+++ The Last Kingdom : Fall of Man +++ / update Vol 6.2

กระทู้จากหมวด 'Fiction' โดย shinkyoto, 6 มิถุนายน 2008.

  1. shinkyoto

    shinkyoto Well-Known Member

    EXP:
    580
    ถูกใจที่ได้รับ:
    3
    คะแนน Trophy:
    88
    Re: +++ The Last Kingdom : Fall of Man +++ / update Vol. 3.0

    ++Innocent Blood++


    14 กุมภาพันธ์ ปี 1760



    ปราการจักรวรรดิ อาณานิคมอะซอรี่ สถานจองจำ "Babel Tower"​




    อะซอรี่ กลุ่มหมู่เกาะที่กระจุกอยู่กลางมหาสมุทร กึ่งกลางระหว่างแผ่นดินแม่เกาะไบรตัน กับ ดินแดนอาณานิคม นับจากประวัติศาสตร์การก่อตั้งจักรวรรดิ พร้อมๆกับการสถาปณากองทัพศาสนาจักร กลุ่มของเกาะทั้งห้าก็ได้กลายมาเป็นปราการทางทะเลที่สำคัญ ที่ใช้เพื่อกดดันการรุกรานทางทะเลของพวกแวมไพร์มาตลอด ในช่วงการรุกรานกรุงลอนดอนนั่นเอง ที่แห่งนี้ก็ได้กลายเป็นศูนย์บัญชาการสำรองของจักรวรรดิจวบจนถึงช่วงสงครามกลางเมือง สหพันธรัฐ ที่ฐานบัญชาการรบได้ย้ายไปสู่ อาณานิคมนิวยอร์คเป็นการถาวร ด้วยว่าจุดยุทธศาสตร์ด้านเกาะไบรตันค่อนข้างจะเสี่ยงเกินไป (ในช่วงนั้นตัวเกาะไบรตัน กลางเป็นสมรภูมิสนามเพลาะไปทั่วทั้งเกาะ)

    ความคิดในการสร้างที่คุมขังเชลยสงคราม และ นักโทษของศาสจักรได้เริ่มขึ้นโดยเหล่าเสนธิการทหาร ด้วยว่าในสงครามการหาข่าวกรองจากฝ่ายศัตรูถือเป็นความเร่งด่วนอันดับต้นๆ ยิ่งการบุกแต่ล่ะครั้งสร้างความเสียหายและจู่โจมราวสายฟ้าแล่บ บั่นทอนกำลังใจและขวัญของประชาชนเป็นอย่างมาก และด้วยทำเลกลางมหาสมุทรที่สามารถป้องกันการโจมตีหรือหลบหนีได้ง่าย ทำให้ที่แห่งนี้ถูกเลือกเป็นสถานที่ตั้งสถานจองจำดังกล่าว

    กล่าวกันว่าตัวสถานจองจำตลอดช่วงสงครามร้อยปี มีเชลยสงครามนับพันที่เข้าไปแล้วไม่ได้กลับออกมาอีก จำนวนยิ่งสูงเป็นเท่าตัวเมื่อนับรวมกับพวกนอกรีต ที่ศาสนจักรส่งตัวมา นักโทษการเมือง พวกทำละเมิดกฎหมายศาสนา พวกรักร่วมเพศ พวกนับถือพระเจ้าองค์อื่น พวกชนกลุ่มน้อย เหล่าผู้ร้ายทั้งหลายก็ถูกส่งมารวมยังที่แห่งนี้เช่นกัน

    เสียงร้องโหยหวนของเหล่านักโทษ เสียงแผดร้องของร่างที่กำลังจะตาย เสียงควรญครางของเหล่าวิญญานที่ยังล่องลอยอยู่ในหอคอย หอคอยที่ตั้งตระหง่านดุจดังภูภา ด้วยว่าสร้างขึ้นจากหินภูเขาไฟสีดำเพื่อความแข็งแกร่ง ทำให้ถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "หอคอยทมิฬ"




    ตัวผมตอนนั้นได้เข้าทำงานเป็นผู้คุมนักโทษ ในชั้นที่คุมขังพวกแวมไพร์ กับ พวกนอกรีตโดยเฉพาะ ตอนฝึกในค่ายทหารของจักรวรรดิ ครูฝึกได้สอนให้เรามองคนพวกนี้ว่าเป็นพวกสัตว์ชั้นต่ำ ต้องแสดงความโหดร้ายต่อพวกมัน เพราะพวกมันจะทำลายประเทศของเรา ครอบครัวของเรา และ ตัวเรา ฉะนั้นอย่าไปสงสารพวกมันเป็นอันขาด

    แต่ระหว่างการฝึกในค่ายฝึก กับ การทำงานจริงย่อมได้ประสบการณ์ไม่เหมือนที่ครูฝึกเสี้ยมสอนพวกเรากันมา เมื่อได้เข้าสู่หอคอยเป็นครั้งแรก บรรยากาศกดดันที่หนาวยะเยือกถึงสันหลัง ทำเอาผมถึงตัวสั่นสะท้าน แต่ก็ตามมาด้วยความรู้สึกตื่นตระหนก ด้วยเสียงร้องระงมที่ดังไม่หยุดจากทุกทิศทาง สลับกับเสียงตีกระบองของเหล่าผู้คุมนักโทษใส่กรงเหล็ก ผมจำได้ว่ามีพวกเราคนหนึ่งในกลุ่มถึงกับขาอ่อนกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่หลังจากที่ผ่านไปได้สักระยะเพื่อนคนนั้นกับคนอื่นๆรวมทั้งผมเอง ก็ดูจะชาชินกับสิ่งที่เกิดขึ้นราวกับเป็น ราวกับเป็นสิ่งที่รบกวนเล็กน้อยระหว่างการทำงาน


    งานแรกที่พวกผมได้ทำในฐานผู้คุม คือการคุมนักโทษใหม่ที่ถูกส่งมา งานที่ผู้คุมใหม่จะต้องทำทุกคน เพื่อเป็นการฝึกซ้อมการทำงานและจิตใจไปในตัว นักโทษใหม่ส่วนมากมักจะเป็นเชลยสงครามจากแนวหน้า เป็นพวกนอกรีตผสมกับพวกทรยศชาติจำนวนเป็นสัดส่วนใหญ่ แม้ว่าสถานจองจำแห่งนี้จะได้ชื่อว่าเป็นที่รวมของพวกแวมไพร์ที่จับกุมตัวได้มากที่สุด แต่กรณีการรับตัวแวมไพร์ที่ถูกจับได้นั้นกลับเป็นเรื่องที่นานๆจะเกิดขึ้นครั้ง นับได้เพียง 89ตนเท่านั้น ตลอดระยะเวลา30ปีที่ผมทำงานอยู่ณที่แห่งนั้น


    เหล่านักโทษแม้จะแยกประเภทออกเป็นตามระดับความผิด แต่ก็มีจำนวนไม่น้อยที่ถูกตัดสินลงโทษเด็ดขาดเมื่อมาถึงสถานจองจำเลย โดยว่าพื้นที่สำหรับนักโทษทั่วไปมันมีไม่พอสำหรับทุกคน และ ห้องขังเองก็ใช้งานจนเกินกว่าที่จะรับไหว ฉะนั้นถ้าไม่เป็นคนเก่าที่ออกไป ก็ต้องลดจำนวนคนเข้าใหม่ลง และ พวกผมก็ต้องดูแลพวกนักโทษชะตาขาดส่วนเกินที่ว่านี้ไปรับการลงโทษ ตะแลงแกงนั้นเป็นเครื่องประหารที่ใช้กันทั่วไปในจักรวรรดิ แต่เพราะจำนวนผู้ถูกประหารที่บางครั้งก็ถึงหลาย ร้อย หรือบางครั้งก็เป็นหลักพัน ต่อปี ทำให้การตัดหัวเป็นช่องทางเสริมในส่วนที่ตะแลงแกงรับมาไม่หมด


    มันคงจะเป็นการดีถ้านักโทษประหารทั้งหมดจะเป็นพวกโจรผู้ร้ายโหดเหี้ยมอำมหิตกันหมด คนพวกนั้นไม่ใช่ว่าเวลาจะเอาตัวไปประหารจะไม่มีปัญหาอะไร หลายคนเป็นลมล้มพับ น้ำหูน้ำตากระเด็น ว่าตัวล่ำๆเป็นมหาโจร ต่างก็ถ่ายหนักถ่ายเบาระหว่างขึ้นแท่นกันมานักต่อนักแล้ว ที่ผมอยากให้เป็นพวกอย่างว่า เพราะจะได้ไม่รู้สึกสงสารหรือทำใจได้ง่ายขึ้น แต่ส่วนใหญ่ที่ต้องประหารกลับเป็นคนธรรมดา ที่ทำผิดกฎหมายศาสนาเสียเป็นส่วนมาก มีกรณีหนึ่งที่ผมจำขึ้นใจมาถึงทุกวันนี้ นักโทษแม่ลูก ตัวแม่นั้นถูกตัดสินว่าเป็นพวกรับใช้แวมไพร์ แล้วจะต้องตะแลงแกง แต่ลูกของเธอที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ..... กลับเดินตามแม่ของตนที่จะขึ้นลานประหาร (ศาสนจักร หรือ กองทัพ ไม่มีนโยบาลที่จะประหารเด็ก (เว้นแต่จะไม่ใช่มนุษย์)) ตัวคนแม่ที่พยายามปลอบให้ลูกเลืกงอแง จนถึงวินาทีที่ แผ่นรองใต้ตัวเธอถูกดีงออก และ ร่างของคนแม่ห้อยแกว่าไป โดยมีตัวคนลูกยืนมองตาแป๋ว (จนผมกับเพื่อนอีกคน ต้องไปพาตัวแกไปส่ง ให้แผนกสงเคราะห์เด็กดูแล


    หลังการประหารครั้งนั้น พวกเราก็ขอย้ายไปทำงานในส่วนดูแล ห้องขังนักโทษใหม่ทันที



    1762



    หลังจากทีทำงานดูแลนักโทษใหม่ได้ 2ปี พวกผมก็ได้ย้ายไปทำงานเป็นผู้คุมเต็มตัว ด้วยว่างานในส่วนนี้ต้องการเฉพาะคนที่ใจแข็งไม่มีท่าทีใจอ่อน เพราะเหล่ารุ่นพี่มักจะเตือนพวกผมว่า อย่าได้ปล่อยให้เหล่านักโทษล่อลวงให้ใจอ่อนได้ เพราะพวกนั้นทุกคนต้องการที่จะออกไปจากที่นี่ และ จะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ แต่ก็มีบางคนที่ใจไม่แข็งพอ คนในกลุ่มของเราบางคนต้องขอย้ายกลับไปอยู่แนวหน้า เพราะทนแรงกดดันจากการทำงานไม่ไหว ในกลุ่มจากเดิมที่มีกันอยู่ร่วม30คน ตอนนี้กลับเหลือเพียง 6คนเท่านั้น


