จิตวิทยา... ล่ะมั้ง

กระทู้จากหมวด 'ETC' โดย pmuean, 26 กุมภาพันธ์ 2008.

  1. pmuean

    pmuean New Member

    EXP:
    23
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    ...ที่มาของมันคือ เขียนให้เพื่อนอ่าน น่ะครับ (ช่วงนี้จะสอบวัดความรู้ระดับแรก บังเอิญทางคณะไม่มีเวลาสอนเรื่องพวกนี้ เลยต้องไปหาอ่านกันเอาเอง)
    คิดว่าอาจจะน่าสนใจหรือเป็นประโยชน์บ้าง เลยลองเอามาปล่อยไว้แถวนี้ดูครับ
    (ตรงไหนผิด ช่วยแก้ให้จะเป็นพระคุณมากครับ)

    Psychosexual development ของ Sigmund Freud

    [​IMG]
    Sigmund Freud (1856-1939)

    ทฤษฎีนี้เป็นทฤษฎีของซิกมันด์ ฟรอยด์ เป็นทฤษฎีเก่ามากตั้งแต่ช่วงปลายศตวรรษที่ 19 แต่ก็ยังเป็นที่ยอมรับกันอยู่ พื้นฐานคือลุงฟรอยด์แกจะมองว่ามนุษย์นั้นช่างหมกมุ่นในเรื่องเพศมาตั้งแต่กำเนิด และสนใจแต่เรื่องเพศ อะไรก็เพศๆๆ ไปหมด

    ทฤษดีของลุงฟรอยด์แกจะแบ่งการพัฒนาของมนุษย์ในแบบ Psychosexual development ออกเป็นช่วงๆ โดยแต่ละช่วง (โดยเฉพาะช่วงแรกๆ) จะมองว่า เด็กจะได้รับความสุขโดยวิธีหนึ่งๆ และหากถูกขัดขวางก็จะเกิดการฝังใจ ("fixation") ในระยะนั้นๆ ทำให้เกิดปัญหาในตอนโต

    1. Oral phase "ระยะปาก"
    ช่วงนี้คือช่วงอายุ 0-18 เดือน (หรือ 0-1 ปี แล้วแต่ตำรา) เป็นช่วงที่เด็กจะหาความสุขจากการใช้ปาก โดยหลักคือการกินนมแม่ เด็กจะมีความสุขจากการใช้ปานดูดนมแม่ นัยว่าแถมด้วยการได้รับความอบอุ่นจากแม่ นอกจากนั้นอาจใช้ปากกัดโน่นกัดนี่ อมโน่นอมนี่ ดูดโน่นดูดนี่ ฯลฯ หากโดนขัดใจ เช่น โดนให้หย่านมเร็ว จะเกิด Oral Fixation คือจะต้องไปหาความสุขจากการใช้ปากในตอนโตแทน เช่น ชอบเคี้ยวหมากฝรั่งมากผิดปกติ ชอบกัดปลายปากกา ชอบสูบบุหรี่ ชอบกินของจุบจิบ ชอบพูดมาก ชอบจูบ ชอบใช้ปากทำกิจกรรมทางเพศ เป็นต้น

    2. Anal phase "ระยะทวาร"
    ช่วงนี้คือช่วงอายุ 18-36 เดือน (หรือ 2-3 ปี แล้วแต่ตำรา) ช่วงนี้เด็กจะหันไปแสวงหาความสุขจากอะไรที่มันเกี่ยวกับทวาร (รูก้น...น่ะนะ) เวลาขี้จะมีความสุขมาก ผู้ใหญ่ควรจะคอยดูแลฝึกฝนการขับถ่ายอย่างอ่อนโยน ค่อยเป็นค่อยไป ถ้าเราไปบังคับการขับถ่ายของเด็กโดยบังคับ ดุด่าว่ากล่าวตบตี เด็กก็จะเกิดการขัดใจ จะมี Anal Fixation พอโตมาก็จะเป็นคนขี้เหนียวไม่เข้าเรื่อง หวงของ ชอบนั่งติดกับที่เป็นเวลานานๆ (นัยว่ามีความสุขจากการเอาก้นสัมผัสวัตถุ) เจ้าระเบียบไม่เข้าเรื่อง ประมาณว่าหนังสือในชั้นจะต้องเรียงตามลำดับอักษรเท่านั้น เสื้อผ้าจะต้องแยกสี ไล่จากเข้มไปอ่อน ของบนโต๊ะจะต้องเรียงเป็นมุมฉากเท่านั้น ย้ำคิดย้ำทำเรื่องความสะอาดไม่เข้าเรื่อง หรือไม่งั้นก็ต่อต้านระเบียบกฎเกณฑ์ ไม่ยอมใคร เป็นต้น

    3. Phallic Stage "ระยะอวัยวะเพศ"
    ช่วงนี้คือช่วง 3-6 ปี (หรือ 3-5 ปี แล้วแต่ตำรา) ซึ่งอวัยวะเพศก็คืออวัยวะเพศ เด็กจะมีความสุขกับอะไรที่มันเกี่ยวกับอวัยวะเพศ ชอบจับ ชอบเล่นอวัยวะเพศของตัวเอง จะชอบถามผู้ใหญ่เกี่ยวกับเครื่องเพศ ถ้าผู้ใหญ่ดุด่าว่ากล่าวตบตีเด็ก เด็กก็จะเกิด Phallic Fixation โตมาจะแปรปรวนทางเพศ สับสนในบทบาทเพศของตัวเองได้

    ลุงฟรอยด์แกจะชอบระยะนี้มาก นัยว่าระยะนี้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการเจริญตามทฤษฎีของแก และสงสัยจะเป็นเพราะลุงฟรอยด์แกเป็นผู้ชาย จึงศึกษาพัฒนาทางด้านนี้ของเด็กผู้ชายจนเห็นไปถึง Oedipus Complex ("ปมอิดิปุส")

