The Tale of Hero

กระทู้จากหมวด 'Fiction' โดย chinagirl, 28 ธันวาคม 2007.

  1. chinagirl

    chinagirl New Member

    EXP:
    3
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    ยุคแห่งวีรบุรุษ

    หลังการล่มสลายของอาณาจักร Elmoreden เนื่องมาจากการหายตัวไปอย่างลึกลับของจักรพรรดิ์ไบอุม อาณาจักรแตกแยกออกเป็นสามส่วนใหญ่ๆ คืออาณาจักรเอลมอร์ที่อยู่ทางตอนเหนือ อาณาจักร Aden ทางตอนใต้ และ Gracia ที่อยู่ทางด้านตะวันตก สงครามการแย่งชิงอำนาจเหนือดินแดนเหล่านี้กินเวลายาวนานหลายชั่วอายุคน

    หลังจากการล่มสลายของเหล่าอาณาจักรที่ครั้งหนึ่งเคยยิ่งใหญ่นั้น โลกก็เต็มไปด้วยความน่ากลัวและความยุ่งเหยิง ยุคมืดได้ปลุกความทรงจำอันเจ็บปวดของโรคระบาดครั้งใหญ่ และบางเผ่าพันธุ์ต่างก็มองหาดินแดนที่ไม่หลงเหลือมนุษย์อาศัยอยู่เพื่อจะสะสมกำลังทหาร พวกออร์คฉวยโอกาสในครั้งนี้เพื่อรวบรวมดินแดนที่พวกเขาจะสามารถตั้งรากฐานได้ และสร้างสมกองกำลังทหารของพวกเขา เมื่อกองกำลังของพวกเขาพร้อม การต่อสู้ก็เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง กองกำลังของพวกออร์คนั้นแข็งแกร่ง ในที่สุดก็สามารถเข้ายึดครองดินแดนทางตอนเหนือไว้ได้ แต่พวกเขาก็สูญเสียกำลังไปไม่น้อยจากความขัดแย้งกันเองระหว่างพวก ออร์คชั้นสูง กับ ออร์คชั้นต่ำ
    ท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างพวกออร์คด้วยกันเองนี้ พวกเอลฟ์ก็ไม่สามารถจะทำสิ่งอื่นใดได้นอกจากจะต้องต่อสู้กับพวกดาร์คเอลฟ์ ส่วนด้านดวอร์ฟก็ไม่ได้อยู่ในความคิดของพวกออร์คเลย

    ในช่วงเวลานี้กลุ่มมนุษย์ในท้องถิ่นได้เกิดขึ้น ซึ่งรู้จักกันในนามของอาณาจักร Elmore พวกเขากล่าวอ้างว่าพวกเขาเป็นทายาทที่สืบเชื้อสายโดยตรงมาจากอาณาจักร Elmoreden ที่ยิ่งใหญ่ ไม่ว่าคำกล่าวอ้างนี้จะเป็นความจริงหรือเป็นเพียงแค่ตำนานก็ตาม แต่พวกเขาก็ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางด้วยพละกำลังอันยิ่งใหญ่และแข็งแรงดุจเหล็กกล้า กองทัพของ Elmore ได้ปะทะกับกองทัพแห่งชาวออร์คในสงครามอันน่าสยองขวัญ สงครามได้ดำเนินติดต่อกันเป็นเวลาหลายปีและต่างก็สร้างความสูญเสียให้กับทั้งสองฝ่ายมากพอๆ กัน กองทัพทั้งสองนับว่ามีความสามารถทัดเทียมกันเพราะแม้ว่ากองทัพของฝ่ายมนุษย์จะมีจำนวนมากกว่าแต่กำลังที่แข็งแรงของพวก ออร์ค ก็ได้ต่อสู้กับพวกมนุษย์อย่างสุดกำลัง ท้ายที่สุดพวกออร์คก็พ่ายแพ้ในสงครามครั้งนี้ พวกออร์คต้องถอยร่นกลับไปยังดินแดนเดิมของตนและวางแผนรอคอยเวลาแห่งการแก้แค้น ส่วนด้านดวอร์ฟซึ่งเหลือเพียงจำนวนน้อยนิดนั้นถูกเนรเทศออกจากทวีปของมนุษย์ให้เข้าไปอยู่อาศัยในหมู่เขา Spine

    แม้จะมีกองกำลังทหารที่เล็กลง ในที่สุดกองทัพแห่ง Elmore ก็สามารถเข้าควบคุมดินแดนทางตอนเหนือได้ทั้งหมดและได้มุ่งหน้าสู่ดินแดนทางตอนใต้โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อรวบรวมดินแดนทั้งหมดมาอยู่ภายใต้ธงชาติแห่ง Elmore แต่อย่างไรก็ตาม พวก Elomore ก็ไม่สามารถเอื้อมถึงจุดหมายของเขาได้ Oren อาณาจักรที่ทรงพลังแห่งดินแดนทางตอนใต้ต่อต้านการรุกรานด้วยพลังเวทมนต์ที่ทรงอำนาจและทหารที่ได้รับการฝึกหัดมาอย่างดี กองทัพของ Elmore จึงไม่สามารถทัดทานความดุร้ายของกองทัพที่ปกป้องดินแดนของตนเองได้

    อาณาจักรต่างๆ ในดินแดนทางตอนใต้ปลอดภัยจากเงื้อมมือของ Elmore ภายใต้การปกป้องคุ้มครองของ อาณาจักร Oren และต่อมาพวกเขาก็พัฒนากลายเป็นชาติเดียวกัน อาณาจักรเหล่านี้ต่างคงไว้ซึ่งอำนาจในการปกครองตนเองและพัฒนาความเจริญอย่างไม่มีหยุดยั้ง
    ในช่วงเวลาแห่งความวุ่นวายนี้ Gracia นับเป็นแห่งแรกที่สามารถสร้างเอกภาพภายในอาณาจักรได้อีกครั้ง โดย Paris ผู้ซึ่งมีกองกำลังทางทหารที่เข้มแข็ง เขาเข้าทำสงครามจนได้รับชัยชนะมาหลายครั้งจนในที่สุดก็สามารถสถาปนาอาราจักรเป็นของตนเองได้มีชื่อว่า Boheim
    หลังจากการปะทะกับ Tor หัวหน้าชนเผ่าที่ทรงอำนาจมากที่สุดแห่งเผ่า Quesar และได้ Tor มาเป็นกำลังสำคัญ หลังจากนั้นปารีสจึงได้นำอัศวิน White Hawk และ Wind Knights รวมทั้งชนเผ่าที่เป็นพันธมิตรใหม่ของเขาข้ามไปยังดินแดนแห่ง Gracia และได้มีชัยชนะเหนือเหล่าทหาร ดินแดนแห่ง Boheim ได้ขยายอาณาเขตดินแดนเพิ่มขึ้นกว่า 5 เท่าของอาณาเขตที่มีอยู่เดิม ส่วน Paris ได้โค่นราชวงศ์เดิมและขึ้นครองราชบัลลังค์แห่ง Gracia แทน และกระหายที่จะขยายดินแดนมายัง Adenเพื่อขยายดินแดนนอย่างเต็มที่

