำเนิดบุตรครึ่งปิศาจครึ่งมนุษย์ขึ้นมา ซึ่งพวกมันก็ยกย่องบุตรตนนั้นให้เป็นราชาปิศาจ และให้เธอเป็นราชินีปิศาจเสียด้วย


    __________“แปลกนะ” ผมอดรนทนไม่ได้ ขัดขึ้นมา “ไม่ยอมให้อดัมทำอะไร แต่กลับสมยอมปิศาจเหรอ? หรือว่าปิศาจมีอะไรที่ทำให้เธอยอมเป็นของมันน่ะ?”


    __________เขานิ่งไป นิ่วหน้าอย่างคนใช้ความคิด “ที่จริง ผมก็สงสัยอยู่เหมือนกัน เธออาจไม่ยินยอมเหมือนเดิม แต่ถูกขืนใจก็ได้ ใครจะไปรู้”


    __________ความหนาวเย็นจู่โจมจิตใจของผมจนสะท้านเยือก เหตุใดมนุษย์หญิงคนแรกของโลกถึงได้มีชะตากรรมน่าเวทนาได้ถึงขนาดนี้เล่า


    __________“หรือไม่อีกที...” เขาเสริมต่อ “ก็อาจจะเป็นไปได้ว่า ข่าวที่ว่าเธอไปอยู่กับพวกปิศาจน่ะ โกหกทั้งเพ เพราะชะตากรรมของเธอแท้จริงเป็นอย่างไร ไม่มีใครรู้ทั้งนั้นหรอก กระทั่งพระเจ้า แต่อาจต้องปั้นแต่งเรื่องนี้ขึ้นมา เพื่อไม่ให้มีใครคิดตามหาเธออีกก็เป็นได้ ส่วนเหตุผลว่าทำไม อย่าถามเลย เพราะผมก็ไม่รู้


    __________“ที่รู้แน่คือผมถูกพระเจ้าหมายหัวเลยล่ะ เพราะผมเป็นคนสร้างลิลิธมากับมือนี่นา และตอนนี้ลิลิธก็ทำร้ายอดัม และทรยศพระเจ้า”


    __________เจ้ามอบปัญญาให้กับเธอใช่ไหม พระเจ้าถาม


    __________เปล่า ไม่ได้มอบปัญญาให้ใครทั้งนั้น มอบแค่กล่องเสียงกล่องเดียว เป็นคำตอบที่เขาให้พระเจ้าไปอย่างขุ่นเคือง สีหน้าบูดบึ้ง เขากำลังนึกหงุดหงิดงุ่นง่านในใจ ทำไมเวลามีเหตุผิดพลาดต้องมาลงที่เขาตลอดด้วยนะ ทำไมไม่เข้าใจเสียบ้างว่าสิ่งมีชีวิตทุกชีวิตมีความคิด มีจิตใจ และสามารถสั่งการตนเองได้โดยไม่ต้องนิ่งรอฟังคำบงการจากใคร ยิ่งโดยเฉพาะมนุษย์ ยิ่งไม่ต้องคิดจะมาควบคุมพวกเขาเหมือนที่กำลังควบคุมสวรรค์เลย


    __________งั้นไม่เป็นไร คราวต่อไปอย่าให้เกิดขึ้นอีก พระเจ้าประกาศิต


    __________อย่าให้มนุษย์มีปัญญาเด็ดขาด


    __________ผมนิ่งคิดตามคำพูดเขา ก่อนเอ่ยขึ้นอย่างเชื่องช้า “แบบนี้ คุณก็ซวยอีกแล้วน่ะสิ ตอนอิวากินผลไม้เข้าไป คุณบอกว่าเวลาเกิดข้อผิดพลาดอะไร พระเจ้าก็จะลงกับคุณนี่นา”


    __________“ก็จริง” เขายอมรับ “แต่ตอนอิวากินผลไม้น่ะ ผมผิดจริงๆ”


    __________อิวาเป็นมนุษย์ผู้หญิงที่ความสวยสู้ลิลิธไม่ได้ แต่ก็มีบางอย่าง บางอย่างที่มีเสน่ห์ บางอย่างที่อ่อนโยน บางอย่างนั้นสามารถฉายชัดจากดวงตาคู่สีน้ำตาลของเธอ อย่างไรก็ตาม เธอนิ่งเหมือนตุ๊กตา ดวงตาคู่นั้นไม่เคยมองอะไร พระเจ้าสั่งไม่ให้มนุษย์มีปัญญา เขาจึงไม่ได้มอบความสามารถใดนอกจากความสามารถในการดำรงชีวิตพื้นฐานให้กับเธอ เธอไม่อาจคิดอะไรไกลเกินกว่าการกินการอยู่ ไม่อาจพูด ไม่อาจยิ้ม หัวเราะ หรือร้องไห้อย่างอดัม


    __________วันหนึ่ง เขาไปตรวจสอบความเป็นอยู่ของมนุษย์ และสัตว์อื่นในสวนอีเดน วันนั้น เขาเห็นเธอนั่งนิ่งงันหลังพิงต้นไม้ รออดัมที่ออกไปหาอาหาร ซึ่งก็ไม่ยากเย็น เพราะเพื่อนของเขาแขวนอาหารไว้แล้วกับต้นไม้ให้อดัมปีนไปหยิบเอา พระเจ้าสั่งมาให้ทำอย่างนั้น ส่วนเรื่องทำไมต้องให้แขวนอาหาร แล้วให้อดัมไปหยิบ ทำไมไม่ให้อดัมกับมือเลย ตรงนี้เขาเองก็ไม่รู้ บอกแล้วว่าพระเจ้าน่ะรวยอารมณ์ขัน ช่างเรื่องนั้นก่อนเถอะ เข้าเรื่องที่เขาเจออิวาดีกว่า ตอนนั้น เขาพินิจดวงหน้าเธอ เรือนร่างเปล่าเปลือย และผิวกายสีน้ำตาลของเธอ เธอมีผมสีน้ำตาลแก่ยาวปิดถันทั้งสองข้าง และผมนั้นก็ยาวเลื้อยคลุมพื้น


    __________พอเธอได้ยินเสียงฝีเท้าของเขา เธอก็เงยหน้าขึ้น


    __________เขาสบตากับเธอ และเห็นว่าดวงตาของเธอฉ่ำด้วยหยาดน้ำ ทำให้เขาประหลาดใจ เธอไม่ควรจะ... มีอารมณ์ความรู้สึกไม่ใช่หรือ


    __________ทำไมถึงร้องไห้ล่ะ?


    __________แล้วบางอย่างที่เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อนก็เอ่อท้นในจิตใจ บางอย่างที่มนุษย์รู้ แต่เขาไม่รู้ บางอย่างนั้นทำให้ร่างกายของเขาทั้งร่างเบาหวิวคล้ายขนนก แต่จิตใจกลับหนักอึ้งคล้ายถูกถ่วงด้วยหิน จมลงไปในกระแสน้ำเชี่ยวกราก ลำคอของเขาตีบตัน เขานึกสงสารเวทนาร่างที่อยู่ตรงหน้าขึ้นมาอย่างสุดระงับ


    กัดผลไม้ของต้นไม้ที่เจ้าพิงอยู่สิ


    __________เขาบอกเธอ


    ถ้าอยากเป็นอิสระล่ะก็....