    ปมอิดิปุสคือ ในช่วงนี้ เด็กผู้ชายจะตกหลุมรักแม่ของตัวเอง รักที่ว่านี้คือรักแบบทางเพศเลยนะ พอเด็กรักแม่ ก็จะเกลียดพ่อ คือเห็นว่าพ่อมาแย่งแม่ไปจากตัวเอง หรือในบางกรณีอาจรวมถึงกรณีที่เด็กเขาไปเห็นพ่อกำลังฮึฮือกับแม่อยู่แล้วไปเข้าใจว่าพ่อกำลังทำร้ายแม่ ก็เลยยิ่งเกลียดพ่อไปอีก เด็กเขาก็จะพยายามเอาแม่มาเป็นของตัวเอง แต่เนื่องจาก 1. เห็นว่าพ่อมีอำนาจมากกว่า 2. เห็นว่าเครื่องเพศของหญิงแตกต่างจากของตัวเอง ทำให้เกิดภาวะการกลัวการถูกตอน (Fear of Castration) ขึ้นมา ยิ่งเด็กเขามีความสุขกับการสัมผัสอวัยวะเพศก็จะยิ่งกลัวการถูกตอนมาก พอนานเข้าเด็กเขาจะเริ่มเห็นว่า โอยแย่แล้ว ตัวข้านี้ไม่อาจเอาชนะบิดาได้เลย เพราะเขาช่างมีอำนาจเหลือเกิน หากทำให้เขาขัดใจ เขาอาจจะจับข้าตอนได้ ข้าไม่อยากถูกตอนเลย เพราะฉะนั้นข้าคงไม่มีทางอื่นแล้วที่จะทำให้แม่เป็นของตัวเองได้ นอกจากการเลียนแบบตัวพ่อ ทำให้เด็กเรียนรู้บทบาททางเพศของเพศชายจากพ่อได้ ดังนั้นถ้าเด็กไม่สามารถผ่านปมนี้ไปได้อย่างถูกต้องอาจทำให้เกิดความสับสนทางบทบาทเพศเมื่อโตขึ้น เช่นมีการเบี่ยงเบนทางเพศ หรือรักชอบเพศเดียวกันได้

    ด้วยการคิดที่จะเลียนแบบพ่อนี้เอง เป็นการทำให้เด็กเกิดการสร้าง Superego ตามแบบแผนวิธีคิดของพ่อ ทำให้เด็กสามารถเป็นผู้ใหญ่ที่ดีได้ (ยกเว้นว่าเด็กไปได้ superego มาจากที่อื่น แล้วเกิดรู้สึกว่าแบบแผนวิธีคิดของพ่อนั้นผิด เลวทรามต่ำช้า ก็จะเลียนแบบไม่ได้ เป็นปัญหาใหญ่โต ไว้ไปเรียนเอาทีหลัง) พอถึงขั้นนี้แล้วก็จะถือว่าเด็กผ่านปมอิดิปุสได้สำเร็จ เข้าสู่ระยะต่อไป

    [​IMG]
    Carl Jung (1875-1961)

    ลักษณะที่ว่ามานั้นเป็นลักษณะการผ่าน Phallic stage ของเด็กผู้ชายที่อธิบายโดยฟรอยด์ ถ้าเป็นเด็กผู้หญิงฟรอยด์แกจะไม่ได้อธิบายละเอียดแต่จะอธิบายแบบกล้อมแกล้มพอถูไถ ต่อมานักจิตวิทยาคนหนึ่งซึ่งเป็นศิษย์ของลุงฟรอยด์ขื่อคาร์ล จุง (Carl Jung) ได้ตั้งชื่อกรณีคล้ายปมอิดิปุสของเด็กผู้หญิงว่า ปมอิเลกตรา (Electra complex) การดำเนินก็จะคล้ายๆ กัน แตกต่างกันนิดหน่อย คือตอนแรกเด็กผู้หญิงก็รักแม่เหมือนกัน แต่พอถึงวัยหนึ่ง (วัยนี้แหละ) เด็กผู้หญิงจะเริ่มตระหนักว่า ตนไม่มีองคชาติ ทำให้เกิดความอิจฉาองคชาติ (penis envy) แล้วไปโทษว่าแม่เป็นคนเอาองคชาติของตนไป และมองหาองคชาติทดแทนจากพ่อ จะเกลียดแม่ แล้วรักพ่อชอบพ่อ (แบบทางเพศเหมือนกัน) และก็เหมือนเดิมคือไปเรื่อยๆ ก็จะเรียนรู้ว่าตนไม่สามารถเอาชนะแม่ได้ จึงเรียนรู้ที่จะลอกเอาบทบาททางเพศของแม่มาใช้กับตัวเอง เป็นการสร้าง superego ให้กับตัวเอง และเป็นการเรียนรู้บทบาททางเพศเหมือนกัน ถ้าผ่านไปไม่ได้ก็จะสับสนทางเพศเหมือนกัน คือคล้ายๆ กันกับปมอิดิปุสของเด็กผู้ชายนั่นเอง

    [​IMG]
    อิดิปุสกับสฟิงซ์

    ที่มาของชื่อปมอิดิปุสนั้นมาจากตำนานกรีก อิดิปุสเป็นลูกของกษัตริย์ไลอัส (Laius) และราชินีโจคาสตา (Jocasta) แห่งเมืองธีบีส (Thebes) ก่อนที่อิดิปุสจะเกิดนั้นกษัตริย์ไลอัสเคยไปทำความผิดอะไรไว้ไม่รู้จำไม่ได้เลยโดนสาป (บางตำราก็ว่ามีโหรทำนายเฉยๆ) ว่าเจ้าจงอย่ามีลูกชายเชียว ลูกชายของเจ้าจะฆ่าพ่อของเขาคือเจ้า และสมสู่กับแม่ของเขาคือเมียเจ้า พอไลอัสมีอิดิปุสเป็นลูกก็เลยกลัวมาก เอาไปทิ้งไว้ในป่าหวังให้อดตาย วิธีทิ้งก็คือจับแขวนห้อยหัวกับกิ่งไม้ (เท้าเลยโต เป็นที่มาของชื่อ Oedipus แปลว่าเท้าบวม) ปรากฎว่ามีทาสต่ำต้อยมาเจออิดิปุสเลยเอาไปให้เจ้านายคือกษัตรยิ์โพลีบัส (Polybus) แห่งโครินธ์ (Corinth) รับไปเลี้ยงไว้เป็นบุตรบุญธรรม ต่อมาอิดิปุสไปได้ยินคำทำนายที่ว่าตัวเองจะฆ่าพ่อแล้วสมสู่กับแม่เลยกลัวมาก หนีจากเมืองโครินธ์ไปยังเมืองอื่นคือธีบีส ระหว่างที่เดินทางในธีบีสนั้นไปเจอกับชายแปลกหน้าคนหนึ่งแล้วมีปากเสียงกัน ก็เลยฆ่าเสีย ซึ่งท่านคงเดาออกว่า ชายแปลกหน้าที่พูดถึงนี้ คือกษัตริย์ไลอัส พ่อแท้ๆ ของอิดิปุสนั่นเอง หลังจากนั้นอิดิปุสก็ยังเดินวนไปมาอยู่ในเมืองธีบีส แล้วปรากฎว่าเมืองกำลังเดือดร้อน เพราะมีสฟิงซ์คอยดักถามปริศนาคนที่ผ่านไปมา ใครตอบไม่ได้ก็จะถูกฆ่าตาย ปริศนาที่ว่านั้นก็คือ "สัตว์ใดที่เดินสี่ขาในยามเช้า เดินสองขาในยามเที่ยง และเดินสามขาในยามเย็น" (เพื่อนทั้งหลายคงตอบได้) อิดิปุสตอบได้ ชาวเมืองจึงยกให้อิดิปุสขึ้นเป็นกษัตริย์ของธีบีสแทนไลอัส แล้วจึงได้แต่งงานกับราชินีโจคาสตา ซึ่งที่จริงแล้วก็เป็นแม่ของอิดิปุสนั่นเอง