    งานในส่วนผู้คุมนั้น หากจะว่าแล้วก็ไม่มีอะไรซับซ้อน มีเพียงแค่คอยเช็คจำนวนนักโทษต่อห้องขัง ให้อาหารประจำวัน กับเดินตรวจตราสอดส่องหาความผิดปรกติ แต่ด้วยสภาพการทำงานที่ร้อนระอุในหน้าร้อน กับ เย็นชื้นในหน้าหนาว ทำเอาอารมณ์แทบไม่อยู่กับร่องกับรอย นั่นก็ต้องโทษลักษณะโครงสร้างของหอคอยด้วยส่วนหนึ่ง เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เหล่านักโทษริอาจแหกหักห้องขัง หรือ รวมกลุ่มกันก่อการได้ การขังนักโทษจึงแยกออกเป็นตามลักษณะเหตุของโทษ เหล่าอาชญากร และ ผู้กระทำการเยี่ยงโจรสลัด รวมไปถึงพวกป่าเถื่อน จะถูกจับขังรวมกันที่คุกใต้ดินเบื้องล่างของหอคอย ที่ซึ่งพวกนักโทษต้องอาศัยอยู่ในความมืดกันตลอดทั้งวัน เว้นเพียงช่วงหนึ่งของวัน ที่แสงแดดจะส่องลอดจากช่องเปิดที่ยอดบนสุดของหอคอย ถัดขึ้นมาที่ระดับผิวดิน เป็นที่ตั้งของหอคอยส่วนแรกและค่ายแรงงานนักโทษ ด้วยว่าเป็นที่ทำการและที่พักของเหล่าผู้คุมสถานจองจำ ทั้งยังเป็นค่ายทหารและฐานทัพไปในตัว แรงงานส่วนใหญ่จะได้จากเหล่านักโทษที่ถูกขังอยู่ใต้ดิน คนพวกนี้จะถูกใช้แรงงานตลอดทั้งวัน และให้การศึกษาใหม่ไปในตัว


    ในส่วนชั้นกลางของหอคอยจะเป็นที่ตั้งของ ส่วนห้องสอบสวนและทรมาน รวมถึงที่คุมขังพวกนอกรีต และ พวกที่ประพฤิตตัวผิดกฎหมายศาสนา พวกรักร่วมเพศ แม่ที่ทำแท้ง พวกที่ต่อต้านพระเจ้า พวกที่นับถือซาตาน พวกฝั่กใฝ่แวมไพร์ และ พวกรับใช้แวมไพร์ แม้ว่าพวกเราจะเป็นผู้คุม แต่บางครั้งก็ต้องช่วยงานผู้ทรมานอยู่เหมือนกัน ครั้งหนึ่งมี คู่ฝาแฟดคู่หนึ่งถูกส่งมาเพราะทำการสมสู่เพศเดียวกัน แต่ด้วยฝ่ายน้องถูกนับไปห้องทรมานแล้วตัวพี่ชาย ขณะที่ผู้ทรมานนำตัวไปยังห้องทรมาน เกิดคลุ้มคลั่งเมื่อเห็นสภาพของน้องชาย จึงได้ลงมือทำร้ายผู้ทรมานไปสามคน ก่อนร่วมกับน้องชายพยายามแหกหักออกไป

    แต่ด้วยว่าในช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงเปลี่ยนกะของผู้คุมในชั้นดังกล่าว ทำให้ทั้งสองอาศัยช่วงที่ไร้การตรวจตรา เล็ดรอดออกไปถึงทางออกระหว่างชั้นได้ แต่ก็ได้แค่นั้น ไม่นานนักโทษทั้งสองคนก็ถูกจับได้ในเวลาต่อมา แต่ก่อนที่จะถูกใส่ตรวน ผมได้เห็นทั้งสองกระโดดลงไปยังช่องเปิดกลางหอคอย เสียงหวีดที่ห่างออกไปยังความมืดเบื้องล่าง ก่อนจะตามมาด้วยความเงียบช่วงหนึ่ง นั่นเป็นประสบการณ์ที่รบกวนจิตใจผมอยู่นานพอควร แต่ไม่นานผมก็เริ่มชาชินไปกับมัน เหมือนกับที่รุนพี่และเพื่อนในกลุ่มของเราค่อยๆเป็นตามกันไป


    ในส่วนที่ขุมขังแวมไพร์ ที่นั่นไม่ได้ดูแลโดยผู้คุมทั่วๆเท่านั้น แต่ถูกดูแลโดยเจ้าหน้าที่ของศาสนจักรโดยตรงด้วย ด้วยว่านักโทษกลุ่มนี้ ต้องได้รับการจองจำด้วยขั้นตอนพิเศษ สถานจองจำนั้นอยู่ส่วนบนสุดของหอคอย เท่าที่ผมจำความได้ ผมจำได้ว่าในห้องขังนั้นมีช่องหน้าต่างมากกว่าชั้นอื่นๆ ในยามกลางวันในส่วนชั้นนี้สว่างจ้าราวกับอยู่ในที่แจ้ง แต่ด้วยซี่กรงเหล็กจำนวนมากทำให้แสงไม่แรงจนเกินไป แต่ก็มากพอจะแผดเผาแวมไพร์ให้เกรียมสุกตอนกลางวัน และ แห้งกรังในตอนดึก บางครั้งจะมีเงามืดเกิดขึ้นในห้องขัง พวกนักโทษที่โชคดีหน่อยก็จะได้เงามืดพวกนั้นไว้หลบแสงแดด แต่บางคนก็ไม่ แน่นอนว่ากรงเหล็กเหล่านั้นล้วนแล้วแต่ผ่านการทำพิธีมาแล้วทั้งสิ้น แต่สำหรับพวกที่มีปัญหา จะใช้ซี่กรงทำจากแร่เงินแทน

    ห้องทรมานของแวมไพร์เองก็ต่างจากที่ใช้ทำกับนักโทษทั่วไป และ ผู้ทรมานก็เป็นเจ้าหน้าที่ของศาสนจักรโดยตรงเช่นกัน เครื่องทรมานส่วนมากมักจะสร้างจากแร่เงิน แต่ดูเหมือนการทรมานพวกนั้นจะไม่ค่อยได้ผลกับนักโทษแวมไพร์อีกพวก ถึงแม้ว่าแวมไพร์ส่วนใหญ่จะเป็นนักโทษในช่วงสงครามอาณานิคม ครั้งที่หนึ่งและสอง กับ สงครามเจ็ดปีก็ตาม แต่ก็มีนักโทษพิเศษอยู่สองคนในจำนวนนั้น ที่เป็นเลือดบริสุทธ์ แน่ล่ะว่าแค่การเอาเจ้าสัตว์ประหลาดสองตนนี้ให้อยู่ก็แทบจะรากเลือดแล้ว ไม่ต้องพูดถึงเรื่องพาตัวออกจากห้องเลย ชั้นที่ทั้งสองอยู่แทบจะเรียกว่าร้างเลยก็ว่าได้ จะมีก็แต่ผู้ได้รับอณุญาตและเจ้าหน้าที่ศาสนจักรเท่านั้นที่สามารถผ่านเข้าไปได้

    ในส่วนลานกว้างด้านบนสุดของหอคอยนั้น เป็นที่ตั้งของอาคารที่อยู่อาศัยของเจ้าหน้าที่ศาสนจักร กับ ท่านพัศดี ทั้งยังเป็นที่ตั้งหน่วยทหารราบชั้นสูง ที่ฝึกมาเพื่อรับเหตุจลาจลโดยเฉพาะ รายละเอียดส่วนใหญ่ไม่มีเจ้าหน้าที่ระดับล่างรับรู้กันมากนัก ตัวผมเองก็รู้สภาพชั้นดังกล่าว มาจากคนขนขยะอีกต่อหนึ่งช่วงพักอาหารกลางวัน

    โดยปรกติแล้ว การคัดเลือกคนที่จะไปดูแลในชั้นดังกล่าว ต้องรอจนกว่าคนที่มีอยู่เดิมจะหมดอายุรับราชการ ทว่าตอนที่ผู้คุมหน่วยหนึ่งโดนกวาดเรียบขณะกำลังเข้าไปตรวจว่าแวมไพร์ในห้องขัง ห้องหนึ่ง ตายแล้วหรือยัง พวกผมก็ได้เข้า(ถูกถีบกลายๆ)ทำงานในตำแหน่งดังกล่าวทันที




    1766



    ฤดูหนาวที่หกผ่านไปยังหอคอยแห่งนี้ เช่นเดียวกับหลายชีวิตที่หลุดลอยไป ทุกวันจะมีนักโทษหน้าใหม่เดินดาหน้าเข้ามาอยู่เสมอ ส่วนใหญ่จะเป็นพวกนอกรีตกับรับใช้แวมไพร์ แต่จำนวนนักโทษที่เป็นแวมไพร์กลับลดน้อยลง ที่จริงมันก็ดีเหมือนกันที่ไม่ต้องรับนักโทษประเภทนี้ เพราะอย่างที่เล่าลือกันในหมู่ผู้คุมกันเองว่า ตำแหน่งผู้คุมในส่วนจองจำแวมไพร์ มีที่ว่างให้คนใหม่เสมอ ถ้าเป็นคนอื่นพูดผมคงแค่นึกว่าเป็นมุขตลก แต่เพราะกลุ่มของผมรับหน้าที่ในส่วนจองจำแวมไพร์ ถึงจะแค่หน้าที่ทำความสะอาดทางเดินก็ตาม แต่พวกผมก็ได้รับรู้ทั้งต่อหน้าและต่อตัว ถึงคำเล่าลือเหล่านั้น

    ราวๆต้นฤดูร้อนปี1765 พวกผมได้รับคำสั่งให้ไปทำหน้าที่แทนผู้คุมหน่วยหนึ่ง ที่โดนสังหารหมู่ขณะเข้าไปตรวจห้องขังห้องหนึ่ง ล่วงผ่านมาปีกว่าหลังจากคำสั่งส่งลงมา แต่ในระยะเวลาหนึ่งปี ผมได้เห็นผู้คุมเฉพาะปีนั้นปีเดียว ตายในหน้าที่ไปร่วม 70คน ส่วนใหญ่เกิดขึ้นขณะทำการคุมตัวนักโทษไปทรมาน และ ช่วงที่กำลังนำตัวเข้าและออกจากห้องขัง

    หน่วยของผมที่ประกอบด้วยตัวผมและเพื่อนร่วมรุ่นอีกห้ารวมเป็นหก ได้รับหน้าที่ดูแลห้องขังแวมไพร์รวมทั้งสิ้น 5ห้อง จากที่มีอยู่ 20ห้องต่อชั้น แน่ล่ะไม่ใช่ทุกห้องที่มีนักโทษ กลุ่มอื่นในชั้นก็มีหนึ่งถึงสองคนต่อส่วนที่หน่วยตนดูแล แต่ไม่รู้จังหวะดีหรืองานเข้า ส่วนที่ผมดูแลมีแวมไพร์อยู่เต็มสี่ห้องเลย (ห้องผู้คุม ตั้งอยู่หน้าห้องขัง ห่างเพียงสี่ก้าว) แต่ก็ยังดีที่นักโทษในส่วนนี้ ค่อนข้างจะไม่ใช่พวกใช้ความรุนแรงนัก

    กล่าวถึงเพื่อนในกลุ่มของเราแล้ว (ตัวผมและเพื่อนอีกห้าคน) มีสามคนที่มาจากบ้านเกิดเดียวกันกับผม มีสองคนที่เคยเป็นทหารมาก่อน เมื่อเทียบกับคนอื่นๆ ที่เข้าทำงานนี้เพราะถูกเกณฑ์ให้มาทำ

