แหมเเข้มาก็หลงไม่ฉลาดอยู่นาน ตายเเล้วนี่ฉันล็อคอินไม่ได้ ลืมพาสเวิร์ด ว่าไปนั่นกดไปมาถึงมารูว่าเปลี่ยนบ้านนี่เอง :555: สวยงามมากๆเลยค่ะ บทนำ พระจันทร์สีนวลทอเเสงสะท้อนผืนน้ำ นักเดินทางที่ไม่รู้จุดหมายของตัวเองว่าอยู่ที่ใด ล้มตัวลงแหงนมองท้องฟ้า ดวงดาราช่วยบอกความปรารถนาของข้าให้รู้หน่อยจะได้ไหม? ในห้วงเวลาที่สวนทาง คงอยู่ที่นั่น...พรมลิขิตของความไม่เเน่นอน ออกเดินทางต่อไปเพื่อนร่วมทางที่พลัดหลง คงมีสักวันได้พบกันอีกครา... ร่างบางในชุดสีขาวบรรเลงเพลง เสียงฮาร์ฟที่นุ่มนวล แผ่วเบา ชวนให้ผู้คนที่ผ่านไปมาต้องหยุดฟัง เพลงแห่งการพลัดพราก ณ สุดปลายขอบฟ้าไกล เปรียบสายลมหนาวที่เย็นชา ทำตัวข้าให้สั่นไหว ขอวอนสายลมที่พัดผ่าน หากร่างถึงกาลต้องจากไป โปรดชี้นำทางสว่างไสว ให้พานพบได้สักครา ดินแดนแห่งรัตติกาลที่มีเพียงแสงจันทร์ส่องสว่างเพียงเล็กน้อยถูกปกคลุมไปด้วยผืนป่าใหญ่ ลมพายุกำลังพัดโหมกระหน่ำเหนือสิ่งก่อสร้างอย่างหนึ่งที่ตั้งอยู่ส่วนลึกที่สุดของป่า ณ วิหารอันโอฬารแลเงียบงันในยามวิกาลอย่างนี้ก็ยังมีผู้มาเยือน เงาของชายสองคนเดินออกมาจากตัววิหาร นัยน์ตาสีดำสนิท ล่องลอยราวกับไม่รู้สึกตัว แขนของพวกเขาแบกรูปปั้นชายหนุ่มสีขาวขนาดใหญ่ซึ่งในมือเขาถือดาบเรียวไว้ออกมา แต่ยังไม่ทันไปไหนได้ไกลนักชายคนแรกก็ก้าวพลาดตงลงไปในทะเลสาปกว้างซึ่งขวางอยู่หน้าวิหาร ทำให้เพื่อนของเขาที่ตามมาข้างหลังตกลงไปอีกคน รูปปั้นใหญ่กดพวกเขาให้ถูกกลืนลงไปใต้ทะเลสาปที่มืดมิด ฟองอากาศที่ลอยขึ้นมาบนผืนน้ำค่อยๆหายไปก่อนจะนิ่งสงบ พวกเขาไม่มีโอกาสแม้เเต่จะพยายามตะเกียกตะกายเอาชีวิตรอด ภายในส่วนกลางวิหาร ผลึกแก้วสีดำเหลือบม่วงลอยอยู่กลางห้องซึ่งล้อมรอบด้วย แท่นหิน 7 แท่น ซึ่งมีร่องรอยของบางสิ่งบางอย่างซึ่งเคยตั้งอยู่ บัดนี้เหลือเพียงรูปปั้นหญิงสาวของเธอซึ่งในมือถือคทาไว้เท่านั้น ในขณะที่ผลึกแก้วนั้นเริ่มมีรอยร้าว ก่อนที่ควันสีม่วงจะค่อยๆเล็ดลอดออกมา พลันเกิดสายฟ้าฟาดเหนือดินแดนที่อยู่ติดกัน ดินเเดนที่มีแสงสว่างในยามเช้า บัดนี้ความมืดเริ่มเข้าปกคลุมเเล้ว... ณ จักรวารกว้างใหญ่ที่อยู่ไกลโพ้น..... เรื่องราวที่กำลังจะกล่าวถึงนั้นอยู่ในอีกมิติหนึ่ง ดาวซึ่งเป็นคู่ขนานกับโลกหรือที่เรียกอีกชื่อว่า “เงา” ดินแดนแห่งนี้แบ่งการปกครองออกเป็นแต่ละเผ่า ซึ่งทุกเผ่าต่างก็มีความเป็นเอกเทศในการปกครอง และมีลักษณะเฉพาะตัวที่แตกต่างกันออกไป อาณาจักรเซเรน(เผ่าน้ำ) อาณาจักรที่ตั้งอยู่เหนือสุด ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะเเละน้ำแข็งตลอดปี แต่ถึงแม้ว่าอากาศในอาณาจักรแห่งนี้จะหนาวเย็นจับขั้วหัวใจ แต่ความหนาวเย็นก็ไม่อาจหยุดยั้งความงดงามแห่งทัศนียภาพของที่แห่งนี้ได้ อย่างไรก็ตาม การที่จะเข้าไปภายในอาณาจักรแห่งนี้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย อุปสรรคขวากหนามนานัปการกำลังรอคอยผู้ที่จะเหยียบย่างเข้าสู่ผืนแผ่นดินนี้อย่างเงียบเชียบ หุบเขาน้ำเเข็งที่เย็นเยือก ถ้ำไม่ย้อนกลับ ลำธารน้ำวน เเละอุปสรรคอีกต่างๆ นานา ไม่เคยปล่อยโอกาสที่จะเหยียบขย้ำเหยื่อที่ผ่านมาอย่างไร้ซึ่งความปราณี ว่ากันว่าผู้คนในอาณาจักรนี้เชี่ยวชาญทั้งการยุทธ์ และเต็มเปี่ยมไปด้วยสติปัญญาอันเฉลียวฉลาด หากแต่ด้วยความรักสงบอาณาจักรนี้จึงไม่เคยคิดที่จะไปรุกรานอาณาจักรอื่นใด อาณาจักรแลมเบิร์ด(เผ่าสายฟ้า) เป็นอาณาจักรที่ทุกๆ ปีจะมีฤดูกาลหนึ่ง ที่ไร้ซึ่งแสงตะวัน ในช่วงเวลานั้น ทั่วทั้งราชอาณาจักรจะถูกปกคลุมไปด้วยความมืดแห่งรัตติกาล คนเผ่านี้มีฝีมือในการสู้รบค่อนข้างสูง เเต่ก็ถือเป็นอีกอาณาจักรหนึ่งที่ค่อนข้างรักสงบ เซเรนเเละแลมเบิร์ดทั้งสองอาณาจักรเป็นอาณาจักรเพื่อนบ้านที่มีสัมพันธไมตรีต่อกันมาโดยตลอด จนกระทั่งเมื่อสิบสองปีก่อน การกบฏที่ก่อขึ้นโดยฝีมือของอำมาตย์คนสนิทแห่งอาณาจักรแลมเบิร์ดได้คร่าชีวิตของพระราชา และพระราชินีไปตลอดกาล หรือแม้แต่องค์รัชทายาทก็ได้หายสาบสูญไปในเหตุการณ์ครั้งนั้น ผู้คนล้วนแล้วแต่ลงความเห็นว่า พระองค์คงจะสวรรคตไปแล้วแน่ๆ และนับแต่นั้นเป็นต้นมาความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองอาณาจักรก็ได้สิ้นสุดลง ถัดลงมาคืออาณาจักรลาส(เผ่าไฟ) เป็นอาณาจักรที่มีความอุดมสมบูรณ์มาก ทางตอนใต้ติดกับทะเล ผู้คนในอาณาจักรนี้ต่างก็หลงใหลในการต่อสู้ ส่งผลให้อาณาจักรนี้เต็มไปด้วยนักรบฝีมือฉกาจมากมาย กองกำลังทหารจึงเข้มแข็งมาก ทางฝั่งตะวันออกของอาณาจักรแห่งนี้ มีภูเขาขนาดใหญ่ทอดตัวยาวลงมาทำให้แผ่นดินฝั่งนี้กลายเป็นพื้นที่ที่มีแต่ความแห้งแล้ง และเกิดหมู่บ้านร้างขึ้นหลายแห่ง อาณาจักรฟีเรียส(เผ่าลม) เป็นอาณาจักรที่ถูกรายล้อมไปด้วยภูเขามากมาย มีความอุดมสมบูรณ์พอสมควร และมักจะได้รับความช่วยเหลืออาณาจักรลาสเป็นครั้งคราวเมื่อถึงช่วงฤดูแล้ง คนในอาณาจักรนี้มีความสามารถในการต่อสู้ไม่สูงเท่าใดนัก พวกเขาส่วนใหญ่มักจะเน้นการป้องกัน ซึ่งเกราะกำบังของพวกเขาถือว่าแข็งแกร่งเป็นที่สุด ตรงกลางระหว่างสี่อาณาจักรนั้นคืออาณาจักรเอลด์(เผ่าไม้) หรือเรียกอีกชื่อว่าป่าศักดิ์สิทธิ์เอลด์ เป็นที่อยู่อาศัยของเหล่าเอลฟ์ตรงส่วนกลางของอาณาจักรมีต้นไม้ใหญ่ที่สูงเสียดฟ้า ไม่มีใครรู้ว่าที่อยู่บนสุดนั้นคืออะไร แม้จนถึงทุกวันนี้ก็ยังคงเป็นปริศนาอยู่ อาณาจักรที่ล่มสลาย เกลิน(เผ่าดิน) ห้าสิบปีก่อนอาณาจักรเกลินถูกเผ่าปีศาจโจมตีเพราะต้องการโถแห่งพสุธาที่สามารถบรรจุน้ำไม่มีสิ้นสุด พวกมันต้องการไปทำไมและเพื่ออะไรไม่มีใครสามารถตอบคำถามเหล่านี้ได้ สงครามที่เผ่าปีศาจชิงลงมือก่อนนั้นรวดเร็วจนอาณาจักรเกลินไม่ทันตั้งตัว เเม้ว่าทันทีที่อีกทั้งห้าอาณาจักรทราบข่าวเเละส่งกองกำลังมาสนับสนุน หากเเต่เมื่อพวกเขาไปถึงไม่ทันการเสียเเล้ว เหล่าผู้รอดชีวิตบางส่วนอยู่อย่างหลบๆซ่อนๆปะปนอยู่ตามอาณาจักรต่างๆ เผ่าอสูรโดยส่วนมากจะมีรูปร่างลักษณะที่น่ากลัว หากยิ่งมีอำนาจหรือพลังที่มาก เท่าใดก็จะมีลักษณะคล้ายมนุษย์มากขึ้นเท่านั้น พวกมันจะถือศักดิ์ศรีของตนเป็นอย่างมากคอยแต่จะสั่งการให้เผ่าปีศาจซึ่งอยู่ใต้อานัตย์ไปทำภารกิจต่างๆแทนตนเอง พื้นที่เกือบทั้งหมดเป็นทะเลทรายและบ่อลาวาจึงถือเป็นอาณาจักรที่แห้งแหล้งและขาดแคลนอาหาร เผ่าคนแคระ พวกมันไม่ค่อยฉลาดเท่าไหร่ และค่อนข้างโมโหง่าย มีความสามารถในการต่อสู้ต่ำมาก จึงต้องใช้ความตัวเล็กกว่าให้เป็นประโยชน์ พวกมันชอบลอบทำร้ายเเละหลบซ่อนตัวอย่างรวดเร็ว ส่วนใหญ่มักเห็นแก่ตัวเเม้แต่พวกเดียวกันก็ไม่เว้น เผ่ายักษ์ พวกมันอาศัยอยู่ตามป่าลึกเเม้มีพละกำลังมหาศาล แต่กลับดูเหมือนว่าเผ่าคนเเคระยังฉลาดกว่าพวกมันด้วยซ้ำโดยส่วนมากไม่ค่อยมีใครพบพวกมันเพราะนอกจากจะอาศัยอยู่ในป่าลึกที่ไม่มีใครเข้าไปเเล้วพวกมันยังชอบอาศัยอยู่ตามถ้ำด้วย ลอร์ด ออฟ ดราก้อน เหล่ามังกรที่แข็งแกร่งที่สุดเเม้มีจำนวนไม่มากนัก พวกมันไม่ยุ่งกับเรื่องของโลกภายนอก และจะอาศัยอยู่แต่ภายในอาณาเขตของตนเท่านั้น การจะเข้าไปในอาณาเขตของมันเป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก ไม่มีใครเคยเข้าไปได้เลยแม้แต่คนเดียว แต่จะว่าไปแล้ว ที่ไม่มีใครเคยเข้าไปได้ น่าจะเป็นเพราะไม่ค่อยมีใครคิดที่จะย่างกรายเข้าไปต่างหาก และด้วยเหตุนี้เอง บางครั้งจึงมักมีคนกล่าวกันว่าลอร์ด ออฟ ดราก้อน ก็เป็นเพียงแค่ตำนานที่หลอกให้ผู้คนเชื่อว่ายังมีชนเผ่าที่แข็งแกร่งเหนือสิ่งอื่นใดหลงเหลืออยู่ ทางฝั่งตะวันออกถัดจากอาณาจักรฟีเรียสและแลมเบิรด์ไปเป็นอาณาจักรที่อยู่หลังทิวเขาที่เป็นแนวยาวของทวีปแห่งความมืด ไม่มีใครรู้ว่าสิ่งที่อยู่ข้างหลังนั่นเป็นอะไรและมีอะไรอยู่บ้างเพราะไม่เคยมีใครกล้าที่จะเข้าไปมาก่อน ความจริงแล้วอาจเคยมีใครสักคนเคยเหยียบเข้าไปที่นั่นก็เป็นได้ เพียงแต่พวกเขาไม่สามารถเอาชีวิตรอดกลับออกมาเล่าเรื่องราวให้คนอื่นๆได้ฟังกัน *คำเตือนอนึ่งนิยายเรื่องนี้เป็นนิยายเรื่องแรก ^^; อาจทำให้หลายท่านต้องผิดหวังประมาณท่าทีทีเหลว :scare: แต่ก็จะพยายามทำให้ดีที่สุดก็เเล้วกันค่ะ
