หวงเฟยหง (ของเก่าจากบอร์ดเดิมเตรียมลงต่อในเร็วๆนี้)

กระทู้จากหมวด 'Fiction' โดย identity, 13 พฤศจิกายน 2007.

  1. identity

    identity Active Member

    EXP:
    580
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    36
    อะ เอามาให้อ่านกันใหม่เพราะหลายๆคนคงลืมเลือนไปแล้ว

    ผมจะทำเป็นลิงค์เอานะครับ สำหรับตอนหน้าค่อยมาลงที่กระทู้นี้หวงเฟยหง
    แล้วเจอกันกับตอนต่อไปครับ
  2. jpenguin

    jpenguin Admin Staff Member

    EXP:
    2,537
    ถูกใจที่ได้รับ:
    93
    คะแนน Trophy:
    113
    เอามาลงหมดเลยก็ได้นะครับ เพราะ อีกไม่นาน บอร์ดเก่าอาจจะเข้าไม่ได้แล้วน่ะครับ
  3. identity

    identity Active Member

    EXP:
    580
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    36
    ในเมื่อได้รับคำสั่งมาก็พร้อมปฏิบัติครับ

    คำอธิบายเนื้อเรื่อง "จากใจผู้เขียนถึงนักอ่านทุกท่าน"

    นิยายเรื่องนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเรื่องราวในชีวิตของ อาจารย์หวงเฟยหง ที่นำมาถูกต่อเติมเสริมแต่ง ประวัติของครูมวยผู้นี้แม้ไม่เด่นชัดมากนักแต่ก็ไม่นับว่าคลุมเครือแต่อย่างใด ที่ว่าไม่เด่นชัดนั้นเพราะอะไร "เพราะเรื่องราวในชีวิตของท่านถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์และบทละครมากเกินไป" ที่สร้างได้ดีก็แล้วกันไปแต่ที่ทำออกมาได้ไม่ดีก็ต้องให้อภัย


    ขณะที่ข้าพเจ้าเขียนนิยายเรื่องนี้นั้น มีความลำบากใจอยู่บ้าง ทั้งนี้เพราะประวัติของท่านค่อนข้างจะเยอะ และทำออกมาเป็นผลงานด้านความบันเทิงก็ค่อนข้างจะมาก หนังบางตอน ก็ว่าท่าน ร่วมมือกับซุนยัตเซน ช่วยท่านซุนยัตเซนหนีไปฮ่องกง ในส่วนนี้นับว่ามีเค้าความจริงอยู่บ้าง เพราะอันที่จริง หวงเฟยหงนับว่าเป็นคนรุ่นเดียวกันกับซุนยัตเซน มิหนำซ้ำยังเป็นคนมณฑลกวางตุ้งดุจเดียวกัน ปีที่เกิดของท่าน ข้าพเจ้าพยายามศึกษาจากหลายที่ แต่ก็ไม่ได้รับบทสรุปที่แน่ชัด เพราะต้องฟังหูไว้หู ดูด้วยสายตาทั้งสองหลายครั้งคราจึงจะแน่ใจที่


    สำหรับปีที่เกิดของท่านนั้น ข้าพเจ้า ค่อนข้างจะแน่ใจ ว่าท่านเกิด ระหว่าง ปี ค.ศ. 1850 -1860 แต่ในนิยายเรื่องนี้เพื่อง่ายต่อการเขียนและให้เข้าใจ ข้าพเจ้าจึงสรุปให้เป็นปี ค.ศ. 1860 ชีวิตของท่านค่อนข้างน่าเศร้า เนื้อเรื่องทั้งหลายมักต่อเติมเสริมแต่งอยู่บ้าง แต่สิ่งนั้นไม่เป็นไร ที่สำคัญคือ "อย่าได้เปลี่ยนนิสัยการวางตัวในสังคมตลอดจน ธาตุแท้ใจคอทั้งเดิมของท่านไป"


    ในส่วนหนังประกอบชีวประวัติของท่านนั้น ที่ได้รับความนิยมสูงสุด ควรจะเป็น หวงเฟยหง ภาค 1 , 2 และ 3 ที่แสดงโดยหลี่เหลียงเจี๋ย ทั้งนี้เพราะเนื้อเรื่องสนุกสนานได้สาระ แต่ถ้าหากกล่าวถามข้าพเจ้าว่าชอบผลงานบันเทิงด้านใดที่เกี่ยวกับ หวงเฟยหงมากที่สุด ข้าพเจ้าคิดว่าผลงานที่มีคุณภาพที่สุดคือ ละครหรือหนังชุด เรื่อง "หวงเฟยหง" ซึ่งกำกับการแสดงโดย "ฉีเคอะ" และนำแสดงโดย "เจ้าเหวินจั่ว" ทั้งนี้เพราะเนื้อเรื่องสอดแทรก "คติค่านิยมของชาวจีนไม่ว่าจะเป็นการประติบัติตนที่ดีต่อครอบครัว และลูกศิษย์ตามหลักคำสอนของขงจื้อ หรือแม้กระทั่งการปฏิบัติตนในการปกครองวางตัวตามสังคมโดยสัมถะเหมือนน้ำดังเช่นคำสอนของลัทธิเต๋า" แต่ในส่วนของความรู้สึกนั้นข้าพเจ้าจัดให้ทั้งสองอยู่อันดับหนึ่งควบคู่กัน "เพราะงานด้านภาพยนตร์ต้องเน้นความบันเทิงเป็นหลัก มีบ้างที่จำเป็นต้อง"เอาใจคนดู"อยู่บ้าง" แต่งานละคร "สามารถเปิดอิสระในการสร้างสรรค์คติตลอดจนผูกอารมณ์ความรู้สึกอันสลักซึ้งรัดรึงใจ" ซึ่งในส่วนนี้ทีมงานชุดนี้นับว่าทำได้ดียิ่ง



    วัยที่เปลี่ยนไป หน้าที่การงานที่เปลี่ยนไปทำให้เกิดมุมมองที่แตกต่าง ครั้งแรกที่ข้าพเจ้าดูหนังประกอบชีวประวัติ "วีรบุรุษในดวงใจ" ท่านนี้ ข้าพเจ้าดูเพราะความสนุก เพลิดเพลินกับ "ฉากต่อยตีอันงดงามราวกับนาฏศิลป์" แต่ภายหลังเมื่อเจริญเติบโตขึ้น ข้าพเจ้าได้ย้อนกลับมาดูใหม่ผลงานเรื่องนี้แสดงถึงปรัชญาแนวคิดตลอดการใช้ชีวิตของชาวจีนที่เป็นแบบอย่างโดย"แนบเนียน" การกระทำตลอดจนการกล่าววาจา ในหนังหรือละคร หากท่านได้ศึกษากับจารีตของประเทศจีนมากเท่าไหร่ ท่านยิ่งเพิ่มความเข้าใจที่มีต่อ "หวงเฟยหง และคนรอบข้างอีกหนึ่งส่วน" "หวงเฟยหง" ไม่ใช่ยอดคนผู้สมบูรณ์แบบ มีความผิดพลาด มีความเสียใจ แต่นั่นจะอย่างไรท่านนับเป็นเพียงบทเรียนชีวิตบทหนึ่งเท่านั้น


    วีรกรรมของท่านในหนังไม่สำคัญ "วีรกรรมเป็นเพียงการแสดงออกอย่างหนึ่ง" สิ่งที่สำคัญยังคงเป็นตัวตนที่แท้จริง "ขณะที่ข้าพเจ้าแต่งนิยายเรื่องนี้พยายามค้นหาตัวตนที่แท้จริง พยายามพิชิตจิตใจของตนเอง ให้เป็นผู้ชนะปัจเจ่ก(ตัวตน) ดังเช่นครูมวยท่านนี้ ผู้อ่านทุกท่านก็สมควรเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน"


    ดังนั้นขอให้ผู้อ่านทุกท่านพึงสังวรไว้ให้ดี ว่านิยายเรื่องนี้เพียงเป็นการเล่าเรื่องจากความคิดของผู้เขียนเท่านั้น บางส่วนอาจเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง บางส่วนอาจเป็นเรื่องที่แต่งขึ้น หากต้องการหาข้อเท็จจริงและรายละเอียดอันปลีกย่อยของครูมวยแซ่หวงในเรื่องนี้นับว่าออกจะเป็นที่ขบขันเกินไป เพราะนิยายเรื่องนี้เพียงแต่งขึ้นมาให้อ่านสนุกเท่านั้น

    ท้ายที่สุดนี้ข้าพขอฝากความในใจถึงวิญญาณของครูมวยแซ่หวง หากวิญาณของท่านได้รับรู้จงรับไว้พิจารณาด้วย และหากมีที่ใดล่วงเกินข้าพเจ้าก็จะขออโหสินะที่นี้



    ในส่วน ของภาษาที่ใช้เขียนนั้นค่อนข้างสับสน ข้าพเจ้าถนัดในการใช้รูปแบบในการนำเสนอแบบจีนเก่า แต่ก็เห็น ว่า ภาษาที่ใช้สมควรต้องเข้ากับเนื้อเรื่องที่ค่อนข้างผันผวนในสังคมจีนขณะนั้น

    ในส่วนของคำแทนตัว ในหนังหรือละคร มักเรียกว่า "ข้า" แต่ข้าพเจ้าไม่นิยมใช้ ทั้งนี้เพราะนั่นแม้เหมาะนำมาทำเป็นหนังทำเป็นละคร ที่มันก็แข็งเกินไป ยังสมควรเห็นว่าใช้คำว่า "เรา" หรือ "ข้าพเจ้า" ยังเหมาะสมกว่า

    เปิดฉากเนื้อเรื่อง ในตอนแรกอาจจะมีบางส่วนคล้ายหวงเฟยหวง หนึ่ง ฉบับหลี่เหลียนเจี๋ยอยู่บ้าง แต่ข้าพเจ้ายังหวังว่าท้ายที่สุดนิยายเรื่องนี้จะเป็นเอกเทศไม่ยึดติดกับภาพยนตร์หรือบทละครเรื่องใดเรื่องหนึ่งจนเกินไป
  4. identity

    identity Active Member

    EXP:
    580
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    36
    คำอธิบายเหตุที่สองก่อนดำเนินเรื่อง




    เนื่องจากว่าผมได้พยายามทำการศึกษาเกี่ยวกับหวงเฟยหง มานาน ศึกษาเทียบกันจากหลายจากหลายที่น่าจะได้ข้อสรุปแล้วว่าท่านน่าจะเป็นคนก่อนซุนยัตเซนรุ่นหนึ่ง ดังนั้นผมจึงขอเลื่อนปีเกิดของท่านเป็นปีค.ศ. 1847 ซึ่งนับว่าแก่กว่าซุนยัตเซน 19 ปี(ซุนยัตเซนเกิดปี ค.ศ. 1866 ) ดังนั้นจึงขอ อภัยอีกครั้งด้วย ส่วนเนื้อเรื่องข้าพเจ้าดำเนินเรื่องระหว่างปี 1870 – 1890 และจะพยายปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์และพยายามที่จะไม่เขียนให้มันเป็นการ “เอาใจคนอ่านมากเกินไป” ดังนั้นเนื้อเรื่องค่อนข้างจะน่าเศร้า ในชีวิตจริงของ อ.หวงเฟยหง นั้นค่อนข้างจะเป็นโศกนาฎกรรม เพราะชีวิตท่านสูญเสีย ลูกชายของท่านไป (แต่ในละครถูกแต่งให้เป็นสูญเสียภรรยา (ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็น น้า สิบสาม โจวเส้าจุน)) ซึ่งนิยายเรื่องนี้ หวงเฟยหงมีความรู้สึกที่ขมขื่น เจ็บช้ำ และก็ฮึกเหิมตามแต่สถานการณ์ ส่วนเรื่อง พรรคบัวขาวในหนังนั้น ความจริงเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นเพราะ พรรคบัวขาวเกิดขึ้นในปี 1789(น่าจะประมาณนี้) แต่ในส่วนของเมืองกวางโจวนั้น มีการต่อต้านชาวต่างชาติอย่างรุนแรงจริง(เหมือนในหนัง) แต่ไม่ใช่ พรรคบัวขาว หวงเฟยหง ในชีวิตจริงท่านเปรียบเสมือนผู้นำทางจิตวิญญาณของชาวบ้านยากไร้ของเมือง ฝอซาน และ มณฑลกวางตุ้งรวมทั้งเมืองกวางโจวด้วย ท่านเป็นแกนนำ(ทางจิตวิญญาณของชาวบ้าน) เพราะท่านเปิดร้าน “เป่าจือหลิน” ซึ่งเป็นเหมือนร้านขายยา หรือร้านหมอ ตั้งแต่อายุ 16 ปี(เปิดร้านตั้งแต่ยังหนุ่มจริงๆ) ซึ่งในเนื้อเรื่องจะกล่าวถึงวีรกรรมทั่วไปของท่าน ซึ่งหลักๆ มักจะเป็นช่วยเหลือชาวบ้าน ปราบอัญธพาล และต่อต้านการกดขี่ข่มเหงจากชาวต่างชาติ ดังนั้นเรื่องบางเรื่องแม้แต่งขึ้นมาแต่ก็ยังมีเค้าความเป็นจริง ในส่วนลูกศิษย์ ทั้งหลายของท่าน อันได้แก่ หลินซื่อ หยง หลี่หยวนไค บ๊วนก่วนชิ เหลียงคุน และซูฟันเหยินนั้น ล้วนมีที่มาและน่าจะมีตัวตนจริงๆ (คาดว่ามากกว่า 70%) ในส่วนของการปฏิบัติตนนั้นท่านถือเป็นแบบอย่างของพลเมืองที่ดี ลูกกตัญญู ตามแบบอย่างของคำสอนของขงจื้อและเม้งจื้อ หากเปรียบเทียมดีๆ แล้ววีรกรรมของท่านและเหล่าลูกศิษย์ของเป่าจือหลิน ก็เปรียบเหมือนวีรกรรมของชาวบ้านบางระจัน เพียงแต่ว่ากรณีของบ้านบางระจันออกจะรุนแรงและขัดแย้งมากกว่าเท่านั้น(วีรกรรมของท่านสมควรเป็นการปลูกจิตสำนึกที่ดีงามให้แก่ลูกศิษย์และชาวบ้านมากกว่า)




    ในส่วนของเนื้อเรื่องนั้น ข้าพเจ้าขอหลีกเลี่ยงกรณีการเสียชีวิตของบุตรชายท่าน แต่จะขอเปลี่ยนเป็นกรณีการเสียชีวิตของลูกศิษย์(ซึ่งคาดว่าจะเป็นเด็กอายุ 10 ขวบ) แทน เพราะเรื่องการเสียชีวิตของบุตรชายท่านนั้นน่าเศร้าเกินไป ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงขออภัย ณ ที่นี้ด้วย แต่เหตุการณ์ที่เป่าจือหลินโดนวางเพลิงนั้นเป็นเรื่องจริงและยังคงมีอยู่ในเนื้อเรื่องด้วย






    แต่ในส่วนของเนื้อเรื่องแม้จะได้รับแรงบันดานใจ จากละครและภาพยนตร์อยู่บ้างแต่ก็มีส่วนแตกต่างกัน ทั้งนี้เพราะหากคุณเข้าใจชาวจีน คุณจะดูหนังเกี่ยวกับท่านรู้เรื่องมากกว่าทีเป็น เพราะการแสดงออกเล็ก ๆ น้อยๆ ทั้งท่าทาง การวางตัว และการกล่าววาจา ล้วนแฝงด้วยหลักจารีตที่ดีงาม ดังนั้นในส่วนของนิยายเรื่องนี้จะขยายมุมมองและสายตาในด้านนี้ให้ทุกท่านเข้าใจมากขึ้น(ทั้งนี้เพราะนี่ก็คือจุดประสงค์หนึ่งของเนื้อเรื่องเช่นกัน) จากละครและภาพยนตร์สู่งานเขียนท่านผู้อ่านอาจจะรู้สึกว่า บทสนทนามากเกินไปอยู่บ้าง แท้ที่จริงไม่เกินเลยไป หากท่านตั้งใจรับชมละครและภาพยนตร์เกี่ยว หวงเฟยหง และลองจินตนาการแต่งเป็นตัวอักษรท่านจะทราบเองว่าเหตุใดบทสนทนาถึงมาก และเหตุใดข้าพเจ้าจึงรักหนังเรื่องนี้และเชิดชูครูมวยท่านนี้




    ................................................................................................................................................................................................................ ลงนาม นาย อนุตร สังฆะ




    เนื้อหาในส่วนแรกเป็นเกล็ดประวัติศาสตร์ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ต้องทำการศึกษาเพื่อที่จะได้อ่านเนื้อเรื่องให้สนุกสนานและเข้าใจเพิ่มขึ้นอีกขั้น

    .............................................................................................................................................




    เนื้อเรื่องที่เอามาลงครั้งแรกอาจจะคล้ายในภาพยนตร์หรือเหมือนในภาพยนตร์อยู่บ้าง แต่นั่นเป็นแค่ฉากเปิดตัวเนื้อเรื่องเหล่านี้จะได้รับการปรับเปลี่ยนลายละเอียดทีละเล็กน้อย เพื่อให้เรื่องราวสมเหตุผลขึ้น ผลจากการค่อยขัดเกลาในที่สุดเนื้อเรื่องจะ แบ่งแยกออกเป็นเอกเทศน์อย่างชัดเจนแม้มีเค้าความเหมือนอยู่บ้างแต่ก็มิใช่เหมือนกันจนหมด
  5. identity

    identity Active Member

    EXP:
    580
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    36
    หวงเฟยหง ตอน เพลงหมัด สกุลหวง และร้าน เป่าจือหลิน
    เล่าความ เกร็ดประวัติศาสตร์เล็กน้อยก่อนอ่านเนื้อเรื่อง
    ปลายราชวงศ์ชิง หลังจาก ปี ค.ศ. 1842 (ตรงกับ รัชศกเต้ากวง ปีที่ 22) จีนก็ได้ทำสนธิสัญญาณ กับ อังกฤษ เนื่องจากการพ่ายแพ้สงครามฝิ่นในปี ค.ศ. 1840 สนธิสัญญานี้เรียกว่า “สนธิสัญญานานกิง” และเป็นต้นตอนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงของประเทศจีนอย่างใหญ่หลวง ที่สำคัญเป็นชนวนที่ก่อให้เกิดการปฏิวัติและการสิ้นยุคสมัยของจักรวรรดิปกครองในประเทศจีน สนธิสัญญานี้ มีใจความสำคัญ ทั้งสิ้น สี่ข้อคือ

    1. [*:3htxx3e1] ชดใช้ค่าฝิ่นและยอมจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามให้อังกฤษเป็นเงินรวม 21 ล้านเหรียญเงิน (1 เหรียญ = 1 ตำลึงจีน)
      [*:3htxx3e1]ยกเกาะฮ่องกงให้อังกฤษ
      [*:3htxx3e1]เปิดเมืองกวางโจว ซย่าเหมิน ฝูโจว หนิงปัว และเซี่ยงไฮ้เป็นเมืองท่าการค้า
      [*:3htxx3e1]ภาษีสินค้า ทั้งขาเข้าและขาออกของพ่อค้าอังกฤษให้เป็นไปตามการเจรจาของสองฝ่าย




    ในปีถัดมาจีนต้องลงนามในข้อตกลง “ระเบียบว่าด้วยการเปิดเมืองท่าห้าเมืองเพื่อการค้าระหว่างจีนกับอังกฤษ” และ “สนธิสัญญาหู่เหมิน” ซึ่งถือเป็นอนุสัญญาของสนธิสัญญานานกิง กำหนดให้อังกฤษมีสิทธสภาพนอกอาณาเขต และเป็น ประเทศที่ได้รับการดูแลเป็นพิเศษ



    สนธิสัญญาฉบับนี้นำมาซึ่งความขัดแย้งทั้งภายในและภายนอกประเทศ ในภายหลัง นอกจากนั้น จีนยังต้องลงนามในสนธิสัญญา อีกฉบับหนึ่งนั่นคือ “สนธิสัญญาเทียนจิน” ในปี ค.ศ. 1857 หลังจากที่พ่ายแพ้ให้แก่สงครามกับพันธิมิตรระหว่างอังกฤษ ฝรั่งเศส แต่ก็ยังไม่เป็นที่พอใจจนเกิดสงครามและความกลหนอีกครั้ง ซึ่งสนบิสัญญา ฉบับต่อมาคือ สนธิสัญญา ปักกิ่ง
    นานวันเข้าสถานการณ์ของจีนยิ่งตรึงเครียดทั้งภายในและภายนอก ซึ่งเป็นเหตุนำมาสู่กานสิ้นสุดระบบราชาธิปไตยในที่สุด




    ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------






    ณ กองเรือ ธงดำ แห่งกองทัพ ราชวงศ์วงชิง เมืองฝอซาน มณฑล กวางตุ้ง (กวางตุ้งเป็น การเรียกแบบ จีนแต้จิ๋ว และ จีนกวางตุ้ง จีนกลางออกเสียงว่า ก่วงตง)



    หวงเฟยหง นั่งเคียงข้างกับ หลิวหย่งฟู่ บนเรือของกองธงดำ ซึ่งมีหลิวหย่งฟู่เป็นแม่ทัพ ท่านกับแม่ทัพหลิวมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาตลอด คราครั้งแรกที่ท่านตั้งรกรากเปิดร้านเป่าจือหลินในเมืองฝอซานนั้น ส่วนหนึ่งก็มาจากความร่วมมือของหลิวหย่งฟู่และก็ชาวเมืองฝอซานทั้งหลาย ที่ผ่านมานั้นกิจการของร้านเป่าจือหลินที่ดำรงอยู่ได้ เพราะหลิวหย่งฟู่คอยให้ความช่วยเหลือท่านตลอดมา



