BloodY-FanG >>ล่าล้างเขี้ยวโลหิต<< [ล่มด้วยเหตุการณ์คอมล่มไปแล้ว]

กระทู้จากหมวด 'Fiction' โดย maxlancer, 27 กุมภาพันธ์ 2008.

  1. maxlancer

    maxlancer ประธานรุ่น2ตุรกีเชียงใหม่

    EXP:
    1,183
    ถูกใจที่ได้รับ:
    1
    คะแนน Trophy:
    88
    Re: [Ficรับสมัคร] BloodY-FanG >>ล่าล้างเขี้ยวโลหิต<<

    ~~~~~~~~~~ราตรีที่ 2 “สัญลักษณ์”~~~~~~~~~~​

    ~~~~~~~~~~Night 2 “Sign”~~~~~~~~~~​


    ท่ามกลางความมืดมิดที่มีแสงจันทร์คอยนำทาง เสียงลมกระโชกรุนแรงจนเหล่าพงไพรเอนไปตามแรงของสายลม น่าแปลกที่คืนอันเงียบสงบนี้กลับมีความพินาศอยู่บนผืนป่าแห่งนี้

    กระท่อมไม้โดดๆหลังเดียวที่อยู่ท่ามกลางธรรมชาติแห่งนี้ กำลังถูกเผาผลาญด้วยความร้อนของไฟ ซากหลังคาผุพังจนถล่มลงมา สภาพที่อยู่อาศัยแห่งนี้ค่อยๆลุกไหม่อย่างไร้ทางเยียวยา

    ห่างออกมาจากบ้านหลังนั้น มีร่างของศพชายหญิงคู่หนึ่งโดนมัดติดอยู่กับท่อนไม้แล้วเผาอย่างน่าอนาจใจ กลุ่มคนในชุดคลุมสีขาวบริสุทธ์ผิดกับการกระทำ ต่างยืนล้อมรอบสองศพนี้ รวมทั้งร่างเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่นอนเลือดอาบอยู่ใกล้ๆ

    “พ่อและแม่แกตายหมดแล้ว!! เหลือแต่แกตัวเดียว ยัยเด็กต้องสาป!!” เสียงผู้ชายใกล้ๆตะโกนใส่ เสียงกระทืบเท้าของเหล่าบุคคลในชุดขาว สะเทือนไปทั่วแผ่นดินจนเหล่าสรรพสัตว์ใกล้ๆเป็นต้องวิ่งหนี

    เด็กสาวผมทองยาวสลวยที่ตอนนี้กลับยุ่งเหยิง ร่างเล็กๆของเธอมีแผลลึกที่ช่องท้อง ของเหลวสีแดงสดไหลรินออกมาจากร่างจนอาภรณ์ของเธอถึงย้อยเป็นสีเดียวกัน ด้วยวัยเพียงสิบต้นๆ ทำให้บาดแผลเหล่านี้ริดลอนชีวิตขิงเธออย่างรวดเร็วเกินจะห้ามไหว

    สติทั้งหลายกำลังขาดสะบั้น ประสาทรับเสียงไม่อาจได้ยินอะไรได้ชัดเจนสายตาที่พร่ามัวหยุดค้างอยู่ตรงหน้าศพชายหญิงใกล้ๆ น้ำตาไหลอาบผิวหน้าหม่องที่เคยเป็นสีขาวนวลเมื่อไม่กี่นาทีก่อน เมื่อบุพการีที่รักยิ่งโดนปลิดชีวิตไปต่อหน้าต่อตา

    ขณะที่ตัวเธอกำลังสิ้นหวัง จู่ๆความรู้สึกบางอย่างอย่างก็ผุดขึ้นมา ความสงบนิ่ง อาจจะเป็นเพราะเธอใกล้จะสิ้นใจแล้วกระมัง นั่นคือสิ่งที่เด็กสาวคิด

    สายตาที่ไร้ความรู้สึกค่อยๆเหลือบไปทางรอบด้าน น่าแปลกที่รอบด้านน่าจะมีแต่คนที่คิดจะเอาชีวิต แต่ตอนนี้กลับไม่เหลือบุคคลที่ว่านั่นเลย มีเพียงแต่บุรุษผมสีขาว วิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน…

    “ทำ..จ…ดี…ไว้ อย..ตา..ย..น่ะ…” เสียงคำพูดที่เลือนลางของชายหนุ่มที่เข้ามาประคองเธอไว้ ไม่อาจเข้าหูของเด็กสาวได้อีกแล้ว ดวงตาของเธอค่อยๆปิดลงทุกที
    ……

    ..

    “เฟ…ตื่..น..สิ…”

    “เฟ..”

    “เฟท!!!”
    ดวงตาสีแดงเบิกโพลงขึ้นตามเสียงเรียกชื่อ เสียงหอบถี่รัวไม่ต่างกับวิ่งมาราธอนมามาดๆ สายตาที่กำลังจ้องมองบนเพดานห้อง เด็กสาวเพิ่งรู้ตัวว่าตนเพิ่งตื่นจนนิทราขึ้นมา ก่อนจะดันตัวขึ้นมานั่ง เด็กสาวในชุดนอนสีขาวต้องเอามือกุมหน้าผากที่เต็มไปด้วยเหงื่อ หลังจากต้องเจอฝันที่ร้ายที่สุดของเธอไป

    “ฝันหรอกเหรอ…”

    เฟท? ไม่เป็นอะไรใช่มั้ย? เธอละเมอดังจนชั้นได้ยินเลยน่ะ”

    เด็กสาวหันไปตามเสียงเรียกชื่อ ชายหนุ่มผมยาวสียาว ดวงตาทั้งคู่ปิดสนิท พร้อมสีหน้าที่ดูน่าตาตื่นตกใจ ถามด้วยความเป็นห่วง

    “มะ..ไม่เป็นไรค่ะ..แต่ฝันนิดหน่อยเองค่ะ ท่านครูซิไฟร์” เฟทตอบตะกุกตะกัก“ตายแล้ว!! ตั้งทุ่มนึงแล้วเหรอคะเนี่ย เดี๋ยวหนูไปเตรียมอาหารเช้าให้นะคะ!!”

    แต่ครูซิไฟร์กลับคว้ามือเธอเอาไว้ก่อน พร้อมเอามือทาบหน้าผากของเด็กสาว จนใบหน้าของเด็กสาวแดงระเรื่อด้วยความเขินเล็กน้อย

    “ตัวรุ่มๆนะ หน้าก็แดงด้วย วันนี้พักผ่อนก่อนดีมั้ย?” ชายหนุ่มถามด้วยความเป็นห่วง

    “มะ..ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ขอบคุณมากนะคะที่เป็นห่วง” เฟทตอบด้วยความเร็วสูง ก่อนจะพุ่งออกประตูห้องไป

    ครูซิไฟร์ถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนจะเดินตามออกไป

    ภายในห้องอาหารของตระกูลเฮฟทิกที่กว้างใหญ่ ผนังประดับโคมไฟโบราณที่ประดิษฐ์มาจากทองคำ กระจกบานใหญ่ที่ประดับผ้าม่านหรูหรา โต้ะอาหารทำด้วยไม้อัดขัดเงาอันอย่างดีที่ยาวจนสุดห้องอันกว้างใหญ่ แต่กลับมีครูซิไฟร์ที่นั่งอยู่เพียงคนเดียว

    ”ขออภัยที่ให้รอค่ะ ท่านครูซิไฟร์ อาหารเช้ามาแล้วค่ะ” เฟทที่ตอนนี้อยู่ในชุดสาวใช้สีดำขาวสลับกัน ลูกไม้ที่ถูกทักขึ้นอย่างประนีทประดับไปตามเสื้อดูแล้วช่างงดงาม ผมสีทองสลวยมัดรวบขึ้นเป็นทรงทวินเทลทั้งสองข้างด้วยโบว์สีดำ มาพร้อมกับโต้ะเข็นอาหารสูงระดับอกเธอ

    “อืม ขอบใจมากนะ” ครูซิไฟร์ยิ้มกว้างให้แก่สาวใช้ที่กำลังจัดแจงอาหาร “ว่าแต่ เมื่อกี้นี้เธอฝันเรื่องอะไรเหรอ?”

    “ก็..ไม่มีอะไรหรอกค่ะอย่าได้ห่วงไปเลยค่ะ” เด็กสาวเฉไฉไม่ยอมตอบ ได้แต่หันไปเสริฟอาหารเช้าอย่างลุกลี้ลุกลน ยิ่งสร้างความเป็นห่วงให้แก่ครูซิไฟร์มากขึ้น

    “ถ้าให้ชั้นเดา เธอคงฝันเรื่องที่ชั้นเคยแกล้งเอาแมลงสาบปลอมไปไว้บนหมอนตอนเธอหลับละสิ ใช่มั้ยละ?”

    ครูซิไฟร์กล่าวเดาอย่างขี้เล่นปนขำเล็กน้อย แม้ใจนึงเฟทจะโล่งใจที่เจ้านายเธอเดาไม่ถูก แต่อีกใจก็กลุ้มใจในความขี้เล่นของเจ้านายไม่น้อยเช่นกัน

    “ไม่ตลกเลยนะคะท่านครูซิไฟร์ ตอนนั้นหนูตกใจแทบตาย” เด็กสาวหันมาทำหน้างอนใส่ ซึ่งครูซิไฟร์ก็ไม่ได้รังเกียจท่าทางแบบนั้นของเธอเลย อาจจะชอบท่าทางแบบนั้นถึงได้แกล้งด้วยซะมากกว่า

    หลังจากเสริฟอาหารเช้าเสร็จแล้ว เฟทก็เดินอ้อมโต๊ะอาหารจะกลับเข้าไปในห้องครัวซึ่งทางไปก็อยู่ทิศตรงข้ามกับที่ชายหนุ่มนั่งรับประทานอาหารอยู่ แต่ซักพักสายตาของชายหน่มก็เริ่มจับดูการเคลื่อนไหวของสาวใช้อีกครั้ง เมื่อความซุ่มซ่ามของเด็กสาวทำให้ไปสะดุดขอบตู้วางของริมห้องจนกรอบรูปขนาดเล็กตรงลงไปในร่องระหว่างตู้กับผนัง

    “อะ..เดี๋ยวหนูจะรีบเก็บเดี๋ยวนี้แหละค่ะ!!” เฟทลุกลี้ลุกลน รีบเอื้อมมือล้วงจากทางด้านบน เพราะตู้ใบนี้ดันไม่มีพื้นว่างด้านล่างให้มุดเลย

    แต่ด้วยความสูงที่พอๆกับเด็กประถมของเด็กสาวเอง การจะล้วงมือลงมาหยิบก็จำต้องแนบตัวให้ติดบนตู้ แล้วเอื้อมลงมาให้สุด ซึ่งนั่นแหละเป็นสาเหตุที่ครูซิไฟร์สนใจจะมอง เพราะเฟทจำต้องปีนขึ้นไปนอนบนตู้เพื่อจะเอื้อมลงไปหยิบกรอบรูป และ กระโปรงเจ้ากรรมดันค่อยๆเลื่อนขึ้นไป หากเป็นอย่างงี้ซักพักคงมีคนตาปิดแถวๆนี้ได้เห็นเซอร์วิสแน่ๆ

    “เฮ้ย..อีกนิดเดียว ใกล้จะเห็นแล้ว” ในใจของแวมไพร์หนุ่มพยายามเชียร์เจ้ากระโปรงตัวดีของเฟทให้เปิด สมาธิทุกอย่างทุ่มกับสถานการณ์ตรงหน้าอย่างเดียวแล้ว ยามนี้แม้แต่เสียงระเบิด เค้าก็คงไม่อาจได้ยิน แต่ทว่า…

    “ใกล้แล้ว ใกล้แล้ว นั่นแหละ…เฮ้ย!!!”

    เหมือนดั่งคนเขียนกลั่นแกล้งอย่างโหดร้าย จังหวะที่ครูซิไฟร์กำลังได้เห็นของดี จู่ๆดวงตาที่ปิดอยู่แล้ว ก็ดันมีมือที่สามมาปิดซ้อนอีก

    “กำลังจ้องอะไรอยู่เอ่ย? คุณครูซิไฟร์~~”

    เสียงของหญิงสาวคนหนึ่งกระซิบมาจากทางด้านหลังของครูซิไฟร์ที่กำลังดิ้นพล่านเพราะกำลังจะชวดของดีไป

    “เสียงนี้..คริสตีน!! ปล่อยมือก่อนได้มั้ย เดี๋ยวชั้นก็พลาดของดีหรอก” ครูซิไฟร์กระซิบบอก

    “อะ ปล่อยก็ได้”

    พูดจบหญิงสาวก็ปล่อยให้ดวงตาที่ปิดสนิท ได้จับจ้องอะไรบ้าง แต่ด้วยการที่ฟิคเรื่องนี้ ยังติดข้อจำกัดอะไรหลายอย่าง ทำให้เฟทได้เก็บกรอบรูปเสร็จ และเดินกลับไปยังห้องครัวก่อนที่ชายหื่นตาปิดผู้นี้จะได้ดูตามใจหวัง

    ชายหนุ่มนั่งค้างด้วยความสิ้นหวังไปหลายวินาที ก่อนที่หันกลับหลังด้วยสีหน้าหน่ายใจไปยังหญิงสาวผมแดงยาวถูกระดับอก ผิวขาวบริสุทธิ์ดุจหิมะ ดวงตาสีฟ้าใสดูลึกล้ำพร้อมขอบตาดำคล้ายคนอดนอน อยู่ในชุดกระโปรงยาวเปิดคอสีดำสนิท

    “อย่าจ้องชั้นด้วยสายตาแบบนั้นสิ เป็นถึงผู้นำตระกูล ไม่ควรกระทำอะไรแบบนั้นรู้มั้ย?” หญิงสาวนามคริสตีนพูดอย่างสนุกสนานหลังจากที่ได้แกล้งอีกฝ่าย ขณะที่ครูซิไฟร์ต้องกลุ้มใจกับนิสัยของเธอ

    “ให้ตายสิเธอนี่น้า…ว่าแต่ลมอะไรหอบเอาคุณหญิง คริสตีน เอลิซาเบธ มาเจนต้า มาถึงนี่ได้ละหึ?”

    “อ้าว!! ก็คืนนี้ท่านลอร์ดเซีเดียสท่านเรียกประชุมเหล่าสภาแวมไพร์ใช่มั้ยละ ชั้นเองก็โดนเรียกตัวมาเหมือนกัน..ก็เลยแวะเข้ามาหาหน่อย”

    คริสตีนเดินอ้อมไปนั่งฝั่งตรงข้ามกับครูซิไฟร์ พร้อมกับจังหวะที่เฟทได้เดินกลับออกมาพอดี

    “อะ!! ท่านคริสตีน!! มาตั้งแต่เมื่อไหร่คะเนี่ย?” เฟทตกใจเล็กน้อยที่มีแขกมาเยือนโดยไม่รู้ตัว

    “หวัดดีจ้า หนูเฟท ชั้นเพิ่งมาถึงเมื่อกี้นี่เอง” คริสตีนโบกมือด้วยรอยยิ้มพร้อมคำทักทายอย่างเป็นกันเอง “อะ..ชั้นขอชาซักแก้วละกันน่ะจ้ะ”

    เฟทโค้งคำนับเป็นรับคำขอของหญิงสาวก่อนจะพุ่งกลับไปห้องครัวอีกรอบ

    “หึ มาเห็นเธอในนิสัยแบบมนุษย์ทีไร ชั้นก็อดขำไม่ได้ซักที ว่าความลับสีเลือดอันเป็นที่น่าสะพรึ่งกลัวในหมู่แวมไพร์ด้วยกันอย่างเธอ จะมีนิสัยน่ารักขนาดนี้อยู่ด้วย” ครูซิไฟร์จีบกาแฟหนึ่งอึก ก่อนจะกล่าวชมหญิงสาวผมแดง

    “แหม..ทำท่าทางดีใจหน่อยไม่ได้เหรอ ในรอบสามร้อยปีที่ผ่านมา มีแต่คุณกับหนูเฟทเท่านั้นนะ ที่ชั้นจะแสดงนิสัยแบบนี้ให้เห็น”

    “ฮะฮะ เป็นเกียรติอย่างสูงเลยครับ คุณผู้หญิง” ครูซิไฟร์ขำเบาๆ กับเกิยรติยศอันสูงส่งที่ได้รับไป แต่ซักพักสีหน้าของชายหนุ่มก็ตึงเครียดขึ้น

    “เอาละ เข้าเรื่องกันเลยดีกว่า เธอคงไม่ได้ถ่อมาถึงนี่ เพื่อมากินน้ำชาหรอกใช่มั้ย?”

    คริสตีนได้ยินดังนั้น รอยยิ้มก็หุบลง ทันที ก่อนจะหยิบเอาเอกสารสองสามแผ่นขึ้นมายื่นให้ครูซิไฟร์ แล้วพูดต่อ

    “รู้เรื่องหัวข้อหลักการประชุมครั้งนี้แล้วใช่มั้ย?” ดวงตาสีฟ้าใสจ้องตรงไปยังชายหนุ่ม

    “เด็กสาวในคำทำนายปรากฏขึ้นมาแล้ว…ชั้นเองก็ได้ยินจากการประชุมเมื่อวานด้วยเหมือนกัน” ครูซิไฟร์กล่าวเรียบๆ ระหว่างที่หยิบเอกสารมาดู “แต่ว่ามีเป็นข้อความที่เขียนขึ้นโดๆโดยซีซาร์ อาดินอสไม่ใช่เหรอ? ชั้นไม่คิดว่ามันจะ….เฮ้ย!!นี่มัน?!!”

    คำพูดของครูซิไฟร์เป็นต้องหยุดชะงัก เมื่อได้เห็นข้อมูลในเอกสารที่ได้รับมา

    “จากข่าววงนอกที่ชั้นไปหามา มันไม่ใช่แค่ข้อความไร้ที่มา มันมีคนเจอตัวเธอแล้วจริงๆ” คริสตีนกล่าวด้วยสีหน้าเฉยชา

    “เดี๋ยวก่อน..ทำไมถึงได้มั่นใจว่าเป็นเด็กในคำทำนายล่ะ เท่าที่จำได้ คัมภีร์แห่งรัตติกาลก็ไม่ได้บันทึกรูปพันธุ์สันฐานของเด็กคนนั่นไว้เลยนี่นา ยกเว้นแต่…”

    “ กางเขนสีทอง คุณลองไปตีความกลอนคำทำนายที่ถูกเขียนในสมัยยุคกำเนิดของแวมไพร์ไว้ลองไปอ่านให้ละเอียดดูสิ ถึงชั้นจะไม่เป็นเป็นคนอ่าน แต่คนรู้จักชั้นบอกวาสจะมีช่วงหนึ่งที่มีเขียนกล่าวไว้ด้วยว่าสัญลักษณ์กางเขนที่ว่ามันจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเด็กในทำนายด้วย"

    “…มิน่าล่ะ เธอถึงได้คิดว่าเด็กคนนี้เป็นเด็กในคำทำนาย ” ครูซิไฟร์กล่าว หลังจากได้ดูรูปฝูงชนที่มีวงกลมสีแดงมาร์กเด็กผมทองคนหนึ่ง ซึ่งหลังคอเสื้อที่เปิดกว้างจนพอเห็นด้านหลัง มีส่วนหนึ่งของรอยสักรูปกางเขนสีทองอยู่ แต่เห็นไม่ชัดมาก แถมจากรูปก็ไม่อาจระบุหน้าตา และวัยของเด็กสาวได้เลย

    “อืม…เจอที่ลอนดอนเหรอ…แต่ชั้นไม่เข้าใจ ทำไมพวกเหล่าผู้อาวุโสถึงตื่นตูมกับเรื่องนี้มากนัก ทั้งๆที่มันเป็นความทำนาย..ไม่สิ เรียกว่าตำนานน่าจะถูกกว่า ถึงมันจะตรงกับในบันทึกบางส่วนก็เถอะ แต่อาจจะเป็นแค่วัยรุ่นสักเล่นๆ”

    ชายหนุ่มหันกลับมาพูดกับคริสตีนอีกครั้ง

    “อีกอย่างแค่เด็กคนเดียวจะสามารถทำลายสมดุลระหว่างพวกเรากับมนุษย์ได้เลยเหรอ?”

