THE MIST หนังสยองขวัญผลงานกำกับของแฟรงก์ ดาราบอนท์ สร้างจากนิยายของเจ้าพ่อเรื่องสยองขนอย่างสตีเฟน คิงส์ บอกเล่าเรื่องราวของผู้คนในเมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง (น่าจะอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากไซเลนท์ ฮิลล์ ) ที่ต้องอาศัยซุปเปอร์มาร์เก็ตประจำเมืองเป็นแหล่งหลบซ่อนให้พ้นจากมฤตยูหมอกมรณะที่เป็นที่อยู่ของอสุรกายร้าย ไม่มีใครรู้ว่าพวกมันมาจากไหน สิ่งเดียวที่แน่ชัดก็คือเหล่าสัตว์ประหลาดร้ายพร้อมที่จะกระชากเอาชีวิตและวิญญาณของผู้คนทุกคนที่หลงเข้าไปในนั้น หนังทำท่าจะเป็นหนังสัตว์ประหลาดตลาด ๆ ทั่ว ๆ ไป หากแต่ The Mist ได้นำเสนอถึงประเด็นอะไรหลาย ๆ อย่างที่มากกว่านั้น โดยเฉพาะเรื่องของธาตุแท้ของมนุษย์ อันได้แก่ สัญชาตญาณการเอาชีวิตรอด, ความแตกต่างทางความคิด,การตัดสินใจ, สันดานดิบของมนุษย์, ศรัทธาความเชื่อ รวมทั้งความบางเปราะของจิตใจมนุษย์ สิ่งเหล่านี้ค่อย ๆ เผยออกมาเรื่อย ๆ เมื่อมนุษย์ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ความฉลาดล้ำเนื้อสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ไม่มีผล และอยู่ในภาวะที่ไร้ซึ่งความปลอดภัยใด ๆ ในชีวิต จนในท้ายที่สุดเมื่อเปลือกนอกที่ถูกปกปิดด้วยกรอบทางสังคมถูกถอดออก ก็จะเหลือเพียง... เนื้อแท้ของความเป็นมนุษย์... ...สิ่งที่อาจจะน่ากลัวได้ไม่น้อยกว่าปีศาจร้ายในหมอกทึบเลยแม้แต่นิดเดียว ใครดูแล้วคิดอย่างไร รู้สึกอย่างไรมาคุยกันครับ
The Mist ในมุมมองของผมมันได้ทำหน้าที่เสมือนกระจกเงาสะท้อนตัวตนของพวกเราออกมา โดยตลอดทั้งเรื่องตัวหนังจะคอยตั้งคำถามมากมายเกี่ยวกับความเป็นมนุษย์ให้ผู้ชมต้องขบคิดตามไปด้วยโดยไม่รู้ตัว... - การทะเลาะเบาะแว้งของเพื่อนบ้านเรือนเคียงในตอนต้นที่กลับมาช่วยเหลือกันเมื่อเกิดภัยพิบัติ...สร้างคำถามที่ว่ามีบ้างไหมที่เราไม่ชอบหรือเกลียดขี้หน้าผู้อื่นโดยไม่มีเหตุผล - ฉากที่ช่างซ่อมบำรุงยืนยันที่จะออกไปข้างนอกเพื่อซ่อมเครื่องปั่นไฟจนทำให้เกิดการสูญเสียชีวิต 1 ชีวิต...สร้างคำถามที่ว่าเคยไหมที่เรายึดมั่นกับอัตตาของตนเองมากเกินไปจนอาจนำมาซึ่งความผิดพลาด - ฉากที่ทนายผิวดำไม่ยอมฟังคำเตือนของพระเอกว่ามีสัตว์ประหลาดในหมอก คิดว่าเป็นเรื่องกลั่นแกล้งเล่นตลก แล้วตัดสินใจชัชวนคนอื่น ๆ ออกจากซุปเปอร์เพื่อเดินกลับบ้าน ซึ่งนอกจากพวกเขาแล้วไม่มีใครรู้ว่าได้เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา...สร้างคำถามที่ว่าเคยไหมที่เราตัดสินสิ่งต่าง ๆ ด้วยอคติและความรู้สึกในอดีตมากกว่าเหตุและผลในปัจจุบัน - ฉากที่ผู้หญิงผมสั้นต้องการกลับบ้านไปหาลูก ๆ ของเธอ เธอร้องขอเพื่อนร่วมทางไปด้วย แต่หาได้มีใครสนใจไม่ เธอได้สาปแช่งทุกคนในที่แห่งนี้ให้มีอันเป็นไป...