    หลิวหย่งฟู่ที่ให้ความช่วยเหลือท่าน ไม่ได้สืบเนื่องเพราะท่านติดสินบนแต่อย่างใด หากเป็นเพราะหลิวหย่งฟู่เป็นขุนนางผู้สัตย์ซื่อ รักพลเมืองห่วงใยราษฎร มันมีความคิดเห็นว่า คนดีมีความสามารถควรจะให้การสนับสนุน คนพาลควรกำจัดให้ลดน้อยลง



    มีไม่น้อยครั้ง ที่เมืองฝอซานมีโจรร้ายก่อความปั่นป่วนวุ่นวาย สร้างความไม่สบายใจแก่ชาวบ้าน ก็เป็นผลงานร่วมกันระหว่างหวงเฟยหงและหลิวหย่งฟู่ในการคืนความสงบแก่ท้องถิ่น ผลจากการร่วมมือกันหลายครั้งครา ก่อเกิดเป็นความสัมพันธ์ฉันมิตรสหาย ต่างฝ่ายต่างนับถือเลื่อมใสซึ่งกันและกัน




    หวงเฟยหงไม่คิดที่จะรับราชการมาก่อน ทั้งนี้เพราะหากรับราชการทำให้เกิดมลทิน ไม่เป็นตัวของตัวเอง มีบ้างต้องสวมใส่หน้ากากเข้าหากัน ไม่สามารถทำตามใจปรารถนาได้




    แต่กับหลิวหย่งฟู่แล้ว ท่านกลับไม่เกิดความเบื่อหน่ายไม่ต้องการคบหาดังเช่นคนอื่น ทั้งนี้เพราะหลิวหย่งฟู่เห็นด้วยกับการเปิดร้านเป่าจือหลินของท่านที่มีแนวคิดหลักคือ “ฝึกมวยเพื่อเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง ใช้ฝีมือกับปัญญาเป็นหลัก ป้องกันประเทศชาติ ช่วยเหลือชาวบ้าน”



    ท่านเปิดร้านเป่าจือหลิน มิใช้เปิดสำนักมวย หรือต้องการมีอำนาจในเมืองฝอซาน แต่จุดประสงค์หลักของท่านคือเปิดร้านขายยาเป็นที่รักษาโรคภัยไข้เจ็บให้แก่พวกชาวบ้าน ให้เป็นอีกทางเลือกหนึ่งแก่ผู้ยากไร้มีอยู่หลายครั้งคราที่ชาวบ้านไม่มีเงินจ่ายค่ารักษา ท่านก็รักษาให้เปล่า ไม่คิดค่าใช้จ่าย
    ผลจากความสนิทสนม ทำให้มีบ้างบางครั้งที่ทหารในกองธงดำ เมื่อว่างงานก็มาช่วยท่านที่ร้านเป่าจือหลิน ท่านเห็นเด็กหนุ่มเหล่านี้ไม่มีรายได้อื่นอีกหรือเห็นเด็กหนุ่มเหล่านี้ร่างกายอ่อนแอ ท่านก็สอนกังฟูให้ หรือแม้กระทั่งเมื่อเด็กหนุ่มเหล่านี้ไม่ได้ประกอบอาชีพเสริมอย่างใด ท่านก็ใช้ร้านเป่าจือหลินเป็นแหล่งหางานเสริมแก่ทหารเด็กหนุ่มของกองธงดำ เป็นเช่นนี้นานวันเข้า ท้ายที่สุด ท่านกับหลิวหย่งฟู่ต่างตกลงเห็นด้วยกัน ให้ท่านเป็นครูฝึกทหารของกองธงดำ
    ในวงยุทธจักรและเหล่านักเลง มักร่ำลือถึง เพลงหมัดสกุลหวงของท่าน ยิ่งมักกล่าวขวัญถึง “บาทาไร้เงา” อันเป็นกระบวนท่าที่สร้างชื่อให้แก่ท่าน แต่การฝึกกังฟูให้แก่ลูกศิษย์ และการฝึกให้แก่ทหารนั้นย่อมแตกต่างกัน การฝึกสอนให้แก่ลูกศิษย์ย่อมต้องอาศัยเวลาและมีเวลาในการฝึกซ้อมมากกว่า ดังนั้นท่วงท่าจึงพลิกแพลงพิสดารมากมาย ในระหว่างร่ายรำหมัดเท้าล้วนมีร้อยเคล็ดเปลี่ยนแปลง ระหว่างท่าแรกกับท่าสุดท้ายเมื่อร่ายรำจนถึงที่สุดล้วนสามารถเชื่อมต่อเข้าหากันแต่การฝึกสอนให้แก่ทหารเป็นเรื่องหนึ่ง การต่อสู้ในยุทธจักรแม้แปลกพิสดารเพลิศแพร้วหวาดเสียวน่ากลัวปานใด ก็ไม่เกิดการตะลุมบอนดังเช่นการเกิดศึกสงคราม ส่วนการตั้งรบประจัญบานนั้น ต้องอาศัยระเบียบและความแข็งแรงเป็นหลัก ดังนั้นแม้ท่านจะเป็นคนฝึกให้แก่ทหารกองธงดำ แต่ก็เป็นการนำวิชาฝีมือมาดัดแปลง เน้นที่ร่างกายกำยำแข็งแรง ท่วงท่าเปี่ยมไปด้วยพลังเป็นหลัก ที่สำคัญคือความเป็นระเบียบในการตั้งกองทหาร




    สองสามปีมานี้ ทุกสามสี่วัน ท่านต้องนำทหารฝึกกองธงดำ ออกวิ่งเลียบชายหาดแต่เช้า สอนพวกมันฝึกหัดมวย ตั้งแนวรบ ร่วมกับหลิวหย่งฟู่




    แต่นับจากวันนี้ ไม่ทราบอีกนานเท่าใด ท่านจะได้ฝึกกองธงดำนี่อีกครั้งทั้งนี้เพราะ หลิวหย่งฟู่ ได้รับคำสั่งให้ย้ายไปช่วยฝึกทหารให้แก่กองปราบปรามกำราบเกาหลี วันนี้เป็นพิธีมงคลก่อนเดินทางไปเกาหลีของหลิวหย่งฟู่ เสากระโดงเรือ ถูกเชือกหลายเส้น ขึงกับลำตัวของเรือ เชือกแม้เส้นหนาหยาบใหญ่แต่ไม่ถูกขึงแน่นตึงเท่าใดนัก ลูกแก้วมังกรสีเขียวกลม กับม้วนผ้าสีแดงยาว ร่วมเชียะ สองผืนถูกห้อยไว้กับเสาเรือสูงจากพื้นราวสองวาเศษ




    เสียงกลองหลังรัวไม่หยุดยั้ง ทหารฝึกสองคนกำลังเชิดสิงโต ไต่เชือกขึ้นไป สิงโตที่พวกมันเชิดเป็นสีดำมีลายขลิบเป็นสีแดงเล็กน้อย เป็นการแสดงถึงสัญลักษณ์ของกองธงดำ นี่เป็นกลายเป็นประเพณีประจำชาติจีนมากตั้งแต่สมัยกษัตริย์เฉียนหลงฮ่องเต้ สิงโตคาบแก้ที่ถูกห้อยสูงไว้อันเป็นการแสดงถึงพิธีมงคล



    แต่ขณะที่พวกมันทั้งสองไต่เชือก ใกล้ที่จะคาบลูกแก้วได้นั้นกลับได้ยินเสียง ปืนดัง “ปัง!!!!!” คราหนึ่ง เสียงกลองที่รัวอยู่นั้นก็พลันขาดหายไป



    หวงเฟยหงรีบ กระโดด ใช้สองมือรับหัวสิงโตเอาไว้ หันหน้าไปหามือกลอง ปากร้องสั่งมันว่า
    “รัวกลอง”
    มือกลองนั่นรับคำคราหนึ่ง เสียงกลองก็ถูกรัวอีกครั้ง ทหารที่ถือหางสิ่งโตก็เข้ามาถือหางสิงโตอีกครั้ง


    ที่แท้ ทหารฝรั่งที่เรือลำใกล้เคียงได้ยินเสียงจุดประทัด ยังเข้าใจว่าเป็นกองทัพจีนยิงเรือพวกมัน แต่พอพวกมันเห็นหวงเฟยหง รับหัวสิงโตอีกครั้งค่อนเข้าใจว่าเป็นเรื่องราวใด




    หวงเฟยหง เชิดตัวสิงโตขึ้นลงไปมาหลายครั้งครา ระหว่างที่เชิดหัวสิงโตก็ยกเท้าก้าวขา ท่วงท่าเป็นที่น่าดูยิ่ง เหล่าทหารที่ชมดูต่างส่งเสียงโห่ร้อง ปรบมืออกมา




    แต่เมื่อครู่ที่ทหารถูกยิงนั้น ลูกแก้วมงคลก็สูงขึ้นอีกวาเศษ ท่านใช้สองเท้าของท่านท่านไต่ ขึ้นไปบนเชือกโดยรวดเร็ว บ้างเกี่ยวบ้างยืมแรงดีดสะท้อนขึ้นไปด้านบน ไม่กี่อึดใจก็อยู่สูงจากท้องพื้นเรือสองวา แต่ทหารฝึกหัดที่ถือหางนั้นขึ้นมาไม่ทันท่าน ท่านจึงใช้หางผูกเอาไว้กับเอว ไม่กี่อึดใจนัก ท่านก็ทุ่มเทตัวเบา คาบแก้วไว้ได้




    สิงโตพอคาบแก้วได้เสร็จ ท่านก็กระโดดลงมา ชุดยาวสีน้ำตาลเรียบง่าย ลงบนพื้นไม้โดยแผ่วเบา แม้ทุกคนอยู่บนท้องเรือริมฝั่งน่านน้ำจีน ยิ่งไม่รับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือน เท้าพอสัมผัสกับพื้น ม้วนผ้าสีแดงทั้งสองก็ถูกโยนให้แก่ หลิวหย่งฟู่
    หลิวหย่งฟู่รับไว้ คลี่อ่านเสียงดังกังวานว่า
    “จิตใจกล้าหาญ”
    อีกฝืนอ่านว่า
    “ปณิธานมุ่งมั่น”



    อ่านเสร็จหัวร่อเสียงดังกังวาน ติดต่อกันเสียงหัวร่อเต็มไปด้วยความฮึกเหิมลำพอง หวงเฟยหงเห็นมันหัวร่อ ก็หัวร่ออกมาด้วย



    หลิวหย่งฟู่ยกกล้องส่องทางไกล มองไปยังน่านน้ำทะเลของจีน มองเพียงชั่วขณะก็ทอดถอนใจออกมา ส่งกล้องให้แก่หวงเฟยหง ปากกล่าววาจา เสียงกลัดกลุ้มไม่พอใจอยู่บ้างว่า

    “อาจารย์หวงเรือรบของพวกฝรั่งนับวันยิ่งมากยิ่งเต็มท้องทะเล ฮ่องกงต้องยกให้อังกฤษ หม่าเก๊าต้องยกให้โปรตุเกส รัสเซียได้แม่น้ำเฮยหลง สถานการณ์ภายในประเทศวุ่นวาย ยังให้เราไปปราบกบฎเกาหลีอีก”


    จากนั้นถอนหายใจช้าๆ แล้วนหันไปมองป้าย “เพื่อมาตุภูมิ” ที่ปักไว้บริเวณขอบเรือพลางกล่าวว่า
    “ชนกลุ่มน้อยแถบซินเกียงเห็นป้ายเพื่อมาตุภูมิผืนนี้แล้ว จะคิดอย่างไร ทางการส่งเราไปรบแต่ก็กลัวที่จะแข็งข้อ มิหนำซ้ำยังส่งผู้ตรวจการมาคอยจับตาดูพฤติกรรมของท่าน”
    กล่าวจบร้องสั่ง ให้ทหารปลดป้าย “เพื่อมาตุภูมิ” ลงมา


    หวงเฟยหงรีบกล่าวว่า
    “ช้าก่อน ไต้เท้าหลิว สถานการณ์ตอนนี้ยังไม่แน่นอน บางทีท่านอาจได้ย้ายกลับมาก็ได้”

    หลิวหย่งฟู่ หันมามองหน้าท่าน เค้าใบหน้าที่ยาว ปลายคางเรียวแหลม หนวดเคราตัดคล้ายแพะยาวเล็กน้อยของมันทอแนวเหนื่อยล้า ปากกล่าววาจาว่า
    “หลังจากที่เราไปแล้ว เหล่าทหารลูกเรือเหล่านี้ก็ต้องถูกปลดลงมา ไม่มีที่พึ่งพิง อาจารย์หวง ท่านเป็นครูฝึกหน่วยธงดำของเรา เราอยากให้ท่านรับคนเหล่านี้เข้าเป่าจือหลิน เผื่อในวันหน้าจะได้ใช้รับมือชาวต่างชาติ”



    เหล่าลูกเรือ ทหารฝึกหัดกองธงดำ ต่างคุกเข่ากราบกราน หวงเฟยหงรีบบอกให้พวกมันลุกขึ้น จากนั้นกล่าวคำว่า
    “เรื่องนี้ไม่ต้องห่วง”
    “พัดจีบเล่มนี้ เป็นสนธิสัญญาที่อยุติธรรมระหว่างจีนกับฝรั่ง เห็นพัดดุจเห็นคน หลังจากที่เรากับมาแล้วหวังว่าสนธิสัญญาฉบับนี้จะหายไป”
    หวงเฟยหงยื่นมือรับพัดจีบเล่มนั้นเอาไว้ บนพัดจีบเต็มไปด้วยข้อความต่างๆ ล้วนแล้วแต่เป็นสนธิสัญญาระหว่าง จีน-อังกฤษและฝรั่งเศสทั้งสิ้น








    หวงเฟยหงกับหลิวหย่งฟู่คารวะกันและกันคราหนึ่ง จากนั้นกล่าวคำอำลา
  6. identity

    identity Active Member

    EXP:
    580
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    36
    หลังจากที่หวงเฟยหงส่งหลิวหย่งฟู่ขึ้นเรือไปตอนเหนือของจีน ท่านก็เดินตามตรอกซอยของเมืองฝอซาน ท่านครุ่นคิดนึกถึงนัดหมายของท่านกับตาหวังที่โรงเตี้ยมตามตรอกแห่งหนึ่ง โดยปกติแล้วตาหวังจะไปหาท่านที่ร้านเป่าจือหลินก็ได้ หรือจะเรียกท่านมาหาที่บ้านของมันได้เช่นกัน แต่ครั้งนี้กลับนัดหมายที่โรงเตี้ยม นับว่าเป็นที่ขบคิดไม่เข้าใจของท่านจริงๆ



    ตามตรอกซอยมีเสียงคึกคักเป็นพิเศษ บ้างได้ยินเสียงบรรเลงซอเป่าขลุ่ยตามหัวมุมต่างๆ บ้างได้ยินเสียงตระโกนโหวกเหวกขายของ มิหนำซ้ำยังเห็นขบวนบาดหลวงร้อง “ฮาเลฮูยา ฮาเลฮูยา” ไปมาหลายครั้งครา พวกบรรเลงเพลงเล่านิทานกลัวเสื่อมเสียหน้ายิ่งบรรเลงเพลงขลุ่ยซอเสียงดังเข้าไปใหญ่ บรรดาพ่อค้าแม่ค้าขายของเสียงดัง บรรยากาศนับว่าเป็นที่น่าขุ่นข้องรำคาญจริงๆ



    ท่านเดินขึ้นชั้นสองของโรงเตี้ยมแห่งหนึ่ง ผู้คนบนชั้นสองมากมายหนาตายิ่ง กว่าท่านจะเดินเข้าไปได้ต้องเบียดเสียดผู้คนยื่นมือคารวะ กล่าวคำ “สวัสดีครับ” ไม่รู้กี่ครั้งครา



    ลุงหวังมีรูปร่างเตี้ยเล็ก ใบหน้าธรรมดาสามัญ อายุดูไปไม่น่าจะเกิน หกสิบเศษ หวงเฟยหงเห็นมันยื่นมือคราวะกล่าวว่า
    “ท่านตาสบายดี”
    “เฟยหง เจ้าทราบหรือไม่เรามาครานี้พาใครกลับมาด้วย”



    กล่าวจบหันกายออกห่างจากสายตาของหวงเฟยหงเล็กน้อย หวงเฟยหง เห็นสตรีสาวสองนางล้วนแต่งตัวเหมือนแหม่มฝรั่ง แต่คนหนึ่งมีรูปร่างเล็กอ้อนแอ้น ส่วมใส่ชุดสีเขียวฟูฟ่อง รูปร่างคล้ายชาวจีนไม่คล้ายชาวตะวันตก นางยืนทำอะไรท่านก็ไม่ทราบ แต่เมื่อนางหันหน้ามา เห็นใบหน้าของนางมีอายุไม่น่าจะเกิน ยิ่สิบหก ใบหน้าได้สัดส่วน หวานซึ้ง เป็นสตรีสาวชาวจีนชัดๆ แต่ยามกระทันหันรู้สึกคล้ายคุ้นตาไม่คุ้นตากลับขบคิดไม่ออกว่าเป็นใคร ผ่านไปชั่วครู่หนึ่งค่อยนึกออกว่าเป็น ปากร้องเสียงแผ่วเบาว่า
    “น้าสิบสาม”


    สตรีนางนี้คือ น้าสิบสาม“โจวเส้า”จุนเอง ท่านกับนางเป็นญาติสนิท แม้จะกล่าวว่าเป็นญาติแต่ก็มิใช่ญาติกันจริงๆ แต่นางนับว่าเป็นคนที่สูงกว่าท่านรุ่นหนึ่ง นางกับท่านเติบโตมาด้วยกัน แต่เมื่อท่านอายุได้หกขวบ ท่านก็ร่อนเร่พเนจรติดตามพ่อของท่านแล้ว แต่เมื่อประมาณประมาณเก้าปีก่อน ตอนที่ท่านคิดจะเปิดร้านเป่าจือหลิน ก็เพราะนางให้ความช่วยเหลือจึงสามารถเปิดได้ ผลจากความผูกพันนับนานวันกลายเป็นความสนิทสนมรักใคร่กลมเกลียวกัน
    นางยิ้มให้ท่านเล็กน้อย นางความจริงมีรูปกายที่ค่อนข้างจะซูบผอมไปบ้าง แต่ใบหน้าของนางหวานซึ้งปานนั้น ยิ่งเมื่อยามยิ้มแย้ม ยิ่งขับเน้นถึงเค้าใบหน้าอันหวานซึ้งของนาง



    ขณะที่ท่านจะเดินเข้าไปหานาง นางกลับยื่นมือทั้งสองเกาะกุมมือท่าน
    สตรีสาวอีกนางหนึ่งที่เป็นฝรั่งกลับยื่นมือมาหาท่านกล่าว
    “หาว ดู ยิว โดว”
    อะไรนั่นท่านก็มิทราบเหมือนกัน


    ท่านเบือนหน้ามาหา ท่านตาหวัง กล่าวถาม
    “ “ดู” จะให้ดูอะไรหรือ?”
    น้าสิบสามชิ้มือมายังแหม่มฝรั่งนั่นปากกล่าวว่า
    “นี่เพื่อนของฉัน “โจแอนด์น่า””
    จากนั้นใช้สองมือจับมือท่านพร้อมกับเล็กน้อย พลางกล่าวว่า
    “เฟยหงฝรั่งเขาทักทายกันด้วยการจับมือกัน”
    ตาหวังก็กล่าวว่า
    “เจ้าต้องตอบว่าTank you”



    ท่านได้ยินดังนั้นก็ตอบคำ
    “แทง ยิว แทงยิว ”
    สามสี่คำ เป็นการใหญ่



    ลุงหวังลากท่านมานั่งยังเก้าอี้มีที่ท้าวแขนตัวหนึ่งนั่งจากนั้นทรุดนั่งเคียงคู่กับท่าน
    น้าสิบสามกล่าวว่า
    “รอหน่อยแล้วกัน นี่เราจะถ่ายภาพกัน”
    หวงเฟยหงรีบถามว่า
    “ถ่ายภาพ ถ่ายอย่างไร”
    นางยิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า
    “เรื่องนี้งานนิดเดียว แค่นั่งนิ่งๆ มองมาทางฉัน จากนั้นไม่ต้องขยับ”


    หวงเฟยหงไม่ทราบว่าการถ่ายภาพเป็นอย่างไร จากนั้นเห็นว่านางมีนิสัยชอบเรียนรู้ ทดลองสิ่งวิทยาการแปลกใหม่ อย่าว่าแต่ท่านไม่ทราบว่าอันใดคือการถ่ายภาพ ดังนั้นยังเห็นว่าปฏิบัติตามคำบอกกล่าวของนางยังคงประเสริฐกว่า
    น้าสิบสามกล่าวว่า
    “อย่าขยับแล้วกัน หนึ่ง สอง สาม”



    คำ “สาม” พออกจากปาก ประกายควันยัง กล้องถ่ายภาพที่ตั้งสามขาที่ท่านเห็น แล้วเข้าใจว่าแท่นบูชาศาลเจ้า ก็บังเกิดควันพวยพุ่งเล่น ประกายควันพอเกิดก็พวยพุ่งมารวดเร็ว แต่ยามกระทันหันคนมีปฎิกิริยาตอบสนอง เท้าซ้ายท่านถีบเก้าอี้ของท่านตาหวังไปเบื้องขวา แต่กลับไม่ล้มโครม ตัวท่านเองกลับลุกขึ้นทรุดนั่งบนโต๊ะอีกตัวแล้ว


    เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเพียงชั่วเสี้ยววินาทีนับว่าน่าหวาดเสียวอยู่บ้าง

    จากนั้นท่านหันมามองกรงนกเมื่อครู่ นกตัวนั้นกลับไหม้เกรียมเหลือแต่กระดูกแล้ว


    แหม่มนั้นเห็นเกิดไฟไหม้รีบเอาน้ำมารด แต่ไม่ทันดูว่าเป็นน้ำร้อน น้าสิบสามบ่นพึมพำว่า

    “ใส่ผงแมกนีเซียมมากเกินไป”



    นางยื่นเมือปาดกาน้ำออกจากมือแหม่มนั่น แต่นางยังมิทันระวังก็ถูกกาน้ำดาดเล็กน้อย
    แต่ตาหวังกลับพึมพำว่า
    “แล้วบอกให้ไม่ขยับ”


    หวงเฟยหงรีบประคองน้าสิบสามไว้ปากกว่าวว่า
    “ของเล่นอะไรกัน ไหนเลยอันตรายปานนี้”


    จากนั้นกล่าวกับตาหวังว่า
    “ท่านตา ยังดีที่เราดีอยู่ไม่อย่างนั้น ท่านคงเป็นเหมือนนกตัวนี้แล้วกระมัง”


    น้าสิบสามก็แก้ต่างอีกว่า
    “ทุกครั้งมันไม่เป็นแบบนี้?”