    โจเซ่ อิออน และ ไอแวน ทั้งสามเป็นชาวอาณานิคมโดยกำเนิดเหมือนตัวผม โจเซ่นั้นเป็นลูกเจ้าของไร่ฝ้ายทางใต้ อิออน กับ ไอแวนกำพร้าพ่อแม่ไปในสงคราม ส่วนอีกสองคน จะว่าสนิทกันก็คงไม่มากนัก อเล็กซิส นั้นเคยไปรบยังแนวหน้ามาหนหนึ่ง เช่นเดียวกับ รีมัส หนุ่มใหญ่ไบรตัน เคยรบในสงครามทะเลเหนือมาก่อน ระหว่างพวกเราหกคน รีมัสมักจะทำตัวโพ่งผ่าง ชอบเที่ยวผู้หญิง กับ ใช้กำลังกับพวกนักโทษ ต้องให้อเล็กซิสช่วยปรามเป็นบางครั้ง แม้จะแก้ไม่หายเสียทีก็ตาม อิออนนั้นดูจะสนิทกับผมมากเป็นพิเศษ เช่นเดียวกับไอแวน ส่วนโจเซ่นั้น ถึงจะห่างจากบ้านเกิดมาไกล แต่ก็นิสัยระเบียบจัด กับ รักความสะอาด และมักจะแขวะใส่พวกเราบางคน เวลาที่ทำห้องพักรก เปรียบเสมือนเป็นพี่สาวคนหนึ่ง

    ทั้งนี้ ในส่วนของนักโทษในส่วนบล็อคของเรานั้น ถึงจะครูฝึกจะบอกว่าอย่า แต่การจะเรียกนักโทษด้วย รหัสนักโทษ ตามด้วยหมายเลขห้อง มันไม่ค่อยถนัดนัก เวลาส่วนใหญ่ที่เราเรียกนักโทษทั้งห้า เราเลยจะเรียกแต่ล่ะคนตามคุณลักษณะร่างกายของเจ้าตัวมากกว่า (ถึงแม้บางคนจะมีชื่อก็ตาม) อนึ่งเพื่อความปลอดภัยของตัวผู้คุม นักโทษแวมไพร์ทุกคน จะต้องสวมห่วงเหล็กผสมแร่เงิน ทั้งที่คอ ข้อมือ และ ข้อเท้า และจะถูกล่ามโซ่ไว้กับห่วงเหล็กบนพื้นตลอดเวลา (ความยาวโซ่จะขึ้นอยู่กับความอันตราย และ พฤติกรรมของแวมไพร์แต่ล่ะตัวที่ทำในระหว่างถูกคุมขัง ยิ่งอันตราย หรือ ทำตัวก่อเรื่องบ่อย โซ่จะยิ่งสั้น หรืออาจถึงขั้นจับล็อคกับพื้นเลยในบางกรณี) แต่แน่ล่ะ พวกตัวแสบๆ มักจะโดนแดดเผาในเวลากลางวันอยู่เสมอ แต่พวกโดนลืม หรือก็คือพวกค้างสต็อคโดนลืมเพราะ งานรับมือกับพวกที่เข้ามาใหม่มีมาก จนพวกประวัติน้อย หรือ ถูกส่งมาจากพื้นที่นอกแนวรบ หลายตนมากที่มีเพียงห่วงเหล็กเพื่อสะกดพลัง จนถึงกับอยู่แบบตัวเปล่าในห้องขังเลยก็มี แต่ไม่รู้ว่ายังไง นักโทษในบล็อคของเรากลับคละไปเสียแบบนั้น



    แวมไพร์เด็กสาว(?) นักโทษห้องขังหมายเลข 5001

    - ถูกย้ายมาจาก สถานจองจำทหาร อาณานิคมเวอร์จิเนีย ในปี 1692 ช่วงปลายสงครามอาณานิคมครั้งที่หนึ่ง , พฤติกรรมทั่วไป ค่อนข้างสงบ แต่ผู้ทรมานต่อร้องเป็นเสียงเดียวกันว่า วิธีทรมานแบบปรกติใช้ไม่ได้กับตัวนักโทษ , สถานะปัจจุบัน รอแก้ไข , สถานะภาพโซ่ / มาตราฐาน , ระดับความอันตราย 2

    - เธอคนนี้ เป็นความน่าขนลุกอย่างแท้จริง แม้ใบหน้าหรือกริยาจะไม่ได้น่ากลัวเหมือนแวมไพร์ส่วนใหญ่ แต่การทนต่อความเจ็บปวด แม้แต่แสงแดดที่เผาผิวจนพองสุก แต่ตัวเธอกลับไม่เคยส่งเสียงร้องเลยสักครั้ง แน่ล่ะว่าไม่ใช่เพราะเธอทนอะไรพวกนั้นได้หรอก ไอแวนบอกกับผมเองว่า กล่องเสียงเธอโดนทำลาย ถึงทำให้เธอเวลาโดนทรมานไม่สามารถส่งเสียงร้องได้ ทำให้พวกผู้ทรมานทึกทักกันไปเองว่า เธอทนความเจ็บปวดได้ แน่ล่ะว่า นี่เป็นเรื่องปรกติที่เกิดกับนักโทษเป็นประจำ ไม่เฉพาะกับแวมไพร์ หรือ พวกนอกรีต แม้แต่กับนักโทษทั่วไปก็ด้วย

    แวมไพร์วัยรุ่นชาย นักโทษห้องขังหมายเลข 5002

    - ถูกจับได้ ณ กลางเมืองหลวงจักรวรรดิ ขณะกำลังพยายามจะข้ามช่องแคบ ในปี 1762 , พฤติกรรมทั่วไป ค่อนข้างสงบ แต่ก็มักจะกร้าวร้าวทุกครั้งที่มีการสอบสวนกับเจ้าตัว , สถานะปัจจุบัน อยู่ในระหว่างรอการประหาร (ทางการ) / ของเล่นของเหล่าผู้คุม (ลับหลัง) , สถานะภาพโซ่ / ยาวกว่าปรกติ , ระดับความอันตราย 2

    - แว่บแรกที่เห็นนักโทษคนนี้ ผมเคยคิดว่าแกเป็นผู้ชายที่สวยมาก แต่ความคิดนั้นกลับเปลี่ยนเป็นความขุ่นเคืองลึกๆ ทุกครั้งที่ตัวนักโทษถูกเรียกตัวไปสอบสวน แต่ผมรู้ว่าแกไม่ได้ไปห้องทรมานหรอก เพราะมีครั้งหนึ่ง ตอนกลางดึก ผมเห็นผู้คุมจากหน่วยอื่น คุมตัวนักโทษเข้าไปในห้องพักของพวกตน และเมื่อถูกคุมตัวกลับมาส่ง ผมจะพยายามทำเป็นมองไม่เห็นว่า มีคราบเลือดเปรอะต้นขาตัวนักโทษ หรือ อาการสั่นเทาเหมือนกับพึ่งโดน..... คนอื่นก็รู้เหมือนกันว่ามันคือเรื่องอะไร แต่พวกเราก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่พยายามกันไม่ให้พวกผู้คุมพวกนั้น หาข้ออ้างมาเอาตัวนักโทษไป สอบสวน ทั้งให้ไปเอาเอกสารขอตัวมายื่น หรือ แค่เตือนว่าจะรายงานเรื่องให้ ท่านพัศดีก็ดี แต่บางครั้งพวกนั้นก็มาเอาตัวนักโทษจนได้ และ เอาตัวมาส่งในสภาพบอบช้ำหนักข้อขึ้นทุกที

    แวมไพร์ผู้เฒ่าชาย นักโทษห้องขังหมายเลข 5004

    - ถูกส่งตัวมาในช่วงการก่อสร้างหอคอย จนสร้างเสร็จในปี 1654 , พฤติกรรมทั่วไป การตอบสนองต่ำมาก ไม่มีประวัติการทำร้ายผู้หรือผู้ทรมานเลยในรอบ 70ปีที่ผ่านมา , สถานะปัจจุบัน รอการแก้ไข (ปล. ไม่มีอะไรพิเศษ) , สถานะภาพโซ่ / ไม่มี มีเพียงห่วงเหล็กควบคุมพลัง , ระดับความอันตราย 1

    - นักโทษล่องหนในสายตาพวกเรา ไม่ใช่เพราะแกล่องหนหายตัวได้ แต่แกเป็นเหมือนไม้ประดับมีชีวิตในหน่วยของเรา วันทั้งวันนอกจากช่วงกลางวันที่ลุงแกจะเดินไปหลบมุมแดด กับ รับอาหารที่ส่งให้เดือนล่ะครั้งแล้ว เราก็ไม่เห็นแกจะทำอะไรอย่างอื่นเลย แกจะเอาแต่นั่งในมุมมืด นั่งอ่านหนังสือเล่มโปรดอยู่เป็นวันๆ จนใยแมงมุมจับ ฝุ่นเกาะทับถม เวลาแกใช้นิ้วแห้งเหี่ยวพลิกหน้าฝุ่นก็ตลบที ชีวิตของแกแทบจะเรียกว่าเป็นนาฬิกามีชีวิตเลยก็ได้

    แวมไพร์เด็กชาย นักโทษห้องขังหมายเลข 5005

    - พบตัวในช่วงสงครามอาณานิคมครั้งที่สองถูกส่งมายังสถานจองจำในปี 1760 , พฤติกรรมทั่วไปกร้าวร้าว มีประวัติการทำร้ายผู้คุมและผู้ทรมานบ่อยครั้ง , สถานะปัจจุบันกำลังอยู่ในระหว่างการรีดข้อมูล ถึงกองเรือโจรสลัดที่เจ้าตัวพบว่าอาศัยอยู่ด้วย ในช่วงก่อนที่จะถูกจับกุมตัว , สถานะภาพโซ่ / สั้นกว่ามาตราฐาน , ระดับความอันตราย 4

    - แม้ในรายงานจะระบุไว้เช่นนี้ แต่พวกผมก็ลงความเห็นกันได้ไม่นานว่า พฤติกรรมกร้าวร้าว น่าจะเป็นผมมากจากการทรมานในขั้นต้อนการรีดข้อมูลเสียมากกว่า เพราะเจ้าตัวมักจะโดนทรมานสาหัสกว่านักโทษคนอื่นๆในส่วนบล็อคของเรา มีหลายครั้งที่เจ้าตัวถูกส่งกลับมาในสภาพแขนขาบิดเบี้ยว เนื้อตัวมีรอยแผลเหวอะหวะ บ้างก็มีแผลเปิดจำนวนไม่น้อย และด้วยมีคำสั่งงดอาหารส่งลงมา ทำให้ร่างกายเจ้าตัวบิดเบี้ยวจนผิดรูปผิดร่าง จนเจ้าตัวแทบจะเดินสองขาไม่ได้ ต้องอาศัยสองมือสองเท้าในการเดิน

    และดูเหมือนว่า เจ้าหนูนี่ จะโดนรีมัสทำร้ายร่างกายอยู่ทุกครั้ง ที่เจ้าตัวได้อยู่คนเดียวในกะ แม้เราจะพยายามเตือนไปหลายครั้ง แต่นานๆโดยไม่มีการทรมาน นักโทษจะมีรอยแผลโดนซ้อมปรากฎให้เห็นเป็นระยะๆ

    นักโทษในบล็อคของเราส่วนใหญ่ ต่างจะโดนทรมานกับคนล่ะครั้งสองครั้งในหนึ่งปี อาหารของนักโทษเองก็ให้เพียงเดือนล่ะครั้ง นักโทษจะถูกทำให้ร่างกายอ่อนแอถึงที่สุด เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้คิดหลบหนี หรือ ทำร้ายผู้คุมได้ และ ยิ่งเสริมกับห่วงเหล็กจำกัดพลัง ที่สร้างจากแร่เงินผสมเป็นหลัก ทำให้นักโทษหลายราย อยู่ในสภาพเหมือนผีตายซาก ร่างกายผอมเกร็ง แทบจะหาคนที่มีน้ำมีนวลไม่เจอเลย มีข้อห้ามไม่ใช้ผู้คุมให้อาหาร หรือ แตะต้องตัวนักโทษ แต่ตัวกฎก็เหมือนกับสภาพผู้คุม หย่อนยานไปตามสภาพของผู้บังคับใช้ ส่วนมากจะเป็นการซ้อมนักโทษทที่ทำกันแบบเปิดเผยลับๆเป็นประจำ ถึงตอนนี้พวกเราจะยังไม่ทำตัวเถื่อนเหมือนพวกนั้นก็ตาม แต่ใครจะรู้ล่ะว่า เวลาจะทำให้คนเปลี่ยนไปได้แค่ไหน?




