[Movie Review] Across The Universe : รักนี้คือทุกสิ่ง

กระทู้จากหมวด 'ดูหนัง ฟังเพลง อนิเม การ์ตูน' โดย ben, 4 มกราคม 2008.

  1. ben

    ben New Member

    EXP:
    69
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    [​IMG]

    ย้อนเวลากลับไปในโลกยุค 60's กับ Across The Universe (2007) ผลงานของผู้กำกับสาว Julie Taymor บทโดย Julie Taymor, Dick Clement และ Ian La Frenais เป็นภาพยนตร์แนว Musical Drama และ Surreal และเป็นภาพยนตร์ที่หลาย ๆ คน เฝ้ารอคอย โดยเฉพาะสาวกของวง The Beatles เพราะหนังเรื่องนี้นำ 33 เพลงของวง (34 เพลงถ้านับเพลง She Loves You ที่แทรกในเพลง All You Need Is Love) มาใช้เดินเรื่องเกือบตลอดระยะเวลา 2 ชั่วโมงกับ 11 นาที แม้แต่ชื่อตัวละครหลักและฉากอีกหลายฉากก็มีที่มาจาก The Beatles
    ตอนนี้ก็กำลังเข้าไปลุ้นผลรางวัลลูกโลกทองคำ Golden Globe Award 2008 สาขา Best Motion Pictures : Musical or Comedy อยู่

    เนื้อเรื่องย่อ
    Jude (แสดงโดย Jim Sturgess) กรรมกรอู่เรือเมือง Liverpool แอบลักลอบเข้าอเมริกาเพื่อตามหาพ่อที่ทิ้งแม่และเขาไป ที่นั่น Jude ได้พบกับ Max (แสดงโดย Joe Anderson) และ Lucy (แสดงโดย Evan Rachel Wood) น้องสาวของ Max
    Jude และ Max กลายมาเป็นเพื่อนสนิทและย้ายไป New York ที่ทั้งคู่อาศัยอยู่ในอพาร์ทเมนท์รวมกับ Sadie (แสดงโดย Dana Fuchs), JoJo (แสดงโดย Martin Luther McCoy), Prudence (นำแสดงโดย T. V. Carpio) และ Lucy ก็ย้ายตามมาอยู่ด้วย
    ความรักระหว่าง Jude และ Lucy เริ่มก่อตัว แต่ข่าวร้ายก็มาถึงเมื่อ Max โดนเรียกเกณฑ์ทหารเพื่อไปรบในสงครามเวียดนาม ทุก ๆ คนจะต้องร่วมกันฟันฝ่าท่ามกลางสภาวะการเหยียดผิว สงครามเวียดนาม บุปผาชน และอุดมการณ์ที่แตกต่างกัน


    [​IMG]
    Jude กำลังมองงานศิลปะที่ตัวเองทำ​


    The Beatles
    ผมตื่นเต้นมากตอนที่ได้เห็นโปสเตอร์หนังเรื่องนี้และตอนที่ได้ดูตัวอย่างก็บอกตัวเองเลยว่าจะต้องดูให้ได้และดูให้เร็วที่สุด เพราะผมชอบ The Beatles มาก ฟังมาตั้งแต่เกิดจนวัยรุ่น (ตอนนี้ก็ยังวัยรุ่นอยู่ ฮา)
    หนังเรื่องนี้มีจุดขายที่เด่นชัดมากเลยคือความเป็น The Beatles แต่น่าเสียดายที่วง The Beatles ไม่ได้มีตัวตนอยู่ในโลกของหนังเรื่องนี้เลย ผมแอบผิดหวังเล็ก ๆ แต่ก็เพิ่งสำนึกขึ้นได้ว่ามันเป็น Musical คำว่า Musical คือเพลงที่ร้องออกมาเหมือนเป็นบทพูดที่ใช้ดำเนินเรื่อง (ไม่ใช่สักแค่ว่ามีร้องเพลงก็จะเรียกว่าเป็น Musical ได้นะครับ) ถ้าวง The Beatles มีตัวตนอยู่ในเรื่อง บทเพลงในมิติที่เป็นบทพูดเดินเรื่องก็จะลดลงหรือหายไป ก็ให้อภัยได้