    ขณะนั้นมีชายชราสามคน เป็นนักสะสมนก เห็นนกไหม้เกรียม ปากก็กล่าววาจาพึมพำกันสามคน

    ตาหวังรีบจูงมือหวงเฟยหงมายังมุมห้อง ปากกล่าวกับท่านว่า

    “เฟยหง น้าเจ้าไปอยู่อังกฤษมา สองปี ร้องไห้กลับเมืองจีนแทบทุกวัน ยังดีที่กลับมาที่นี่ เรายังเข้าใจว่าจะได้หลายเขยเป็นฝรั่งเสียอีก เจ้าอยู่นี่ก็ดีแล้ว เราไม่ว่าง เท่าใด ฝากน้าสิบสามให้เจ้าดูแลแล้วกัน”
    หวงเฟยหง ร้องคำ “ดูแล” อย่างลืมตนคราหนึ่ง

    จากนั้นหันหน้าไปมองน้าสิบสามเล็กน้อย เห็นนางชำเลืองมองตนเช่นกัน จากนั้นขบคิดดู คำ “ดูแล”นี้คล้ายซ่อนความนัยต์หลายอย่างอยู่บ้าง



    หลังจากนั้นหวงเฟยหงกับน้าสิบสามและเพื่อนสตรีฝรั่งนั่น ต่างกราบลาตาหวังและแขกเหรื่อบนโรงเตี้ยม ทั้งสามพอเดินเข้าสู่ตรอกซอยสี่แยก น้าสิบสามก็กล่าวว่า
    “ฉันจะพาโจวแอนด์นา เดินท่องฝอซานเธอนำสิ่งของสัมภาระกลับไปเป่าจือหลินก่อนเถอะ”



    กล่าวจบยัดเยียดสิ่งของใส่มือหวงเฟยหง หวงเฟยหงรู้สึกลิ้นคับปากติดขัดที่ลำคอ ท่านยังมิได้ตอบรับหรือกล่าวว่ากระไร นางกับหญิงสาวฝรั่งนั่นก็เดินแบกเครื่องถ่ายภาพอะไรนั่นจากไป
    หวงเฟยหงถอนหายใจเฮือกหนึ่ง รู้สึกเหนื่อยหน่ายใจอยู่บ้าง แต่ท่านทราบว่านางเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ พอกลับมาก็อยากเดินดูความเปลี่ยนแปลงของเมืองเป็นธรรมดา



    สิ่งของกระเป๋าสัมภาระมีทั้งสิ้น สี่ห้าใบ หากแม้นนางมาด้วยยังพอทำเนา แต่ท่านเพียงคนเดียวไหนเลยหอบหิ้วแบกสิ่งของมากมายปานนี้ได้ แต่ยังดีที่เมืองฝอซานเป็นตัวเมืองที่ครึกครื้น มีคนลากรถอยู่แทบทุกตรอกซอย



    หวงเฟยหงกวักมือเรียก คนลากรถมาสองคัน คันหนึ่งให้ขนสัมภาระข้าวของ อีกคันท่านเป็นคนนั่งเอง บอกพวกมันว่าไปร้านเป่าจือหลิน




    เมืองฝอซาน เป็นตัวเมืองที่ครึกครื้นตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว มาตรแม้นว่ามิใช่เมืองท่าสำคัญดังเช่นเมืองกวางโจว(ก่วงโจว) แต่ก็ยังมีการค้าขายมากมายกว่าหัวเมืองอื่น




    หวงเฟยหงเกิดที่ฝอซาน ตั้งแต่เมื่อครั้งท่านยังเล็กก็เดินทางไปติดตามบิดาไปหลายที่ ไม่ว่าจะเป็นวัดเส้าหลิน เขาเส้าสือ หรือแม้กระทั่งวัดเส้าหลินมณฑล ฮกเกี้ยนก็ตาม แต่นับมืองฝอซานและกวางโจวเป็นสถานที่ที่ท่านไปมาหาสู่อยู่บ่อยครั้งที่สุด




    ขณะนั้นรถที่ท่านโดยสารใกล้เข้าสู่เป่าจือหลินเต็มที อีกเพียงสองตรอกแล้วเลี้ยวซ้ายก็เป็นร้านเป่าจือหลินอันเป็นสถานที่พักพิงของท่านและเหล่าลูกศิษย์ทั้งหลาย




    แต่แล้วท่านกลับได้ยินเสียงอึกทึกครึกโครมที่ด้านหลัง พอหันไปมอง เห็นเป็นชาวบ้านพ่อค้ากลุ่มหนึ่งวิ่งห้อมาทางด้านท่าน คนหน้าสุดแบกร่างๆหนึ่งเอาไว้ แต่มันอยู่ไกลเกินไปท่านมองไม่ออกว่าเป็นสตรีหรือบุรุษหนุ่มสาวหรือชรา พวกมันร่ำร้องวุ่นวาย แต่พอจับใจความได้ว่า
    “รีบพา ลุงจ้าวไปเป่าจือหลินเร็วเข้า ก่อนที่มันจะสิ้นใจ”



    หวงเฟยหงบอกคนลากรถทั้งสองว่า
    “ตรงไปเป่าจือหลินอย่าได้หยุด”



    กล่าวจบกระโดดลงจากรถลากเท้าพอสัมผัสพื้นก็สะกิดตัววิ่งตะบังไม่กี่ก้าว ก็ถึงคนกลุ่มดังกล่าว
    เหล่าชาวบ้านพอเห็นท่านก็รีบกล่าวว่า
    “อาจารย์หวงลุงจ้าวถูกทหารฝรั่งยิง อาการน่าเป็นห่วง ...”



    จากนั้นหยุดหอบหายใจเล็กน้อย หันหลังกลับไปมองเห็นทหารฝรั่ง สองสามคนถือปืนวิ่งตามมาทั้งท่าจะยิงอยู่หลายครา จากนั้นกล่าวต่อว่า
    “เป็นพวกมันเอง”
    “รีบพาท่านลุงไปเป่าจือหลินก่อน รอสักครู่เราจะตามไป”




    กล่าวจบใช้สองเท้าสะกิดตัวกับพื้นร่างพุ่งโผไปด้านหลายวา เท้าทั้งสองพอสัมผัสพื้น ก็ตวัดเท้าทั้งสองเตะอยู่สองครั้งคราทุกเท้าที่เตะออกไม่ว่าจะถีบเตะหรือตวัดเกี่ยว ต่างลงมือรวดเร็วเม่นยำหนักหน่วง ทหารฝรั่งสามคนยังมิทันรู้สึกตัว ปืนไฟในมือทั้งสองข้างก็กระเด็นกระดอนหายไปที่ใดไม่ทราบ เมื่อครู่ที่แท้เกิดเรื่องราวใดพวกมันยังไม่รับรู้ จิตสำนึกยังเข้าใจว่าเป็นผีสางหลอกหลอนตอนกลางวันปากร่ำร้อง
    “ My God my god” เสียงดังอลหม่าน




    จากนั้นวิ่งหนีเตลิดจากไปยังทิศทางเมื่อขามา อาวุธคู่มือยังไม่คิดที่จะควานหาเก็บกลับไปชาวบ้าความจริงรังเกลียดฝรั่งหัวแดงอยู่แล้ว พอเห็นท่านลงมือสั่งสอนพวกมันต่างโห่ร้องออกมา แต่เมื่อเห็นทหารสองคนวิ่งหนีเตลิดจากไปร้องคำ กอดแกดๆ อันใดไม่ทราบ ยังเห็นทหารพวกนั้นมีท่าทางขบขัน ต่างส่งเสียงหัวร่อครืนออกมา





    หวงเฟยหงมือซ้ายถือคันร่ม ศีรษะสวมหมวกปีกสานด้วยใบลาน ท่านขบคิดใคร่ครวญเห็นว่านับวันปัญหาบ้านเมืองยิ่งมาก จากนั้นสาวเท้ายาวๆเดินกลับร้านเป่าจือหลิน เร่งรีบกลับไปดูอาการของลุงจ้าว
  7. identity

    identity Active Member

    EXP:
    580
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    36
    หวงเฟยหงพอกลับถึงร้านเป่าจือหลิน ก็ร้องเรียกหลี่หยวนไคทันทีว่า

    “อาไค รีบเตรียมน้ำร้อนมาเร็วเข้า”
    หลี่หยวนไคเป็นศิษย์คนที่ สี่ ของท่าน อายุราวๆ สิบเจ็ดสิบแปด เค้าใบหน้าค่อนข้างสัตย์ซื่อโง่งมอยู่บ้าง หลี่หยวนไครับคำแต่ไกลคราหนึ่ง



    หวงเฟยหงพอเดินเข้าสู่ห้องจ่ายยา ก็เห็นลุงจ้าว นอนโทรมกับเตียงตัวหนึ่งเท้าทั้งสองข้างตกห้อยลงพาดกับตั่งตัวน้อย ข้างกายซ้ายขวามีคนมุงดูอาการร้องเอะอะโวยวายไปมา





    หวงเฟยหงบอกให้เงียบเสียงลง พวกมันก็ไม่กล่าววาจาต่อ ท่านทรุดนั่งลงกับเก้าอี้ข้างเตียงตัวนั้น มือทั้งสองข้างจับมีดเล่มหนึ่งที่ถูกแช่กับน้ำร้อนให้สะอาด เห็นท่านใช้สองมือผ่ากระสุนใช้เหล้าขาวล้างแผลพอกยาทายาชา ปากกล่าวให้กำลังด้วยน้ำอันเสียงนุ่มนวลไม่หยุดยั้ง เนิ่นนานชั่วครู่หนึ่งก็ผ่ากระสุนออกมาได้จากนั้นถอนหายใจเฮือกหนึ่ง วางเครื่องมือรักษาบาดแผลลงกับอ่างน้ำ




    ลุงจ้าวได้รับบาดเจ็บช้ำมิหนำซ้ำยังถูกหอบหิ้วมาแต่ไกล บังเกิดความเหนื่อยล้าตั้งแต่แรก ท่านพอผ่ากระสุนล้างแผลให้มันเสร็จสิ้น มันก็หลับใหลไป



    หวงเฟยหงกล่าวถามชายขายผลไม้คนหนึ่ง กล่าวถามมันว่า
    “พี่ชายลุงจ้าวถูกยิงได้อย่างไร?”

    “เราเดินไปท่าเรือคิดซื้อหาปลามาทำอาหาร พอดีเห็นลุงจ้าวเลยทักทายมันคำสองคำ มันบอกว่ามาซื้อตั๋วขึ้นเรือไปเทียนจิน (เทียนสิน) แต่เราพอพูดคุยกับมันเสร็จก็เดินจากมันมา แต่เรือเทียบท่ามีหลายลำเกินไป คนแก่เฒ่าหูตาฝ้าฟาง มันไม่ทันระวังขึ้นเรือผิด กลับถูกพวกฝรั่งยิงใส่นัดหนึ่ง ยังดีที่คนแถวนั้นเห็นเข้ารีบช่วยเหลือมันออกมา”



    “พวกฝรั่ง นับวันยิ่งไร้เหตุผล ยังไม่ทันได้สอบถามก็ยิงคนส่งเดชเมื่อเช้าเราไปเชิดสิงโตส่งไต้เท้าหลิวก็เหมือนกัน แค่ประทัดถูกจุดพวกมันก็ยิงคนไหล่หลุดไปหนึ่งคน เห็นที...............”




    กล่าวยังมิทันจบ ก็ได้ยินเสียงทางหน้าร้าน ทั้งก้องกังวานทั้งใหญ่ทุ้ม เพียงแต่ฟังสุ้มเสียงก็บ่งบอกว่าผู้ร้องเรียกเป็นคนอ้วนฉุ หวงเฟยหงพอได้ยินก็สั่งลูกศิษย์ว่า
    “อาหยงนี่ รีบเปิดประตูให้มันเร็ว”



    จากนั้นได้ยินสุ้มเสียงกุกกักกุกกัก เพียงแต่ฟังดูก็ทราบว่าเป็น “อาหยงนั่น” เปิดประตูมา คนของร้านเป่าจือหลินสองคนรีบไปเปิดประตูทัน มันสองคนพอไปเปิดประตูก็เห็นชายร่างอ้วนฉุคนหนึ่งแต่งกายเช่นพ่อค้าไปตลาด ประตูของเป่าจือหลินก่อนถึงห้องขายยาจากทางหน้าร้านมีทั้งสิ้นสามชั้น ชั้นแรกเป็นประตูทางเข้ารั้ว บานที่สองเป็นบานกั้นระหว่างทางเดินกับลานฝึกมีแต่ประตูไม่มีกำแพงกั้น ระหว่างประตูบานแรกมีไม้วางขวางกั้นตอกตีติดกับพื้น แต่ “อาหยง” ไม่ทันระวังสะดุดประตูล้ม ยังดีที่ศิษย์สองคนนั่นที่มาเปิดประตูเปิดประตูทัน แต่อาหยงเป็นศิษย์คนแรกของหวงเฟยหง จะอย่างไรมีฝีมือติดตัวร่างพอล้มลงก็ม้วนตัวกลิ้งไปกับพื้นด้านหน้าตลบหนึ่ง พอลุกขึ้นมาก็กล่าวว่า

    “ยังดีที่เด็กน้อยเจ้าสองคนมาเปิดประตูทัน ไม่อย่างนั้นเห็นทีประตูต้องพังอีกแน่ เอาไว้เราจะเลี้ยงน้ำชาวันหลังแล้วกัน”



    กล่าวจบก็เดินไปเบื้องหน้า พอผ่านพ้นลานฝึกก็มีประตูก็มีแผงประตูไม้กั้นหลายซี่หลายบาน แต่มันมีร่างอ้วนฉุอุ้ยอ้ายเดินไม่ระมัดระวัง หลี่หยวนไคพอดีเปลี่ยนน้ำให้อาจารย์ ทั้งสองเดินแทบจะชนกัน ยังดีที่ว่าม้วนตัวเอี้ยวกายหลบทันท่วงที่ อาหยงเห็นหลี่หยวนไคสองมือถืออ่างน้ำทราบว่ามีคนถูกยิง เลยถามมันว่า
    “ใครถูกยิงอีก?”
    “ก็ลุงจ้าวคนขายผักที่ตลาด”
    “แล้วมันถูกยิงได้อย่างไร?”
    “เราเองก็ไม่ทราบ พี่ไปดูอาการมันด้านในเถอะ”
    กล่าวจบกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปเปลี่ยนน้ำให้แก่อาจารย์ตน



    อาหยง คือศิษย์คนแรกของหวงเฟยหง เรียกว่าหลินซื่อหยง แต่มันขายหมูตั้งแต่เด็กคนเห็นมันร่างอ้วนฉุเหมือนหมูต่างก็เรียกมันว่า “หมูตอนหยง” บ้างก็เรียกมันว่า “หยงขายหมู” มีไม่กี่คนที่เรียกมันว่า “หลินซื่อหยง” มันกับหวงเฟยหงอายุห่างกันไม่น่าจะเกินสองปี ครั้งที่หวงเฟยหงยังติดตามบิดาท่านร่อนเร่ไปมา ได้พบประกับมันอยู่บ่อยครั้ง ครั้งหนึ่งท่านพลัดหลงกับบิดาท่าน ท่านไม่พกเงินติดตัวแม้สักหุนก็ได้อาหยงให้ที่พักพิงหลบฝนในวันนั้น พอเช้ารุ่งขึ้นท่านติดตามมันไปตลาด มีนักเลงกลุ่มหนึ่งอ้างว่ามาเก็บค่าคุ้มครองก่อกวนตลาดวุ่นวาย ตอนนั้นท่านเป็นเด็กหนุ่มความคิดอ่านยังไม่รอบคอบก็ลงมือสั่งสอนนักเลงกลุ่มนั้น นับตั้งแต่นั้นมันท่านก็สอนวูซู(เรียกว่ากังฟูก็ได้นะ)ให้กับมัน นับตั้งแต่นั้นมันนับมันเป็นศิษย์คนแรกเป็นเวลาร่วมเกือบสิบปีแล้ว







    อาหยงพอเดินเข้าประตูไป ด้านหลังก็มีคนเดินถือถาดวางขวดยามา พอเดินเข้ามันระวังแต่ถาดยาไม่ดูพื้นสะดุดไม้บานประตู แทบล้มลงกับพื้น ยังดีที่อาหยงยกเท้าขึ้นพยุงร่างและแขนมันไว้ไม่ให้ขวดยาตกพื้นปากกล่าววาจาเหน็บแนมมันว่า
    “นี่อะไรกัน ไอ้เหยินซู จะเทยาทิ้งอีกแล้วหรือ?”





    เห็นคนผู้นั้นมีฟันด้านบนเหยินหลายซี่ คนผู้นี้แซ่ซู คนมักเรียกว่า “ซูฟันเหยิน” บ้างก็เรียกว่า “ฟันเหยินซู” มันเกิดและเติบโตขึ้นที่ลอนดอน ดีที่บิดาของมันรู้จักมักคุ้นกับหวงเฟยหง มันศึกษาวิชาแพทย์ฝรั่ง แต่พอกลับมาเมืองจีนก็พูดภาษาจีนติดๆขัดๆ มันตั้งใจจะเรียนวิชาแพทย์แผนจีนกับหวงเฟยหง ท่านก็รับมันเป็นศิษย์ แต่มันสนใจแต่วิชาแพทย์ไม่ชมชอบต่อยตี ท่านจึงไม่ค่อยได้สอนมวยให้แก่มัน



    เห็นซูฟันเหยินส่งเสียงขู่คำราม คิดที่จะกล่าวอะไรออกมาแต่แล้วติดที่ลิ้นกล่าวไม่ออก




    อาหยงเห็นมันกล่าววาจาไม่ได้ ก็กลั่นแกล้งมัน หดริมฝีปากด้านล้างเข้ายื่นฟันด้านบนออกมา ส่งเสียงในลำคอ เป็นการล้อเลียนฟันที่เหยินอันเด่นชัดของ “ ซูฟันเหยิน” ปากก็กล่าวว่า

    “เรียกศิษย์พี่สิ”
    ซูฟันเหยินพยายามกล่าวหลายครั้งคราท้ายที่สุดได้แต่คำ “หมูตอน” คำเดียว
    อาหยงก็บอกว่า
    “กลับมาเมืองจีนตั้งนานยังกล่าววาจาไม่คล่องอีก ราวกับว่าเป็นทารกเพิ่งหย่านมก็ปาน”




    หวงเฟยหงได้ยินเสียงเอะอะทราบว่าศิษย์ทั้งสองมีปากเสียงก็ร้องบอกว่า
    “รีบเอายามา”
    อาหยงอยากเอาใจอาจารย์ ก็ยื่นมือแย่งถาดยาจากเมือซูฟันเหยินปากกล่าวว่า
    “พูดยังไม่ชัด จะหยิบถูกได้อย่างไร”
    จากนั้นกล่าวกับหวงเฟยหงว่า
    “อาจารย์หยิบยาอะไร”
    “ยาห้ามเลือด”





    อาหยงอ่านป้ายยาที่แปะตามขวดยาสีขาวบนถาด แต่ยานี้เป็นยาสมุนไพรแต่ละคำก็มีแต่คำที่แปลกประหลาด มันร่ำเรียนมาน้อยพอรู้บ้าง ปากจึงกล่าวว่า
    “อาจารย์ ที่จริงเราทราบหนังสือไม่กี่ตัวจะหยิบถูกได้อย่างไร”
    “ยังมีหน้ามากล่าวแดกดันอาซูอีก” จากนั้นท่านหยุดเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า
    “อาซู หยิบยาห้ามเลือดมา”




    ป้ายยามีสองด้าน คือด้านตัวอักษรจีนและภาษาอังกฤษ ซูฟันเหยินแม้อ่านหนังสือจีนไม่คล่องแคล่วเท่าใด แต่ภาษาอังกฤษคล่องยิ่ง ไม่นานก็หยิบยาขวดหนึ่งยื่นให้แก่หวงเฟยหง




    หวงเฟยหงพอกยาให้แก่ลุงจ้าวเล็กน้อย ลุงจ้าวหลังจากหลับใหลชั่วครู่ก็ฟื้นตื่นขึ้นมาอีก เห็นหวงเฟยหงกล่าวอะไรกับมันเล็กน้อย ฟังได้ว่าท่านบอกให้มันพักผ่อนให้หายดี จากนั้นบอกมันว่ารับประทานยาอย่างไร รับประทานอาหารอย่างไรจึงจะเพียงพอ




    หวงเฟยหงพอกล่าววาจากับคนไข้เสร็จสิ้น อาหยงก็ถามว่า
    “อาจารย์ที่แท้เกิดเรื่องราวใดขึ้น?”