บทที่1 หิมะสีขาวโพลนปกคลุมไปทั่วอาณาจักรตั้งแต่ต้นไม้ ใบหญ้าที่จับต้องได้ไปจนถึงซอกมุมของภูเขาที่แม้แต่สายตาก็มิอาจหยั่งถึงดินแดนที่เหล่าภูติหิมะอาศัยอยู่ ภายในปราสาทน้ำแข็งที่ตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเขาเสียงฮาล์ฟที่บรรเลงเพลงอย่างช้าๆ สะกดบริเวณโดยรอบให้เงียบสงัดหากไม่นับเสียงฝีเท้าของเหล่าเสนาอำมาตย์ที่กำลังวิ่งไปทั่วด้วยสีหน้าที่ร้อนรนกับสิ่งที่เกิดขึ้น “องค์ชายเฟริคทรงหนีไวจริงๆ” เสนาคอร์เสคขยุ้มผมสีน้ำตาลอ่อนของเขาอย่างหัวเสียแล้วกวาดนัยน์ตาสีเดียวกันไปรอบๆทางเดินที่เป็นสีขาวตั้งแต่พื้นจรดเพดานซึ่งปูด้วยพรมสีเงินปักด้วยดิ้นสีขาวมุกจึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะหาเจอ “แยกย้ายกันตามหาเร็ว!!!” เขาหันไปสั่งทหารที่ตามมา ทันทีที่พวกเขาออกจากบริเวณนั้นร่างของบุคคลที่ถูกตามหาก็กระโดดออกมาจากที่ซ่อน เด็กหนุ่มผู้มีใบหน้าคมสันผิวสีขาวจัด ตัดกับเรือนผมสีดำสนิทนัยน์ตาสีน้ำเงินที่ดูเหมือนยิ้มอยู่ตลอดเวลาเปล่งประกายราวกับอัญมณีเลอค่าเขาสวมเสื้อคอเต่าแขนยาวสีขาวขอบเงินตัวโปรดซึ่งคงเป็นเหตุที่ทำให้หาตัวได้ลำบากเพราะทั้งปราสาทใช้แค่โทนสีขาวกับสีเงินเท่านั้นส่วนผมของเขาก็แค่ใช้ผ้าคลุมเอาไว้ก็พรางตัวได้ไม่ยากบนไหล่ของเขามีจิ้งจอกเก้าหางสีขาวตัวเล็กเกาะอยู่นัยน์ตาสีดำขลับของมันจ้องมองไปยังผู้เป็นนายก่อนเอ่ยถาม “นายเนี่ยชอบหาเรื่องให้คนอื่นเเบบนี้ตลอดหรือไงกันหา?” “เอาน่าแอดอฟ”เขาตอบอย่างไม่ใส่ใจเสียงทุ้มของเขาฟังดูขี้เล่นเเต่ก็แฝงไปด้วยความหนักเเน่นกังวานนัยน์ตาสีน้ำเงินมองไปรอบตัวกระตุกยิ้มที่มุมปากก่อนจะวิ่งหายไปอีกครั้ง ณสวนหย่อมภายในปราสาทที่ถูกจัดแต่งอย่างสวยงามในช่วงฤดูหนาวมีเพียงดอกสโนว์ดรอปเท่านั้นที่ขึ้นอยู่เต็มไปหมดและลำธารสายเล็กๆที่ไหลผ่านเหล่าดอกไม้นานาพันธุ์ บัดนี้ได้กลายเป็นน้ำแข็งไปจนหมดเสียงฮาร์ฟที่แว่วมาจากริมน้ำพุที่ทำมาจากหินอ่อนสลักลายสวยแต่กลับมีเสียงแทรกขึ้นในท่วงทำนองการบรรเลงที่แสนไพเราะให้ต้องหยุดชะงักลง “ขอประทานอภัยองค์หญิงฟรีเซีย!”เสนาผู้ใจร้อนผลุนผลันเดินตรงเข้าไปหาเด็กสาวที่นั่งอยู่ริมขอบบ่อน้ำพุอย่างถือวิสาสะร่างบางในชุดผ้าชีฟองสีขาวเงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆดวงหน้าสวยที่ฉายแววอ่อนโยนจนมิอาจละสายตาได้เเม้เพียงเสี้ยววินาทีใบหน้าขาวละมุนดุจหิมะ รูปร่างเล็กบอบบางราวเปลือกไข่ริมฝีปากสีชมพูอ่อนๆเผยยิ้มที่ราวน้ำค้างฤดูใบไม้ผลิเรือนผมสีดำที่ถูกปล่อยยาวถึงสะโพกไหวตามสายลมอ่อนๆ ราวภาพวาดนัยน์ตาสีน้ำเงินใสจับจ้องไปยังเหล่าผู้มาเยือนอย่างสงบนิ่งราวกับว่าเธอพอจะเดาเหตุการณ์ได้บ้าง “องค์ชายเฟริคทรงหายตัวไป....หมายถึงทรงหนีการลงนานเอกสารชิ้นสำคัญอีกแล้วพะย่ะค่ะ” อำมาตย์โยเมสกล่าวอย่างนอบน้อมด้วยสุ่มเสียงที่ร้อนรนใจพลางซับเหงื่อบนใบหน้าที่ปรากฎริ้วรอยแห่งวัยชรา “ท่านพี่รึ?”ฟรีเซียกล่าวเชิงถามน้ำเสียงที่ไพเราะราวเเก้วใส นุ่มนวลเเละแผ่วเบา ผู้ออกตามหาทุกคนจึงพยักหน้าตอบรับ “พวกท่านคงคิดที่จะถามเราว่าท่านพี่อยู่ที่ไหนสินะ?” “พะย่ะค่ะ”ทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกัน “ขอโทษด้วยนะ...คราวนี้เราไม่รู้จริงๆ”คำตอบที่ทำให้เสนากับอำมาตย์ชราสองคนและทหารอีกนับห้าสิบชีวิตต้องเดินคอตกกลับไปตามๆกันขนาดน้องสาวฝาแฝดยังไม่รู้แล้วพวกเขาล่ะ?? หลังจากที่ผู้รับเคราะห์ออกไปกันหมดจึงมีเสียงๆหนึ่งพูดขึ้น “หนีงานลงนานเอกสารสำคัญระดับสูงอีกแล้วสินะครับ?” เสียงทุ้มตํ่าที่ชวนน่าฟังของเด็กหนุ่มร่างสูงผู้มีผิวสีขาวและผมสีดำเช่นเดียวกับฟรีเซียหน้าตาหล่อเหลา บุคลิคของเขาดูสุภาพใบหน้าที่ดูราวกับเขาครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ตลอดเวลานั้นแฝงไปด้วยความเศร้านัยน์ตาสีทองฉายเเววสุขุมเยือกเย็นหรุบลงอย่างนอบน้อมฟรีเซียอมยิ้มเล็กน้อย “คงรู้สินะคะว่าท่านพี่อยู่ที่ไหน?”เธอถาม แทรดดิอัสองค์รักษ์ส่วนตัวของเธอพยักหน้าตอบรับ “งั้นก็ช่วยหน่อยนะคะ”เธอยิ้มบางๆอีกครั้งก่อนจะหันกลับไปเล่นฮาร์ฟสีเงินต่อ เด็กหนุ่มเดินไปยังห้องสมุดส่วนตัวของเฟริคและฟรีเซียที่กว้างใหญ่มากใครบ้างจะรู้.......ว่าถ้าเดินเข้าไปลึกสุดแล้วปีนบันไดที่อยู่ทางด้านขวาถัดจากตู้หนังสือไม้โอ๊คขึ้นไปชั้นที่สี่จะมีกลไกลับซ่อนอยู่....ข้างหลังตู้หนังสือนี้... “อืม~~~ขอหลับสักงีบเถอะนะ”หนุ่มน้อยวัย 17 ตัวต้นเหตุของปัญหากำลังนั่งอยู่บนเปลญวน ในห้องลับที่แอบสร้างขึ้นมาแอดอฟขดตัวนอนอยู่บนตักของเฟริคขณะที่เอนตัวลงนอนมือก็คว้าเอาหางปุกปุยของสัตว์เลี้ยงแสนรักมาหนุนนอน “อ๊าก~~~~ก” มันร้องพลางดิ้นไปมา “ทำบ้าอะไรของนายห๊า??ฉันเป็นแค่จิ้งจอกตัวน้อยแสนน่ารักที่ไร้พิษสงแถมอ่อนแอไม่สิๆหางที่แสนน่ารักของฉันต่างหากเล่าแบนหมดเเล้วววว” มันโวยวายอยู่นานเมื่อเห็นว่าเฟริคไม่ตอบกลับมันก็รู้ได้ทันที ‘หมอนี่หลับสนิทเลยนี่นาแอบกรนเบาๆอีกต่างหาก’ คนถูกกล่าวหาหลับสนิดด้วยความเหนื่อยล้าหลังจากทำงานติดกันอยู่เป็นสัปดาห์
เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้แต่ความรู้สึกแรกที่เข้ามาคือเขากำลังตกจากเปลญวน “หว๋า~~” เฟริคคว้าที่นอนชั่วคราวของเขาไปทันก่อนที่จะตกถึงพื้นนัยน์ตาสีน้ำเงินตวัดขึ้นมอง ‘ใครบางคน’ที่เหวี่ยงเปลญวนของเขาจนเกือบจะต้องเอาหน้าหล่อๆไปวัดกับพื้นกะจะตวาดซะหน่อยแต่พอเห็นคนที่อยู่ตรงหน้าก็เปลี่ยนเป็นอ้าปากค้างแทน “แทรดดิอัส!!” เฟริคร้องลั่นมันคงไม่ใช่เรื่องแปลกสักเท่าไหร่ที่แทรดดิอัสเป็นคนเดียวที่ตามตัวเขาเจอตลอดแต่คราวนี้สิ “นายรู้ที่ซ่อนใหม่ลับสุดยอดของฉันได้ไงกัน???” เฟริคชี้หน้าแทรดดิอัสด้วยสีหน้าตื่นตระหนก คนถูกถามทำหน้างงๆ “จะอยากรู้ไปทำไม?” แล้วตอบ “ง่ายๆฉันเห็นนายทำท่าลับๆล่อๆแถวตู้หนังสือชั้นที่สี่มาหลายวันแล้วน่ะสิ” ราชองค์รักษ์ตอบเรียบๆพลางยกเอกสารกองใหญ่ขึ้นมาวางตรงหน้าเฟริค คนชอบหนีงาน(สำคัญ)ชักสีหน้าเซ็งๆก่อนบ่นอุบอิบ “ไม่มีเรื่องวุ่นๆชีวิตก็ไม่มันส์จิ” แทรดดิอัสส่ายหน้าด้วยความเหนื่อยใจแต่ก็ชินกับนิสัยชอบแกล้งคนของเฟริคเสียแล้วต่างกับน้องสาวของเขาที่ทั้งเรียบร้อยสุภาพและอ่อนโยน “ถ้าไม่รีบทำให้เสร็จล่ะก็นะ...เดี๋ยวนายได้ยุ่งของจริงแน่” เฟริคขมวดคิ้วอยู่นาน “ออพิธี อะไรสักอย่างนั่นใช่ไหม? เอ...จำชื่อไม่ได้” พอแทรดดิอัสทำท่าเหมือนจะบ่นเขาก็รีบขัดขึ้นเสียก่อน “เอกสารพวกนี้เป็นข้อเสนอแนะของแต่ละอาณาจักรสำหรับการประลองที่จัดทุก20ปีสิะ” แทรดดิอัสพยักหน้าหน่อยๆ “ปีนี้เซเรนเป็นเจ้าภาพการจัดงานจะให้ขายหน้าไม่ได้”เฟริคพูดอย่างจริงจัง “เพราะฉะนั้นนายไม่ควรหนีงานบ่อยๆอย่างที่เคยๆอย่างน้อยในช่วงการจัดงานก็ยังดีที่สำคัญถ้าไม่คิดจะช่วยก็อย่าทำให้คนอื่นๆเขาเดือดร้อนไปด้วยการที่นายหนีงานมันทำให้การดำเนินงานล้าช้ายิ่งขึ้นรู้ตัวบ้างไหม?” “ที่สำคัญเพราะนายหนีงานมานอนทำให้หางที่ปุกปุยน่ารักของฉันต้องบี้เเบน”แอดอฟพูด พลางกระดิกหางของตนไปมา “หางฉันเเบนไปตั้งสี่จุดห้าหางแน่ะ” ‘หูย...ไม่น่าเลยเราว่าเเต่หางของนายมันเกี่ยวอะไรด้วยห๊ะ??’ “น่าๆรู้แล้วๆ”เขาตอบแบบขอไปทีก่อนจะทำท่าเหมือนนึกอะไรบางอย่างออกเฟริคเงยหน้าขึ้น นัยน์ตาสีน้ำเงินหรี่ลงเล็กน้อยเขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ “เฮ้อ~~ไปๆเห็นคนหน้าเหมือนตัวเองนานๆแล้วมันจักจี้น่ะ” เขาปัดมือไล่แทรดดิอัสที่มีหน้าเหมือนกับเขาราวกับถอดแบบออกมาจากพิมพ์เดียวกันเลยที่จะต่างออกไปก็มีเพียงเเต่ แทรดดิอัสมีนัยน์ตาสีทองและไว้ผมทรงแสกกลางเท่านั้น “คงไม่ได้...เสียใจด้วย”แทรดดิอัสตอบเรียบๆหากเเต่ท่าทางของเขายังคงดูสุภาพ “ชิ!!” “ไม่ต้องมา ชิ!!!ทำงานต่อไปอย่าบ่น”องครักษ์หนุ่มกล่าวด้วยเสียงหนักแน่นจนคนที่นั่งอยู่ลุกขึ้นมาจับปากกาเกือบไม่ทัน 10นาทีผ่านไปเฟริคยื่นเอกสารแผ่นสุดท้ายให้แทรดดิอัสซึ่งกำลังตรวจสอบความเรียบร้อยเอกสารแผ่นอื่นๆอยู่เขาบิดขี้เกียดไปมามือใหญ่ยกขึ้นนวดไหลของตนก่อนจะทำท่าจะฟุบนอนอีกครั้ง “เดี๋ยว!!!” ประโยคที่เขาไม่อยากได้ยินที่สุดดังขึ้นจากคนที่ยืนอยู่ข้างๆ “อะไรอีกคร้าาาาบ......”เฟริคลากเสียงยาว แทรดดิอัสถอดหายใจแต่ก็ไม่ได้คิดจะเถียงตอบ “งานของนายยังไม่จบแค่นี้”เขามองหน้าเจ้าชายแห่งเซเรนที่สีหน้าเหมือนปลาป่วย “ออไม่ต้องห่วงหรอกนะเหลืองานอีกแค่ชิ้นเดียวเองแต่กว่าจะเสร็จคงใช้เวลาหลายวันอยู่” ประโยคสุดท้ายที่เหมือนจะสร้างความหวังให้คนที่อยากพักเต็มที่ต้องพังทลายในชั่วพริบตา “องค์หญิงฟรีเซียรอนายอยู่ไปได้แล้ว” เฟริคลุกขึ้นอย่างไม่ค่อยเต็มใจเขาเก็บที่นอนเเสนรักให้เข้าที่ท่าทางคราวหน้าต้องหาที่ใหม่ซะเเล้วสิ อุส่าห์สร้างตั้งนานที่สำคัญทำไม...ทำไม??? “ดูมันเรียกน้องฉันว่าองค์หญิงอย่างสุภาพแต่กลับเรียกพี่ชายว่านายไม่ลำเอียงเลยเนอะ” เขาบ่นอุบอิบเเต่ก็ตามไปแต่โดยดี
ภาพตัวละคร 1 ค่ะ เกรงว่าบางท่านอาจไม่อยากเห็นเพราะจะทำลายจินตนาการซะเปล่าๆก็ข้ามอย่างเร่งด่วนเลยนะคะ อาจรู้สึกเสียสายตาได้เพราะเราก็วาดไม่ค่อยเก่ง อีกทั้งตอนนี้ไม่มีเครื่องสแกนเพราะอยู่ญี่ปุ่นเลยใช้ถ่ายรูปเอา ทำให้ภาพไม่ชัดค่ะ:china: :ah: ไว้กลับไทยเมื่อไหร่จะตัดเส้นเเล้วสแกนแบบดีๆมาให้ดูอีกทีละกันนะคะ(ปีหน้า(=w=)) . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . ฟรีเซียค่ะ เฟริคค่ะ ตัวอื่นๆจะค่อยทะยอยมาลงนะคะ ว่าเเต่ว่าเเค่กระดาษคนละเนื้อทำไมสีต่างกันมากมายจัง เหอๆ :ah: :ah: ปล อยากได้ประวัติบอกมาได้นะคะ ชี้แจงให้ทุกสัดส่วนค่ะ:lol:
บทที่2 แสงจากโคมไฟระย้าบนเพดานส่องสว่างไปทั่วห้องสมุดที่เงียบสงัด ร่างของบุคคลทั้งสามที่นั่งอยู่รอบโต๊ะกระจกทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้ายาวสะท้อนกับพื้นหินอ่อนสีนวล ที่เก้าอี้ทรงสูงตัวอื่นๆถูกดึงออกมาจากโต๊ะเล็กน้อยเพื่อให้สะดวกเวลาเข้ามานั่งประชุม เฟริคโยนเอกสารลงบนโต๊ะอย่างหน่ายๆ สำหรับเขาแล้วช่วงเวลานี้ ช่างเป็นช่วงเวลาที่สุดแสนจะทรมานเสียจริงๆ ตั้งแต่เมื่อ 3 ปีก่อนที่องค์ราชาและราชินีทรงประสบอุบัติเหตุสิ้นพระชนม์ไปนั้น ภาระหน้าที่ทุกอย่างก็ตกลงมาอยู่ที่เขาผู้ซึ่งเป็นองค์รัชทายาทแต่เพียงผู้เดียว อย่างไรก็ตาม จากการพิจารณาตามกฎมณเฑียรบาลแห่งราชอาณาจักรแล้ว หากองค์รัชทายาทยังมีพระชนมายุไม่ครบ 20 พรรษาละก็ ยังไรเสียก็ยังไม่อาจสืบต่อพระนาม และตำแหน่งอันทรงเกียรติที่เรียกว่า กษัตริย์ได้ “หมดเเล้วสินะเหลืองานเเค่ชิ้นเดียว...”เขาว่าพลางมองเอกสารแผ่นยาวที่ประทับด้วยตราสีเงิน “ค่ะ” ฟรีเซียไล่สายตามองเอกสารในมือเพื่อให้เเน่ใจว่าไม่มีอะไรตกหล่นก่อนที่เธอจะเงยหน้าขึ้น พิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ที่ป่าวารี อธิษฐานต่อเทพธิดาไอริส เพื่ออ้อนวอนให้ท่านปกป้องคุ้มครองอาณาจักรให้มีเเต่ความสงบสุข “ถึงแม้จะอยู่ในเขตแดนของเซเรนแต่เราเองก็ควรจะระวังตัวกันไว้สักหน่อยนะ”เฟริคกล่าวขึ้น ฟรีเซียและแทรดดิอัสพยักหน้ารับคำก่อนที่จะมีเสียงๆหนึ่งดังขัดขึ้น “อะไรจะเกิดก็ปล่อยให้เกิดไปเถอะ ยังไงซะถ้าเป็นโชคชะตาเเล้วล่ะก็หนียังไงก็หนีไม่พ้นหรอก” แอดรอฟเดินวนไปวนมารอบคอเฟริค ซึ่งเขาก็เหมือนจะรำคาญหางที่ปาดหน้าไปมาเเล้วยังขนปุกปุยนั่นอีก สิ่งที่มันพูดก็ดูเหมือนจะสวยหรูอยู่หรอกนะ แต่แบบนี่มันปากเสียชัดๆ อ๋า!!! จิ้งจอกน้อยร้องลั่นเมื่อมันกำลังถูกยกให้สูงขึ้นในท่าที่กลับหัว เฟริคกำหางปุกปุยของมันไว้เเน่นก่อนจะเหวี่ยงไปมา ตาลาย....จะอ้วกอยู่เเล้ว เสียงตะโกนโหวกเหวดังลั่นหากเเต่ผู้ซึ่งเป็นนายไม่มีท่าทีสนใจเเม้เเต่น้อย ‘ต้องสั่งสอนปากเสียๆของมันซะหน่อย’ ############################################# ภายในห้องโถงกว้างที่บรรยากาศค่อนข้างอึมครึม หนังสือวางระเกะระกะไปหมด ผ้าสีดำระโยงระยางตามเพดานมากมาย แสงสว่างที่มีก็มาจากแสงเชิงเทียนเพียงไม่กี่เล่มที่เผยให้เห็นทางเดินกับชั้นหนังสือเพียงเล็กน้อยเท่านั้น กลางห้องเป็นลานทรงกลมที่สลักลายอักขระวงแหวนแห่งเวทมนตร์เอาไว้ พร้อมทั้งรายล้อมไปด้วยแสงไฟวูบวาบที่สะท้อนออกมาจากยอดเสาลายวิจิตรบรรจง ร่างของบุรุษผู้หนึ่งซึ่งสวมชุดผ้าคลุมสีดำยาวลากพื้น เเละฮู้ดที่ถูกดึงขึ้นนั้นปกปิดให้เห็นใบหน้าได้ไม่ชัดเจน ในมือของเขาถือคทาด้ามยาวเอาไว้ มือทั้งสองกางออกเล็กน้อย ก่อนที่ตัวอักษรบนพื้นจะเปล่งแสงสีเงิน ออกมา เขาชะงักเล็กน้อย “มีอะไรรึ โฮลาทิโอ” เสียงๆหนึ่งถามขึ้น ดวงไฟที่ส่องสว่างอยู่ เริ่มเปลี่ยนเป็นใบหน้า “ลางร้าย...ไม่สิ...” เขาตอบอย่างไม่มั่นใจ น้ำเสียงของเขาไม่ใช่เสียงของเด็กเเต่ก็ดูไม่น่าจะมีอายุสักเท่าใดนัก “แล้วมันดีหรือไม่ดีกันเล่า?”ดวงไฟถามเขาอีกรอบ “สิ่งที่พวกเขาต้องเผชิญ อาจดูเหมือนโชคร้าย...” นักทำนายหยุดครู่หนึ่ง “เเต่ความจริง มันเป็นโชคชะตาที่ถูกกำหนดเอาไว้แล้วสำหรับพวกเขา แต่หากพวกเขาสามารถก้าวข้ามผ่านมันไปได้ละก็ สิ่งที่รอพวกเขาอยู่ก็คือแสงสว่าง... เพราะฉะนั้นที่จริงแล้วอาจจะเรียกว่า เป็นความโชคดีก็ได้ละมั้ง” รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของเขาเล็กน้อย สายลมพัดผ่านในห้องที่ไม่มีหน้าต่าง เปลวไฟไหววูบไปมา เงาของนักทำนายทอดยาวไปยังพื้นผนังสูง ........................... .................. ........ ในยามเช้าที่มีหิมะตกและอากาศค่อนข้างจะหนาวเป็นพิเศษ วันที่กำหนดเดินทางไปยังป่าวารี เกล็ดหิมะที่ล่องลอยกลางอากาศถูกดึงให้มาวนรวมกันที่ฝ่ามืออันเรียวบางก่อนจะกลายเป็นผีเสื้อตัวน้อยบินว่อนขึ้นสู่ท้องฟ้าอีกครา นัยน์ตาสีน้ำเงินจับจ้องไปยังประตูทางเข้าปราสาท “องค์หญิงขอรับ....เอ่อ...องค์หญิงครับ”แทรดดิอัสเปลี่ยนคำพูดของตนเล็กน้อยหลังจากที่ฟรีเซียมองเขาด้วยรอยยิ้มเเต่บรรยากาศข้างหลังเธอนั้นเป็นประกายผิดปกติ รู้สึกได้เลยว่าอย่าใช้คำว่าขอรับนะคะดิอัส “คะ??” ผ้าสาหรี่สีครีมถูกคลุมบนไหล่บางของเธอ “อากาศวันนี้ค่อนข้างหนาวนะครับ” เขาเอ่ยด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงใยเเต่ก็เเฝงความเอ็นดูเอาไว้เช่นกัน “ขอบคุณนะคะ” เธอกระชับผ้าคลุมไหล่เล็กน้อย ก่อนจะเห็นเงาของใครบางคนอยู่ไกลๆ ผ่านประตูบานใหญ่ที่เปิดกว้าง ร่างสูงในชุดสีขาวเดินออกมาจากปราสาท “ไปกันได้เเล้ว” เขาพูดขณะที่ก้าวขึ้นหลังม้า ต้นไม้ในอาณาจักรเซเรนถูกปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวบริสุทธิ์ตลอดเเนว แม้แต่บนพื้นดินก็ดูขาวสะอาดราวกับปุยฝ้าย หากแต่อากาศที่หนาวเย็นจับขั้วหัวใจนั้นช่างตัดกับทรรศนียภาพที่สวยงามโดยสิ้นเชิง การเดินทางสู่ป่าวารียังคงดำเนินต่อไปอย่างช้าๆ แต่ทุกคนเองก็ยังคงระมัดระวังตัวอยู่ไม่น้อยเเม้จะยังอยู่ในอาณาเขตของเผ่าน้ำที่ปลอดภัยมากเพียงไรก็ตาม ทันใดนั้นเอง ก็พลันเกิดเสียงดังสนั่นขึ้น พร้อมกับลำแสงที่พุ่งตัวลงมาจากบนฟากฟ้า เปรี้ยง!!!! สายฟ้าฟาดลงมากลางขบวนโดยที่ไม่มีใครคาดคิด เมื่อฝุ่นควันเริ่มจางหายไป เหล่าทหาร เสนา อำมาตย์ต่างก็ถึงกับต้องตาค้าง เพราะที่ที่เคยมีคน 3 คนอยู่ บัดนี้เหลือแต่เพียงความว่างเปล่า ฟรีเซีย เฟริค และแทรดดิอัสหายไป!!? เสียงร้องลั่นของเหล่าผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ทุกคน อะไรกัน??นี่มันเกิดอะไรขึ้น? เสนาคอร์เสคกัดริมฝีปากแน่นนัยน์ตาของเขาประกายโรจน์อย่างแค้นเคือง ‘ใครกันที่กล้าทำถึงเพียงนี้’ มือใหญ่กำหมัดทุบกับต้นไม้ที่อยู่ข้างทางจนกิ่งไม้หักลงมา ทุกคนหันกลับไปมองเป็นทางเดียวกัน เมื่อเห็นเพื่อนที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมานานออกอาการเก็บอารมณ์ไม่อยู่อำมาตย์โยเมสถึงกับส่ายหัวอย่างหน่ายใจ ก่อนที่จะควบม้าให้เดินเข้าไปใกล้ “ถึงเจ้าจะร้อนรนไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมาหรอก” เขาพยายามพูดให้น้ำเสียงราบเรียบเเละดูใจเย็นที่สุดหากแต่ในใจกลับร้อนรนอย่างที่สุด “นั่นสินะ...หากเราคุมสติไม่อยู่พวกทหารนางกำนัลคงขวัญกระเจิง”คอร์เสคพูดเสียงเบา เขาเงยหน้าแล้วสูดหายใจเข้าลึก “ทุกคนฟังให้ดี!!!แยกย้ายกันออกตามหา องค์หญิงฟรีเซียและองค์ชายเฟริคเดี๋ยวนี้” เขาออกคำสั่งเด็ดขาด ทหารน้อยใหญ่โค้งรับ และออกตามหาบุคคลคนทั้งสาม ถ้าอยู่ด้วยกันทั้งสามคนก็คงดีอย่างน้อยแทรดดิอัสก็อยู่ด้วย เขาเป็นคนที่มีฝีมือสูงอย่างหาตัวจับยากทีเดียว อย่างน้อยเขาก็ต้องเอาชีวิตเข้าเเลกเพื่อนปกป้ององค์หญิงฟรีเซียอย่างเเน่นอน อำมาตย์โยเมสกล่าวเสียงเบาให้พอได้ยินกันเเค่สองคน “การที่เขาเอาชีวิตเข้าเเลกไม่ได้หมายความว่าองค์หญิงจะปลอดภัยเสมอไปนะ” คำพูดที่เสนาผู้ใจร้อนทิ้งเอาไว้สร้างความฉงนไม่น้อยให้กับผู้ที่รับฟังอยู่
ทางฝั่งของฟรีเซีย เฟริคเเละแทรดดิอัสนั้น ทั้งสามยังคงอยู่บนหลังม้า หากแต่ผิดสถานที่ พวกเขาพลัดหลงกับขบวนเดินทางเสียเเล้ว อะไรกันน่ะ? เสียงในใจที่ทั้งสามคนคิดขึ้นมาพร้อมๆกัน ก่อนจะนึกย้อนหลังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่..... เพียงชั่วพริบตาราวกับถูกเเรงมหาศาลดึงเข้าไปในช่องว่างของมิติเเล้วมาโผล่ที่นี่ เขตชายเเดนระหว่างเอลด์(เผ่าไม้)กับลาส(เผ่าไฟ) การหาทางกลับขณะนี้ไม่ใช่เรื่องยาก อาจมีปัญหาถ้าถูกพวกเอลฟ์มาพบเข้าเเต่ก็ยังจะพอคุยกันได้ แต่ความคิดทั้งหมดเริ่มหยุดลงเมื่อเมฆสีดำเข้าปกคลุมท้องฟ้า นัยน์ตาสีน้ำเงินจ้องมองราวกับว่ามีความคิดอัดแน่นอยู่ในใจ ร่างบางก้มลงมองพื้นอีกครั้ง ‘สังหรณ์ใจไม่ดีเลย’ “เฮ้อ~~~เหนื่อยจริงๆ” เฟริคถอนหายใจเฮือกใหญ่ ที่ว่าเหนื่อยก็ทั้งกายเเละใจล่ะนะ จะอะไรกันนักกันหนาเนี่ย ? “ใช่ๆฉันเองก็เหนื่อยเเล้วเหมือนกัน”จิ้งจอกตัวน้อยพูดเสริมเสียงใสไม่ได้ดูสถานการณ์เอาซะเลย “แกเหนื่อยอะไรห๊ะ?วิ่งก็ไม่ได้วิ่งเองเกาะไหล่ฉันอีกต่างหากไม่ต้องมาบ่น” เผี๊ยด!!! เฟริคดีดหน้าภูติรับใช้ของเขาทีนึง แต่ก่อนที่ภูตรับใช้ที่เเสนน่ารักเเละปากเสียจะถูกจับไปยำจนเละนั้นก็มีเสียงสวรรค์ดังขัดขึ้นมาเสียก่อน “พี่คะไปหาที่หลบฝนกันก่อนเถอะคะ” ฟรีเซียกล่าว “อืม...นั้นสินะ”เฟริคเหวี่ยงแอดรอปพาดไว้กับไหล่ของเขา ไม่ทันที่พวกเขาจะไปไหนได้ไกลหยาดฝนก็เริ่มตกลงมาปรอยๆเป็นสัญญาณเตือนก่อนที่ลมพายุจะพัดมาพร้อมกันฝนที่เทหนักขึ้นเรื่อยๆ แต่สถานการณ์ก็เริ่มเลวร้ายขึ้นเมื่อม้าเริ่มไม่เชื่อฟังคำสั่ง “บ้าจริง” เฟริคพยายามคุมม้าของเขา สายฟ้าฟาดผ่ากลางลำต้นไม้ใหญ่ให้โค่นลงมา ม้าที่ไม่ฟังคำสั่งอยู่เเล้วก็ออกวิ่งไปกันคนละทิศ แทรดดิอัสชักสีหน้าเครียดก่อนที่จะตัดสินใจควบม้าตามฟรีเซียไปติดๆ พอเขาเริ่มไล่ตามม้าของฟรีเซียทันนัยน์ตาสีทองก็ต้องเบิงกว้างเมื่อเห็นเส้นทางข้างหน้าซึ่งเป็นสะพานหิน ‘นั่นมันสุดเขตอาณาจักรเราเเล้วนี่นา’ ม้าของฟรีเซียวิ่งผ่านสะพานหินไปสักพักก็เริ่มพยศกว่าเก่ามันสะบัดร่างบางที่อยู่บนหลังของมันจนกระเด็นออกไปเกือบกระเเทกกับเเต่แทรดดิอัสพุ่งเอาตัวเข้ารับแรงกระแทกแทนก่อนที่ทั้งคู่จะสลบไป ส่วนเฟริคซึ่งคุมม้าของตนไม่อยู่ มันเอาเเต่พุ่งไปข้างหน้าอย่างเดียวจนเขาเริ่มถอดใจ “เดี๋ยวมันเหนื่อยก็คงหยุดเองละมั๊ง??” แอดอฟทำท่าเหมือนกันพูดอะไรสักอย่างเเต่สีหน้าของมันก็เปลี่ยนไป “เฮ้ยๆๆๆๆ เฟริคๆข้างหน้าาาาา”มันร้อง “หา???”