    __________แน่นอนว่าพระเจ้าโมโหมาก


    __________พระเจ้าโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ โชคยังดีที่พระองค์ไม่รู้ว่าเป็นความผิดของเขา พระองค์เลยกล่าวโทษงูที่จับพลัดจับผลูไปเลื้อยบนต้นไม้แห่งปัญญาต้นนั้นแทน ที่จริง งูตัวนั้นก็ควรจะโดนลงโทษแต่แรกอยู่แล้ว เพราะสิ่งมีชีวิตห้ามมาแผ้วพานต้นไม้ต้นนี้เด็ดขาด... แล้วจะปลูกไว้กลางอีเดนทำไมนะ เขาเองก็ตอบไม่ได้ บอกแล้วว่าพระเจ้าน่ะรวยอารมณ์ขัน


    __________พระเจ้าปิดตายอีเดน ขับไล่อดัมและอีฟที่กินผลไม้แห่งปัญญาอย่างเอร็ดอร่อยจนหมดต้น สาปแช่งพวกเขาต่างๆ นานา นับจากวันนั้น พระองค์ทอดทิ้งมนุษย์ ให้ใช้ชีวิตเดียวดายบนโลกที่เต็มไปด้วยภยันตราย ส่วนพระองค์กลับไปสนใจการละเล่นอย่างอื่นแทน กระนั้น มนุษย์ก็ยังเคารพนับถือพระองค์ เพราะอย่างไรเสีย พระองค์ก็นับเป็นพระบิดาผู้ให้กำเนิดพวกเขา พวกเขายังทึกทักไปด้วยว่าเหตุการณ์นานาล้วนเกิดขึ้นโดยน้ำมือของพระองค์ ไม่ใช่หรอก ทุกอย่างเป็นไปด้วยตัวของมันเองต่างหาก เชื่อมโยงกันเหมือนลูกโซ่ บนพื้นฐานแห่งความเป็นเหตุเป็นผล คือ มีสิ่งหนึ่งเป็นเหตุ และเหตุนั้นก็ก่อให้เกิดผล


    __________“และนับจากวันนั้น พวกคุณก็มีชีวิตกันมาจนเป็นอย่างทุกวันนี้”


    __________เขาเอ่ย จบนิทานในที่สุด เจ้าของดวงตาสีทองเงยหน้าขึ้นมองผืนฟ้า


    __________“เวลาควรจะเหมือนผ่านไปไม่นานสำหรับผม ผมที่ไม่ควรจะรู้สึกรู้สาอะไร แต่แล้ว ผมก็พบคุณ คุณเป็น หนึ่งเดียว กับพวกผมแท้ๆ แต่ก็กลับอยากเข้าใจความรักที่มนุษย์มีต่อกัน คุณมองเงาสะท้อนบนผิวน้ำที่สะท้อนออกมาเป็นเรื่องราวชีวิตของพวกเขา อารยธรรมหนึ่งถือกำเนิด และสุดท้ายก็ล่มสลาย แทนที่ด้วยอีกนานาอารยธรรม กระทั่งกาลเวลาบนโลกผ่านไปเป็นชั่วกัปชั่วกัลป์ คุณก็ยังไม่เลิกเฝ้ามองพวกเขา ดวงตายังเต็มเปี่ยมด้วยความอัศจรรย์ใจ ผมไม่เข้าใจคุณเลย


    __________“สำหรับผม คุณเป็นตัวแปลกแยก เป็นผู้รักสันโดษ เป็นคนที่มักปรากฏกายในเสื้อคลุมสีขาว ดวงตาของคุณว่างเปล่าเวลามองผม แต่ก็กลับมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นมาในดวงตาคู่นั้น เวลามองมนุษย์ผ่านเงาสะท้อนบนผิวน้ำ”


    __________เขาโมโหมาก เขาบอก พลางจ้องลึกเข้าไปในดวงตาผม ชั่วขณะนั้น ผมรู้สึกราวเปลวไฟสีทองกำลังพยายามเผาผลาญตัวผมให้มอดไหม้เป็นเถ้าธุลี


    __________โมโห เพราะคนที่อยู่ตรงหน้านี่ช่างโง่แสนโง่


    __________โมโห เพราะผมคนนี้ทำตัวไม่สมเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกับเขาเอาเสียเลย


    __________โมโห เพราะผมแปลกแยกแตกต่างจากคนอื่น


    __________โมโห เพราะไม่เข้าใจผม


    __________และโมโห อาจเพราะ... อยากเอาชนะตัวผมที่อยู่ตรงหน้าก็เป็นได้


    __________วันหนึ่ง เขาผู้มีดวงตาสีทองจึงถามผมผู้ชื่นชมมนุษย์คนนั้นไป เห็นดีเห็นงามอะไรในตัวมนุษย์นักหรือ พวกมันมีดีอะไร ถึงได้สนใจนัก


    __________ผมตอบเขาไปว่า...


    __________เปล่าหรอก ก็แค่ไม่เข้าใจว่า ทำไม ทั้งที่เจอภยันตรายต่างๆ นานามาขนาดนั้น มนุษย์จึงยังอยู่ร่วมกันได้


    __________มีเรื่องขัดแย้ง ทะเลาะกันเอง ชิงชังกันเอง เป็นเผ่าพันธุ์ที่ไม่ควรแก่การยกย่องเลยนะ


    __________แต่ภายใต้ความอัปลักษณ์โสโครกโสมมเหล่านั้น ก็กลับมีความงดงามแฝงอยู่


    __________แม่ที่ปกป้องลูกจนตัวตาย หญิงที่เฝ้ารอคนรักผู้จากไปในสงคราม แม้รู้ดีว่าเขาจะไม่มีวันหวนกลับ...


    __________ทำไมมนุษย์จึงได้มีความรู้สึกเช่นนั้น



    __________...และพวกเราไม่มีกันเล่า?


    __________เขาได้ยินดังนั้น จึงถามผม อยากเกิดเป็นมนุษย์ไหม


    __________ผมนิ่งคิด และตอบไปว่า อยาก อยากสิ อยากรู้ว่า ความรัก ที่มนุษย์มีแก่กันนั้นมันเป็นอย่างไร


    __________ถ้าอย่างนั้นจะไปเกิดเป็นมนุษย์เสียเดี๋ยวนี้เลยก็ได้ ถ้าไม่นับพระเจ้าแล้ว เขาคนนี้ถือว่ามีพลังอำนาจมากที่สุดในสรวงสวรรค์ เขาดลบันดาลให้เกิดอะไรขึ้นก็ได้ทั้งนั้น