    1770




    ครบรอบ สิบปที่ผมทำงานที่สถานจองจำ เช่นเดียวกันกับการสิ้นสุดสงครามคาบสมุทรอิตาเลีย โดยชัยชนะของฝ่ายต่อต้านในคาบสมุทร ข่าวของการตั้งฐานทัพบนเกาะซิซีลี กลายเป็นข่าวที่กระพรือโหมกันตลอดช่วงปีนั้น ปีนี้น่าจะเป็นอีกปีที่่ผ่านไปได้ด้วยดี แม้ว่าผู้คุมหน้าใหม่จะเริ่มทยอยมาสับเปลี่ยนแทนผู้คุมเก่าๆ ในชั้้นคุมขังแวมไพร์ก็เช่นนั้น โชคคดีว่าตลอดสี่ปีที่ทำงานพวกเราเคยเสียสมาชิกในหน่วยเลยสักครั้ง แต่นั่นก็ไม่นานนัก

    จุดเริ่มของเรื่องดังกล่าว เกิดขึ้นในช่วงตรวจห้องขังประจำสัปดาห์ ประมาณปลายเดือน สิงหาคม วันนั้นเป็นเวรของ รีมัส ที่ทำหน้าที่ควบคุมนักโทษ ส่วนตัวผม อิออน ไอแวน เช็คสภาพซี่กรง และ หาสิ่งผิดปรกติ โดยมี อเล็กซิสถือปืนยาวคุมด้านนอกอีกที การตรวจนั้นเฉลี่ยแล้วจะใช้เวลา 1-2ชั่วโมงต่อห้องขัง และกว่าจะถึงห้องสุดท้าย พระอาทิตย์ก็ใกล้ๆจะลับขอบฟ้าแล้ว ตามกฎแล้วการตรวจเช็คห้องขังจะต้องทำก่อนพระอาทิตย์ตกดิน แต่เพราะพวกเราคิดว่า เป็นห้องสุดท้าย และ อีกฝ่ายก็เป็นแค่แวมไพร์เด็ก ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ถึงได้ดำเนินการตรวจต่อไป ที่จริงมันก็ไม่มีอะไรผิดปรกติหรอก การตรวจก็เป็นไปได้ด้วยดี แต่ไม่รู้ว่าวันนั้นรีมัสเป็นอะไร ตั้งแต่เช้าแล้วที่แกอารมณ์ฉุนเฉียวมาตลอด เห็นไอแวนบอกว่าเจ้าตัวไปมีปัญหาเรื่องผู้หญิง กับ เรื่องพนันในบ่อนใต้ดิน และไม่รู้ว่าจะเรียกว่าโชคร้าย หรือ เรื่องบังเอิญ แวมไพร์เด็กชายคนดังกล่าว วันนี้พึ่งจะกลับจากการทรมานตลอดช่วงเช้า และพึ่งได้กลับมาเมื่อตอนบ่ายนี่เอง


    เรื่องการใช้กำลังระหว่างผู้คุมกับนักโทษเป็นเรื่องไม่ว่าจะเป็นในส่วนคุมขังใด ก็มีกันทั้งนั้น รีมัสเองก็ด้วย เขาเคยโดนตำหนิในช่วงที่ยังเป็นผู้คุมนักโทษนอกรีตเรื่องการใช้กำลังเกินกว่าเหตุมาแล้ว แต่พอมาคุมชั้นแวมไพร์ ก็ยังใช้กำลังอยู่เหมือนเดิม แม้จะน้อยลงไปบ้าง ผมเองก็ไม่ใช่ว่าจะดีอะไร แต่ในวันนั้นรีมัสแกเมื่อเห็นสภาพของแวมไพร์เด็กชาย ที่ผิวหนังโดนลอกออกไปทั้งตัว จนกลายเป็นเหมือนตัวประหลาดที่มีแต่มัดกล้ามเนื้อห่อหุ้มร่างกาย เมื่อเห็นว่าโดนหนักขนาดนี้แต่ยังรอดมาได้ รีมัสก็เลยเล่นสนุกอย่างไม่ยั้งกับนักโทษทันที เสียงอิดออดครางอย่างเจ็บปวดของแวมไพร์เด็กชาย เรียกความสนใจจากพวกเราสามคน แต่เมื่อเราหันมามองตามเสียง ผมเห็นในช่วงที่รีมัสใช้เท้ากระทืบไปหลังคอชุ่มเลือด ใกล้ๆกับห่วงเหล็กที่ล็อคคอนักโทษเข้ากับห่วงเหล็กบนพื้น แล้ว พริบตาต่อมา นักโทษก็สะบัดคอพร้อมกับจังหวะนั้นที่เท้ารีมัสกระแทกใส่สลักยึด ห่วงเหล็กก็หลุดออก

    รีมัส มองอย่างพรั่นพรึง เมื่อหัวของนักโทษสะบัดพร้อมแยกเขี้ยวขาวยาวกัดเข้าที่ต้นขาที่เหยียบพลาดของเขาอย่างแรง อเล็กซิสที่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น ขึ้นนกปืนพร้อมเล็งไปยังหัวที่กัดขาอยู่นั่น แต่ก่อนจะทันได้เหนี่ยวไกปืน หัวเหล็กที่ล็อคโซ่ที่คล้องไว้กับข้อมือนักโทษ ก็พุ่งเสียบเข้ากลางลำตัวอเล็กซิสอย่างจัง เพียงเลือดไม่กี่หยดเรี่ยวแรงมหาศาลก็กลับคืนมา จากที่กัดขาในตอนแรก ก็กลายเป็นเคี้ยวกร็วม รีมัสร้องเสียงโหย แต่นั่นก็ไม่นานเมื่อ นักโทษสะบัดหลุดจากพันธนาการ แล้วใช้มือควักเอาหัวใจเจ้าตัวออกมา ก่อนที่จะฉีกกระชากหัวเขาออกไปราวกับเป็นตุ๊กตาผ้า เลือดสาดไปถึงเพดาน กลิ่นเลือดฟุ้งไปทั้งห้อง และ บริเวณโดยรอบ ไอแวนพยายามที่จะชักปืนของเขาขึ้นมา แต่เขา ก็โดนผลักไปชนกำแพงอย่างแรง เจ้าหนูที่หันมามองผม แววตาสีเลือดที่ลุกโชนราวกับไฟนรก เขี้ยวยาวขาวที่คมราวกับมีดหั่นเนื้อ แต่ไม่ใช้เวลามาตกตะลึงความคิดสั่ง ตามด้วยร่างกายที่ใช้ของใกล้ตัวที่สุด ห่วงเหล็กที่ถูกกระชากหลุด ฟาดใส่หัวนักโทษอย่างแรง

    หัวของอีกฝ่ายนั้นหมุนไปตามแรงฟาด แต่ก็แค่นั้น เมื่อแวมไพร์ที่สะบัดแขนทีหนึ่ง แต่ผมก็ยังเอาแขนรับเอาไว้ได้ทัน แม้เสียงกระดูกหักจะตามมาติดๆ และร่างที่ลอยไปกระแทกกับซี่กรง ผมที่เกือบจะหมดสติไปกับการทำร้ายนั้น คิดว่าคงไม่รอดแน่แล้ว แต่ยังดีที่เห็นว่าโจเซ่กับอิออนนั้นออกไปจากห้องได้ทัน มองไปอีกด้าน เจ้าหนูน้อยนั่นคำรามลั่นห้อง แผลที่หัวนั้นสมานเข้ากันอย่างเร็ว และต่อหน้าเหยื่อที่ยังมีพลังชีวิตกำลังจ้องมาที่ตัวมัน กระตุกวงแขนกับกรงเล็บที่งอกยาวร่วมคืบเศษ เจ้าหนูสะบัดมือก่อนจะกระซวกใส่ร่างผมที่นั่งอยู่ตรงหน้า


    ..........​


    รู้สึกถึงน้ำอุ่นๆบนใบหน้า เมื่อลืมตามอง กรงเล็บของนักโทษอยู่ห่างหน้าผมไม่ถึงนิ้ว ที่กรงเล็บที่ชุ่มเลือดนั้นมีอะไรบางอย่างมาขวางทางของมัน แผ่นหลังนั้น สีผมแบบนั้น อิออน!! ชายร่างเล็กใช้มือสองข้างกุมแขนของแวมไพร์ที่กำลังคลั่งเอาไว้ เลือดสายใหญ่กระอักจากปากของเขา เจ้าหนูที่ผงะไปเมื่อเห็นว่ามีเหยื่ออีกตัวมาขวางทางกินของเจ้าตัว ก็คำรามลั่นง้างหมัดมือที่ว่างหมายจะปัดเจ้าเศษเนื้อตรงหน้าไปให้พ้นทาง แต่เป็นความรู้สึกร้อนวาบเข้าที่กลางหลัง และ เมื่อกระสุนเงินทะลุทรวงอกของเจ้าตัว ตามมาด้วยเสียงปืนที่ดังขึ้น

    อเล็กซิสที่แม้จะได้รับแผลสาหัส แต่เขาก็ยังฮึดอาศัยจังหวะที่ อิออนมอบให้ รัวกระสุนเงินในรังเพลิงจนหมดแม็กกาซีน ร่างของนักโทษกระตุกเฮือกตามกระสุนทุกนัดที่ทะลุตัวไป และนัดสุดท้ายเข้าที่ช่องอกด้านหัวใจ ยิ้มเหยาะต่อเป้าที่เข้าอย่างจัง อเล็กซิสแน่นิ่งไปทั้งที่ยังอยู่ในท่านั้น เจ้าหนูพึมพำสองสามคำ ก่อนที่ร่างจะแหลกสลายกลายเป็นกองเลือดในไม่กี่อึดใจ ซึ่งก็ตามมาด้วยร่างที่ล้มลงตรงหน้าผม อิออน เขาเสียเลือดมาก ทั่วตัวผมมีแต่เลือดกับเลือด ผมฝึนทั้งที่รู้ว่าซี่โครงหลายซี่หักไปแล้วแน่ๆ ลากสังขารไปหาเพื่อนที่กำลังจะสิ้นลม ผมจับมือเขา มือนั้นเย็นเฉียบผมรู้แน่ว่ากำลังจะเสียเขาไป แต่ไม่อาจช่วยอะไรได้ โจเซ่ ที่ขอความช่วยเหลือที่บล็อคข้างๆ มาพร้อมกับหน่วยพยาบาล ผมพยายามจะประคองสติของอิออนไว้ แต่เขาเพียงหันมายิ้มให้กับผมก่อนที่มือข้างนั้นจะแน่นิ่งไป