    ขณะเดียวกัน ดินแดนทางตอนใต้ก็เต็มไปด้วยความเคลื่อนไหวและหลายคนก็กังวลเกี่ยวกับความโกลาหลวุ่นวายจาก Gracia และ Elmore โดยเฉพาะข่าวการรวมตัวกันได้อีกครั้งของอาณาจักร Gracia และมีความเป็นไปได้ว่า Gracia จะเริ่มรุกราน Aden ในตอนนี้เอง Raoul ก็ปรากฏตัวขึ้น
    เขาใช้วิธีการทางทหารของเขาเองเพื่อที่จะรวบรวมกำลังให้มาอยู่ภายใต้การปกครองของเขา Raoul ผู้ซึ่งพูดด้วยความแข็งกร้าวได้เอาชนะเหล่าศัตรูของเขาไม่ใช่เพราะอาวุธหากแต่เป็นคำพูดของเขาต่างหาก หนึ่งในคำกล่าวของเขามักมีลักษณะในทำนองที่ว่า
    “พวกเจ้าทั้งหลายที่เป็นเจ้าของผืนแผ่นดินแห่งนี้ พวกท่านไม่เห็นหรอกหรือว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับชายแดนของเรา ศัตรูที่น่ากลัวกำลังเคลื่อนทัพเข้าสู่ดินแดนของเราในขณะเฝ้ารอคอยคอยเวลาที่พวกศัตรูจะเข้ามาโจมตีเรา ถ้าอาณาจักร Gracia ตัดสินใจที่จะเคลื่อนย้ายทัพข้ามทะเลมา เราก็จะวิ่งโจนเข้าไปหามัน ไม่เหลือทางเลือกอื่นสำหรับเราอีกแล้ว นอกจากการเผชิญหน้ากับศตรูของเราภายใต้ผืนธงเดียวกัน และเตรียมตัวสำหรับสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้น

    Raoul ได้ใช้วิธีพูดโน้มน้าวใจเพื่อที่จะคงผืนดินทางตอนใต้ไว้ด้วยความมั่นคง แต่อาณาจักร Elmore ที่ได้รับรู้ถึงการข่มขู่นี้ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรมากนัก เนื่องจากพวกเขากำลังวุ่นวายอยู่กับการจัดการความไม่สงบสุขของพวก ออร์ค เพื่อที่จะมุ่งความสนใจไปที่ Aden
    อย่างไรก็ตาม Raoul ได้รวบรวมกำลังที่ Inadril ที่เป็นพันธมิตรของเขา และอาณาจักรเหล่านี้ได้ร่วมก่อสร้างอาณาจักรแห่ง Aden ขึ้น Raoul ต่างจาก Paris เนื่องจากเขาได้เข้าร่วมการปฏิบัติการทางทหารที่ปราศจากการนองเลือด และเขาก็ได้เข้าปกครองดินแดนทางทิศตะวันตกและได้ครอบครอง Giran และ Dion

    Oren เป็นที่แรก ๆ ที่ Raoul ได้พบกับการต่อต้านกับแผนการของเขา อาณาจักร Oren ได้สถาปนาตัวเองขึ้นเป็นผู้นำดินแดนทางตอนใต้ และก็ไม่ยอมรับผู้นำที่มาจากที่อื่นนอกจากผู้นำของตนเอง ท้ายที่สุดทั้งสองอาณาจักรก็เริ่มเข้าโจมตีกัน แต่ว่าอาณาจักร Aden ก็ได้วางอุบายในการเอาชนะที่ยอดเยี่ยม อาณาจักร Gludio ได้เป็นพยานสำคัญเกี่ยวกับแสนยานุภาพของกองทัพ Aden โดยเลือกที่จะเป็นพันธมิตรกับ Aden และรวมเข้าเป็นอาณาจักรที่สมบูรณ์แห่ง Aden หลังจากนั้น Raoul ก็เป็นที่รู้จักกันในนามของกษัตริย์ที่มีชื่อเสียงในการรวมอำนาจ

    หลังจากตกอยู่ในความวุ่นวายหลายชั่วอายุคน ดินแดนแห่ง Aden ได้รวมตัวเป็นปึกแผ่นขึ้นอีกครั้งโดยการรวมตัวของอาณาจักรน้อยใหญ่ทั้งห้าคือ Giran Dion Inradril Gludio และ Oren Raoul เร่งฟื้นฟูกองกำลังทหาร และสร้างความสัมพันธ์กับ Guldin อาณาจักรแห่งการค้า และเป็นเมืองท่าเก่าแก่ ว่ากันว่าที่นี่เป็นเมืองแห่งแรกที่พวกมนุษย์ได้สร้างขึ้นหลังจากเดินทางออกมาจากเกาะพูดได้ ต้นกำเนิดแห่งชนเผ่าของตน
    การเสริมสร้างความแข็งแกร่งดำเนินไปอย่างเร่งรีบ มันเป็นไปไม่ได้เลยที่ความสงบสุขแบบนี้จะยั่งยืน อีกไม่นานพายุแห่งตะวันตกจะพัดเข้ามายัง Aden อีกครั้งด้วยฝีมือของ Paris ผู้ครอง Gracia

    Aden ในภาพลักษณ์ใหม่พิสูจน์ตนเองด้วยกองกำลังที่ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นกองกำลังที่ทรงพลังที่ต่อสู้กับกองทัพแห่ง Elmore แต่แล้วประวัติศาสตร์หน้าใหม่ก็ต้องบันทึกโศกนาฏกรรมแห่ง Aden เพราะการตายอย่างกะทันหันของ Raoul อาณาจักร Elmore รับรู้เหตุการณ์นี้จึงฉวยโอกาสเข้าโจมตีดินแดนทางตอนเหนือของ Aden อย่างต่อเนื่อง Trabis ทายาทของ raoul ก็สามารถปกป้อง Aden จากผู้รุกรานได้ แต่สุดท้ายเขาก็ต้องตายด้วยโรคลึกลับ และผู้ที่จะขึ้นมาครองบัลลังค์ต่อไปคือ Amadeo ผู้ซึ่งมีพระชันษาเพียง 16 ปีเท่านั้น
    Paris ฉวยโอกาสเข้าโจมตี Aden ทันที แต่ Paris ประเมินกษัตริย์ Amadeo ผิดถนัด จักรพรรดิหนุ่มน้อยผู้นี้ประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้นในการปกป้องอาณาจักร Aden จากกองกำลังขนาดใหญ่ของ Elmore ทั้งทางบกและทางน้ำ

    สมรภูมิที่ Giran นับเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของสงครามครั้งนี้ กองกำลังแห่ง Gracia ถูกโจมตีและทำให้เสียขวัญ พวกเขาต้องล่าถอยกลับไปยังดินแดนเดิมของพวกเขา ความพ่ายแพ้ของ Paris ที่ไม่สามารถยึดครอง Aden ได้ในครั้งนี้ ได้สร้างบาดแผลที่ฝังลึกในจิตใจของ Paris ผู้ซึ่งไม่เคยรู้จักคำว่าพ่ายแพ้ ในที่สุด Paris ก็ล้มป่วยลงและตายไปในที่สุด

    ทายาทแห่ง Gracia นั้นเป็นชายอ่อนแอ นามว่า Carnaria ผู้ซึ่งใครๆ ก็ลงความเห็นว่าไม่สมควรจะปกครองอาณาจักร ในทางตรงกันข้าม Cucaras คัดค้านการสืบต่อราชบัลลังก์ของ Carnaria โดยได้รับความช่วยเหลือจาก Dillios ผู้ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ปรึกษาที่ไว้ใจได้ของ Paris Cucaras ได้รับความนิยมจากประชาชนแห่ง Gracia Cucaras และ Carnaria แบ่งดินแดนออกเป็น 2 ส่วน แล้วต่างฝ่ายต่างก็ปกครองดินแดนของตน ดินแดนตอนเหนือและตอนใต้ของ Gracia กลายเป็นศัตรูซึ่งกันและกันและความขัดแย้งก็ทำให้พวกเขาต้องเสียกำลังของพวกเขาไป ในที่สุดอาณาจักร Gracia ที่ถูกรวบรวมมาอย่างยากลำบากในสมัยของ Paris ก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆอีกครั้ง การต่อสู้แย่งชิงอำนาจกันเองทำให้ Gracia อ่อนกำลังลงจนไม่เป็นภัยต่อ Aden อีกต่อไป