    __________“แต่จำไว้ ไม่ว่ายังไง เจ้าก็เป็นของข้า” เขากล่าวหนักแน่น ในน้ำเสียงเกือบจะมีความโกรธเจือปนอยู่


    __________จะไม่มีใครที่ให้ความรักแก่เจ้า และได้รับความรักจากเจ้า เจ้าจะเพียงรู้ว่าความรักเป็นอย่างไร แต่จะไม่มีโอกาสได้สัมผัสมัน


    __________ใครก็ตามที่รักเจ้า และเจ้าก็รักเขา ใครคนนั้นจะต้องตาย เขาจะไม่มีวันได้ครอบครองเจ้า ไม่มีใครจะได้ครอบครองเจ้าเด็ดขาด


    __________และพอถึงวันที่โลกแหลกสลาย ข้าจะมารับเจ้า และเจ้าต้องทำตามสัญญา เจ้าต้องตอบแทนข้า คือไปเป็นของข้าตลอดกาล


    __________เขาพูดถึงตรงนี้ ก็ลุกขึ้น ฉับพลันนั้นเอง รอบด้านที่ปรากฏแก่สายตาสะเทือนไหว ผมเผลอหลุดปากร้องออกมา พรวดพราดลุกขึ้น ความตกใจท่วมท้นในจิตสำนึก ยามนี้ เพลิงกัลป์ลุกท่วมสูงถึงฟากฟ้าทั้งที่ฝนก็ยังตกต่อเนื่อง แผ่นดินไหวจนตึกอาคารรอบข้างถล่มทลาย แว่วเสียงผู้คนกรีดร้อง แต่บริเวณที่ผมกับเขายืนอยู่กลับไม่เป็นอะไร อาจเพราะเขาก็ได้ ทำให้ใต้อาคารที่เรานั่งคุยกันอยู่นี่ยังคงทรงตัวได้อย่างสงบ


    __________“โลกกำลังถล่มหรือ?” ผมละล่ำละลั่กถามเขา


    __________เขายิ้ม


    __________“ใช่ มันต้องเป็นแบบนี้แหละ”


    __________ปากกาพระเจ้าลิขิตไว้ว่าอย่างนั้น


    __________เขายื่นมือออกมา ผมมองมือนั้นอย่างตกตะลึง มือของวิศวกรผู้สรรค์สร้างทุกสิ่งทุกอย่าง และกลับเฝ้ามองมันถูกทำลายอย่างไม่อินังขังขอบ มือของคนที่เล่นตลกกับชะตากรรมของผม มือของเทพผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดรองจากพระผู้เป็นเจ้า


    __________“คุณรู้อะไรไหม” เขาถาม “ผมเฝ้ารอวินาทีนี้มาตลอด วินาทีที่จะได้จับมือคุณ และบอกกับคุณว่า คุณแพ้


    __________ตลกไหม เขาหัวเราะ ดวงตาสีทองส่องสว่างเจิดจ้า


    __________ตลกร้ายนะ


    __________อันที่จริง คิดไปคิดมา ทั้งเขา ทั้งพระเจ้าน่ะ ก็ต่างรวยอารมณ์ขันกันทั้งคู่แหละ












    __________โลกถล่มลงมาหมดแล้ว


    __________ยามนี้ น้ำท่วมสูงถึงฟ้า มองเห็นหมู่ดาวใกล้ตาจนแทบจะคิดว่าสามารถเอื้อมมือไปจับได้ เพลิงกัลป์ลุกโชติช่วง ไฟกับน้ำปรากฏขึ้นพร้อมกันได้อย่างไร ผมก็ไม่รู้ บางที อาจเป็นตลกร้ายของพระเจ้า และของเขาผู้มีดวงตาสีทองก็เป็นได้


    __________เขายังจับมือผม พวกเราออกเดินไปด้วยกัน เป็นการเดินบนอากาศ ร่างของผมคล้ายเบาหวิว ผมเป็นอิสระแล้วจากเลือดเนื้อ กลับสู่ร่างเดิมที่ปล่อยทิ้งไว้นานเกือบจะชั่วนิรันดร์


    __________“พวกเราจะไปไหน?” ผมถามเขา


    __________ไม่ได้ไปสวรรค์หรือ?


    __________เขาหันมามองผม ยิ้ม และส่ายหน้า


    __________ผมทรยศพระเจ้ามาได้พักใหญ่แล้ว เขาบอกผม


    __________“แต่ก็ไม่ได้ไปหาปิศาจ ไม่รู้จะไปหาทำไม มนุษย์ชอบสร้างตำนานว่าผมไปเป็นราชาปิศาจที่นรก บ้าบอดีแท้ ผมก็แค่อยู่ไปเรื่อยๆ พระเจ้าโมโหผมได้แป๊บเดียว ก็หมดความสนใจไปใส่ใจอย่างอื่นของพระองค์ต่อ พระองค์ก็เป็นแบบนี้แหละ”


    __________เรือลำหนึ่งลอยล่องอยู่บนห้วงนาวาสีคล้ำที่ท่วมทั้งผืนโลก ผมกับเขาขึ้นเรือลำนั้น ตรงข้ามพวกเรา มีชายไร้ใบหน้าคนหนึ่งนั่งอยู่ พอพวกเราลงนั่ง ชายคนนั้นก็จับใบพาย พายเรือออกจากตำแหน่งเดิม ไปทิศทางใด ผมก็ไม่อาจทราบ รอบข้างเหมือนกันหมด คือเป็นผืนน้ำเวิ้งว้างสีดำสนิท ชายไร้ใบหน้าคนนี้จับทิศทางได้อย่างไรกันหนอ


    __________“คุณเคยได้ยินเรื่องขอบโลกไหม?” เขาถามผม


    __________“ก็เคย” ผมตอบ “แต่ตอนหลังก็พิสูจน์กันแล้วว่าโลกกลม เพราะอย่างนั้น ไม่มีขอบโลกหรอก”


    __________เขาหัวเราะ “มนุษย์นี่ตลกดีจัง ไม่รู้อะไรแต่ก็กลับทำเป็นรู้ไปเสียทุกเรื่อง ถูก โลกน่ะกลม แต่ขอบโลกก็มีจริงนะ มนุษย์จะได้เห็นขอบโลกก็เฉพาะตอนร่างเนื้อแหลกสลายกลายเป็นวิญญาณเท่านั้น ที่นั่น ยมทูตทำหน้าที่ของพวกเขา คือเฝ้ารอวิญญาณ คมเคียวของยมทูตจะเกี่ยวเอาวิญญาณไปสู่โลกแห่งความตาย”


    __________“โลกแห่งความตายกับนรกนี่โลกเดียวกันหรือเปล่า?” ผมถาม


    __________เขาสั่นศีรษะ “ไม่ใช่ นรกก็ส่วนนรก โลกแห่งความตายก็ส่วนโลกแห่งความตาย นี่ ถ้าอยากรู้ ผมจะพาคุณไปเอง อย่างไรก็ต้องไปอยู่แล้ว”