เฟริคทำหน้าฉงนก่อนมองไปข้างหน้าตามที่มันว่า เขาเบิงตากว้างกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า สวบ!!!! ร่างสูงกระอักเลือดเขาหงายหลังล้มลงกับพื้น ลมพายุพัดเอากิ่งไม้ที่หักจากต้นเเทงเข้าที่อกขวาของเขา นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มค่อยๆหรี่ลงอย่างไม่เต็มใจก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบไป ###################################### แพขนตาสีดำค่อยๆปรือขึ้น ความรู้สึกเเรกที่เข้ามาคือความนุ่มของหมอนเเละเตียงนอน นัยน์ตาสีน้ำเงินกวาดมองไปรอบๆ ‘สถานที่’ที่ไม่คุ้นเคย ถ้าจะบอกว่าเป็นกระท่อมของคนที่เผอิญช่วยเธอเอาไว้คงเป็นไปไม่ได้เเน่นเพราะข้าวของเครื่องใช้ที่ตกเเต่งให้ห้องนี้ก็ดูจะหรูเกินไป เก้าอี้ที่ทำมาจากทอง ผ้าม่านสีเเดงก็เป็นกำมะหยี่นอนที่นุ่มขนาดนี้.... เธอเริ่มลำดับเหตุการณ์ต่างๆ ท่านพี่ แทรดดิอัส?? สองชื่อที่เเล่นเข้ามาในหัวเธอลุกพรวดขึ้น “ตื่นเเล้วหรือครับ?” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นทำให้ความคิดของเธอหยุดลงก่อนที่จะหันไปมองคนที่นั่งอยู่ข้างเตียง ใบหน้าที่นิ่งสงบตลอดเวลาของเขานั้นฉายเเววเป็นห่วงดูไม่น้อย “ดิอัส??”ดวงหน้าสวยเผยยิ้มอย่างโล่งอก เธอเอนหลังพิงกับหมอนที่ตั้งอยู่ “ที่นี่ที่ไหนกันคะ?” “อาณาจักรลาสขอรับ” เธอหยุดครุ่นคิดเล็กน้อย “เผ่าไฟหรือคะ?” องค์รักษ์หนุ่มพยักหน้า “ครับ” “องค์ชายเอดริคแห่งอาณาจักรลาสเป็นคนช่วยพระองค์กับกระหม่อมไว้ขอรับ” “หรือคะ?”เธอหยุดนิ่งสักพักก่อนที่จะนึกอะไรบางอย่างออก ‘ท่านพี่’ “ดิอัสเเล้วท่านพี่ล่ะคะ?” องครักษ์หนุ่มไม่ตอบอะไรเขาเพียงเเค่โค้งเล็กน้อยเท่านั้น หรือคะ? เด็กสาวพยักหน้า เพราะม้าของเฟริคกับฟรีเซียนั้นวิ่งไปคนล่ะทางทำให้แทรดดิอัสซึ่งตัดสินใจตามผู้เป็นนายมานั้นไม่อาจทราบได้ว่าในตอนนี้เฟริคจะเป็นเช่นไรบ้าง ฟรีเซียเลิกผ้าห่มแล้วตรงไปยังระเบียงซึ่งอยู่ไมาไกลนัก ที่นี่ไม่ใช่อาณาจักรเซเรนจริงๆ ทรรศนียภาพที่แตกต่างออกไปแม้กระทั่งสายลมอ่อนๆที่พัดผ่านใบหน้ายังไม่เหมือนเคย พลันนัยน์ตาสีน้ำเงินก็เหลือบเห็นเงาสีดำตะครุ่มๆอยู่ในสวน เธอจึงตัดสินใจออกไปดู สวนที่ใบไม้ของต้นไม้เกือบทุกต้นนั้นเป็นสีแดงปนส้ม กลิ่นไอของฤดูใบไม้ร่วงซึ่งถูกจัดวางไว้อย่างสวยงามถึงว่าจะไม่ใช่ไม้ดอกก็ตาม กลิ่มของอ่อนๆของธรรมชาติลอยมากมาสายลมที่พัดมาหากแต่ไม่สามารถสะกดให้ร่างบางในชุดกระโปรงยาวสีเบจเดินตัดผ่านมานั้นหยุดได้ ทั้งสองเดินตามทางที่ทำจากก้อนอิฐมาเรื่อยๆกระทั่งเริ่มเห็นประตูทางออกอยู่ไกลๆ อยู่ๆก็มีเงาสีดำของใครบางคนโผล่ออกมาจากพุ่มไม้สูง ด้วยความตกใจบวกกับต้องหยุดเดินอย่างกะทันหันทำให้ร่างบางเซล้มไปข้างหลังแต่มีมือใหญ่คว้าเเขนของเธอไว้ทันพร้อมทั้งดึงเข้าหาตัว “ขอโทษนะครับ! ไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ?” ตามแปะมาด้วยภาพฉลองฮาโลวีน อีกคนเป็นใคร??....อันนี้ไปเดาเอาเองนะคะ เหอๆๆๆ
เหอๆๆหนีไปเที่ยวโอกินาว่ามา อย่างกับเมืองไทยแน่ะ ว่าแต่พวกเด็กญี่ปุ่นจะกรี๊ดอะไรกันนักก็ไม่รู้นะคะแค่เครื่องบินขึ้นเอง ปรบมืออีกต่างหาก สับประรดก็ด้วยแก้วมังกรแถมอีก แล้วเขาก็บอกว่าแก้วมังกรเนี่ยนะมีแค่ที่โอกินาว่าเท่านั้น กินสิๆๆ อ๊ะทนไม่ได้ค่ะ..... เมืองไทยก็มีนะคะ เขาก็กรี๊ดอีกรอบจริงๆเหรอๆๆ(=_=)อร่อยไหมๆๆ เกริ่นมานานสรุปคือดองไว้กลับมาเลยรีบพิมพ์แล้วเอามาลง ยังไม่ได้ตรวจสอบ ถ้ามีคำผิดหรือว่าตรงไหน งงๆ บอกนะคะ จะได้มาเเก้ แต่จะลองพยายามตรวจอีกรอบละกันค่ะ บทที่3 คันธนูถูกหยิบขึ้นพาดไหล่บางของเจ้าของ ที่กำลังเตรียมตัวออกป่าไปหาสมุนไพร เด็กสาวผู้มีใบหน้าสะสวย เรือนผมสีฟ้าใสปล่อยยาวถึงเอว ใบหูที่แหลมยาวซึ่งเป็นลักษณะพิเศษของชนเผ่าเอลฟ์ เธอมีลักษณะภายนอกที่ดูค่อนข้างเป็นผู้ใหญ่เกินอายุอยู่สักเล็กน้อย “ท่านเอวิล”เสียงอันสั่นเครือเรียกให้เจ้าของชื่อเหลียวกลับไปมอง “ท่านยาย? มีอะไรหรือคะ”เด็กสาวถาม หญิงชราค่อยๆเดินเข้าไปหาเอวิลซึ่งอยู่หน้าประตูโดยใช้ไม้เท้ายันไม่ให้ล้ม “โปรดระมัดระวังตัวด้วย...ช่วงนี้มีปีศาจออกอาละวาดเยอะ ถึงที่นี่จะเป็นป่าศักดิ์สิทธิก็ตามที” เธอกล่าวอย่างกังวล เอวิลเป็นผู้นำคนสำคัญของเผ่า คงไม่ดีเเน่หากเกิดอะไรขึ้นกับเธอ เอลฟ์สาวสบตามองหญิงชราอยู่พักใหญ่ “ขอบคุณนะคะที่เป็นห่วง ข้าจะระวังตัวให้มากๆ "เอวิลตอบรับ ผู้ที่สูงอายุกว่าเผยสีหน้าที่โล่งอกขึ้นบ้าง เด็กสาวกุมมือที่เหี่ยวย่นของหญิงชราไว้เเน่นก่อนจะเอ่ยคำอำลา "ไปก่อนนะคะท่านยาย”เธอยิ้มก่อนจะเดินหายเข้าไปในป่า เอลฟ์สาวเดินเก็บสมุนไพรจนรู้สึกว่ามากพอเเล้ว เธอลุกขึ้นเงยหน้ายิ้มให้กับท้องฟ้าใส ขณะกำลังเดินกลับหมู่บ้านอยู่นั้นก็พันเหลือบไปเห็นเงาของใครบางคนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ด้วยความสงสัยจึงรีบตรงเข้าไป เอวิลหยุดยืนอยู่ห่างจากโคนต้นไม้อยู่เล็กน้อย พลางจ้องมองบุคคลที่อยู่ตรงหน้า เด็กหนุ่มร่างสูงผิวสีขาวจัด ใบหน้าคมสัน เรืนผมสีดำไหวตามลมเล็กน้อย เขานอนสลบอยู่มือใหญ่กุมอกข้างขวาซึ่งมีเลือดไหลนองเต็มพื้น เธอหยุดนิ่งอยู่พักใหญ่ ก่อนที่จะมีเสียงพุ่งไม้ขยับทำให้เธอรู้สึกตัว แอดอฟนั่นเอง....จิ้งจอกน้อยซึ่งตกจากไหล่ของเฟริคกระเด็นตกไปในพุ่มไม้ข้างๆ มันนอนหงายท้องตาของมันลายซะจนสลบเมือบต่ออีกรอบ นัยน์ตาสีม่วงเบิงเล็กน้อย “อ๊ะ” เธอตั้งสติได้ เเต่ยังไม่ทันที่จะก้าวไปไหนก็เห็นเงาตระครุมอยู่ข้างหลังเธอหันควับกลับไปมองหมียักษ์ที่ตัวสูงกว่าสามเมตร จ้องมอเธอด้วยสายตาที่ดุร้าย 'ไม่ทันเเล้วใกล้เกินไป' เเต่ตอนนี้เอวิลหยิบคันธนูไม่ทันเเล้วจึงได้แต่กรีดร้องยกมือขึ้นกัน อุ้งมือใหญ่ที่ยกขึ้นจะตะปบ ฉึก!!!ฉึก!!!ฉึก!!! เสียงคำรามดังก้อง ก่อนที่ร่างยักษ์จะล้มลงกับพื้น เอลฟ์สาวค่อยๆลืมตาขึ้นมองร่างของสัตว์ร้ายที่นอนตามอยู่ที่พื้น มีลูกธนูสามดอกปักที่ตาซ้าย กลางหน้าผาก และที่หัวใจ เธอหันกลับไปมองข้างหลัง เด็กหนุ่มที่สลบอยู่เมื่อสักครู่ตอนนี้ในมือของเขาถือคันธนูในท่าที่ยังนอนอยู่ อึก!!! เฟริคกุมเเผลของเขาเพราะเมื่อสักครู่เขาขยับตัวมากไปทำให้ปากแผลเปิด ตอนนี้เเค่จะใช้เวทรักษาตัวเองยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำไป ภาพที่อยู่ข้างหน้าเริ่มเลือนมองเห็นไม่ชัดเขาล้มลงและสลบอีกครั้ง “คุณ!!เป็นอะไรรึเปล่าคะ??” ################################# สวนที่ใบไม้ของต้นไม้เกือบทุกต้นนั้นเป็นสีแดงปนส้ม กลิ่นไอของฤดูใบไม้ร่วงซึ่งถูกจัดวางไว้อย่างสวยงามถึงว่าจะไม่ใช่ไม้ดอกก็ตาม กลิ่มของอ่อนๆของธรรมชาติลอยมากมาสายลมที่พัดมาหากแต่ไม่สามารถสะกดให้ร่างบางในชุดกระโปรงยาวสีเบจเดินตัดผ่านมานั้นหยุดได้ อยู่ๆก็มีเงาสีดำของใครบางคนโผล่ออกมาจากพุ่มไม้สูงด้วยความตกใจบวกกับต้องหยุดเดินอย่างกะทันหันทำให้ร่างบางเซล้มไปข้างหลังแต่มีมือใหญ่คว้า เเขนของเธอไว้ทันพร้อมทั้งดึงเข้าหาตัวของเขาเอง “ขอโทษครับ! ไม่เป็นอะไรนะครับ?” ร่างบางช้อนตาขึ้นมองด้วยความสงสัยกับเสียงที่ไม่คุ้นเคยเด็กหนุ่มร่างสูงซึ่งน่าจะมีอายุไล่เลี่ยกับเธอเรือนผมสีทองสวยสะท้อนกับเเสงอาทิตย์ ใบหน้าหล่อเหลาฉายแววมีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูกดูใจดีเเละอบอุ่นเฉกเช่นเดียวกับเสื้อสีแดงเพลิงดิ้นทองของเขายิ่งนักมุมปากของเขายังเผยรอยยิ้มจางๆที่ชวนให้หลงใหลอยู่ตลอดเวลานัยน์ตาสีฟ้าที่ฉายเเววอ่อนโยนคู่นั้นจับจ้องมองมาที่เธอ เวลาผ่านไปสักพักโดยที่ทั้งสองยังคงค้างอยู่ท่าเดิมจนเด็กสาวสามารถได้กลิ่นดอกฟรีเซียจางๆจากตัวของเขา “อะแฮ่ม” แทรดดิอัสเเกล้งไอก่อนที่จะทำทีเสมองไปทางอื่นร่างทั้งสองจึงผละออกจากกันอย่างรวดเร็วด้วยสีหน้าที่เเดงกํ่า ความจริงเเล้วแทรดดิอัสเองก็ไม่อยากเข้าไปขัดจังหวะเท่าไหร่หรอกเเต่เห็นเเล้วเขินเเทน พวกเขาก็ปรับสีหน้าให้เป็นปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ท่านคงจะเป็นองค์หญิงแห่งอาณาจักรเซเรนสินะครับ?”