    ทางด้านอาณาจักรเอลมอร์เองก็บอบช้ำจากการทำสงครามกับ Oren และการขับเคี่ยวกับพวกออค จนในที่สุดก็ทำการสงบศึกกับพวกออค ทั้งสองฝ่ายต่างปราถนาที่จะเก็บกวาดบ้านของตัวเองให้เรียบร้อยมากกว่าที่จะมาฆ่าฟันกันเอง ประชาชนชาวเอลมอร์เองก็เบื่อหน่ายกับการทำสงคราม พวกออคก็มีปัญหากับพวกออคชั้นต่ำ และพวกทรยศมากขึ้น การทำทำสัญญาสงบศึกจึงเป็นไปได้โดยสะดวก ทั้งสองชนเผ่าต่างทำสัญญาที่จะไม่ยุ่งเกี่ยวซึ่งกันและกัน เหตุการ์ทั้งหมดดูเหมือนพวกคนแคระเลือกที่จะไม่ยุ่งเกี่ยวหรือมีบทบาทด้วยเลยแม้แต่น้อย

    Aden ปกครองอย่างเป็นเอกภาพเรื่อยมา Amadeo ฟื้นฟูความสัมพันธ์กับพวกเอลฟ์ได้อีกครั้ง จนร่วมกันสร้างนครแห่งน้ำ Heine ขึ้นมา นับเป็นยุคสมัยแห่งการปรองดองอย่างแท้จริง ความจริงแล้วพวกเอลฟ์ไม่มีทางเลือกมากนัก การสู้รบกับพวกดาร์คเอลฟ์ทำให้ตนเองอ่อนแอลง การเป็นพันธมิตรกับพวกมนุษย์ช่วยให้ตนเองหายใจคล่องขึ้นถึงแม้พวกเอลฟ์รุ่นใหม่จะรู้สึกไม่เห็นด้วยอยู่ลึกๆก็ตาม ในที่สุดหมู่บ้านของพวกเอลฟ์ก็ถูกผนวกเข้ากับ Oren โดยทำการจ่ายภาษีรายได้ของตนแลกกับการที่พวกมนุษย์จะไม่ส่งกองกำลังทหารเข้าไปวุ่นวายในดินแดนของเอลฟ์

    พวกดาร์คเอลฟ์เองก็ดูจะมีชะตากรรมไม่ดีไปกว่าเอลฟ์เท่าไหร่นัก หลังจาก Guldin ได้รวมเข้ากับอาณาจักร Aden ทำให้สินค้าที่เคยติดต่อซื้อขายผ่านทาง Guldin หยุดชงักลง ทาง Aden เสนอข้อแลกเปลี่ยนกับการได้ค้าขายอย่างเสรีอีกครั้ง โดยแลกกับการเสียภาษีส่วนหนึ่งให้กับ Aden เพื่อเป็นค่าคุ้มครองสินค้าจากเมือง Guldin และกลูดิโอไปยังดินแดนของพวกดาร์คเอลฟ์ ที่ Aden อ้างว่าเป็นเส้นทางที่อันตรายจากพวกโจรป่าที่มีอยู่เป็นระยะๆ ในที่สุดหมู่บ้านดาร์คเอลฟ์ก็ถูกผนวกเข้ากับ Adenโดยเสียภาษีผ่านทางลอร์ดแห่ง Oren ถึงแม้พวกดาร์คเอลฟ์จะไม่ค่อยเต็มใจนักแต่ก็ไม่สามารถที่จะหาทางออกที่ดีกว่านี้ได้

    กาลเวลาผ่านไปนับร้อยปี ความหวาดระแวงระหว่างชนเผ่าแม้จะยังมีอยู่ แต่ก็เบาบางลงด้วยความยาวนานแห่งกาลเวลา ความเป็นเอกภาพแห่ง Aden เริ่มสั่นคลอน ถึงแม้เปลือกนอกจะยังดูเหมือนเดิม แต่ลอร์ดแห่งเมืองต่างๆเริ่มสั่งสมกำลังเพื่อป้องกันตนเอง ยุคแห่งขุนศึกกำลังเริ่มขึ้น การแย่งชิงอำนาจของเหล่าขุนศึกเริ่มเปิดฉาก ผู้มีกำลังเข้มแข็งจะยึดเมืองกอบโกยผลประโยช และรอเวลาที่จะมีคนกลุ่มใหม่เข้ามายึดอำนาจซ้ำอีกครั้งหมุนเวียนเป็นวัฏจักร เหล่านักรบได้รวมตัวกันเป็นกองกำลังย่อยๆมากหมายหลายกลุ่ม บางกลุ่มก่อตั้งขึ้นมาเพื่อคุ้มกันพวกพ้องของตนเองจากการทำร้ายของกลุ่มอื่น ในที่สุดทาง Aden ก็ทำการควบคุมความวุ่นวายนี้ก่อนที่จะลุกลามเป็นสงครามกลางเมืองอีกครั้ง มีการประกาศห้ามรวมตัวกันของเหล่านักรบอิสระ หรือทหารรับจ้างมากกว่า 10 คนขึ้นไปโดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากทางการ ผู้ที่ต้องการตั้งกองกำลังย่อยของตนขึ้นมาจะต้องไปขึ้นทะเบียนกับเจ้าหน้าที่ในเมืองต่างๆ ระบบดังกล่าวได้ถูกเรียกในภายหลังว่าแคลน ซึ่งเปรียบเสมือนการรวมตัวของกลุ่มนักรบรับจ้าง หรือนักรบอิสระที่มีอุดมการณ์เดียวกัน ในกรณีที่ผู้สังกัดแคลนที่ขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้องเกิดการขัดแย้งจนต้องห้ำหั่นกันเองจะไม่ถือเป็นการผิดกฏหมายอย่างใด

    บัดนี้ยุคสมัยแห่งการเกลียดชังระหว่างชนเผ่ากำลังจบสิ้นลง ยุคแห่งเกียรติยศและศักดิ์แห่งนักรบกำลังจะเริ่มขึ้น ชนเผ่าต่างๆเริ่มเรียนรู้ว่าการจะปลดแอกตนเองจากการปกครองนั้น คือต้องก้าวสู่การปกครองคนอื่นแทนเสีย


    ****บทโหมโรงก่อนเข้าเนื้อหาของนิยายค่ะ จริงๆแล้วคนที่ไม่เคยเล่นเกมสฺ์นี้อาจจะยังงงๆอยู่บ้างถึงเผ่าต่างๆ แล้วจะมาเขียนนอกรอบถึงต้นกำเนิดอีกทีค่ะ
  2. swanton

    swanton Dragon on Board

    EXP:
    1,424
    ถูกใจที่ได้รับ:
    69
    คะแนน Trophy:
    113
    อื้อหือ ยอดทีเดียวครับ บรรยายได้ดีมาก เหมือนกับอ่านตำนานจริงๆเลย (บอกตามตรง อ่านเพลินมาก ผมชอบอ่านบรรยายเชิงประวัติศาสตร์แบบไร้บทสนทนาแบบนี้ที่สุด ซึ่งน๊านนานทีถึงจะได้เห็นทางบอร์ดเราบ้าง) ไม่ว่าจะอิงเค้าโครงจากเกม หรือแต่งเอง ผมก็ชอบการผูกโยงเรื่องราว การกำเนิดของอาณาจักรเผ่าพันฑุ์ต่างๆแบบนี้ที่สุด เผ่าแต่ละเผ่าก็น่าสนใจสุดๆ ถึงจะคล้าย Lords แต่ผมก็ชอบอ้ะ ทำให้นึกถึงนิยายตัวเองในกรุเลยครับ เพราะเราก็มีดาร์คเอลฟ์เหมือนกัน(แถมรบกับเอลฟ์เหมือนกันด้วย แต่ของผมไม่มีออร์คกับดวอร์ฟนะ)