    __________ไม่อยากร้องเพลงหรือ?


    __________จู่ๆ เขาก็ถาม ทำลายความเงียบที่มีเพียงเสียงใบพายแหวกคลื่นน้ำ


    __________ผมสั่นศีรษะ


    __________“ได้ยินว่ามนุษย์ชอบร้องเพลงเวลามีความสุข” เขาว่า แล้วก็ยิ้ม รอยยิ้มที่เย็นชาราวน้ำแข็ง รอยยิ้มของบุคคลผู้ไม่รู้สึกรู้สาต่อสิ่งใดทั้งสิ้น มีเพียงความเย่อหยิ่ง ความอยากเอาชนะ และอารมณ์ขัน... เปี่ยมล้นอยู่ในใจ


    __________ผมมีความสุขนะ คุณล่ะไม่มีหรือ? เขาถามผมอีก


    __________ต่อไปนี้ จะไม่มีอีกแล้ว ไม่ว่าโลกนี้ ไม่ว่าสวรรค์ หรือนรก กาลเวลาทำให้ทุกอย่างดับสูญหมด


    __________และพอถึงเวลาที่พระเจ้าหายเบื่อ ก็คงจะเนรมิตอะไรขึ้นมาใหม่เอง แล้วเขาก็ต้องกลับไปหาพระองค์ใหม่ เพราะพระองค์ไม่สามารถสร้างอะไรได้เองหากไม่มีเขา เขาผู้เป็นวิศวกร ผู้เปรียบประดุจดั่งมือขวาของพระองค์


    __________ต่อไปนี้ จะมีแค่ผมกับคุณ สองคนเองนะ เขาย้ำ ดวงตาสีทองมองลึกเข้าไปในดวงตาของผม แววตาสีทองนั้นบ่งบอกความพึงพอใจ


    __________ต่อไปนี้ จะมีแค่ผมกับคุณ


    __________พวกเราจะคงอยู่กันไป... ตราบชั่วนิรันดร์
  2. aquafay

    aquafay Member

    EXP:
    97
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    6
    __________คุยกับผู้อ่าน

    ข้างล่างคือถ้อยคำไร้สาระเปรอะเปื้อนบนหน้า microsoft word ไม่รู้คิดยังไงถึงเขียนขึ้นมาเหมือนกัน เหมือนอยากจะเขียนอะไรก็เขียน ถ้าไม่อยากอ่านอะไรไร้สาระก็ข้ามด้านล่างไปได้เลยนะครับ - -" อย่างไรก็ตาม ด้านล่างก็นับเป็นจุดกำเนิดของฟิคด้านบน (ฮา) ไม่ว่าจะถ้อยคำไร้สาระด้านล่าง หรือฟิคที่อ่านกันไปแล้ว อาจจะเลอะเลือน ติดขัด และแปลกๆ บ้าง ก็ขอขอบคุณมากครับที่สละเวลาอ่าน และขอขอบคุณ x10 สำหรับท่านที่คอมเมนท์ :china:

    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    สหายเอย


    จงแค้น


    จงเกลียดชัง


    โลกใบนี้







    จงรัก


    จงลุ่มหลง


    โลกใบนี้







    โลกใบนี้


    ที่ไม่ให้อะไร


    และที่ให้... เสียยิ่งกว่าคำว่า ‘มากมาย’







    สหายเอย


    จงแค้น


    จงเกลียดชัง


    ตัวเจ้า


    ตัวข้า


    จงรัก


    จงภักดี


    จงลุ่มหลง


    จงงมงาย


    ตัวเจ้า


    ตัวข้า







    ให้ไฟเผาผลาญ


    ให้ชีวามอดไหม้


    ให้ธุลีแหลกสลาย


    ให้สรรพสิ่งมอดม้วยมรณา







    ให้ชีวาเติบโต


    ให้พฤกษางอกเงย


    พ้นจากผืนดิน


    กะโหลกที่แตกร้าว







    สรรพสิ่ง


    นิรันดร์กาล


    ความไม่เที่ยงแท้คือสัจจะอันเป็นนิรันดร์


    เช่นนี้ ท่านกล่าวได้อย่างไร ว่าไม่มีสิ่งใดเป็นนิรันดร์?







    มอดม้วย


    มอดไหม้


    มอดมลาย


    มอดดับ


    ดับสูญ


    สูญสิ้น


    สิ้นใจ


    อะไรคือคำที่ซ่อนอยู่?







    เจตวา จินตวา เภตวา


    วาสิถี วาสิกาล วาศิรา


    เทวาผู้ปกปัก


    เทวาผู้ทำลาย


    สิงสถิต ณ ตัวข้า


    โลกถือกำเนิดเมื่อใด?


    โลกดับลงเมื่อใด?


    ใครเล่าล่วงรู้ได้?


    ท่านหรือ?


    ข้าหรือ?


    รอช้าอยู่ไย?


    จับมือกันเอาไว้เถิด


    ในวันที่โลกแหลกสลาย


    ท่านกับข้าจะล่องเรือไป


    สู่ ณ อีกฟากฝั่งหนึ่งของเวลา







    พินิจ


    ละไม


    ลออ


    ละอ่อน


    แรกแย้ม


    เบิกบาน


    หรรษา


    เงียบงัน


    ความตาย


    จุดสิ้นสุด


    สายธาร


    ธารา


    เวลา


    เชื่อมโยง


    มิติ


    สักวา


    ขับขาน


    ร่ำร้อง


    ท่วงทำนอง


    สดุดี


    คีตา


    ธารา


    ธารา


    ธารา


    ธารา







    ในวันที่โลกดับสูญ


    ข้าและท่าน


    จะจับมือกันไป


    ปฐพีมอดไหม้


    ไฟลุกท่วมฟ้า


    นภาสว่าง


    โลหิตเจิ่งนอง


    โอ สรรพสิ่ง


    กรีดร้องร่ำไห้


    ท่านและข้า


    พวกเราหัวเราะ


    หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง


    หัวเราะ


    หัวเราะ


    พวกเราจะล่องเรือไป


    ข้ามห้วงนาวาแห่งความตาย


    ยมทูตรออยู่ ณ ปลายทาง


    เสื้อคลุมสีเทา


    คมเคียวแวววาว


    ต้องแสงจันทร์พิโรธ


    ท่านและข้า


    มีกันแค่สองคน


    ในโลกนี้


    เรามีความสุข


    สุขียิ่งนัก


    เพราะไม่มีใครอีกแล้ว


    นอกจาก


    เราสองคน


    เราจะรักกัน


    รักกัน


    นิรันดร์







    สรรเสริญเถิด


    สรรเสริญแด่ความตาย


    สรรเสริญแด่การอุบัติ


    สรรเสริญแด่การจุติ


    เทวาพิโรธ


    ปฐพีมอดไหม้


    น้ำท่วมฟ้า


    ทุกอย่างแหลกสลาย


    มีแต่ท่านกับข้า


    พวกเราจับมือกัน


    หัวเราะกันสองคน


    ท่านและข้า



    นิรันดร์
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
  3. dorot

    dorot Member

    EXP:
    42
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    6
    ไม่เลวเลยแดนนี่:confused: สนุกดีนะ อ่านๆไปฟังมันอธิบายเฉยๆก็สนุกได้แล้ว อารมณ์มันเนิบๆ แต่น่าติดตามพิลึก