    เพียงทำงานในชั้นคุมขังแวมไพร์มาได้ 5ปีเท่านั้น กลุ่มหกคนของเราก็ได้รับรู้ในวันนั้นว่า งานของพวกเรามันเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายขนาดไหน ความสูญเสียที่เกิดขึ้นแม้จะใหญ่หลวงนัก พวกเราสามคนที่รอดมา ไอแวนนั้นต้องเข้าโรงพยาบาลเป็นเดือน โจเซ่เองก็ต้องไปบำบัดอาการเครียดตกค้าง ส่วนตัวผม นอกจากซี่โครงหักสามท่อน ก็ยังมี กระดูกแขนหักกับสภาพอารมณ์ที่ตกต่ำถึงขีดสุด แต่นี่ก็เป็นแค่สถิติในรายงานผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตประจำปี อีกหน้าหนึ่งเท่านั้น






    1775




    ตอนนั้นผมไม่กล้าพอที่จะไปยังที่แห่งนั้น ผมไม่เคยโทษเหล่านักโทษถึงการตายของเพื่อนผมทั้งสาม แม้ โจเซ่ กับ ไอแวนจะยังมีท่าทีเย็นชาอยู่ก็ตาม แต่ในวันแรกของฤดูร้อนปีนั้นเอง ที่ผมรวบรวมความกล้าแล้วไปยังสถานที่แห่งนั้น

    สุสานผู้คุม ตั้งแต่เริ่มเปิดใช้งานสถานจองจำแห่งนี้เป็นต้นมา มีคนจำนวนมากที่เข้ามาและไม่ได้ออกไปอย่างมีชีวิต เจ้าหน้าที่ผู้ดูแลก็เช่นกัน จะด้วยสาเหตุจากโรคภัยไข้เจ็บ หรือ การเสียชีวิตระหว่างหน้าที่ พวกเขาทั้งหลายจะได้มาพักผ่อนที่สุสานแห่งนี้ ตัวสุสานนั้นตั้งอยู่บนเนินเขาด้านตะวันตกของหอคอย ถูกดูแลให้มีหญ้าขึ้นเขียวชะอุ่มตลอดปี หลุมศพของทั้งสองตั้งอยู่ณจุดเกือบบนสุดของยอดเขา ส่วนที่เว้นไว้สำหรับผู้คุมที่ถูกแวมไพร์สังหาร หรือ ทหารที่เสียชีวิตในสงคราม ในส่วนยอดบนสุดนั้นสงวนไว้เฉพาะนายทหารระดับสูง กับ เจ้าหน้าที่ของศาสนจักร

    กว่าจะรู้ตัวอีกที ผมก็มายืนหน้าหลุมศพทั้งสามแล้ว ป้ายหลุมทำจากหินอ่อนสีขาว สลักไว้เพียงชื่อ วันเดือนปีเกิด และตำแหน่ง ในมือหนึ่งถือช่อดอกไม้ ส่วนอีกข้างถือขวดเหล้า ผมรู้ว่าอิออน ชอบดื่มเหล้าแม้คนอื่นๆจะไม่สังเกตุก็ตาม แม้แกจะเป็นคนที่้้อ้อนแอ้นที่สุดในกลุ่ม แต่ถ้าไม่ได้แกช่วยเอาไว้ตอนนั้น ผมคงจะเป็นที่นอนอยู่ในหลุมแทน อเล็กซิส ผมไม่รู้ว่าทางกองทัพแจ้งข่าวเรื่องนี้ให้กับทางบ้านแกทราบหรือยัง แต่เท่าที่ทราบดูเหมือนทางครอบครัวจะไม่เคยมาเยี่ยมหลุมศพแกเลยสักครั้ง ถึงผมจะไม่สนิทกับเขามากนัก แต่เขาก็เป็นอีกคนที่ช่วยพวกเราไว้ตอนนั้น รีมัส เป็นเพราะมันเรื่องในครั้งนั้นถึงเกิดขึ้น แต่ห้าปีผ่านไปผมกลับคิดย้อนไปเสมอว่า ทั้งที่รู้พฤติกรรมของเขา แทนที่จะช่วยเตือน หรือ แจ้งกับหัวหน้าผู้คุม แต่พวกเรากลับแค่ปล่อยให้มันผ่านไป เช่นนั้นก็เท่ากับว่าพวกเราทั้งสามที่รอดมาในวันนั้นต่างก็ต้องรับผิดชอบด้วย


    ในช่วงห้าปีหลังจากเหตุการณ์ ผมไม่รู้ว่าตัวเองผ่านช่วงเวลานั้นมายังไง โจเซ่ กับ ไอแวน นั่นทำใจกับเรื่องเกิดขึ้นได้ไม่นานหลังจากนั้น แม้จะยังมีอาการเกร็งๆเมื่อต้องเข้าใกล้แวมไพร์ ส่วนตัวผมห้าปีผ่านไป โดยไม่แสดงอาการอะไรต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ทุกวันผ่านไปราวกับหน้าวันในปฎิทินที่ผ่านไป ผมอยู่ในสภาพเหมือนผีดืบอยู่ตลอดห้าปี จนถึงวันที่ผมไปยังสุสานหลังจากได้รับวันหยุดยาวประจำปี

    ต่อหน้าหลุมศพทั้งสาม ผมไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหนก่อนดี แม้เหล้าในมือก็ยังถือคาเอาไว้แบบนั้น ช่อดอกไม้ที่เริ่มเฉาเพราะความร้อน มีคำพูดมากมายที่อยู่ในสมองแต่กลับตีบตันอยู่ในลำคอ จากเวลาช่วงเช้า ผ่านไปจนพระอาทิตย์อยู่เหนือหัว ล่วงลับถึงอาทิตย์ลับขอบฟ้า และจนตะเกียงไฟให้ความสว่างกับตัวหอคอย ผมก็ยังยืนอยู่ตรงนั้น แต่ในลมเย็นนั่นเองที่บางอย่างในตัวผมมันขาดผึงลง ความทรงจำในตอนนั้น ตอนที่ผมยืนมองร่างไม่ไหวติงของเพื่อนทั้งสามในโลงศพ ["พูดกับชั้นสิ"] คำพูดที่ไม่ได้พูดวันนั้นเมื่อห้าปีก่อน จู่ๆผมก็เอ่ยมันซ้ำอีกครั้ง สิ่งที่จำได้ในตอนนั้นคือความรู้สึกเจ็บที่หน้าอก แรงกดที่ทำผมสำลัก น้ำเค็มในรสที่สำลักออกมา เสียงแหบพร้าต่อลมหายใจทุกครั้ง การมองเห็นพร่ามันเหมือนมองผ่านหมอก เรี่ยวแรงพาลหายไป และก่อนจะทันได้รู้ว่าเกิดอะไร ผมก็ส่งเสียงสะอื้นไห้ออกมาแล้ว น้ำอุ่นๆไหลไม่ขาดสาย เอาแต่พร่ำถามด้วยประโยคเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า .......

    ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน จนกระทั่งโจเซ่มาช่วยตัวผมไว้หลังผ่านไปสองวัน เท่าที่โจเซ่เล่าให้ฟัง ผมในตอนนั้นนอนตะแคงข้างหน้าหลุมศพ ในมือยังถึงขวดเหล้า กับ ช่อดอกไม้ที่แห้งกรอบ เป็นคนดูแลสุสานที่มาพบตัวผมในสภาพเจียนตาย ตอนที่พาตัวมานั้นโจเซ่บอกว่าผมเอาแต่พืมพำซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายครั้ง จนกระทั่งผมม่อยหลับไป ["คนตายแล้วพูดไม่ได้"] หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา ผมก็พบว่าตัวเองเปลี่ยนไป โจเซ่กับไอแวนก็ดูจะสังเกตุเห็นเช่นกัน จากที่เคยไม่รับรู้ต่อสิ่งรอบตัว ไร้อารมณ์มาโดยตลอด กลับมาเป็นสามารถหัวเราะและมีอารมณ์เหมือนคนปรกติได้อีกครั้ง ทุกๆปีพวกเราสามคนจะไปเยี่ยมเพื่อนเก่าทั้งสาม แม้จะไม่สามารถกลับไปเหมือนเมื่อวันวาน แต่พวกเราสมคนรู้ว่าเพื่อนของเราไม่ได้จากไปไหน พวกเขายังอยู่ในใจของพวกเราตลอดไป


    แต่ในปีเดียวกันนั้นเอง ที่ผมได้รับจดหมายไม่ตีตราประทับที่ส่ง ตอนแรกผมก็คิดได้แค่ว่าคงส่งผิดอะไรพวกนั้น แต่วันหนึ่งผมก็ได้รับการติดต่อจากชายแปลกหน้า ที่ผมใช้คำว่าชายแปลกหน้า เพราะสถานที่เราสองคนพบกันนั้น ห่างไกลจากคำว่าปรกติ วันนั้นผมไปที่สุสานตามลำพัง โจเซ่แกไปยังสถานไปรษณีย์ ดูเหมือนช่วงนี้แกจะติดต่อกับครอบครัวที่แผ่นดินแม่บ่อยเป็นพิเศษ ส่วนไอแวนประจำอยู่ในกะของเขา ตรงๆที่เป็นหลุมศพของเพื่อนทั้งสาม ผมกลับพบชายคนดังกล่าวยืนอยู่ ด้วยเสื้อโค้ทสีเทา ส่วนใบหน้านั้นซ่อนอยู่ในเงามืดของหมวกปีกกว้างทรงสูง แต่ประกายสีอำพันนั่นต่างหากที่ทำให้ผมตระหนักว่า คนๆนี้มีอะไรบางอย่างที่แปลกออกไป


    ผมจำรายละเอียดไม่ค่อยได้แล้วว่า เราสองคนคุยอะไรกันไปบ้างในตอนนั้น แต่กลายเป็นว่าเมื่อจบการสนทนา ผมกับเขาก็ได้ทำการตกลงแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน ตัวผมนั้นให้ข้อมูลที่เขาต้องการ ซึ่งข้อมูลนั้นก็ไม่ได้ดูซุ่มเสี่ยงอะไรในความคิดผมตอนนั้น ที่ชายแปลกหน้าอยากรู้ผมว่ามันเหมือนกับ นักเดินทางต่างถิ่นถามจากคนพื้นเมืองเกี่ยวกับพื้นที่เสียมากกว่า ผมไม่รู้หรอกนะว่าชายแปลกหน้าไปได้รายละเอียดเกี่ยวกับตัวผมมาจากใคร แต่สิ่งหนึ่งที่ผมรู้แน่จากการแลกเปลี่ยนในครั้งนั้น ชายแปลกหน้าไม่ใช่พวกค้าของเถื่อน หรือ พ่อค้าตลาดมืดแน่ เพราะดูจากการแต่งตัว และ ของแปลกๆที่ชายแปลกหน้ามี ประกอบสำเนียงที่ไม่คุ้นหู