    หวงเฟยหงบอกเล่าสาเหตุเล็กน้อยจากนั้นกล่าวว่า
    “ในเมืองนี้มีแต่ทหารฝรั่ง เกิดเรื่องทีไรผู้รับเคราะห์ก็เป็นชาวจีน”
    อาหยงได้ยินดังนั้นก็มีโทสะยิ่ง เดินออกไปลานประตูหยิบสามง้ามขึ้นมาเล่มหนึ่ง กล่าวเสียงดังโผงผางว่า


    “ใครยังไม่อยากตายบ้าง อย่าไปหวังพึ่งพาสุนัขแมนจู มันยกทัพมาตีเมืองเรา ตอนนี้สมคบคิดกับฝรั่งจะขายเมืองของเรา พี่น้องเราพวกเราขึ้นไปต่อยตีกับ.........”




    คำ “เรือฝรั่ง” ยังมิทันได้กล่าวออกมา ก็ร้องสึกว่าถูกน้ำเย็นสาดใส่ พอหันกลับไปเห็นเป็นซูฟันหยินถืออ่างน้ำกล่าวตะกุกตะกักว่า
    “จ จ ใจเย็นก่อน”



    หวงเฟยหงกล่าวว่า
    “อาหยงอย่าวูวาม เรื่องนี้เกี่ยวข้องถึงความเป็นความตาย พรุ่งนี้อย่าไปก่อเรื่องที่ไหนเชียว เราจะไปพูดกับผู้ตรวจการให้มันเอาเรื่องกับฝรั่ง ไม่อย่างนั้นอีกไม่นานคนจีนไม่มีแผ่นดินให้เหยียบแน่”


    ราชวงศ์ชิงก่อตั้งมาแล้วสองร้อยกว่าปี ชาวฮั่นเช่นอาหยงมีบ้างที่ยังไม่หายเจ็บแค้น เรียกขุนนางข้าราชการว่าสุนัขแมนจู แต่ศึกภายในประเทศก็มากมี ปัญหาความกดดันจากต่างชาติก็ไม่น้อย หวงเฟยหงรู้สึกหนักใจอยู่บ้างไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรดี





    อาหยงแม้เกลียดชาวแมนจูเรีย แต่ก็เชื่อฟังอาจารย์ตลอดมา ได้ยินท่านกล่าวเช่นนี้ไหนเลยมีความคิดเป็นอื่นได้? ดังนั้นได้แต่รับคำคราหนึ่ง
  8. identity

    identity Active Member

    EXP:
    580
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    36
    หลังจากนั้นตลอดช่วงบ่าย ร้านเป่าจือหลินมีคนไข้มาให้ท่านและศิษย์รักษา แม้ไม่มากจนแน่นร้าน แต่ก็ไม่น้อยจนเกินไป ท่านตรวจไข้จ่ายยาอยู่ครึ่งค่อนวัน รู้สึกว่ากาลเวลาคล้ายผ่านไปชั่วคราวก็เข้าสู่พลบค่ำแล้ว น้าสิบสามเดินเที่ยวเมืองกับสตรีฝรั่งนั่นทั้งวันก็กลับมาถึงเป่าจือหลินเสียที





    นางมองดูป้ายร้านเป่าจือหลินซึ่งส่วนหนึ่งเป็นนางช่วยเหลือหวงเฟยหงในการวางรากฐาน นางจากที่นี่ไปราวสองปี ไม่ทราบมีอยู่กี่คืนที่เฝ้าฝันถึงวันที่ได้กลับมายังเมืองจีน วันนี้นางกลับมาถึงแล้ว แต่ความรู้สึกที่ทั้งพลุ่งพล่านดีใจ บ้างเฝ้าฝันห่วงหาประดังอยู่ในอก ยามกระทันรู้สึกยากที่จะอธิบายได้





    ศิษย์ที่มีความใกล้ชิดกับหวงเฟยหงมีทั้งสิ้น สี่ห้าคน ได้แก่ หลินซื่อหยง เหลียงคุน บ๊วนก่วนชิ(ตีผีเจ็บ) หลี่หยวนไค และก็ฟันเหยินซู เช้านี้หวงเฟยหงสั่งให้เหลียงคุนกับบ๊วนก่วนชิ ออกไปเก็บสมุนไพรหาซื้อตัวยา พอย่ำค่ำก็เพิ่งกลับมาจากนอกเมือง





    ศิษย์เอกทั้งห้าของหวงเฟยหงพอทราบข่าวว่าน้าสิบสามมาก็กล่าววาจาเอะอะเสียงดังโวยวาย ถามไถ่ถึงเมื่องฝรั่งสิ่งของวิเศษณ์ประหลาด มีเพียงซูฟันเหยินที่เติบโตจากลอนดอนที่ไม่ได้เอะอะเสียงดังอันใด ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายว่า


    “นี่น้าสิบสาม ท่านมีอะไรให้ข้าพเจ้าเอาไว้ค้าขายหรือเปล่า อย่างเช่นผ้าแพรฝรั่งเนื้อดีเป็นอย่าง เผื่อเราจะได้หารายได้เข้าร้านเปาจือหลินเพิ่มขึ้นอีก”


    “ก็พอมีอยู่บ้างเหมือนกัน แต่เอาไว้วันหลังฉันค่อนหาให้เธอเอาไว้ทำการค้า”

    คนกล่าววาจาคนแรกคืออาหยงเอง มันแม้มีฝีมืออยู่ไม่เลว แต่เรื่องที่มันเด่นล้ำเหนือศิษย์คนอื่นกับมิใช่วิชาหมัดมวยหรือวิชาแพทย์รักษาคน หากแต่เป็นการค้าขาย มันมีนิสัยขยันทำมาหากินตั้งแต่เล็ก พอเติบโตขึ้นก็เสาะหาหนทาง หลังก่อการค้าเป็นเศรษฐีร่ำรวย


    จากนั้นได้ยินคนกล่าวว่า
    “น้าสิบสาม ท่านไปเมืองฝรั่งมีเสื้อมาฝากข้าพเจ้าหรือไม่” จากนั้นได้ยินเสียงหยุดเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า
    คนกล่าววาจากับเป็นศิษย์คนที่สองเหลียงคุนเอง มันมีนิสัยชอบศึกษาของแปลกใหม่มาตั้งแต่เกิด พอฟังว่าน้าสิบสามเดินทางกลับมาจากตะวันตกก็ร้องเสียงดังโวยวาย ท่าทางคล้ายเด็กพบของเล่นแปลกใหม่ ดูไปน่าขบขันยิ่ง
    “อย่างเช่นเสื้อสูทเป็นอย่างไร ท่านซื้อมาให้เราหรือไม่?”
    “สำหรับเธอนั้นไม่มี แต่ว่าอาจารย์เธอเป็นอีกเรื่องราวหนึ่ง”
    “น่าเสียดายจริงๆ แต่ว่าท่านมีของฝากให้แก่อาจารย์หรือ”
    “ไม่มี แต่ว่าเราไปอยู่อังกฤษมาพอตัดเย็บเสื้อผ้าเป็นอยู่บ้าง”




    เหล่าศิษย์ร้านเป่าจือหลินร้องโอ้โฮส่งเสียงเอะอะพักใหญ่ หวงเฟยหงกลัวว่าจะรบกวนชาวบ้านใกล้เคียงรีบออกปากร้องเตือนว่า


    “พวกเจ้าเงียบก่อนได้หรือไม่ น้าสิบสามเพิ่งเดินทางกลับมา คงจะเหน็ดเหนื่อยยิ่ง น้าสิบสามท่านนั่งเดิมน้ำชาสักครู่จากนั้นค่อยเข้าไปกราบไหว้บรรพชนเป็นอย่างไร”จากนั้นหยุดเล็กน้อย หันไปสั่งเหลียงคุนว่า
    “ อาคุน น้ำชาเล่า”
    เหลียงคุนรับคำครา ก็ปลีกตัวไปหาน้ำชามาให้น้าสิบสามดื่ม




    หวงเฟยหงชักชวนน้าสิบสามเข้าไปยังห้องของบรรพชนของตระกูลหวง เห็นป้ายบรรพชนของท่านทำจากไม้สักสลักไว้มากมาย มี หงซีกวน ปึงซีเง็ก หงเหวินตี้ และรายชื่ออื่นอีกราวๆหกเจ็ดแผ่น



    ครั้งสมัยเฉียนหลงฮ่องเต้ เกิดการปราบปรามชาวมิจฉาชีพในยุทธจักรมากมาย รวมทั้งวัดเส้าหลินหุบเขาเส้าสือ และมณฑลฮกเกี้ยนด้วย หงซีกวน และศิษย์น้องปึงซีเง็ก พร้อมกับหลวงจีนจี้ส่านหนีออกมา ภายหลังหงซีกวนเปิดสำนักมวยเรียกสำนักมวยตระกูลหง กาลเวลาผ่านพ้นนานวันเข้าก็สืบทอดกันมา จนถึงรุ่นของหวงเฟยหง ได้เพิ่มเติมวิชาฝีมือของเส้าหลินอีกมากมาย รวมทั้งเพลงหมัดเท้าอาวุธที่ท่านกับบิดาร่วมกันบัญญัติขึ้น ก่อเกิดขึ้นเป็นวิชาวูซูของสกุลหวง อันมีเป่าจือหลินเป็นสถานที่ฝึกสอนอบรม


    น้าสิบสามพนมมือถือธูปตั้งสมาธิพร้อมกล่าวว่า
    "ขอบคุณบรรพชนทุกท่าน ที่คุ้มครองเราผู้เป็นบุตรหลาน ให้แคล้วคลาดปลอดภัยจากภยันตรายในการเดินทาง"

    จากนั้นปักธูปที่ถือไว้ลงกระถางธูปหันมากล่าวกับหวงเฟยหงว่า
    "เฟยหงฉันอยากอาบน้ำ ล้างเหงื่อไคล"



    หวงเฟยหงปฏิบัติกับนางโดยดีมาตลอด ก็สั่งรีบสั่งลูกศิษย์เตรียมน้ำให้นางอาบผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเปลี่ยนเป็นส่วมใส่ชุดนอนของชาวจีนแทน



    หวงเฟยหงและลูกศิษย์ทั้งหลายรอให้นางเสร็จสิ้นกิจธุระส่วนตัว ก็บอกให้ตั้งโต๊ะรับประทานอาหาร ห้องรับประทานอาหารของเป่าจือหลินแม้มิกว้างขวางแต่ก็นับว่ายาวยิ่ง บนโต๊ะยาวมีคนนั่งร่วมโต๊ะรับประทานถึงยี่สิบคน หวงฟยหงนั่งที่หัวโต๊ะ ซ้ายขวาเคียงข้างด้วยน้าสิบสามกับอาหยง



    น้าสิบสามไปศึกษาเล่าเรียนที่ต่างประเทศเป็นเวลาสองปี ตอนนั้นหลี่หงจังและเพื่อนข้าราชการขุนนางผู้ใหญ่ในราชสำนักเสนอแนวคิดแก่ฮ่องเต้คือ ให้เลียนเยี่ยงชาวตะวันตกเพื่อต่อกรกับชาวตะวันตก เป็นวิธียืมหอกสนองคืนผู้ใช้ ส่วนหนึ่งเปิดโรงเรียนสอนวิทยาการตะวันตก ส่วนหนึ่งเปิดโอกาสให้คนไปศึกษายังต่างประเทศมากขึ้น น้าสิบสามกับสหายอีกหลายคนก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ได้ไปเล่าเรียนยังต่างประเทศ




    นางอยู่ที่อังกฤษที่ใคร่รับประทานอาหารจีนหลายครั้งคราแต่ก็หารับประทานไม่ได้ วันนี้พอดีสบอารมณ์ซูฟันเหยินกับอาหยงเข้าห้องครัวทำกับข้าวอาหารให้นางรับประทานเมื้อใหญ่ เป็นการฉลองที่นางกลับมาจากอังกฤษ




    ขณะที่รับประทานอาหารหลี่หยวนไคก็เปิดฉากสนทนาทำลายความวุ่นวายว่า
    “อาจารย์ เมื่อเช้านี้หลังจากที่ท่านออกไปส่งใต้เท้าหลิวแล้วก็มีสตรีสาวนางหนึ่งมาขอพบ”
    หวงฟยหงทวนคำ “ขอพบ” แล้วกล่าวว่า
    “นางมาพบเราเพราะเหตุใด?”
    “นางไม่บอกเราว่าเพราะเหตุใด พอเราถามนางก็เอาแต่กล่าวว่าต้องพบตัวท่านก่อนค่อยว่ากล่าว เราบอกว่าไม่ทราบว่าอาจารย์จับกลับมาเมื่อใด ให้นางกลับไปก่อน แต่นางกลับดื้อรั้นอยู่บ้างบอกว่าจะเชื่อคำพูดเราได้อย่างไร นางพอกล่าวจบก็กระโดดขึ้นโต๊ะจ่ายยา เปิดลิ้นชักตู้ยาขโมยโสมคนไปสองสามต้น เราวิ่งไล่ตามนางออกไป แต่มิคาดนางเคลื่อนไหวคล่องแคล่วยิ่ง เราวิ่งตามไม่กี่อึดใจนางก็ห่างหายจากสายตาไป นางยังกล่าววาจาถากถางท่านอีกว่า “หวงเฟยหงเก่งกาจปานใด ทุกผู้คนย่อมทราบดี กลับมีลูกศิษย์ใช้การไม่ได้ปานนี้ ฮา ฮา ฮา” ”





    หวงเฟยหงกล่าวอย่างครุ่นคิดว่า
    “นางมีเจตนาหาเรื่อง หรือแอบแฝงอันใดเราก็ไม่ทราบ แต่ดูตามรูปการณ์แล้วพวกเราไม่ต้องหาตัวนาง เพียงรอนางนางก็จะมาหาเราเอง”




    บ๊วนก่วนชิออกความคิดเห็นว่า
    “อาจบางทีนางต้องการให้ท่านสอนวิชาฝีมือให้”
    ศิษย์ที่เหลือได้ยินก็รู้สึกว่ามีเหตุผลอยู่บ้าง ต่างส่งเสียงสนับสนุนออกมา




    หวงเฟยหงยิ้มเล็กน้อยจากนั้นวางตะเกียบลง จากนั้นหันหน้าไปทางน้าสิบสามพลางกล่าวว่า



    “หากน้าสิบสามของพวกเจ้า เอาเยี่ยงอย่างจากสตรีนางนี้บ้างก็ประเสริฐ น่าเสียดายเรากล่าววาจากับนางหลายครั้ง นางยังดื้อดึงไม่ยอมร่ำเรียน”





    เหล่าศิษย์ทั้งหลายพอได้ยินก็คิดหัวร่อออกมา แต่แล้วฉุกใจคิดว่าน้าสิบสามจะอย่างไรเป็นผู้อาวุสโสของตน ดังนั้นจึงเพียงแต่ส่งเสียงในลำคอยิ้มเล็กน้อยออกมา



    น้าสิบสามได้ยินดังนั้นเกิดความขุ่นข้องใจรู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง
    “เฟยหงพี่เขยเคยบอกฉันเอาไว้ เวลารับประทานอาหารไม่ควรสนทนา”


    กล่าวจบใช้ตะเกียบส่งข้าวที่เหลือเพียงน้อยนิดเข้าปากรับประทานไม่กี่ครั้งคราเสร็จสิ้น จากนั้นดื่มน่ำชาตามลงไป



    พี่เขยที่นางหมายถึง คือ หวงฉีอิง บิดาของหวงเฟยหงเอง ตั้งแต่ยังเล็กท่านถูกบิดาสั่งสอนมารยาทต่างๆให้รู้จักสำนึกตนตลอดเวลาพอได้ยินถึงคำสอนของบิดาก็ไม่ว่ากล่าวอะไรอีก ตั้งใจรับประทานข้าวในชามที่เหลือ เหล่าลูกศิษย์ทั้งหลายก็ได้แต่ทำตามอาจารย์ของตนแล้ว



    หลังจากรับประทานอาหารล้างชามภาชนะเสร็จสิ้น ลูกศิษย์ของหวงฟยหงก็เก็บยาที่ตากไว้ตรวจสอบดูบัญชีของร้าน ยังไม่ทันถึงยามสอง(สี่ทุ่ม) ก็เสร็จสิ้น แยกย้ายกันเข้านอน


    หวงเฟยหงกับน้าสิบสามนั่งสนทนากันในห้องโถง น้าสิบสามกล่าววาจาน้ำเสียงไม่พอใจอยู่บ้างกี่ยวกับเรื่องที่ท่านพูดเมื่อตอนร่วมโต๊ะรับประทานอาหาร ทำให้ท่านกับนางอดนึกถึงเรื่องราวในอดีตเมื่อสามสี่ปีก่อนมิได้



    เรื่องที่ท่านคิดสอนวูซูให้แก่นางเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตั้งแต่หลายปีก่อน ตอนนั้นท่านบอกนางว่านางเป็นสตรีตัวคนเดียว เดินทางไปที่ใดก็อันตรายดังนั้นดัดแปลงวิชาคว้าจับชุดหนึ่ง คิดถ่ายทอดให้แก่นาง แต่น้าสิบสามมีนิสัยดื้อรั้นอยู่บ้างนางบอกว่าสตรีไม่ควรใช้กำลัง มิหนำซ้ำนางกับท่านเดินทางร่วมกันอยู่บ่อยครั้ง ท่านอยู่ข้างกายนางสามารคุ้มครองนางได้ นางยังมีความจำเป็นใดที่ต้องฝึกหมัดมวยของเหล่าบุรุษ



    แต่เรื่องนี้ระหว่างท่านกับนางต่างถกเถียงด้วยกันบ่อยครั้ง มีอยู่ครั้งหนึ่งที่นางพลั้งปากว่า “ให้พกปืนฝรั่งดีกว่า” แต่คำพูดนี้สะกิดความเจ็บช้ำในใจท่าน ท่านกับนางไม่ได้พูดกล่าวสนทนากันเป็นเวลาถึงสามวัน ท้ายที่สุดเป็นนางต้องมาขออภัยท่าน หลังจากวันนั้นมาท่านกับนางก็ไม่เอ่ยปากถึงเรื่องนี้อีก



    หวงเฟยหงเห็นนางบังเกิดความไปพอใจแก่ตนจึงกล่าวว่า
    “เรื่องนี้สมควรพอไว้ก่อนกระมัง วันพรุ่งนี้เราจะไปหาผู้ตรวจการ ท่านกับสหายท่านไปเที่ยวตามลำพังเถอะ”

    “ไปหาผู้ตรวจการ? ปกติท่านไม่ชอบพบปะกับข้าราชการเหตุใดพรุ่งนี้ถึงคิดไปหามัน”



    หวงฟยหงก็เล่ารายละเอียดสาเหตุและเหตุการณ์ที่ลุงจ้าวถูกยิงอย่างไรให้นางฟัง นางพอฟังท่านกล่าววาจาเสร็จสิ้นก็กล่าวว่า


    “อย่างนั้นท่านให้เราติดตามไปด้วยดีหรือไม่ จะอย่างไรให้เราไปช่วยเจรจายังดี”



    เดิมนางใช้คำแทนตัวว่า “ฉัน” เรียกหวงเฟยหงว่า “เธอ” แต่หวงเฟยหงบอกว่าฟังแล้วขัดหูเป็นที่เข้าใจยากแก่ท่านอยู่บ้าง นางจึงเปลี่ยนคำแทนตัวมาเป็นเหมือนกับเมื่อครั้งที่ยังอยู่กวางตุ้ง



    “ยังคงอย่าได้ไปจะดีกว่า เรื่องนี้ค่อนข้างรายแรงอาจมีการกระทบกระทั่ง ท่านไปกับเราเกรงว่าจะเกิดอันตราย”



    น้าสิบสามเห็นท่านกล่าววาจาด้วยความเป็นห่วง จึงไม่ว่ากล่าวกระไรอีก



    หลังจากนั้นนางคิดกล่าวถึงเครื่องมือตะวันตก หวงเฟยหงรับฟังไม่กี่อึกใจ ยิ่งรับฟังยิ่งรับรู้ถึงปมด้อยของชาวจีนที่ไม่อาจสู้ชาวตะวันตก ฟังได้ชั่วครู่หนึ่งบังเกิดความเบื่อหน่ายอยู่บ้าง อีกทั้งเห็นนางเพิ่งเดินทางมาถึง เกรางว่าจะเหนื่อยล้าจึงกล่าวเสียงนุ่มนวลกับนางว่า


    “น้าสิบสาม คืนนี้ดึกแล้ว วันข้างหน้ายังอีกยาวไกล สนทนาพรุ่งนี้ยังมิสายคืนนี้ท่านเข้านอนเสียเถอะ”



    กล่าวจบชักนำนางมายังห้องนอนที่ตนเป็นคนจัดเตรียมไว้ให้ ห้องนี้ความจริงเป็นห้องนอนของบิดาท่าน “หวงฉีอิง” แต่บิดาท่านเดินทางบ่อยครั้งไม่อยู่ที่นี่เป็นเวลานานแล้ว ดังนั้นท่านจึงมักมาปัดกวาดเองอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นพอทราบว่าน้าสิบสามมาก็จัดห้องนี้ เตรียมไว้ให้นางได้พักผ่อนตั้งแต่แรก




    เวลานี้เป็นยามสอง (ตรงกับสี่ทุ่ม) เหล่าลูกศิษย์ของท่านเข้านอนได้ครึ่งชั่วยาม(1 ชั่วยาม = 2 ชั่วโมง) แล้ว ท่านยืนอยู่กลางลานฝึกฝีมือ บังเกิดความคิดถึงบิดาผู้ไกลตัว ดังนั้นอดวาดเท้าร่ายรำหมัดฝ่ามือเป็นการแก้เหงารำลึกถึงเมื่อครั้งที่ตนเริ่มฝึกฝีมือกับบิดามิได้
  9. identity

    identity Active Member

    EXP:
    580
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    36
    พอใกล้รุ่งสางหวงเฟยหงก็ได้สติตื่นจากการหลับไหล ท่านพอลืมตาตื่นก็คิดอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า ในบรรดาลูกศิษย์ของท่านนับกุ๋ยเจี่ยวชิ(*ขออภัยด้วยที่ตอนแรกลงชื่อว่าบ๊วนก่วนชิแต่พอมาดูดีๆ แล้วเป็นกุ๋ยเจี่ยวชิจึงจะถูก)เป็นศิษย์ที่เชื่อฟังปฏิบัติตามท่านมากที่สุด ตอนแรกก่อนรุ่งเช้าทุกวันกุ๋ยเจี่ยวชิมักจะตื่นมากวาดลานฝึกซ้อมให้แก่อาจารย์ก่อนเสมอ แต่พอนานวันเข้าหวงเฟยหงเห็นว่าทำเช่นนี้ในระหว่างศิษย์ด้วยกัน นับเป็นการได้เปรียบเสียเปรียบกันอยู่บ้าง ดังนั้นจึงบอกให้ลูกศิษย์แบ่งเวรยาม มารักษาความสะอาดลานฝึกซ้อม


    แต่ถึงกระนั้นกุ๋ยเจี่ยวชิก็ยังทำหน้าที่มากกว่าความจำเป็นเสมอ นี่เป็นความสมัครใจของมันเองมิได้สืบเนื่องจากหวงเฟยหงใช้งาน ดังนั้นท่านไหนเลยห้ามปรามมันได้?