เอดริดเริ่มต้นบทสนทนาด้วยน้ำเสียงที่พยายามปรับให้เรียบที่สุดเเต่คำพูดของเขาก็ยังตะกุกตะกักอยู่เล็กน้อย ทั้งๆที่เขาก็รู้คำตอบอยู่เเล้วยังถามออกไปเพื่อเปลี่ยนเรื่อง “ค่ะ” เธอยิ้มอย่างขวยเขินแก้มเนียนใสเป็นสีชมพูระเรื่อ หากไม่นับเฟริคพี่ชายของเธอกับแทรดดิอัสเเล้วล่ะก็เธอไม่เคยใกล้ชิดผู้ชายคนไหนมากขนาดนี้มาก่อน “ผมเอดริค โซเรทครับ”นํ้าเสียงของเขาราบเรียบไม่ขึ้นสูงหรือลงตํ่าไปแต่ที่มุมปากก็ยังเผยยิ้มจางๆอยู่ ฟรีเซียยืนนิ่งอยู่สักครู่ก็เอ่ยถาม “เอดริค โซลเรท??? คุณคือองค์ชายเเห่งอาณาจักรลาสที่ช่วยฉันเอาไว้ใช่ไหมคะ?” เธอพูดอย่างไม่เเน่ใจ “ครับ”เขาตอบด้วยรอยยิ้มที่ดูใจดีและอบอุ่น “ฉันฟรีเซีย เรสฟรอสยินดีที่ได้รู้จักนะคะ”เธอเผยยิ้มที่ดุจดั่งน้ำค้างในยามเช้า “เช่นกันครับ”เอดริคตอบด้วยรอยยิ้มเช่นกันก่อนจะมองไปทางเเทรดดิอัสเป็นเชิงถาม “แทรดดิอัส คาเดนส์ขอรับ”องครักษ์หนุ่มตอบกลับเขาโค้งคำนับอย่างนอบน้อม “เป็นเพื่อนสมัยเด็กของฉันน่ะค่ะ”ฟรีเซียพูดด้วยสีหน้าที่ยิ้มเเย้มหากเเต่ ‘เพื่อนสมัยเด็ก’ที่เธอว่ากลับขมวดคิ้วด้วยความงุนงงก่อนจะเเก้คำพูดของผู้เป็นนายเสียใหม่ “องครักษ์ขององค์หญิงฟรีเซียขอรับ”แทรดดิอัสตอบในขณะที่ฟรีเซียยิ้มเพราะรู้ว่าเขาเป็นคนค่อนข้างจริงจังกับเรื่องนี้แต่เธอไม่อยากให้เขาคิดแบบนั้นโดยปกติเขาเป็นคนสุภาพก็จริงเเต่อย่างน้อยก็ใช้เเค่คำศัพท์สุภาพก็พอการใช้คำราชาศัพท์แม้บางคำช่างทำให้รู้สึกห่างเหินเหลือเกินซึ่งมันไม่จำเป็นเท่าใดนัก “เพื่อนค่ะ” ฟรีเซียตอบอย่างราบเรียบเเละนิ่มนวลแทรดดิอัสนิ่งเงียบ ไม่อย่างนั้นเรื่องคงไม่จบง่ายๆ เอดริคมองคนทั้งสองสลับไปมาสรุปจะเป็นเพื่อนหรือองครักษ์กันเเน่ในใจก็แอบขำเล็กน้อย ขณะที่เขายืนคิดอยู่เสียงหวานก็เอ่ยถามขึ้น “คุณเอดริคมาทำอะไรเเถวนี้หรือคะ?” “อ่อ...ผมทำของหายครับคิดว่าน่าจะหล่นเเถวนี้....เลยลองมาหาดูครับ”เขาเหลือบมองลงต่ำขณะที่เอามือล้วงเขาไปในคอเสื้อแล้วหยิบเอาสร้อยคอที่มีแหวน2วงคล้องอยู่ออกมา “นี่ไงครับ”เขายื่นไปข้างหน้าเล็กน้อยให้ฟรีเซียเห็นชัดขึ้น “เจอแล้วหรือคะ ดีจัง”ร่างบางกล่าวนัยน์ตาสีเข้มจับจ้องสิ่งที่ส่องกระกายอยู่ตรงหน้า “เป็นเเหวนที่สวยจังเลยนะคะ”ฟรีเซียกล่าวพลางมองอย่างชื่นชม “ขอบคุณนะครับ”รอยยิ้มของเขาครั้งนี้ดูดีใจและเขินอายเล็กน้อยขณะหย่อนสร้อยคอลงในคอเสื้อตามเดิม เมื่อเด็กสาวเห็นท่าทีของคนที่อยู่ตรงหน้าก็ยิ้มคงเป็นของที่สำคัญมาก อาจจะได้รับมาจากคนที่พิเศษก็เป็นได้เขาถึงได้ดีใจเมื่อมีคนเอ่ยปากชม ทั้งคู่ยืนนิ่งอยู่นานโดยที่ไม่มีเรื่องที่จะพูดกันต่อโดยปกติเเล้วทั้งสองคนจะเป็นผู้ฟังไม่ใช่ผู้พูดที่จะเริ่มเปิดบทสนทนาจึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างลำบากพอสมควรกับการจะพูดคุยกับคนที่มีบุคลิกลักษณะเดียวกัน ความเงียบเข้าปกคลุมอยู่พักใหญ่ทั้งคู่ได้เเต่มองตากับเเล้วก็ยิ้ม ไม่มีคำพูดใดๆออกมาจากคนทั้งสอง ก่อนที่ฟรีเซียจะนึกขึ้นได้ความสงสัยที่เกิดขึ้นในวินาทีนั้น.....กลิ่นดอกฟรีเซียจางๆทั้งๆที่สวนแห่งนี้ไม่มีดอกไม้เลย “ที่นี่ไม่มีไม้ดอกเลยหรือคะ?”เธอเอ่ยขึ้นขณะที่มองไปรอบๆตัว สวนที่มีเเต่ต้นไม้สีเขียวบ้างก็เป็นสีแดงปนส้มให้ความรู้สึกว่าอยู่ในช่วงของฤดูใบไม้ร่วงทางเดินเป็นก้อนอิฐเรียงอย่างไม่เป็นระเบียบ ถึงกระนั้นก็ดูมีเสน่ห์ไปในอีกแบบ เอดริคยิ้ม “มีครับเเต่ต้องไปอีกฝั่งของปราสาทตรงนั้นจะเป็นส่วนของไม้ดอกครับ”เขากล่าวพลางผายมือไปยังฝากด้านหลังของฟรีเซีย เธอเหลียวกลับไปมองเล็กน้อยผ่านเสาหินที่ตรงทางเดินไป “นี่ไงครับ”ฟรีเซียหันกลับมามองทางเอดริคอีกครั้งในมือของเขายกกระถางต้นไม้ขึ้นมา ดอกฟรีเซียสีขาวชูช่อสวยงามในตอนเเรกนั้นเธอไม่ทันได้สังเกตุว่ามันอยู่ตรงนั้นตั้งเเต่เมื่อไหร่ “ดอกฟรีเซียถ้าถูกตัดออกจากต้นจะหยุดส่งกลิ่นหอมครับ”เขายิ้มพลางกอดกระถางต้นไม้ไว้แน่นราวกับว่ามันเป็นตุ๊กตาตัวใหญ่หากแต่น้ำหนักแต่ต่างกันอยู่พอควร “ผมชอบดอกฟรีเซียมากเลยครับ”เอดริคก้มมองดอกไม้สีขาวในกระถาง ฟรีเซีย.....จะว่าไปเธอเองก็ชื่อฟรีเซียเหมือนกันความคิดหยุดลงแค่นั้นดวงหน้าหล่อเริ่มแดงพลางนึกถึงประโยคที่ตนพูดออกไปเมื่อสักครู่ ‘ผมชอบดอกฟรีเซียมากเลยครับ...’ “อะ...เอ่อ....คือ...ครับ” ร่างสูงเริ่มพูดตะกุกตะกักอย่างไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดีเเล้ว ขณะที่ฟรีเซียเองก็หน้าแดงไม่แพ้กันเพราะรู้ว่าเขาเขินอายเพราะเหตุใดชื่อของเธอ เผอิญไปตรงกับชื่อดอกไม้ที่เขาชอบแม้จะไม่ใช่ดอกไม้ที่จะสามารถขึ้นได้ในอาณาจักรเซเรนที่อากาศหนาวเย็นจับขั้วหัวใจสำหรับตัวเธอเเล้วเป็นชื่อที่ไพเราะมาก “คะ...ค่ะ”เธอยิ้ม แล้วทั้งคู่ก็หัวเราะแก้ขัดไปพลางๆ “ไว้ผมจะพาไปชมนะครับ”น้ำเสียงของเขาราบเรียบถ้าไม่สังเกตุดีๆจะไม่รู้เลยว่าเขากำลังเขินอยู่ “ขอบคุณค่ะ”ฟรีเซียก้มมองพื้นน้ำเสียงค่อนข้างเบาจนเกือบจะไม่ได้ยิน
แทรดดิอัสมองภาพที่เอดริคกับฟรีเซียคุยกันอย่างเพลิดเพลินจนแต่ละคนต่างก็ลืมเป้าหมายของตน “นี่.....หรือว่า.....” แทรดดิอัสก้มมองพื้นด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก “หรือว่า....เรา.” ‘จะเป็นส่วนเกิน’ เขาลองหันกลับไปมองสองหนุ่มสาวอีกครั้งเพื่อตรวจสอบความเเน่ใจ “เเล้วที่ลาสยังมีทุ่งดอกไม้ที่สวยงามอยู่อีกแห่งด้วยนะครับ”เขาพูดด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่อบอุ่นชวนน่าฟังบทสนทนาที่เริ่มวกไปวนมา ทั้งคู่เองก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรกันต่อแล้วเช่นกัน “จริงหรือคะ?” นัยน์ตาสีน้ำเงินฉายเเววตื่นเต้นเธออยากเห็นดอกไม้ของต่างอาณาจักรบ้าง อาณาจักรเซเรนนั้นมีหิมะปกคลุมตลอดทั้งปีมองไปทางไหนก็มีเเต่สีขาวมีเพียงตอนกลางคืนเท่านั้นที่จะมีเเสงออร่าพาดผ่านท้องฟ้ายามราตรีเป็นภาพที่สวยงามจนเกินจะหาคำบรรยายแม้จะมีดอกไม้อยู่หลากหลายพันธุ์หากเเต่ไม่สามารถทนต่อความหน่วเย็นนี้ได้จนกลายเป็นน้ำแข็งไปเสียหมด “ครับไว้ผมจะพาไปชมนะครับ” เจ้าชายแห่งลาสตอบรับอีกครั้ง เอดริคกับฟรีเซียยืนคุยกันจนเพลินด้วยเรื่องเดิมๆนั้น ลืมไปด้วยซ้ำว่าไม่ได้อยู่กันลำพังเเค่สองคนยังมีอีกหนึ่งบุรุษซึ่งถูกทิ้งไว้นอกวงสนทนาและดูเหมือนเขาจะรู้สถานะภาพของตนเเล้วว่า ‘ส่วนเกิน...ชัวร์ๆ’ “เฮ้อ~~~ ลืมเราซะได้” แทรดดิอัสยกมือขึ้นเกาท้ายทอยอย่างหน่ายๆ จะเรียกบทสนทนาเเห่งรอยยิ้มหรือว่า ภาพขวยเขินดีล่ะ?? นี่ขนาดเพิ่งเจอกันเป็นครั้งเเรกนะเนี่ย พูดคุยกันราวกับคนที่รู้จักกันมานาน เขาหรี่ตาลงเล็กน้อยและยิ้มอย่างไม่เต็มใจนักก่อนถอนหายใจเสียงตอกย้ำเเห่งความเป็นจริงดังก้องในโสตประสาท ‘ส่วนเกิน.....ส่วนเกินนน...น....’ เขาถอนหายใจอีกครั้งและเสมองไปทางอื่น อยากจะปล่อยให้คุยกันตามลำพังอยู่หรอกนะบรรยากาศดีๆอย่างนี้ควรอยู่กันเเค่สองคนถึงจะถูก แต่ด้วยหน้าที่เขาจึงไปไหนไม่ได้ จำต้องตามเจ้าหญิงผู้นี้ตลอดเวลาแต่ตัวเขาเองก็ทำด้วยเต็มใจ ริมฝีปากบางเริ่มระบายยิ้มออกมาเล็กน้อย ช่างแลดูสุภาพและสงบราวกระดิ่งยามต้องลมเบาๆเป็นภาพที่หาดูได้ยากยิ่งแทรดดิอัสไม่ใช่คนเย็นชาเเต่เขาก็ไม่ยิ้มบ่อยเท่าใดนัก นัยน์ตาสีทองประกายเฝ้ามองคนทั้งสองนั้นแฝงความอ่อนโยนและเอ็นดูยิ่งนัก ############################################################# “เชิญครับ” ถ้วยน้ำชาสีครีมอ่อนถูกวางลงบนโต๊ะไม้โอ๊คทรงกลมขนาดเล็กที่พอนั่งได้สี่คนปูด้วยผ้าสีเเดงสดอย่างบรรจงก่อนที่เก้าอี้ไม้สลักโดยมีเบาะสีเดียวกับผ้าปูโต๊ะจะถูกเลื่อนออกมาเล็กน้อยร่างสูงนั่งลงบนเก้าอี้ที่ว่างอยู่ตรงข้ามกับที่นั่งของด็กสาวข้างหลังของเธอมีองครักษ์หนุ่มยืนเอามือไขว้หลังด้วยท่าทีที่สุภาพ “ขอบคุณค่ะ”เสียงหวานตอบขณะที่มือเรียวบางค่อยๆยกหูถ้วยน้ำชาขึ้นริมฝีปากสีกุหลาบแตะขอบถ้วยเล็กน้อยเธอจิบชากลิ่นหอมกรุ่นก่อนจะวางลงบนจานรองเเก้ว “จากที่คุณเล่ามาแสดงว่ามีใครบางคนหรือบางกลุ่มคิดลอบทำร้ายคุณสินะครับ” เอดริคพูดขึ้นหลังจากที่ฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้ว เขาลูบขอบถ้วยชาอย่างเคยชิน “ค่ะ...”ฟรีเซียตอบนัยน์ตาสีน้ำเงินหลุบมองต่ำหากระวังตัวไว้มากกว่านี้ก็คงดี นึกไม่ถึงว่าพวกมันจะใช้พายุมาโจมตีใส่เเบบนี้ถึงอย่างนั้นตอนนี้ก็แก้ไขอะไรไม่ได้เเล้ว แม้เธอจะเศร้าหมองเพียงไรก็ตาม ร่างสูงทำสีหน้าครุ่นคิด ช่างเป็นเรื่องที่น่าแปลกยิ่งนัก "แต่ว่าถ้าหวังจะลอบสังหารจริงก็แสดงว่าการที่พวกคุณยังมีชีวิตรอดอยู่นั้นก็หมายความว่าพวกเขาทำงานผิดพลาดหรือไม่ก็มีจุดประสงค์อื่นสินะครับ?” “เรื่องนั้นฉันเองก็ยังสงสัยอยู่เหมือนกันค่ะ”ดวงตาสุกใสเคลือบความกังวลใจ ความเงียบเข้าปกคลุมอยู่นานทุกคนต่างคิดแบบไม่มีที่สิ้นสุดนัยน์ตาสีท้องทะเลประสานกันกับนัยนตาสีของท้องฟ้าใสยามรุ่งอรุณ “องค์หญิงขอรับ”แทรดดิอัสก้มตัวลงเอามือป้องปากกระซิบข้างหูเธอเบาๆ “กระหม่อมว่าพระองค์ควรจะรีบกลับอาณาจักรนะขอรับ” นัยน์ตาสีฟ้าของเอดริคหรี่ลงเล็กน้อย จากสถาณการณ์ที่เกิดขึ้นไม่เฟริคก็ฟรีเซียควรรีบกลับอาณาจักรให้เร็วที่สุด “นั่นสินะคะ”ฟรีเซียตอบเสียงเรียบ “ถึงแม้พวกเรายังไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้แต่ก็ควรจะรีบกลับอาณาจักรโดยเร็วป่านนี้คงวุ่นวายกันไปหมดแล้ว”ดวงหน้าสวยยังคงฉาบเคลือบความคลางแคลงใจ เอดริคเอนหลังพิงพนักมือข้างขวากอดอกไว้ส่วนมือซ้ายยกขึ้นแตะใบหน้าคมสันครึ่งล่าง “เเต่ปัญหาก็อยู่ตรงนี้ล่ะครับ” คำพูดที่ทำให้คนทั้งสองต้องมองเขาด้วยนัยน์ตาที่ฉงน “เพราะลมพายุนั่นทำให้สะพานหินขาดแล้วครับ” ############################################################# ภายในห้องกระจกเเก้วบางใสทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่เหล่าบรรดาเสนาอำมาตย์และผู้เกี่ยวข้องต่างนั่งล้อมโต๊ะประชุมลายสลักหินอ่อน ทุกคนต่างมีสีหน้าวิตกกังวลรัชทายาทคนสำคัญหายไปทั้งสองพระองค์เกือบอาทิตย์เเล้ว ไม่มีใครพูดอะไร ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบเป็นเวลานาน ผู้คุมกฏฮาร์แลนในชุดผ้าคลุมสีขาวและฮู้ดที่ปกปิดใบหน้าของเขาให้เห็นเพียงครึ่งเดียวร่างสูงนั่งนิ่งเขากวาดมองไปรอบอย่างนิ่งสงบ พลันเกิดเสียงถกเถียงกันดังขึ้น “หรือว่าทั้งสองพระองค์จะ...??” “ชู่ว!!