    ค่าตอบแทนของข้อมูลนั้น ส่วนมากแล้วจะเป็นสิ่งของแทบทั้งหมด แต่ครั้งหนึ่งตอนที่กิจการไร่ฝ้ายที่ครอบครัวโจเซ่ดำเนินงานมีปัญหา แล้ว ผมเอาเรื่องนี้ไปบอกชายแปลกหน้า หลังจากนั้นสัปดาห์กว่า กลายเป็นว่ามีเงินเข้าในบัญชีของครอบครัวโจเซ่ เป็นเลข 8หลัก แต่นั่นก็แลกกับข้อมูลเรือที่เข้าเทียบท่าในแต่ล่ะเดือน โดยเฉพาะพวกเรือขนอาหารและขนน้ำจืด (ผมสงสัยว่าชายแปลกหน้าคิดจะ ทำกิจการเดินเรือสินค้าหรือยังไงกัน?) โดยสรุปแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างตัวผมกับชายแปลกหน้านั้น อยู่ในลักษณะช่วยกันไปมาอยู่หลายปีหลังจากนั้น


    -- Page 1/2 --​
  2. yoshiki

    yoshiki FATE

    EXP:
    862
    ถูกใจที่ได้รับ:
    17
    คะแนน Trophy:
    38
    Re: +++ The Last Kingdom : Fall of Man +++ / update Vol. 4.0

    ส....สุดยอด อย่างกะอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ชั้นดีสักเล่ม ชอบครับบอกได้คำเดียว รอติดตามตอนต่อไปแน่นอน

    ปล.ทำไมประวัติแต่ล่ะคนมันเ่ท่ห์จังฟ่ะ
  3. derick

    derick Member

    EXP:
    339
    ถูกใจที่ได้รับ:
    1
    คะแนน Trophy:
    18
    Re: +++ The Last Kingdom : Fall of Man +++ / update Vol. 4.0

    มันคือคุก!!!!! นรกบนดิน!!!!

    ฮ่า ๆ ต้องแบบนี้สิครับถึงจะสมจริง

    ชอบ ๆ - -+b
  4. swanton

    swanton Dragon on Board

    EXP:
    1,424
    ถูกใจที่ได้รับ:
    69
    คะแนน Trophy:
    113
    Re: +++ The Last Kingdom : Fall of Man +++ / update Vol. 4.0

    สุดยอดด! มืดมนและสะเทือนใจสุดๆ ข้อมูลของคุกคุมขังแน่นมาก เป็นฟิคที่ให้อารมณ์เหนือฟิคครับ

    ไม่มีอะไรจะวิจารณ์มาก เพราะอ่านแล้วอินไปกัีบตัวผู้พูดจริงๆ (ยังไม่รู้เลยว่่าใคร) ทั้งหมดที่อ่านเป็นการบอกกลายๆสินะว่าแวมไพร์กับคนนอกรีตไม่ได้เป็นสัตว์อสูร แต่ก็มีเลือดเนื้อชีวิตจิตใจเหมือนมนุษย์ (ผมชอบปมตรงนี้) ส่วนเรื่องที่ทำให้สะเทือนใจที่สุดคือการบรรยายนักโทษแม่ลูกอ่อนถูกแขวนคอ กับเรื่องราวของชายแก่ในห้องขัง คำว่า "นาฬิกา" มีชีวิต สื่อได้ทุกอย่างเลยจริงๆ

    ถึงจะต้องรอหน่อยแต่ก็ขอให้ออกมาให้อ่านอีกนะครับ อย่าล่มเลย สาธุๆ -/\-
  5. jamejaeja

    jamejaeja แม่มดคำสาปมรณะ

    EXP:
    119
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    16
    Re: +++ The Last Kingdom : Fall of Man +++ / update Vol. 4.0

    ???

    ขนลุกพะยะคะ

    รักร่วมเพศงั้นรึ???

    ชอบตรงที่บรรยายนักโทษแวมไพร์

    สู้ต่อไปนะจ๊ะ
  6. jimkung

    jimkung Member

    EXP:
    261
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    16
    Re: +++ The Last Kingdom : Fall of Man +++ / update Vol. 4.0

    สำหรับผมอ่านแล้วมันสมบรูณ์แบบมากๆ จนไม่รู้จะเม้นอะไรเหมือนนั่งชมภาพยนต์แล้วนั่งอินอยู่คนเดียวเงียบๆ
    ผมจะรอติดตามตลอดไปแน่ๆครับ ^^
    หลายๆฉากสะเทือนใจ และได้บรรยากาศ แน่นอนเป็นในแบบที่ชอบเสียด้วย
    อ่านแล้วทำให้ได้รู้ว่าพฤติกรรมก้าวร้าวโหดร้ายรุนแรงมันมีอยู่ไม่จำกัดสายพันธุ์เลยจริงๆ
    ว่าแต่ผมอ่านตกตรงไหนไปหรือเปล่าน้า
    นักโทษทั้งห้า แต่มีรายละเอียด 4 คน หายไปไหนอีกคนนะ หรือผมงงเอง?
  7. shinkyoto

    shinkyoto Well-Known Member

    EXP:
    580
    ถูกใจที่ได้รับ:
    3
    คะแนน Trophy:
    88
    Re: +++ The Last Kingdom : Fall of Man +++ / update Vol. 4.0

    -- Page 2/2 --​



    1780




    ครบรอบ 20ปีที่ผมทำงานที่สถานจองจำแห่งนี้ และเช่นเคยผมก็ยังนั่นอยู่ณห้องพักผู้คุมห้องเดิม ชั้นเดิม คุมห้องขังเดิม พร้อมด้วยกับนักโทษที่ตอนนี้เหลือเพียงสองตนเท่านั้น หนึ่งตนตายตอนที่พยายามแหกหักห้องขัง ไปพร้อมๆกับเพื่อนของผมทั้งสาม และ อีกตนตายจากทรมานเมื่อฤดูหนาวที่แล้ว ท่านผู้เฒ่าตอนที่เราพบแกนั้น เราพบเพียงกองธุลีสีขาวบนจุดแกเคยนั่งอยู่เป็นประจำ จากสภาพแล้วแกเหมือนกับว่าจะหมดอายุขัยตายไปเอง แน่ล่ะว่านี่ควรจะเป็นอีกปีที่ผ่านไปในการทำงาน หากว่าในปีนี้ได้เกิดเรื่องไม่ฝันขึ้นที่ทำให้ ฤดูหนาวปีนั้นร้อนระอุกว่าปีที่ผ่านๆมา

    ข่าวจากแนวหน้า ณ สมรภูมิสเปน ข่าวดังกล่าวเข้ามาช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ ตอนนนั้นผมก็ได้ข่าวจากหน่วยประชาสัมพันธ์ถึงการเข้าแทรกแซงดินแดนของพวกแวมไพร์ในยุโรปตะวันตก ด้วยสงครามกลางเมืองสเปนที่ปะทุมาตั้งแต่ปี 74 ระหว่างฝ่ายต่อต้านที่สนับสนุนโดยศาสนจักร กับ กองกำลังของแวมไพร์ที่ออกมากำหราบคนที่คิดแข็งขึน การรบในช่วงแรกนั้นด้วยว่าอาศัยชัยภูมิที่ดีกว่า ทำให้สามารถยันการโจมตีของอีกฝ่ายไว้ได้ แม้จะมีการสู้กันเป็นระยะๆ และดูเหมือนจักรวรรดิจะได้อาณาเขตใหม่ลงบนแผนที่ในไม่ช้า แต่ข่าวด่วนที่ส่งมาในครั้งนี้ กลับกลายเป็นข่าวที่กระทบความรู้สึกเจ้าหน้าที่หลายคนที่ทำงานอยู่ในสถานจองจำแห่งนี้ รวมไปถึงเหล่าประชาชนที่อาศัยอยู่ในอาณานิคมแห่งนี้ ที่เหล่าคนในครอบครัวโดนส่งไปรบที่แนวหน้า

    การโจมตีดุจสายฟ้าแล่บของกองกำลังแวมไพร์ และการแต่กพ่ายของปราการจักรวรรดิ ตามเนื้อข่าวกล่าวไว้แต่เพียงหัวข้อใหญ่สอง กับรายละเอียดประมาณว่า พวกแวมไพร์อาศัยช่องทางทางทะเล ลอบเข้าโจมตีแนวหลังของกองทัพจักรวรรดิ ในตอนแรกความกังวลแพร่สะพัดไปราวกับไฟลามทุ่ง แต่ก็ตามมาด้วยความโศกสลดของเหล่าครอบครัวที่เหล่าคนรัก บ้างก็ลูกหลาน ปรากฎชื่อในรายชื่อผู้เสียชีวิตที่ออกมาตลอดช่วงสองสัปดาห์ต่อมา พร้อมๆกับคลื่นของคนเจ็บที่เทประดังมายังอาณานิคมแห่งนี้ เรือมากมายไม่สามารถหนีมาได้ทัน ที่หนีมาถึงก็ต่างบอกความทุลักทุเลของการล่าถอยได้เป็นอย่างดี

    ทั้งนี้ในเรือที่แล่นมาจากแนวรบ ก็มีเรือที่เป็นของพวกแวมไพร์ปะปนมาด้วย บนเรือเหล่านั้นแน่นอนเต็มไปด้วยทหารจักรวรรดิ ที่ยึกเรือที่พอจะหาได้ในระหว่างการล่าถอย ไม่ว่าจะเรือของพวกทหารศัตรู หรือ เรือชาวบ้าน เหล่าเจ้าของเรือจำนวนมากทั้งที่เป็นมนุษย์และแวมไพร์ถูกฆ่าอย่างไม่ปราณี โดยร่างของพวกเขาถูกผูกติดกับเสากระโดงเรือ เป็นภาพน่าสลดไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ผมในตอนนั้นที่มองผ่านช่องหน้าต่างบนหอคอย ก็พอจะรู้เค้าลางถึงเรื่องวุ่นที่จะตามมาหลังจากนั้น แต่ก็ไม่คิดว่าในความโศกเศร้าและโกรธแค้น จะทำให้อะไรกับจิตใจคนเราได้บ้าง?