    “อืม…จะว่าไปก็ถูก พวกเค้าเชื่อในบันทึกแห่งรัตติกาลมากเกินไป ทั้งๆที่ข้อความข้างในก็ผ่านมือคนเขียนมามากว่าพันคนแล้ว ในช่วงสองพันปีที่ผ่านมา” คริสตีนนั่งกุมคางขณะที่ครุ่นคิด ในระหว่างนั้นเอง เฟทก็เข็นน้ำชามาเสรฟให้พอดี

    “น้ำชา มาแล้วค่ะ ท่านคริสตีน จะรับอะไรเพิ่มมั้ยคะ?”

    “ไม่ละจ้ะ เธอไปทำงานของเธอต่อเถอะนะ” คริสตีนกลับมามีรอยยิ้มเป็นมิตรอีกครั้ง ในช่วงที่รับน้ำชาจากเด็กสาว ก่อนที่เด็กสาวจะขอตัวไปทำงานต่อ

    “ตั้งสองร้อยปีแล้วสินะ ที่คุณรับเด็กคนนั่นมาดูแลน่ะ” คริสตีนที่มองเฟทเดินจากไปเริ่มเปิดประเด็นใหม่ ทำเอาครูซิไฟร์แปลกใจเล็กน้อยที่โดนยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด

    “…อืม ตั้งแต่วันที่ชั้นกัดเธอในป่าแห่งนั้น” ครูซิไฟร์ค่อยๆระลึกอดีต สีหน้าเริ่มสดงความเศร้าใจเล็กน้อย “แต่มาจนถึงตอนนี้ชั้นก็ยังไม่แน่ใจเลยว่าที่ทำไปมันจะดีจริงๆหรือเปล่า..”

    “อ้าว? ทำไมละ?” คริสตีนที่นั่งจีบชาอย่างสบายอารมณ์สงสัยในคำพูดของอีกฝ่าย

    “พ่อแม่ของเฟทถูกพวกลัทธิล่าแวมไพร์ฆ่าต่อหน้าต่อตาเธอในคืนนั้น บางทีถ้าชั้นปล่อยให้เธอสิ้นใจอย่างสงบ อาจจะดีต่อตัวเธอมากกว่าที่จะให้มีชีวิตมาทั้งๆที่อดีตนั้นยังตาตรึงอยู่ในใจของเธอ”

    ทั้งสองนั่งเงียบกันซักพักใหญ่ จนคริสตีนลุกขึ้นและตัดสินใจที่จะพูดอีกครั้ง

    “คุณครูซิไฟร์ ชั้นเองก็เป็นแค่คนนอกก็คงพูดอะไรไม่ได้มากนักหรอกนะ” หญิงสาวพูดไปพลางระหว่างเดินอ้อมไปหาทางที่นั่งฝั่งของชายหนุ่ม “แต่เฟทไม่ได้อ่อนแอขนาดที่จะมัวแต่มาคำนึงถึงอดีตหรอก!! ”

    จากน้ำเสียงหวานๆ กลับกลายเป็นแข็งกระด้างและดุดันในพริบตา แต่ก็แฝงไปด้วยความเข็มแข็งและจริงจัง ของคริสตีน ทำให้ความกลัดกลุ้มของครูซิไฟร์หายไปได้อย่างประหลาด ชายหนุ่มยิ้มออกเล็กน้อยที่ได้รับคำแนะนำแบบนี้มา

    “หึ ชั้นนี่โชคดีจริง ที่ได้รู้จักคนอย่างเธอ ขอบใจนะ”

    คริสตีนเองก็แอบๆยิ้มเล็กน้อยที่ได้รับคำขอบคุณมา “ไม่เป็นไรค่ะ รุ่นพี่”

    จู่ๆครูซิไฟร์ก็ลุกขึ้นอย่างกระทันหัน สีหน้าเริ่มเคร่งเครียดขึ้นมาอีกครั้ง แน่นอนว่าคริสตีนเองก็เช่นกัน สายตาที่มองกลางคืนได้ชัดเจนของทั้งคู่เล็งเห็นสิ่งมีชีวิตตัวหนึ่งอยู่ห่างออกไป ดวงตาฉายให้เห็นคลื่นวามร้อนของสิ่งๆนั่น สัญชาตญาณของแวมไพร์ร้องลั่น ดูยังไงก็คือมนุษย์

    “เฟท!!!” ครูซิไฟร์ตะโกนลั่นคฤหาสน์ น้ำเสียงที่ดุดันอย่างนี้ เป็นการบอกได้อย่างเดียวว่าเรื่องคอขาดบาดตาย ก่อนที่ชายหนุ่มจะคว้าดาบสีดำในฝักสีเงิน และพุ่งทะลุหน้าต่างห้องออกไปอย่างรวดเร็ว

    ห่างออกไปจากคฤหาสน์ตระกูลเฮฟทิก โดยรอบนั้นเป็นป่าขนาดย่อมๆ และหนาพอจะซ่อนตัว มีคนๆหนึ่งอยู่ในชุดคลุมสีดำทั้งตัว ในมือถือกล้องส่องทางไกล และ อุปกรณ์คล้ายๆเครื่องรับสัญญาณ ซึ่งเป็นเครื่องดักฟังระยะไกล ที่พื้นมีสมุดจดเล็กที่เขียนด้วยอักษรหวัดๆเต็มไปหมด แน่นอนว่าการคงอยู่ของเขา ถูกสองแวมไพร์ชั้นสูงรู้เข้าแล้ว เขาก็ได้ทิ้งอุปกรณ์พร้อมคว้าโน้ตเตรียมหนี แต่ทว่า…

    ฉัวะ!!!

    สัญชาตญาณของผู้บุกรุกสั่งให้ร่างกายก้มหมอบอย่างรวดเร็ว เมื่อวัตถุสีดำวาดผ่านตำแหน่งที่ร่างของเขาเคยยืนอยู่เมื่อครู่ด้วยความเร็วปานสายฟ้า ทำเอาต้นไม้ในรัศมีใกล้ๆ ขาดล้มไปเป็นแถบๆ

    แต่ร่างกายของผู้บุกรุกยังไม่อาจหยุดเคลื่อนไหว วัตถุสีดำดังกล่าวกลับมาฟาดใส่เขาอีกครั้ง คราวนี้เขาเอี้ยวหลบมันเกือบไม่ทัน ผ้าคลุมที่ปิดหน้าตาของเขาเฉี่ยวกับวัตถุสีดำจนขาด เผยให้เห็นผมสีน้ำตาลเพลิงยาวสลวย กับใบหน้าใสๆของเด็กสาววัยรุ่นที่มีดวงตาแดงเพลิง ซึ่งทำให้บุคคลผู้ควบคุมวัตถุสีดำชะงักเล็กน้อย

    เด็กสาวไม่ปล่อยให้โอกาสที่อีกฝ่ายพลาดครั้งที่สองหลุดออกไป มือซ้ายคว้าระเบิดแสงที่ดึงสลักเรียบร้อยแล้วออกมาทันที ก่อนที่แสงไฟเจิ่ดจ้าจะส่องแสงไปทั่วจนตัวจริงของวัตถุสีดำปรากฏ มันคือเคียวขนาดใหญ่สีดำ และผู้ถือก็เป็นแค่เด็กสาวผมทองมัดทวินเทลที่อยู่ในชุดเมดอยู่ ใช่แล้ว เธอคือเฟท สาวรับใช้แห่งตระกูลเฮฟทิกนั่นเอง

    เฟทที่ไม่ทันระวังตัว โดนแสงแฟลซเข้าไปในระยะประชิด แต่ยังดีที่เธอหลับตาหลังแสงแฟลซปรากฏไปได้แค่ชั่ววินาที ทำให้ตายังไม่บอด เพียงตามองไม่ชัดเท่าไหร่ แต่ก็พอรับรู้ได้บ้างว่าเด็กสาวผู้บุกรุกหนีหายไปแล้ว

    “เฟท!!” เสียงของชายหนุ่มผู้เป็นนายดังมาจากอีกทาง ครูซิไฟร์และคริสตีน ตามมาถึงพอดี

    “ขออภัยเป็นอย่างสูงค่ะ ท่านครูซิไฟร์ ที่ปล่อยให้ผู้บุกรุกหนีไปได้” เฟทกล่าวขอโทษที่ตนทำพลาด แต่ครูซิไฟร์กลับส่ายหน้า

    “ไม่เป็นไรไม่ต้องคิดมาก… คริสตีนช่วยหน่อย!!” ครูซิไฟร์หันไปขอร้องคริสตีน ซึ่งหญิงสาวผมแดงเองก็เข้าใจความหมายทันที

    “ใช้สุภาพสตรีทำงาน มันไม่ดีนะ รุ่นพี่” คริสตีนพูดกัดก่อนที่ดวงตาจะเปลี่ยนเป็นสีเลือดและพุ่งเข้าป่าหายไปอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ครูซิไฟร์ยังคงเป็นห่วงอาการของเฟท

    “ท่านครูซิไฟร์ ไม่ต้องห่วงหนูหรอกค่ะ หนูเริ่มๆจะเห็นแล้ว ที่สำคัญ อีกฝ่ายดูเหมือนจะดักฟังข้อมูลที่ท่านกับท่านคริสตีนคุยกันด้วย” เด็กสาวขยี้ตาเบาๆ ระหว่างที่บอกแก่เจ้านาย

    “ว่าไงนะ!!” ครูซิไฟร์ตกใจเป็นอย่างมากกับสิ่งที่ได้ยิน
    ……..
    ……
    ….
    ..
    .
    เสียงฝีเท้าที่ว่องไวและคล่องแคล่วดังไปตามทางในป่า หญิงสาวผมสีน้ำตาลในชุดดำ กำลังวิ่งอย่างสุดชีวิต แถมยังไวอย่างเหลือเชื่อ แต่มันก็ยัง…ช้ากว่าแวมไพร์

    “จะรีบไปไหนละ สาวน้อย..” เสียงอันเย็นเฉียบแว่วมาที่ข้างหูของหญิงสาว ก่อนที่เธอจะพบว่าแวมไพร์สาวผมแดงกำลังวิ่งประชิดตัวเธอในความเร็วเท่ากันโดยที่เธอเพิ่งจะรู้ตัว

    แต่เธอไม่มีเวลามาตกใจแล้ว เมื่ออีกฝ่ายชักกระบี่ยุโรปสีเงินตวัดฟันเข้ามาทันที หญิงสาวผู้บุกรุกหยิบห่อผ้าสีดำยาวขึ้นกันไว้ทัน

    ผู้บุกรุกไม่รอช้าคลายปลายของห่อผ้าและดึงสิ่งอยู่ภายในออกมา ดาบญี่ปุ่นเล่มยาวด้ามจับพันผ้าสีดำอย่างประณีตอยู่ในมือของเธอแล้ว และเตรียมเข้าโต้ตอบ

    คริสตีนเองคงไม่คิดจะมาชื่นชมอาวุธของอีกฝ่าย เธอดึงกระบี่กลับมาอีกครั้งและบุกแทงรัวราวกับห่าฝนอย่างรวดเร็วจนอีกฝ่ายได้เป็นต้องฉากหนี แต่ก็มิอาจหลบคมดาบความเร็วสูงได้พ้นจนเฉี่ยวต้นแขนไปเล็กน้อย

    แต่ทว่าหญิงสาวผมสีน้ำตาลไม่ได้จบแค่ตรงนั้น ทันทีที่คมดาบสัมผัสกับร่าง เธอบิดตัวไปข้างหน้า เท้าทั้งสองถีบพื้นสุดแรง พุ่งเข้ามากระแทกแวมไพร์สาวจนร่างเสียหลักถอยไปข้างหลัง ก่อนที่ดาบซามูไรเล่มยาวจะหมุนกลับมาพุ่งแหวกอากาศตรงเข้าไปยังกลางอกของแวมไพร์สาว

    ในวินาทีที่เสียท่า จู่ๆคมดาบซามูไรของหญิงสาวกลับหักออกไปอีกทางอย่างรวดเร็ว ไม่ใช่เพราะแวมไพร์สาวปัดป้อง ไม่ใช่เพราะมือที่สามมาขวาง แต่เป็นที่เจ้าของดาบกลับหมุนข้อมือออก มันเหมือนกับว่าผู้บุกรุกจะหยุดมือไม่ฆ่าอีกฝ่าย ต่ความจริงกลับไม่ใช่เมื่อหญิงสาวเองทำหน้าตื่นตกใจเหมือนไม่ได้ตั้งใจจะหยุดดาบ

    คริสตีนรีบเตะร่างของหญิงสาวออกไปจนร่างไถลไปจนติดต้นไม้ ก่อนที่คมกระบี่เรียวยาวของแวมไพร์สาวจะมาจ่ออยู่ที่คอของเด็กสาวผู้บุกรุกในทันที

    “เอาละ หมดเวลาเล่นแล้ว ยัยหนู บอกมาเธอเป็นใคร และมาทำไม?” ดวงตาสีเลือดแฝงรังสีอำมหิตจ้องมองอีกฝ่ายอย่างเลือดเย็น

    “ชั้นไม่คิดจะบอกอะไรแวมไพร์อย่างแกทั้งนั้น!!!” เด็กสาวกล่าวตะคอกใส่อย่างเกรี้ยวกราด จนแวมไพร์สาวเลือดขึ้นหน้า กระทืบเท้าใส่กลางอกของเด็กสาวอย่างแรง

    “ชั้นไม่ได้ขอความเห็นอะไรจากเธอ เลือกว่าจะพูดหรือไม่พูด?!!” คมดาบค่อยๆแทงผ่านผิวหนังของอีกฝ่ายที่ลำคอไปเล็กน้อย เลือดสีแดงสดค่อยๆไหลออกมา ขณะที่เด็กสาวไม่อาจขยับมือข้างที่ถือดาบได้เลย ราวกับมันไร้ซึ่งความรู้สึก

    “แก..แกไม่ใช่แวมไพร์ธรรมดาใช่มั้ย?”

    ฉึก!!

    คมกระบี่พุ่งเสียบมะลุต้นแขนข้างหนึ่งของเด็กสาวทันควัน ความเจ็บปวดแล่นเข้าเส้นประสาทโดยไม่ทันตั้งตัวทำให้เด็กสาวถึงกับร้อง

    “โอกาสสุดท้ายจะพูดหรือไม่พูด?” แวมไพร์สาวพยายามอดกลั้นความโมโห เลือดเริ่มขึ้นหน้าเข้าไปทุกที

    “ไปตายซะ ไอ้ผีโสโค..!!!!”

    ยังไม่ทันที่เด็กสาวจะกล่าวจบ ปลายกระบี่เรียวคมก็พุ่งผ่านปากไปทันที แต่คมดาบยังคงจ่อคาเอาไว้ไม่ยอมปลิดชีวิต

    “สรุปไม่คิดจะพูดใช่มั้ย? งั้นก็ตายซะ!!”

    พริบตาที่เด็กสาวคิดว่าตัวเองคงมาได้แค่นี้ จู่ๆ โชคชะตายังให้โอกาสเธอเมื่อกระบี่กลับไม่แทงเข้ามา แต่กลับถูกดึงกลับไป เมื่อมีวัตถุขนาดเท่าลูกปืนจำนวนมากพุ่งเข้าใส่คริสตีนอย่างรวดเร็วจนแวมไพร์สาวต้องกระโดดหลบ

    แต่จังหวะที่เธอกระโดดกลับมีสิ่งของอีกอย่างลอยเข้ามา มันมีรูปร่างกลมสีดำ และมีชนวนติดไฟอยู่ด้วย…ระเบิด!!!

    สัญชาตญาณร้องลั่น ร่างกายเคลื่อนไหวโดยอัตโนมัติ คริสตีนถีบต้นไม้ใกล้ๆสุดแรงและพุ่งออกจากรัศมีระเบิดให้เร็วที่สุด แต่เธอกลับไม่รู้ว่าเธอพลาดที่คิดว่ามันเป็นระเบิดจริง

    เสียงระเบิดดังขึ้น ก่อนที่กลุ่มควันจำนวนมากจะปดปังรัศมีการมองเห็นไปทั่ว

    “หา? ระเบิด..ควัน?” คริสตีนถึงกับยืนค้างไปพักใหญ่ทันทีที่ตั้งสติได้ ความโกรธก็ทวีคูณอย่างมหาศาล เธอไม่เคยคิดเลยว่าจะเผลอติดกับลูกเล่นแบบนี้ได้ง่ายๆ

    แม้คิดจะไล่ตามจะไม่ทันแล้ว กลุ่มควันแพร่กระจายจนไม่เห็นแม้แต่คลื่นความร้อนในตัวของเด็กสาวมนุษย์ อีกทั้งหูก็ไม่อาจได้ยินเสียงฝีเท้า กลิ่นเลือดที่ออกจากบาดแผลก็ถูกกลบด้วยระเบิดควัน

    คริสตีนไม่อาจทำอะไรได้เลย นอกจากระบายความโกรธแค้นโดยการฟันต้นไม้ใกล้จนขาดกระจาย ในระหว่างนั้นเอง เฟทกับครูซิไฟร์ก็วิ่งตามมาพอดี

    “…ขอโทษนะ ชั้นพลาดเอง….” คริสตีนไม่อาจสรรค์หาคำพูดใดๆมาแก้ตัว ด้วยศักดิ์ศรีของแวมไพร์ชั้นสูงอย่างเธอ มีแต่ต้องยอมรับความผิดพลาดครั้งนี้ แต่ก็เป็นอีกครั้งที่ครูซิไฟร์ส่ายหัวให้โดยไม่คิดโทษแต่อย่างใด

    “อย่าเพิ่งโทษตัวเองไปเลย ตอนนี้มาคิดกันก่อนว่าจะเอาไงดี”

    คริสตีนกัดฟันแน่นก่อนจะยอมตัดความสนใจกับอารมณ์ของตนไปก่อน เพื่อพิจารณาถึงผลที่ตามมา หลังจากนี้

    “จากที่ชั้นเห็นแล้ว คิดว่าเธอน่าจะเป็นนักล่ามากกว่าที่จะเป็นกางเขนดำ ส่วนข้อมูลที่เธอได้ไป ชั้นเดาว่าทั้งหมดที่เราคุยกันเลยละ” ระหว่างที่พูดคริสตีนก็ยังไม่วายฟันใส่ต้นไม้ใกล้ๆอีกดาบ

    “จะเป็นใครไม่สำคัญแล้ว เราเองก็ไม่รู้ว่าเด็กสาวในคำทำนายมีจริงๆหรือไม่ และเธอทำอะไรได้บ้าง แต่ถ้าพวกนักล่าได้ตัวเธอไปล่ะ เยอะแน่….เฟท ตาเธอเป็นอย่างไงบ้าง?” ครูซิไฟร์หันมาถามสาวใช้

    “มองเห็นแล้วค่ะ ถึงจะยังมัวนิดหน่อย”

    “ชั้นอยากให้เธอรีบไปที่ลอนดอนตอนนี้เลย พยายามหาเด็กสาวในคำทำนายคนนั้นเท่าที่จะทำได้ หากพบอะไรน่าสงสัยว่าจะเป็นกางเขนดำ หรือนักล่า จับตาพวกนั้นไว้ เพราะพวกนั้นคงจะรู้เรื่องแล้วเหมือนกัน”

    เฟทที่ได้รับคำสั่งดังนั้น สีหน้าก็แสดงความมุ่งมั่นขึ้นมาทันที แต่ก่อนที่เธอจะออกตัววิ่ง นายเหนือหัวกลับรั้งตัวเธอเอาไว้อยู่

    “เฟท…ระวังตัวด้วยนะ ถ้าเห็นว่าอันตรายเมื่อไหร่ให้หนีออกมาทันที เข้าใจมั้ย?”