    หวงเฟยหงพอเดินพ้นประตูห้องนอนของตน ก็พบกับกุ๋ยเจี่ยวชิ กุ๋ยเจี่ยวชิกล่าวถามทักทายท่านว่า
    “อาจารย์ วันนี้ให้ข้าพเจ้าเตรียมน้ำไว้สำหรับท่านอาบดีหรือไม่?”
    “ไม่จำเป็น นี่อาชิอีกสักครู่รีบไปปลุกพวกอาไคด้วย อีกสักหน่อยเราจะฝึกซ้อมกัน วันนี้อาจารย์มีธุระต้องฝึกแต่เช้า”
    กุ๋ยเจี่ยวชิรับคำคราหนึ่ง จากนั้นเดินจากไปทำตามคำสั่งของท่าน


    ก่อนที่จะได้พบกับหวงเฟยหงกุ๋ยเจี่ยวชิเคยเป็นคนลากรถที่ปักกิ่ง ในหมู่คนลากรถก็ยักมีนักเลงหาพื้นที่แข่งขันกันและกัน คนลากรถต่าง ๆ ก็มักจะถูกข่มเหงรังแก กุ๋ยเจี่ยวชิไม่อาจทนนิ่งเฉยถูกข่มเหงดังนั้นยามว่างมันฝึกพลังขาท่วงท่าตวัดเท้าเตะต่างๆ ใช้ป้องกันตัวสั่งสอนอันธพาล


    เดิมทีตั้งแต่ยังเด็กมันเป็นโรคเรื้อนยากจนขัดสน ดังนั้นไม่มีเงินเป็นค่ารักษาเป็นเหตุให้ศีรษะมันจึงล้านเลี่ยน การแต่งกายก็ซอมซ่อเพียงดีกว่าขอทานเล็กน้อย ส่วนหน้าของมันก็เป็นรอยแผลไหม้เกรียมที่แก้มข้างซ้ายสืบเนื่องเพราะมีเรื่องกับอันธพาลกลุ่มหนึ่ง แต่มันตัวคนเดียวไม่อาจสู้อันธพาลนับสามสิบคนได้ ดังนั้นมันเมื่อพ่ายแพ้ก็ถูกอันธพาลกลุ่มนั้นใช้เหล็กร้อนจี้ประทับตราม้ามาจี้ใส่หน้ามัน นับตั้งแต่นั้นมากุ๋ยเจี่ยวชิก็ตั้งปณิธานเอาไว้ว่ามันจะไม่ยอมถูกข่มเหงรังแก ดังนั้นมันจึงฝึกปรือหมัดมวยตามความเข้าใจของมัน ยามว่างเว้นก็ลองแลกเปลี่ยนกับครูมวยของสำนักต่างๆ


    หลายปีก่อนหวงเฟยหงติดตามบิดาเร่ขายกังฟูยาแก้ช้ำในไปทั่วทุกมณฑล ก็พานพบกุ๋ยเจี่ยวชิโดยบังเอิญ กุ๋ยเจี่ยวชิพอเห็นท่านสองพ่อลูกแสดงกังฟูให้ผู้คนได้ชมเป็นขวัญตาก็เกิดความเลื่อมใส นับตั้งแต่นั้นมามันกราบไหว้หวงเฟยหงเป็นอาจารย์ของตนให้ความเคารพรักท่านเปรียบเสมือนญาติผู้ใหญ่เพียงคนเดียวของตน


    หวงเฟยหงพอสั่งการศิษย์เสร็จสิ้นก็ทำกิจธุระประจำวัน หลังจากท่านอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จสิ้นก็จุดธูปกราบไหว้บรรพชนอันเป็นพิธีและทำเนียมที่ดีงามตามแนวความคิดของขงจื้อ ท่านพอไหว้บรรพบุรุษเสร็จสิ้นก็เดินออกมายังลานฝึก


    เห็นศิษย์เอกทั้งห้าคนผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จสิ้นก็เริ่มทำการฝึกซ้อมวิชาฝีมือ ขั้นตอนการฝึกของท่านไม่ยากเย็นเท่าใดแต่ก็ไม่ง่ายดายแม้แต่น้อย



    โดยปกติแล้วท่านมักจะให้ศิษย์เริ่มจากท่าควบม้า ท่านี้เป็นท่าพื้นฐานที่จำเป็นของศิษย์วัดเส้าหลินทุกคนที่จำเป็นต้องฝึกปรือ การฝึกกังฟูจำเป็นจะต้องมีกำลัง กังฟูวัดเส้าหลินที่โด่งสืบเนื่องจากพื้นฐานท่านี้เป็นท่าก่อเกิด “กำลังภายใน” แรกเริ่มเดิมทีนั้นก่อนที่จะฝึกกังฟูจำเป็นต้องมีสมาธิและจิตใจที่แน่วนิ่งมั่นคง ท่าควบม้านี้ต้องแยกขาซ้ายขวาห่างออกจากกันเล็กน้อยราวหนึ่งศอก จากนั้นก็ต้องโก่งขาเกร็งกำลังที่ลำแข้ง คล้ายกับสมมุติว่าตนนั่งอยู่บนอานม้า มือสองข้างก็กำหลวมแนบกับลำตัวทั้งสองข้างบริเวณเอว



    การฝึกกังฟูของวัดเส้าหลินเดิมตามที่ปรมจารย์ตั๊กม้อบัญญัติไว้ เป็นการฝึกสมาธิควบคู่กับการฝึกร่างกายให้แข็งแรก ผู้ที่มีสมาธิจะต้องฝึกลมหายใจให้ต่อเนื่องสะดวกราบรื่นตลอด หากสามารถหายใจได้สะดวกทุกไม่ติดขัดทุกสภาวะค่อยกำเนิดชี่(ลมปราณ) เมื่อมีลมปราณเมื่อนั้นจึงมี “กำลังภายใน”




    ผู้ที่ฝึกท่านี้จนกว่าจะปรับเข้าพื้นฐานได้ในวัดเส้าหลินนั้นอย่างน้อยจะต้องใช้เวลาทั้งสิ้นรวมเป็นสามเดือนเป็นอย่างน้อย ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับพรสวรรค์ความตั้งใจและสมาธิอันแน่วแน่ของแต่ละคน



    หลังจากท่าควบม้า ท่าต่อมาคือย่างก้าวม้า ท่านี้เป็นท่าพัฒนาจากท่าควบม้าคือมีการเคลื่อนไหว ร่างท่อนล่างเคลื่อนไหวเพียงใดแต่หลักการเกร็งกำลังผนึกสมาธิยังคงเสมอเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง สองท่านี้รวมแล้วกันเวลาอย่างมากต้องไม่เกินครึ่งก้านธูป(ราวๆ 15นาที) ความจริงสองท่านี้ยิ่งฝึกเป็นเวลานานยิ่งดี แต่นี่เป็นเพียงท่าพื้นฐานหวงเฟยหงเห็นว่าลูกศิษย์สามารถฝึกปรือในเวลาว่างเองได้ ดังนั้นจึงใช้ท่านี้เป็นการอบอุ่นร่างกาย(warm)



    หลังจากอบอุ่นร่างกายเสร็จก็เป็นการร่ายรำหมัดมวยตามปกติ หมัดมวยที่สอนให้นั้นแต่วันย่อมแตกต่างกันอยู่บ้างแล้วแต่ท่านเห็นว่าควรจะฝึกปรืออย่างใดจึงจะสอน

    วันนี้หวงเฟยหงถ่ายทอดหมัดเลขสิบ เพลงหมัดชุดนี้ดัดแปลงมาจากหมัดยาวเส้าหลินและเพลงหมัดคงสิ่น ท่วงท่างดงามสง่าผ่าเผยตามแบบฉบับของท่าน



    เพลงหมัดทั่วไปเน้นที่ความดุดันกำลังกล้าแข็งพลังข้อมือเปี่ยมล้น แต่วิชาฝีมือของท่านนั้นแตกต่างจากสำนักมวยทั่วไปอยู่มากนัก ลูกศิษย์ของท่านและคนทั่วไปยามร่ายรำใช้ออกยามตะปมคล้ายพยัคฆ์ล่าเหยื่อ ยามย่างก้าวคล้ายกับสิงโตกระโจน



    แต่หวงเฟยหงกลับร่ายรำซุกงำกว่ามากนัก ท่านบอกว่าวิชาฝีมือเคล็ดความสำคัญไม่ได้อยู่ที่กำลังหากแต่อยู่ที่ความพลิกแพลงเปลี่ยนแปลง คนล้มเสือล้มช้างได้เพราะคนรู้จักวิธีรู้จักกลยุทธ์ เสือที่ตกเป็นเหยื่อของคนเพียงเพราะไม่รู้จักเปลี่ยนแปลงมีพฤติกรรมซ้ำๆ เป็นเหตุให้มนุษย์จับ “จุดอ่อน” ได้



    ลูกศิษย์เห็นท่านร่ายรำ จากล่างขึ้นสู่บน จากบนคืนสู่ล่าง เอี้ยวซ้ายเบี่ยงขวา พลิกหน้าตลบหลัง ก้าวกระโดดวาดเท้าแกว่งแขน ทุกท่วงท่าล้วนต่อเนื่องติดตามไม่ขาดตอน เปรียบเสมือสายน้ำหลั่งไหลไม่หวนกลับ




    ท่วงท่าแม้มีกำลังเปลี่ยนล้มแต่ไม่ดุดันแข็งกร้าว หวงเฟยหงบอกว่าหากร่ายรำใช้ออกด้วยความดุดันแข็งกร้าวเป็นที่เด่นชัดแสดงว่าใจร้อน เมื่อใจร้อนย่อมเกิดความผิดพลาดเป็นเหตุให้ “เพลี้ยงพล้ำ”ได้


    วิทยายุทธ์ของร้านเป่าจือหลินเน้น “ความเร็ว เม่นยำ และพลิกแพลง” เป็นสำคัญ เบื้องนอกสุภาพสง่าผ่าเผยท่วงท่าแผ่วพริ้วงดงาม ภายในเปี่ยมกำลังแผงล้น นับเป็นการซ่อนความแข็งกร้าวทรงกำลังไว้ในความสง่างาม



    หลังจากร่ายรำทบทวนพร้อมกับลูกศิษย์ก็ให้พวกมันจับคู่เป็นการฝึกซ้อม พร้อมทั้งชี้แนะว่าหมัดนี้ต้องใช้ออกอย่างไร เท้านี้ต้องก้าวอย่างไร ควรเอี้ยวตัวตวัดขาพลิกแพลงอย่างไรให้เหล่าลูกศิษย์ทราบ ศิษย์ทั้งหลายหากไม่ทราบก็ต้องถามไถ่ให้กระจ่าง ท่านก็อธิบายให้ฟัง ส่วนตัวท่านนั้นก็จับคู่กับซูฟันเหยิน ซูฟันเหยินเพิ่งมาจากยุโรปยังไม่เป็นกังฟู ดังนั้นท่านจึงจับคู่กับมันถ่ายทอดวิชาฝีมือขั้นพื้นฐานทีละน้อย



    ฝึกปรือเช่นนี้ได้ราว ๆ สามก้านธูป(ราวๆ หนึ่งชั่วโมงครึ่ง) หวงเฟยหงเห็นว่าสมควรได้เวลาหยุดฝึกดังนั้นจึงกล่าวว่า
    “วันนี้สมควรพอแค่นี้ก่อนกระมัง อาซู อาไควันนี้ เจ้าติดตามเราไปพบผู้ตรวจการ”

    หลี่หยวนไคกับซูฟันเหยินรับคำคราหนึ่ง จากนั้นหวงเฟยหงก็หันมากล่าวกับศิษยที่เหลือว่า
    “อาคุณเจ้าอยู่ที่ร้านห้ามก่อความวุ่นวายแล้วกัน อาชิเจ้าก็อยู่ด้วยวันนี้หากสตรีนางนั้นมาให้สอบถามนาง ซักถามประวัติความเป็นมาและก็เจตนาการมาเยือนของนางให้ทราบความจริง อาหยงเจ้าก็ไปค้าขายตายปกติของเจ้าเถอะ”



    “สตรีนางนั้น” ที่ว่าย่อมหมายถึงสตรีที่หลี่หยวนไคกล่าวเอาไว้เมื่ออาหารเย็นมื้อที่แล้ว กุ๋ยเจี่ยวชิรับคำคราหนึ่งจากนั้น เกิดความสงสัยอยู่บ้างจึงถามไถ่หวงเฟยหงว่า
    “อาจารย์ หากนางลงมือเล่า”
    “นางลงมือเจ้าก็ตอบโต้ไปตามปกติแต่อย่าได้ทำร้ายนางประการนี้สำคัญมากเข้าใจหรือไม่ เพราะเราต้องการคำตอบจากนาง”

    “ศิษย์ทราบแล้ว”

    หลังจากนั้นทั้งหวงเฟยหงและเหล่าลูกศิษย์ต่างก็แยกย้ายกันไปทำกิจวัตรประจำวัน ตามทำเนียมปกติห่างมีการพบประกันมักจะมีการจัดเลี้ยงแขก แต่คราครั้งนี้ท่านไปพบผู้ตรวจการที่เขตเช่าของพวกฝรั่ง ดังนั้นคาดว่าอาหารไม่น่าจะถูกปากท่านและศิษย์ ดังนั้นจึงบอกแก่ลูกศิษย์ว่ายังคงรับประทานพอประทังความหิวก่อนจึงจะดี



    ท่านพอรับประทานเสร็จก็ออกเดินทาง ก่อนที่ท่านจะเดินทางท่านกล่าวกับน้าสิบสามว่า
    “หากท่านคิดอยู่ที่นี่ก็ฝากดูแลศิษย์ของเราด้วย ห้ามให้มันก่อความวุ่นวายให้แก่ชาวบ้าน ทางเป่าจือหลินขอฝากไว้กับท่านด้วย”

    กล่าวจบเดินออกจากไปพร้อมกับศิษย์เอกทั้งสองคน
  10. identity

    identity Active Member

    EXP:
    580
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    36
    ภัตราคารฝรั่งแม้เป็นที่สำหรับดื่มกิน แต่ก็แตกต่างจากโรงเตี้ยมมากนัก ตั้งแต่การตกแต่งที่โอ่อ่าเกินความจำเป็น การออกแบบอาคารสถานที่ที่จัดทำด้วยปูนก่ออิฐทาสีขาวตามโทนของฝรั่ง ซึ่งขัดกับหลักการของคนจีนที่จะต้องเปิดบ้านหันหน้าต่างเข้าหาทิศทางของลม อาคารแม้สูงใหญ่แต่สำหรับหวงเฟยหงแล้วท่านเห็นว่า “เกินความจำเป็น” ทั้งนี้เพราะต้องเสียค่าวัสดุก่อสร้างเช่นปูนและทราย ร่วมทั้งผ้าแพรเนื้อดีที่นำมาจัดทำเป็นม่านมุ้ง อีกทั้งการก่อสร้างเช่นนี้ยังต้องการแรงงานมากมาย ชาวบ้านที่ไม่รู้เรื่องราวมีอยู่หลายคนที่ถูกพวกนายหน้าหลอกลวง จับลงสัญญาไม่เป็นธรรมเป็นเหตุให้ได้รับความทุกข์ร้อนมาไหว้วานให้ท่านช่วยเหลือ ตอนแรกท่านก็ให้หาทางทำมาหากินให้พวกมัน พอนานวันเข้าคนยิ่งมายิ่งมาก จนถึงปัจจุบันท่านแทบจะช่วยเหลือไม่ได้แล้ว ดังนั้นเมื่อวานพอลุงจ้าวถูกยิงโดยไร้เหตุผลท่านจึงเห็นสมควรว่า


    นอกจากเรื่องแรงงานและวัสดุแล้วท่านยังเห็นว่าการก่อสร้างเช่นนี้ ขัดหลัก “ธรรมชาติ”ของชาวจีน ทั้งนี้สืบเนื่องเพราะสถานที่แม้กว้างขวางดูโอ่อ่าแต่กลับเป็นรับลมถ่ายเทอากาศ ท่านเหลือบมองเห็นเครื่องใช้ชิ้นหนึ่งไม่ทราบเรียกว่าอย่างไร เห็นมันมีใบพัดคล้ายกังหันลมหมุนไปหมุนมา แต่มีขนาดเล็กกว่ามากนักมิหนำซ้ำยังไม่จำเป็นต้องใช้แรงลมเป็นตัวช่วย

    อาซูบอกท่านว่าเครื่องใช้นี้เรียกว่า “พัดลม” ท่านก็ถามมันว่าเครื่องใช้นี้ใช้ทำอะไรได้ อาซูก็บอกว่า เอาไว้ใช้ถ่ายเทอากาศคลายร้อนคล้ายกับพัดจีบ

    ท่านยิ่งสอบถามมันยิ่งตอบ ท่านยิ่งสงสัยไม่เข้าใจ จากนั้นขบคิดดูเห็นว่าไม่กล่าวถามต่อยังคงจะประเสริฐกว่า



    หวงเฟยหงพอเดินเข้าไปในภัตราคารฝรั่ง ก็มีพนักงานคนหนึ่งเดินมาทักทาย ท่านเห็นมันมีรูปร่างสูงใหญ่กล่าว ฮูลูฮาลา ไอ ๆ แอมๆ อะไรไม่ทราบ

    ท่านไม่เข้าใจฝรั่ง ที่ร่ำเรียนมาก็มีแต่ตัวหนังสือจีนกับอักษรหวัดไหนเลยเข้าใจภาษาประหลาดของมันรู้เรื่อง ดังนั้นจึงกล่าวกับซูฟันเหยินว่า
    “อาซูช่วยบอกจุดประสงค์การนัดหมายของเราให้มันทราบเสียเถอะ”

    ได้ยินอาซูกล่าวเสียง “ไอๆ แอมๆ ยิวๆ โยวๆ โอฮู”อันไดของมันไม่หยุดยั้ง หลี่หยวนไคหันมาบ่นกับหวงเฟยหงว่า
    “มันกล่าววาจาของเรา กล่าวถึงสามครั้งค่อยทราบว่าคำอะไร แต่พอมันกล่าวกับพวกฝรั่งกับกล่าวราวๆ กับม้าวิ่งนกเหินบิน”


    หวงเฟยหงยิ้มเล็กน้อยไม่กล่าวว่ากระไร ท่านทราบว่าซูฟันเหยินเติบโตที่อังกฤษตั้งแต่เล็ก มาตรแม้นว่ามีคนจีนอาศัยอยู่ด้วยก็มิค่อยได้ใช้ภาษาจีน พอมันมาอยู่กับท่านจึงกล่าววาจาไม่คล่องปากนับเป็นเรื่องธรรมดา



    เมื่อวานนี้หลังจากที่หวงเฟยหงตกลงที่จะนัดหมายพบกับผู้ตรวจการมณฑลกวางตุ้งที่ย้ายมาใหม่พร้อมกับตัวแทนของนายทุนชาวตะวันตกอีกสองสามคน ก็มอบหมายให้ซูฟันเหยินและหลี่หยวนไคหาทางนัดหมายให้แก่ท่าน



    อาซูกับหลี่หยวนไครับหน้าที่ส่งมอบเทียบเชิญให้แก่อาจารย์ เดินทางเข้าพบผู้ตรวจการมณฑลกวางตุ้ง “ตงหัวเฮ่อ” ผู้ตรวจการความจริงไม่คิดจะรับแขกหรือรับเทียบเชิญอันใด แต่พอได้ยินว่าเทียบเชิญนัดหมายนี้เป็นของหวงเฟยหงมันก็รับปากทันที