    ไม่รู้จะชื่นชมยังไงถึงจะถูกแต่... มันให้อารมณ์เกียรติยศลูกผู้ชาย วีรบุรุษอัศวินอะไรประมาณนั้น ถ้าบทต่อๆไปเป็นแบบบทโหมโรงโดยไม่แฟนตาซีจ๋าเกินไป จะสมดุลมากเลยครับ เห็นฟิคนี้แล้วทำให้ตัวผมเองอยากกลับไปต่อนิยายในกรุบ้างจังแฮะ

    ด้านการบรรยาย ถือว่าดีมาก เพราะคำผิดน้อย คำวิบัติไม่มี สรรคำได้สมกับอารมณ์เนื้อเรื่อง ดีเยี่ยมสำหรับเด็กใหม่ที่เข้ามาในบอร์ด(ซึ่งมักเต็มไปด้วยภาษาวิบัติ และมีการบรรยายที่แปร่งเป็นส่วนใหญ่) จุดด้อยนิดหนึ่งก็คือ มันติดกลิ่น Lords มามากไปหน่อย มีช่วงท้ายๆที่เริ่มกลายเป็นแนวคิง อาเธอร์บ้าง แต่จะรอดูตอนต่อไปมากกว่า เพราะบางทีเอกลักษณ์ฟิคก็ออกมาเอาตอนหลังๆครับ

    เอาใจช่วยนะครับ
  3. chinagirl

    chinagirl New Member

    EXP:
    3
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    ขอบคุณสำหรับคำติชมนะคะ ยอมรับค่ะว่ามันมีกลิ่นอายของ Lord เพราะเกมส์ที่เราเอามาแต่งนี้ มีกลิ่นอายของลอร์ดแบบสุดๆ ขนาดเพลงที่ใช้บรรเลงในเกมส์นี้ คนแต่งก็คนเดียวกับที่ทำเพลงประกอบเรื่องลอร์ดน่ะค่ะ

    สำหรับเราแล้วคิดว่าลอร์ดคือต้นแบบเกมส์และนิยายแนวแฟนตาซีส่วนใหญ่ด้วยซ้ำ นิยายเรรื่องลอร์ดสำหรับเรามันยิ่งกว่ากว่านิยายซะอีก

    ส่วนตอนต่อไปคงเริ่มเข้าบทสนทนา ติชมได้เต็มที่นะคะ เราอยากพัฒนาฝีมือดว้ยคำติชม มากกว่าที่จะชมโดยเพียงผ่านๆ จะติก็ได้ไม่ว่าค่ะ เราจะได้เอาไปปรับปรุงตัวเอง ตอนต่อไปอีกซักวันจะเอามาลงนะคะ
  4. chinagirl

    chinagirl New Member

    EXP:
    3
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    ตอนที่ 1

    แสงแดดอ่อนๆ ส่องรอดแนวไม้ลงมายังผืนดินเบื้องล่าง ความหนาแน่นของต้นไม้ใหญ่ลดความร้อนแรงของแสงอาทิตย์ลงจนเหลือเพียงแสงสลัวๆ ความจริงแล้วดินแดนแห่งนี้นับว่าเป็นสถานที่ที่แสงแดดอ่อนแสงมากนักแม้ในยามเที่ยงวันก็ตาม แต่กระนั้นเจ้าของดินแดนแห่งนี้ก็ยังรู้สึกไม่ชอบใจอยู่ดี

    แม้บรรยากาศในดินแดนแห่งนี้จะดูไม่สดใสนักในสายตาของชนเผ่าอื่นก็ตาม แต่เสียงดนตรีที่ส่งเสียงเบาๆ ไปทั่วบริเวณย่อมบ่งบอกถึงบรรพบุรุษของชนเผ่านี้ได้เป็นอย่างดี เสียงดนตรีของเหล่าแฟรี่ส่งเสียงขับกล่อมดินแดนแห่งนี้ตลอดทั้งกลางวันกลางคืน มันทำให้ดินแดนที่ดูหม่นมัวแห่งนี้น่าอภิรมย์ขึ้นมาก
    เสียงต่อสู้ดังมาจากด้านหนึ่งของป่า เป็นเสียงกระทบกันของดาบ สลับกับเสียงคำรามดุร้ายของพวกออร์คที่กระจายตัวอยู่กันตามดินแดนแถบนี้

    “ฮึ้บ!! บ้าชะมัดทำไมเจ้าพวกนี้มันถึงได้อึดนักนะ”

    หญิงสาวร่างหนึ่งบ่นพลางรวบรวมกำลังทั้งหมดฟาดเข้าไปที่หัวของเบรคาออร์คที่กำลังจู่โจมเข้ามา ด้วยความแรงของแรงฟาด คมดาบผ่าทะลุหมวกเหล็กของมันจนผ่าเอาหัวของออร์คเคราะห์ร้ายแยกเป็นสองเสี่ยง หงายหลังนอนตายในทันทีนั้นเอง

    เสียงลูกธนูดังแหวกอากาศมาจากด้านหลัง โล่จากอีกมือหนึ่งถูกยกขึ้นรับอย่างทันท่วงที ยังไม่ทันที่ดอกที่สองจะถูกส่งตามมา นางก็เข้าถึงตัวมือธนูเบรคาออร์คและปลิดชีวิตมันอย่างง่ายดาย
    เมื่อหยัดกายขึ้นมองดูไปรอบๆอีกครั้ง ศพของพวกเบรคาออร์คจำนวนหนึ่งนอนตายเกลื่อนกลาด บางจุดมีซากของเห็ดยักษ์นอนตายอยู่ หญิงสาววิ่งไปตามศพต่างๆของพวกออร์ค พร้อมทั้งค้นเอาสร้อยคอของพวกมันขึ้นมารวบรวมเอาไว้ที่ถุงหนังข้างตัว ส่วนอีกถุงนึงนั้นนางนำเอาสปอร์ของพวกเห็ดที่ฆ่าได้ใส่รวบรวมไว้

    “เฮ้อได้สปอร์ของเห็ดครบจำนวนซะที สร้อยคอของเจ้าเบรคาพวกนี้ก็ได้มาเยอะพอดู กลับไปขึ้นเงินรางวัลได้แล้วละมั้งเรา อุ๊บ!!”
    นางรู้สึกเจ็บแปลบบริเวณต้นแขนข้างหนึ่งเมื่อหันไปดูปรากฏว่ามีแผลที่เกิดจากคมดาบ มีเลือดไหลซึมออกมา
    “สงสัยตอนสู้กับพวกออร์คเมื่อตะกี้ละมั้ง”

    หญิงสาวคิดในใจพลางหยิบเอายาขวดเล็กๆขึ้นมา ภายในขวดมีของเหลวสีแดงสดราวกับเลือด เมื่อเปิดขวด กลิ่นที่กำจายออมาบ่งให้รู้ว่ามันถูกสกัดจากสมุนไพรหลายๆชนิด ส่งกลิ่นหอมอวล นางจัดการดื่มไปจนเกือบหมดขวด อีกส่วนหนึ่งก็เทราดที่บาดแผล ถึงแม้จะรู้สึกแสบอยู่บ้าง แต่แผลนั้นเริ่มสมานตัวอย่างรวดเร็ว