    เฟทยืนใจเต้นเล็กน้อย ที่เจ้านายของเธอแสดงความเป็นห่วงให้ ก่อนเธอจะตอบครูซิไฟร้วยรอยยิ้มหวานๆ

    “รับทราบค่ะ ท่านครูซิไฟร์ หนูจะทำให้ดีที่สุดค่ะ” พูดจบเธอก็กระโดหายเข้าไปในป่า

    “เอาละ คริสตีน พวกเราเองก็ต้องรีบไปที่สถานที่ประชุมกัน เรื่องนี้ต้องรีบไปแจ้งท่านลอร์ดโดยไวที่สุด….
    ………
    …….
    ….
    ..
    .
    ห่างออกไปจากคฤหาสน์เฮฟทิก เงาสีดำเงาหนึ่งกำลังแบกเด็กสาวผมยาวสีน้ำตาลพาดบ่ากระโดดไปตามกิ่งไม้อย่างรวดเร็วเกินความเร็วที่มนุษย์จะตามทัน

    “หึ?..ที่นี่มัน…!!” เด็กสาวค่อยๆรู้สึกตัวอย่างช้าๆ ก่อนจะตกใจกับร่างของตนว่าโดนแบกวิ่งมาได้อย่างไง

    “อ้าว? รู้สึกตัวแล้วเหรอแชนดิเลีย” เสียงครึ่มๆของชายหนุ่มที่กำลังอุ้มตัวหญิงสาวนามแชนดิเลียพูดขึ้น ก่อนที่เขาจะเปลี่ยนเส้นทางลงจอดที่พื้นอย่างรวดเร็วพร้อมวางดาบเล่นยาวของหญิงสาวลงด้วย

    “….ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่ได้…อีแวนส์” แชนดิเลียเปิดคำถามแรกทันทีที่ลงมาจากบ่าของชายหนุ่มผมน้ำตาลเข้มมีหางม้าแบบรุ่ยๆ ใบหน้าวัยยี่สิบกลางๆ ประดับด้วยดวงตาสีแดงแฝงแววของสัตว์ป่า ในเครื่องแบบบาทหลวงสีดำสนิทที่มีผ้าพาดบ่าสีแดงอยู่ด้วย มีสร้อยคอกางเขนสีดำถูกพันด้วยเถาวัลย์หนาม ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของกางเขนดำ

    “ชั้นต่างหากที่ควรจะถาม เธอน่าจะรู้ไม่ใช่เหรอว่าที่นั้นเป็นคฤหาสน์ของหนึ่งในหกตระกูลหลักแห่งแพทริออท ตระกูลเฮฟทิก” บาทหลวงหนุ่มแสดงความเคร่งเครียดกับการกระทำของอีกฝ่าย “แถมเมื่อกี้เธอดันเจอใครไม่เจอ ไปเจอ “ความลับสีเลือด” คริสตีน เอลิซาเบธ มาเจนต้า เมื้อกี้ถ้าชั้นไปช่วยไม่ทัน เธอคงไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้หรอก”

    “ขอโทษนะ ที่ต้องมาลำบาก คุณบาทหลวงแห่งกางเขนดำ แต่ชั้นจำไม่ได้เลยว่าขอความช่วยเหลือแวม…!!”

    “แชนดิเลีย!!!” อีแวนส์ตะโกนชื่อหญิงสาวตรงหน้าเป็นสัญญาณบอกให้เธอหยุดพูดคำต่อไปตรงนั้นซะ

    “…..ชิ! เพราะกางเขนดำมีคนแบบคุณอยู่ไง ชั้นถึงได้ถอนตัวออกมา…”หญิงสาวหันหน้าหนี สีหน้ายังคงแฝงไปด้วยความแค้นลึกๆ

    “งั้นขอถามหน่อยเถอะ ทำไมเธอถึงเข้ามาที่นี่?” อีแวนส์วกเข้าเรื่องหลักอีกครั้ง

    “คุณก็รู้ว่าชั้นตามหาอะไร แต่ดันได้เรื่องอื่นมาแทน” สีหน้าของแชนดิเลียแสดงถึงความเสียดายอย่างมาก ดูเหมือนที่เธอเสี่ยงชีวิตแอบเข้ามาจะไม่ได้รับผมตอบแทนอย่างที่คาดไว้

    “เรื่องอื่น?” อีแวนส์ติดใจกับคำดังกล่าว

    “ชั้นได้ยินมาว่าพวกนั้นเจอเด็กสาวในคำทำนายที่อยู่ในบันทึกแห่งรัตติกาลแถวๆลอนดอน”

    “แถวๆลอนดอน?!!” รู้แล้วเหรอว่ารูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไง?” อีแวนส์ถามต่อ

    “เห็นว่าผมทอง….มีตรากางเขนสีทองด้านหลัง”

    “แย่ละสิ ต้องรีบติดต่อไปที่ศูนย์บัญชาการ” อีแวนทรีบกดปุ่มเครื่องสื่อสารรูปร่างคล้ายหูฟังขนาดใหญ่ที่เหน็บไว้ที่หูขวา

    “ชั้นแนะนำว่าให้รีบดีกว่า เพราะก่อนหน้านี้มีคนของนักล่ากลุ่ม L.A.S.T มาดักฟังเหมือนกับชั้น แต่ทำไมชั้นโดนจับได้คนเดียวก็ไม่รู้นี่สิ..”

    อีแวนส์ได้ยินที่เด็กสาวพูดก็ยิ่งกังวล ไหนจะติดต่อศูนย์บัญชาการ ไหนจะส่งข่าวไปให้กางเขนดำคนอื่นต่ออีก กว่าจะหาตัวเด็กคนนั้นพบอีก ช้าเกินไป มีทางเดียวคนส่งข่าวให้บาทหลวงดำที่อยู่ใกล้ลอนดอนที่สุด พร้อมกับที่ตัวเองจะวิ่งไปสมทบ

    “อีแวนส์…ตอนนี้ยัยเรเซนกับคุณราอูล อยู่ที่ลอนดอน..” แชนดิเลียแนะนำอย่างรวดเร็ว โดนที่อีแวนส์ยังไม่ได้พูดอะไรเลยซักคำ สร้างความทึ้งแก่อีแวนส์เป็นอย่างมาก

    “ตกใจอะไรไป ลืมไปแล้วหรือไง ว่าชั้นหาข่าวเก่งแค่ไหน?” แชนดิเลียกล่าวพร้อมรอยยิ้มที่มุมปาก “มัวยืนอะไรอยู่ละ ไม่รีบหรือไง?”

    “อะ..อืม ขอบใจมากนะ แชนดิเลีย” พูดจบอีแวนส์ก็พุ่งออกไปอีกทางอย่างรวดเร็ว

    “ก็แค่ใช้หนี้ที่คุณช่วยชั้นเมื้อกี้” หญิงสาวกล่าวลับหลังเบาๆ
    ……….
    …….
    ….
    ..
    .
    ณ กรุงลอนดอน นครหลวงที่ใหญ่ที่สุด แห่งสหภาพยุโรป หอนาฬิกาบิ้กเบนตั้งสูงตระง่านอยู่กลางเมือง ตัวเมืองยังคงเต็มไปด้วยแสงสว่างจากเทคโนโลยีของมนุษย์มากมาย แม้จะยามค่ำมืดแล้วแต่ฝูงชนก็ยังคงเดินกับอยู่มากมาย

    “แฮ่ก แฮ่ก” ร่างเล็กๆที่ปกคลุมตัวเองด้วยผ้าขาดๆ กำลังออกแรงวิ่งสุดชีวิตด้วยผ่าเท้าเปล่าๆไร้สิ่งใดห่อหุ้ม ท่ามกลางฝูงชนย่อยๆที่เดินกันมากมายบนถนนข้างทาง

    ด้วยความรีบร้อน ร่างนั้นจึงเผลอสะดุดเท้าตัวเอง ไถลล้มลงกลางถนน ท่ามกลางสายตาที่จ้องมองของผู้คนที่ไม่กบ้าที่จะเจ้าใกล้ เนื่องด้วยการแต่งกายและสภาพที่โทรมสุดๆ

    ร่างในผ้าคลุมพยายามฝืนตัวลุกขึ้นเองช้าๆ ในระหว่างนั้นเอง กลับมีมือหยาบๆของชายคนหนึ่งยื่นเข้ามา

    “ลุกไหวมั้ย?” ที่มาของมือนั้นมาจากชายหนุ่มผิวคล้ำที่ตัวสูงกว่ามาก ผมสีดำยุ่งๆจนปิดหน้าปิดตา สวมหมวกแก๊ปสีดำปิดเอาไว้ เสื้อยืดสีดำทับด้วยเสื้อนอกแขนสั้นสีน้ำเงินเข้ม กับกางเกงยีนส์ดูเซอร์ๆ กระเป๋าย่ามใบใหญ่ พร้อมห่อผ้ายาวสีดำสะพายอยู่ที่ไหล่

    ร่างเล็กๆนั่นตอบรับมือที่ยื่นมา ก่อนจะพูดเสียงเบามากๆจะชายหนุ่มแทบไม่ได้ยินว่า “ขอบ…คุณ”

    พูดจบร่างนั้นก็ออกตัววิ่งอีกรอบ ก่อนที่ชายหนุ่มจะพูดลับหลังอีกครั้ง “วิ่งระวังๆล่ะ!!” พูดจบชายหนุ่มก็เดินต่อไป

    ร่างเล็กในผ้าคลุมหักเลี้ยวเข้าตรอกซอยใกล้ๆทันทีที่เห็น แม้ทางที่วิ่งเข้าไปช่างดูมืดมนและยาวไกลแต่ก็ยังวิ่งต่ออย่างไม่คิดชีวิต เพราะมีคนวิ่งตามเธอมา…จากด้านบน!!

    ร่างของชายหนุ่มหญิงสาวจำนวนหกคนแต่งกายเหมือนเด็กพังค์ โดดลงมาที่ตรอกนี้อย่างรวดเร็ว ร่างเล็กในชุดคลุมวิ่งลอดใต้ขาของชายตัวใหญ่ด้านหน้าไปได้ และเลี้ยวไปตามเส้นทางด้านหน้า

    แต่ทว่าสิ้นสุดทางนั่นกลับมีทางให้หนี เมื่อกำแพงสูงตระง่านขวางทางอยู่ และ กลุ่มคนที่วิ่งไล่ตามมาก็ขวางทางกลับ

    ร่างในผ้าคลุมเสี่ยงชีวิตวิ่งกลับไป โดยคิดจะวัดดวงหนี แต่หกคนขวางทางอยู่มันยากที่คนๆเดียวจะหนีพ้น เมื่อโดนชายตัวใหญ่คว้าตัวเอาไว้อย่างง่ายดาย

    “เอาละ ดูซิว่าใช่ที่นายท่านสั่งให้จับตัวไปหรือเปล่า…” ชายร่างใหญ่พูดจบก็ฉีกผ้าคลุมส่วนหนึ่งออก เผยให้เห็นด้านหลังของร่างที่จับเอาไว้ กางเขนสีทองทองทับด้วยรูปทรงกากบากปรากฏที่หลังเล็กๆของร่างนั้น เส้นผมสีทองยาวประมาณคอเผยให้เห็นเล็กน้อย

    “ใช่แน่นอน เด็กสาวผมทอง มีตรากางเขนสีทองที่หลัง เอาล่ะ รีบไปกันเถอะ”

    เด็กสาวตัวเล็กยังคงดิ้นพล่านเพื่อจะให้หลุดจากมือของชายที่จับเธอไว้ แต่ขนาดของมือที่ใหญ่จนคว้าตัวเธอได้ทั้งตัว ทำให้ยากแก่การหนี

    ฉัวะ!!!

    เสียงเลือดเนื้อถูกตัดขาดดังขึ้น มือขนาดใหญ่ที่จับตัวเด็กเอาไว้ขาดออกกลางอากาศด้วยมีดสีดำยาวที่ตกลงมา เสียงร่ำร้องของเจ้าของอวัยวะที่ถูกตัดร้องลั่น จนเหล่าพวกที่เหลือต้องเงยหน้าหาต้นตอของเหตุการณ์

    ร่างของชายหนุ่มหนึ่งกระโดดลงมาจากฟ้าในมือถือศาตราวุธของมนุษย์นามว่าปืนสั้น กระสุนปืนเริ่มถูกส่งผ่านปากกระบอกปืนอย่างรวดเร็ว จนเหล่าพังค์เป็นต้องแยกตัวหลบ

    “บ้าจริง!! นักล่านอกรีต!!!” หนึ่งในกลุ่มพังค์ตะโกนขึ้น

    “อย่าเพิ่งสนใจมันพาเด็กนั้นหนีไปให่ไวที่สุด!!!”

    พังค์ชายหญิงคู่หนึ่งในกลุ่มวิ่งตามเด็กที่หนีจากมือที่ขาดไปได้แล้ว เด็กสาวตัวน้อย วิ่งกลับไปสุดชีวิต หวังจะรอดให้ได้ เธอผ่านโค้งไปแล้ว ด้านหน้าของเธอเป็นทางออกซอยนี้

    อีกสองร้อยเมตร ร้อยเมตร ห้าสิบ พลั่ก!!!

    โชคชะตาเล่นตลก เด็กสาวสะดุดล้มอีกครั้ง ซึ่งล้มได้ไม่ถูกเวลาเอาซะเลย พร้อมเด็กพังค์หนุ่มที่วิ่งตามมาใกล้ที่สุด ใกล้จะเข้ามาถึงตัวแล้ว

    เด็กสาวเหลือบมองขึ้น พยายามจะออกวิ่งต่อ แต่….กลับเงาสีดำที่ปิดปังแสงด้านหน้าของเธอ ถุงย่ามเก่าๆ วางลงใกล้ๆตัวเธอ ร่างเงานั้นค่อยๆผ่านร่างของเด็กสาวไปอย่างรวดเร็ว เธอเหลือบเห็นห่อผ้ายาวสีดำอีกครั้งเหมือนที่เธอเห็นมาจากเด็กหนุ่มเหมือนเมื่อครู่ และเค้าก็มายืนอยู่ตรงหน้าเธออีกครั้ง

    “แกเป็นใครไม่รู้ละ แต่ก็ตายซะ~~~~” ร่างของเด็กพังค์ที่วิ่งนำมา กระโดดพุ่งเข้ามา คมเขี้ยวแหลมคมปรากฏจากในปาก กงเล็บที่มือทั้งสองกางยาวขึ้น กะจะสังหารพุ่งที่ยืนขวางทาง

    ชิ้ง!!!