    หลังจากนั้นไม่นาน เพียงไม่กี่วันหลังการล่าถอยจบลงด้วยความสูญเสียมหาศาลของกองทัพจักรวรรดิ เหล่าประชาชนที่โกรธแค้นต่อความรับผิดชอบที่เหล่า ผู้นำทหารแสดงออกโดยการบอกว่าเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ในสงคราม หากเป็นประชาชนอย่างเดียวยังพอรับมือได้ แต่ความจริงที่ว่า กว่าครึ่งของคนบนเกาะนี้ต่างก็สูญเสียไม่สามีก็ลูกชายไปในเหตุการณ์ในครั้งนี้ ทำให้ความโกลาหลที่เกิดไม่สามารถควบคุมให้อยู่ในวงจำกัดได้ ยิ่งเสริมด้วยทหารที่รอดตายแต่ยังโดนหลอกหลอนจากการไล่ฆ่าในสมรภูมิของพวกแวมไพร์ อีกจำนวนนับพัน และเมื่อไม่สามารถจะระบายอารมณ์แค้นเคืองของตนลงกับ ใครได้ (เหล่านายทหารเอง ก็หลบอยู่ในป้อมปราการ) จึงได้หันไปลงกับเหล่านักโทษ โดยเฉพาะพวกแวมไพร์และพวกรับใช้แวมไพร์ที่ถูกขังอยู่ในหอคอยแทน

    การจลาจลครั้งร้ายแรงที่สุดครั้งหนึ่งของอาณานิคมแห่งนี้ เริ่มขึ้นช่วงใกล้เที่ยงของวันที่ 6เมษายาน เมื่อฝูงชนและทหารหลายร้อยคนฝ่าแนวกันที่ชั้นแรกมาได้ หลังจากที่ไล่ฆ่านักโทษที่ค่ายแรงงานภายนอกหอคอยไปจำนวนมาก (ผู้คุมไม่ได้ห้ามปรามหรือพยายามหยุดอะไร ส่วนมากแค่ยืนมองเฉยๆ) โดยความร่วมมือกลายๆของพวกผู้คุมหน้าใหม่ที่ชั้นแรก เหล่าฝูงชนจึงได้อาวุธมาใช้ในการฝ่าแนวกันของหาคอยชั้นที่อยูสูงกว่า

    เพียงสามสิบนาทีหลังการจลาจลเริ่มขึ้น โดยที่ไม่แน่ชัดว่าฝ่ายไหนเป็นคนเริ่มก่อน ผู้คุมที่อยู่ในส่วนที่พักอาศัย ก็เริ่มเปิดฉากยิงปืนเข้าใส่ฝูงชน มีคนตายจากกระสุดชุดแรกไปห้าคน แต่นั่นกลับเหมือนโยนเชื้อไฟให้ฝูงชนยิ่งคลั่งหนักขึ้น

    ความพยายามที่จะจุดไฟเผาหอคอยไม่เป็นผล แต่ทั้งนี้ เหล่านักโทษนอกรีตในชั้นเดียวกัน ก็โดนฝูงชนที่บุกเข้าไปในห้องขังรุมฆ่าอย่างโหดเหี้ยยม แม้คนพวกนี้จะไม่ได้เกี่ยวอะไรกันเลยก็ตาม ดูเหมือนกลุ่มแกนนำที่นำฝูงชนมาบุกหอคอยจะมีอดีตผู้คุมรวมอยู่ด้วย ทำให้เหล่าฝูงชนถึงได้หลบเลี่ยงแนวกันและการตอบโต้จากเหล่าผู้คุมในบางส่วนได้ แต่ส่วนใหญ่ทั้งสองฝ่ายต่างก็ผลัดกับรุกผลัดกันรับไปมา แต่ทุกครั้งฝ่ายผู้คุมจะเป็นฝ่ายล่าถอยขึ้นไปยังชั้นที่สูงกว่าทีล่ะน้อย




    15 นาฬิกาตรง สี่ชั่วโมงให้หลัง เหล่าฝูงชนต่างเหน็ดเหนื่อยจากการไล่ฆ่าทุกอย่างที่ขวางหน้า แต่ด้านผู้คุมก็ไม่แพ้กัน แค่ยันแนวกั้นไว้ก็หืดขึ้นคอแล้ว แต่ชั้นใต้ดินกับชั้นแรกก็อยู่ภายใต้การยึดครองของฝูงชนเป็นที่เรียบร้อย ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายจึงพุ่งเป้าไปที่บันไดเวียนกลาง ที่ซึ่งเชื่อมระหว่างชั้นที่อยู่อาศัยผู้คุม กับ ชั้นคุมขังแวมไพร์ แน่ล่ะว่าด้วยหน้าที่เหล่าผู้คุมและเจ้าหน้าที่ทุกคนต้องกันไม่ให้มีการฆ่าแวมไพร์ส่งเดชขึ้น เพราะถึงจะเป็นนักโทษ แต่กว่าที่จะจับมาได้แต่ล่ะตน ต้องเสียทั้งกำลังทรัพย์และกำลังคนไปมากกว่าจะได้มา ซึ่งถ้าทุกคนคิดได้แบบนั้นก็คงจะดี ทว่าแม้แต่กับผู้คุมเอง โดยเฉพาะพวกหัวรุนแรงและคนที่เสียคนในครอบครัวไปในเหตุการณ์ครั้งนี้ กลับเห็นเป็นโอกาศที่จะได้สนองความต้องการของตน

    อาศัยช่วงความวุ่นวายที่เกิดขึ้น ผู้คุมบางส่วนจากชั้นล่าง นำโดยพวกคนมาใหม่ พาคนของตนฝ่าแนวกั้นโดยใช้เส้นทางของเจ้าหน้าที่ภายใน ลัดเลาะขึ้นมาถึงชั้นที่คุมขังแวมไพร์ ในสภาพที่ถูกจองจำในห้องขังของตน แวมไพร์ทั้งหลายก็สามารถจัดการได้โดยง่าย แน่ล่ะว่า พวกที่ผู้คุมพวกนั้นก็ไม่เลือกว่าจะเป็นแวมไพร์หน้าไหน ใช้ระเบิดขวดที่ทำจากขวดเหล้าดีกรีสูง ผ่านห้องขังใดก็ปาระเบิดขวดเข้าไป ผมมองจากด้านบนแม้จะอยู่สูงขึ้นมาหลายชั้น แต่ก็ยังสามารถได้ยินเสียงแผดร้องของแวมไพร์ที่กระเสือกกระสนพยายามแหกออกจากห้องขังที่ไฟลุกท่วม บางตัวก็สามารถออกมาได้ แต่ก็ล่วงหล่นลงไปเบื้องล่างเป็นลูกไฟกองหนึ่ง

    ผมไม่รู้หรอกนะว่าตอนนั้นคิดอะไรอยู่ แต่ที่ผมจำได้ในตอนนั้น ผมกับเพื่อนในกลุ่ม ไม่ลังเลที่จะรีบปิดประตูฉุกเฉิน แยกขังพวกเราสามคน และ นักโทษทั้งสองออกจากการทำลายล้างที่ข้างนอกนั่น มีผู้คุมในบล็อคอื่นๆรีบปิดประตูตามพวกเราอยู่บ้าง โดยเฉพาะระดับชั้นที่อยู่เหนือขึ้นไป พวกชั้นที่เป็นนักโทษสำคัญๆ แต่พวกบล็อคระดับล่างกลับนิ่งเฉย หรือไม่ก็เข้าร่วมกับพวกก่อจลาจลด้วย ระบบประตูฉุกเฉินนั้นมีไว้เพื่อกรณีที่ว่า มีแวมไพร์หลุดจากที่คุมขัง แล้วประตูฉุกเฉินจะช่วยกันไม่ให้เจ้าหน้าที่ที่อยู่ในส่วนของตน ถูกแวมไพร์ทีหลุดออกมาทำร้าย ด้วยประตูแร่เงินผสมพิเศษ ที่สามารถทนต่อแรงทำลายระดับสูง กระนั้นระบบก็ยังมีจุดเสียที่ว่า การจะปิดประตูต้องทำโดยเจ้าหน้าที่ประจำบล็อคนั้นๆเท่านั้น แม้ห้องควบคุมส่วนกลางจะสามารถส่งคนมาเปิดประตูในภายหลังได้ก็ตาม

    เมื่อเห็นว่ามีบางบล็อคที่ไม่ยอมร่วมกับพวกตน พวกก่อจลาจลก็ไม่ลังเลที่จะเผาห้องผู้คุมที่ปิดประตูไม่ใช้พวกตนเข้าไปฆ่านักโทษ แต่ก่อนที่หนึ่งในพวกนั้นจะได้ทันปาระเบิดขวดใส่ห้องขัง เสียงกึงของซี่กรงเงินหลุดจากแท่นก็ดังก้องไปทั้งชั้น ตัวผมและเพื่อนทั้งสองหันมามองหน้ากัน เรารู้ว่าเสียงนั้นหมายถึงอะไร โดยไม่ต้องสั่งอะไร พวกเรารีบหยิบอาวุธจากตู้เก็บมาเตรียมพร้อมทันที และตอนนั้นเองที่ระบบล็อคอัตโนมัติของหอคอยทำงาน กลุ่มผู้ก่อจลาจลบางคนก็รู้ตัวเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น คนพวกนั้นรีบตะโกนบอกให้คนในกลุ่มรีบหนีออกไปจากชั้นนี้โดยเร็ว แต่คนส่วนใหญ่กลับยังเมามันส์กับการทำลายข้าวของ และ พยายามบุกเข้าไปในห้องนักโทษ บางคนก็รีบวิ่งไปยังทางเชื่อมระหว่างชั้น แต่ยังไม่ทันที่จะถึงดี อะไรบางอย่างก็พุ่งลงมาขวางทางคนพวกนั้นไว้

    ตัวผมที่กำลังช่วยสร้างสิ่งป้องกันกับเพื่อน เผอิญแว่บมองลงไปเมื่อได้ยิงเสียงตะโกนลั่น ก่อนจะมาตามมาด้วยเสียงกระดูกหักและเนื้อฉีก มันยากจะที่ลืมภาพพวกนั้นได้ แม้จะผ่านมาหลายปีแล้วก็ตาม พวกคนเหล่านั้นต่างวิ่งหนีตายขึ้นไปยังชั้นที่สูงขึ้น โดยมีแวมไพร์ในสภาพเกรียมดำทั้งตัว แต่ประกายตาทอแสงสีเลือด วิ่งไล่ฆ่าและกินเหยื่อราวกับสัตว์ป่า ไม่เพียงดูดเลือดแต่ยังฉีกกระชากเนื้อหนังอย่างหิวกระหาย ดูจากเสื้อผ้าแล้วพวกแวมไพร์ที่หลุดออกมาน่าจะเป็น พวกข้าแวมไพร์ชั้นล่างที่เคยเป็นมนุษย์มาก่อน ถึงได้กร้าวร้าวได้ขนาดนี้

    พวกเราทั้งสาม รวมกับผู้คุมที่ล็อคบล็อคตัวเองในชั้นด้านบน ระดมยิงอาวุธใส่พวกแวมไพร์ที่หลุดออกมา เท่าที่ผมกะด้วยสายตา พวกที่หลุดออกมาน่าจะมีสัก5ตัวเป็นอย่างน้อย กระสุนเงินนับร้อยๆนัดบินกันว่อนเฉียดหัวพวกเราไปสองสามนัด มีหลายนัดที่วิ่งผ่านซี่กรงเข้ามาในห้องด้วย ทั้งปืนยาวปืนสั้น ดูเหมือนจะทำได้แค่รั้งไม่ให้พวกที่หลุดออกมา ขึ้นมายังชั้นที่สูงกว่านี้ได้ แต่ดูเหมือนพวกนั้นก็ไม่ได้คิดจะขึ้นมาด้านบนเท่าไหร่นัก เพราะพวกมันกำลังสนุกสนานกับงานเลี้ยงอาหารตรงหน้าอยู่ วิ่งขึ้นไปตามทางเดิน แวมไพร์บางตัวก็ดักเข้าที่ระหว่างทาง ฉกคนไปกินคนแล้วคนเล่า พวกคนที่ยังทำลายข้าวของตอนแรก ก็เริ่มแตกฮือหาทางหนีกันสุดชีวิต ระบบล็อคตัวเองของหอคอยก็ยังคงทำงานอยู่ แม้จะไม่เร็วเท่ากับระบบประตูฉุกเฉินของบล็อคผู้คุมก็ตาม ทางเชื่อมระหว่างชั้นถูกปิดไปแล้ว จะเหลือก็แต่ช่องเปิดกลางหอคอยเท่านั้น ที่ยังเปิดอยู่ แต่นั่นก็ไม่นานนัก เมื่อแผ่นเหล็กค่อยๆเลื่อนปิดช่องว่างดังกล่าว เพื่อกั้นแยกชั้นคุมขังแต่ล่ะชั้นออกจากกัน


