ความเชื่อ บางอย่างในสายตาของพวกเรา ก็ดูน่าตลก น่าขบขัน แต่เรามั่นใจมากน้อยขนาดไหน ว่าความรู้ ความเข้าใจที่เราศึกษา ที่เราได้รับจากสื่อต่างๆทุกวันนี้ มันเป็นความจริงที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว แล้วเป็นเช่นนั้นจริงๆ? ถ้าเราใช้ความรู้ ความเข้าใจที่ยังไม่เคยศึกษาอย่างถ่องแท้ ด้วยตัวเอง ไปตัดสิน ความเชื่อต่างๆที่เกิดขึ้น ผมว่า เราก็ ตกอยู่ใน "อำนาจ" ของ "ความเชื่อ" เหมือนกันนะ ความเชื่อว่า วิทยาศาสตร์ จากหนังสือ จากสื่อต่างๆ เป็นความจริง!!!! -------------------------------------- ปล. ผมรู้สึกไม่ค่อยสบายใจทุกครั้งที่เห็นความคิดเห็น เชิงดูถูก คนอื่นๆเลย จริงๆครับ ปล2. ผมพิมพ์ข้อความ แบบใน "ปล." มาหลายหนแล้วเหมือนกัน นับตั้งแต่ บอร์ดนี้ มีขึ้นมา ต่างกรรม ต่างวาระเท่านั้นเอง
[action]เข้ามานั่งฟังพี่อโล[/action] ผมว่า ทุกคนคงไม่มีเจตนาจะดูถูกขนาดนั้นหรอกครับ เพียงแต่... เอ้อ มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน จะมีกระทบกระทั่งบ้างก็ธรรมดา...มั้ง ส่วนตัวผมๆไม่ชอบอยู่แล้ว แต่จริงๆเป็นเดือดเป็นแค้นกับตอนที่ทำกับในหลวงมากกว่า (ทำไมก็ไม่รู้...) อย่างไรก็ตาม ถ้าเราเชื่อในหลักคำสอนพระพุทธองค์ ก็มั่นใจได้เลยว่า ผู้ใดทำกรรมใด ย่อมได้รับกรรมนั้น กรรมที่เหยียดหยามพระพุทธเจ้าหนักเพียงไหน ก็เพียงนั้นแหละที่เขาจะได้รับ ปล. ผมยังไม่ได้ตามลิงค์ไปดูนะ เพราะไม่อยากเห็นภาพแบบนั้น
ผมไม่ได้ตั้งใจจะพูดดูถูกอะไรคนอื่นหรอกนะครับ แต่สาเหตุที่ผมพูดแบบนั้น ก็เพราะ ผมเคยเจอเรื่องนี้มากับตัวเองแล้ว ตอนผมเด็กๆน่ะ มันมีสาเหตุที่ทำให้ผมคอยโกธรและดูแคลนคนที่ทำแบบนั้นอยู่ตั้งแต่เด็ก โตมาผมก็เลยฝังใจ กลายเป็นคนที่ไม่ชอบการกระทำแบบนั้นไป (อาจจะพูดว่าเกลียดเลยก็ได้) เพราะงั้น เวลาเห็นข่าวแบบนี้ ผมมักจะถามตัวเองในใจเสมอว่า มันมีสาเหตุอะไร ที่ทำให้คนเหล่านี้ ต้องกระทำแบบนี้ เพื่อที่จะได้สิ่งที่ไม่รู้ว่ามีหรือไม่มีมา ปล. ขออภัยอีกครั้งครับ สำหรับคนที่ไม่พอใจในคำพูดผม m (_ _) m EDIT : ขอขอบคุณท่านอโลที่เตือนสติครับ ค่อยคิดได้หน่อย รู้สึกว่าที่ผมพูดมา มันเป็นเพราะอารมณ์จริงๆด้วยแหละ ^^;
ผมว่า เวลาเห็นอะไรสะเทือนใจเกี่ยวกับความเชื่อของผม ตัวหนังสือดูจะมีผลกับผมมากว่าภาพ การตัดต่อล้อเลีียนอะไรนี่ ผมไม่ได้มีปัญหาอะไร(เพราะผมเสพสื่อฝรั่งมากกว่าสื่อไทย ผมเลยเคยชินกับการอิสระสุดโต่งของพวกนั้น) แต่ที่ผมอ่านแล้ว เปรี้ยงจริงๆ คือเรื่อง ที่ผมอ่านเจอในหนังสือประวัติศาสตร์เล่มหนึ่ง ที่พูดถึงศาสนาต่างๆ กล่าวถึง ศาสนายุคแรก(ก่อนพุทธ คริส อิสลาม) จะนับถือเทพีและเพศแม่ แต่ยุคหลังจะนับถือเทพชาย และสตรีโดนดูถูก"แม้แต่ศาสนาพุทธ" เขาว่าว่า พระพุทธเจ้าให้เหตุผลกับพระอานนท์เรื่องที่ไม่ให้หญิงบวชเป็นสงฆ์เนื่องจาก "สตรีมากด้วยตัญหา สตรีมากด้วยความลุ่มหลง สตรีมากด้วยความโลภ" ซึ่งทางคนแปล ได้ติดต่อคนเขียน ได้แจ้งว่าเป็นข้อมูลจากหนังสือสองเล่ม ที่ผูเขียนใช้อ้างอิงแต่ในพระไตรปิฏกฉบับได้มิได้กล่าวถึง เรื่องนี้ทำให้ผมหนักใจมากว่าเรื่องภาพตัดต่อเยอะเพราะมัน