    เพลงที่นำมาร้องทั้งหมดในเรื่องนักแสดงเป็นคนร้องเองซึ่งผมว่าร้องกันได้ดีมาก ๆ เพราะส่วนใหญ่เป็นนักร้องอาชีพกันอยู่แล้ว การเรียบเรียงดนตรีก็เข้ากับบรรยากาศฉากดี แต่ก็อีกนั่นแหละครับ ถ้าแฟน The Beatles หวังจะเข้ามาฟังเพลงในแบบ The Beatles ก็คงต้องผิดหวังเล็ก ๆ ไปอีกเช่นกัน แต่ตัวเพลงก็ดีมากในแบบที่มันเป็นครับ (เดี๋ยวผมจะไปหาซื้อ Soundtrack แน่นอน)


    ประทับใจ
    ผมดูจบแล้วประทับใจหนังเรื่องนี้มาก ๆ การแสดงก็สอบผ่านฉลุยกันถ้วนหน้า โดยเฉพาะ Jim Sturgess ที่หน้าตาละม้ายคล้าย Paul McCartney อย่างมาก พอพูดสำเนียง Liverpool ด้วยแล้วยิ่งเหมือนเข้าไปใหญ่ Evan Wood ก็สวยหยาดเยิ้มและบทเศร้าเรียกน้ำตา และยังมี Martin Luther ที่เหมือน Jimi Hendrix เข้าไปอีก ยังไม่หมดแค่นี้ ยังขนขบวนกันมากับ Bono แห่งวง U2, Joe Cocker, ตลกดัง Eddie Izzard และ สาวลาตินสุดเซ็กซี่ Salma Hayek และมีฉากอีกหลายฉาก บทพูดอีกหลายตอนที่อ้างอิงมาจากบทเพลงของ The Beatles ยังมีฉาก Surreal อลังการ สีสันหลุด ๆ แบบ Psychedelic และข้อคิดดี ๆ หลาย ๆ อย่างที่ผู้กำกับสะท้อนออกมาให้เห็นแบบง่าย ๆ
    มี Quote หนึ่งในหนังที่ผมชอบตั้งแต่ในตัวอย่างแล้ว ตอนนี้คู่พระนางของเรากำลังทะเลาะกัน

    Lucy: "We're in the middle of a revolution Jude. And what are you doing? Doodles and cartoons?"
    Jude: "Well I'm sorry I'm not the man with the mega-phone, but this is what I do."
    เพราะถ้าเป็นตัวผมเองก็คงวาดรูปอยู่กับบ้านแบบ Jude ในขณะที่คนอื่นไปเดินขบวน เรามีทางแก้ปัญหาอีกหลายทาง ไม่ใช่แค่การออกไปประท้วง ก่อม็อบ ซึ่งในหนังก็เสนอแง่มุมให้เห็นว่าสุดท้ายมันนำมาซึ่งความแตกแยกและสูญเสียอยู่ดี

    [​IMG]
    ฉาก Surreal ร่วมรักใต้น้ำของ Jude กับ Lucy​

    ยุค 60's
    หนังเรื่องนี้เผิน ๆ อาจจะเหมือนหนังเพลงดราม่าทั่ว ๆ ไป แต่มันกลับสะท้อนสภาพปัญหาสังคมชมอเมริกันในยุค 60's ออกมาได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเหยียดสีผิว การเดินขบวนประท้วงสงครามในเวียดนาม พวกเสรีชนอย่างฮิปปี้และลัทธิความเชื่อทางจิตวิญญาณที่เกิดขึ้นอย่างมากมาย และยังเสียดสีแซววิถีชีวิตของคน ของนักดนตรีอย่าง
    Sadie เป็นตัวแทนนักร้องหญิงชื่อดัง Janis Joplin และ JoJo เป็นตัวแทนมือกีตาร์ฮีโร่ Jimi Hendrix หลาย ๆ อย่างล้วนเป็นภาพสะท้อนจากเรื่องจริงทั้งสิ้น แต่ความเข้มข้นในด้านการอ้างอิงจากเรื่องนี้กลับกลายเป็นจุดอ่อนที่ทำร้ายหนังเรื่องนี้อย่างรุนแรง..