    เนื้อหาก็ไม่ขอพูดอะไรมาก เห็นว่าอิงตามไบเบิลไอ้เราก็รู้จักไบเบิลแค่หางอึ่ง- -!!! ดังนั้นก็เลยบอกอะไรตรงส่วนนี้ไม่ได้นัก แต่อย่างที่บอกไป ผมสนุกนะ

    รู้สึกวิธีบรรยายเหมือนจะกระจ่างแต่ไม่กระจ่าง (ผมชอบเรียกว่าสำนวนซีไรส์- -" เพราะซีไรส์นี่อ่านแล้วได้อารมณ์นี้ทั้งนั้น ต้องตีความสำนวนและเนื้อหาเอาเองเสียส่วนใหญ่) นี่จะเป็นเสน่ห์ของแดนนี่ไปแล้ว แถมยังเอาสำนวนนิยายภาษา(แนวภาษางามๆ)ของตัวเองใส่ไปด้วยนี่ ยิ่งแจ๋วเลย

    ยอดเยี่ยมครับ จริงไหม?คอมเมนต์ข้างล่าง
  4. Jelphyr

    Jelphyr แมวจรจัด

    EXP:
    443
    ถูกใจที่ได้รับ:
    5
    คะแนน Trophy:
    38
    จริงแท้ คอมเมนท์ข้างบน

    อืม... จริงๆก็เมนท์ทางเอ็มไปแล้วจนทำให้ฟิคนี้หมดความขลังในความคิดเราไปแล้วแทบจะโดยสิ้นเชิง กลายเป็นฟิครั่ว ก๊ากกกกกกกกกก

    แต่จะว่าไป อ่านแล้วรู้สึกรั่วก็เป็นเรื่องที่สมควรอยู่แล้วล่ะเนอะ

    ก็พระเจ้าน่ะ รวยอารมณ์ขันนี่นา :p
  5. Zear

    Zear New Member

    EXP:
    23
    ถูกใจที่ได้รับ:
    1
    คะแนน Trophy:
    3
    ในที่สุดก็ต้องลงไปเอาแว่นมา ฮา

    มีคำผิดๆแปลกๆที่อยู่บ้างนะครับ คาดว่าคงเพราะพิมพ์ตอนกลางคืน เลยเบลอๆ ไว้ว่างๆค่อยปรู๊ฟนะครับ ^^

    เรื่องของอารมณ์ อย่างที่เรพก่อนบอก เนิบก็จริงแต่มีแรงดึงดูด คาดว่าคงเป็นลักษณะการเขียนของมูนนี่ล่ะมั้ง ที่ทำให้คนอ่านโดนดึงดูดไปตามกระแสตัวอักษรก็เป็นได้ เป็นความสามารถในการเรียบเรียงและสานต่อถ้อยคำให้เป็นภาพและเสียง ซึ่งสำหรับผมนี่ยากนะ ฮา

    ว่าไปผมเองก็ไม่ค่อยรู้เรื่องราวในไบเบิ้ลของคริสเตียนนัก แต่คาดว่าคงต่างจากของคาทอลิกอยู่พอสมควร ผมเคยอ่านและคิดตามสมัยยังเรียนวิชาคริสตศาสนาอยู่(ตอนนั้นเป็นแบบคาทอลิก) ยอมรับตรงๆว่ามีข้อกังขามากมาย และหลายข้อของผมและมูนนี่คงจะตรงหรือคล้ายคลึงกัน ยังไงเสียมันก็ไม่ใช่ศาสนาของเรา การจะไปมีข้อสงสัยมากมายย่อมไม่ใช่เรื่องแปลกนี่เนอะ ^^

    อ่านแล้วก็ทำให้รู้สึกว่า "ผม"เป็นวิศวกรคนหนึ่งของพระเจ้าสินะ เป็นอิมเมจพระเจ้าแบบจักรพรรดิของมนุษย์ ว่าไหม
    อำนาจล้นฟ้า ว่างานบ้าง เริงสำราญบ้าง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ถ้าไม่มีข้าราชบริพาร
    เลยอดคิดไม่ได้ว่า ถ้าผมเป็นข้าราชบริพารที่มีอำนาจ คงมีคิดจะก่อการกบฏอยู่บ้างล่ะ (ฮา)

    ยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่เราไม่รู้ นี่เป็นเพียงเรื่องราวที่เกิดจากความรู้อันน้อยนิด แต่ก็สะกิดอะไรได้หลายอย่างทีเดียว เหมือนก้อนหินก้อนเล็กที่ทำให้เกิดวงคลื่นล่ะมั้ง อ่านแล้วชวนคิดตาม บางข้อก็เห็นด้วยบางข้อก็อาจจะคัดค้าน แต่ก็นำให้คิดได้ดีทีเดียวนะ

    สุดท้ายแล้วจะโดนชักนำหรือไม่ อนาคตเมื่อไหร่จะมีหิมะตกในกรุงเทพ อีกกี่ปีน้ำแข็งขั้วโลกจะละลาย ยังไงเราก็ต้องมองก่อนว่า
    เวลานี้ วันน ี้และวันพรุ่ง เราจะทำอะไร

    อ้อ แล้วก็บทร้อยคำตอนหลัง (ไม่รู้จะเรียกว่ายังไงดี เอิ้ก) ให้ความรู้สึกเหมือนบทสวดลัทธิอะไรสักอย่างเลย ฮา ว่าแต่คำว่า"สรรเสริญ" ปรกติจะตามด้วยคำว่า"แก่"รึครับ? ผมว่าไม่มีคำนี้จะดีกว่านะ *-*
  6. logon

    logon New Member

    EXP:
    59
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    โดยส่วนตัวชอบrepล่างมากกว่าตัวเนื้อเรื่อง(ฮา)

    ชื่อแดนนี่รับประกันคุณภาพอยู่แล้ว
    ขอเมนท์คำเดียวเลยครับ - -b

    อ่านแล้วหยุดไม่ได้(ว้อย =[]=!!)
  7. swanton

    swanton Dragon on Board

    EXP:
    1,424
    ถูกใจที่ได้รับ:
    69
    คะแนน Trophy:
    113
    ยอมรับว่ามีบางช็อตอ่านข้ามๆไปบ้าง ช่วงเรื่องราว Old Testament เพราะผมมึนตัวหนังสือ กร๊าก ไม่มีอะไรหรอก ผมบอกแล้วว่าผมไม่ชอบอ่านบรรยายมากๆ แต่นั่นมันเรื่องรสนิยมนี่นะ ไม่ใช่เรื่องของฝีมือแดนนี่