    มันที่ได้รับมอบหมายมายังมณฑลกวางตุ้งสืบเนื่องเพราะหวงเฟยหงและหลิวหย่งฟู่ ราชสำนักส่งมันมาเนื่องจากหลิวหย่งฟู่และหวงเฟยหงเป็นที่นับหน้าถือตาของชาวบ้าน ราชสำนักเกรงว่าหวงเฟยหงและหลิวหย่งฟู่จะแข็งข้อเตรียมก่อการตั้งตนเป็นกบฎล้มล้างราชวงศ์ชิง คล้ายกับในสมัยรัชศกหย่งเจิ้นและเฉียนหลงที่เกิดการจราจลมากมาย



    นอกจากนี้ผู้ตรวจการกวางตุ้งยังมีความคับแค้นใจที่ติดตัวมาตั้งแต่เด็กอีกประการหนึ่ง มันเป็นชาวแมนจูเรียตั้งแต่ยังเล็กมีร่างกายอ่อนแอถูกคนครหาค่อนขอดมากมาย เมื่อครั้งที่มันเล่นหัวกับเพื่อนในวัยเด็กก็ถูกผู้คนที่ชิงชังชาวแมนจูเรียต่อยตีรังแกอยู่มากครั้ง มันกลับถึงบ้านบิดามารดามันก็ถามมันว่าไปก่อเรื่องราวใดมันจึงได้รับบาดแผล มันก็ตอบไปตามตรง แต่นานวันเข้ามันยิ่งเก็บกดเจ็บแค้น พอได้ร่ำเรียนสำเร็จการศึกษาก็พลอยวางอำนาจกดขี่ครูมวยตามที่ต่างๆบ้าง มันมีความชิงชังมักดูถูกว่าครูมวยเหล่านี้ไร้การศึกษา ไม่มีมารยาท ซึ่งอันที่จริงครูมวยที่มีการศึกษามีความคิดอ่านรอบครอบรัดกลุมก็มากมี แต่มันไม่พอใจผู้คนเพียงกลุ่มเดียวก็พลอยชิงชังไปทั่ว นับว่าไม่มีเหตุผลขาดสติความคิดอ่าน ขัดกับ “การศึกษาเล่าเรียน” ที่มันยึดถือเป็น “หลัก” อยู่บ้าง




    โรงเตรี้ยม “ฝรั่ง”นับว่าแปลกประหลาดแล้ว แต่ที่แปลกใจท่านกับหลี่หยวนไคคือโต๊ะรับประทานอาหาร โต๊ะรับประทานอาหารนอกจากจะมีผ้าปูโต๊ะแล้ว ยังมีผ้ารองจานผืนน้อยๆอีกด้วย เท่านั้นยังไม่พอที่ “น่ากลัว”คือบนโต๊ะรับประทานอาหารกลับไม่มีตะเกียบให้ท่านกับลูกศิษย์คีบกับรับประทาน แต่กลับมีมีดเล่มเล็กเล่มน้อยราวกับว่าจะหั่นเนื้อปรุงอาหารก็ปาน มีดเล่มน้อยนั้นยังไม่แปลกเท่าใดที่แปลกตาอีกคือวัสดุประหลาดชิ้นหนึ่งดูไปคล้ายกับคราดแต่ขนาดนั้นเล็กกว่ากันมากนัก ราวกับว่ามันถูกย่อขนาดลงมาพอเหมาะกับมือราวกับตะเกียบก็ปาน



    หลี่หยวนไคชมดูจนหลั่งเหงื่อเย็นเยียบหันมาบ่นพึมพำกับหวงเฟยหงว่า
    “อาจารย์ นี่มันโต๊ะอาหารรับแขกหรือว่าเขียงฆ่าสัตว์กันแน่”
    หวงเฟยหงไม่กล่าวว่ากระไร เรื่องที่ท่านไม่ทราบท่านไม่คิดที่กล่าววาจาให้เกิดความผิดพลาดมาก่อน

    ท่านพอนั่งลงบนเก้าอี้ไม่กี่อึดใจ ก็มีพนักงานผู้หนึ่งนำแผ่นกระดาษแข็งราวกับกระดานไม้มาให้ ท่านรับเอาไว้กล่าวถามซูฟันเหยินว่า
    “อาซูนี่เรียกว่าอะไร”
    “เมนูอาหาร”
    “เมนู? คืออะไรอย่างนั้นหรือ?”
    “menu แปลตามตัวหรือพอเข้าใจได้ก็คือ “รายการ” ครับอาจารย์”
    “ถ้าอย่างนั้น เมนูอาหาร ก็คือรายการอาหารกระมัง”

    กล่าวจบใช้สองมือเปิดหน้าปกรายการอาหารพลิกดูไปมา มีแต่รายชื่ออาหารฝรั่งชมดูเพียงชั่วพริบตายังตาพร่ามัวศีรษะมึนงงดังนั้นพับเก็บคืนเหมือนเดิมส่งให้พนักงานฝรั่งนั่น แล้วกล่าวกับซูฟันเหยินว่า
    “อาซูสั่งของว่างอะไรมาสักสองสามอย่างก็พอ”



    อาซูรับคำคราหนึ่ง
    หลี่หยวนไคหยิบคราดอันเล็กเท่าฝ่ามือนั่นขึ้นมากล่าวถามว่า
    “นี่เรียกว่าอะไร?”
    “มันเรียกว่าส้อม เอาไว้ใช้กับมีดด้ามนี้” กล่าวจบหยิบมีดด้ามเล็กนั่นขึ้นมา มือซ้ายถือ “ส้อม” มือขวาถือ “มีด”

    ตั้งตรงขนานกัน
    “มีดมีไว้สำหรับหั่นเนื้อให้ชิ้นเล็กลง ส่วนส้อมมีไว้จิ้มเนื้อส่งเข้าปาก”

    ขณะที่มันกล่าวน้ำเสียงยังคงติดขัดบ้าง แต่ก็นับว่ามีพัฒนาการขึ้นมากนัก



    หลี่หยวนไคถามว่า
    “ประหลาดแท้ พวกฝรั่งนี้นับว่าผิดปกติอยู่บ้าง ขณะทำอาหารหรือมันไม่รู้จักหั่นผักหั่นเนื้อ กลับต้องมาหั่นบนโต๊ะรับประทานอาหาร ทั้งยังส้อมนี้อีก รับประทานอย่างยากเย็นปานนี้ มิสู้รับประทานข้าวเปล่าบะหมี่เจจะดีกว่าหรือ?”
    “ไม่มีอันใดยากเย็น ท่านรอดูอีกสักครู่ข้าพเจ้าจะแสดงให้ดู”

    เห็นพนักงานคนนั้นเดินถือถาด ในถาดมีจานสามจาน ส่งมอบให้แก่หวงเฟยหงและศิษย์ทั้งสาม

    เห็นในจานมีเนื้อชิ้นก้อนโต หวงเฟยหงคาดว่านี่เป็นเนื้อวัวชั้นดี นอกจากนั้นเห็นมีน้ำจิ้มสีดำคล้ำราดรดอยู่ หลี่หยวนไคกล่าวถามว่า
    “น้ำจิ้มนี้คืออะไร”
    “เรียกว่าซอส”
    “ซอส”
    “เป็นน้ำจิ้มที่ถูกปรุงหมักมาด้วยกรรมวิธีขั้นตอนต่างๆ พร้อมผสมกับไวน์”
    “ไวน์คืออะไร”
    “ไวน์สามารถจัดได้ว่าเป็นสุราชนิดหนึ่ง ถือว่าเป็นของมึนเมา”

    หวงเฟยหงกลัวว่าลูกศิษย์ท่านจะกล่าววาจามากความบนโต๊ะอาหาร เป็นที่เสียมารยาทรบกวนแขกท่านอื่นในภัตราคาร ดังนั้นจึงกล่าวห้ามปรามว่า
    “เรื่องพวกนี้เอาไว้กลับถึงเป่าจือหลินค่อยถามอาซูก็ได้”
    จากนั้นหยุดเล็กน้อยแล้วกล่าวน้ำเสียงนุ่มนวลกับอาซูว่า
    “อาซูลองสาธิตวิธีรับประทานเนื้อชิ้นนี้ให้เราดู”

    อาซูกล่าวอย่างครุ่นคิดว่า
    “ที่จริงนี่ไม่ใช่เนื้อแต่เรียกว่า steak (สเต็ก)”

    กล่าวจบใช้ส้อมในมือซ้ายปักเฉียงจากด้านบนลงบนก้อนเนื้อที่เรียกว่าสเต็กนั่น แล้วถือมีดจากซือขวาเฉียงๆ ค่อยหั่นเนื้อนั่นทีละน้อยจนขาดออกจากกันได้ขณะชิ้นพอดีคำ แล้วใช้ “ส้อม” นั่นปักลงบนเนื้อก้อนน้อยนั้นส่งเข้าปากโดยไม่ยากเย็น



    หวงเฟยหงกับหลี่หยวนไคชมดูจนปวดศีรษะมึนงง หลี่หยวนไคถึงกับกล่าวว่า
    “รับประทานยากเย็นปานนี้ ยังคงไม่ดื่มกินยังจะดีกว่า”



    หวงเฟยหงก็ไม่ว่ากล่าวกระไร แต่ใบหน้าก็ปรากฎความสงสัยครุ่นคิดอยู่บ้าง จากนั้นหันไปหยิบ แก้วมาดื่มน้ำ แต่แก้วของฝรั่งก็ประหลาดแท้รูปทรงไม่ได้ส่วน เห็นมีฐานกลมแบนรองลับไว้จากนั้นมีเสากลมเรียวต้นหนึ่งสูงขึ้นไปติดกับส่วนที่ใช้รองรับน้ำซึ่งมีลักษณะคล้ายระฆังคว่ำใบหนึ่ง แก้วนี้ก็ไม่มีลวดลายอักขระแต่กลับโปร่งใสมองทะลุได้




    หวงเฟยหงดื่มลงไปยังไม่ถึงครึ่งอึก ก็แทบสำลักออกมายังดีที่ท่านตั้งสติทันไม่แสดงความทุเรศน์ออกมาให้ผู้คนรอบข้างได้เห็น ท่านพอได้สติก็หันมาถลึงตาจ้องมองใส่ซูฟันเหยินแล้วกล่าวว่า
    “อาซูเจ้าไม่ได้บอกมันไปหรือ ว่าเราไม่ดื่มสุรา”



    กล่าวจบสายตามองไปยังขวด “น้ำ” บนโต๊ะสีสันแปลกตาคล้ายสีเขียว ปากขวดเรียวสูงมีกระดาษสีแดงพันไว้ นี่เป็น “น้ำ” ที่พนักงานนั่นรินให้ท่านเมื่อครู่นี้




    อาซูรีบแก้ตัวว่า
    “อาจารย์ศิษย์ขออภัย ศิษย์ลืมเลือนไปว่านี่ก็เป็นของมึนเมาชนิดหนึ่ง เมื่อครู่ที่ท่านดื่มลงไปนั้นเองที่เรียกว่า “ไวน์””




    หวงเฟยหงรีบใช้ผ้าที่ผืนน้อยที่วางอยู่โต๊ะเช็ดปาก ยังดีที่เมื่อครู่ผู้ตรวจการกวางตุ้งกับตัวแทนฝรั่งอีกสองสามคนที่ว่ายังไม่มาถึง ไม่เช่นนั้นคงสร้างความอับอายให้แก่ท่านจนยากที่จะกล่าววาจา




    หลี่หยวนไคพอทราบว่าน้ำในแก้วนั้นเป็นของมันเมามีฤทธิ์คล้าย “สุรา” ก็คิดที่จะทดลองดื่มลิ้มรสขึ้นมา แต่หวงเฟยหงพบเห็นเข้ารีบกล่าววาจาห้ามปรามมันว่า
    “อาไค เจ้าอยากถูกลงโทษหรืออยากไร”




    ร้านเป่าจือหลินที่ท่านกับบิดาร่วมเปิดได้บัญญัติกฎเอาไว้มากมายหลายข้อ มีอยู่ข้อหนึ่งที่ว่าเอาไว้คือ “ห้ามหมกมุ่นในของมึนเมา สุรายาดอง”




    หวงเฟยหงมิใช่ไม่ดื่มสุรา แต่ท่านเลือกดื่มเฉพาะสุรามงคล ดื่มพอเป็นพิธี มิใช่ดื่มต่าง“น้ำเปล่า”เป็นปกติ




    หลี่หยวนไคตอนแรกแม้ใคร่อยากดื่มสุราจากต่างแดนแทบตาย แต่หนึ่งนั้นมันเคารพอาจารย์ สองเกรงกลัวการลงทัณฑ์ สามมันจะอย่างไรเป็นชาวจีนที่มีเจตคติไม่ดีต่อชาวต่างชาติเท่าใด ดังนั้นมันจึงไม่คิดต่อต้านแข็งขืนอีกมิหนำซ้ำยังกล่าวว่า
    “สุราฝรั่งไหนเลยเปรียบเทียบกับชาเหมยฮัวของฝอซานได้”

    หวงเฟยหงกล่าวสั่งสอนมันว่า
    “อาไค อีกสักครู่พอท่านผู้ตรวจการมาถึงสำรวมวาจากกิริยาเอาไว้ให้ดี พวกเรามาเจรจาเรื่องสำคัญกับเขา จะต้องไว้หน้าเกรงใจซึ่งกันและกันบ้าง”




    ศิษย์ทั้งสองรับคำคราหนึ่งไม่กล่าวว่ากระไร



    หวงเฟยหงมักสั่งสอนศิษย์เหล่านี้อยู่บ่อยครั้งมีบ้างบางคราที่ถึงกับดุด่าพวกมัน แต่น้อยครั้งนักที่จะถึงขั้นดุด่าดังนั้น ระหว่างศิษย์อาจารย์จึงมีความรักใคร่กลมเกรียวกันคล้ายดังกับพี่ผู้ใหญ่สั่งสอนน้องเล็กก็ปาน



    หวงเฟยหงกล่าวเล็กน้อยว่า
    “ประการสำคัญขณะจะกล่าวกระไรอย่าลืมคำ “กรุณา”ด้วยเสมอ”



    กล่าวจบหันหน้าไปทางประตูทางเข้าด้านตะวันตกเฉียงใต้ฟากตรงข้ามกับบานที่ท่านเข้ามา เห็นบุรุษในวัยฉกรรจ์มีอายุไม่น่าจะเกินญี่สิบแปดผู้หนึ่งแต่งชุดขุนนางของราชสำนัก ด้านขวามือก็มีบุรุษอีกผู้หนึ่งแต่งกายค่อนข้างภูมิฐาน ในมือข้างหนึ่งถือสร้อยทองมีลูกกลมห้อยไว้ ซึ่งเมื่อวานนี้น้าสิบสามบอกท่านว่ามันคือ “นาฬิกา” มีเอาไว้ใช้ดูเวลา และยังมีฝรั่งหัวแดงหัวทองอีกสามคน ล้วนรูปร่างสูงกว่าคนจีน คนหนึ่งแต่กายเช่นทหารฝรั่ง อีกสองคนแต่งกายดังเช่นปกติ ที่อาซูมักอธิบายว่าเสื้อที่มันใส่แขนยาวคอปกเป็นเสื้อ “เชิต”



    หวงเฟยหงคิดเห็นว่ามันรัดแน่นเกินไปหายใจไม่สะดวก เคลื่อนไหวลำบากไม่คล่องตัว ไม่เหมาะที่คนจีนจะใส่เป็นอย่างยิ่ง


    หวงเฟยหงลุกขึ้นยืนเป็นการให้เกียรติแก่ผู้ร่วมโต๊ะ ศิษย์ทั้งสองพอเห็นอาจารย์ปฏิบัติก็ทำตาม อาซูกับอาไคแยกย้ายกันเคลื่อนย้ายก้าวอี้ให้คนทั้งห้านั่งลง
  11. identity

    identity Active Member

    EXP:
    580
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    36
    ทั้งหมดพอนั่งลงผู้ตรวจการมณฑลกวางตุ้งก็กล่าวแนะนำตัวด้วยน้ำเสียงที่เย่อหยิ่งอยู่บ้างว่า
    “เราคือผู้ตรวจการมณฑลกวางตุ้ง ไม่ทราบว่าานใดคือหวงเฟยหง”
    ผู้คนปกติมักจะเรียกหวงเฟยหงว่าอาจารย์หวง ไม่อย่างนั้นก็อาจารย์หวงเฟยหง ทั้งนี้เพราะให้เกียติและเคารพต่อท่าน มีอยู่น้อยคนที่จะเรียกท่านโดยตรงว่าหวงเฟยหง มิหนำซ้ำยังเรียกด้วยน้ำเสียงที่ไม่อ่อนน้อมแม้แต่น้อย เพียงแต่ฟังจากการกล่าววาจาของมันแสดงว่าไม่เห็นชนชั้นต่ำต้อยนักแลงในบู๊ลิ้มอยู่ในสายตา

    แต่หวงเฟยหงไยต้องถือสาหามัน? ท่านลุกขึ้นคารวะต่อทุกคนแล้วกล่าวว่า
    “ผู้น้อยคือหวงเฟยหง”
    “นับถือมานานๆ”

    จากนั้นผู้ตรวจการมณฑลกวางตุ้งหยุดกล่าวว่าจาเล็กน้อย จากนั้นเผยมือมายังบุรุษหนุ่มแต่งกายภูมิฐานด้านข้างกล่าวแนะนำว่า
    “ท่านนี้คือ จ้าวเหล่าซือ(ครูมวยแซ่จ้าว,อาจารย์จ้าว) เจ้าเฮยเยว่ เป็นครูมวยสกุลจ้าว”
    มันกลับเรียกจ้าวเฮยเยว่ เป็นเหล่าซือ แสดงว่ามันให้เกียรติมากกว่าหวงเฟยหง

    จ้าวเฮยเยว่ลุกขึ้นยืนแล้วยื่นมือมาคิดสัมผัสมือ กล่าวว่า
    “เลื่อมใสมานาน”
    หวงเฟยหงยื่นมือสัมผัสพร้อมกับกล่าวคำ
    “เช่นกัน”

    หลี่หยวนไคเห็นจ้าวเฮยเยว่ใช้ทำเนียมฝรั่งในการทักทายรู้สึกไม่เป็นพอใจขุ่นข้องใจอยู่บ้าง จึงหันไปกระซิบกับซูฟันเหยินว่า
    “นี่เหยินซู มีคนหัวนอกเหมือนกับท่านอีกคนแล้ว”

    ซูฟันเหยินความจริงคิดกล่าววาจาตอบโต้ แต่แล้วกลับเปลี่ยนเพราะหนึ่งนั้นมันนึกถึงคำบอกกล่าวของหวงเฟยหงเมื่อครู่นี้ อีกหนึ่งนั้นมันเห็นว่าเมื่อครู่เป็นแค่เพียงการกระซิบกล่าวสัพยอกหยอกล้อกันระหว่างศิษย์ภายในไหนเลยต้องแสดงเรื่องน่าอับอายแก่คนนอกได้รับรู้

    จากนั้นผู้ตรวจการมณทลกวางตุ้งก็เผยมือมาทางฝรั่งที่ใส่ชุดทหารสีแดงนั้นว่า
    “นี่นายพลริคเค่นจากประเทศอังกฤษ”
    นายพลนั่นก็พยักหน้ารับ จากนั้นชี้มือมาที่คนผัดมาใส่เสื้อกั๊กสีเหลืองอ่อนทรงฝรั่งกล่าวว่า
    “นี่คือ Mr.แจ๊กสันจากบริษัทชินโนแปรซิฟิกเจเนอร์เรชัล ของอเมริกา”
    แจ๊กสันก็พยักหน้ารับเหมือนกัน
    จากนั้นแนะนำคนที่เหลือว่า
    “และนี่คือผู้ช่วยของมิสเตอร์แจ๊กสัน มิสเตอร์แม๊กกี้”


    มันพอกล่าวจบก็ทรุดนั่งลงกับเก้าอี้ดังเดิมแล้วค่อยกล่าวว่า
    “เรื่องปัญหาข้อตกลงที่ท่านเสนอมานั้นอย่าเพิ่งว่ากล่าวเป็นการทำลายบรรยากาศ ตอนนี้สมควรรับประทานอาหารสนทนาถึงเรื่องราวที่น่าสนุกสนานเป็นการเพิ่มอถรรรสในการดื่มกิน”

    หวงเฟยหงยิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า
    “น่าเสียดายที่เราไม่สันทัดในการสนทนา เชิญพวกท่านว่ากล่าวมาเถอะ เราผู้ด้อยการศึกษาจะขอเป็นผู้ฟังที่ดี”

    จ้าวเฮยเยว่กล่าวว่า
    “อาจารย์หวงท่านไยต้องถ่อมตน เราเปิดสำนักมวยอยู่เจียงฮุยได้ยินคำร่ำลือถึง บิดาท่านและตัวท่าน ชื่อเสียงของศิษย์พยัคฆ์กวางตุ้งผู้ใดไม่ทราบ”
    “นั่นเป็นเรื่องราวเมื่อหนหลังไหนเลยนำมาว่ากล่าวได้ อย่าว่าแต่หวงเฟยหงเป็นคนธรรมดาไม่ได้ประกอบคุณงามความดีใด คำร่ำลือที่ว่านั้นย่อมเป็นเรื่องที่พวกมันต่อเติมเสริมแต่งกระตุ้นความสนใจของผู้คน”

    ผู้ตรวจการมณฑลกวางตุ้งกล่าวว่า
    “อ้ออย่างนั้นคำร่ำลือคงเป็นเรื่องที่แต่งขึ้น อย่างนั้นอาจารย์หวงคงเป็นผู้ที่วางตนเป็นที่น่าเชื่อถือกระมัง แม้แต่เรื่องที่แต่งขึ้นผู้คนยังเชื่อถือกันไปทั่ว”

    ดูภายนอกคล้ายกับว่ามันกล่าววาจาชมเชยหวงเฟยหง แต่แท้ที่จริงกล่าววาจาส่อเสียดหวงเฟยหง กล่าวหาว่าท่านประพฤติเป็นคนแสดงงิ้ว ภายนอกดูน่าเชื่อถือแท้ที่จริงล้วนเป็นการแสดง


    หลี่หยวนไคพอได้ยินมันกล่าววาจาแดกดันอาจารย์ของตน ถึงกับคิดที่จะกระชากคอเสื้อต่อยใส่ใบหน้ามันสักหลายหมัด ยังดีที่หวงเฟยหงทำท่ายกมือคล้ายห้ามปราม แล้วได้ยินท่านกล่าวว่า
    “หามิได้เราไหนเลยมีความสามารถปานนั้น เปรียบกับใต้เท้าที่พอเข้ามาเป็นผู้ตรวจการผู้คนก็ให้ความเคารพยำเกรง เป็นที่หวาดกลัวของเหล่าโจรร้าย”

    คำกล่าวของท่านกลับตีความหมายได้สองแง่ หากเป็นคนที่เข้าใจลักษณะนิสัยของท่านก็จะเข้าใจว่าท่านหลีกเลี่ยงการปะทะคารมกับขุนนาง แต่หากมองด้วยสายตาของคนที่มีจิตใจคับแคบจะเข้าใจว่าท่านกล่าววาจาแดกดันเหล่าขุนนางที่ใช้อำนาจบาทใหญ่ถือสิทธิ์เหนือชาวบ้าน

    จ้าวเฮยเยว่กล่าววาจาสอดคำว่า
    “ถ้าหากเรื่องราวเหล่านั้นล้วนเป็นเรื่องที่กล่าวเกินจริง อย่างนั้นคำ “หมัดเท้าไร้เทียมทาน”ที่ผู้คนยกย่องท่านเล่าที่แท้เป็นเรื่องราวใด”


    หลี่หยวนไคไม่ต้องการให้มันกล่าววาจาหาเรื่องอาจารย์อีกจึงออกปากว่า
    “ชื่อเสียงอาจารย์ข้าพเจ้าของโลกภายนอกนั้นเป็นอย่างไรเราก็ไม่ทราบ เพียงแต่ว่าเรากลับมิเคยได้ยินชื่อเสียงของสำนักมวยสกุลจ้าวมาก่อน มิทราบว่าเพลงหมัดของจ้าวเหล่าซือที่แท้เป็นเรื่องราวใด หรือเพียงเป็นการเล่นปาหี่ชนิดหนึ่ง?”