อย่าพูดอะไรที่เป็นลางไม่ดีเชียวล่ะ” “หรือว่าพวกมันจับทั้งสามไป??” “ไม่...เป็นไปไม่ได้” “แล้วจะให้คิดเเบบไหนกันหละ??” เเต่เสียงเซ็งแซ่ก็เงียบลงราวกับภาพทั้งหมดถูกกดให้หยุดนิ่ง เมื่อสายตาที่ดุดันทรงอำนาจของเสนาคอร์เสคมองมายังยังพวกเขา ทั้งห้องเงียบลงอีกครั้ง “นี่ไม่ใช่เวลามาถกเถียงกันพวกเราต้องคิดว่าจะทำยังไงถึงจะตามหาทั้งสองพระองค์เจอเเละพากลับมาอย่างปลอดภัย” “จากที่ทหารของเราได้ออกตามหาทั้งสองพระองค์นั้นได้พบว่าที่ชายป่าที่มีร่องรอยถูกพายุเข้าโจมตี” เสียงๆหนึ่งกล่าวขึ้น “ไม่พบเเม้เงาขององค์หญิงฟรีเซียและองค์ชายเฟริค”ประโยคที่สองน้ำเสียงเบาลง ราวกับกลืนคำพูดหายทั้งหมดไปในลำคอ มีตรงไหนผิดพลาดหรือว่าประโยคยังขัดๆอยูก็ช่วยเตือนๆหน่อยนะคะ อ่านเองเเล้วชักมึนๆ แปะๆๆๆรูป เช่นเคยค่ะไม่อยากเสียสายตาข้ามไปได้เลยนะคะ:ah: . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . Thaddeus ว่าแต่เจ้าดิอัสนี่หน้าแปลกๆแฮะ เหอๆๆ ไว้ว่างๆจะวาดใหม่ละกันค่ะ รู้สึกว่าจะไม่ค่อยเหมือนเฟริคเท่าไหร่ ลองบรรยายเอาว่าเหมือนละกันนะคะ สองคนนี้มีวิธีวางสีหน้าอยู่กันคนละขั้วเลยออกมาไม่ค่อยเหมือนเท่าไหร่อะไรอย่างนี้น่ะค่ะ (ผิดพลาดเเล้วยังจะมาแก้ตัวอีก ตบๆๆ(=w=) เจ็บนะ.....) Freesia 2 โดยส่วนตัวชอบหนูฟรีเซียภาพนี้มากกว่าภาพเเรกน่ะค่ะ เลยเอามาลงอีกรอบ (=w=) ต่อไปจะเป็นตัวละครตัวไหนกันนะ???(O_O) ไม่บอกๆๆ (แต่ก็น่าจะพอเดากันได้ล่ะเนอะ)(=w=) อยากเห็นหน้าตัวละครไหนหรือรูปยังไงเป็นพิเศษบอกกล่าวกันได้นะคะ หากไม่เกิความสามารถที่มีอยู่อันน้อยนิดจะลองวาดดูค่ะ :china: :china:
บทที่ 4 “ไอ้ผลสาลี่บนต้นนี่น่ากินดีแฮะ” เสียงพิจารณาของเด็กหนุ่มซึ่งยืนกอดอกอยู่นั้นเอ่ยขึ้น มือใหญ่ยกขึ้นลูบคางเบาๆอย่างนึกสนุก ยังไม่ทันที่ภูติรับใช้ที่เกาะที่ไหล่ของเขาจะทันพูดอะไรเเม้แต่คำว่า ‘นาย...’เฟริคก็กระโดดขึ้นไปนั่งเอกเขนกบนกิ่งไม้ใหญ่เสียเเล้ว นัยน์ตาสีอัญมณีมองสำรวจรอบๆตัว ผลสาลี่ลูกเล็กใหญ่มากมาย “นั่น!!!”เขาตะโกนเสียงดังพร้อมทั้งชี้นิ้วไปยังสิ่งที่เล็งไว้ สิ้นคำพูดมือของเขาก็เด็ดเอาผลสาลี่สีนวลมาก่อนที่จะเอามาเช็ดกับเสื้อสองสามที แต่ขณะที่กำลังจะเอาเข้าปากนั้นเสียงเล็กๆก็ดังขึ้น “เอาไปเช็ดกับเสื้อเดี๋ยวก็สะอาดกว่าเดิมหร๊อก.....”คำพูดสุดท้ายของประโยคขึ้นสูงอย่างประชดประชัน แอดอฟมองเฟริคอย่างหน่ายๆราวกับเป็นผู้สั่งสอน ปากหนอปาก สั่งสอนไปกี่รอบ โดนไปกี่รอบ ไม่รู้จักจำ นัยน์ตาสีอเมทิสฉายแววประกายขุ่นเคืองใจ ภูตรับใช้ตัวน้อยกระดิกหางไปมาพร้อมทั้งส่งสายตาไร้เดียงสาไปให้ผู้เป็นนาย “งั้นเหรอ..........?” ขณะที่พูดไปมือก็คว้าเอาสาลี่ลูกที่ใกล้มือที่สุดมาเช็ดกับเเขนเสื้อเเรงๆเเล้วจับยัดเข้าปากสัตว์เลี้ยงแสนรักปากเสีย ซะเลย “อั๊ก!!!” เสียงสุดท้ายที่จิ้งจอกเก้าหางตัวน้อยจะมีสิทธิ์ได้พูดดังขึ้นอู้อี้ มันพยายามใช้อุ้มเท้าเล็กๆตะกุยเอาผลสาลี่ออกจากปากหากแต่ไม่เป็นผล นัยน์ตาคมเข้มหรี่มองเล็กน้อยเป็นเชิงว่ากระจอกจัง “สะอาดรึยังล่ะ?” เขาถามอย่างไม่ต้องการคำตอบ นัยน์ตาสีดำคู่โต ร่างสูงเอนหลังพิงต้นไม้พลางไขว้ขาขึ้น “เอาล่ะ” เขากำหมัด “ตัวกวนก็หมดไปของกินก็อยู่ตรงหน้า” ทานล่ะนะครับ!!! “นี่คุณ!!” เสียงหวานที่ดังขึ้นทำเอาคนที่อ้าปากรออยู่นั้นยกมือข้างที่วางอยู่ปฏิเสทพัลวัน “เปล่านะๆๆผมไม่ได้กินเเค่ดูเฉยๆ” เขาหลับตาปี๋จนไม่ได้สังเกตุว่าคนที่ยืนอยู่ข้างล่างนั้นกำลังทำหน้างงๆกับปฏิกิริยาของเขาเธออ้าปากจะพูดเเต่เฟริคก็แทรกขึ้นก่อน “รึว่า??”นัยน์ตาสีน้ำเงินเบิงกว้าง “มันจะเป็นสาลี่ต้องห้าม!!!”ดวงหน้าหล่อเริ่มซีดเหงื่อตก นี่เขาทำสิ่งไม่ควรไปเเล้วอย่างนั้นหรือ? น้ำตาไหลซึมจากนัยน์ตาสีเข้ม เอ๋??? เอลฟ์สาวตะลึง เธอค้างจนคิดคำพูดอะไรออกมาไม่ทันเด็กหนุ่มที่อยู่ข้างบนสักอย่าง “ไม่สิอาจจะเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่สามารถเเตะต้องได้ ใช่เเล้ว.....แน่ๆเลย” ดวงหน้าหล่อฉายเเววจริงจัง คนๆนี้....เขาคิดไปได้ยังไงเนี่ย???....... “เอ่อคือว่า.......”เอวิลยกมือขึ้นปรามหน่อยๆขณะเอ่ยปากพูด “ไม่ต้องผมเข้าใจดี”มือใหญ่ห้ามเธอไว้”ผมคง....คง”นัยน์ตาสีน้ำเงินเริ่มมีน้ำใสๆเอ่อล้นเขาทำท่าเหมือนเป็นคนที่น่าสงสารที่สุดในโลกก็ว่าได้ใบหน้าที่เศร้าหมองของเขาทำให้เด็กสาวรู้สึกผิดขึ้นมาชั่วครู่หากแต่เธอก็นึกขึ้นมาได้ว่า ไม่ใช่ความผิดของเธอนี่นาคนคนนี้ต่างหากที่เข้าใจผิดไปเอง ไม่ฟังที่คนอื่นพูดบ้างเลย... ก่อนที่นัยน์ตาสีอ่อนจะเหลือบไปเห็นแอดอฟดิ้นไปมาอยู่บนตักของเฟริคมันใช้ขาทั้งสี่ดันผลสาที่ลูกใหญ่พอๆกับตัวของมันออก แอดอฟเป็นจิ้งจอกที่ตัวเล็กพอสมควรแต่ก็ไม่ได้ตัวจิ๋วขนาดเท่าผลสาลี่ เพียงแต่ผลไม้ในป่าเอลด์ฝลค่อนข้างใหญ่กว่าอาณาจักรอื่นๆ เธอมองจิ้งจอกน้อยที่ส่งสายตาอ้อนวอบขอความช่วยเหลือก่อนจะยิ้มแห้งๆ ก่อนจะช่วยเจ้าตัวน้อยนั่นเธอต้องคุยกับคนที่อยู่ข้างบนให้รู้เรื่องก่อน “เดี๋ยวสิคุณ!!!”เอลฟ์สาวตะโกนขึ้น จนคนที่อยู่ข้างบนต้องกอดลำต้นของต้นไม้ใหญ่ไว้เเน่น เขาเกือบตกลงไปข้างล่างเเล้วด้วยความตกใจ เฟริคทำท่าเหมือนจะร้องไห้ต่ออีกรอบจนเอวิลต้องก้มหน้าถอนหายใจอย่างหน่ายๆ “ใจเย็นๆก่อนสิคะ”น้ำเสียงเธออ่อนลง “ฉันเเค่จะบอกว่าถ้าจะกินก็ลงมากินดีๆก็ได้ค่ะไม่ต้องไปโหนอยู่บนแบบนั้นมันอันตรายนะคะ” “ไม่ได้ต้องคำสาปสินะ??”เจ้าชายน้ำแข็งเอ่ยถามขณะที่สีหน้ายังติดกังวลอยู่จนเอวิลถึงกับต้องตะโกนย้ำอีกรอบ “ไม่มีหรอกค่ะ”เธอต้องเหงื่อตกกับเรื่องไร้สาระแบบนี้เนี่ยนะ ตลกมากคนอย่างเฟริคก็มีอยู่บนโลกด้วยรึนี่?เจ้าชายแห่งอาณาจักรเซเรนยิ้มเป็นประกายก่อนจะพูดคำพูดที่เกือบทำเอาเอวิลล้มตึงไปกับพื้น “แต่กินบนต้นไม้มันเท่กว่านี่นา เเบบพระเอกในหนังไง” เขาเก็กท่าประกอบ เอาเข้าไปสิ ท่าทีผิดจากเมื่อสักครู่ลิบลับ แต่ยังไม่ทันที่เอวิลจะพูดตอบอะไรกับประโยคประหลาดๆของเฟริค ร่างสูงก็กระโดดลงมายืนตรงหน้าเธอ “เอาเถอะ คนสวยขอทั้งทีไม่ลงมาได้ยังไง”เขากล่าวเเบบกวนๆแต่ก็เรียกสีหน้าแดงก่ำของฝ่ายตรงข้ามออกมาได้เหมือนกัน เฟริคกัดผลสาลี่ต่อโดยไม่ทันสังเกตุผลงานศิลปะของตน นัยน์ตาคู่สวยกวาดมองไปรอบตัว ดวงหน้าสวยเริ่มฉายแววคลาแคลงใจ กิ่งไม้อยู่สูงพอควรแต่คนคนนี้กลับกระโดดลงมาอย่างง่ายดาย “หืม??”เฟริคขมวดคิ้ว “นั่นใครน่ะ?” เอวิลหันไปทางทิศที่เขากล่าวถึง ร่างของเด็กผู้หญิงคนนึงอายุไม่น่าจะเกินสิบขวบเรื่อนผมสีฟ้าอ่อนผูกสองแกละไว้ใต้ใบหู เธอเกาะลำต้นไม้ใหญ่ไว่แน่พลางจ้องมองมาที่เฟริค เขาหันมองซ้ายขวาอย่างรวดเร็วก่อนจะชี้นิ้วเข้าหาตัวเองอย่างงงๆ ก่อนที่เด็กคนนั้นจะวิ่งหนีไป “อ่า.....” “เด็กคนนั้นเป็นน้องสาวของฉันเองชื่อว่า ‘ไอรีล’ค่ะ ต้องขอโทษแทนเธอที่เสียมารยาทด้วยนะคะ” เฟริคส่ายหน้าไปมาอย่างไม่คิดติดใจอะไรมาก “ช่างเถอะครับ แต่ตอนนี้ผมเองก็ต้องรีบกลับอาณาจักรเหมือนกันคงอยู่นานไม่ได้...ช่วยบอกทางออกจากป่านี่ให้หน่อยได้ไหมครับ ?”ร่างสูงว่าพลางกัดผลสาลี่ในมืออีกคำ เอวิลสีหน้าไม่สู้ดีนักกับข่าวร้ายสำหรับคนที่ขอความช่วยเหลือจากเธอ เมื่อสังเกตุเห็นท่าทีเช่นนั้นเฟริคจึงเอ่ยถาม “มีอะไรอย่างนั้นหรือ?” ถามจบก็กัดสาลี่คำใหญ่เข้าปาก พลางมองเอวิลเพื่อรอคำตอบ “จากที่คุณเล่ามาและดูจากสถาณะการณ์แล้วตัวคุณเองก็คงอยู่ในอัตรายสินะคะ ?” ‘ตายเเล้ว!!!อย่ายื่นหน้าเข้ามาใกล้สิ ฉันก็อายเป็นนะ’ เธอนิ่งอยู่นานอีกฝ่ายก็ยื่นหน้าเข้าใกล้ขึ้นเรื่อยๆจนภูติรับใช้ที่นอนแอ้งแม้งอยู่เอาหางของมันปิดตาไว้เเต่ก็แอบเหลือช่องให้พอมองเห็นอยู่บ้าง มันคิดว่าเฟริคจะทำอะไรไม่ดีๆ เเต่จริงๆเขาก็แค่รอคำตอบมันเหมือนกับว่าเธอพูดเบามากจนไม่สามารถได้ยินชัดเจนนักจึงต้องยื่นหน้าเข้าไปใกล้ “พูดดังๆหน่อยสิ”เสียงเบาอย่างนี้ใครจะไปได้ยินกัน เฟริคพูด หากเเต่เขาไม่ได้เลยว่าสิ่งที่เขาทำอยู่นั้นมันทำให้เด็กสาวที่อยู่ตรงหน้าเริ่มเขินอายหนักกว่าเก่า “อย่างน้อยๆตอนนี้คุณก็กลับทางเก่าไม่ได้เเล้วล่ะค่ะเพราะเป็นทางที่คุณถูกลอบโจมตีแล้วหายตัวไป” เธอพูดรัวๆเพราะความตื่นเต้น ใช่เขาเองก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน...แต่ปัญหาคือมีทางอื่นให้พอกลับไปบ้างหรือเปล่า?