    อือม์ การเขียนมีแรงดึงดูดจริงด้วย แต่ทำไมผมได้กลิ่นรังสีม่วงแฮะ... บรรยากาศช่วงกรุงเทพหิมะตกนี่เป็นส่วนที่ผมชอบมาก กับช่วงที่ตัวเอกถามขึ้นว่า พาตายายมาด้วยไม่ได้หรือ? ชอบมาก T[]T!!! ดูเศร้าโศกอย่างน่าประหลาด แต่พอคนๆนั้นบอกว่า ผมเลือกคุณเท่านั้น มันก็กลายเป็นการโยงเข้า concept Christian ไปในตัว ยอดเี่ยี่ยมครับ แต่พอกลับมาเรื่องอดัมกับอีวา ผมกลับรู้สึกว่ามันหลุดไปอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งจริงๆมันก็ต้องหลุดนั่นแหละนะ... เพียงแต่ผมรู้สึกว่า ไม่เห็นต้องเล่ายาวขนาดนั้นเลย(แต่พอเดาได้ว่าแดนนี่อาจจะเล่าให้คนที่ไมไ่ด้อ่านไบเบิล้มาก่อนเข้าใจ)

    แกนหลักของเรื่องเท่าที่ผมเห็น คือช่วงของความรู้สึก ความรัก ความขัดแย้ง ระหว่างพระเจ้า อีวา อดัม ลิลิธ และมนุษย์(ผลพวงจากสิ่งเหล่านั้นของคนสามสี่คนข้างต้น) แต่ตัวผมเองกลับไม่ค่อยเก๊ทเรื่องเหล่านี้แบบที่แดนนี่พยายามจะสื่อเท่าไร เพราะผมติด concept พุทธในหัวเยอะ เพราะงั้นถึงจะผ่านวรรณคดีอังกฤษมาแล้ว แต่ก็จะไม่เข้าใจแนวคิดแบบ์คริสต์เท่าไร และขณะที่อ่านก็จะมีคำถามตลอดว่าเฮ้ย เพื่ออะไรน่ะ จริงเหรอ มนุษย์เป็นยังงี้จริงเหรอ มนุษย์ไม่ได้มีอยู่เพียงเื่ท่านี้นี่หว่า อะไรประมาณนี้ ^^" แต่บอกตรงๆว่าวิศวกรของพระเจ้ามีอะไรบางอย่างคล้ายๆสังสาราในฟิคผมนะ ต่างกันก็ตอนที่เขาเล่าเรื่อง Old Testament ทำให้เขากลายเป็น อะไรสักอย่าง... (พูดไม่ถูก) ที่แตกต่างจากสังสาราโดยสิ้นเชิง

    แดนนี่เชื่อมโยงเรื่องเก่งนะ แต่ผมนึกว่าจะโยง Old Testament กับThemeอื่นที่ไม่ใช่เรื่องมนุษยชาติมากกว่า เพราะ Theme นี้ผมเห็นบ่อยแล้ว อยากให้ลองเล่นเรื่องอื่นดูน่ะ แต่ชอบมากจนอยากกอดแดนนี่เลย ตรงคำว่า "ปากกาของพระเจ้าลิขิต" เพราะมันช่างสื่อความหมายได้ลึกล้ำ บวกกับ concept Christianity เต็มที่เสียด้วย จุดแปลกประหลาดของฟิคนี้มีตรงที่ฉาก บรรยากาศ ตัวละคร ไม่ค่อยจะให้ความรู้สึก'กรุงเทพ' และ 'ประเทศไทย' สักเท่าไร กับฟิคนี้ผมชอบ แต่ผมไม่อินนะ เพราะติด concept พุทธนั่นเอง ยังไงแดนนี่ก็เป็นคนเก่ง มีฝีมือ แต่งต่อไปนะ ผมจะคอยอ่านตามเรื่อยๆ

    ปล. ถ้าผมเขียนไม่รู้เีรื่องอย่าแปลกใจ ความคิดผมมันไหลออกมาเรื่อยๆ แถมไม่มีเวลาจัดเรียงซะด้วย ขอโทษนะแดนนี่จัง
  8. mahado

    mahado New Member

    EXP:
    85
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    Repแรก ผมอ่านจนจบ ส่วนRep2 ผมอ่านข้ามๆไปน่ะครับ ^^'' แหะๆ

    ผมคิดว่าฟิคที่แดนนี่เขียนแต่ละเรื่อง ค่อนข้ามดึงดูดอย่างที่หลายๆความเห็นก่อนหน้านี้บอกมานะครับ ตั้งแต่เรื่องที่แล้ว จนถึงเรื่องนี้ ตอนอ่านผมรู้สึกว่าต้องอ่านให้จบก่อนไปเรียนน่ะ ^^' (ผมอ่านตั้งแต่เมื่อวานน่ะครับ พออ่านจบก็รีบไปเรียนเลย 555 เลยพึ่งมาเมนท์) สำหรับผม ผมอินในจุดที่ว่าอยากรู้ว่าเรื่องจะเป็นยังไงต่อไป อยากรู้จนจบของฟิคเรื่องนี้ แต่ไม่ได้อินถึงขนาดคิดตามตลอด คงเพราะเหตุผลคล้ายๆพี่อีวานล่ะมั้งครับ ^^'' เพราะผมยึดตามแนวพุทธมากกว่า + ไม่ค่อยได้ศึกษาไบเบิ้ล แต่ก็พอรู้ว่าไม่เหมือนกับไบเบิ้ลแน่ๆน่ะ

    ปล. ความคิดเห็นส่วนตัว--> ผมอ่านแล้วรู้สึกเหมือนพระเจ้าในเรื่องจะคล้ายๆกับผู้ปกครองที่มีอำนาจในระดับหนึ่ง แต่ก็ต้องพึ่งความสามารถของคนอื่นอยู่เหมือนกันนะครับ (คล้ายๆกับระบบของสังคมของมนุษย์ประมาณนั้น) ไม่รู้ว่าแดนนี่จงใจให้เป็นรูปแบบนี้รึเปล่า ^^
  9. bluemouse

    bluemouse New Member

    EXP:
    21
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    ไม่เคยศึกษาไบเบิ้ลมาก่อน ขอพูดแต่เฉพาะอารมณ์ที่ได้จากการอ่านนะขอรับ

    อ่านแล้วให้ความรู้สึกเหมือนหล่นอยู่ในห้วงเลยครับ

    ชัดแต่ก็เลือน เหมือนจะคว้าจับได้แต่ก็ไม่ได้้ คลับคล้ายจะเข้าใจแต่ก็ไม่ซะทีเดียว

    ชอบการเล่นของคำกับภาษาที่ขัดแย้งแต่ก็กลมกลืนกันดีขอรับ พูดเองยังงงๆ :???: แต่อ่านแล้วรู้สึกแบบนั้นจริงๆ