    ในชีวิตของหลี่หยวนไค มันเคารพรักหวงเฟยหงมากที่สุด สำหรับมันแล้วหวงเฟยหงถือเป็นเทพเจ้าประจำใจมัน เป็นเหมือนเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจในการดำรงชีวิตวิถีความเป็นอยู่ มันพอได้ยินผู้คนเบื้องนอกที่ไม่ทราบว่ามีความเป็นมาอย่างไร หรือแม้กระทั่งเป็นผู้สูงศักดิ์กล่าววาจาไม่ให้เกียรติผู้เป็นอาจารย์มันก็แสดงความไม่พอใจออกมาชัดเจน มันถึงกลับกล่าวเปรียบเปรยวิชาประจำตระกูลของตระกูลหนึ่งเป็นปาหี่ชนิดหนึ่ง(มายากล)

    หวงเฟยหงรีบหันไปส่งสายตาต่อว่ามันเสียมารยาทคราหนึ่ง จากนั่นกล่าวว่า
    “ลูกศิษย์เราไร้การศึกษาขออภัยท่านจ้าวด้วย”

    จ้าวเฮยเยว่กลับไม่ว่ากล่าวกระไรยิ้มเพียงเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า
    “นั่นกลับไม่แปลกแต่อย่างใด มีผู้คนกล่าวเอาไว้ว่า กระทำความดีมิจำเป็นต้องเปิดเผย มีฝีมือไม่จำเป็นต้องอวดโอ่ อีกทั้ง เนื่องเพราะเราไม่ชมชอบประพฤติตัวเป็นที่จับตามอง เพียงแต่ชอบปิดทองหลังพระ”

    หลี่หยวนไคกลับคาดไม่ถึงว่าจ้าวเฮยเยว่มันจะมีขันติปานนี้


    แต่จ้าวเฮยเยว่ก็ร้ายกาจอยู่มิใช่น้อย ปากอ้างว่าไม่ชอบกระทำตนเป็นที่จับตามองสนใจแก่พวกผู้คน กล่าวว่าตนเองเป็นผู้ถือสันโดษ แต่แท้ที่จริงกลับกล่าววาจาเสียดสีหวงเฟยหง ว่าท่านเป็นพวกประพฤติตนเสมือนนักเล่นงิ้วแสดงกายกรรม (แผลงเป็นเล่นละครตบตาผู้คนเก่ง) ดีแต่ออกหน้ารับผิดชอบแสดงความดีความชอบตักตวงชื่อเสียงใส่ตน


    หวงเฟยหงตลอดเวลาที่ผ่านมาก็นึกถึงคำสอนของบิดาของท่าน หวงฉีอิงมักว่ากล่าวตักเตือนท่านให้หลีกเลี่ยงการปะทะวาจา โต้เถียงคารม อีกทั้งยังฝึกความอดทนของท่านตั้งแต่เล็ก

    แต่จ้าวเฮยเยว่กล่าววาจาถากถางท่านมากเกินไป ท่านไหนเลยทนทานนิ่งเฉยโดยไม่ว่ากล่าวกระไรได้


    คำสั่งบิดาผู้เป็นบุตรควรปฎิบัติ หวงฉีอิงอบรมท่าน พร่ำบอกท่านเสมอว่าบางเรื่องหลีกเลี่ยงได้ควรจะหลีกอย่าได้ตอแยแส่หาความยุ่งยากใส่ตัว บางเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็ควรเผชิญกับมันแก้ไขปัญหาให้กระจ่าง


    เรื่องราวการโต้เถียงกันเพียงเป็นเรื่องเล็กน้อยความจริงหวงเฟยหงไม่จำเป็นต้องใส่ใจมากนัก ยิ่งไม่สมควรยึดถือมาเป็นโทษะให้ปวดเศียรเวียนเกล้า ดังนั้นจึงยิ้มเล็กน้อยกล่าววาจาหันเหหัวเรื่องว่า
    “เรื่องวิชาฝีมือสมควรพอแค่นี้กระมัง พวกเราชาวยุทธจักรต่อยตีอยู่ทุกเมื่อ แม้แต่เรายังเบื่อการกล่าวถึงเรื่องราวพวกนี้แทบตาย”


    คำ “แทบตาย” ของท่านกลับกล่าวออกมาด้วยอารมณ์ที่ขุ่นมัวเล็กน้อยแสดงว่าต้องการให้อีกฝ่ายทราบว่าท่านไม่ชมชอบถกเถียงเรื่องที่ก่อให้เกิดความชุลมุนทะเลาะวิวาทแก่กัน


    ผู้ตรวจการมณฑลกวางตุ้งยิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า
    “วันนี้พวกเรามาร่วมโต๊ะอาหารสมควร กล่าวถึง “อาหาร เครื่องดื่ม” จึงจะถูกกระมัง”

    จ้าวเฮยเยว่ถามหวงเฟยหงว่า
    “อาจารย์หวงท่านชมชอบรับประทานอาหารอย่างไร? เป็นรับประทานเจ รับประทานอาหารรสจัด หรือไม่ชอบปรุงแต่อาหารแม้แต่น้อย”


    “เรื่องอาหารเราไหนเลยพิถีพิถันปานนั้น เพียงแต่ว่าลูกศิษย์คิดรับประทานหุงหาอันใด เราก็รับประทานดังนั้น”



    “ทำอย่างนั้นได้อย่างไร อาจารย์หวงเป็นหมอมีชื่อไหนเลยรับประทานอาหารโดยไม่กลั่นกรองพิจารณา ชาวบ้านจะไม่ยึดถือเป็นเยี่ยงอย่างหรอกหรือ?”




    หวงเฟยหงยิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า
    “อาหารเราแม้จะไม่พิถีพิถันมากนัก แต่ยึดถือคติสะอาดไร้พิษภัยเต็มไปด้วยคุณค่าตามต้องการ ไม่ทราบว่าอาจารย์จ้าวมีรสนิยมในการรับประทานอย่างไร?”



    “เราเห็นว่าผู้คนที่ต่อยตีทะเลาะเบาะแว้งกัน ล้วนสืบเนื่องจากไม่ให้การยอมรับนับถือซึ่งกันและกัน ซึ่งเราคิดเห็นว่าการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการรับประทานก็เป็นอีกเรื่องราวหนึ่งที่ช่วยสร้างเสริมสัมพันธไมตรีระหว่างบุคคล ยิ่งหากเป็นเรื่องราวของวัฒนธรรมระหว่างประเทศและเชื้อชาติด้วยยิ่งเป็นการดี ดังนั้นรสนิยมของเราจึงไม่จำกัดอยู่ที่อาหารจีน อาหารฝรั่ง ไวน์แดงไวน์ขาวเราก็รับประทานดื่มกิน ไม่ทราบว่าอาจารย์หวงมีทัศนคติต่ออาหารเหล่านี้อย่างไร”



    “เราเป็นผู้ด้อยการศึกษาไหนเลยมีความเห็นอันสูงส่งดังเช่นท่านจ้าว เพียงแต่พึงพอใจในความพอเพียงที่เป็นอยู่เท่านั้น”



    ผู้ตรวจการมณฑลกวางตุ้งสอดคำขึ้นมาว่า
    “ท่านกล่าววาจาเช่นนี้แม้ถูกต้องอยู่บ้างแต่ก็ไม่นับว่าถูกต้องทั้งหมด ผู้คนคบหากันมีการแลกเปลี่ยนกันนับเป็นเรื่องธรรมดา หากไม่มีการประนีประนอมผ่อนปรนยิ่งไม่อาจค้าขายติดต่อกันสืบไปได้ อาจารย์หวงเห็นว่าเป็นอย่างไร?”



    ดูจากเปลือกนอก จ้าวเฮยเยว่กับผู้ตรวจการมณฑลกวางตุ้งคล้ายกล่าวถึงเรื่องราวรับประทานอาหาร แต่แท้ที่จริงเป็นการบ่งบอกทางอ้อมว่าให้หวงเฟยหงเลิกราต่อเรื่องราวของลุงเก้าขายผักที่ตลาดนั่น เป็นการบ่งบอกว่าอย่าให้ท่านได้ตอแยหาความวุ่นวายใส่ตัว คนจีนค้าขายกับชาวต่างชาติพึงประนีประนอม



    หวงเฟยหงไหนเลยไม่ฉุกใจคิดเรื่องนี้ ตั้งแต่แรกพอเริ่มการสนทนา มันทั้งสองก็พยายามที่จะหลีกเลี่ยงการเจรจาเรื่องที่ชาวบ้านถูกพวกฝรั่งหัวแดงกดขี่ข่มเหง มันทั้งสองเอาแต่กล่าววาจานี่นั่นบ้างกล่าวถึงวิชาฝีมือบ้างกล่าวถึงเรื่องอาหารการกิน แท้ที่จริงเพียงต้องการถ่วงเวลาแล้วปล่อยให้หวงเฟยหงลืมเลือนเรื่องนี้จนไม่ยกมาเป็นหัวข้อสนทนา


    หลี่หยวนไคกับซูฟันเหยินบังเกิดความขุ่นเคืองจนแทบตาย จึงหันไปซุบซิบนินทากันยังที่รอดพ้นจากหูตาของหวงเฟยหง

    หลี่หยวนไคฉุดลากซูฟันเหยินมายังมุมห้องแล้วกล่าวว่า
    “ผู้ตรวจการกับผู้แซ่จ้าวนั่นช่างน่าชังนัก เอาแต่กล่าววาจาบอกปัดหลีกเลี่ยงไม่ยอมเจรจาว่ากล่าว นับว่าดีลูกคิดลางแก้วไม่เลว เฮอะแต่อาจารย์ไยต้องเกรงใจมัน”


    ซูฟันเหยินโต้เถียงอย่างตะกุกตะกักว่า
    “มาตรแม้นว่าที่ผ่านมาข้าพเจ้ากับศิษย์พี่แม้จะมิใช่เห็นดีเห็นงามตามกันไปเสียหมด แต่คราครั้งนี้เราก็คิดว่าพวกมันทำเกินเลยไป อาจารย์เอาแต่บอกปัดหลีกเลี่ยงไม่นานคงถูกพวกมันโต้เถียงจนยากที่จะว่ากล่าว นี่เข้ากับภาษิตที่ว่า “มีปากยากจะกล่าว” อาจารย์เรามีสภาพคล้ายน้ำท่วมปากนับว่าย่ำแย่อยู่บ้าง”


    “พวกขุนนางข้ารับใช้ราชสำนักก็เป็นเช่นนี้ ดีแต่กล่าวประจบยกยอเอาความชอบใส่ตัวกล่าวหาความผิดใส่ผู้อื่น กลับเหล่าผู้มีอำนาจในอิทธิพลยังนับว่าเลวร้าย แต่นี่แม้แต่ชาวต่างชาติยังยกย่องจนเลอเลิศ นับไว้ไร้ศักดิ์ศรีขาดซึ่งความภาคภูมิของชาวจีนจริงๆ”

    ซูฟันเหยินทุ่มเทความคิดความใส่ใจไปที่อาจารย์ไม่มีอารมณ์สนทนาถกเถียงกับมันต่อ ดังนั้นจึงกล่าววาจาชักชวนหลี่หยวนไคว่า

    “กล่าวไปก็รังแต่จะเปลืองน้ำลาย เสียความรู้สึก ทางที่ดีพวกเราไปยืนเคียงข้างอาจารย์คอยดูว่าท่าจะรับมือกับสถานการณ์นี้อย่างไร”



    ซูฟันเหยินและหลี่หยวนไคพอเดินมาถึงบริเวณโต๊ะรับประทานอาหาร ซึ่งบริเวณรอบๆ ต่างมีฝรั่งคับคั่ง ก็ได้ยินหวงเฟยหงกล่าวว่า



    “ท่านผู้ตรวจการ ท่านจ้าว คนจริงไม่กล่าววาจาอ้อมค้อม เรามาที่นี่จุดประสงค์มีเพียงอย่างเดียวนั่นคือทวงความยุติธรรมให้แก่ลุงเก้าและเหล่าชาวบ้านที่ได้รับเคราะห์อยู่ทุกเมื่อ วันนี้พวกเราใช้เวลาในการกล่าวถึงเรื่องราวไร้สาระมากแล้ว เราผู้น้อยมิกล้าที่จะรบกวนเวลาอันมีค่าของท่านทั้งห้า เรื่องการเจรจาชดใช้ค่าเสียหายและสิทธิของชาวจีนเล่าตกลงได้ความว่าอย่างไร?”




    น้ำเสียงของท่านตอนท้ายเปลี่ยนเป็นเข้มแข็งทรงพลังกอปรเป็นอำนาจน้าวโน้มใจที่ยากจะขัดขืนชนิดหนึ่ง
  12. identity

    identity Active Member

    EXP:
    580
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    36
    ผู้ตรวจการมณฑลกวางตุ้งและจ้าวเฮยเยว่ความจริงเป็นคนรักศักดิ์ศรีเย่อหยิ่งถือดี แต่พอได้รับยินน้ำเสียงทรงพลังของท่านยังอดคล้อยตามไม่ได้ เห็นผู้ตรวจการและจ้าวเฮยเยว่หันไปกล่าววาจาเสียงดัง “ไอๆ เอ็มๆ คอกๆ แคกๆ” อันใดของมันกับฝรั่งนั้นหลายครั้งคราก็ไม่ทราบ




    หลี่หยวนไคบังเกิดความสงสัยใคร่รู้จึงหันไปกล่าวกับซูฟันเหยินว่า
    “ท่านทราบหรือไม่ว่าพวกมันสามคนวางแผนการชั่วร้ายอันใดอีก”
    “มันพูดคุยกันเสียงเบาปานนั้นเราไหนเลยได้ยิน อย่าว่าแต่การลักลอบฟังผู้อื่นสนทนากันเป็นการเสียมารยาทชนิดหนึ่ง ทั้งเราชาวจีนและฝรั่งก็ถือปฏิบัติเราไหนเลยกระทำเรื่องราวน่าอับอายปานนั้น”



    หลี่หยวนไครู้สึกขับข้องใจอยู่บ้างกล่าวทุ่มเถียงมันโดยไร้เหตุผลอยู่บ้างว่า
    “ท่านบอกว่าไม่ได้รับฟังก็ไม่ได้รับฟัง ไยต้องพร่ำพิไรปานนั้น?”



    พวกมันแม้ทุ่มเถียงกันด้วยเสียงแผ่วเบา ยังไม่รอดจากโสตประสาทของหวงเฟยหง เห็นท่านหันหน้ามาหาพวกมันทั้งสอง ส่งสายเป็นเชิงตำหนิติเตียนปากกล่าววาจาว่า
    “พวกเจ้าทั้งสองคนหยุดทุ่มเถียงกันได้หรือไม่?”

    หลี่หยวนไคและซูฟันเหยินรับคำด้วยน้ำเสียงซึมเซาเล็กน้ยอ จากนั้นไม่กล้า “เปล่งเสียงออกจากปาก”อีก




    พวกมันทั้งห้าคนสนทนากันอยู่ชั่วครู่หนึ่งศีรษะก็เริ่มออกห่างจากกัน ผู้ตรวจการมณฑลกวางตุ้งกล่าววาจาด้วยความเขื่องโขอยู่บ้างว่า


    “หวงเฟยหง ท่านนายพลและมิสเตอร์แจ๊กสันเป็นคนมีจิตใจดีงาม เรื่องที่เกิดในตลาดนั่นพวกท่านทั้งสองไม่ติดใจเอาเรื่อง อาจารย์หวงท่านก็อย่าได้เดือดร้อนแทนเป็นการแกว่งเท้าหาเสี้ยนใส่ตัวเลย”



    หวงเฟยหงกล่าววาจาด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมจริงจังว่า
    “แต่มันไม่เป็นการยุติธรรมกับพวกลุงเก้าและชาวบ้านชนบทอาจจะเกิดความโกรธแค้นขึ้นมาก็ได้”
    “โกรธแค้นอย่างนั้นหรือ?”

    จากนั้นน้ำเสียงของมันกลับเต็มไปด้วยโทสะอยู่บ้าง
    “หวงเฟยหงท่านคิดว่าตัวเองมากอิทธิพลมากหรือ ท่านเป็นเพียงแค่ชาวบ้านธรรมดามีสิทธิอะไรมาต่อรองเจรจากับคนข้าราชสำนักอย่างเรา ฝรั่งกลุ่มนี้เป็นคนสำคัญ ตอนนี้ราชสำนักพยายามผูกมิตรไมตรีกับชาวต่างชาติหนักนิดเบาหน่อยท่านก็สมควรอดทนจึงจะถูก เพื่อบ้านเมืองของเราจะได้สงบสุข”

    หวงเฟยหงยิ้มออกมาเล็กน้อย รอยยิ้มนี้ไม่คล้ายกับรอยยิ้มอันปกติของท่าน หากแต่ว่ามันคล้ายกับรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความเย้ยหยันมากกว่า พร้อมกันนั้นท่านก็ใช้มือซ้ายอันใหญ่โตเท่าใบลาน หยิบ “ขนมฝรั่งที่เรียกว่าขนมปัง” บนจานสีขาวชูขึ้นมาเล็กน้อย พร้อมกับแค่นเสียงกล่าวว่า
    “ฮึ ขนมปังก้อนนี้ทำจากแป้งหมี่ของคนจีน”
    “ฮาฮา หรือท่านเปลี่ยนรสนิยมชอบรับประทานอาหารฝรั่งหรือ”


    หวงเฟยหงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสะทกสะท้อนใจว่า
    “ชาวต่างชาติมักกำหนดที่ดินในบ้านของเราเป็นเขตเช่า มิหนำซ้ำยังมีเขตหวงห้ามอีกด้วย หากคนจีนเอาแต่กัดกันเองแล้วก้มหัวกับกับชาวต่างชาติ ต่อไปนี้แม้แต่แป้งทำหมั่นโถวไว้รับประทานก็คงไม่มี”

    ผู้ตรวจการมณฑลกวางตุ้งตบโต๊ะดังเสียงดังฉาดจนผู้คนตื่นตระหนกตกใจ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เกรี้ยวกราดว่า
    “หวงเฟยหง เราทราบว่าท่านมีการคบหากับแม่ทัพธงดำหลิวหย่งฟู่อย่างแน่นแฟ้น ตอนนี้มันถูกราชสำนักขับไล่ไสส่งไปซินเกียงก็เลยคิดจะแข็งข้อกับราชสำนัก ราชสำนักส่งเรามาที่นี่ ก็เพื่อคอยสอดส่องสายตาดูความเคลื่อนไหวของพวกนักเลง อันธพาลอย่างท่านเพื่อเชือดไก่ให้ลิงดู”

    หวงเฟยหงขบคิดดูชั่วขณะหนึ่งเห็นว่าหากยังคงอยู่ที่นี่สืบไป ยังคงไม่มีความคืบหน้าอันใด ดังนั้นจึงกล่าวว่า
    “ในเมื่อท่านผู้ตรวจการไม่เห็นความเดือดร้อนของชาวบ้านเป็นดังเรื่องส่วนตัว เราหวงเฟยหงกล่าวว่ากระไรคงไม่เกิดประโยชน์ขึ้น....”