    “เฮ้อค่อยยังชั่วหน่อย แต่ยากับเสบียงก็ใกล้หมด แถมจะมืดแล้ว คงต้องกลับเข้าหมู่บ้านเสียทีล่ะ”

    หญิงสาวเริ่มทำการเก็บสัมภาระไว้กับตัว แล้วบ่ายหน้ากลับไปยังหมู่บ้านของตนทันที เพียงวิ่งพ้นแนวป่าไปได้ไม่นานภูเขาหินทะมึนลูกหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า ทางด้านล่างมีช่องทางเข้าเจาะเป็นถ้ำเข้าไปในภูเขาหินนั้น แสงสว่างจากดวงประทีปที่ให้แสงสว่างภายในลอดออกมาลางๆ นางยิ่งเร่งฝีเท้าให้เร็วยิ่งขึ้น ตอนนี้ในหัวคิดถึงแต่เตียงนุ่มๆ และอาหารเลิศรสที่คอยอยู่

    หน้าปากทางเข้ามีเซนทรีสองคนยืนเฝ้าอยู่ ใบหน้าคอยจับสังเกตทุกชีวิตที่เดินผ่านเข้าออกจากระแวดระวัง เมื่อนางเดินเข้ามาใกล้ 1 ใน 2 ขอยามที่เฝ้าปากทางเอ่ยทักอย่างคุ้นเคย

    “ว่าไงอายรันเดียร์ คราวนี้เจ้าหายไปเกือบอาทิตย์เลยนะ คงไปล่ามาได้เยอะล่ะซิ”
    “ก็พอสมควรนะท่านเนที คงได้เงินพอคุ้มกับที่เหนื่อยบ้างล่ะน่า แต่ตอนนี้นะ ข้าน่ะคิดถึงเตียงนุ่มๆ กับอาหารอร่อยๆเต็มทีแล้ว”
    หญิงสาวเจ้าของชื่ออายรันเดียร์เอ่ยตอบอย่างอารมณ์ดี

    “พวกท่านผู้เฒ่าถามหาเจ้ามาสองวันแล้วล่ะ คงจะมีงานมอบหมายให้เจ้าทำละมั้ง ถ้าพักผ่อนเต็มที่แล้วลองแวะไปหาดูซิ”
    ยามอีกคนเอ่ยปากเตือน ท่านผู้เฒ่าที่นางเอ่ย คือกลุ่มเอลฟ์อาวุโสที่มีหน้าที่ดูแล และปกครองดินแดนของเผ่าตนอยู่นั่นเอง

    “เฮ้อ สงสัยจะให้ข้าไปทำงานน่าเบื่ออีกตามเคย ขอให้ได้ค่าตอบแทนดีๆ หน่อยก็แล้วกัน ข้าอยากจะได้อาวุธใหม่ๆ ซะด้วยซิ”

    อายรันเดียร์เอ่ยปากรับคำพร้อมทั้งบอกลาเพื่อเข้ายังด้านในของผู้บ้าน ทางเดินลาดลงสู่หมู่บ้านคดเคี้ยวและลึกเข้าไปเรื่อยๆจนถึงใจกลางภูเขา ผู้ที่ไม่เคยเข้ามา มักจะคิดว่าทางเดินนั้นเป็นหินแข็งๆ แต่จริงๆ แล้วกลับนุ่มและยืดหยุ่นราวกับเดินอยู่บนพื้นหญ้า จนเมื่อมาถึงจุดในสุด เบื้องหน้านั้นคือ ห้องโถงขนาดมหึมา เพดานอยู่สูงไปจนมองแทบไม่เห็น ด้านในถูกสลักเสลาด้วยลวดลายอย่างงดงาม
    มีดวงประทีปจุดสว่างไสวไปทั่ว ในที่นี้ คือหมู่บ้านของชาวเผ่าดาร์คเอลฟ์ เผ่าแห่งรัตติกาล ตัวหมู่บ้านนั้นถูกเจาะเข้าไปยังภูเขาหินขนาดยักษ์โดยฝีมือของเหล่าคนแคระผู้ซึ่งเป็นเลิศในการสรรสร้าง ภายในถูกแกะสลักด้วยลวดลายวิจิตร อาคารต่างๆสร้างขึ้นอย่างสวยงามลวดลายอ่อนช้อย สีของอาคาร และผนังภายในเปล่งประกายคล้ายสีทองด้วยแร่ธรรมชาติบางอย่างที่อยู่ในภูเขาลูกนี้ ตรงจุดศูนย์กลางมีมือหนึ่งโผล่ยื่นขึ้นมาจากใต้ดินที่ลึกลงไปจนมองหาที่สุดไม่เจอ นั่นคือมือแห่งเทพชิเลน เทพสูงสุด และเป็นเทพมารดาของชาวดาร์คเอลฟ์ ทำให้ผู้ที่เข้ามาเป็นครั้งแรกล้วนต้องตะลึงในความอลังการของเมืองใต้ดินแห่งนี้

    อายรันเดียร์เดินตรงไปยังร้านขายอุปกรณ์ต่างๆ เมื่อเจ้าของร้านเห็นนาง ก็ทักอย่างยินดี
    “ว่าไงอายรันเดียร์คราวนี้เจ้าหายไปเสียนานเลยนะ ของที่ให้ช่วยหาได้มาครบมั้ย?”
    “เจอหน้าข้าท่านก็ถามถึงของเลยนะ นี่ไงละ นับดูซิว่าครบตามจำนวนมั้ย” นางวางถุงหนังที่ปลดจากเอวลงบนเคาเตอร์
    “โอ้นี่สปอร์เห็ดพิษชั้นดีเลยนะนี่ ครบตามที่สั่ง เอ้านี่เงินกับของที่ข้าสัญญาไว้”
    เจ้าของร้านหนุ่ม ส่งเงินพร้อมกับของอีกจำนวนหนึ่งให้ตามสัญญาว่าจ้าง อายรันเดียร์เอาเงินค่าจ้างรวมไว้กับเงินที่นางสะสมเอาไว้
    “เฮ้อ ได้เงินมาแบบนี้ข้าค่อยหายเหนื่อยหน่อย ว่าแต่นอกจากงานนี้แล้ว พอจะมีงานอะไรเงินดีๆ แนะนำข้าได้บ้างอีกมั้ย”
    “นี่ เจ้าสนใจงานของข้ามั้ยละ พอดีข้ากำลังทดลองปลูกอะไรบางอย่างอยู่ แต่ยังขาดของบางอย่างน่ะ ข้าให้ราคาดีนะ”
    หญิงสาวที่ขายของอีกคนหนึ่ง ยื่นข้อเสนอ
    “หือ งานอะไรล่ะ ถ้าเงินดีข้าก็สน” อายรันเดียร์เอ่ยปากถามอย่างสนใจ
    “คืองี้ ข้ากำลังทดลองปลูกแมนดาโกร่าดู แต่ว่าขาดส่วนผสมบางอย่างทีจะใช้เป็นปุ๋ย ข้าจะให้เจ้าช่วยหาหนังหัวของพวกซอมบี้ที่อยู่ในบึงมรณะมาให้ข้าหน่อย รับรองว่าข้าให้ราคาดีแน่นอน”
    “อืม น่าสน ยังไงข้าก็ต้องล่าพวกออร์คแถวนั้นอีกซักพัก ว่าแต่ช่วยหยิบกระสุนวิญญาณให้หน่อยซิ ที่ซื้อไปคราวที่แล้วเริ่มจะหมดล่ะ แล้วก็ขอซื้อยารักษาเพิ่มให้ด้วยนะ”