    ขอโทษด้วยครับ แหะๆ คอมเมนต์ไม่ค่อยจะเป็นเรื่องเป็นราวเล้ย ^^;
  10. Siegfried

    Siegfried Member

    EXP:
    69
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    6
    อือออ แนวคิดไม่เลวเลยนะ เรื่องอดัมกับอีฟนี่
    อ่านแล้วก็เพลินดีว่านิทานอีเดนของแดนจังจะเป็นไง
    สนุกดีแฮะ น่าติดตามดี แต่บางทีบทพูดก็งงอยู่เหมือนกัน ตรงย้อนกลับไปอ่านว่านี่มันมายังไงหว่า
    เพราะบางทีก็ไม่มีเครื่องหมาย "...." ด้วยล่ะมั้ง
    ว่าแต่รัศมี Y กระจายเลยนะเนี่ย=[]=
  11. joey

    joey New Member

    EXP:
    14
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    1
    ชอบเรื่องแนวนี้แฮะ ถึงเนื้อเรื่องจะอิงพระเจ้าแบบในทางลบนิดๆ แต่โจก็ไม่ถือเท่าไหร่

    แบบว่าชอบฮะ ^ ^
  12. PoRi

    PoRi New Member

    EXP:
    217
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    เย้ อ่านจบแล้ว >w< ชอบค่า บรรยายบางตอนได้เจ็บปวดดี อ่านแล้วลื่นไปเรือยๆด้วย แต่รู้สึกติดใจตรง "คาบไปแดก" นี่แหละ =w= ไม่รู้สิ มันแปลกๆอ่ะค่า

    อยากจะบอกว่า Rep 2 ก็อ่านข้ามๆเหมือนกัน แหะๆ =w=

    แล้วก็... เรายังจะอุดส่าห์จิ้น Y อีกแน่ะ -*- ถ้าเกิดไม่ได้จงใจแต่งให้เป็นอย่างนั้นก็ต้องขออภัยอย่างสูงจริงๆค่ะ

    /me นิสัยเสีย T[]T จิ้นไปได้ทั่วเล้ยย
  13. aquafay

    aquafay Member

    EXP:
    97
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    6
    __________คุยกับผู้อ่าน รอบสอง :

    ที่จริงแล้ว ส่วนตัวคนเขียนไม่ประทับใจฟิคเรื่องนี้ของตัวเองเท่าไหร่ เพราะรู้สึกว่ายังขาดอะไรไปหลายอย่าง หากมีเวลา ก็ว่าจะเขียนภาคต่อ เพราะอยากเขียนถึงตัวละครสองตัวนี้อีก ประกอบกับอยากให้เรื่องสมบูรณ์มากขึ้น หลังโพสต์ก็หวั่นใจว่า คนอ่านจะเข้าใจประเด็นที่ต้องการสื่อไหมน้อ แต่ก็เห็นหลายท่านคอมเมนท์ไว้ในแง่บวก ถือเป็นคำชมสำหรับผมเลยนะครับ ขอบคุณมากๆ และขอบคุณทุกๆ ท่านที่เข้ามาอ่าน ไม่ว่าจะ comment หรือไม่ ถ้าผมมีผลงานเรื่องต่อๆ ไปก็รบกวนติดตามตลอดด้วยนะครับ (ฮา)

    ส่วนเรื่องใน rep 2 เกิดจากผมกลับมาจากงาน art fair แบบมึนๆ แล้วจู่ๆ ก็เกิดอยากเขียนอะไรก็ได้ขึ้นมา เลยเปิดหน้าจอคอม เปิด microsoft word แล้วพิมพ์ไปตามข้อความที่ปรากฏในหัว ไม่มีสาระอะไรเลย ฟิคเรื่อง "วันสิ้นโลก" ที่เป็นผลมาจากข้อความเหล่านั้น ก็เลยพลอยไม่ค่อยจะมีสาระอะไรไปด้วยล่ะมั้ง - -"



    ตอบ reply นะครับผม


    รอทเต้

    สำนวนซีไรส์นี่... ผมยังห่างชั้นจากเขาอีกไกลโขอยู่นะ ฮา

    เห็นด้วยว่าสำนวนซีไรส์ อ่านเหมือนจะกระจ่าง แต่ก็ไม่กระจ่าง ไม่ได้ติดตามงานเขียนรางวัลซีไรส์ทุกงาน แต่งานที่เคยอ่านมา ก็สนุกทั้งนั้นนะครับ :) รอทเต้ชอบเรื่องไหนเป็นพิเศษหรือเปล่าเอ่ย



    แม่เจล

    ใช่แล้วครับ พระเจ้ารวยอารมณ์ขัน ^^

    เรื่องกังวลว่าทำให้ฟิครั่ว ไม่ต้องกังวลไปหรอก อย่างที่บอกในเอ็มแหละ มันรั่วมาตั้งแต่ต้นแล้ว =A=b



    ท่านเซียร์

    ผมไม่ได้อ้างอิงเนื้อหาในพันธะสัญญาเก่ามาจากไบเบิลของนิกายใดนิกายหนึ่งนะครับ แต่อ้างอิงจากฉบับ King James Version ที่ผมมี ประกอบกับ search หาข้อมูลเพิ่มเติมจาก internet น่ะครับ (Wikipedia ช่วยท่านได้!) ส่วนที่เหลือนอกนั้น คือการเสริมแต่งของผมเองล้วนๆ เลยมีเนื้อหาที่ออกจะ 'นอกรีต' หากมองในมุมมองของชาวคริสต์ไปบ้าง ^^;


    [/quote]


    "ผม" อาจเป็น หรือไม่ได้เป็นวิศวกรของพระเจ้าก็ได้ครับ ส่วนนี้ไม่ได้คิดไว้ แต่ทราบว่าเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกับ "เขาผู้มีดวงตาสีทอง" แน่ล่ะ เฉลยเลยแล้วกันว่าเป็นเผ่าเทพ "ผม" ในร่างเทพ จะสวมใส่เสื้อคลุมสีขาว และถือโคมที่ส่องแสงสีขาวจรัสตลอดเวลา เป็นเทพในจินตนาการของผมครับ ไม่ได้มีในตำนานใดๆ แต่อย่างใด สร้างขึ้นมาเอง ส่วน "เขาผู้มีดวงตาสีทอง" ได้อิมเมจมาจากลูซิเฟอร์ และคิดเอาเองส่วนหนึ่งด้วยครับผม

    เรื่องก่อการกบฎ... ก็เป็นสิ่งที่ "เขาผู้มีดวงตาสีทอง" ทำไปแล้วล่ะนะ แต่ทำไปก็เพราะความเบื่อล้วนๆ ไม่ได้มีเหตุผลอื่นเลย ว่าตามจริง "เขา" ก็นิสัยไม่ต่างจากพระเจ้าเท่าใดหรอก อำนาจก็ทัดเทียมกัน เพียงแต่ "เขา" เป็นสิ่งที่มีตัวตนมา โดยมีหน้าที่ประการสำคัญคือรับใช้พระองค์เท่านั้นเอง สำหรับเรื่องที่มาที่ไปของ "เขา" ก็ลึกลับพอๆ กับการพยายามหาคำตอบว่า พระเจ้ามาจากไหน แหละครับ