    แต่ขณะที่ท่านจะกล่าวคำ “ผู้น้อยขอลาก่อน” เป็นการอำลา ผู้คนในภัตราคารฝรั่ง กลับได้ยินเสียงอื้ออึงอลหม่าน เสียงโลหะอาวุธปะทะกันดังโหวกเหวกที่เบื้องนอก ทั้งหมดต่างลุกขึ้นจากเก้าอี้คิดออกไปชมดูว่าที่แท้เกิดเรื่องราวใดขึ้น

    จากนั้นได้ยินเสียงแก้วแตกดังเพล้งพล้าง พอลุกจากโต๊ะคิดจะไปสืบหาร่องรอย ก็เห็นบานประตูแตกกระจายหลายบาน จากนั้นเห็นผู้คนกว่าสี่สิบห้าสิบคน ฮือกันเข้ามาในเบื้องล่างของตัวภัตราคาร

    ภัตราคารห้องใหญ่นี้ถูกแบ่งเป็นสองชั้น อันที่จริงไม่อาจนับเป็นชั้นได้ เพราะชั้นบนนั้นเพียงเป็นเนินที่ก่อขึ้นจากชั้นแรกเพียงแบ่งแยกความสูงจากพื้นแค่สี่ห้าศอกเท่านั้น (หนึ่งศอกเท่ากับหนึ่งฟุต)


    ผู้คนทั้งหมดที่พังประตูเข้ามา บ้างถืออาวุธครบมือ บ้างหยิบเก้าอี้เครื่องดนตรีหรือแม้แต่จานชามเป็นอาวุธ แบ่งแยกต่อยตีตะลุมบอนกันวุ่นวาย หวงเฟยหงกับหลี่หยวนไคยืนอยู่บนชั้นสองติดกับราวบันไดของภัตราคาร ชั่วขณะหนึ่งแบ่งแยกไม่ออกว่าเป็นฝ่ายใดต่อยตีกับฝ่ายใด แต่แล้วยังเป็นหลี่หยวนไคที่สังเกตได้ดีจดจำการแต่งกายออกว่ามีอยู่ส่วนหนึ่งที่เป็นกองอาสาซึ่งบางส่วนเป็นคนของร้านเป่าจือหลิน จึงรีบกล่าวกับอาจารย์ว่า
    “อาจารย์ เป็นคนของกองอาสามิใช่หรือ”

    หวงเฟยหงรีบกล่าวว่า
    “รีบไปห้ามพวกมันเร็วเข้า”
    กล่าวจบใช้มือค้ำราวบันไดกระโดดทิ้งตัวลงไปเบื้องล่าง ปากร่ำร้องบอกให้พวกมันหยุดมือ




    หลี่หยวนไคพอได้ยินคำสั่งอาจารย์ก็รีบปฏิบัติตามทันที แต่ซูฟันเหยินไม่รู้วิชาฝีมือยิ่งไม่มีประสบการณ์ทางด้านการต่อตีมาก่อน เมื่ออาจารย์กับศิษพี่ไม่อยู่มันไม่ทราบว่าจะทำอย่างไร ยามกะทันหันได้แต่ยกมือทั้งสองข้างป้องศีรษะปากก็ร่ำร้องคำ “Sorry”ซ้ำไปซ้ำมาอยู่มิขาด



    หลี่หยวนไคพอลงไปถึงด้านล่างก็แทรกกลางผู้คนที่ต่อยตีกันคู่หนึ่ง สองมือแขนแยกย้ายใช้ออกปิดป้องหมัดของทั้งสองคนนั้นไว้ไม่ให้มันลงมือทำร้ายซึ่งกันและกันปากคิดกล่าวคำ “หยุดมือ”




    แต่มันยังมิทันได้กล่าวคนคู่นั้นซึ่งคนหนึ่งเป็นทหารกองอาสา อีกคนหนึ่งเป็นนักเลงจากที่ใดไม่ทราบก็ประสานหมัดฝ่ามือ พุ่งมาที่หลี่หยวนไค




    พวกมันพอลงมือต่อยตีก็ไม่แบ่งแยกถูกผิด ที่ย่ำแย่คือยังไม่แบ่งเขาแบ่งเราจำแนกว่าที่แท้เป็นมิตรหรือศัตรูกันแน่




    หมัดทั้งสองพอโผพุ่งใส่ใบหน้าของหลี่หยวนไค มันก็รีบก้มตัวหลบตามสภาวะ ใช้สองมือผลักนักเลงสองคนนั่นถอยหลังไปหลายก้าว




    หวงเฟยหงพอคิดลงมือห้ามปรามอีกใจหนึ่ง ก็เกรงว่าลูกศิษย์จะได้รับอันตรายดังนั้นจึงคิดสอดส่องสายตามองหาลูกศิษย์อยู่เสมอ แต่ท่านพอเห็นศิษย์ของตนทำร้ายผู้อื่นก็รีบเข้าไปคว้าแขนมันแล้วกล่าวกับหลี่หยวนไคว่า
    “อาไค เราบอกว่าห้ามมิให้พวกมันต่อยตี มิใช่ให้เจ้าต่อยตีกับพวกมัน”




    กล่าวจบ ก็ก้าวเท้าเข้าหาวงตะลุมบอน เห็นคนจับกลุ่มต่อยตีกันหลายสิบคู่มีบ้างบางคู่ที่เป็นคนของกองอาสา




    หวงเฟยหงพอพบเห็นคนตอยตีคู่หนึ่งก็ ลงมือหลอกล่อ แขนขวาคล้ายจู่โจมแท้ที่จริงเพียงเป็นการล่อหลอก มือซ้ายก็ฉวยโอกาสคว้าจับแย่งชิงอาวุธจากผู้คนมาอย่างแยบคาย




    ท่านพอพบคนตอยตีถืออาวุธ ก็ลงมือแย่งชิงอาวุธ แต่ก็ไม่ทำร้ายร่างกายผู้คน ฝีมือที่ใช้ออกทั้งแม่นยำทั้งรวดเร็ว ตำแหน่งที่จู่โจมคือจุดอ่อนของศตรูเป็นการบีบบังคับมิให้พวกมันมิอาจไม่ป้องกันตัว และเป็นการมิให้ทำร้ายผู้อื่นไปในตัว




    แต่ผู้คนยิ่งต่ยยตียิ่งชุนละมุน หวงเฟยหงสองมือแย่งชิงอาวุธ พอคว้าจับได้ก็โยนทิ้งลงบนพื้น นิ้วมือก็ชี้ใส่ร้องสั่งว่า “หยุดมือ”อยู่มิขาด




    เป็นเช่นนี้อยู่ชั่วขณะหนึ่งผู้คนของกองอาสาบางค่อยทราบว่าท่านอยู่ในเหตุการณ์ด้วย คนพวกนี้ให้การเคารพท่านตลอดมา พอท่านออกปากร้องเตือนให้พวกมันหยุดมือ พวกมันไหนเลยต่อต้านแข็งขืน



    ยามนั้นหวงเฟยหงร่างเข้าสู่วงต่อสู้ สองมือพอแยกย้ายจู่โจมคว้าจับข้อมืออาวุธ หากมิใช่อาวุธถูกแย่งชิง ก็หลุดล่วงจากมือ หากไม่หลุดล่วงจากมือก็ปวดแปลบข้อมือจนมิอาจถืออาวุธใช้ออกได้




    สองเท้าท่านพอย่างก้าวผ่านผู้คน บ้างก็เอี้ยวตัวตวัดเตะถูกศีรษะผู้คนจนร่างถลาล้ม บ้างก็กระโดดถีบอาวุธคู่มือจนหลุดร่วง




    ทุกหมัดเท้าฝ่ามือ ที่หวงเฟยหง ชก เตะ ถีบ คว้าจับอาวุธข้อมือ พอท่านใช้ออกก็คร่ากุมศัตรูในคราเดียว ท่านพอลงมือก็ประสบผล ท่วงท่าดูไปไม่มีอันใดพิเศษ เพียงแต่ภายนอกดูสูงสง่าไร้การกระทำ แต่กลับซ่อนเคล็ดความพิสดารกำลังอันแข็งกล้าเอาไว้มากมาย เปรียบประดุจระนาบน้ำท้องทะเลที่ดูไปสงบเงียบแท้ที่จริงแฝงซ่อนพลังทำลายล้างอันมหาศาลที่เพียงพอจะกวาดล้างทุกสรรพสิ่ง




    แต่แล้วสายตาของท่านกลับไปสะดุดตายังวงต่อสู้กลุ่มหนึ่ง ท่านเห็นบุรุษหนุ่มร่างสันทัดท่วงท่าว่องไวคล่องตัวผู้หนึ่ง ถูกนักเลงอันธพาลที่ท่านไม่รู้จักห้าหกคน ใช้หกกลุ้มรุมจู่โจมคนเดียวนับเป็นที่น่ารังเกียจอยู่บ้าง



    เห็นนักเลงพวกนั้น พวกมันทุกคนต่างถืออาวุธครบ บุรุษหนุ่มผู้นั้นใช้หนึ่งต้านทานหก สองมือเปล่าหมัดเปลือยไม่มีอาวุธอยู่ในมือ เห็นมันเอี้ยวตัวหลบแล้วหลบเล่า สองขาบ้างถีบบ้างเตะ มือทั้งสองก็แยกย้ายต่อย ท่วงท่าเป็นที่พิสดารดูยากยิ่ง



    แต่แล้วชมดูอยู่เพียงชั่วขณะหนึ่งหวงเฟยหงค่อยสังเกตเอกออกมา ท่อนเอวมันเต็มไปด้วยพลัง คล้ายคดงอเอนตัวได้เป็นพิเศษ ท่วงท่าออกไปดูไปคลุ้มๆคลั่งๆ ตัวบิดไปบิดมา เซตัวเดินหน้าได้สีก้าวก็คล้ายถอยหลังคือสามก้าว



    ทุกหมัดที่ใช้ออกก็หนักหน่วงรุนแรงเป็นที่คุ้นตาของท่านยิ่ง วิชาฝีมือเช่นนี้หากไม่ใช่ “หมัดเมา” ยังเป็นหมัดผีสางเทวดาอันใด



    แต่ท่านยังคงเห็นว่านักเลงกลุ่มนั้นใช้คนมากรังแกคนน้อย อีกทั้งยังไม่ต้องการให้ผู้คนมาต่อยตีเกิดก่อความวุ่นวายให้ชาวต่างชาติดูถูกครหาค่อนขอดนินทาดังนั้นจึงตัดสินใจห้ามปรามพวกมัน



    ท่านพอตัดสินใจเด็ดเดี่ยวก็กระโดดขึ้นลอยตัวกลางอากาศ สองเท้าตวัดคล้ายเตะคล้ายถีบออกแต่ไกล ปากตะโกนว่า “หยุดมือ”



    รางของท่านพอบรรลุถึงวงต่อยตีสองเท้าก็กวาดจู่โจม เตะใส่พวกมันจากเบื้องบนตั้งแต่แรก สองเท้าพอเตะออกก็รวดเร็วมองไม่เห็นโดยชัดตา นับว่าสมกับฉายา “บาทาไร้เงา” จริงๆ



    ลมหายใจพอสุดสิ้น เท้าของหวงเฟยหงก็สัมผัสพื้นโดยแผ่วเบา นักเลงกลุ่มนั้นพอถูกท่านตวัดเท้าเตะถีบแต่ไกลก็มือไม้ปั่นป่วน แต่มันจะอย่างไรยังขาดสติอยู่ พอเห็นคนผู้หนึ่งก็รีบกลุ้มจู่โจมทำร้าย



    บุรุษหนุ่มคนนั้นที่ท่านสังเกตก็ยังคิดต่อยตีกับพวกมันโถมตัว ชกหมัดตวัดเท้าเตะใส่กันอีกครา



    หวงเฟยหงก็ตวัดเท้าออก เตะ ถีบ เกี่ยว กระแทก ใส่พวกมัน บ้างถูกข้อมือ บ้างถูกหัวไหล่ บ้างถูกหลังศีรษะแผ่นหลัง เสียงดังผัวะ ผละ ผัวะ ผละ ติดต่อเนื่องติดตามกันไม่ขาดสายหลายครั้งครา ทั้งหมดก็แยกวงออกจากกัน



    แต่บุรุษหนุ่มผู้นั้นที่ท่านสังเกตแต่ไกล ก็มีฝีมือแกร่งกล้ามิใช่น้อย แต่มันจะอย่างไรเป็นบุรุษหนุ่มเลือดร้อนไม่รู้จักยั้งคิอ “อยู่บ้าง” มันพอถูกท่านเตะใส่ข้อมือกระแทกแขนชาด้านไปครู่หนึ่ง


    ก็ลงมือต่อยตีท่าน ปากร่ำร้องด่าทอว่า
    “เสียทีที่มีฝีมือสูงส่ง กลับรับใช้ให้แก่สุนัขขูดรีดเงินกลุ่มหนึ่ง”

    หวงเฟยหงไม่ทราบว่ามันที่แท้ด่าตนเพราะเหตุใด ไหนเลยกล่าววาจาใดได้


    สภาวะหมัดฝ่ามือของมันพอบรรลุถึงตัวท่านก็เต็มไปด้วยความแกร่งกล้า หวงเฟยหงคลี่สองมือสะบัดออก ดูไปคล้ายคลี่คลายสภาวะการจู่โจม แท้ที่จริงเป็นหนึ่งในเจ็ดสิบสองท่าตะปมคว้าจับของเส้าหลินที่ท่านดัดแปลง ท่วงท่าคลี่คลายความจริงเป็นเท็จคล้ายหลอกล่อ จากนั้นท่านก็พลิกคว้ามือขวาด้วยความรวดเร็วพิสดารคราหนึ่ง นิ้วมือก็ทิ่มไปยังซอกรักแร่ใต้แขนขวาของมัน มือซ้ายก็ขว้าจับข้อแขนบิดมือ เท้าขวาเหยียบเท้าซ้ายเป็นการคร่ากุมมันในท่าเดียว


    หลี่หยวนไคเห็นบุรุษนั่นแผดด่าอาจารย์ก็ร้องถามมันว่า
    “ท่านเป็นใครไฉลกล่าววาจาล่วงเกินเรา”



    บุรุษนั้นกล่าวว่า
    “จะลงมือก็ลงมือ เราหวังจินไหนเลยยอมรับนับถือเหล่าอันธพาลขูดรีดชาวบ้าน”
  13. identity

    identity Active Member

    EXP:
    580
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    36
    หลี่หยวนไคได้ยินมันแหกปากด่าทออาจารย์ตนเองอย่างเจ็บแสบ รู้สึกโกรธขึ้นมาจึงเข้าไปแทรกมันว่า
    "อันธพาลอันใด ขูดรีดชาวบ้านอะไร อาจารย์เราไหนเลยทำนั้น"

    หวังจนแค่นเสียงดัง "เฮอะ" และกล่าววาจาอย่างแค้นเคืองว่า
    "คนหน้าหนาย่อมเป็นคนหน้าหนาอยู่ทุกเมื่อ คนกระทำผิดมโนธรรมไหนเลยยอมรับว่าเป็นตน"
    "อ้อ นั่นอาจจะใช่ แต่อย่างไรเราก็มิใช่คนไร้เหตุผล เหมือนดังเช่น........."

    หวงเฟยหงเห็นท่าไม่ดี หากแม้นไม่แยกพวกมันสองคนออกจากกันแล้วต่อให้สามวันสี่คืนการทุ่มเถียงก็จะดำเนินสืบไปอย่างมิมีวันจบ
    "นี่ ท่านฟังเราอธิบายก่อนได้หรือไม่เรา..............."

    ท่านยังกล่าววาจาไม่ทันเสร็จสิ้นก็ได้ยินเสียงโอย ๆ ติดต่อกันไม่ขาด เมื่อหันไปเพ่งเล็งยังทิศทางที่กำเนิดเสียงกลับเป็นเสียงของกองอาสาร้องโอดโอย ถูกจ้าวเฮยเยว่กับฝรั่งคนหนึ่งต่อยตีอยู่วุ่นวาย


    หวงเฟยหงไหนรอช้าเพียงกล่าวออกมาว่า
    "ดูแลมันก่อน"

    จากนั้นตบท้าวกับพื้นลอยตัวขึ้นตวัดเท้าเตะใส่ ฝรั่งที่ชื่อแม๊กกี้นั่น จากระยะราวสองวาเศษ


    เท้าซ้ายพอใกล้บรรลุ เท้าขวนพลันเสือกทิ่มมาก่อน ฝรั่งที่ชื่อแม๊กกี้นั่นเอาแต่สนใจต่อยตีชาวจีน ยามกระทันหันไม่ทันระวังกลับถูกเท้าเตะใส่บริเวณใต้รักแร้ต้องถอยกายออกไปสามสี่เก้า

    แต่จ้าวเฮยเยว่ก็สมเป็นครูมวย ยามกระทันหันบังเกิดปฏิกิริยาตอบสนองรีบประคองร่างของแม็กกี้เอาไว้จากนั้นวาดมือ คว้าตะปมใส่หวงเฟยหง สภาวะแม้ไม่เกรี้ยวกราด แต่ก็พิสดารแฝงด้วยกำลังข้อยิ่ง

    หวงเฟยหงใช้มือข้างขวาออก จี้นิ้วหัวแม่คล้ายกับว่าจะกระทบข้อแขนพัวพันจ้าวเฮยเยว่เอาไว้ แต่แล้วมือกลับวกอ้อมอย่างประหลาดเปลี่ยนเป็นฝ่ามือ กระทบกับซอกรักแร้ ง่ามนิ้วมือกางออกพอสมควรคล้ายกับกดจับเส้นของจ้าวเฮยเย่วเอาไว้ การกระทำครั้งนี้รวดเร็วยิ่งนักจ้าวเฮยเยว่มิทันระวังตัว ก็ถูกฝ่ามืออีกข้างกระแทกผลักออกไป

    แต่ฝ่ามือของหวงเฟยหงยังไม่ทันได้บรรลุผล ฝ่ามืออีกข้างของจ้าวเฮยเยว่ก็บรรลุเข้ามาสอดแทรก หวงเฟยหงบิดเท้าเอี้ยวตัวเล็กน้อย ร่างก็ผละจากกัน เท้าซ้ายของท่านดีดออกจากด้านหลัง เสียงฝ่าเท้ากระทบฝ่ามือ ดัง "ฉาด" คราหนึ่ง

    จ้าวเฮยเยว่วาดหมัด ฟาดฝ่ามือเข้าใส่ หวงเฟยหงก็เผยฝ่ามือคล้ายตะปมคลี่จับระหว่างคลี่จับก็แฝงเคล็ดความเปลี่ยนแปลงหลายประการ ทั้งสองยังมิทันได้ประทะกันโดยตรงอีกครั้งก็ได้ยินเสียงปืนดังสนั่นขึ้น สองครั้งครา










    ผู้ที่ยิงปืนเป็นผู้ตรวจการกวางตุ้งนั่นเอง(ภาษาจีนกลางอ่านว่าก่วงตง) เห็นมันเดินตรงดิ่งมาหาท่านกล่าววาจาน่าเขื่องโขมาแต่ไกลว่า
    "หวงเฟยหง ท่านพอมาเจรจาแล้วพบว่าผิดท่าไม่ได้ก็คิดจะอาสาวิธีการป่าเถื่อนเอากำลังพวกมากเข้าข่มขู่ สมเป็นวิธีการของนักเลงในยุทธจักร เรื่องการเจรจารไม่ต้องดำเนินสืบต่อท่านสมควรรู้ผลแล้วกระมัง"

    หวงเฟยหงรับฟังจนคิดจะแก้ตัวก็ไม่ได้คิดจะบ่ายเบี่ยงใช่ที่ ขณะมองซ้ายขวาคิดหาตัวคนร้ายให้รับผิด ก็ไม่เห็นแม้แต่คนเดียว พอเริ่มขยับริมฝีปากก็ถูกผู้ตรวจการมณฑลกวางตุ้งดักคอไว้เสียก่อนว่า
    "ไม่ต้องแก้ตัว ต่อไปนี้ทุกคนจงรับฟัง นับแต่นี้กองอาสาถูกยกเลิก ทุกคนจะได้รับการจับตามองความประพฤติตลอดเจ็บวัน"


    กล่าวจบเดินจากไปพร้อมกับฝรั่งหัวแดงหัวทองนั่นและจ้าวเฮยเยว่ ท่าทางเขื่องโขยิ่ง คล้ายกับว่ารู้สึกสมใจที่หวงเฟยหงเสียท่าไม่สามารถทำกระไรได้


    หวงเฟยหงหันมามองเหล่าลูกศิษย์ เห็นพวกมันก้มศีรษะหดหัว ไม่กล้าเผชิญสายตาสู้กับท่าน กลับคุกเข่าลงกับพื้นคล้ายสำนึกตัวในความผิดที่กระทำลงไป
  14. whitewing

    whitewing New Member

    EXP:
    120
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    ตามมาให้กำลังใจคนเขียนฟิคค่า เจอกันที่บอร์ดบ้านเก่าบ่อยๆ คุ้นหน้าคุ้นตากันเน้อ
    ขยันอัพฟิคมากเลย ชื่นชมๆ เพราะแอบอ่านเก็บวิชาบ่อยๆค่ะ (สารภาพผิด อิๆ)
  15. near

    near Member

    EXP:
    334
    ถูกใจที่ได้รับ:
    4
    คะแนน Trophy:
    18
    กลิ่นอายของหวงเฟยฟง โอ้ มันแตกต่างจาก ฟิคใดๆที่ได้อ่านมา ติดตามต่อไปครับ
  16. elementer

    elementer New Member

    EXP:
    15
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    หลังจากที่รอมานาน
    ติดตามอย่างเหนียวแน่นต่อไป

Share This Page