เด็กใหม่ที่ว่าเนี่ยคงจะเป็น เด็กใหม่ของบอร์ดสินะครับ ไอ้เราก็นึกว่าเพิ่งแต่งฟิค พอลองเข้ามาถึงได้รู้ว่าโปรงะ เยอะมากปวดตาขอเซฟไปอ่านละนะคร้าบ! แล้วจะมาเม้นตอนหน้าทีเดียวเลย
เรื่องจริงค่ะที่ว่าเด็กใหม่ นี่เป็นนิยายเรื่องแรกค่ะ อย่าคิดว่าโปรเชียวค่ะอ่านไปมาอาจจะผิดหวังได้ค่ะ :scare: ก็รีบๆเอามาลงเพราะแอบดองเอาไว้จากบอร์ดเก่า(ตอนที่หนีไปเที่ยวโอกินาว่า) เลยยังไม่ได้ตรวจสอบหรือใส่รายระเอียดคงต้องมาแก้เพิ่มอีกทีค่ะ มีตรงไหนรู้สึกขาดๆ งงๆ หรือคำผิดก็ช่วยๆเตือนด้วยนะคะ :spin: เหอๆๆมีคำผิดเพียบเลยอ่านไปสี่รอบเจอทั้งสี่รอเเต่ถ้าใครสังเกตุดีๆจะมีประโยคนึงที่เขียนผิดไปอีกคำเลยออกมาคนล่ะความหมาย :waaa: ใครอ่านไปแล้วก็อย่าหัวเราะเรานะ :waaa:
###################################### ร่างของบุคคลทั้งสามนั่งนิ่งราวกับภาพที่ถูกกดหยุดเอาไว้ นัยน์สีเข้มประสานกันอยู่เนิ่นนาน หลังจาฟังคำอธิบายของเอดริคเเล้วแทบจะไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่จะใช้เส้นทางเก่ามันอัตรายเกินไปหรือว่าจะลองเสี่ยงดู ? ดวงหน้าสวยยังคงนิ่งสงบราวกับไม่มีสิ่งใดในโลกที่สามารถทำให้เธอขุ่นเคืองหมองใจได้แม้แต่น้อย หากแต่ไม่มีใครสามารถหยั่งรู้ความคิดภายใต้หน้ากากที่เรียบเฉยนั้นได้ “ถ้าสะพานขาดไปแล้วก็น่าจะยังพอมีทางอื่นอยู่บ้างใช่ไหมคะ? ฉันคิดว่าต่อให้กลับทางเก่าได้ก็ไม่ปลอดภัยอยู่ดี พวกเขาคงลาดตะเวนหรือแอบซุ่มอยู่แถวนั้นเพื่อคอยจับตาดูพวกเราอยู่เป็นแน่” เอดริคพยักหน้าเป็นเชิงตอบ“ครับ....เป็นอย่างที่คุณคิด ยังพอมีทางที่จะกลับอาณาจักรเซเรนอยู่ครับ” นัยน์ตาสีฟ้าจ้องมองไปยังคนที่รอฟังคำตอบจากเขาอยู่ “แต่ทางค่อนข้างไกลหน่อยนะครับ”เอดริคกล่าว เขาวางสีหน้าที่ครุ่นคิดอยู่เล็กน้อย แผนที่แผ่นใหญ่ถูกกางบนโต๊ะกลมที่ทำจากทองสลักลายมังกรผงาด นัยน์ตาทั้งสองคู่จ้องมองไล่ตามนิ้วของเอดริคที่ชี้ลงบนเส้นทางที่ปรากฎตามแผนที่ “ถ้าลงไปทางทิศใต้แล้วลอดถ้ำใต้ภูเขาไปจากนั้นก็เดินทางต่อไปอีกเรื่อยๆก็จะถึงอาณาจักรฟีเรียสจากนั้นค่อยกลับเข้าเซเรนครับ” เขาพูดพลางไล่นิ้วมือไปตามเส้นทางที่ดังกล่าว “เส้นทางนี้ค่อนข้างไกลอยู่พอสมควรแล้วอีกอย่างสะพานที่ใช้เชื่อมค่อนข้างเก่าและไม่แข็งแรงเท่าไหร่ ระยะเวลาในการเดินทางก็ประมาณสองเดือนถึงจะถึงฟีเรียสครับ อาณาจักรของเราเลยเลือกเส้นทางที่สะดวกมากกว่าครับ โดยใช้สะพานหินข้ามไปเพื่อติดต่อกับอาณาจักรอื่นๆ” เขาอธิบาย “ส่วนหนทางติดต่อกับเซเรนถ้าหากเราลองส่งข่าวจากทางอาณาจักรฟีเรียสอาจจะพอเป็นไปได้นะครับ” เอดริคกล่าว “ไม่เป็นไรหรอกค่ะอันที่จริงฉันเองก็พอมีทางที่จะส่งข่าวอย่างปลอดภัยอยู่เหมือนกันค่ะ”ฟรีเซียยิ้มอย่างเกรงใจ เอดริคพยักหน้าอย่างเข้าใจก่อนที่ดวงหน้าหล่อจะเริ่มฉายแววไม่สบายใจเท่าใดนัก จนฟรีเซียกับแทรดดิอัสต้องขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความฉงน เอดริคกระแอมไอเล็กน้อยก่อนจะเริ่มพูดเสียงเบา “อย่างที่ผมบอกไปตั้งแต่แรกว่าเเป็นส้นทางที่ปกติไม่ค่อยมีคนใช้......”เขานิ่งเงียบพลางครุ่นคิดว่าพอจะมีใครที่สามารถนำทางให้คนทั้งสองได้หรือไม่ อีกทั้งต้องสามารถต้องสามารถไว้ใจได้ ฟรีเซียนั่งมองเจ้าชายแห่งลาสที่อยู่ๆเขาก็นิ่งไป ร่างบางขยับตัวเล็กน้อยแต่ดูเหมือนว่าจะเป็นการเรียกสติของเด็กหนุ่มให้กลับมาอีกครั้ง "อะ...ขอโทษนะครับที่อยู่ๆก็เงียบไป"เอดริคกล่าวพลางยืดตัวนั่งตรง "ผมกำลังคิดว่าบางทีผมอาจจะเป็นคนนำทางให้กับพวกคุณน่ะครับ" "แล้วตัวคุณเป็นรัชทายาดจะไม่เป็นการเสี่ยงเกินไปหรือคะ? แล้วยังจะตอนขากลับอีก"ดวงหน้าสวยฉายแววกังวล เป็นเรื่องที่ไม่ควรสักเท่าหากรัชทายาดของอาณาจักรจะออกไปเผชิญกับอันตรายข้างนอก "เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วงครับ ส่วนเรื่องตอนขากลับก็...ไม่ต้องเป็นห่วงผมหรอกนะครับ" คำตอบที่สองของเขานั้นไม่แน่นอนเหมือนตอบปัดเพื่อไม่ให้คนทั้งสองต้องกังวล ฟรีเซียรู้ในทันทีว่าตัวเขาเองก็ไม่แน่ใจสักเท่าไหร่ว่าจะกลับมาอย่างปลอดภัยได้หรือเปล่า "แล้วคุณเอดริคเคยไปฟีเรียสตามทางเส้นนี้มาแล้วหรือคะ?” ฟรีเซียเอ่ยถาม เอดริคหลับตาทบวนความทรงจำให้แน่ชัดก่อนตอบ "สองครั้งได้นะครับ ตอนนั้นมีคนจากฟีเรียสไปด้วยทำให้สะดวกตอนเข้าเมืองน่ะครับ"เขาตอบ ใช่ตอนเข้าเมืองถ้าตอนนั้นไม่มีคนจากฟีเรียสไปด้วยคงยุ่งยากกว่านี้เป็นแน่ "แล้วคุณยังจำเส้นทางได้หรือคะ?" "แน่นอนครับ"เขายิ้มให้เธออย่างอบอุ่น "ถึงจะแค่สองครั้งแต่ผมก็ยังสามารถจำเส้นทางได้อย่างดีเลยครับ" ร่างสูงเข้าใจว่าตัวเธอเองก็คงเป็นห่วงอยู่ไม่น้อยถึงได้ถามคำถามแบบนี้ออกมาเผื่อเขาจะเปลี่ยนใจ “ผม...ไม่เป็นไรหรอกนะครับ” ฟรีเซียลังเลใจอยู่เล็กน้อยก่อนที่จะตอบตกลง "งั้นต้องขอความกรุณาด้วยนะคะคุณเอดริค" “ครับ” เอดริคเผยยิ้มให้อย่างอบอุ่นก่อนที่เขาจะเลื่อนเก้าอี้ออกแล้วลุกขึ้น ฟรีเซียเหลือบสายตาขึ้นเล็กน้อยตามคนที่อยู่ข้างหน้า เอดริคเดินอ้อมโต๊ะมาอยู่ข้างเธอแล้วยิ้มอีกครั้ง “แต่มีข้อแม้นะครับ”เขากล่าวขึ้น แทรดดิอัสตวัดสายตาขึ้นมองอย่างไม่ไว้ใจ จะช่วยเหลือทั้งทียังมีข้อเเม้ท่าทางจะไม่ใช่คนที่น่าไว้วางใจ “คะ?”