    ลุงซัน

    ขอบคุณกั๊บ ลุง T^T

    จะว่าไป ผมรอฟิคของลุงอยู่เหมือนกันนะ แต่งมาลงซะบ้างสิตะเอ๊งงงงงง *โดนเตะ*



    อีวาน

    ช่วงที่แต่งถึงพันธะสัญญาเก่า ผมยอมรับครับว่า ตอนแต่ง ผมยังคิดเลยว่า ตัวเองพาเรื่องออกนอกทะเลไปซะแล้ว T-T" อย่างที่อีวานคุงบอกแหละ ผมต้องการเชื่อมโยงตำนานเรื่องนี้เข้ากับมนุษยชาติ และกับวาระสุดท้ายของโลกด้วย แต่การเชื่อมโยงระหว่างตำนานกับวาระสุดท้ายของโลกกลับยังไม่เคลียร์เท่าไหร่ ผมไม่อยากแต่งถึงคำพยากรณ์ใดๆ ที่ปรากฏในไบเบิลเสียด้วย เพราะง่ายๆ เลยคือไม่ได้อ่านมา *โดนเตะ*

    ส่วนตัว ผมคิดว่า มนุษย์เราก็ประกอบจากเลือดเนื้อน่ะครับ ไม่มีอะไรสลักสำคัญเท่าใด ต่างจากสัตว์ทั่วไปตรงที่มีปัญญา แต่ก็เหมือนสัตว์ทั่วไปคือเกิดมา แล้วสักวันก็ต้องตาย เพียงแต่ในช่วงเวลาที่ใช้ชีวิตอยู่ เราได้ทำให้ชีวิตของเรามีคุณค่า และมีความหมายสักเพียงใดเท่านั้นเอง ผมชอบคนที่เขาอุทิศตนเองทำงานหนักเพื่อสังคมมากเลยนะครับ เพราะรู้สึกว่า แม้เขาใช้ชีวิตของเขาได้ไม่เต็มที่อย่างคนที่เลือกจะเดินตามความฝันของตนเอง แต่ชีวิตของเขาก็ทรงคุณค่ามากมายนัก

    เรื่องกรุงเทพฯ และผู้คนไม่เหมือนกรุงเทพฯ และชาวกรุงเทพฯ จริงๆ เท่าไหร่ ตอนแต่งก็รู้สึกอย่างนั้นเหมือนกันครับ สำหรับผม รู้สึกว่าฟิคนี้เป็นฟิคที่ผมแต่งบนพื้นฐานความเป็นจริง แต่กลับได้สถานที่ และตัวคนที่ fictional สุดๆ แล้วล่ะ ^^;



    คุณ SkyKiD & MaHaDo

    ขอบคุณมากครับ อ่านคอมเมนต์แล้วแอบตัวลอยนิดหนึ่ง 555+ ทั้งอีวานทั้งคุณ SkyKiD & MaHaDo บอกว่าติด concept พุทธมาเยอะ แต่ส่วนตัว ผมคิดว่าอาจเพราะผมอธิบายได้ไม่กระจ่างด้วย เพราะผมแต่งแบบไม่ได้คิดไว้ก่อนว่า ถ้าเกิดมีคนที่ไม่ได้รู้เรื่องพันธะสัญญาเก่ามาอ่านจะเป็นยังไง ^^!' ตรงส่วนนี้ต้องขอโทษด้วยครับ

    ศาสนาต่างๆ ก็มี concept ที่แตกต่างกันไป แต่ส่วนสำคัญที่สุดน่าจะเป็นหลักธรรมที่สามารถทำให้คนอยู่ร่วมกันได้มากกว่า สำหรับผมนะ ฮา

    เรื่องพระเจ้า... พระเจ้าในฟิคผมก็ยังคงเป็นพระเจ้าที่มีอำนาจที่สุดอยู่ดีนั่นเองครับ เทพทุกองค์ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อรับใช้พระองค์ ในเมื่อเป็นเหตุผลของการมีตัวตน ก็ต้องรับใช้พระองค์ คำประกาศิตของพระองค์ถือเป็นเด็ดขาด ผู้ใดฝ่าฝืนหรือละเมิดมิได้ ถึงพระองค์ไม่สามารถสร้างสรรค์อะไรได้ด้วยตนเองทีเดียว แต่พระองค์ก็ยังยิ่งใหญ่ที่สุดอยู่ดีนั่นเองครับ

    สาเหตุที่ "เขา" สามารถทำในสิ่งที่เทพองค์อื่นไม่เคยคิดจะทำ นั่นคือ ทรยศพระเจ้า อาจเพราะ "เขา" เป็นเทพเพียงองค์เดียวที่มองพระเจ้าในอีกแง่มุมหนึ่งซึ่งผู้เคารพศรัทธาไม่เคยมองก็ได้มั้งครับ ^^



    คุณ blue mouse

    ขอบคุณมากเลยนะครับที่เข้ามาอ่าน :D และไม่ต้องขอโทษ ขอโทษทำม้ายย =[]=!' แค่เข้ามาอ่านก็ซึ้งใจแหล่วง



    ควาคุง

    รัศมีวายกระจายตรงไหน ไม่มี้ไม่มี

    ตรงที่ไม่มีเครื่องหมายคำพูด เพราะต้องการจะเน้นให้เด่นออกมาจากบทพูด เลยเอามาใส่ให้เหมือนบทบรรยายน่ะครับ ฟิคคราวหลังไม่มีแล้วล่ะ - -"\=/ สาเหตุอีกอย่าง ก็คือฟิคนี้มันแต่งโดยมองจากมุมมองของ "ผม" ด้วยน่ะ



    คุณ joey

    ขอบคุณครับผม :D


    คุณ PoRi

    ไม่ต้องขอโทษหรอกครับ จิ้น Y ได้ตามสบาย ฮา ที่จริง ตอนคนเขียนแต่งก็คิดอยู่ว่ามัน Y แต่ก็ไม่ Y เสียทีเดียวนะเออ ^^; เพราะ "เขา" ไม่มีอารมณ์รักหรืออะไรพรรค์นั้นหรอก มีเพียงความต้องการอยากเอาชนะพระเอกเท่านั้นเอง และพระเอกก็นับว่าเป็นคนที่อารมณ์ตายด้านมากเลยเสียด้วย ถือกำเนิดเป็นมนุษย์ร้อยพันชาติ ก็คงไม่เข้าใจคำว่า "ความรัก" ได้อย่างถ่องแท้หรอก คนคนนี้ เป็นความสัมพันธ์ที่เย็นชาต่อกันสุดๆ เลยล่ะ

    ตรง "คาบไปแดก" นี่แปลกเหรอครับ T-T" จะว่าไป แม่เจลก็เมนท์ทางเอ็มเหมือนกันว่าอ่านถึงตรงนี้รู้สึกว่าฟิครั่วเลย ( ก๊ากกก )

    rep 2 อ่านข้ามๆ ก็ไม่ว่าน้อ มันไม่ค่อยมีอะไรอยู่แล้วแหละ ^^!

Share This Page