    เสี้ยววินาทีในการปะทะ ไม่มีใครมองทัน พังค์สาวที่ตามหลังมายังคงงงกับภาพตรงหน้า ร่างของพังค์หนุ่มที่เป็นแวมไพร์ขาดหว่างกลางเป็นสองซีก จนหมกไหม้เป็นจุลทันทีหลังจากโดนฟันขาด ไร้ซึ่งโลหิต ไร้ซึ่งเสียงอะไรทั้งสิ่นยกเว้นเสียงคมดาบเสียดสีออกมาจากฝักดาบ

    ร่างของชายหนุ่มวัยรุ่นนั่งก้มตัวคุกเข่า ดาบญี่ปุ่นยาวประมาณสองไม้บรรทัดครึ่ง ชูตระง่านในท่วงท่าหลังจากเพิ่งวาดฟันกลางอากาศ แสงจันทร์สาดส่องจนแวววาว ก่อนที่เด็กหนุ่มจะลุกขึ้นมายืนอีกครั้ง เพื่อควงดาบใส่เข้าฝักเช่นเดิม
    ….………….
    …………
    ……
    ….
    ..
    TO BE CONTINUED >>>

    ###########################################################

    -ขอบพระคุณตัวละคร

    - Fate A. Volante >>โดยโยคุง
    -คริสตีน เอลิซาเบธ มาเจนต้า (โดยท่านสตรีสีเลือด)
    อีแวนส์ เดลไครซ์้์(โดยท่านอีวาน)
    -แชนดิเลีย ฟีลาดริออฟ โดยท่าน T VV I N - F E N I2 I R


    ###########################################################

    เกร็ดความรู้เกี่ยวกับแวมไพร์ 2

    ดวงตาแวมไพร์ – แวมไพร์ทุกตนจะมีคุณสมบัติพิเศษอย่างหนึ่งที่ได้รับมาเหมือนๆกันคือ ดวงตาแบบพิเศษ ดวงตาของแวมไพร์มีคุณสมบัติมองกลางคืนได้ชัดเจนกว่ากลางวันมากๆ ระยะสายตาก็มากกว่ามนุษย์ปกติ และที่สำคัญมีคุณสมบัติคล้ายๆกล้องจับความร้อน คือจับความร้อนของเป้าหมายได้ รวมทั้งการเคลื่อนที่ของชีพจร ทำให้รู้ได้ว่าอีกฝ่ายมีชีวิตหรือตาย เป็นการแยกเผ่าพันธุ์ไปได้ในตัว เพราะร่างกายของแวมไพร์จะร้อนกว่ามนุษย์ปกติมาก

    อาหารการกิน – แวมไพร์ ไม่จำเป็นต้องกินแต่เลือดเสมอไป สามารถทานอาหารมนุษย์ปกติได้เช่นกัน แต่ด้วยการเผาผลาญพลังงานที่รวดเร็วมาก ทำให้แวมไพร์มักไม่กินกัน เพราะสารอาหาร พลังงานที่ได้รับ มีค่าเพียงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับเลือดที่แวมไพร์ดื่ม ทำให้พวกกลายพันธุ์ส่วนใหญ่เน้นกินแต่เลือด แต่กับเลือดแท้ทั้งหลายที่ระดับการเผาผลาญน้อย ก็ยังคงทานอาหารเหมือนมนุษย์เป็นส่วนใหญ่

    ###########################################################

    มุมผู้แต่ง

    ในที่สุด ก็เสร็จซักทีตอนนี้ เล่นเอาแทบน็อกปั่นมาหลายวัน^^ ที่มาช้าหน่อยเพราะช่วงนี้ผมต้องไปๆมาๆระหว่างบ้านกับหออะน่ะครับ เลยไม่ค่อยว่างจะแต่งเลย แต่สุดท้ายที่นั่งปั่นจนเสร็จได้
    แล้วก็แจ้งหน่อย วันที่12นี้กระผมจะลงไปกรุงเทพน่ะครับ จะลงไปงานแต่งของพี่ด้วย แล้วก็รวดเที่ยวงานแคปซูลวันที่22นี้เลย (ใครมีนัดอะไรกันไว้ อย่าลืมละ เหอะๆๆ) ถ้าโชคดีผมคงไปลงตอนสามที่โน่น ถ้าโชคร้ายไม่มีเน็ตก็รอจนวันที่24โน่นเลยอะน่ะครับ
    สุดท้ายนี้ก็ขอขอบคุณกำลังใจทั้งหลายที่มาช่วยลุ้นให้ผมเสร็จไวๆในMSNทั้งหลายน่ะครับ เหอะๆๆ

    แล้วพบกันใหม่ตอนหน้าครับผม
  2. jenovasung

    jenovasung Member

    EXP:
    152
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    16
    Re: [Ficรับสมัคร] BloodY-FanG >>ล่าล้างเขี้ยวโลหิต<<

    ลงซะทีสินะ นั่งลุ้นตั้งนาน
    [action]โดนเเม็คสอย.. เเกเร่งชั้นด้วยไม่ใช่รึ[/action]

    การบู๊กันระหว่างเเวมไพร์สาว(เเก่)กับนักล่านกรีต หึๆ ดุเดือดจริง

    ไปมาหลายเมืองกันดีเเฮะ จะมีเเวะไปไทยไหมเนี่ยก๊ากกกกกกกก


    Edit - เปลี่ยนเป็นคลับสาวผมทองเเทนไม่ได้เหรอโยชชี่ !!! จะได้รวมเอวาจังของผมเข้าไปด้วย
  3. yoshiki

    yoshiki FATE

    EXP:
    862
    ถูกใจที่ได้รับ:
    17
    คะแนน Trophy:
    38
    Re: [Ficรับสมัคร] BloodY-FanG >>ล่าล้างเขี้ยวโลหิต<<

    โอ้กกกกกกก

    [action]ไอ้โยสำรอกเอาเลือดสดๆ ออกมา[/action]

    แม็กคุงแต่งอย่างงี้มาต่อยกับผมเลยดีกว่า ใจร้ายชะมัดอีกนิดเดียวเอง รู้ไหมผมคิดไปไกลแล้วนะนั้น

    รู้สึกความเท่ห์มาดนิ่งในตอนแรกมันมลายหายไปสิ้นในตอนสองจริงๆครูซิไฟร์เอ้ย สันดานเก่ามันยังไงก็ยังอย่างงั้นไม่เปลี่ยนแปลง (เพราะไอ้คนออกแบบนี่แหละ 55+)

    แต่เฟทจังถูกใจผมมากเอาไปเลย 1000 คะแนน

    แค่ความสามารถคริสตีนนี่โกงดีแหะ น่าเอาไว้ชักดาบเวลากินข้าวไม่จ่ายตังได้สบายแฮ 555+

    ไว้เจอกันงานแคปซูนแม็กคุงพร้อมนาโนฮะสองภาค (และแน่นอนเรามาตั้งคลับเฟทจังก็เหอะ)
  4. near

    near Member

    EXP:
    334
    ถูกใจที่ได้รับ:
    4
    คะแนน Trophy:
    18
    Re: [Ficรับสมัคร] BloodY-FanG >>ล่าล้างเขี้ยวโลหิต<<

    อยากอ่านตอนหน้าแล้ว อ่า~~~

    พวกนักล่าเองก็เก่งใช่ย่อยนะนี้

    [action]ตาหน้าตัวผมคงออกแล้วใช่ไหม~~ 55+[/action]

    ขอให้เดินทางปลอดภัยครับ~~
  5. parwankorn

    parwankorn Member

    EXP:
    60
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    6
    Re: [Ficรับสมัคร] BloodY-FanG >>ล่าล้างเขี้ยวโลหิต<<

    ไม่ยอมไม่ยอมม

    นั่งลุ้นอยู่จบแบบนี้ซะได้

    เด็กหญิงผู้นั้นมีความสำคัญอะไรหนอ

    น่าติดตาม น่าติดตาม
  6. train

    train Member

    EXP:
    498
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    16
    Re: [Ficรับสมัคร] BloodY-FanG >>ล่าล้างเขี้ยวโลหิต<<

    กร๊ากกก เกือบมีเซอวิสต์แล้วไง >[]<!!! อีกนิดเดียวเอง! ฮา
    ตอนนี้ก็บู๊กันมันส์อีกแล้วพะยะค่ะ คริสตีนโคตรโหด =[]=b
    ว่าแต่คนที่มาช่วยทีหลังนี่ใครกันน้า? แล้วเด็กสาวคนนั้นคือใครกันหว่า?
    มีแต่ปริศนา ฮ่าๆ * 0 * รอตอนต่อไปคร้าบ * - */
  7. pop30711

    pop30711 New Member

    EXP:
    1,155
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    Re: [Ficรับสมัคร] BloodY-FanG >>ล่าล้างเขี้ยวโลหิต<<

    อยากอ่านตอนต่อไปแล้ว น่าลุ้นๆ
  8. joi100

    joi100 นักเดินทางแห่งมิดการ์ด

    EXP:
    478
    ถูกใจที่ได้รับ:
    23
    คะแนน Trophy:
    38
    Re: [Ficรับสมัคร] BloodY-FanG >>ล่าล้างเขี้ยวโลหิต<<

    ตอนใหม่นี่แจ่มไปเลย แต่อีตาโย คงจะขัดใจเล็กๆเพราะดูเซอวิสไม่จบฉากฮาๆ แต่ฉากบู๊ก็เขียนออกมาได้ยอด สมเป็นแม๊กคุงจริงๆ อืมๆประเด็นหลักของเรื่องก็เริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆเลยแฮะ น่าสนใจมากๆครับ ตอนผมกลับมาคงจะได้อีกอีกซัก5-6ตอนนะครับ เอิ๊กๆ (ปิดเทอมคนเขียนไฟแรง 2 เดือนน่าจะได้5-6 ตอนแหละน่าฮา)


    [action]อ่านฟิคแล้วสบายใจ เดินลั้นลาไปแก้ฟิคตัวเอง ก่อนออกเดินทาง[/action]
  9. Gunfinal

    Gunfinal Member

    EXP:
    152
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    16
    Re: [Ficรับสมัคร] BloodY-FanG >>ล่าล้างเขี้ยวโลหิต<<

    เหอะ พี่โยอายุปูนนี้ยังจะมีเซอวิสอีกแหะ...
    [action]โดพี่โยตบ[/action]

    จะรออ่านตอนต่อไปละกันนะคะพี่แม็กซ์ เที่ยวกทม.ก็อย่าลืมอัพซะล่ะ หุหุ
    ปล.งานแคปซูลกันรู้และว่าจะให้พี่แม็กซ์เลี้ยงอะไร หึหึหึ
  10. swanton

    swanton Dragon on Board

    EXP:
    1,424
    ถูกใจที่ได้รับ:
    69
    คะแนน Trophy:
    113
    Re: [Ficรับสมัคร] BloodY-FanG >>ล่าล้างเขี้ยวโลหิต<<

    กร๊ากกกกกกกกก สะใจแฟนเซอวิสมากครับ แวมไพร์เก่าแก่ก็หื่นกับเขาเป็นเหรอเนี่ย

    ชอบบทบาท+บุคลิกคริสตีนและเฟทสุดๆ อีแวนส์เองก็ถ่ายทอดนิสัยออกมาได้เยี่ยมมากครับ ว่าแต่แชนดิเลียมีอะไรหนอถึงได้แค้นเคืองกางเขนดำขนาดนี้

    มีความรู้สึกว่าพวกแวมไพร์จะถูกรุมยังไงไม่รู้ ทั้งกางเขนดำ ทั้งนักล่านอกรีต ไหนจะความขัดแย้งภายในอีก น่าติดตามน่าดูเชียว แต่ทำไมแวมไพร์ชั้นต่ำทั่วไปถึงชอบอยู่ในรูปเด็กพังคืนะ ตอนที่แล้วก็เฮ็วๆกันในผับ :E (แต่ผมว่ามันเข้ากันดีนะ เหมือนพวกหนังแวมไพร์เลย)
  11. shinkyoto

    shinkyoto Well-Known Member

    EXP:
    580
    ถูกใจที่ได้รับ:
    3
    คะแนน Trophy:
    88
    Re: [Ficรับสมัคร] BloodY-FanG >>ล่าล้างเขี้ยวโลหิต<<

    ทำไมพวกแวมไพร์เก่าเก็บชอบอยู่ในคฤหาสกลางป่ากันด้วยนะ?

    เดินทางก็ไม่สะดวก สู้กันแต่ล่ะทีก็ไม่สะดวก จะโทรสั่งอาหารก็ไม่สะดวกอีก

    วินเซ็น : "ดูอย่างผิมสิฮ้า กินนอนอยู่ในห้องทำงานเลย"

    พวกนักล่านอกรีต (จากลักษณะ เรียกว่าพวกผู้ก่อการร้ายจะถูกกว่านะครับ (อย่างที่นักล่าสาวทำ มันถ้ำมองชัดๆเลย (แอบจดนิยายโลลิอยู่ล่ะสิ)

    /me กระโดดหลบพี่โย
  12. Marioak

    Marioak นักข่าว

    EXP:
    786
    ถูกใจที่ได้รับ:
    4
    คะแนน Trophy:
    88
    Re: BloodY-FanG >>ล่าล้างเขี้ยวโลหิต<< Update!! [ราตรีที่2 "สัญลักษณ์"]

    ในที่สุดก็มาตอน 2 รอตอน 3 ต่อไป~
    ครูซิไฟร์นิสัยที่แท้จริงออกซะแล้ว XD~
  13. alladiya

    alladiya สมาชิกที่ไม่มีอยู่จริง

    EXP:
    1,207
    ถูกใจที่ได้รับ:
    11
    คะแนน Trophy:
    88
    Re: BloodY-FanG >>ล่าล้างเขี้ยวโลหิต<< Update!! [ราตรีที่2 "สัญลักษณ์"]

    กร๊ากกก ขำ ครูซิไฟร์นี่ หมดกัน กร๊ากกกกก

    ยังไม่ได้อ่านละเอียดแหะ ยังไม่ว่าง เดี๋ยวขอรวบยอดกะรอบหน้าละกัน*-*

    รอตอนต่อไปน่อ
  14. PaiaAznable

    PaiaAznable มนุษย์ตู้ปลาช้ำรัก

    EXP:
    744
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    86
    Re: BloodY-FanG >>ล่าล้างเขี้ยวโลหิต<< Update!! [ราตรีที่2 "สัญลักษณ์"]

    นี่ตูจะอิจฉาหรืออะไรกับเจ้าครูซิไฟร์ดีนะ อ่านไปขำไป~

    [action]ไอ้ไพกลิ้งไปกลิ้งมาด้วยความฮา แล้วลุกมาอ่านต่อ[/action]

    นักล่านอกรีต...... ท่าจะไม่ใช่ย่อยเลยแฮะ แล้วเมื่อไหร่จะได้เห็นฉากบู๊ของมือปืนมั่งเนี่ย [action]แบบว่า Shoot 'Em Up อ่ะ 555+ เผ่นก่อนที่จโดนถลุงด้วยลูกตะกั่ว[/action]

    รอชมต่อไปน่อพี่ท่าน ^^b
  15. ultima

    ultima Active Member

    EXP:
    933
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    36
    Re: BloodY-FanG >>ล่าล้างเขี้ยวโลหิต<< Update!! [ราตรีที่2 "สัญลักษณ์"]

    ท่านโยเผยโฉมหน้าที่แท้จริงแล้วสินะ นิสัยเดียวกับตัวจริงเปล่าเนี่ย

    เอาเซอร์วิสมาล่อให้อยากแล้วจากไปเนี่ย มาต่อยกับข้าพเจ้าดีกว่าไหมเจ้าแม็ก

    /me เสียดายสุดๆ
  16. endlich

    endlich Member

    EXP:
    123
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    16
    Re: BloodY-FanG >>ล่าล้างเขี้ยวโลหิต<< Update!! [ราตรีที่2 "สัญลักษณ์"]

    หมดกันภาพพจน์แวมไพร์ชั้นสูง ครูซิไฟร์เอ๋ยเจ้าเป็นพวกตาแก่โลลิหรือเนี่ย (ดูจากอายุแล้วเรียกตาแก่คงได้มั้ง)

    ฉากต่อสู้สนุกมากครับ อ่านแล้วจินตนาการตามได้เลย ยอดมากครับ
  17. l2eenai2y

    l2eenai2y New Member

    EXP:
    533
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    Re: BloodY-FanG >>ล่าล้างเขี้ยวโลหิต<< Update!! [ราตรีที่2 "สัญลักษณ์"]

    ครูซิไฟร์ปูนนี้แล้วยังไม่เลิกหื่นสินะ =[]=

    ได้เข้ามาช้าหน่อยเพราะโดนโทรจันถล่มเครื่อง

    เพราะพี่คนเดียว TAT
  18. maxlancer

    maxlancer ประธานรุ่น2ตุรกีเชียงใหม่

    EXP:
    1,183
    ถูกใจที่ได้รับ:
    1
    คะแนน Trophy:
    88
    Re: BloodY-FanG >>ล่าล้างเขี้ยวโลหิต<< Update!! [ราตรีที่2 "สัญลักษณ์"]

    ~~ราตรีที่ 3 “ภารกิจ จับกุมเด็กสาวในคำทำนาย”~~​
    ~Night 3 “Mission ‘catch the girl in the prediction’ ”~​


    ตัดกลับมาที่กลุ่มเด็กพังค์ชายหญิงสองคู่ที่ดันแจ็คพ็อตเจอนักล่านอกรีตกลางตรอกมืดอีกครั้ง

    ร่างของนักล่าค่อยๆย่างก้าวออกมาจากเงามืด ชุดเสื้อยืดทหารสีเขียวแก่ทิ่ฟิตแน่นเพราะกล้ามเนื้ออันใหญ่โตของผู้สวมใส่ พร้อมด้วยสายคาดบรรจุอุปกรณ์ตามตัวมากมาย ใบหน้าที่ค่อยๆเผยออกมา เป็นเพียงหนุ่มชาวอเมริกันผิวขาวที่มีผมสั้นหยักศกและหนวดเครารกรุงรัง

    “แก!!” ทันทีที่นักล่าปรากฏร่าง สี่สหายแวมไพร์ก็บันดาลโทสะขึ้นมาด้วยสัญชาตญาณ โดยเฉพาะพังค์ตัวยักษ์สุดที่เพิ่งโดนฟันมือขาดไปข้างอย่างโชคร้ายในตอนที่แล้ว

    แต่นักล่าหนุ่มกลับไม่แยแสว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกอะไรอย่างไง กลับเดินหน้าเข้าหาอีกฝ่ายอย่างไม่ลังเล พลันทำให้สี่แวมไพร์เป็นต้องถอยรักษาระยะห่าง

    “เฮ้ย…ถามอะไรหน่อยสิ” นักล่าตั้งคำถามที่สร้างความประหลาดใจแก่อีกฝ่ายในระหว่างที่ตนกำลังเดินไปเก็บมีดพร้าเล่มสีดำยาวของตนบนพื้น “พวกแกเป็นแวมไพร์มีกันกี่ปีแล้ว?”

    “….สะ…สามปี!! มีปัญหาหรือไง!!”

    “ทำไมถึงคิดมาเป็นละ?” คำถามที่สองตามมา

    “หึ…เพราะมันเจ๋งไง!!” แวมไพร์ทรงหัวขวานตะโกนขึ้น “ไม่มีแก่ตาย มีพลังมหาศาล อาหารก็ไม่ต้องไปซื้อ ขอแค่เลือดก็อยู่ได้แล้ว!!”

    “โอ้พระเจ้าทรงโปรด…ความคิดตื้นเขินเหลือเกิน” นักล่ากุมหน้าผากส่ายหัวอย่างเศร้าใจ

    “หนวกหูโว้ยยย แล้วแกจะถามทำไมนักหนาวะ!!!” แวมไพร์สาวใกล้ๆตะโกนตาม

    “เพราะจะได้แน่ใจไง ว่าพวกแกเป็นพวกสมองตื้นอยู่ๆดีดันเสล่ออยากเป็นผี จะได้ฆ่าอย่างสบายใจ”

    นักล่าหนุ่มส่งสายตาอาฆาตแค้น มือข้างซ้ายควงมีดพร้าอย่างคล่องแคล่ว ข้างขวากำปืนพกสีเงินขนาดใหญ่ รุ่นDESERTEAGLEไว้แน่น

    “ชิ…แค่มนุษย์ธรรมดาอย่างแกคนเดียว คิดจะเทียบรุ่นกับแวมไพร์อย่างพวกข้างั้นหรือ…โครตขำเลยวะ!!”

    พูดจบ แวมไพร์หัวขวานก็เป่าปากเป็นเสียงแหลมสูง เป็นสัญญาณเรียกบางสิ่งให้มายังต้นตอของเสียง ซึ่งบางสิ่งที่ว่าก็ไม่ใช่อะไรนอกจากแวมไพร์มากมายกว่าสามสิบตนที่ปรากฏตัวอยู่เหนือตรอกซอยแห่งนั้น

    เสียงขู่ฟอดๆดังจนแสบหู เหมือนมีฝูงงูเห่าคลานอยู่ซะรอบตัว แต่สิ่งที่ล้อมรอบตัวของนักล่ากลับร้ายกาจยิ่งกว่างูเห่ายิ่งนัก

    คริส แอนฟิลด์ แห่งกลุ่ม L.A.S.T” สิ่งที่นักล่าทำ เล่นเอาแวมไพร์ที่ได้ยินงงแตก เพราะจู่ๆนักล่าดันกล่าวชื่อของตัวเองมาซะเต็มยศ

    “แนะนำตัวไง ให้รู้จักกันไว้ก่อนที่พวกแกจะไปลงนรก…”

    สิ้นสุดคำพูด นักล่าหนุ่มชื่อคริสก็ขว้างมีดพร้าในมือใส่เป้าหมายแรกที่เด่นที่สุดตรงหน้า ซึ่งก็ไม่มีใครนอกจากกลางศีรษะของแวมไพร์ร่างยักษ์ที่เพิ่งโดนมีดเล่มเดียวกันตัดมือทิ้งไป

    สายตาเกือบหกสิบคู่ หันไปจ้องเป็นทางเดียวกัน กลางศีรษะของร่างอันสูงใหญ่มีดพร้าที่ถูกย้อมไปด้วยเลือดสีแดงตั้งเด่นสง่าราวกับเขา

    ปัง!!!