    [​IMG]
    อิเลกตรากับโอเรสเตส

    ส่วนที่มาของปมอิเลกตรานั้นออกจะแถไปหน่อย คืออิเลกตราเป็นลูกของกษัตริย์อกาเมมนอน (Agamemnon) ที่พอกลับจากสงครามเมืองทรอยก็ถูกแม่ของตัวเองคือไคลเทมเนสทรา (Clytemnestra) กับแอกิสธัส (Aegisthus) ผู้เป็นชู้สมคบกันสังหาร แล้วอิเลกตราก็เลยขอให้โอเรสเตส (Orestes) พี่ชายฆ่าไคลเทมเนสทรา คือแม่ของตัวเองนั่นเอง ก็ประมาณนี้แหละนะ

    เล่ามาเสียยาวก็ไม่มีอะไร เผื่อว่าจะช่วยให้จำง่ายขึ้นบ้าง หรืออย่างน้อยๆ ก็เพลินๆ ดี

    เรื่องของการกลัวถูกตอนหรืออิจฉาองคชาตินี้ก็เป็นอีกทางหนึ่งที่ทำให้เด็กที่ผ่าน phallic stage ไปไม่ได้ เกิดความผิดปกติได้เมื่อโตขึ้น คือ Exhibitionism หรือชอบโชว์ เพศชายจะชอบโชว์องคชาติของตัวเอง เพื่อคอยย้ำเตือนตัวเองว่า ข้าพเจ้านั้นยังมีองคชาติอยู่ หาได้ถูกตอนไปไม่ (แก้การกลัวถูกตอน) ส่วนผู้หญิงก็ชอบแต่งตัวโป๊ อวดเนื้อหนังของตัวเอง เพื่อคอยย้ำเตือนตัวเองว่า ข้าพเจ้านั้นไม่ง้อองคชาติหรอก ไม่มีองคชาติก็มีคนมารักมาชอบได้ (แก้การอิจฉาองคชาติ)

    ยาวใช่ไหม บอกแล้วไง ลุงฟรอยด์แกชอบและให้ความสำคัญกับระยะนี้มาก

    4. Latency Stage ("ระยะสงบ" หรือ "ระยะแฝง")
    ช่วงนี้คือช่วง 6 ปีถึงวัยรุ่น หรือประมาณอายุ 6-12 ปี ระยะนี้เด็กจะเริ่มเรียนรู้ที่จะเข้าสังคม ได้รับอิทธิพลจากสังคมและพัฒนาการทางสติปัญญา เรียนรู้ที่จะมีบทบาทในการเข้าสังคม เรียนรู้บทบาทของตัวเอง (และ "เพศ" ของตัวเอง) จากสังคม โดยเฉพาะเพื่อน ในช่วงนี้เด็กจะสะกดกลั้นความต้องการทางเพศไปในจิตใต้สำนึก แล้วหันไปสนใจเรื่องอื่นๆ เช่นการเล่นกับเพื่อน เป็นต้น มนุษย์ปกติมักจะไม่ค่อยมี Fixation กับระยะนี้ แต่ถ้ามีก็จะเป็นปัญหาเกี่ยวกับเรื่องเพศ จะรู้สึกว่าไม่ได้รับการเติมเต็มความต้องการทางเพศ

    ปัญหาอะไรต่อมิอะไรที่เกิดขึ้นในระยะก่อนหน้านี้อาจจะเริ่มแผลงฤทธิ์ในระยะนี้

    5. Genital Stage ("ระยะสนใจเพศตรงข้าม" หรือ "ระยะวัยรุ่น")
    ก็คือช่วงวัยรุ่นหรือ 12 ปีขึ้นไปจนโต เนื่องจากตอนนี้ร่างกายเริ่มเจริญเติบโต ความต้องการทางเพศที่ถูกเก็บกดไว้เมื่อกี้ก็จะปรากฎขึ้นอีกที่ ถ้าหากว่าเด็กผ่าน Phallic Stage มาได้อย่างราบรื่น และเรียนรู้บทบาททางเพศของตัวเองมาอย่างถูกต้อง เด็กก็จะแสดงบทบาทความเป็นเพศที่ตรงกับเพศตัวเองได้อย่างเหมาะสม (Heterosexual) เริ่มเรียนรู้บทบาทที่จะมีความสัมพันธ์กับเพศตรงข้าม และจะพัฒนาเป็นผู้ใหญ่ได้ต่อไป

    โครงสร้างของบุคลิกภาพตามทฤษฎีของฟรอยด์ "Id, Ego และ Superego"

    [​IMG]
    รูปอะไรก็ไม่รู้ ลุงฟรอยด์แกวาดไว้ในหนังสือ The Ego and the Id,1923

    ขออนุญาตอธิบายแบบไม่เรื่องมาก

    Id คือความต้องการพื้นฐาน ส่วนใหญ่มักมาจากแรงขับทางเพศและความรุนแรง จะอยากได้โน่นนี่ โดยไม่สนใจคุณธรรมหรือสังคม