    อายรันเดียร์สั่งของที่ต้องการ พร้อมทั้งล้วงเอาถุงเงินขึ้นมาจ่ายเป็นราคาของ
    “โอ้โห เจ้านี่เก็บเงินได้ขนาดนี้แล้วหรือนี่ ไม่ใช่น้อยๆเลยนะ พอจะซื้อดาบที่ดีที่สุดของร้านในหมู่บ้านได้เลยนะนี่”
    เจ้าของร้านทักอย่างแปลกใจเมื่อเห็นเงินจำนวนมากที่อยู่ในถุงเงินของอายรันเดียร์ จำนวนเงินของมันมากพอสมควรสำหรับนักรบฝึกหัดแบบนาง ที่จะสามารถนำไปซื้ออาวุธและชุดเกราะอย่างดีใส่ได้อย่างสบาย
    อายรันเดียร์ยิ้มรับน้อยๆอย่างอารมณ์ดี

    “ข้าจะเก็บเอาไว้ซื้ออาวุธหลังจากได้เลื่อนระดับแล้วน่ะ ถึงจะดูมากก็เถอะ เงินแค่นี้ คงได้แค่ซื้อดาบระดับกลางๆ เท่านั้น ยังต้องสะสมอีกเยอะ สำหรับชุดเกราะ”
    “งั้นข้าขอให้เจ้าเก็บได้ไวๆ ก็แล้วกัน เอ้านี่ของๆเจ้า ขอให้โชคดีนะ ข้ายินดีทำการค้ากับเจ้าเสมอ”
    เจ้าของยิ้มพลางส่งของที่สั่งให้กับอายรันเดียร์ นางเอ่ยปากลา พร้อมทั้งมุ่งตรงไปยังโกดังสินค้าประจำเมืองทันที
    “ว่าไงอายรันเดียร์ วันนี้มีอะไรให้ข้าช่วยบ้างล่ะ” คนแคระที่คอยดูแลโกดังสินค้าทักอย่างอารมณ์ดี
    “มาฝากของหน่อยน่ะ ข้าขอฝากเงิน กับวัตถุดิบอีกนิดหน่อย แล้วก็นี่ สัมภาระ อีกวันสองวัน ข้าถึงจะมารับกลับ”
    อายรันเดียร์เอาของบางส่วนฝากไว้กลับคนแคระที่มาเปิดกิจการรับฝากของที่หมู่บ้านแห่งนี้ ถึงพวกคนแคระจะดูโลภ และมองทุกอย่างเป็นผลประโยชไปหน่อย แต่ก็เป็นพวกที่ซื่อสัตย์ และรักษาสัญญาเสมอ
    “เอ้านี่ใบรับของคืน ทั้งหมด 380 อเดน่า ขอบใจที่มาใช้บริการข้าเสมอ”
    “ไม่เป็นไร ว่าแต่เจ้าเถอะ เดี๋ยวนี้ยังใช้มุขโดนพวกข้าจับมาใช้ทำงาน แล้วหลอกฝากบัญชีรายได้ไปให้กับสมาคมเจ้าอีกเปล่า”
    “ฮ่าๆๆ ก็ยังมีบ้าง แต่เจ้าก็รู้นี่นา ถึงไงพวกคนแคระอย่างข้าก็ไม่เคยขอแรงใครฟรีๆหรอก เออ เมื่อวานนี้ข้าเห็นทางกลูดิโอเอาสินค้ามาส่งที่ร้านอาวุธนะ เจ้าลองไปดูซิ เผื่อมีอะไรใหม่ๆที่เจ้าต้องการ”
    “คงไม่ล่ะ ของที่ข้าต้องการคงหาไม่ได้ในหมู่บ้านนี้หรอก เฮ้อหิวชะมัด ยังไงก็ฝากดูแลสินค้าของข้าด้วยนะ ข้าไปล่ะ”

    อายรันเดียร์มุ่งตรงไปยังร้านอาหารแห่งหนึ่งที่เปิดอยู่ในหมู่บ้านนี้ ภายในร้านอาหาร เสียงจอแจไปทั่ว ลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นพวกดาร์คเอลฟ์เช่นเดียวกับตน แต่ก็มีบางส่วนที่เป็นพวกเผ่าพันธุ์อื่นมาเพื่อทำธุระ หรือไม่ก็ติดต่อการค้า ซึ่งมักจะเป็นพวกมนุษย์ และคนแคระเป็นส่วนมาก
    อายรันเดียร์เลือกที่จะนั่งมุมที่ห่างจากกลุ่มพวกมนุษย์ที่จับกลุ่มกินอาหารอยู่มุมหนึ่ง ถึงอย่างไรเสียอคติระหว่างนางกับชนเผ่ามนุษย์ก็ยากที่จะเลือนหรือแกล้งหลงลืมไปได้โดยง่าย

    “เฮ้ว่าไงสาวน้อย มานั่งหลบมุมอยู่นี่เอง ว่าไงออกล่าคราวนี้ทำเงินได้เท่าไหร่ล่ะ”
    เสียงมนุษย์คนหนึ่งเอ่ยทักขึ้นพร้อมทั้งมานั่งที่โต๊ะตรงข้ามอย่างถือวิสาสะ นางเงยมองมองขึ้นนิดหนึ่งแล้วก็ก้มหน้าจัดการอาหารตรงหน้าต่ออย่างไม่ใยดี
    “นี่ อย่างน้อยเราก็รู้จักกันมาตั้งนานแล้วนะ เจ้าจะญาติดีกับข้าบ้างไม่ได้หรือไงกัน”
    “สามเดือน ข้ากับเจ้าเพิ่งรู้จักกันได้แค่นั้น และเป็นการรู้จักกันโดยบังเอิญโดยที่ข้าไม่ต้องการซักนิด” อายรันเดียร์ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
    “ให้ตายซิ พวกเจ้านี่ยังเป็นพวกมนุษย์สัมพันธ์แย่ได้อย่างเสมอต้นเสมอปลายเลยนะ เออนี่เจ้ารู้เรื่องที่ลอร์ดแห่งโอเรนประกาศจะขึ้นภาษีหรือเปล่า”
    อายรันเดียร์ชะงักพร้อมเงยหน้าขึ้นมองอย่างสงสัย
    “ขึ้นอีกแล้วหรอ ในรอบสองเดือนมานี้ ภาษีขึ้นมาสามครั้งแล้วนะ แบบนี้พวกข้าก็แย่น่ะซิ ว่าแต่ข่าวที่เจ้าได้มาน่ะ แน่ใจแล้วหรือไงเคย์”
    “ก็ถือว่าค่อนข้างแน่นอนล่ะ ข้าก็พลอยแย่ไปกับเจ้าด้วยนั่นแหละ จริงๆ แล้วหมู่บ้านของเจ้าเนี่ย แหล่งการค้าชั้นดีสำหรับพวกข้าเลยนะ อุตส่าห์เก็บเงินเดินมาทางจากเกาะเพื่อมาที่หมู่บ้านนี้โดยเฉพาะเลยนะ”

    เคย์กล่าวตอบอย่างอารมณ์เสีย เขาสู้อุตส่าห์เก็บเงินค่าเดินทาง เพื่อมาจากเกาะพูดได้ บ้านเกิดของตนเพื่อที่จะมาแสวงหาโชคยังหมู่บ้านแห่งนี้ และมันไม่ทำให้เขาผิดหวังจริงๆ ที่หมู่บ้านของพวกดาร์คเอลฟ์มีงานรับจ้างให้เลือกมมากมาย แถมแต่ละอย่างก็ทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำเสียด้วย