แสดงถึงความเห็นแก่ตัว ความกลัวในสิ่งที่ไม่รู้ และความรักของแม่ต่อลูกไปพร้อม ๆ กัน ผมมองว่าฉากนี้ผู้หญิงผมสั้นเองก็เห็นแก่ตัวไม่น้อย ไม่สิ...อาจจะมากกว่าคนอื่น ๆ ด้วยซ้ำ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมในตอนจบเธอถึงเป็นผู้หนึ่งในผู้รอดชีวิต หรือหนังต้องการจะบอกว่า "ตราบใดมีรักย่อมมีหวัง" - การที่ออลลี พนักงานอ้วยเตี้ย ใส่แว่น หัวล้านดูท่าทางไร้น้ำยา แท้จริงเป็นคนที่พึ่งพาได้ และเป็นถึงแชมป์ยิงปืน...ก่อคำถามที่ว่าจริงหรือไม่ที่บ่อยครั้งมนุษย์เราก็มักที่จะเชื่อภาพลักษณ์ภายนอกที่เห็นได้ด้วยตามากกว่าตัวตนจริง ๆ ที่เราสามารถสัมผัสได้ด้วยหัวใจ - การที่ผึ้งปีศาจไม่ทำอะไรป้าคาโมดี้ อาจเป็นเพราะเธอศรัทธาในพระเจ้า แต่หากมองในหลักธรรมชาติ อาจเป็นเพราะว่าเธออยู่นิ่ง ๆ ไม่รบกวน ไม่ต่อต้านและปล่อยพวกมันตามธรรมชาติ และนี่คือคำถามที่ว่า...แท้จริงแล้วมนุษย์เองหรือเปล่าที่เป็นสิ่งแปลกปลอม และขัดแย้งกับสิ่งอื่น ๆ ในธรรมชาติ - ฉากที่คนในซุปเปอร์กว่า 90% กลายเป็นสาวกป้าคาโมดี้...บอกถึงประเด็นความเปราะบางของจิตใจมนุษย์ ที่ต่อให้มีการพัฒนาทางด้านวิทยาศาสตร์เพียงใด มนุษย์เราก็ยังคงต้องการที่พึ่งพิงทางจิตใจ และเมื่อใดที่จิตใจมนุษย์เต็มไปด้วยความไม่รู้ ความหวาดกลัว มันจะทำให้มนุษย์เป็นสัตว์ที่อ่อนแอและถูกชักจูงได้โดยง่ายเช่นกัน - ฉากน่าเศร้าของทหารหนุ่มที่ถูกกระทำทารุณไม่สมกับสิ่งที่มนุษย์พึงกระทำกับมนุษย์...ตอกย้ำถึงความเห็นแก่ตัวของพวกเราที่ชอบหา "แพะ" รับบาปในทุก ๆ เรื่อง ทั้งยังตั้งคำถามที่น่าหวาดหวั่นได้ว่า "โดยพื้นฐานแล้วมนุษย์เป็นคนดี" นั้นจริงหรือ - ฉากสุดท้ายของเสียงปืน 4 นัด กับการรอดชีวิตของพระเอก เหมือนจะเป็นฉากจบตลกร้ายที่ทรมานใจคนดู แต่นี่คือการกระตุ้นเตือนให้พวกเราไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคต่าง ๆ ที่เข้ามาในชีวิต เพราะสิ่งนี้นี่เองที่ทำให้มนุษย์ก้าวมาถึงปัจจุบันได้ และทำให้เราได้คิดว่าจริง ๆ แล้วไม่มี "ที่สุด" ของการพยายามก็ได้ และสุดท้าย...ความรู้สึกร่วมระหว่างดูหนังของคนทั้งโรงแสดงให้เห็นว่าหนังเรื่องนี้มัน "จี๊ด" จริง ๆ ครับ :aha:
ที่จริงก็ไปดูมาตั้งแต่มันเข้าอาทิตย์แรก แต่ช่วงนี้ตัวเป็นขนเลยขี้เกียจตั้งกระทู้รีวิวล่ะ เราเป็นคนที่ชอบดู effect อะ ก็เลยไปดูสัตว์ประหลาด ซึ่งก็ไม่ผิดหวังนะ ดีไซน์ตัวเล็กๆมันใกล้เคียงกันไปหน่อย เนื้อเรื่องตอนแรกคิดว่าเป็นแนวไสยศาสตร์ซะอีก พอเข้าไปดูดันเป็นไซไฟซะงั้น ซึ่งชอบเลยแหละ กรี๊ด ๆ ตอนดูเรารู้สึกอินไปตามอารมณ์เนื้อเรื่องมากเลยแหละ มันเครียดกดดัน พูดอะไรให้ฟังก็ไม่มีคนเชื่อ แถมศัตรูก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ คนไม่มีเหตุผลเป็นคนชนะอยู่เรื่อยไป ดูจบเราเลยได้พบว่า.....มันเครียดจังอ่ะ หนังมันสนุกดีมาก แต่ช่วงนี้ไม่ค่อยอยากเครียดเลยไม่ค่อยแฮปปี้หลังดูจบ เหตุการณ์ตอนจบเราก็ว่าไม่สมเหตุสมผล เพราะถ้าเป็นเราจะลงเดินต่อไปดีกว่า ให้โดนแมลงกินก็ยอม ถ้าให้คะแนน ให้8 แต่-2ตามอารมณ์คนดูอะคับ - ออลลี่เท่จัง - ดูแล้วยิ่งเกลียดศาสนามากขึ้น
แวะมาดูสปอยล์ ว่าน่าสนุกไหม ท่าทางน่าดูแฮะ จากประโยคนี้ ถ้าเดาไม่ผิด คุณคงเป็นแฟนเรื่อง Golden compass (เหมือนผม)แน่เลย
อยากดูเหมือนกันเรื่องนี้ เพราะเห็นสัตว์ประหลาดมันทำออกมาเนียนดี แต่ไม่ชอบเรื่องเครียดๆ เท่าไร อีกอย่างเราไม่ถูกกับนิยายของตาคิงนี่ด้วย ประมาณว่าอ่านแล้วไม่รู้เรื่อง ไม่ชอบที่ยัดเยียดเรื่องsexเข้ามาในเรื่องบ่อยๆ แถมบรรยายซะ...(ถ้าใครอ่านนิยายจะเกต แต่ในหนังไม่ค่อยมีหรอก) แต่ถึงจะอ่านของตาคิงไม่เยอะ (เรื่องนี้ก็ไม่ได้อ่าน) เราว่าThe firestarterนี่หนุกสุดแล้วล่ะมั้ง คงเพราะตอนจบมันสะใจดี ระเบิดเถิดเทิงกันไปเลย- -b
รู้สึกแบบนี้ค่ะ.. ดูจบแล้วรู้สึกแปลกๆกับการกระทำของ4คนในรถ คือมันค้านๆกันยังไงไม่รู้ เพราะที่อุตส่าห์เสี่ยงออกมาตอนแรกเพราะอยากมีชีวิตรอดนี่นา ที่สำคัญ 4คนนี้ยังมีความกล้าเสี่ยงอยู่ในตัวอยู่แล้วด้วย ถึงรถน้ำมันหมดก็น่าจะกล้า ไปเดินหาปั๊มมากกว่ามายิงตัวตายหมู่กัน = =
เอ่อ ที่จริงก็เดาผิดล่ะครับ เพราะยังไม่เคยดูเลย แต่ไหน ๆ ก็มีคนชี้ช่องให้แล้ว ก็ชักอยากไปลองดูซะแล้วสิ
เคยดูเรื่อง Dream Catcher(พิมพ์ถูกป่าวหว่า) ไหมครับ เป็นผลงานของสตีเฟนคิงเหมือนกัน ตอนแรกซ้อแผ่นมาดูเห็นเขียนว่า แนวสยองขวัญ พอได้ดูจนจบเรื่อง "เห้ย....มันสยองขวัญตรงไหนฟะ แนวไซไฟคล้ายๆเอเลี่ยน ชัดๆๆ -.- " สุดท้ายกลายเป็นว่าเด็กออทิสกลายเป็นคนช่วยโลกซะงั้น =[]= (ดูมาตั้งนาน พระเอกเหมือนตัวประกอบเป้ะ)
ดูแล้วรู้สึกว่า 'โธ่เอ๋ย ชีวิต' มากๆค่ะ ตอนจบรู้สึกว่า ทำไมบ้ากันยังงี้ เผชิญกับปัญหากันมาทั้งเรื่อง มาหนีปัญหาเอาตอนจบกันดื้อๆเงี้ยนะ?? ดูจบแล้วหดหู่ไปพักนึงเลย นึกถึงตอนหมอกค่อยๆจาง โอ๊ยยย บีบหัวใจสิ้นดี กับประเด็นศาสนาในเรื่องนี้เราเฉยๆกับตัวศาสนานะ ปัญหามันอยู่ที่ตัวป้าแกเองมากกว่าอ่ะค่ะเราว่านะ ตอนแรกๆไม่เท่าไหร่ ดูเป็นยัยเพี้ยนธรรมดา พอฉากสังเวยเลือดนี่ อึ้งไปเลย สรุปว่าเข้าขั้นบ้าจริงๆใช่มั้ยเนี่ย แต่ถ้าเราต้องเจอเหตุการณ์แบบนั้นก็อาจจะเป็นอีกคนนึงที่หลงคารมยัยป้านั่นก็เป็นได้ = ='