    Superego คือคุณธรรม คือสิ่งที่บุคคลนั้นๆ เห็นว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องดีงาม ได้รับการบ่มเพาะจากสังคม (บางส่วนมาจากการผ่านปมอิดิปุสและปมอิเลกตราที่เรียนรู้บทบาทจากพ่อหรือแม่) ข้อที่น่าสนใจคือ คุณธรรมของ superego นี้ ไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งดีงาม เช่น ถ้าบุคคลอยู่ในสังคมโจร ชื่นชมการขโมย บูชาการหลอกลวง การขโมยและการหลอกลวงก็จะถือเป็นคุณธรรมสำหรับบุคคลนั้น

    Ego เป็นสิ่งที่จะคอยติดต่อกับโลกภายนอก จะรับรู้โลกภายนอก และจะตัดสินว่า ตกลงแล้ว ถ้าสิ่งที่ Id อยากทำ (เช่น อยากมีเพศสัมพันธ์กับคนบางคน) กับสิ่งที่ Superego บอกว่าควรทำ (ถ้าต่อจากเมื่อกี้ ก็คือ การไปมีเพศสัมพันธ์กับคนอื่นโดยไม่ใช่ความยินยอมของเจ้าตัวนั้น เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ ไม่พึงกระทำ) Ego ก็จะต้องเอาข้อมูลต่างๆ มาตัดสินว่า ตกลงแล้วจะทำอย่างไร (ถ้าต่อจากเมื่อกี้ก็อาจจะเป็นว่า เออ เราอาจจะจีบเขาก่อน เป็นต้น) ไม่เกี่ยวว่า Ego จะทำตาม Id คัดค้าน Superego หรือทำตาม Superego ปฏิเสธ Id แต่ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของสถานการณ์

    เนื่องจาก Ego เป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องตัดสินว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดผิด ดังนั้นจะต้องถือเสมอว่า Ego จะต้องถูกเสมอ Ego จะผิดไม่ได้ ถ้าเมื่อไหร่ที่มีเหตุจะทำให้กลายเป็นว่า Ego ผิด จะต้องมีวิธีป้องกันไม่ให้ Ego ผิด โดยใช้กลไกการป้องกันทางจิต (Defense mechanism) 20 กว่าอย่าง (ที่ใครอยากจำก็อาจจะดี) เพื่อไม่ให้ Ego ผิด ถ้า Ego ผิด จะกลายเป็นว่า Ego ใช้ไม่ได้ เกิดการสูญเสีย Ego ก็จะไม่สามารถควบคุมตัดสินการปฏิบัติตนต่อโลกภายนอกได้ บุคคลก็จะบ้า จะหลุดโลก (Out of Reality) ไปเลย

    Defense Mechanism "กลวิธานการป้องกันทางจิต"

    อย่างที่บอกไปแล้วที่โพสที่แล้วว่า Ego ของเราจะเป็นอะไรไปไม่ได้ เป็นแล้วบ้า (Out of Reality) ดังนั้นเราจึงมีวิธีปลอมใจ Ego ประมาณว่า โอ๋ๆ ไม่เป็นไรน้า หลายวิธี ดังต่อไปนี้

    ระดับที่ 1 ใช้แล้วจะดูเหมือนคนบ้า ("psychotic" defense)
    - Denial คือการปฏิเสธความเป็นจริงภายนอก เพราะมันทำให้เป็นทุกข์ยิ่งนัก ก็จะบอกว่ามันไม่มีจริงหรอก มันไม่เป็นจริงหรอก เช่นพอรู้ว่าเป็นเอดส์แล้วก็สิ่งแรกที่คิดคือ "เฮ้ย... ไม่จริงหรอก กูไม่เป็น"
    - Distortion คือการพยายามเปลี่ยนแปลงความเป็นจริงภายนอกให้ตรงกับสิ่งที่อยากให้เป็น
    - Delusional Projection คือสร้างภาพหลอนให้ตัวเองเห็น ไม่ให้เห็นความเป็นจริงภายนอก

    ระดับที่ 2 ใช้แล้วจะดูเป็นคนที่ไม่น่าคบหา ("immature" defense)
    - Fantasy ถอยไปสู่ความคิดเชิงเพ้อฝันเพื่อแก้ปัญหาทั้งภายในและภายนอก เช่น จีบหญิงไม่ติด ก็เลยไปนั่งฝันนอนฝันว่ามีเค้าเป็นแฟนแล้ว อ๊า~ มีความสุขจาง~ อะไรทำนองนี้
    - Projection คือการโทษคนอื่น เป็นการย้ายเอาความรู้สึกที่ยอมรับตัวเองไม่ได้ไปรู้สึกกับอย่างอื่นแทน แล้วก็เลยคิด, รู้สึก, ยึดถือ, นำมาเป็นแรงขับ, รับรู้, เหมือนกับว่ามันเป็นสิ่งที่คนอื่นทำ เช่น ตัวเองไปมีชู้ แล้วรู้สึกผิด เลยคิดว่าแฟนตัวเองเป็นคนที่ไปมีชู้
    - Hypochondriasis (หรือ somatization) คือเอาความรู้สึกที่ไม่ดีมาแสดงออกทางกาย เช่น สอบตกแล้วท้องเสีย แม่ด่าแล้วเจ็บแขน ฯลฯ
    - Passive agression
    - Acting out แสดงออกอย่างชัดเจนถึงความปรารถนาหรือสิ่งกระตุ้นใน unconscious โดยที่ conscious อาจจะไม่รับรู้ เช่น โมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยง ตีอกชกหัว เตะเก้าอี้ โยนแจกัน ทุบทีวี กระทืบโน้ตบุ๊ค
    - Idealization เลือกที่จะรับรู้คนอื่นว่ามีคุณสมบัติดีเกินกว่าที่มันเป็นจริงๆ