    “โชคดีหน่อยที่ข้าซื้อของตุนไว้สำหรับการล่าคราวหน้าเรียบร้อยแล้ว ว่าแต่ตอนนี้เจ้ารับจ้างทำอะไรอยู่ล่ะ”
    “อืมม ข้ารับจ้างหาถุงพิษของแมงมุมยักษ์น่ะ เงินดีน่าดูเลยนะ นี่ข้าเก็บเงินจนซื้อชุดเกราะบรอน กับดาบยาวเล่มนี้ได้แล้วล่ะ”

    เคย์พูดพลางเอาดาบประจำตัวของตนให้ดู ตัวดาบค่อนข้างยาว ส่องประกายเงาวับ พลังการโจมตีของมันอยู่ในระดับสูงสำหรับอาวุธของพวกนักรบฝึกหัดที่น้อยคนที่จะหามาใช้ได้

    “เจ้าเก็บเงินได้เก่งพอใช้นี่นา แต่ระวังไว้หน่อยละ แมงมุมพวกนั้นปล่อยพิษได้ คราวนี้เจ้าอาจจะไม่โชคดีอย่างในตอนที่เจอข้าหรอกนะ”

    อายรันเดียร์กล่าวพูดเตือนเคย์ถึงเมื่อเหตุการณ์เมื่อสามเดือนก่อน นางไล่ล่าพวกเบรคาออร์คติดพันไปจนใกล้เขตของพวกแมงมุมยักษ์ ก็ไปเจอเคย์นอนสลบอยู่ข้างทาง ข้างๆตัวมีแมงมุมพิษยักษ์ตัวหนึ่งนอนตายอยู่ ท่าทางเขาจะโดนพิษของแมงมุมจนสลบไป นางจึงเอายาแก้พิษที่พกติดตัวมารักษาให้ โชคยังดีที่พิษไม่รุนแรงนัก ไม่นานเขาจึงฟื้นขึ้นมาได้
    เมื่อคุยสอบถามกันได้ไม่นานจึงได้ทราบว่าเคย์ออกมาจากเกาะพูดได้และรับจ้างไล่ล่าพวกแมงมุมอยู่ แต่เกิดพลาดโดนพิษบาดเจ็บ ยาแก้พิษที่พกมา ก็หมดพอดี หลังจากนั้นเมื่อเจอกันเคย์มักจะแวะมาทักทายอายรันเดียร์อย่างยินดี เขาบอกเสมอว่าเป็นหนี้ชีวิตตน และจะต้องตอบแทนให้ได้ในซักวัน

    อายรันเดียร์เองก็ไม่ได้คาดหวังในคำพูดของเคย์มากนัก ปรกติคำพูดมนุษย์มักกลับกลอกเชื่อถือได้ยากอยู่แล้ว นางจึงไม่ได้ใส่ใจในคำสัญญาของเขามากนัก

    “วางใจเถอะน่าคราวนี้ข้าไม่ประมาทเหมือนก่อนอีกแล้วล่ะ อ้อข้ามารอเจ้าเพื่อที่จะบอกลาด้วยนะ ข้าจะไปเข้ารับการทดสอบเพื่อจะเป็นไนท์แล้ว เราคงไม่ได้เจอกันซักพักนึง ข้าเลยอยากให้เจ้ารับรู้ไว้ก่อน”
    “หือ” อายรันเดียร์ส่งเสียงอย่างประหลาดใจ
    “เจ้าอยู่รอเพื่อจะบอกข้าเรื่องนี้น่ะหรอ ออกเดินทางแต่ละครั้งข้ามีกำหนดกลับไม่แน่นอน แบบนี้เจ้าไม่รอแย่หรือไง ทำไมไม่ฝากจดหมายไว้ที่โกดังล่ะ จะได้ไม่ต้องเสียเวลาคอย
    “ไม่ล่ะข้าอยากบอกเจ้าด้วยตัวเองมากกว่า ข้าไปล่ะ เลยกำหนดเดินทางของข้ามาหลายวันแล้ว แล้วเจอกันหลังจากข้าเป็นไนท์แล้วนะ ไปล่ะสาวน้อย”
    “ขอให้พรแห่งอเวจีจงคุ้มครองเจ้า” อายรันเดียร์อวยพรให้กับเขาตามแบบฉบับดาร์คเอลฟ์ทั่วไป
    “โอ้โห ปรกติพวกเจ้าไม่เคยพูดแบบนี้กับคนต่างเผ่าเลยนี่นา แบบนี้ข้าคงต้องโชคดีในการทดสอบแน่ๆ”

    พูดจบเข้าก็ออกไปจากที่นั่นอย่างรวดเร็ว นี่คงต้องรีบเดินทางพอดู พวกมนุษย์นี่ชอบทำอะไรประหลาดๆแฮะ แต่ยังไงก็ขอให้เจ้าโชคดีละกัน อายรันเดียร์รำพึงกับตัวเองอย่างไม่ค่อยจะเข้าใจพวกมนุษย์มากนัก แต่นางไม่มีเวลาจะขบคิดเรื่องเล็กน้อยแบบนี้ คำบอกของเซนทรีเรื่องท่านผู้เฒ่าต้องการพบทำให้นางรีบจัดการอาหารตรงหน้าให้เสร็จโดยเร็ว
    กลุ่มผู้อาวุโสยืนเป็นสง่าอยู่เบื้องหน้าของอายรันเดียร์ ทุกคนล้วนมีริ้วรอยแห่งการเวลา บางคนเป็นผู้สอนทักษะการต่อสู้ให้นางด้วยซ้ำ ยามปรกติพวกผู้อาวุโสมักจะไม่มีการเรียกประชุมแบบพร้อมเพรียงแบบนี้ โดยมากจะเป็นการเรียกเพื่อพบแบบตัวต่อเสียมากกว่า แสดงว่างานที่จะมอบหมายในครั้งนี้เป็นงานที่ค่อนข้างจะสำคัญพอสมควร
    ผู้อาวุโสซีเฟียลเอ่ยขึ้นหลังจากพิจารณาหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าอยู่ชั่วครู่

    “ข้าได้รับรายงานเรื่องความก้าวหน้าของเจ้ามาพอสมควร ผลงานของเจ้าที่ได้รับจากกลุ่มผู้อาวุโสเป็นที่น่าพอใจมาก เจ้าคิดได้หรือยังว่าจุดมุ่งหมายภายหน้าของเจ้าคืออะไร”
    “ข้าต้องขออภัยด้วย เทพชิเลนคงยังไม่คิดจะนำทางข้าในเรื่องนี้ ข้ายังคงไม่ได้ยินเสียงกระซิบแห่งท่าน”
    “อืม แล้วเจ้าเองเล่า คิดจะมุ่งไปในทางใด”
    “วิญญาณภายในตัวข้ายังคงสงบนิ่งต่อเรื่องนี้ท่านผู้อาวุโส” อายรันเดียร์เอ่ยตอบอย่างสุภาพ
    “เอาเถอะ ถึงอย่างนั้นเจ้าควรที่จะเริ่มวางแผนให้กับจุดหมายของเจ้าให้ดี นับวันผู้สืบสายเลือดบริสุทธิ์เช่นเจ้า ยิ่งมีน้อยลง จงระลึกไว้เสมอว่าสักวันหนึ่งหน้าที่ของพวกเจ้าคือมายืนอยู่ตรงนี้แทนพวกข้า”
    “สายเลือดบริสุทธิ์ ชนชั้นปกครอง ใช่ซิ ถ้าข้าอายุยืนพอ ไม่ตายลงไปซะก่อนในสนามรบนะ”