    คริสยิงกระสุนขนาดจุดสี่สี่ออกมาจากปืนคู่ใจอย่างไม่รีรอ ไปกระแทกด้ามมีดจนหมุนผ่าศีรษะของแวมไพร์ร่างยักษ์เป็นสองซีก ส่วนอีกนัดพุ่งทะลวงใส่กลางอกจนเป็นรูโหว่ ก่อนที่ร่างกายที่ปลิวตามแรงกระสุนของมันจะหมกไหม้เป็นขี้เถ้ากลางอากาศ

    “เจอหัวกระสุนหล่อด้วยเงินผสมสารสกัดจากกระเทียม ไม่มีผีตัวไหนเขมือบไปแล้วรอดไปได้หรอก”

    เสียงปืนดุจเป็นสัญญาณเริ่มงานเลี้ยง ฝูงแวมไพร์กระโดดลงมาหมายล่าเหยื่อที่อยู่เบื้องล่าง คริสผู้ตกเป็นเป้าออกวิ่งไปข้างหน้าพร้อมสาดกระสุนไปยังเป้าหมาย น่าแปลกใจที่ร่างของแวมไพรที่โดนกระสุนของคริสไปแต่ละนัด กลับเป็นรูโหว่ขนาดใหญ่เกินปกติพร้อมรอยไหม้ ก่อนที่จะลามจนไม่เหลือซาก

    คริสดำเนินการสังหารต่อ มือข้างหนึ่งคว้าระเบิดทรงกระบอกที่มีแถบสีเขียวขึ้นมาสองลูก กัดสลักที่หัวออกแล้วโยนขึ้นไปกลางอากาศที่มีแต่ด้วยปีศาจกระหายเลือดกำลังโดดลงมาจากกลางอากาศอย่างบ้าคลั่ง

    แต่แทนที่ระเบิดนั้นจะเป็นระเบิดเหมือนปกติคือทำลายสิ่งที่อยู่รอบๆรัศมีมันอย่างไม่เหลือซาก กลับมีควันสีเหลืองฉีดพุ่งออกมาจากลูกระเบิด ก่อนที่บริเวณนั้นจะปกคลุมด้วยควันที่ว่า

    “แก้สพิษ?!!” แวมไพร์ตนหนึ่งตะโกนขึ้น แต่เป็นความคิดที่พิษ เพราะเจ้าของระเบิดกลับยืนบรรจุกระสุนปืนใหม่อย่างสบายๆโดยไม่มีหน้ากากกันพิษอะไรซักอย่าง ตามกับฝูงแวมไพร์นับสามสิบที่เอามือปิดจมูกกันให้จ้าละหวั่น

    ทันใดนั้นทั้งหมดก็เริ่มรู้ถึงฤทธิ์ของระเบิดควันของนักล่า เพราะร่างกายเริ่มเกิดอาการละคายเคืองเหมือนโดนกัด ตาเริ่มพร่ามัวมองได้ไม่ชัด บางตนที่เผลอสูดเข้าไปถึงกับทรุดด้วยอาการผิดปกติทางร่างกาย

    “ ‘ระเบิดแก้สกระเทียม’ แถมผสมสารเคมีอีกนิดหน่อย ” คริสที่ยืนดูเหล่าแวมไพร์ทุลนทุลายพูดขึ้นหลังจากบรรจุซองกระสุนใส่ปืนแม็กนั่มเรียบร้อย แต่เขากลับเสียบมันกลับเข้าไปในซองปืน และคว้าอีกอย่างจากหลังขึ้นมา มันคือปืนลูกซองแบบPump- Action หรือพูดง่ายๆคือเป็นระบบที่ต้องชักลูกซองก่อนยิงนัดต่อไปทุกครั้ง

    จากเดิมที่แวมไพร์ผู้เป็นความสามารถเกือบทุกอย่างเหนือกว่านักล่าสายพันธุ์มนุษย์อย่างคริส มีอยู่มากมายจนขย้ำคริสตายได้ง่ายๆ ตอนนี้โดนฤทธิ์ของแก้สผสมสารสกัดจากกระเทียมเข้าไป ซึ่งมีผลแวมไพร์นับสิบไม่สามารถใช้ความสามารถจากเผ่าพันธุ์ได้ดีเท่าไหร่นัก สถานการณ์จึงลดลงมาเป็นสูสีทันที

    “หนอย…งั้นใช้ปืนแทนก็ได้วะ ไม่ต้องสนใจแล้วว่าพวกมนุษย์จะแตกตื่น!!”

    สิ้นเสียงเหล่าแวมไพร์ต่างก็คว้าปืนสั้นปืนยาวขึ้นมานับสิบกระบอก ที่พวกมันเก็บเอาไว้ไม่ยอมใช้ตั้งแต่แรก เพราะกลัวจะทำให้พวกมนุษย์แตกตื่น แต่ความไวและสัญชาตญาณของนักล่านอกรีต ห่ากระสุนลูกปรายก็ถูกยิงจากปากกระบอกปืนใส่อีกฝ่ายอย่างไม่รอให้ตั้งตัว

    เป้าหมายแรกโดนความแรงของกระสุนจนกระเด็นไปชนพวกที่ยืนตามหลังอยู่จนล้มกันเป็นแถบ ลูกซองถูกชักเพื่อบรรจุกระสุนเข้าลำเพลิงอีกครั้ง คริสสาดฝนกระสุนลูกปรายออกไปเป็นครั้งที่สองอย่างรวดเร็ว กระสุนจึงซัดแวมไพร์อีกตนใกล้ๆปลิวล้มทับกันระเนระนาด

    แต่แวมไพร์ที่เหลืออยู่ก็ไม่ยอมโดนอยู่ฝ่ายเดียว ส่วนที่เหลืออยู่ด้านหลัง เริ่มยิงใส่คริสอย่างมั่วซั่วและก็ช้าเกินไป เพราะนักล่าหนุ่มได้พุ่งมาอยู่ใต้พวกแวมไพร์เป็นที่เรียบร้อย

    พานท้ายลูกซองฟาดเข้าเต็มกระดูกคอของแวมไพร์ตนใกล้สุดจนเสียงของแข็งหักดั่งลั่น คริสหมุนแทรกตัวเข้าไปในกลุ่มแวมไพร์ที่ตะลึงกับสถานการณ์อยู่อย่างรวดเร็ว ก่อนจะยัดปากกระบอกปืนลูกซองเข้าที่ปากของแวมไพร์อีกตัว แล้วระเบิดหัวของมันทิ้งด้วยการลั่นไกปืน

    แวมไพร์ที่เหลือเมื่อรู้ตัวว่าโดนคลุกวงใน ก็รีบพลิกตัวกลับมายิงใส่คริสที่ยืนกลางวง ซึ่งการกระทำที่โง่มาก คริสก้มตัวแล้วกลิ้งออกมาทันที ที่ทั้งหมดลั่นไก ห่ากระสุนนับร้อยพุ่งสวนทางกันและเป้าหมายก็ไม่ใช่ใครนอกจากพวกแวมไพร์ด้วยกันเอง

    สิ้นเสียงยิง ท่ามกลางเขม่าควันปืน ร่างของแวมไพร์ทั้งหมดก็นอนจมกองเลือดอย่างเจ็บปวด ตายก็ไม่ตายเพราะไม่ใช่กระสุนเงิน

    ฝ่ายคริสที่จัดการอย่างง่ายดาย เดินไปคว้ามีดคู่กายที่พื้นมาเสียบกลับเข้าซองมีด ก่อนจะเดินกลับเพื่อเตรียมล่าต่อ

    ทันใดนั้นแวมไพร์สามตัววิ่งไต่กำแพงอ้อมมาดักหน้าคริสอย่างรวดเร็ว กงเล็บสุดคม ตวัดเข้ามาขวางหน้าหมายจะสังหาร อุ้งมือทั้งสามฟาดใส่สุดแรงเกิด แต่ทั้งสามกลับรู้สึกผิดปกติ เมื่อมีบางสิ่งที่เป็นของแข็งติดไม้ติดมือมาแทนที่จะเป็นเศษเนื้อ

    บรึ้ม!!!

    แรงระเบิดจากลูกระเบิดที่สามแวมไพร์โชคร้ายคว้าได้มาดังสนั่น คลื่นกระแทกรุนแรงจนผนังในตรอกแหลกกระจาย แม้แต่ในรัศมีรอบนอกยังสะเทือนจนกระจกแตกไปหลายใบ

    กลับมาที่ปากทางเข้าซอย เด็กหนุ่มสวมหมวกแก้ปสีดำยังคงยืนคุมเชิงแวมไพร์สาวตรงหน้าด้วยดาบญี่ปุ่นในมือ โดยไม่สะดุ้งสะเทือนตอนแรงระเบิดเลยซักนิด

    ฝ่ายแวมไพร์สาวที่เริ่มพะว้าพะวงต่อเหตุการณ์ข้างใน เริ่มเสียกำลังใจมากกว่าเดิม ไหนจะชายปริศนาตรงหน้าที่โผล่มาสังหารเพื่อนของเธอไปในพริบตา ไหนจะอีกกลุ่มที่เจอกับนักล่านอกรีต

    “เฮ้…” ชายหนุ่มตรงหน้าเรียกขานขึ้น “บอกมาซิ ทำไมถึงต้องการตัวเด็กคนนี้มากนัก?”

    แวมไพร์สาวเงียบไปซักพัก แต่ก็ยอมที่จะปริปากจนได้ “ไม่รู้…ชั้นแค่รับคำสั่งมาจากนายเหนือหัวก็แค่นั้น”

    “ถ้างั้น…ขออีกข้อพวกเธอเป็นตัวอะไรกันแน่ ?” ชายหนุ่มถามเพราะเห็นสภาพการตายของแวมไพร์หนุ่มที่เพิ่งเชือดทิ้งไปไม่นาน

    แวมไพรสาวอึ้งเล็กน้อย หมายความว่าตั้งแต่เมื่อกี้ ชายคนนี้ไม่ได้รู้เลยด้วยซ้ำว่าพวกเธอเป็นแวมไพร์

    “นี่แก…เข้ามายุ่งโดยไม่รู้อะไรเลยงั้นเหรอ?”

    “อยากจะให้รู้อะไรล่ะ? ชั้นเห็นแต่ว่าพวกแกตั้งเยอะกลับมารุมเด็กตัวเดียว ชั้นก็เลยรีบตามมาก็แค่นั้น”

    “ถ้าไม่รู้เรื่องอะไรก็รีบๆไสหัวไปซะ ไอ้มนุษย์ นี่เป็นเรื่องแวมไพร์อย่างพวกเรา!!!” แวมไพร์สาวแยกเขี้ยวขู่

    ซามูไรหนุ่มหรี่ตาลงเล็กน้อย เริ่มกำดาบในมือแน่นขึ้น แต่ก็ไม่ได้มีอาการใดๆ บ่งบอกเลยว่าหวาดกลัวสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ตรงหน้าซักนิด จนอีกฝ่ายแปลกใจกับปฏิกิริยาดังกล่าว

    “แวมไพร์? อ๋อ!! ผีดูดเลือดน่ะเหรอ เอ๋? ปกติมันต้องมียันต์แปะกลางหน้าผาก แล้วกระโดดเหย๋งๆ ไม่ใช่เหรอ?” คำกล่าวของชายหนุ่มทำเอาแวมไพร์สาวเลือดขึ้นหน้า เพราะคิดว่าอีกฝ่ายพูดจาล้อเลียน หารู้ไม่ว่าที่พูดมานั้น มาจากความคิดของเขาทั้งดุ้นเลย

    แวมไพร์สาวถีบตัว พุ่งเข้าใส่มนุษย์ตรงหน้าพร้อมเตรียมกงเล็บไว้พร้อมทั้งสองมือ จังหวะอันเรียบง่ายทำให้นักดาบหนุ่มมองออก พร้อมพุ่งเข้าประชันหน้า และชักดาบออกจากฝักวาดฟันเข้าใส่ทันที

    แต่ครั้งนี้แวมไพร์สาวไม่พลาดท่าแบบเหยื่อคมดาบรายแรก เธอกลับถีบตัวกลับ พร้อมเอี้ยวตัวไปถอยหลัง จนหลบคมดาบพ้นอย่างเหลือเชื่อ ก่อนจะกระโดดเข้าใส่อีกฝ่ายทันทีที่คมดาบวาดออกไปแล้ว แต่ทว่าชายหนุ่มถึงกับแหยะยิ้มเหมือนตั้งใจ

    ผัวะ!!!

    เสียงกระแทกดังสนั่น แวมไพร์สาวงงเป็นไก่ตาแตก เมื่อฝักดาบในมือซ้ายของนักดาบหนุ่มกลับฟาดเข้าใส่ข้างลำตัวของเธออย่างไม่คาดคิด ความรุนแรงถึงกับทำให้กระดูกซี่โครงเธอหักไปทันที ส่วนชายหนุ่มก็ยังไม่หยุดนิ่ง เขาหมุนตัวไปข้างหน้าอีกรอบ เป็นการเสริมความเร็ว ก่อนที่คมดาบเล่มเดิมจะวกกลับขึ้นมาอีกครา

    ฉัวะ!!

    คมแรงความเร็วสูงฟันผ่านร่างผอมบางของแวมไพร์ในเสี้ยววินาทีกระแสโลหิตทะลักออกราวกับสายยางฉีดน้ำ ก่อนที่ร่างของแวมไพร์จะขาดสะพายแล่งเป็นสองส่วนใหญ่ และหมกไหม้ทันทีกลางอากาศ

    ชายหนุ่มสะบัดดาบหนึ่งทีเพื่อสะบัดเลือดออกจากตัวดาบ ก่อนที่เสียบมันกลับเข้าไปไว้ในฝักเมื่อเดิมอีกครั้ง

    “เฮ้อ…ถึงจะบอกว่าเป็นผีดูดเลือดก็เถอะ แต่ทำใจฟันลำบากพอดูเลยแฮะ เล่นเกือบเผลอหยุดดาบไปซะนี่”

    ชายหนุ่มเกาหัวแกรกๆ เหมือนรู้สึกผิด ก่อนจะหันกลับมาที่เด็กน้อยที่โดนไล่ตามมาเพื่อดูอาการ แต่ว่า….เธอหายไปซะแล้ว…

    “อ้าว?” แทนที่จะเป็นฉากประทับใจที่มีพระเอกหันมาพูดว่า’บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า?’กับนางเอก(เด็ก)สาวที่เพิ่งช่วยให้พ้นจากภัยอันตรายไป แต่กลับไม่มีสาวเจ้าที่ว่าอยู่ซะงั้นไป

    ชายหนุ่มวิ่งออกไปยังถนนฝูงคนที่ยืนมุงกันมากมาย เพราะแรงระเบิดเมื่อครู่ ทำให้ไปอาจมองเห็นร่างของเด็กตัวสูงเท่าเอวได้ง่ายๆแน่

    แต่ประสาทสัมผัสของเด็กหนุ่มคนนี้กลับรู้สึกได้ มีบางสิ่งจำนวนมากมายเคลื่อนไหวไปมาบนตึกรามบ้านช่องของกรุงลอนดอนแห่งนี้ เมื่อครุ่นคิดถึงสถานการณ์ คาดว่าสาวน้อยคนนั้นยังคงโดนตามตัวอยู่แน่ ถึงจะไม่ค่อยอยากยุ่งกับเรื่องวุ่นวายเท่าไหร่ แต่การปล่อยให้เด็กตัวเล็กๆคนเดียวโดนทำร้ายก็ไม่ใช่วิสัยของลูกผู้ชาย เมื่อช่างน้ำหนักของเหตุและผลแล้ว ชายหนุ่มผมดำจึงรีบตามหาเด็กสาวปริศนาคนนั้นทันที

    หลังจากที่เด็กหนุ่มวิ่งไปไม่นาน ทางเข้าซอยที่เป็นต้นเหตุของความวุ่นวานนั้นก็ยังคงเต็มไปด้วยคนมุงดูมากมาย แต่ก็ไม่มีใครกล้าเจ้าใกล้

    “เอ้าๆ ขอทางหน่อยครับผม เจ้าหน้าที่จะปฎิบัติงานคร้าบบบ”

    เสียงเข้มๆอารมณ์ดีดังก้อง พร้อมการปรากฏตัวของชายผมเงินมัดรวบสูง ผิวเข้มร่างโตคนหนึ่งที่เดินแหวกฝูงชนเข้ามา พร้อมด้วย สาวแว่นผมเงินสว่าง มัดเป็นเปียยาวพร้อมกระเป๋าเดินทางใบยักษ์ที่เดินตามหลังร่างอันเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อของชายตรงหน้า ทั้งคู่อยู่ในชุดบาทหลวงสีดำและมีสร้อยคอที่มีกางเขนโดนพันด้วยรากไม้สีดำอยู่ด้วย

    หากเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ฝูงชนคงจะไม่แปลกใจเท่าไหร่ แต่คนที่อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่กลับแต่งกายเป็นบาทหลวงในศาสนาคริสต์ เป็นใครก็ต้องคิดว่าแปลก

    หญิงสาวผมเปียเดินนำไปที่หน้าทางเข้าตรอก เธอก้มลงมาเอามือสัมผัสกับพื้นที่มีเขม่าสีเทาเข้ม ก่อนจะพิจารณาคราบที่ว่านี้

    “เศษซากของพวกแวมไพร์…คุณราอูล แถมดูจากตำแหน่งของซากนี้ โดนฟันขาดเป็นสองซีกเลยล่ะ” หญิงสาวใช้นิ้วขยี้เศษขี้เถ้าในนิ้ว ขณะที่หันมาพูดกับชายกล้ามโตในชุดบาทหลวง

    ”งั้นเหรอ ต้องขอบคุณอีแวนส์ที่เอาข่าวมาบอกนะเนี่ย สงสัยงานนี้ได้บู้กันละทีนี้ หึๆๆ” ราอูลแสยะยิ้มอย่างมีอารมณ์ขัน ก่อนที่เขาจะล้วงเอาถุงมือสีดำที่มีหนามแหลมมาสวมเอาไว้

    “คุณนี่ สนุกได้ทุกสถานการณ์จริงๆนะ หัดจริงจังหน่อยได้มั้ยเนี่ย?” หญิงสาวถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย ก่อนที่เธอจะวางกระเป๋าใบยักษ์ลงและเตะมาเบาๆจนเปิดให้เห็นอาวุธปืนพร้อมอุปกรณ์มากมาย

    “ไม่เอาน่า เรเซน…หัดมีอารมณ์ขันหน่อยสิ ถึงหน้าตาจะน่ารัก มัวถ้าแต่ปั้นหน้าแบบนั้น เดี๋ยวก็ไม่มีผู้ชายที่ไหนเค้าสนใจหรอก ฮ่าฮ่าฮ่า..” ราอูลพูดกัดหญิงสาวนามเรเซนก่อนจะปล่อยก้ากออกมาดังสนั่น ทำให้หญิงสาวผมเปียหน้าแดงเล็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่

    ก่อนที่ทั้งสองจะได้ทำอะไรต่อ ในที่สุดเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายนายก็แหวกฝูงชนตามมาทันที

    “นี่มันเกิดอะไรขึ้น!! แล้วพวกคุณ..?!! หยุดอยู่ตรงนั้นนะ ทั้งสองคน!!”