    ระดับที่ 3 ใช้แล้วไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไหร่ แต่ถ้าใช้บ่อยๆ อาจมีผลกับการใช้ชีวิตได้ ("neurotic" defense)
    - Displacement เปลี่ยนเอาความต้องการทางเพศหรือความรุนแรงไปใช้กับอย่างอื่น เช่น แม่ด่า เลยมาเตะแมว
    - Dissociation เปลี่ยนบุคลิกหรือวิธีคิดของตัวเองชั่วคราวเพื่อหลีกเลี่ยงความทุกข์ ใช้มากๆ อาจเกิดบุคลิกแตกแยก กลายเป็นคนสองบุคลิกได้
    - Isolation คือแยกเอาความรู้สึกออกจากเหตุการณ์อย่างสิ้นเชิง เช่น โดนรถชนแขนขาดมา แล้วไปเล่าให้เพื่อนฟังว่า "เออเนี่ย เมื่อกี้โดนรถชนแหละ แขนงี้ขาดเลย humerus มันหักกลาง ทิ่มออกมาเลยแหละ ดูเหมือนว่าจะเห็น brachial artery ด้วยนะ เห็นมันมีเลือดพุ่งออกมาพรวดๆ อืม คงเป็น artery แหละ" ด้วยสีหน้าเรียบเฉยสุดๆ
    - Intellectualization คือเอาเหตุผลหรือปรัชญามารับมือกับปัญหาอย่างเป็นเหตุเป็นผลจริงๆ เช่น สอบไม่ได้ เพราะอะไร? อ๋อ เพราะเราไม่ได้อ่านหนังสือมากพอ คราวหน้าเราจะต้องอ่านหนังสือให้จงหนัก
    - Rationalization คือเอาเหตุผลมารับมือกับปัญหาแบบแถๆ เช่น สอบไม่ได้ เพราะอาจารย์ไม่ได้สอนไง แม่งเอ๊ย กูเลยทำไม่ได้เลย
    - Reaction Formation คือกระทำตรงข้ามกับที่คิด เพราะถ้ากระทำตามที่คิดแล้วจะรู้สึกเป็นทุกข์ ใช้ระยะสั้นๆ พอไหว แต่ใช้นานๆ จะบ้าเอา เช่น เพื่อนมันทรยศเรา เราเลยทำดีกับมัน
    - Repression คือเอาความคิดที่จะทำให้เป็นทุกข์ไปเก็บไว้ใน unconscious โดยไม่ได้ตั้งใจ บางครั้งอารมณ์ต่อเหตุการณ์นั้นๆ อาจจะยังอยู่ แต่นึกไม่ออก อาจจะต้องไปให้นักจิตวิทยาสะกดจิตขึ้นมาถึงจะนึกออกว่าไปเจออะไรมา
    - Regression คือถดถอยลงไป เช่นสอบตก เสียใจมาก ต้องไปร้องไห้ออดอ้อนซบกับตักแม่ (หรือแฟน) ถ้าถอยมากๆ อาจจะไปนั่งขดกอดเข่าอยู่มุมห้อง ถือว่าถอยไปไกลถึงขั้นเอมบริโอ (เรื่องจริง ไม่ใช่มุข)

    ระดับที่ 4 ใช้แล้วจะดูดี ทำให้รู้สึกเป็นสุข แต่ไม่ได้เอามาใช้กันง่ายๆ จะต้องฝึกเยอะ ("mature" defense)
    - Altruism แปลตรงๆ ว่าพฤติกรรมการช่วยเหลือผู้อื่น คือไปช่วยเหลือผู้อื่นแล้วทำให้รู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้น
    - Anticipation คือเตรียมใจรับเหตุการณ์ล่วงหน้าไว้แล้ว ไม่เป็นทุกข์จนเกินไป
    - Humour เอาตลกเข้าสู้ ทำให้คนอื่นเป็นสุขไปด้วย
    - Identification เอาลักษณะและพฤติกรรมของคนอื่นมาเป็นแบบอย่าง (อาจไปในทางอื่นแบบว่า เด็กโดนทารุณกรรมทางเพศมา โตมาแล้วกลายเป็นว่าชอบไปข่มขืนชาวบ้าน)
    - Introjection เอาแนวความคิดหนึ่งๆ มาใช้จนกลายเป็นแบบนั้นไปจริงๆ
    - Sublimation เปลี่ยนเอาความคิดทางลบมาใช้ในทางบวก เช่น เป็นพวกชอบทำร้ายคน ชอบเห็นเลือด เลยเลือกเรียนต่อศัลย์
    - Suppression คือเอาความคิดที่จะทำให้เป็นทุกข์ไปเก็บไว้ใน preconscious โดยตั้งใจ เลือกที่จะชะลอการไปทุกข์กับเรื่องนั้นๆ เช่น ตอนนี้อยู่ปี 3 ก็ยังไม่ต้องไปเครียดกับการสอบใบประกอบโรคศิลปะ (โปรดดูร่วมกับ Repression)

    เนื่องจากมีหลายตำรา แต่ละตำราก็จะเอา Mechanism มาไว้ไม่เท่ากัน อันที่น่ารู้จักจริงๆ ก็อย่างเช่น denial, regression, somatization, displacement, intellectualization กับ rationalization, repression กับ suppression, sublimation เป็นต้น นอกนั้นบางอันก็ช่างมันเถอะ

    .
    .
    .
    .
    หมดแค่นี้ครับผม
    หากจะทำให้เพลิดเพลินหรือเป็นประโยชน์ได้บ้าง ก็ดีใจอย่างยิ่งครับ
  2. pop30711

    pop30711 New Member

    EXP:
    1,155
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    โฮ้ ขอบคุณสำหรับความรู้ครับ ยาวดีมากเลยครับ
  3. shuu

    shuu Banned

    EXP:
    1,993
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    มีแอบเรตนิดๆนะ เดี๋ยวขอเซฟไว้อ่านนะครับ เยอะมาก
  4. tales

    tales อัครเทวดาแมวเหมียว

    EXP:
    546
    ถูกใจที่ได้รับ:
    6
    คะแนน Trophy:
    88
    อ่านแล้วเพลินมากๆ ต้องค่อยๆทำความเข้าใจ

    +1 ชอบ!!
  5. Angelnoballad

    Angelnoballad New Member

    EXP:
    1,088
    ถูกใจที่ได้รับ:
    1
    คะแนน Trophy:
    0
    ยาวมากๆ = =''

    มีบางส่วนเป็นความรู้ใหม่ที่เพิ่งรู้ด้วยนะครับ

    ส่วนที่ติดเรตก็มีแฮะ. . .
  6. dominica

    dominica สิ่งมีชีวิตอ้วนกลม

    EXP:
    1,818
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    36
    อา.... นี่สินะเวอร์ชั่นภาษาไทย อ่านแล้วจั๊กจี้จัง..