    อายรันเดียร์รำพึงอยู่ในใจ พลางนึกไปถึงสัญลักษณ์แห่งชิเลนที่อยู่บนหน้าผากของนาง สัญลักษณ์แห่งสายเลือดบริสุทธิ์ หรือแท้จริงคือสายเลือดของเหล่าเอลฟ์เจ้า เมื่อครั้งยังคงรวมอยู่กับพี่น้องที่น่าชิงชัง พวกเอลฟ์นั่นเอง นานนับหลายชั่วอายุคนมาแล้วที่ต้นตระกูลของนางคือเหล่าเอลฟ์ที่ร่วมกันปกครองโลกนี้หลังจากที่พวกยักษ์พากันหลบเทพทันฑ์ของไอฮัดซาท จนเมื่อเหล่าเอลฟ์ถูกล่อลวงและหักหลังโดยพวกมนุษย์จนแตกแยกเป็นสองกลุ่ม ต้นตระกูลของนางเลือกที่จะภักดีต่อผู้ให้กำเนิด เทพชิเลนมากกว่าที่จะรักตัวกลัวตายจนลืมมารดาผู้ให้กำเนิด สงครามระหว่างพี่น้องอุบัติ คำสาปของเหล่าเอลฟ์ให้ทำรอยร้าวกว้างจนยากจะประสาน
    นานนับร้อยปีกว่าที่เหล่าดาร์คเอลฟ์จะถอนคำสาปนั้นและออกมาอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ได้อีกครั้ง ด้วยความภักดีต่อเทพชิเลนไม่เสื่อมคลาย นางได้ประทานพรแก่ผู้ภักดี แน่นอนชีวิตอมตะย่อมสืบทอดต่อมาในหมู่ชาวเอลฟ์ไม่ว่าพวกเขาจะเปลี่ยนไปในรูปแบบใดก็ตาม เหนือจากนั้นคือเหล่าผู้ที่เรียกว่า “ผู้ได้รับพรแห่งอเวจี” เด็กสาวที่ตาบอดแต่กำเนิด หากแต่สามารถติดต่อกับโลกแห่งความตายได้อย่างเสรีราวกับการเดินเล่นบนทุ่งหญ้าธรรมดา และอีกหนึ่งนั้นคือ สัญลักษณ์แห่งชิเลนที่จะประทับบนหน้าผากของผู้ที่มีสายเลือดเอลฟ์ผู้ปกครองนับแต่ครั้งบรรพกาล
    ทุกวันนี้ ผู้มีสัญลักษณ์นี้นับวันจะลดน้อยลง เนื่องด้วยชาวดาร์คเอลฟ์มีมุมมองในเรื่องการครองคู่และความรักที่แตกต่างจากเผ่าพันธุ์อื่น และทั้งจากในภาวการณ์ต่อสู้ที่เกิดเสมอๆ ทำให้ผู้มีสัญลักษณ์นี้ล้มตายลงจนไม่สมดุลกับอัตราการเกิด แต่ถึงอย่างนั้น ผู้ที่มีสัญลักษณ์นี้ ก็ได้รับความนับถืออย่างสูงในหมู่ชาวดาร์คเอลฟ์ และรับรู้กันโดยทั่วไปในหมู่ชนต่างเผ่า โดยเฉพาะหากผู้ที่มีสัญลักษณ์นี้คือ “เพศหญิง” เพศที่สังคมดาร์คเอลฟ์ให้ความนับถือโดยปรกติ และมีบทบาทสำคัญเสมอในการปกครองและการพิจารณาโทษเหล่าดาร์คเอลฟ์ทั่วไป และนี่อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้อายรันเดียร์ถูกเรียกตัวมาในวันนี้ก็ได้

    “เฮ้อที่ข้าเรียกเจ้ามาในวันนี้เพราะว่าถึงเวลาที่เจ้าจะต้องเข้ารับการทดสอบจากเหล่าผู้อาวุโสแล้ว หากเจ้ายังไม่ได้ตัดสินใจเลือกหนทางของตนเอง จงรีบคิดเสีย อย่าปล่อยให้เวลาผ่านเลยไปโดยไร้ประโยช”
    “แต่ข้า...” อายรันเดียร์เอ่ยปากเพื่อจะแย้ง หากแต่ซีเฟียลโบกมือห้ามไว้เสียก่อน
    “เจ้าไปได้แล้วอายรันเดียร์ ธุระของข้าที่จะพูดกับเจ้ามีเพียงเท่านี้ บางครั้งการชี้นำของเทพชิเลน ก็มาในรูปแบบที่เรานึกไม่ถึง ข้าขอให้เจ้าเปิดใจรับสิ่งต่างๆให้ดี ขอพรแห่งอเวจีจงอำนวยโชคให้เจ้า”

    อายรันเดียร์ทำความเคารพก่อนจะหายไปในความมืดอย่างเงียบๆ

    “เฮ้อนึกว่าจะมีงานดีๆให้ทำ โดนเรียกมาเทศน์เสียได้”

    ทำไมจึงยังไม่สามารถที่จะเลือกหนทางของตัวเองได้ นางเองก็ไม่สามารถเข้าใจตนเองได้เหมือนกัน นางรู้สึกเพียงว่า มันยังไม่ถึงเวลา ลางสังหรณ์บอกให้อายรันเดียร์เลือกที่จะคอย แต่จะคอยอะไรนั้น นางสุดที่จะหยั่งถึงได้
  5. swanton

    swanton Dragon on Board

    EXP:
    1,424
    ถูกใจที่ได้รับ:
    69
    คะแนน Trophy:
    113
    บทสนทนาละเอียดมาก ขณะที่เนื้อเรื่องยังไม่ค่อยไปไหนสักเท่าไร จะว่าดีก็ดี จะว่ายืดก็แอบยืดนะครับ

    คำผิดมีเล็กๆน้อยๆ เช่น รอด-ลอด หรือพวกการันต์ต่างๆ ส่วนการบรรยายไร้ปัญหาเช่นเคย เพียงแต่งานนี้การสรรคำรู้สึกจะผิดระดับไปเยอะครับ เช่น
    หยัดกาย นี่ดูผิดแผกขึ้นมาทันทีเลย ซึ่งโดยปรกติเขาจะไม่ใช้คำนี้กับการลุกขึ้นยืนนะครับ แล้วก็คำ่าเซนทรี นี่ หาภาษาไทยแทนก็ได้น่าจะดีกว่านะ

    ชอบตัวนางเอกจัง แต่รู้สึกจะไม่เหมือนดาร์คเอลฟ์สักเท่าไร เพราะผมสรุปจากบรรยากาศเรื่องรวมทั้งวัฒนธรรมอย่างการบอกกล่าวกันว่า "ขอพรแห่งอเวจีจงอำนวยเจ้า" รู้สึกเผ่านี้น่าจะมืดมนๆมากกว่าจะออกร่าเริง (หรืออายรันเดียร์จะเป็นดาร์คเอลฟ์แบบผ่าเหล่า?) ส่วนที่ขาดหายไปคือ นางเอกหน้าตายังไงครับ =[]= ลืมบรรยายหรือไม่อย่างไร รู้แต่ว่าผมนึกภาพเธอไม่ออกเลย แต่ชอบลักษณะงานของเธอนะ :)

    มีเรื่องเอลฟ์เจ้า ติดมาจาก LOTR ด้วย OO
  6. finalfan

    finalfan Active Member

    EXP:
    618
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    36
    lineage นี่นา

Share This Page