สะเทือน ต่อศรัทธาของผมโดยตรง เรื่องที่ศาสดาของเรา เป็นศัตรตูของ เฟมมินิสนี่ ทำให้ผมช๊อกเลยเหมือนกัน แถมไม่สามารถพิสูจได้ด้วย ว่า มันไม่จริง เพราะ ยุคนั้น เป้ฯยุคที่มีการเหยียดเพศจริงๆ เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่า พระพุทธเจ้า จะต่างจากผู้อื่นหรือเปล่า บางทีอาจไม่ใช่ความผิดของท่าน แต่มันก็สะเทือนต่อคำสอนที่ว่า"ท่านตรัสรู้แทบทุกสิ่ง ตัดขาดจากทุกสิ่ง" แต่ยังถูกพันธนาการจากระบบปิตาธิปตัย(ผู้ชายเป็นใหญ่ ) อันน่ารังเกียจนี้
เป็นสิ่งที่ถ้าค้นคว้า ให้รู้สาเหตุ ก็จะได้รู้วิธีแก้ไข ทำความเข้าใจ ว่าอะไรเป็นอะไร อย่าปล่อยให้ ความโกรธ ความขาดสติทำให้ ความคิดดีๆ ของเราหายไปเลยครับ ส่วนใน reply ของ cdaz ผมไม่แน่ใจ ว่าจริงเท็จเป็นอย่างไร แต่ถ้าจะเอา ref. ที่ถูกต้อง ต้องไปค้นคว้า พระไตรปิฎก มายืนยัน ประกอบครับ จึงจะเหมาะสม ถ้าคลางแคลงใจมาก ลองไปค้นคว้าดูนะครับ ====================================== การค้นคว้าหาความจริง ตามเหตุและผล เป็นวิธีทางวิทยาศาสตร์ ที่ควรกระทำครับ สู้ๆ @@>
สตรีมากด้วยตัญหา สตรีมากด้วยลุ่มหลง สตรีมากด้วยความโลก... อันนี้คงต้องไปอ่านเสียดายคนตายไม่ได้อ่านเอาเองแล้วละครับ ว่าม้ันเป็นความจริงหรือความเชื่อ...
ขออนุญาตนะครับ แต่รู้สึกว่าประเด็นมันชักจะเกี่ยวข้องเรื่องหลักศาสนามากไปเสียแล้ว มันจะไม่เบียดเบียนความเชื่อของคนที่ศรัทธาไปหน่อยหรือครับ m(_ _)m
ฝรั่งเขาไม่ถือเรื่องนี้ครับ ขนาดพระเยซูพี่แกยังเอาไปทำล้อเลียนบ้าๆบอๆซะเสียคนเลย วัฒนธรรมมันต่างกัน ส่วนตัวผมไม่รู้สึกเดือดร้อนอะไร ถ้ามันไม่แรงเกินไป(เช่นที่เอาพระพุทธรูปเสิรมในรูปปั้นร่วมเพศ ดังที่เคยเป็นข่าว) พระพุทธเจ้าสอนไว้แล้วว่า อย่ายึดติดกับวัตถุ พระพุทธรูปมันก็แค่ก้อนดินปั้นก้อนนึง
ถ้าพระพุทธเจ้ามาเห็นเข้าคงหัวเราะเสียมากกว่าครับ ... ท่านมองโลกแง่บวกสุดๆนะ... โดนด่าว่าไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด ท่านสวนกลับว่าก็ถูกแล้วนิ นิพพพานคือไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด เพราะงั้นเราไม่ควรจะเดือดร้อน เพราะมันก็แค่ภาพธรรมดา
ก็ยังมีคนอยู่หลายคนแหละครับ ที่ทำเรื่องพวกนี้แล้วไม่รู้สึกแย่หรืออะไรเลย กลับรู้สึกดีและมีความสุข =w='' โดยส่วนตัวไม่ใช่คนพุทธ เลยไม่ทราบว่าจะพูดถึงอย่างไรดี แต่จากความรู้ที่ได้เรียนมา พระพุทธเจ้าท่านทรงสอนไม่ให้ยึดติดกับสิ่งของและวัตถุบนโลก >< หากสิ่งที่ทำเป็นเวร เป็นกรรม สิ่งนั้นก็ติดตัวคนทำไป
เว็บโดนแบนเรียบร้อย(ล่ะมั้ง)แล้วค่ะ สมควร ขอพูดแค่ "ขายไม่ออกหรอก ตัดต่อห่วยมาก" ละกัน ไม่อยากแสดงความเห็นอื่นค่ะ
ศาสนาพุทธ นอกจาก วัตถุแล้ว คำสอนยังกล่าวถึง สิ่งที่ไม่ใช่วัตถุ สิ่งที่เป็นนามธรรม อารมณ์รับรู้ทั้งหลาย ทั้งปวงด้วยครับ แต่ไม่ได้แปลว่า ให้ปล่อยปละละเลยนะครับ ก้าวแรก ต้องเริ่มจาก รู้จัก "รู้" ก่อนครับ ว่าทันทีที่เราเห็น ได้ยิน สัมผัส หรือมีอะไรมากระทบจิตใจ ร่างกายเราก็ตาม เรา รู้สึก อย่างไร ชอบใจ ไม่ชอบใจ ร้อน อุ่น เย็นหนาว บลาๆ ยังมีอะไรที่ควรศึกษา และปฎิบัติอีกมากจริงๆครับ