    เรียนมาแบบไม่ลึกมาก ( แค่ทราบพอในเชิงธุรกิจ )
    เป็นภาษาอังกฤษอ่านแล้วเฉยๆ นะไม่เอ็กซ์เท่านี้ XD
  7. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    เคยเรียนมาแล้วสมัยปี 1 วิชา PY 211 จิตวิทยาพื้นฐาน
    ความรู้ก็ .... คืนอาจารย์ไปพร้อมกันวันสอบไฟนอลแล้ว

    ขอบครับครับที่นำมาให้อ่านกัน

    ปล. ไม่ยักรู้ว่าสามารถเอาพวกทฤษฎีหรือแนวคิดมาแปะให้อ่านกันได้ ถ้าได้จะได้นำทฤษฎีสังคมวิทยาและมานุษยวิทยามาให้อ่านกันบ้างน่าจะดี
  8. Aki

    Aki Paradox Observer

    EXP:
    485
    ถูกใจที่ได้รับ:
    41
    คะแนน Trophy:
    48
    คิดว่า ... ถ้าจะแก้ ผมคงต้องใช้เวลาสักพัก และคงต้องเสริมอีกสักเยอะ ...

    เพราะงั้น ผมขอเคลียร์งานจบ ส่งอาจารย์ภายในอาทิตย์นี้ก่อนละกันครับ แล้วจะมาแก้ให้

    - -' ยังไงถ้าอยากแก้ด้วยตัวเองไปก่อนก็ลองศึกษาจากหลายๆแหล่งดูละกันครับ ประเด็นคร่าวๆ เช่น

    ถูกที่ Freud เป็นคนคิด Psychosexual Development แต่ทฤษฎีของเขาไม่ใช่ Psychosexual Development เขาพูดถึง Psychosexual Development เพื่ออธิบายถึงพัฒนาการของมนุษย์ ด้วยมุมมองตามหลักการทาง Psychoanalysis

    ซึ่งประเด็นใน Psychoanalysis มีมากกว่านี้นัก ประเด็นพัฒนาการ (ด้วยตามหลัก Psychosexual Development) เป็นหนึ่งในนั้น

    เช่น ประเด็นในเรื่องโครงสร้างทางจิต พลังงานของจิต และ โครงสร้างทางบุคลิกภาพ

    นอกจากนั้น การวิเคราะห์ด้วย Psychoanalysis กว้างกว่านี้ในหลายๆลักษณะ ... ซึ่งนอกเหนือจากเนื้อหาในนี้ ผมคงไม่พูดอะไรดีกว่า


    เอาเป็นว่า ยังไงก็ลองดูในหลายๆแหล่งก่อนละกันครับ เพราะบางอย่างมันก็ขัดกับสิ่งที่ผมเรียนมาเยอะอยู่เหมือนกัน ตรวจสอบจากหลายๆแหล่ง โดยเฉพาะเรื่องยกตัวอย่าง เพราะถ้าประเด็นมันคลุมเครือแต่แรก ตัวอย่างจะยิ่งไปกันใหญ่


    อ่อ ... เกือบลืม


    คือเท่าที่ผมทราบมา Hypochondriasis เป็นความผิดปกติทางจิตอย่างหนึ่งใน AXIS 1 หมวดที่ 7 ว่าด้วย ความผิดปกติทางจิตที่ความเจ็บป่วยทางจิต หรือความไม่สบายทางจิตใจมาแสดงออกทางกาย (Somatoform Disorders) (ตาม DSM-IV TR: Diagnostic and Statistical Manual of Mental Disorders)

    ความผิดปกติทางจิตใน Somatoform Disorders นั้นมีด้วยกันดังนี้

    1. Pain Disorder: บุคคลนั้นรู้สึกมีความเจ็บปวดเกิดขึ้นในร่างกาย (หลายๆที่ เช่น ที่หัว, ที่อวัยวะบางส่วน) ซึ่งแท้จริงแล้วตัวอวัยวะนั้นไม่ได้มีความผิดปกติอะไร แต่ความเจ็บปวดมาจากความไม่สบายใจ

    2. Body Dysmorphic Disorder: บุคคลมีความผิดปกติในลักษณะของการที่คิดไปว่าอวัยวะบางอย่างของตนนั้นไม่สมประกอบ, อัปลักษณ์, ไม่ดี ทำให้บุคคลนั้นทำใจไม่ได้ ทั้งๆที่บุคคลอื่นเห็นว่าไม่ได้น่าเกลียดตรงไหน

    3. Hypochondriasis: เป็นอาการทางจิตใจที่แสดงออกมาโดยบุคคลนั้นใส่ใจในสุขภาพของตนเองมาเกินไป มักคิดว่าตนเองเป็นโรค

    4. Conversion (Hysteria): สภาพจิตใจที่มีอิทธิพลทำให้ร่างกายเสมือนผิดปกติ เช่น คนที่มีความเครียดเป็นเวลานานๆแล้วตนรู้สึกว่ามีอาการชาที่ขาหรือมือ อาการชานั้นไม่ได้เกิดจากสภาพที่กล้ามเนื้อที่ขาหรือมือ แต่มาจากสภาพจิตใจ Conversion ที่โด่งดังก็คือ อาการตาบอด เนื่องจากมีความเครียดรุนแรง

    5. Somatization Disorder: เป็นความผิดปกติที่บุคคลแสดงปัญหาทางกายหลายๆด้าน แต่ตรวจแล้วไม่พบ เป็นภาพรวมของความผิดปกติทางจิตในหมวด Somatoform Disorders



    โดยเนื้อหาที่ยกมาอาจจะโอเค ... แต่การจัดอยู่ในหมวด Defense Mechanism มันค่อนข้างแปลกๆไปหน่อยนะครับ

    Defense Mechanism บางส่วนก็ ...

    ผมพูดไม่ถูกแหะ ... ไว้เดี๋ยวว่างจากการเคลียร์งานจบ แล้วจะมาแก้ๆให้ในบางส่วนละกันครับ


    อ่อ อย่าง Regression ที่บอกว่าถดถอยไปไกลถึงขั้นเอมบริโอ ... มันเรียกว่า "Return to the womb" ครับ

    คงเพราะอธิบายด้วยการสรุปประเด็นมา ... เนื้อหาหลักๆมันเลยไม่พอที่จะอธิบายในแต่ละส่วน ผมก็เลยรู้สึกประหลาดๆละมั้งครับ อย่าง Sublimation หรือ Repression หรือ Suppression หรือย่าง Displacement, Intellectualization, Rationalization, หรือ Reaction Formation ... ถ้ามีคำอธิบายที่กว้างกว่านี้ผมว่า คงจะเคลียร์กว่านี้นะครับ
  9. zieghart

    zieghart New Member

    EXP:
    351
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    Regression นี่ ไม่ใช่ว่าย้อนไปได้ถึงแค่ความทรงจำในวัยเด็ก (Early childhood) หรอครับ?