ร่างสูงขยับเดินเข้าไปใกล้เธออีก เขาก้มตัวลงเล็กน้อยให้พออยู่ในระดับที่สามารถสบสายตากันได้ “คุณต้องพักผ่อนก่อนอย่างน้อยสองถึงสามวันหลังจากนั้นค่อยว่ากันอีกทีนะครับ”เขาพูดน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความห่วงใย องครักษ์หนุ่มกลับไปยืนท่าเดิมอีกครั้งหลังจากตั้งท่าเตรียมพร้อมต่อสู้ “คุณเองก็เช่นกันนะครับควรจะพักผ่อนให้มากๆ” เอดริคหันไปพูดกับแทรดดิอัสด้วยรอยยิ้ม เขาแอบขำอยู่ในใจไม่น้อยเมื่อเห็นท่าทีขององครักษ์หนุ่มเมื่อสักครู่ นี่ถ้าแทรดดิอัสเป็นคนใจร้อนกว่านี้แล้วล่ะก็...ปลายดาบคงมาจ่ออยู่ที่คอของเขาหรือไม่ก็คงฟาดดาบลงมาอย่างเต็มเเรงไปแล้วเป็นแน่ แต่เอดริคก็ไม่แสดงท่าทีรับรู้กับท่าทางของแทรดดิอัสแต่อย่างใด เขาม้วนเก็บแผนที่อย่างเรียบร้อยแล้วใส่กระบอกสีทองประกายที่ผูกด้วยเชือกหนังสีน้ำตาลเข้มแล้วนำไปแขวนไว้กับพนังห้องตามเดิม ก่อนที่เดินจะตรงไปยังประตู ขณะที่มือใหญ่เอื้อมจับกลอนประตูอยู่นั้นเขาก็หันกลับมาเล็กน้อย “ทั้งสองคนพักผ่อนให้มากๆนะครับ” เขาส่งรอยยิ้มที่อบอุ่นดั่งแสงอาทิตย์ในยามเช้าให้ฟรีเซียและแทรดดิอัสซึ่งพยักหน้าตอบรับ ประตูบานใหญ่ปิดลงอย่างค่อยๆและเมื่อเสียงฝีเท้าเริ่มห่างออกไป องครักษ์หนุ่มก็ก้าวเท้ามาหยุดยืนข้างๆฟรีเซีย “เป็นเรื่องน่าแปลกนะครับที่องค์หญิงพูดคุยกับคนแปลกหน้าได้อย่างสนิทสนมอย่างนี้??”แทรดดิอัสซึ่งนิ่งเงียบอยู่นานเอ่ยขึ้นอย่างเอ็นดู ไม่ใช่ว่าฟรีเซียไม่คุยกับคนแปลกหน้าอื่นแต่ว่าเธอดูพูดคุยกับเอดริคได้อย่างคุ้นเคยราวกับไม่ใช่คนที่เพิ่งพบกันเป็นครั้งแรก ฟรีเซียไม่ตอบเธอเพียงเเต่เหม่อมองไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย มือทั้งสองประสานไว้บนตัก “นั่นสินะคะ........” เสียงหวานตอบเบาๆ เหมือนกับว่าเคยเจอเขาคนนี้ที่ไหนมาก่อน............เมื่อนานมาแล้ว.... แทรดดิอัสยิ้มจางๆ แต่เมื่อเขาสังเกตุเห็นนัยน์ตาที่เป็นประกายเหนื่อยล้าเล็กน้อยจึงผายมือไปที่เตียงนอนซึ่งจัดไว้อย่างเป็นระเบียบ “องค์หญิงเชิญพักผ่อนก่อนเถอะครับ...ผมจะเฝ้าอยู่ที่หน้าประตูเองครับ” หากแต่ฟรีเซียกลับส่ายหน้า “ดิอัสเองก็ต้องพักผ่อนเหมือนกันนะคะ จะให้มาคอยคุ้มกันฉันตลอดเวลาได้ยังไงกัน”ร่างบางเอ่ยเสียงนุ่มเธอระบายยิ้มเล็กน้อย แทรดดิอัสทำท่าจะเอ่ยปากแต่ก็ถูกขัดขึ้นซะก่อน มือเล็กยกขึ้นกันคำพูดของเขาเอาไว้ “ไม่เป็นไรค่ะ”แทรดดิอัสชะงัก เขาถอยหลังเล็กน้อย เหมือนจะรู้ตัวเเล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น “คุณเอดริคเองก็บอกเเล้วไม่ใช่หรือคะดิอัสสเองก็ต้องพักเหมือนกัน”นัยน์ตาสีน้ำเงินตวัดมองเป็นเชิงถามหากเเต่ไม่ต้องการคำตอบ “ผมจะนอนอยู่ที่หน้าประตูนะครับ”เขาพูดแบบตัดบท เเล้วรีบเดินก้าวเท้าไวไม่รอฟังคำตอบเพราะถ้าไม่ทำอย่างนี้เเล้วละก็ฟรีเซียคงไม่ยอมเขาอย่างแน่นอน ร่างสูงนั่งลงขวางประตูไว้เเล้วหลับตาลง ด้วยความเหนื่อยหล้าเขาจึงหลับในทันที แสงแดดยามเช้าลอดผ่านผ้าม่านสีเข้มเข้ามาในห้องนอนขนาดใหญ่ซึ่งขณะนี้คนที่อยู่บนเตียงนอนนั้นกำลังอยู่ในห้วงนิทรา แพขนตาสีดำค่อยๆปรือขึ้นเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำเงินคู่สวยกระพริบตาสองสามที่เพื่อบปรับให้ชินกับเเสง เธอยันตัวขึ้นนั่งมือเล็กยกขึ้นขยี้ตาเบาๆ ก่อนจะยิ้มบางที่ดูสดใสราวกับลำธารใสในฤดูใบไม้ผลิ อย่างยินดีกับเช้าวันใหม่ ฟรีเซียก้าวลงจากเตียง ในเช้าวันที่สองหลังจากที่เธอมาอยู่ที่อาณาจักรลาส...เผ่าไฟ แห่งนี้ ทางเดินที่ทอดยาวถูกปูด้วยพรมสีเเดงที่ดูเข้ากับพนังอิฐสีเทา และมีรูปปั้นมังกรในอิริยาบทต่างๆวางเรียงเป็นระยะๆหากแต่สำหรับผู้ที่ไม่เคยชินเเล้ว อาจจะรู้สึกหวาดกลัวเสียมากกว่าจะมองเป็นเเค่ของประดับปราสาทเท่านั้น เสียงเดินลากเท้าดังขึ้นเรื่อยๆพร้อมๆกับร่างของชายหนุ่มอายุราวยี่สิบที่สีหน้าบ่งบอกถึง ‘ความเซ็งกับชีวิตเเบบสุดๆ’ เขาก้มหน้างุนก้าวเดินเบี่ยงไปทางซ้ายทีขวาที อย่างที่ต่อให้มีอะไรอยู่ตรงหน้าเขาก็สามารถก็ชนได้หมดเรือนผมสีแดงยาวถูกมัดไว้อย่างลวกๆ นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มที่หางตาตกเล็กน้อยเริ่มหรี่ลงจนเกือบจะปิด “ให้ตายสิ! อะไรมันจะน่าเบื่อได้ขนาดนี้” ก่อนจะทิ้งตัวกึ่งนั่งกึ่งนอนบนเก้าอี้ม้ายาวสีน้ำตาลอ่อน พลางกวาดมองไปรอบๆตัว อุส่าห์เหนื่อยแทบตายกว่าจะขอเข้ามาในวังส่วนกลางได้ อะไรเนี่ยห๊ะ? ไม่มีอะไรสักอย่าง ก่อนที่นัยน์ตาสีใบไม้จะไปสะดุดเข้ากับบางอย่าง ________________________________________________________ ต่อด้วยภาพตัวละคร3 :scare: เช่นเคยนะคะทำใจก่อนลงไปดู :waaa: . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . Edric Edric2 ค่ะ เป็นตัวต้นฉบับเอดริคไม่สิ แต่เดิมวางไว้ให้เป็นคนอ่อนโยนเเล้วเปลี่ยนมาให้เย็นชาแต่คิดไปมาอย่าดีกว่าเหอๆๆ รูปนี้จึงปรากฎขึ้นมาบนโลกใบนี้ ป.ล. หน้าแอบเบี้ยวนะเนี่ย :555: เอ๊ะคอกับหัวไม่ไปด้วยกัน ไว้ค่อยแก้ละกันค่ะ เหอๆๆๆ
ใช่ค่ะ มีอะไรผิดปกติหรือว่าไปซ้ำกับใครหรือเปล่าคะ?(=A=) ต่อตอนใหม่หลังจากที่ดองมานาน :555: บทที่5 มุมของบันได้วนมีเพียงเเค่แสงไฟจากคบเพลิงเท่านั้น เสียงฝีเท้าที่เดินลงมาเป็นจังหวะสม่ำเสมอเริ่มดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ผ้าคลุมยาวลากพื้นสีน้ำตาลเข้มถูกสะบัดออกเล็กน้อยเมื่อเท้าของร่างสูงแตะถึงบันไดขั้นสุดท้าย ริมฝีปากบางเฉียบเผยยิ้มที่มีความนัยน์บางอย่าง ทางเดินที่ทอดยาวทั้งสี่สายที่สุดปลายทางมารวมกันตรงจุดศูนย์กลาง ณ.ลานรูปวงกลมขนาดใหญ่ที่มีสายน้ำสีส้มอ่อนๆวนเป็นวงโดยมีสะพานอิฐทอดข้ามผ่าน พื้นที่วงกลมขนาดใหญ่แห่งนี้มีลักษณะเป็นโดมครอบเอาไว้ เหนือทางเดินทั้งสี่สายที่เชื่อมต่อกันมีรูปปั้นมังกรหินตั้งอยู่ในอิริยาบทที่แตกต่างกันออกไปแต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันนั้นก็คือ ทุกตัวจะทำท่าคำรามด้วยคอที่ยาวของมัน ร่างบางของเด็กสาวผมสีดำเข้มในชุดผ้าฝ้ายสีครีมอ่อนๆ กระโปรงยาวจรดข้อเท้าโดยมีองค์รักษ์หนุ่มเดินติดตามอยู่ไม่ห่างนัก เธอเหลือบมองเห็นชายหนุ่มอายุประมาณยี่สิบห้ายี่สิบหกนัยน์ตาสีน้ำตาลเฉียบคม เรือนผมสีทองอ่อนๆยาวประบ่า สวมเสื้อสีเขียวใบไม้คลุมด้วยผ้าสีน้ำตาลแก่ เดินมาจากอีกฟากของทางเชื่อม ในเสี้ยววินาทีนั้นเอง ตอนที่สวนกันราวกับว่านัยน์ตาคู่นั้นเหลือบมองเธอก่อนที่ผ้าคลุมยาวจะสะบัดถูกแขนเรียกสติให้กลับมา ตุบ!!! ฟรีเซียก้มลงมองที่พื้น “หนังสือ?’ “เดี๋ยวก่อนค่ะคุณทำของตก.....”น้ำเสียงที่เริ่มเบาเรื่อยๆนั้นหยุดลง มีแต่ความว่างเปล่า ชายคนนั้นหายไปแล้ว “องค์หญิงครับ” “เขาหายไปเเล้วค่ะดิอัส” ทั้งสองคนเก็บความสงสัยไว้ในใจโดยที่ไม่แสดงออกมา ร่างบางก้มลงมองหนังสือปกใสจนทะลุเห็นหน้าแรกของหนังสือ หากเเต่ว่าหน้ากระดาษที่เห็นนั้นเป็นเพียงเเค่สัญลักษณ์ที่ถูกกรีดให้เป็นรอยเท่านั้น ตรามงกุฎรอบกรอบสลักลายสวย พอมือเรียวบางกรีดเปิดหนังสือเพื่อจะตรวจสอบว่าใครเป็นเจ้าของก็พบว่ามันมีกุญแจล๊อคอยู่ คงต้องรอจนกว่าจะพบกับเขาอีกครั้ง ถึงจะคืนหนังสือเล่มนี้ให้ได้ ฟรีเซียยิ้มพลางถอนหายใจเบาๆ เธอมองไปรอบตัวอีกครั้งก่อนจะไปสะดุดตากับน้ำที่ไหลวนรอบพื้นวงกลมส่วนกลางของโดมแห่งนี้ เด็กสาวได้หยุดยืนที่ริมสะพานที่เชื่อมเป็นทางเดินก่อนจะย่อตัวลง น้ำที่มีสีสันประหลาด หากแต่สำหรับชนเผ่าน้ำไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด ผิวน้ำที่ถูกมือเล็กบางสัมผัสค่อยๆกระจายเป็นวงรอบก่อนจะไหลเป็นเส้นสายตามแรงพัดพาของลำธารอีกครั้ง “สายน้ำฤดูใบไม้ผลิ” ฟรีเซียกล่าวเบาๆ “เป็นหนึ่งในสายน้ำทั้งหกฤดูสินะครับ?” “ใช่ค่ะ” สายน้ำในฤดูหนาวเป็นสีฟ้าใส ในฤดูใบไม้ผลิสีเขียวจาง ฤดูใบไม้ร่วงสีส้มเข้ม ฤดูร้อนสีแดงอ่อน ฤดูฝนสีน้ำเงินเข้ม และในฤดูแล้งสีเทาหม่น หากเปรียบอาณาจักรเซเรนเป็นดั่งฤดูหนาวที่งดงามและเย็นจับขั้วหัวใจ อาณาจักรลาสนั้นก็ต้องเป็นฤดูใบไม้ร่วงอันแสนสดใส ฟรีเซียเอียงคอเงยหน้าขึ้นมองบุรุษที่ยืนอยู่ข้างหลังเธอ “ดิอัส...ฉันมีความคิดดีๆแล้วล่ะค่ะ” ดวงหน้าสวยก้มลงอีกครั้ง นัยน์ตาสีน้ำเงินจับจ้องมองลำธารที่ไหลอย่างช้าๆอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เธอจะยื่นมือไปวางไว้เหนือผิวน้ำแล้วหลับตาลง ริมฝีปากสีกุหลาบเริ่มร่ายมนต์อย่างช้าๆ วงเวทสีขาววนเป็นวงรอบข้อมือเล็กก่อนจะค่อยๆเลื่อนลงและแผ่ขยายวงกว้างล่างฝ่ามือ ฟรีเซียลืมตาพร้อมๆกับยกมือของเธอขึ้น แต่ก็ยังท่องมนต์ซ้ำไปมาอยู่อย่างนั้น ในขณะที่น้ำในลำธารฤดูใบไม้ร่วงสีส้มเข้มค่อยๆเริ่มก่อตัวกันลอยขึ้นมาอย่างช้าๆเป็นกลุ่มก้อน หลังจากนั้นเธอก็หงายฝ่ามือของตนไว้ที่ระดับสายตา ก่อนที่หยดน้ำจะค่อยๆสลายเป็นละอองหายเข้าไปในฝ่ามือของเธอ แสงสีขาวสว่างที่แสดงถึงวงเวทค่อยๆเลือนหายไป ทุกอย่างกลับสู่สภาพปกติ ฟรีเซียยังคงนั่งคุกเข่าอยู่ที่เดิมเธอมองไปรอบๆด้วยสายตาที่ครุ่นคิด “องค์หญิง??” “อาณาจักรลาสมีมังกรเป็นสัตว์สัญลักษณ์สินะคะ? “ “ครับ” องครักษ์หนุ่มตอบอย่างนอบน้อม นัยน์ตาสิทองเป็นประกายฉงนเล็กน้อย ฟรีเซียยิ้มอย่างรู้ทัน “แค่รู้สึกว่าแถวนี้มีรูปปั้นมังกรเยอะเสียจนน่ากลัว เท่านั้นเองค่ะ” เธอกล่าวขณะที่เงยหน้าขึ้นมองเพดานโดมที่ถูกขึงไปด้วยธงสีแดงสดของอาณาจักรลาสก่อนจะทอดสายตามองไปรอบๆ เสาทุกต้นถูกประดับไปด้วยสัตว์ซึ่งเป็นสัญญาลักษณ์ของเผ่าไฟ ทั้งยังมีรูปปั้นของสัตว์ผู้น่าเกรงขามตนนี้รายล้อมรอบตัวเธอเป็นจำนวนมาก “ก็มีแค่ในส่วนบริเวณนี้เท่านั้นล่ะครับที่มี ‘เจ้าพวกนี้’ อยู่เยอะเสียจนดูน่ากลัว”เสียงทุ้มดังขึ้นจากทางด้านหลังของเธอ ชายหนุ่มผู้ที่รูปร่างไม่สูงมากนักหากเทียบกับผู้ชายคนอื่นๆที่เธอเคยพบเจอมาก่อน หางตาที่ยาวตกเล็กน้อย ใบหน้าที่ดูขี้เล่นบ่งบอกถึงลักษณะนิสัยเป็นกันเองของเจ้าของ เรือนผมสีแดงยาวที่ถูกมัดไว้อย่างลวกๆตวัดพันไว้รอบคอ เขาเดินเข้ามาอย่างช้า “สวัสดีครับ” เขากล่าวทักทายนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มเป็นประกาย “สวัสดีค่ะ”ฟรีเซียยิ้มให้เขาอย่างเป็นมิตร ท่าทางของผู้ชายคนนี้ไม่ใช่คนที่ไม่น่าไว้วางใจ ดูเหมือนว่าเขาจะสามารถพูดคุยกับคนแปลกหน้าได้อย่างคุ้นเคยเเละสนิทสนม ถึงกระนั้นแทรดดิอัสก็ยังก้าวออกมาข้างหน้าเล็กน้อย ด้วยสีหน้าที่เย็นเยือก
เปล่าค่ะ ไม่ได้ซ้ำกับใครหรอก หนูเองก็แต่งนิยายเหมือนกันค่ะ แต่ไม่ได้ลงบอร์ดนี้ เอาไปลงในเว็บเด็กดีแทน ว่างๆก็แวะไปได้นะคะ my.dek-d.com/dada-jang มีอยู่หลายเรื่องเหมือนกันค่ะแต่ยังไม่จบซักเรื่อง^O^ ตอนนี้กำลังปั่นอยู่เรื่องเดียว เรื่องที่คนเข้าเยอะที่สุดน่ะค่ะ พักนี้การบรรยายชักจะแย่ลง แต่ก็แต่งไปได้เรื่อยๆ แล้วก็รีไรท์ด้วยค่ะ ตอนนี้เหลืออีกแค่ตอนเดียวที่ยังไม่ได้รีไรท์ เพราะมีอยู่สองตอนที่รีไรท์รอบสองน่ะค่ะ แล้วจะแวะมาใหม่นะคะ ปล.รูปสวยมากค่ะ น่ารักดี^_^