    นายตำรวจคนแรกสุดชักปืนพกเข้าจ่อทั้งคู่ที่เตรียมศาตราวุธไว้ครบมือ โดยเฉพาะเรเซนที่มีไรเฟิลสีเงินกระบอกโตพาดไหล่ ปืนพกประดับลวดลายกางเขนเงินที่เก็บไว้ในซองปืนที่เอว

    “ใจเย็นๆสหาย…เอาไอ้ปืนนั่นลงแล้วอ่านนี่ซะก่อน” ราอูลโบกไม้โบกมือแก่ตำรวจอีกฝ่าย พร้อมล้วงเอาม้วนกระดาษแผ่นนึงออกมายื่นให้นายตำรวจคนนั้น

    ฝ่ายนายตำรวจยังคงจ่อปืนไว้นิ่งไม่ยอมลง แต่ก็คว้าเอาเอกสารที่อีกฝ่ายยื่นมาไล่สายตาอ่าน ก่อนที่จะตาตื่นด้วยความตกใจ

    “ขะ..ขออภัยเป็นอย่างสูงครับ!!” นายตำรวจรีบวางปืน พร้อมตะเบะอย่างรีบร้อน

    “ไม่เป็นไร ขออย่างนึงช่วยกันคนพวกนี้ให้ออกไปห่างๆหน่อย เดี๋ยวจะโดนลูกหลงน่ะ” พูดจบ ราอูลก็หันตัวกลับไปยังทางเข้าตรอก พร้อมๆกับเรเซนที่เตรียมตัวพร้อมแล้วด้วยการถอดแว่นตาเก็บใส่ในอกเสื้อ ก่อนที่ทั้งสองจะวิ่งเข้าไปอย่างรวดเร็ว

    หลังจากเข้าไปได้ไม่นาน ทันทีที่วิ่งพ้นโค้งไป สิ่งที่ทั้งสองพบก็คือซากปรักหักพังที่ถล่มมาจากกำแพงตึกทั้งสองข้าง กลุ่มควันปกคลุมซะหนาจนไม่เห็นอะไรเลย

    “โอ้โห…เละตุ้มเป้ะเลย..” ราอูลกล่าวด้วยสีหน้าตกใจแบบเสแสร้ง แต่เรเชลกับทำเมินไม่สนใจ

    จู่ๆกลุ่มควันก็เริ่มม้วนตัว เรเชลเตรียมชักปืนเข้ารับสถานการณ์แต่ ราอูลกับเอามือมาขวางห้ามไว้

    ทันใดนั้นร่างชุมเลือดของแวมไพร์ตนหนึ่งพุ่งทะลุกลุ่มควันเข้าหาทั้งสอง สีหน้าหื่นกระหายอยากดื่มเลือดจนดวงตาแดงก่ำ แต่ทว่า…

    ตูม!!!

    กำปั้นขวาที่สวมถุงมือติดหนามแหลมของราอูลหมุนควงเข้ากระแทกปลายคางของแวมไพร์ตัวนั้นอย่างรวดเร็ว ร่างชุ่มเลือดหมุนควงกลับหลังเป็นลูกบอลปลิวกับไปยังทางที่มันพุ่งมา

    “เย้!! โฮมรัน!!!” ราอูลชูกำปั้นขึ้นฟ้าอย่างมีชัยเป็นการกระทำที่ไม่ได้เข้ากลับใบหน้าอายุสามสิบของเขาเลย

    เป็นอีกครั้งที่เรเซนเมินการกระทำไม่สมวัยของบาทหลวงกล้ามโต เพราะเธอพบอะไรบางอย่างที่พื้นเป็นทรงกระบอกเล็กๆซึ่งมันก็คือ ปลอกกระสุนปืน

    “จุดสี่สี่งั้นเหรอ? ไม่มีสัญลักษณ์ขององค์กรเรา แสดงว่าเป็นฝีมือของนักล่า…” เรเซนนั่งพิจารณาอย่างเงียบๆ แต่ราอูลก็ยังได้ยิน

    “นักล่า..ใช่ไอ้กลุ่มดอกทานตะวันอะไรนั่นหรือเปล่า?” ราอูลถามอย่างสงสัย

    “ไม่ใช่…อย่างกลุ่มSUNFLOWER (ดอกทานตะวัน) น่ะ คงไม่มาที่ๆไม่มีคนอยู่อย่างแถวนี้หรอก…อีกอย่างไอ้ฆาตกรนั่นน่ะ มักจะระเบิดทิ้งเป็นกลุ่มมากกว่าลุยสังหารเองกับมือ”

    “เรเซน” ราอูลขานชื่อหญิงสาวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นผิดกับที่เคยทำมา เป็นสัญญาณบอกให้หญิงสาวระวังตัว

    ทันทีที่กลุ่มควันเริ่มจางลง ทั้งสองก็เหงื่อตกเล็กน้อย เมื่อดวงตาสีเลือดแดงก่ำจำนวนมากอยู่หลังม่านควันนั้น แวมไพร์หลากเพศหลากวัย กำลังแยกขู่ขู่จนน้ำลายย้อย แถมดูเหมือนกำลังกัดกินซากของแวมไพร์บางตนอยู่ด้วย ซึ่งนั่นไม่ใช่สัญญาที่ดีเลย สำหรับผู้ที่ต้องต่อกรกับแวมไพร์

    “นี่มัน อาการกระหายเลือด!!” เรเซนพูดอย่างตกใจ ก่อนที่จะรีบชักปืนคู้ของเธอขึ้นมา

    “เรเซน เธอรีบไปหาตัวเด็กสาวในคำทำนายก่อนดีกว่า เดี๋ยวพวกแวมไพร์จะคาบเด็กนั่นไปกินซะก่อน เผื่อมีพวกโลลิคอนอยู่แถวนั้นด้วยละยุ่งเลย” ราอูลเดินขึ้นนำหน้า

    “หา? อย่าบอกนะ คิดจะสู้กับพวกแวมไพร์ที่กำลังกระหายเลือดเป็นฝูงๆคนเดียว” เรเซนตกใจกับคำแนะนำนั่นมาก

    “พอดีก่อนมา เพิ่งสอนหนังสือมาตั้งสองชั่วโมง ขอยืดเส้นยืดสายบ้างสิ..” ชายผมขาวส่งสายตากลับมาพร้อมรอยยิ้ม “อีกอย่างดูก็รู้ว่าพวกนี้โดนความกระหายครอบงำไปแล้ว ปล่อยไว้ก็ไม่ได้จริงมั้ย?”

    คำพูดของราอูล ทำให้เรเซนจำเป็นต้องตัดสินใจไป โดยใช้ปืนยิงลวดสลิงขึ้นไปบนตึก

    “ระวังตัวด้วยละ ” พูดจบหญิงสาวก็พุ่งขึ้นไปตามลวดที่ยิงไป เหลือเพียงแต่บาทหลวงหนุ่มที่ยืนประจันหน้าคนเดียว

    “เอาละ!! คุณนักเรียนทั้งหลาย..วันนี้ อาจารย์ราอูล แคปฟอร์ช คนนี้จะมาสอนเรื่องมารยาทในการกินให้เอง!! เริ่มสอนล่ะนะ!!!” ราอูลกระแทกกำปั้นทั้งสองเข้าด้วยกันดังสนั่นเป็นสัญญาณให้พวกแวมไพร์กระโดดเข้าใส่บาทหลวงแห่งกางเขนดำผู้นี้
    ……….
    ……..
    …..

    .
    มาถึงอีกทางหนึ่ง บนถนนในใจกลางเมือง ผู้คนเป็นต้องวิ่งกันให้วุ่นเพราะมีหมาป่าขนทองตัวโตวิ่งมาตามทาง

    เจอหมา(ป่า)จรจัดตัวใหญ่ขนาดนี้กลางเมือง เป็นใครก็ถอยด้วยความกลัวทั้งนั้น และก็แน่นอนว่ามันมีคนแจ้งเจ้าหน้าที่มาจับมันโดยไวเช่นกัน เพราะมีรถตู้จับสัตว์ และเจ้าหน้าที่ที่ถืออุปกรณ์จับมากมาย ตามหลังมาเต็มไปหมด

    หมาป่าตัวโตยังคงวิ่งไม่ยอมหยุด ระหว่างวิ่งก็หันมองไปมาเหมือนมองหาอะไรซักอย่าง ก่อนที่มันจะพบร่างเงาที่โดดไปตามหลังคาตึกแถวนั้น จึงต้องวิ่งตามไป แต่จู่ๆกลับมีชายอีกคนที่เป็นเจ้าหน้าที่วิ่งมีขวางจากด้านหน้า

    “จับได้แล้ว!!!” เจ้าหน้าที่พร้อมสายคล้องคอพุ่งเข้ามาใกล้ แต่หมาป่าโดดข้ามไปเหยียบหน้าของชายคนนั้นก่อนจะใช้เป็นฐานโดดขึ้นไปตามกำแพงแล้วพุ่งไปยังหลังคาตึกทันที ท่ามกลางสายตาเหลื่อเชื่อของผู้คนที่เห็น

    หมาป่าเร่งฝีเท้าขึ้น เมื่อมองเห็นเงาของอะไรบางอย่างที่โดดไปตามหลังคา มันกระโดดขึ้นฟ้า พร้อมกับร่างที่เปล่งแสงสีทอง ก่อนที่ร่างนั้นจะกลายเป็นเด็กสาวผมทองทรงทวินเทลในชุดหนังรัดรูปแขนกุดคล้ายชุดว่ายน้ำสีดำ กระโปรงพลีทสั้นสีขาวผ่าด้านหน้าออก แขนขาติดเกราะเหล็กขนาดย่อมๆเอาไว้ ที่ไหล่ติดผ้าคลุมสีดำขนาดใหญ่ ปกคลุมร่าง เคียวสีดำสนิทแสนคมถือไว้ที่มีอ ดวงตาสีแดงก่ำดูสวยงามราวอัญมนี เธอไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจาก เฟท เอ. วาแลนตี้ เมดสาวตัวน้อยแห่งตระกูลเฮฟทิก

    เฟทกวาดสายตาไปรอบทิศ ก่อนจะพบว่า ทั่วลอนดอนแห่งนี้ มีแวมไพร์เคลื่อนไหวเป็นจำนวนมาก มากจนแปลกใจ แต่เป้าหมายของเธอตอนนี้ต้องมาก่อน คือต้องหาตัวเด็กสาวในคำทำนายให้เจอก่อนพวกไม่หวังดีโดยไว

    เธอเร่งฝีเท้าเร็วขึ้น เพิ่อโดดข้ามตึกไปอีกฟากหนึ่ง แต่ขณะที่ลอยตัวข้ามไป จู่ๆกลับมาร่างของชายคนหนึ่งโดดตามมาติดๆด้วยความเร็วใกล้เคียง ด้วยสัญชาตญาณของผู้ล่ามาแต่ก่อน เมื่อโดนประชิดตัวโดยไม่บอกกล่าว ร่างกายจึงหมุนฟาดเคียวเป็นวงโดยสมองไม่สั่งการหรืออีกนัยหนึ่งคือด้วยความเคยชิน

    ความเร็วที่มากขึ้นจากการหมุนตัว ทำให้การลงจอดบนหลังคาด้านหน้ารุนแรงเล็กน้อยจนร่างของเฟทลื่นไถลไปตามแรง แต่กระนั้นท่วงท่าหลังจากฟาดฟันอาวุธคู่ใจยังคงคั่งค้างกลางอากาศไม่ยอมวาง

    แต่น้ำหนักของอาวุธกลับผิดไปจากเดิมจนผิดปกติ ก่อนที่เด็กสาวจะพบว่าชายเมื่อครู่กลับนั่งยองๆอยู่บนด้ามเคียวของเธออย่างเหลือเชื่อ แสงไฟรอบๆเผยให้เห็นร่างของชายคนนั้นชุดขึ้น ชายผมสีนำตาลมีดหางม้าในชุดบาทหลวงสีดำสลับขาวบางส่วน แขนทั้งสองห้อยมีดสั้นแบบนินจาญี่ปุ่นจำนวนหลายเล่ม ผ้าพาดบ่าสีแดงสดที่ยุ่งเหยิงจนพันเป็นผ้าพันคอทำให้เขาดูคล้ายกับนินจามากกว่าบาทหลวงอีก เมื่อพิจารณาโดยรวมแล้ว

    “คุณ? บาทหลวงแห่งกางเขนดำเหรอ?” เฟทตกใจบวกแปลกใจเมื่อสังเกตเห็นกางเขนพันเถาวัลย์สีดำที่ห้อยคอของอีกฝ่าย ซึ่งหากท่านผู้อ่านยังจำตอนที่แล้วได้ เขาก็คืออีแวนส์ เดลไครซ์ที่เข้ามาในลอนดอนตามหลังเฟทจากคฤหาสน์มาไม่นานนั่นเอง

    “ขออภัยที่รบกวนกะทันหันไปหน่อย แต่คราวหน้าขอพูดกันก่อนจะฟันใส่ก็ดีนะ” บาทหลวงหนุ่มเหงื่อตกเล็กน้อย เมื่อคิดว่าเมื่อกี้เกือบโดนฟันทิ้งโดยไม่ได้พูดกันซักคำ “เธอคือเฟท เมดของครูซิไฟร์ ผู้นำแห่งตระกูลเฮฟทิกสินะ?”

    อีแวนส์โดดลงมาจากด้ามเคียว เขาหอบเล็กน้อย เพราะวิ่งเข้ามาในเมืองด้วยเท้าทั้งสอง ต่างกับเฟทที่แปลงร่างเป็นหมาป่าวิ่งมา การเผาผลาญแรงกายย่อมต่างกัน

    “ชั้นคืออีแวนส์ บาทหลวงดำ ตอนนี้เท่าที่ชั้นรู้ เธอเองก็กำลังตามหาเด็กสาวในคำทำนายสินะ?” อีแวนส์พูดอย่างเร่งรีบด้วยสถานการณ์อันเร่งด่วน

    “ใช่ค่ะ..”

    เฟทตอบแค่สั้นๆ เธอไม่อยากพูดอะไรมากนัก เพราะยังไม่ค่อยเชื่อใจอีกฝ่าย แม้กางเขนดำได้ชื่อว่าคอยช่วยเหลือสังคมแวมไพร์กับสังคมมนุษย์ แต่เธอก็พอรู้มาว่าบางคนในกางเขนดำก็ยังมีพวกที่สังหารแวมไพร์อย่างโหดเหี้ยมไม่สนใจเช่นกัน แต่ทว่าเมื่อดวงตาแวมไพร์ของเธอทำงานตามนิสัย เธอก็แปลกใจกับภาพของชายที่แสดงออกมา

    “เอาเป็นว่าตอนนี้ เราได้ข่าวว่ามีพวกนักล่านอกรีตบางกลุ่ม ไปแอบดักฟังการสนทนาของเจ้านายเธอถึงคฤหาสน์ และกำลังตามล่าเด็กสาวที่ว่าเช่นกัน อีกทั้งสายข่าวเมื่อครู่แจ้งมาว่ากลุ่มแวมไพร์ที่ไม่ได้ขึ้นตรงต่อแพทริออทก็กำลังยกพวกตามล่ากันเต็มไปหมด เธอกันเห็นสินะ”

    เฟทพยักหน้าตอบ

    “ถึงชั้นจะแจ้งให้พรรคพวกชั้นอีกสองคนมาช่วยแล้ว แต่ยังไงสัดส่วนก็ต่างกันมาก แล้วที่สำคัญตอนนี้..!!”

    อีแวนส์อธิบายไม่ทันจบ เสียงหวอเตือนภัยก็ดังทั่วเมือง ไม่ว่าจะเป็นราอูลที่เพิ่งฮูคขวาใส่แวมไพร์ตัวหนึ่งกระเด็นไป ชายหนุ่มพเนจรผู้ถือดาบซามูไรที่วิ่งฝ่าผู้คนตามหาเด็กสาวด้วยความเป็นห่วง คริสและเรเชลที่วิ่งข้ามไปตามตึกอยู่คนละทิศละทาง ฝูงแวมไพร์ทั่วกรุงลอนดอน ต่างหยุดชะงักไปกับพร้อมๆกัน

    “ประกาศภาวะฉุกเฉิน ขนาดนี้ทางตำรวจได้รับแจ้งว่ามีการก่อการร้ายขึ้นในเมืองลอนดอน และผู้ก่อการร้ายยังคงอยู่ภายในเมือง ขอให้ทุกๆท่านโปรดรีบหาที่หลบภัยภายในอาคารใกล้เคียงโดยเร็วที่สุดห้ามออกมาภายนอกเป็นอันขาด หากพบเห็นผู้ใดยังอยู่ภายนอก เราจะทำการยิงโดยไม่สอบถามทันที….ประกาศอีกครั้ง…”

    “แย่แล้ว!! พวกมันเอาแล้วไง!!” อีแวนส์พูดด้วยความตกใจ ก่อนจะวิ่งไปยังริมตึกเพื่อมองลงไปยังถนนเบื้องล่าง เฟทเองก็ตามไปมองดูเช่นเดียวกัน

    เสียงประกาศเตือนภัยดังขึ้นได้ไม่นาน ฝูงชนต่งก็วิ่งหาที่หลบภัยกันวุ่ยวายไม่ต่างจากฝูงมดเจอน้ำท่วม ยิ่งสร้างความลำบากในการค้นหาเด็กสาวมากกว่าเดิมอีกหลายเท่า

    “แค่ฟังคำประกาศก็รู้แล้วว่าของปลอม แต่ทำไมถึงคิดต้อนให้ผู้คนหลบไปในตึกละ? ทั้งๆที่ถ้าเด็กหนีเข้าไปในอาคารก็หาตัวยากพอกันแท้ๆ” อีแวนส์กุมคางบ่นในขณะกำลังพิจารณาสถานการณ์ แต่เฟทที่ดูอย่างเงียบๆก็พูดขึ้นมา

    “เพื่อจะกำจัดพวกคุณได้ง่ายขึ้นหรือเปล่า?” คำสมมุติฐานของเฟท ทำให้อีแวนส์หันควับมาอย่างรวดเร็ว

    “หากจะฆ่าพวกคุณ ในที่ๆเต็มไปด้วยผู้คนละก็ พวกชาวเมืองคงวุ่นวายกันน่าดู หากเป็นแบบนั้น พวกเค้าเองจะกลายเป็นฝ่ายเดือดร้อนซะเอง”

    คำกล่าวเรียบๆแต่ก็ถูกต้องแม่นยำ อีแวนส์ที่ฟังอยู่ครุ่นคิดถ้าพิจารณาตามที่เฟทพูดมา มันก็ถูกตามว่าทุกประการ

    “เอาเป็นว่าเรื่องนั้นช่างมันก่อน จะทำไงกับเด็กนั่นดี ขืนเป็นอย่างนี้ ไม่พวกนักล่าก็แวมไพร์กลุ่มอื่นได้ตัวเด็กนั่นไปก่อนแน่”

    อีแวนส์หันไปขอความเห็นเฟท ซึ่งเฟทเองก็ทำท่าทางลำบากใจเล็กน้อยที่จะพูดไปมากกว่านี้ เพราะอีกฝ่ายไม่ใช่พวกเดียวกัน ยังไงก็ตาม เธอคนเดียวคงตามหาเด็กคนนั่นไม่เจอแน่ๆ

    “ขอถามอะไรซักข้อจะได้มั้ยคะ? ถ้าพวกคุณได้ตัวเด็กคนนั้นไป คุณจะทำอย่างไงต่อ?”