    เคยเรียนละเอียดๆเมื่อนานมาแล้ว เดี๋ยวถ้าได้ขุดเลคเชอร์มาอ่านอีก จะมาเสริมให้ครับ ^^
  10. pmuean

    pmuean New Member

    EXP:
    23
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    เย้ครับ มีที่แก้แล้ว (เยอะด้วย) ^^
    อ่านเองอย่างเดียวโดยไม่ได้มีความรู้พื้นฐานมาก่อนมันผิดเต็มไปหมดจริงๆ ด้วยนะ ^^
    ขออนุญาตเอาไปใส่ในบอร์ดรุ่น (อันที่ผมโพสให้เพื่อนอ่าน) นะครับ เพื่อนจะได้ไม่จำไปผิดๆ
  11. train

    train Member

    EXP:
    498
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    16
    เหมือนที่ผมเรียนในวิชา Health เลยแฮะ =[]=b แต่นี่ค่อนข้างลึกและละเอียดกว่ามาก เพิ่มพูนความรู้ให้อีก ขอบคุณมากคร้าบ * - *b
  12. flamefox

    flamefox Well-Known Member

    EXP:
    2,755
    ถูกใจที่ได้รับ:
    4
    คะแนน Trophy:
    88
    ชอบกระทู้นี้จัง.... จริงๆผมแอบยากเรียนพวกจิตวิทยาการศึกษานะนี่ ^^!
  13. JerryF1

    JerryF1 Member

    EXP:
    216
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    16
    มีประโยชน์มากๆเลยฮะ :D

    พรุ่งนี้มีสอบวิชาจิตวิทยาเบื้องต้นด้วยสิ ดีเลย จะได้เอาไปอ่านเลย

    ขอบคุณมากๆครับ :china:
  14. Aki

    Aki Paradox Observer

    EXP:
    485
    ถูกใจที่ได้รับ:
    41
    คะแนน Trophy:
    48
    ในระดับปกติน่ะนะครับ ... แต่เท่าที่ผมทราบมาจากอาจารย์ ท่านก็บอกว่า สุดๆแล้วของ Regression คือ "Return to the womb" (ย้อนกลับเข้าไปสู่ในมดลูก)

    ยังไงก็ตาม สิ่งสำคัญของ Regression อาจจะไม่ใช่แค่ย้อนกลับไปสู่วัยเด็ก ... แต่ที่ Freud เน้นย้ำถึงวัยเด็กก็เพราะว่า เด็กคือช่วงวัยที่ได้รับการดูแล ได้รับการปกป้องมากกว่าเมื่อเทียบกับผู้ใหญ่

    โดยหลักการแล้ว Regression คือ Defense Mechanism ที่พลังงานทางจิตใช้เพื่อป้องกันการเสียสมดุลของ Ego โดยการย้อนกลับไปสู่ในช่วงขณะที่มีความสุข ดังนั้น คนเราไม่ได้ Regression ในกรณีที่กลับไปทำพฤติกรรมเช่นวัยเด็กอีกครั้งเท่านั้น บางครั้งการย้อนกลับไปสู่สภาวะที่เคยมีความสุขก็ถือว่าเป็น Regression เหมือนกัน (โดยหลักการของ Defense Mechanism)

    ประเด็นสำคัญของ Defense Mechanism อีกอย่างก็คือ มันไม่ใช่หลักการที่ถูกคิดขึ้นแล้วจบลง ณ ตรงนั้น เพราะมันค่อนข้างเป็นความจริงที่เห็นได้ชัดของทฤษฎีจิตวิเคราะห์ เลยมีการศึกษาในยุคต่อๆมา อย่างที่เห็นได้ชัดและตั้งเป็นศูนย์เลยก็คงเป็นของ Anna Frued ... ซึ่งเมื่อมันได้รับการพัฒนาต่อๆมา Defense Mechanism บางอย่างซึ่งอาจเคยเป็นอยู่ ก็อาจเปลี่ยนแปลงไป และอาจไม่ถูกนับรวมเป็น Defense Mechanism หรืออาจถูกจัดเข้าไปอยู่ในหมวดใหม่ๆ

    หรือลักษณะของ Defense Mechanism บางอย่างก็อาจจะเปลี่ยนแปลงไปจากในตอนแรกที่คิดขึ้นมา ... ถ้าลงรายละเอียด Defense Mechanism นี่ไปได้ยาวอีกหลายกิโลเลยครับ ผมตอบ 10 rep ก็ไม่หมด


    ปล. เผอิญเบรคจากการเคลียร์งาน ... แวะมาตอบก่อนเข้านอน
  15. lukkung

    lukkung New Member

    EXP:
    28
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    ปมอิดิปุส นี่ใช่ ปมปิตุฆาตหรือเปล่าครับ
  16. maxlancer

    maxlancer ประธานรุ่น2ตุรกีเชียงใหม่

    EXP:
    1,183
    ถูกใจที่ได้รับ:
    1
    คะแนน Trophy:
    88
    จำได้ว่าตอนเรียนจิตวิทยาเบื้องต้นเทอมที่แล้ว เค้าว่าฟรอยด์เป็นเกย์ ทฤษฏีแกเลยเกี่ยวข้องกับเรื่องเพศมากกว่าปกติเล็กน้อย=="

    แต่ผมชอบทฤษฎีของฟรอยด์น่ะ จำง่ายดี ออกสอบจำฟรอยด์ได้คนแรกเลย ส่วนที่เหลือนี่ลืมหมด