    น่าเสียดาย
    ตอนที่ผมกำลังจะเดินเข้าไปในโรงหนัง บังเอิญเจอเพื่อนเก่าคนหนึ่ง พอรู้ว่าผมจะมาดูเรื่องนี้ก็พูดด้วยสีหน้าเอือม ๆ ว่า "จะมาดูเรื่องนี้เหรอ? ขอให้โชคดี.." และ "มึน ๆ" จากรุ่นพี่คณะของผมที่ไปดูมาแต่ไม่รู้ว่าเพลงทั้งหมดในเรื่องเป็นของ The Beatles (ที่ตลกกว่านั้นคือเพื่อนเก่าและพี่คณะของผมสองคนนี้ชื่อเล่นเหมือนกันเลย 555)
    เพราะอะไรเหรอครับ? เพราะพวกเขาไม่มีประสบการณ์ร่วมกับหนังก่อนที่จะเข้าไปดูมันน่ะสิครับ น่าเสียดายเพราะเขาได้พลาดอะไรหลาย ๆ อย่างที่จะทำให้เขารู้สึก "สนุก" ได้เวลาที่กำลังดูหนัง
    แต่จะโทษคนดูหรือโทษตัวหนังก็ไม่ได้ แต่มันเป็นความจริงที่ว่า คนที่ไม่รู้จัก The Beatles ไม่รู้จักนักดนตรียุค 60's พวกฮิปปี้ และเหตุการณ์สำคัญในยุค 60's คงไม่ประทับใจหนังเรื่องนี้เลย เพราะส่ิงที่สร้างความประทับใจไม่ใช่เส้นเรื่องหรือดนตรี แต่มันคือการนำเอาความเป็นยุค 60's และที่ว่า "All You Need Is Love" มารวบรวมไว้สอดแทรกอยู่ในเนื้อเรื่องเท่านั้น (บางครั้งคุณต้องรู้ลึกถึงเบื้องหลังของเพลงถึงจะเข้าใจที่มาของฉากบางฉาก)

    ไม่น่าแปลกใจที่รายได้จากการฉายในอเมริกาทำได้แค่เพียง 23 ล้านเหรียญสหรัฐ (แต่ทุนสร้างกว่า 40 ล้านเหรียญ) และได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ที่รุนแรงและเรตติ้งต่ำต้อยจากสำนักหนังหลายสำนัก (แต่ Paul McCartney ประทับใจหนังเรื่องนี้เอามาก ๆ เลยรู้ไหมครับ เพราะเขามีประสบการณ์ยิ่งกว่าร่วมอีก เขามีประสบการณ์ตรงกับมันเลยต่างหาก)

    หนังดีสำหรับคนกันเอง
    ครับ อย่างที่บอกว่าคนที่ดูเรื่องนี้แล้วจะประทับใจ หัวเราะไปกับมันได้จะต้องมีประสบการณ์ร่วมอย่างมากทีเดียว มันก็เหมือนกับคนที่ดูหนังแล้วเห็นคนที่เรารู้จักแสดง เห็นเพื่อนเราในหนังโฆษณา เห็นผู้กำกับหนังมาเล่นเป็นตัวประกอบในหนังตัวเอง เห็นเพื่อนเราที่รู้ว่ามันเป็นกระเทย แต่มันเล่นละครเป็นผู้ชายโคตรแมนเลย รู้จักความหมายและที่มาของเพลงที่เขาร้อง ฟังแล้วก็ประทับใจ เหมือนที่ผมขำเรื่องชื่อเพื่อนผมกับรุ่นพี่ผมเหมือนกัน คุณก็คงไม่ขำเพราะคุณไม่ได้รู้จักเขาทั้งคู่ และไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์แบบผมนั่นแหละครับ
    ผมไม่อยากแนะนำให้คนไม่รู้จัก The Beatles ไปดูเรื่องนี้ เพราะคุณอาจจะรู้สึกหลงทาง เคว้งคว้างและเสียดายสตางค์ในกระเป๋า แต่หนังเรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่มีคุณค่ามาก ๆ ในด้านรายละเอียด ถ้าใครไม่ติดใจอะไรอยากจะลองไปดูผมก็ขอสนับสนุนเลยครับ (อย่างน้อยอยากให้รู้ความหมายของเนื้อเพลงสักหน่อยจะดี หวังพึ่งอะไรกับ subtitle ไม่ได้)

    Across The Universe ฉายที่ลิโด้ 2 ตั้งแต่วันที่ 3 ม.ค. 2551 ครับ โทรสอบถามรอบได้ที่02-252-6498

    สำหรับคนที่ดูมาแล้วหรือคนที่อยากได้ข้อมูลเพิ่มเติม รายชื่อเพลง ที่มาต่าง ๆ ในหนังก็ตามไปอ่านต่อได้ที่นี่ครับ (ภาษาอังกฤษ)
    http://en.wikipedia.org/wiki/Across_the_Universe_(film)


    เอามาจากบล็อกตัวเองเช่นเคยครับ http://vasin.icspace.net/?p=22
  2. ben

    ben New Member

    EXP:
    69
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    หัดรีวิวครั้งแรก ผิดพลาดประการใดบอกกล่าวกันได้นะครับ

Share This Page