    ดวงตาสีแดงจ้องมองไปยังบาทหลวงตรงหน้า เธออยากจะหาความแน่ใจในการร่วมมือ

    “คิดว่าทางองค์กรคงจะส่งมอบให้กับทางแพทริออท เพราะหลักๆตอนนี้คือ เราจะปล่อยให้นักล่านอกรีตได้ตัวเธอไปไม่ได้..”

    ความเงียบเข้าปกคลุมทั้งสองซักพัก จนในที่สุด เฟทก็ตัดสินใจยอมเสี่ยงให้ความร่วมมือกับอีแวนส์

    “ชั้นมีความสามารถในการตามกลิ่น หากได้กลิ่นจากเสื้อผ้าหรือร่างกายซักครั้งเดียว ก็ตามตัวไปได้ทันที”

    “งั้นเหรอ…งั้นเราต้องรีบไปยังตรอกที่เกิดเหตุระเบิดซะก่อน ชั้นคิดว่าการที่มีการปะทะกันที่โน่น มีความเป็นไปได้ที่จะมีการพบเจอเด็กคนนั้นที่โน่น..ไปกันเถอะ!!”

    ทั้งสองไม่พูดต่อ ก่อนจะออกวิ่งไปยังทิศที่มีควันไฟจางๆลอยขึ้นมาทันที
    ………….
    ……….
    …….
    ….
    ..
    ในขณะนี้ ถนนที่เคยเต็มไปด้วยผู้คนตอนนี้กลับว่างเปล่าไม่เหลือใครซักคน รถตำรวจแล่นออกตระเวนไปตามทางรถอยู่มากมาย แต่ก็ยังมีผู้ที่แอบมองสถานการณ์ภายนอกในหลืบซอยแห่งหนึ่งด้วยความหวาดกลัว เด็กสาวผมลอนยาวสลวยสีทอง ในผ้าคลุมเก่าๆขาดๆ ร่างเล็กๆที่สูงเท่าเด็กประถมสั่นละทม ดวงตาสีทองสว่างคอยจ้องมองด้านหน้าอย่างหวาดระแวง ก่อนที่เธอจะนั่งคดตัวลง เอาหน้าซุกหัวเข่า

    แต่ทันใดนั่นเอง มือหยาบๆก็โผล่มาจากเงามืดมาแตะไหล่เล็กของเด็กสาว เด็กสาวเกือบจะกรีดร้องด้วยความกลัว แต่มืออีกข้างก็มาปิดปากของเธอจนเสียงไม่สามารถเล็ดลอดออกมาได้

    “ชู่…ไม่ต้องกลัว ชั้นไม่ทำอะไรเธอหรอก…” เสียงกระซิบเบาๆ นำมาก่อนที่เด็กน้อยจะสังเกตเห็นเจ้าของเสียง เธอจำได้ว่าชายคนนี้เป็นพี่ชายที่มาช่วยเธอในตรอกแห่งนั้น แต่เธอหนีออกมาโดยไม่สนใจซะก่อน

    ชายหนุ่มค่อยๆเอามือออก รอยยิ้มแสดงความเป็นมิตรผุดขึ้นมาจากใบหน้าภายใต้หมวกแก้ปสีดำของเขา แต่ถึงแม้จะดูเป็นมิตรอย่างไง เด็กสาวก็ยังดูหวาดๆ ด้วยความเป็นของแปลกหน้า

    “ชั้นชื่อ ซารุซาวาตาริ ทากะ เรียกชั้นว่าทากะก็ได้ แล้วเธอละ?” ชายหนุ่มชื่อทากะ แนะนำตัว พร้อมถามกลับ เด็กสาวที่ลังเลที่จะพูดเล็กน้อย ก่อนจะเผยคำพูดออกมา

    “…เซฟี่…”

    “เซฟี่เหรอ ยินดีที่ได้รู้จักนะ” ทากะส่งยิ้มให้อีกครั้ง ขณะที่กำลังเอาผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดหน้าเช็ดตาของเด็กสาวที่เลอะมอมแมมไปหมด

    “เอาละ!! ขอถามก่อนได้มั้ย? เซฟี่มาจากที่ไหนเหรอ? แล้วทำไมเซฟี่ถึงโดนพวกนั้นไล่จับตัวมาล่ะ?” ทากะอยากถามให้แน่ชัด ว่าตัวเองไปยุ่งเกี่ยวกับอะไร

    แต่ทากะกลับได้มาแต่การส่ายหน้าอย่างไร้เดียงสา ประมาณว่าไม่รู้อะไรเลย เล่นเอาหนุ่มเอเชียคนนี้กลุ้มใจพอดู

    “งั้น…พ่อแม่ของเซฟี่ไปไหนซะล่ะ?” ทากะเบี่ยงประเด็นมาเรื่องผู้ปกครองเพื่อที่เขาจะได้พาตัวไปส่งให้

    คราวนี้เซฟี่กลับเงียบกริบ ไม่มีปฏิกิริยา ดวงตาสีทองบ้องแป้วจ้องมายังทากะ ก่อนจะเอียงหัวเล็กน้อยด้วยความงุนงง

    “ ป้ะป๋า…กับมะม้า เหรอ?” ดูเหมือนเซฟี่ยังไม่เข้าใจคำสากลอย่างพ่อแม่เท่าไหร่

    “ใช่ๆ นั่นแหละ ทั้งสองอยู่ที่ไหนเหรอ?” ทากะเริ่มมีหวัง

    “…..อยู่…..อยู่ไหนไม่รู้..” คำตอบนี้เล่นเอาทากะแทบคอตกฟาดพื้นด้วยความผิดหวังสุดขีด หลังจากที่นั่งลุ้นตั้งแต่คำว่า’อยู่’ จนตัวสั่น

    “เอาไงดีหว่า..ตู” ความปวดเศียรเวียนเกล้าผุดขึ้นมาในโสดประสาท ดูเหมือนเขาจะมายุ่งกับเรื่องลำบากเข้าให้แล้ว

    เอาเป็นว่า คงต้องพาหนีออกไปจากเมืองให้ได้ก่อนล่ะนะ นี้คือความคิดแรกที่ทากะคิดออก ดังนั้นจึงเริ่มเตรียมออกเดินทาง โดยการหยิบดาบญี่ปุ่นของเขามาเหน็บไว้ที่เอว

    “เออ…เซฟี่ เดี๋ยวพี่จะพาเซฟี่ออกจากที่นี่นะ เซฟี่จะไปด้วยกันมั้ย?” ทากะนั่งลงตรงหน้าเด็กสาวเพื่อถามความสมัครใจก่อน

    เซฟี่ที่ได้ยินดังนั้นก็เผยรอยยิ้มแบบเด็กได้ของเล่นชิ้นใหม่ขึ้นมา และโผตัวเข้าไปกอดคอทากะด้วยความดีใจ จนชายหนุ่มจุกนิดหน่อย

    “ผิดกับที่ตั้งใจนิดหน่อย..แต่ก็…เอาเถอะ” ทากะไม่ได้คิดจะอุ้มไปตั้งแต่แรก แต่เมื่อมองไปยังเซฟี่ดีๆแล้ว ทากะก็พบว่าเธอวิ่งมาด้วยเท้าเปล่าตลอดเลย จนเท้าถลอกปอกเปิก เลือดซึมไปหมด ทำให้เขายอมอุ้มเธอไปแต่โดยดี เพราะจากน้ำหนักที่เบาหวิวของเด็กสาวยังไงก็ไม่ลำบากเท่าไหร่อยู่แล้ว

    เมื่อทุกอย่างพร้อม ชายหนุ่มก็ออกวิ่งเลาะไปอย่างเงียบๆตามซอกซอย ระหว่างก็คอยระมัดระวัง ตรวจการเคลื่อนไหวทุกทิศทาง แต่กระนั้นเขาก็รู้สึกกดดันพอดู เมื่อคิดถึงสิ่งมีชีวิตที่เขาเพิ่งเจอะเจอกันไปไม่นานว่าหากมันมีเป็นสิบๆ จะเอาอย่างไงดี

    แน่นอนว่าคนเราคิดอะไรก็ย่อมเจอกับสิ่งนั้น ประสาทที่เฉียบคมของทากะสัมผัสได้ทันทีว่ามีกลุ่มคนประมาณสิบกว่าคนเพิ่งมาล้อมขนาบตัวของเขาทั้งสองข้างทางและบนฟ้า และที่สำคัญแรงกดดันที่ในวงการของนักดาบอย่างเขาเรียกว่า รังสีฆ่าฟัน นั่นรุนแรงจนเหงื่อตกเลย

    เมื่อรู้ว่าโดนล้อมทุกทิศทางอยู่แล้ว จะวิ่งหนีก็ยากขึ้น ยิ่งในสภาพที่อุ้มเซฟี่อยู่ด้วยมือข้างนึงอย่างนี้ ประสบการณ์รู้ได้เลยว่าหนีไม่พ้น

    “ให้มันได้อย่างงิสิ…” ทากะกัดฟันอย่างเจ็บใจ แต่มือขวาก็ยังค้างไว้ที่ด้ามดาบคู่ใจ

    ร่างของผู้ล่ล่าปรากฏตัวขึ้น เป็นเพศชายกันทั้งหมดและมากันชนิดที่ว่าหลากอาชีพตั้งแต่คนงานสร้างถนน ยันเจ้าหน้าที่ตำรวจ

    “เอาล่ะ ไอ้หนู แกเป็นใคร ชั้นไม่สนใจหรอกนะ ผู้ส่งเด็กนั่นมาให้เราจะได้มั้ย? แล้วพวกเราจะปล่อยแกไป”

    เสียงกระดูกลั่นจากการหักข้อนิ้วขู่ของแวมไพร์นับสิบ ทำให้ทากะก้าวถอยช้าๆ แต่ในระหว่างความตึงเครียดนั้นเอง เสียงไกปืนที่ดังราวสายฟ้าฟาด ดังมาจากข้างหลังของทากะ สัญชาตญาณของนักดาบทำให้ชายหนุ่มก้มตัวลงติดพื้น ก่อนที่กระสุนไรเฟิลจะหมุนแหวกทะลวงร่างของแวมไพร์สามตนที่ยืนขวางทางกระสุนจนร่างกระเด็นและหมกไหม้ไปกลางอากาศอย่างรวดเร็ว

    “เฮ้ย!! กางเขนดำ!!”

    แวมไพร์ในชุดคนก่อสร้างชี้ไปยังปลายทางที่ห่างออกไปประมาณครึ่งกิโล ดวงตาแวมไพร์เหลือบไปเห็นร่างของบาทหลวง…ถ้าพูดให้ถูกคือหญิงสาวในชุดบาทหลวง ผมเปียสีเงินสาวโบกสะบัดตามแรงลม ดวงตาสีน้ำตาลทองอันคมกริบจ้องผ่านเลนซ์กล้องของปืนไรเฟิลสีเงินกระบอกยาวที่สลักกางเขนเงิน เรเซนในท่าคุกเข่ายิง อย่างน่าเกรงขามกำลังขึ้นนกไกเปลี่ยนกระสุนนัดที่สอง

    เปรี้ยง!!!

    เรเซนลั่นไกปืนอีกครั้ง แรงถีบทำเอาร่างของสาวน้อยปลิวถอยหลังทั้งท่าเล็ง คราวนี้แวมไพร์อีกสองตนใกล้ก็ตกเป็นเหยื่อสังเวยนัดที่สองไปอย่าไงม่รู้เรื่องรู้ราวด้วยความไวของกระสุนนั่นเอง

    ทากะสบโอกาสหนีในที่สุด เขาพุ่งขึ้นจากพื้นในสภาพเสียศูนย์เสียน้อย เพราะเซฟี่กอดคอเขาแน่นด้วยความกลัว เขาชักดาบด้วยมือข้างที่ว่าง ก่อนจะสะปั้นศีรษะของแวมไพร์ที่ขวางทางอย่างเฉียบคมและวิ่งออกถนนไปจากช่องว่างที่สร้างขึ้นด้วยดาบของตัวเอง

    “เวรเอ้ย!!” แวมไพร์ตนหนึ่งเห็นเป้าหมายรอดพ้นไปได้ก็เผลอสบถลั่น แต่ความนึกคิดของเขาเป็นต้องขาดหาย เพราะกระสุนไรเฟิลนัดที่สามนั่นทะลวงขมับของเขาจนหัวระเบิดคาที่ไป

    เมื่อพบว่าเป้าหมายกระสุนไม่เหลือแล้ว เรเซนเหวี่ยงไรเฟลคู่ใจกลับไปที่ไหล่ สาเหตุที่เธอมาตั้งป้อมตรงนี้ เพราะตอนที่เธอมาเห็น เธอได้สังเกตว่าเด็กสาวกอดคอชายหนุ่มด้วยท่าทางที่ไม่ได้โดนบังคับ ดูเหมือนหวาดกบัวเพราะฝูงแวมไพร์ซะมากกว่า รูปการณ์ทำให้เรเชลตัดสินใจช่วยให้ชายหนุ่มพาเด็กรอดเงื้อมมือของแวมไพร์ไปให้ได้

    แต่เรเซนไม่ทันได้ก้าวไปไหน เสียงรถคันหนึ่งก็มาจอดขวางทางเธออย่างวดเร็ว รถตำรวจที่ไม่ได้บรรทุกตำรวจมา หากแต่เป็นชายแปลกหน้าที่ถือปืนอูซี่หรือปืนกลมือมาเล็งเตรียมกราดไว้แล้ว

    หญิงสาวตัดสินใจในเสี้ยววินาที เธอตัดสินใจเสี่ยงยิงแลกกันไปเลย ก่อนที่จะชักปืนพกที่เอวขึ้นมายิงนำหน้าไปก่อนด้วยฝีมือที่เหนือกว่า แน่นอนว่าเมื่อโดนยิงเปิดมาก่อน เป็นใครก็ต้องหลบ ซึ่งเป็นจังหวะที่หญิงสาวต้องการ เมื่อเธอกระโดดเหยียบประตูรถเพื่อเป็นฐานให้เธอโดดลอยข้ามรถได้อย่างง่ายดาย แน่นอนว่าเธอไม่ข้ามไปเปล่าๆ เพราะระหว่างที่ร่างของเธอลอยผ่านตัวรถ ปืนในมือทั้งสองก็กราดใส่ตัวรถจากด้านบนไม่เลี้ยง ก่อนจะปิดท้ายหลังจากที่ม้วนหน้าลงพื้นด้วยการยิงที่ถังน้ำมันรถจนระเบิด

    และเรเซนก็วิ่งตามทากะไปอย่างไม่เหลียวมองเศษเหล็กที่เพิ่งแหลกไปเพราะฝีมือของเธอเลยซักนิด
    ………
    …….
    …..
    ...
    .
    กลับมาเกาะติดสถานการณ์กับทากะอีกครั้ง ดูเหมือนคราวนี้โชคจะเข้าข้างเพราะดันไปเจอรถยนต์สีขาวสลับดำที่เปิดประตูรถทิ้งไว้ข้างทางอย่างเหลือเชื่อ แต่ทากะไม่สนใจแล้ว ก่อนจะโดดขึ้นรถไปอย่างรวดเร็ว แถมยังพบว่ากุญแจรถก็เสียบคาเอาไว้ ทำเอาทากะอยากกราบขอบคุณเจ้าของรถซักครั้ง

    หลังจากที่วางเซฟี่ลงที่เบาะนั่งข้างๆ เค้าก็ไม่รอช้าเหยียบคันเร่งออกรถทันที ทิ้งไว้แต่เรเซนที่วิ่งตามมา ยืนดูด้วยอาการหอบ

    บรืน!!

    “เฮ้ เรซ” เสียงเร่งเครื่องรถมอเตอร์ไซด์วิบากสีขาวคันหนึ่งดังตามมาใกล้ๆ พร้อมกับบาทหลวงวัยกลางคนหน้าตากะล่อนเรียกขานหญิงสาว “สนใจไปซิ่งด้วยกันมั้ยจ้ะ?”