    (จิตวิทยาตอนแรกคิดว่ายาก แต่พอมาเจอความคิดพื้นฐานทางสังคมวิทยา จิตวิทยากลายเป็นง่ายไปเลย==" สังคมมันนักทฤษฎีเยอะมากกกกก)
  17. citrus

    citrus New Member

    EXP:
    608
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    โอ้ว...นึกถึงสมัยเรียนวิชาจิตวิทยาเบื้องต้น เป็นอะไรที่น่าสนุกดีนะคะศึกษาเรื่องพวกนี้เนี่ย แต่ตอนนี้ดันลืมหมดละ ^^;
  18. ultimaweapon

    ultimaweapon ULTIMA WEAPON

    EXP:
    4,247
    ถูกใจที่ได้รับ:
    8
    คะแนน Trophy:
    88
    เรียนจิตวิทยามาก็เจอพวกนี้แหละครับ ตอนลงวิชาเลือกมาก็คิดว่าคงไม่มีไรมาก พอมาเจอไป ท่องกันยิก
  19. crystalcross

    crystalcross New Member

    EXP:
    17
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    ตรงกะที่เรียนเลย ^o^

    ตอนที่เรียนเรื่อง Defense Mechanism นับไปนับมาเราใช้กลไกป้องกันตั้งแต่ระดับ1-4เลย เกิดอาการสงสัยทันทีว่าตัวเองเป้นโรคจิตเปล่า (จริงๆแล้วคนทั่วไปก็มีการนำ Defense Mechanism มาใช้ได้ แต่ใช้ไม่บ่อยและไม่ทุกเรื่องเท่าคนที่เป็นโรคเท่านั้นเอง)

    ตอนจะสอบทีท่องหมด ทั้งคนตั้งทฤษฎี (ทำไมไม่ตั้งชื่อตัวเองให้จำง่ายๆนะ) ทั้งตัวเนื้อหาแต่ละช่วง ข้อสอบอะไรไม่รู้ออกละเอียดยิบเลย

    โชคดีมากมายที่ไม่ตก เย่
  20. evol

    evol Well-Known Member

    EXP:
    951
    ถูกใจที่ได้รับ:
    2
    คะแนน Trophy:
    88
    จำได้ว่าสม้ยเรียนอยู่ปี 1 วิชานี้เป็นอะไรที่น่าเบื่อมากๆ (คนสอนด้วย)
    แต่พอมาได้อ่านบทความของ ฟรอยด์ นี่มันคนละเรื่องเลยนะครับ
    รึว่าตูแอบเบี่ยงเบนกับ "ระยะทวาร" หว่า (ฮา)
  21. sumiyo

    sumiyo Vincent4ever!!!

    EXP:
    267
    ถูกใจที่ได้รับ:
    4
    คะแนน Trophy:
    18
    ทฤษฎีของฟรอยด์นี่ ตอนแรกๆเลยก็งงเหมือนกันนะ ว่าฟรอยด์เค้าคิดค้นทฤษฎีนี้ได้ไงเนี่ย~

    เพราะดูแต่ละขั้นนี่เกี่ยวกับเพศทั้งนั้น ^__^"
  22. spao99

    spao99 Detonator

    EXP:
    810
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    36
    ฟรอยด์ อธิบายเรื่องเพศ ค่อนข้างมาก ก็ไม่จำเป็นว่าเพราะเบี่ยงเบนทางเพศ หรือบ้ากาม หรือหมกมุ่นอะไร

    แต่ฟรอยด์ ได้รับอิทธิพลของกฏหรือทฤษฎีธรรมชาติในวงการวิทยาศาสตร์ยุคนั้น คือ
    - การคัดสรรค์โดยธรรมชาิติ( ทฤษฎีอธิบายวิวัฒนาการสิ่งมีชีวิตของ ชาร์ล ดาวิน )
    ซึ่งยอดบนสุดของสัญชาติญานที่ควบคุมชีวิต จะมีอยู่แค่ 2 อย่างคือ สืบพันธุ์ และ รักษาชีวิตรอด
    ซึ่งในภาวะปกติ การรักษาชีวิตรอด ก็ยังไปตอบสนองการสืบพันธุ์อีก , ดังนั้น สัญชาติญานการสืบพันธุ์ เป็นเรื่องที่มีอิทธิพลสูงมากต่ออารมณ์และพฤติกรรมสิ่งมีชีวิตต่างๆ

    - กฏอนุรักษ์พลังงาน (พลังงาน ไม่สูญหายไปจากจักรวาล)
    ตรงนี้ฟรอยด์ อธิบายในลักษณะของ Psychic energy , เป็นพลังงานที่ผลักดันให้เกิดพฤติกรรมของสิ่งมีชีวิต


    มีนักจิตวิทยาอย่าง Aki มาตอบ แบบนี้น่าสนุก :)
  23. M2X

    M2X Active Member

    EXP:
    953
    ถูกใจที่ได้รับ:
    1
    คะแนน Trophy:
    38
    เยอะกว่าที่เคยเรียนอีก - -
  24. killchan

    killchan New Member

    EXP:
    272
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    โอ้ สุดยอดมากๆค่ะ
    สมัยเรียนยังไม่เจาะลึกถึงขนาดนี้เลยนะเนี่ย
  25. Izabelle

    Izabelle New Member

    EXP:
    47
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    อ่านประดับความรู้ดี
    แต่เรื่องปมๆนี่ไม่ค่อยถึงกะเชื่อหมดเท่าไร โดยเฉพาะในส่วนPhallic Stage เนี่ย
    ถ้าเด็กไม่ได้มีพ่อแม่เลี้ยงดูมา มันจะผ่านปมพวกนี้ไม่ออกเลยรึไงนะ
    แล้วก็ เราว่า การให้จิตวิทยาซึ่งเป็นชาย มาวิเคราะห์หญิง เราว่ามันไม่ถูกเท่าไรหรอก
    ลุงฟรอยต์อาจจะวิเคราะห์เด็กผู้ชายในแถบเมืองของเค้าถูก เพราะวัฒนธรรมเป็นแบบนั้น แต่เราว่ามันใช้กับแถบอื่นต้องมีตัวแปรอื่นอีกพอสมควรเลย โดยการวิเคราะห์เด็กผู้หญิงก็น่าจะแล้วใหญ่

    ดังนั้น ตามความเห็นเรา ถ้าจะอ่านประดับความรู้เท่านั้นก็โอเค แต่ถ้าจะจริงจังว่ามันเป็นแน่นอนถูกต้อง ไร้คำเถียง เราว่าต้องไปศึกษาอีกหน่อยดีกว่านะ

    ปล. ไม่ได้เรียนจิตวิทยา และไม่รู้ลึกอะไรมาก แต่ก็เห็นด้วยกะลุงฟลอยแต่ครึ่งเดียวเท่านั้น

Share This Page