    คงเป็นไม่กี่ครั้งที่เรเซนยิ้มให้กับมุขไม่ถูกสถานการณ์ของราอูล เธอโดดขึ้นซ้อนท้ายบาทหลวงหนุ่มด้วยความรวดเร็ว ก่อนที่ราอูลจะยกล้อออกตัวอย่างสนุกสนาน

    “ราอูล นี่คุณจัดการแวมไพร์กระหายเลือดทั้งฝูงได้ด้วยตัวคนเดียวเหรอเนี่ย?” เรเซนถามอย่างแปลกใจ ที่ได้พบราอูลในสถาพแทบไร้บาดแผล

    “ครึ่งแรกน่ะ ชั้นนำเดี่ยวอยู่แล้ว แต่เจ้าอีแวนส์ดันมาแจมซะก่อน แถมพาเด็กที่ไหนมาก็ไม่รู้อีก บนนั้นไง”

    ราอูลชี้นิ้วไปยังบนหลังคา อีแวนส์และเฟทกำลังวิ่งตามรถของทากะด้วยความเร็วสูง อีแวนส์เองก็หันมามองทางเรเซน ก่อนจะส่งยิ้มให้ ซึ่งเรเซนก็ยิ้มกลับเช่นกัน

    “แล้วตกลงเราจะทำไงกับเด็กคนนั้น?” เรเซนถามราอูล ขณะกำลังมองรถยนต์ด้านหน้า

    “ความปลอดภัยของเด็กต้องมาก่อนล่ะนะ…พวกเราต้องคอยปกป้องรถคันนั้นให้ไปยังสำนักงานที่ใกล้ที่สุดก่อน”

    อีแวนส์กับเฟท เมื่อเห็นโอกาสเหมาะ ทั้งสองจึงโดดลงมาด้านล่างทันที และก็ลงจอดบนรถของทากะอย่างไม่ค่อยจะนิ่มเท่าไหร่

    ทากะที่รู้สึกถึงแรงสั่นด้านบนรถ เขาก็ไม่รอช้าคว้าดาบที่ยังไม่ได้ชักออกจากฝักแทงออกไปทางหน้าต่างรถฝั่งของเซฟี่ที่ตอนนี้นั่งหลับอย่างมีความสุขชนิดไม่ได้รู้ร้อนรู้หนาวเลย

    อีแวนส์ที่โยนตัวลงมาข้างรถ สะดุ้งจนเกือบปล่อยมือ เมื่อปลอกดาบที่ดำพุ่งเฉียดใบหน้าเขาไปแค่ไม่ก็มิล

    “ใจเย็นก่อน พวกชั้นมาดี” อีแวนส์รีบพูดดักทางทากะก่อน เพราะดูเหมือนคมดาบถูกดึงออกมาได้ครึ่งเล่มแล้ว

    ฝ่ายทากะที่ไม่อยากจะเชื่อเท่าไหร่นัก นิ่งคิดซักครู่ ก่อนจะเสียบดาบเข้าฝัก และปล่อยให้อีแวนส์กับเฟทเข้ามานั่งที่เบาะหลัง

    “เอาละ…ตอนนี้ชั้นอยากให้นายไปตามแผนที่นี้” อีแวนส์ยื่นแผนที่เขียนมือหยาบๆมาให้ทากะ

    “ทำไม? แล้วตกลงพวกนายเป็นใคร?” ทากะเปิดตัวถามก่อนจะทำตามคำขอ

    “เอาเป็นว่าเพื่อความปลอดภัยของนายเอง แล้วก็เด็กคนนี้ด้วย ตอนนี้อย่าเพิ่งถามอะไรเลย เพราะว่า….”

    “หมอบลง!!” เฟทตะโกนขึ้นทันที จู่ๆอุ้งมือขนาดใหญ่ก็ทะลวงหลังคาลดชนิดไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า โชคดีที่อุ้งมือนี้พุ่งมาที่กลางรถเลย พลาดเป้าหมายไป

    เฟทแทงด้ามเคียวที่อยู่ในสภาพพับคมเก็บขึ้นสวนอย่างแรงจนหลังคารถหลุดปลิวว่อนทั้งผู้จู่โจมไปพร้อมๆกัน จนรถคันนี้เปิดประทุนอย่างช่วยไม่ได้

    เฟทยืนขึ้นเพื่อดูสถานการณ์ ตอนนี้เธอพบว่า มีรถตำรวจนำสิบคัน ขับตามมาจากข้างหลังในระยะประมาณแปดร้อยเมตร โชคยังดีที่รอบๆนี้ไม่มีแวมไพร์ตามมา แต่เธอลืมนึกถึงผู้โจมตีเมื่อครู่ไป

    พริบตานั้น ร่างของแวมไพร์ตนที่เพิ่งโดนกระแทกด้วยเคียวปลิวไปนั้น กลับโผล่มาด้านหลังของเฟทอย่างเหลือเชื่อ อุ้งเล็บขนาดเท่าสิงโตแหวกอากาศเข้ามา เฟทที่ไม่ทันรู้ตัวชะงัก เพราะหลบไม่ทัน แต่ว่า…

    หมับ…

    เสียงอย่างบางอย่างถูกคว้าไปอย่างเงียบๆ รู้ตัวอีกทีแวมไพร์ตนนั้นก็หายไปแล้ว โดยที่ไม่มีใครเห็นตัวของมันเลย นอกจากสายตาของคนนอกอย่างราอูลกับเรเซนที่เห็นเงาสีแดงบางอย่างคว้าตัวมันไปอย่างรวดเร็ว

    หลังจากที่รถทั้งสองผ่านโค้งไป ร่างที่ว่านั้นก็ปรากฏ เสื้อโค้ทยาวพับแขนทับเสื้อกั้ก กางเกงที่ติดซิบที่ปลายขา ทั้งหมดมีสีแดงเด่นสง่าไม่เหมือนใคร ผมดำยาวประมาณลำคอพรี้วไหวตามแรงลม พร้อมด้วยนัยน์ตาสีม่วงอำพัน กำลังจ้องมองปลายทาง มือของเขากำลังบีบขมับของแวมไพร์ตนหนึ่งที่ร้องโหยหวนเพราะแรงบีบ

    “กะ..แก!! แกเป็นใครกันวะ!!” แวมไพร์ตนนั่นกล่าวอย่างโกรธแค้น แต่แรงบีบที่ศีรษะแรงจนพูดดังไม่ออก

    “บอกหน่อยสิ…รถตำรวจที่ตามมานะ พรรคพวกนายหรือเปล่า?” ชายหนุ่มชุดแดงกล่าวเรียบๆ

    “ชะ..ใช่!! แกโดนฆ่าทิ้งแน่!! รีบๆปล่อยมือก่อนจะ…. โพล้ะ!!!

    พูดอวดดีได้ไม่จบคำ มือเรียวๆของชายชุดแดงก็บีบจนสิ่งที่อยู่ในมือแตกเหมือนลูกแตงโม ก่อนที่เขาจะเดินออกไปกลางถนนช้าๆ ดวงตาค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีแดงเลือด นิ้วทั้งสิบค่อยๆเปลี่ยนเป็นกงเล็บสุดคม ก่อนที่เขาจะตวัดกงเล็บเหนือถนนด้านหน้าด้วยความเร็วที่มองไม่ทัน

    “ชั้นช่วยได้แค่นี้ล่ะนะ….เซเดียส..” พูดจบร่างของชายคนนั้นก็โดดหายไปกับความมืด

    ถึงคราวรถตำรวจที่ตามมาอย่างรวดเร็ว เมื่อวิ่งผ่านตำแหน่งที่เพิ่งโดนกงเล็บตวัดใส่กลางอากาศ จู่ๆ พื้นบริเวณนั้นก็แตกเป็นเสี่ยงๆ รถทั้งหมดเสียการทรงตัว ติดเข้าไปในกองปรับหักพังของถนน แล้วผลที่ตามมาคือคันอื่นๆชนกันระเนระนาด เละตุ้บเป้ะ และแน่นิ่งอยู่ตรงนั้นกันทั้งขบวน
    ……………
    ………..
    …….
    ….
    ..
    กลับมาที่คณะของกางเขนดำและทากะ การขับหนีดำเนินไปอย่างเงียบเชียบไม่มีอะไรเลย เมืองทั้งเมืองเงียบ เพราะประชาชนยังคงหลบอยู่ในบ้าน แถมปิดไฟ ปิดผ้าม่านกันหมด ทำให้เมืองลอนดอนดูร้างไปถนัดตา

    “พวกมันไม่ตามมาแล้วสินะ…”ทากะพูดอย่างโล่งอก ในขณะที่เซฟี่เพิ่งลืมตาตื่น

    เด็กน้อยหาวกว้างอย่างไร้เดียงสา ก่อนจะหันมองไปมาเหมือนสำรวจรอบๆ

    “อ้าว..ตื่นแล้วเหรอ เซฟี่” ทากะทักเด็กสาวที่เพิ่งตื่น

    “เด็กคนนี้ชื่อ เซฟี่เหรอ?” อีแวนส์ที่ชะโงกหน้าขึ้นมาดูพูดขึ้น แต่เซฟี่กลับแสดงสีหน้าเหมือนหวาดกลัวอีกฝ่าย

    “ดูเหมือนเธอจะกลัวนะ คุณ…เอ่อ.” ทากะชะงักเพราะยังไม่รู้จักชื่อของอีแวนส์

    “อ๋อ…ชั้นอีแวนส์ เดลไครซ์ เป็น…บาทหลวง ส่วนเธอมีชื่อว่า เฟท”

    “ผมซารุซาวาตาริ ทากะ นักเขียนอิสระชาวญี่ปุ่น” ทากะพูดหลังจากหัวเราะแห้งๆ เพราะไม่ค่อยเชื่อว่าอีแวนส์เป็นบาทหลวง หากบอกว่าเป็นนินจายังจะน่าเชื่อซะมากกว่า

    “โค้งหน้านี้ก็จะถึงแล้ว” อีแวนส์พูดขึ้น

    แต่ทันทีที่โค้ง ภาพตรงหน้าแล้วเอาช็อก เมื่อรถตำรวจอีกหลายคันตั้งป้อมพร้อมอาวุธปืนรอไว้แล้ว

    “เวรแล้ว!! นั่นมัน….พวกแวมไพร์!!” อีแวนส์ตะโกนอย่างตกใจ

    ทันทีที่เห็นทากะหัวพวงมาลัยพร้อมดึงเบรกมือเพื่อหมุนตัวรถกลับหลังทันที ก่อนจะเร่งเครื่องกลับออกไปอีกทาง ฝ่ายราอูลที่บิดมอไซด์ตามมา ก็ขับตามรถของทากะไปอย่างแปลกใจ

    “เกิดอะไรขึ้นเนี่ย อีแวนส์!!” ราอูลที่เร่งเครื่องมาประชิดตะโกนถาม

    “พวกแวมไพร์!! มันดักทางเรา!!”

    “จะเอาอย่างไงล่ะทีนี่” ทากะถาม

    “คงต้องหนีออกเมือง…” ความเห็นแรกของอีแวนส์

    แต่ในระหว่างที่ยังเถียงกันอยู่ ห่ากระสุนจากบนฟ้าก็สาดลงมาอย่างฝน ทำให้รถทั้งสองต้องแยกทางกัน เพราะทากะเลี้ยวหลบไปโค้งหน้า ขณะที่ราอูลเร่งเครื่องไปข้างหน้าหนีแทน

    "บ้าชิบ!!" ทากะ สบถอย่างหัวเสีย เมื่อพบว่ามีรถไล่ล่าตามมาแถบทุกทิศที่จู่ๆ เพิ่งปรากฏออกมา แล้วการหนีครั้งนี้จะหนีพ้นหรือ???
    .......................
    ................
    .........
    .....
    .
    TO BE CONTINUED >>>




    ###########################################################

    -ขอบพระคุณตัวละคร

    คริส แอนฟิลด์ >> โดยเนียรคุง
    ราอูล แคปฟอร์ช >> โดยเจโนว่าคุง
    เรเซน คาห์ริส มาห์เรล >> โดยท่านZan~Naz
    ซารุซาวาตาริ ทากะ >> โดยท่านนักเดินทาง



    ###########################################################

    เกร็ดความรู้เกี่ยวกับแวมไพร์ 3

    จุดอ่อนของแวมไพร์ – อย่างที่เคยกล่าวไปว่า จุดอ่อนของแวมไพร์มีมากมาย แต่ผลกระทบของมัน ขึ้นอยู่กับชนิดของจุดอ่อน ดังนี้
    -กระเทียม ส่งผลทำลายจำพวกระบบการเคลื่อนไหวของร่างกาย หรือ ระบบ ประสาท หากได้รับปริมาณมากๆก็ช็อกรับประทาน
    -เงิน เงินยังคงมีผลไม่แน่นอน แต่เท่าที่พบในปัจจุปันคือ หากเข้าสู่ร่างกาย จะทำให้เซลล์ของร่างกายุกทำลายในทันที จึงทุกนำมาทำเป็นกระสุนยันทุกวันนี้
    -แสง อันนี้รู้ๆกัน โดนก็ผิวจะไหม้จนลุกเป็นไฟ แล้วก็กลายเป็นขี้เถ้าไป

    อาการกระหายเลือด – ลักษณะจะคล้ายๆกับอาการติดยา คือ ลงแดง โหยหาเลือดอย่างเอาเป็นเอาตายจนเสียสติสัมปชัญญะไป ซึ่งจะเกิดขั้นได้ในหลายกรณี แต่ที่หนักสุดคือ การบาดเจ็บหรือ เสียเลือดเป็นจำนวนมากกระทันหัน ทำให้ร่างกายเกิดอาการเหมือนคนบ้า ฆ่าลูกเดียว และจะไม่หายจนกว่าจะได้ดื่มเลือด

    ###########################################################

    มุมผู้แต่ง

    ตอนสาม ช่างเป็นตอนที่ยาวแสนจะยาว ตอนแรกไม่คิดว่ามันจะยาวขนาดนี้ ทำให้ไปๆมาๆต้องตัดอีกส่วนยกยอดไปตอนหน้าอย่างหน้าเสียดาย
    ขณะที่กำลังลงนี้ผมก็ยังคงอยู่กรุงเทพ กำลังรอวันที่22นี้ อยู่อย่างใจจดใจจ่อ แต่ที่มาลงช้าเพราะร้านเน็ตแถวนี้มันหายากเหลือเกิน แถมร้านที่เจอร้านแรกก็กลัวไม่ให้เสียบUSBอีก==” แต่ในที่สุดก็หาร้านอื่นๆได้
    เอาละ ตอนนี้ ผมคงขอหยุดการแต่งชั่วคราวก่อน จะเริ่มปั่นอีกทีหลังจากกาดการ์ตูนครั้งที่4ที่เชียงใหม่ในวันที่23นี้นะครับ จะเอาเวลาไปฟิตซ้อมเตรียมแข่งเกมส์ที่งานนี้ เหอะๆๆ ขออภัยทุกๆท่านด้วย

    แล้วพบกันใหม่ตอนหน้าครับ
  19. ultima

    ultima Active Member

    EXP:
    933
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    36
    Re: BloodY-FanG >>ล่าล้างเขี้ยวโลหิต<< Update!! [ราตรีที่2 "สัญลักษณ์"]

    มาอ่านและนะเพื่อน

    สุดๆ เลยเอ๊าะ บักคริสเนี่ย แถมทากะเองก็เท่ห์ใช่ย่อย

    บุรุษชุดแดงแรงสามเท่านี่เป็นใครหนอ ออกมาโชว์เทพซะงั้น

    แล้วทากะจะรอดจากฝูงแวมไพร์ไหมเนี่ย?
  20. yoshiki

    yoshiki FATE

    EXP:
    862
    ถูกใจที่ได้รับ:
    17
    คะแนน Trophy:
    38
    Re: BloodY-FanG >>ล่าล้างเขี้ยวโลหิต<< Update!! [ราตรีที่3 "ภารกิจ จับกุมเด็กสาวในคำทำนาย"]

    เอ......รอวันที่ 22 ทำไมอ่ะ มีอะไรเหรอ คุคุคุคุคุ

    อุ่ก สู้กันมันหยดตั้งแต่ต้นยันจบเลยนะพี่น้อง เฟทจังตอนกลายเป็นหมานี่นึกสภาพไม่ออกเลยแหะ - -*

    แต่ว่านะ เซฟี่ = เซฟี่รอธ ???? หรือเปล่าหว่า 555+
  21. pop30711

    pop30711 New Member

    EXP:
    1,155
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    Re: BloodY-FanG >>ล่าล้างเขี้ยวโลหิต<< Update!! [ราตรีที่3 "ภารกิจ จับกุมเด็กสาวในคำทำนาย"]

    เอาล่ะสิ สู้กันอย่างเมามันแล้ว.... ทากะ จะรอดจากวิกฤติหรือไม่

    ราอูลเอ๋ย ทำโฮมรันได้ไม่เหมาะกับอายุจริงๆด้วยแหละ

    ปล. คิดเหมือนคนข้างบนเลย เซฟี่ = เซฟิรอธ
  22. shinkyoto

    shinkyoto Well-Known Member

    EXP:
    580
    ถูกใจที่ได้รับ:
    3
    คะแนน Trophy:
    88
    Re: BloodY-FanG >>ล่าล้างเขี้ยวโลหิต<< Update!! [ราตรีที่3 "ภารกิจ จับกุมเด็กสาวในคำทำนาย"]

    เอ่อ ลองอ่านดู กลุ่ม LAST ยังขนาดนี้ แล้วที่บอกว่า กลุ่มทานตะวันเป็นฆาตกรนี่ นึกสภาพไม่ออกจริงๆเลย (จะเละไปกว่านี้ได้ยังไงกัน?)

    London ทั้งเมืองหลบภัยกัน อืมนึกสภาพตามพอออกน่อ (แต่แค่เด็กคนเดียวต้องตามล่ากันขนาดนี้ เชียวหรือ)

    นักเขียนอิสระของเรา นักเขียนจริงๆหรือ? (พกดาบไปไหนมาไหนเนี่ย

    ราอูล (น่าจะพกดาบปลายปืนมาด้วยนะเนี่ย (นักกีฬา K1 หรือไงกันครับ ใช้มือเปล่าจัดการแวมไพร์ทั้งฝูงเนี่ย)

    รอตามตอนต่อไปครึๆๆๆ
  23. derick

    derick Member

    EXP:
    339
    ถูกใจที่ได้รับ:
    1
    คะแนน Trophy:
    18
    Re: BloodY-FanG >>ล่าล้างเขี้ยวโลหิต<< Update!! [ราตรีที่3 "ภารกิจ จับกุมเด็กสาวในคำทำนาย"]

    ขออภัยที่ไม่ได้เมนท์นะครับ เอิ๊ก ๆ อ่านนานแล้วแต่ผมลืมน่ะ -*-

    รู้สึกถึงความพัวพันหลายกลุ่มอย่างมากมาย เอิ๊ก ๆ พวกกางเขนดำดูจะมีบทบาทพอสมควร ชอบหนูเรเซนจัง คิดภาพท่ายิงปืนของเธอแล้วแบบ โอ้ววว....จอร์จ ยิงไรเฟิลหรือร็อคเก็ตน่ะ 5555

    แอบคิดเห็นเช่นเดียวกัน...อาชีพปกติพกอาวุธร่อนไปมา กร๊ากกกกก พกปืนไม่เท่าไหร่ พกดาบนี่สิ เหอ ๆ

    รอตามต่อไปครับ พยายามเข้าเน้อ * *//
  24. Marioak

    Marioak นักข่าว

    EXP:
    786
    ถูกใจที่ได้รับ:
    4
    คะแนน Trophy:
    88
    Re: BloodY-FanG >>ล่าล้างเขี้ยวโลหิต<< Update!! [ราตรีที่3 "ภารกิจ จับกุมเด็กสาวในคำทำนาย"]

    ชักมันส์ขึ้นทุกทีๆ..แต่ว่า..ตอนต่อไปเนี้ย..รอนานแค่ไหนคร้าบบบ~
  25. Hellblueboy

    Hellblueboy New Member

    EXP:
    574
    ถูกใจที่ได้รับ:
    1
    คะแนน Trophy:
    0
    Re: BloodY-FanG >>ล่าล้างเขี้ยวโลหิต<< Update!! [ราตรีที่3 "ภารกิจ จับกุมเด็กสาวในคำทำนาย"]

    ตอนแรกอ่านชื่อตอนไม่จบแล้วตกใจ

    ภารกิจ จับเด็ก!!!
    กลายเป็นฟิคโลลิไปแล้วเรอะ!!!!

    พออ่านครบประโยคก็ค่อยยังชั่ว
    ภารกิจ จับกุมเด็กสาวในคำทำนาย

Share This Page