    เงาวูบหนึ่งผ่านหน้าพวกเราไป ก่อนจะตามมาด้วยแวมไพร์ที่โดนเสียบพรุนไปด้วยมีดเงิน แต่เมื่อมองดีๆเงาวูบนั้นกลับเป็นพันตรี แกรี่ ไม่ใช่ใครอื่นที่ไหน แต่นอกจากตัวเขาแล้วก็ยังมี นายพันคนอื่นๆอีกที่ลงมาด้วยสายเชือกจากด้านบน พวกผมได้แต่มองตาค้าง ขณะที่พวกแวมไพร์ที่หนีออกมา โดนคนในหน่วยของพันตรี เล่นงานไปทีล่ะตัว คนในหน่วยที่ถูกฝึกมาให้ขึ้นตรงต่อจักรวรรดิ หน่วยล่าสังหาร แม้รู้ว่าพวกเขาประจำการอยู่ที่สถานจองจำแห่งนี้ก็ตาม แต่ไม่บ่อยนักที่ผมจะเห็นคนพวกนี้ในระยะใกล้ขนาดนี้ ฝึมือการฆ่าที่ดุดันราวกับไม่ใช่คนของคนในหน่วย ทำเอาพวกแวมไพร์ที่เหลือมุ่งเป้าไปที่พยายามหนีมากกว่าจะต่อสู้ แต่ก็ไปได้ไม่ไกลนัก มีดเงินจำนวนหนึ่งกรีดผ่านอากาศพร้อมกับเสียงหวีดแหลม แล้วแวมไพร์สองตัวก็สลายกลายเป็นกองเลือด แวมไพร์ที่เหลือเมื่อเห็นทางรอดของตนเหลือเพียงช่องเปิดกลางหอคอย ที่กำลังจะปิดสนิทด้วยบานเหล็ก มีเพียงสองตัวเท่านั้นที่ไปถึงช่องว่างโดยไม่โดนห่ากระสุนเงินที่เหล่าผู้คุมระดมยิงใส่จัดการไปเสียก่อน ในช่วงวินาทีสุดท้ายก่อนที่บานเหล็กจะปิดสนิท ร่างเกรียมซากของสองแวมไพร์ตัวแรกจะผ่านไปได้ แต่อีกตัวกลับลงไปได้เพียงแขนข้างเดียวเท่านั้น และในตอนนั้นเองที่บานเหล็กปิดสนิท พร้อมกับฉีกกระชากแขนแวมไพร์ตนนั้นไป


    ตัวผมกับเพื่อนทั้งสอง มองตอนที่แวมไพร์สาวตนนั้นตะเกียบตะกาย อยู่บนแผ่นเหล็ก โดยมีมีดเงินปักอยู่ตามร่างกาย ตัวพันตรีเองก็เดินย่างสามขุมหาอีกฝ่าย ใช้มือข้างเดียวคว้าคออีกฝ่ายชูขึ้นจากพื้น ก่อนจะลงมือจัดการด้วยมีดเล่มเดียว แต่ไม่ใช่เวลาที่จะมาพักอยู่แต่อย่างใด แวมไพร์ตัวที่หลุดลงไปชั้นคุมขังล่าง เหล่าเจ้าหน้าที่พิเศษนำโดยพันตรีไม่รอช้า ที่จะใช้ทางซ่อมบำรุงในการตามกระชั้นแวมไพร์หลบหนีไปติดๆ แต่นั่นก็เป็นตอนที่เสียงอื้ออึงกรีดร้องจำนวนมาก ดังขึ้นมาจากชั้นล่าง แม้จะกั้นด้วยแผ่นเหล็กหนา แต่พวกเรารู้ในทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นที่ข้างล่างนั้น พวกผู้คุมในชั้นนั้นตามที่แจ้งขึ้นมาระบุว่าอยู่ในส่วนที่พักของตน พร้อมทั้งเปิดระบบประตูฉุกเฉินแล้ว แต่ฝูงชนที่ก่อจลาจลพวกนั้นเล่า ไม่มีเครื่องป้องกันใดๆ ผมแทบไม่อยากนึกสภาพว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาเหล่านั้นบ้าง?




    การจลาจลจบลงหลังจากนั้นไม่กี่นาที แน่นอนว่าการประมือระหว่างเจ้าหน้าที่ศาสนจักร กับ แวมไพร์ที่เพลี่ยงพล้ำตนนั้น แม้จะรับเลือดใหม่เข้าไประหว่างอาละวาด ก็เห็นผลในเวลาอันสั้น หลังจากสำรวจจนแน่ชัดว่าแวมไพร์ที่หลุดออกมาถูกกำจัดแน่นอนแล้ว ระบบปิดล็อคของหอคอยก็ถูกเปิดออก เหล่าฝูงชนภายนอกที่ยังตื่นตระหนกกับเสียงร้องอื้ออึงเมือสักครู่ที่กลับเงียบหายไปทันที ต่างผงะเมื่อเห็นสภาพของคนที่เข้าไปในหอคอย บางคนก็ถึงกับทรุดฮวบลงกับพื้น หลายต่างวิ่งไปคนล่ะทิศคนล่ะทาง ในสหภาพชุลมุนไม่น้อยกว่าตอนเริ่ม เป็นใครก็ต้องแตกตื่นกันทั้งนั้น เพราะภายใน นอกจากเจ้าหน้าที่ของศาสนจักรที่ยืนถือดาบไว้ในมือ กับ เหล่าอัศวันในชุดเกราะเปื้อนคราบเลือดแล้ว บนพื้นต่างเต็มไปด้วยเศษซากที่เหลือจากมื้ออาหารของแวมไพร์ ทั้งสี ทั้งกลิ่นคาวเลือดและกลิ่นควันเหม็นไหม้ ทำเอาชาวบ้านที่ยังยืนตัวแข็งตรงนั้นสลบเหมือดไปหลายคนในเวลาต่อมา


    พวกผมเองหลังจากนั้นก็ต้องมาช่วยผู้คุมคนอื่นๆ ทำความสะอาดหอคอยกันเป็นการใหญ่ ชั้นใต้ดิน กับ ชั้นผิวดินเป็นส่วนที่ได้รับความเสียหายมากที่สุด นักโทษเกือบทั้งหมดในชั้นถูกสังหารไปในช่วงการจลาจล ส่วนชั้นกลางที่ขังพวกนอกรีตก็เสียหายไปมากเหมือนกัน นักโทษกว่าครึ่งตาย ผู้คุม50คนบาดเจ็บ ส่วนในชั้นของผม มีผู้คุมที่ไปร่วมกับพวกก่อจลาจลตายไป 22คน ส่วนนักโทษแวมไพร์ โดนฆ่าโดยพวกก่อการ 8ตน กับที่แหกออกมาจากห้องขัง และ โดนกำจัดในภายหลังอีก 7ตน รวมเป็น 15ตน ทั้งนี้ยังรวมยอดชาวบ้านและทหารที่ก่อจลาจลแล้วโดนแวมไพร์สังหารหมู่อีกร่วมๆ 2,000คนเศษ

    หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าวได้มีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างภายในเขตสถานจองจำ ทั้งการย้ายชุมชนชาวบ้านออกไปยังเกาะอื่น เหลือไว้เพียงย่านการค้าเล็กๆสำหรับเจ้าหน้าที่สถานจองจำ เพื่อระบบกวดขัดการตรวจสอบประวัติผู้คุม เพราะในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พบว่าตัวผู้คุมเองก็ร่วมก่อการเป็นจำนวนไม่น้อย และเพิ่อระบบป้องกันรอบๆ กันพื้นที่โดยรอบเอาไว้ไม่ให้คนนอกสามารถเข้ามาได้โดยง่าย ในรายงานที่ออกอย่างเป็นทางการในภายหลังระบุว่าเรื่องที่เกิดขึ้น เป็นเพียงการก่อจลาจลของนักโทษ ที่โดยมีหัวหอกเป็นพวกนอกรีตและแวมไพร์ ทั้งนี้ไม่มีการกล่าวถึงสาเหตุของเหล่านายทหารที่ออกแถลงการปัดความรับผิดชอบ จนยั่วยุฝุงชนจนเกิดเรื่องดังกล่าวขึ้นเลย


    หลังจากเหตุการณ์นั้นผ่านไปสองสามเดือน ผมสังเกตุว่านักโทษทั้งสองในบล็อคของเรา ดูจะมีท่าทีลดความระแวงลง และ ดูจะเป็นมิตรกับพวกเราสามคนมากขึ้น แต่ดูเหมือนการจลาจลจะส่งผลในวงกว้างมากกว่าที่ผมคิด เพราะหลังจากนั้น ก็ไม่มีการเรียกตัวแวมไพร์ไปทรมาน หรือ เค้นข้อมูลในช่วงหนึ่งปีข้างหน้าเลยสักครั้งเดียว





    1789





    เพียงหนึ่งปีก่อนครบรอบการทำงานในปีที่ 30ของพวกเราสามคน ไอแวนด้วยปัญหาสุขภาพที่รุมเร้ามาในช่วงปีหลังๆ ทำให้ทางหน่วยทะเบียนของสถานจองจำ มีคำสั่งย้ายแกออกจากหน่วยของเรา แม้จะน่าเสียดายที่กลุ่มของเราจะเหลือกันสองคน แต่ด้วยสถานจองจำแห่งใหม่ที่ไอแวนถูกกำหนดไปประจำ อยู่บนแผ่นดินแม่ ที่ใกล้กับการรักษาที่ดีกว่าบนเกาะ พวกเราทั้งสองก็พอจะเบาใจไปได้ระดับหนึ่ง แต่ยังไม่ถึงเดือนหลังการย้าย ในบล็อคของเราก็เกิดเรื่องวุ่นที่สองตามมาติดๆ


    ตามระเบียบทั่วไปของสถานจองจำแห่งนี้ กำหนดเอาไว้ว่า เด็กเกิดใหม่ของนักโทษทุกคนในสถานจองจำ จะต้องถูกส่งไปให้แผนกสงเคราะห์เด็ก ที่ซึ่งจะจัดสรรเด็กเกิดใหม่ที่ได้ไปยังหน่วยงานหลักของจักรวรรดิอันได้แก่ สถานสังคมสงเคราะห์ หน่วยงานที่จะจัดหาพ่อแม่บุญธรรมที่เหมาะสมมารับเลี้ยงเด็กเหล่านี้ต่อไป สถานศึกษาทหารจักรวรรดิ เพื่อผลิตเหล่ายุวชนทหารรุ่นใหม่ และ สุดท้าย สถานศึกษาสังฆจักร ที่ซึ่งสร้างเหล่าพระนักรบ ผู้ทั้งรับใช้พระเจ้าและทำลายล้างเหล่ามารของศาสนจักร

    แต่นั้นคือกรณีของ ลูกที่เกิดจากนักโทษที่เป็นมนุษย์ เพราะทางศาสนจักรมองว่า เด็กแรกเกิดนั้นถือว่าบริสุทธ์ ปราศจากมลฑินใดๆ จึงไม่ต้องรับโทษทัณฑ์่ใดก็ตามที่ผู้เป็นแม่ก่อเอาไว้ (ยังไม่โหดพอจะลงมือกับเด็ก ถ้าจะว่ากันตรงๆ) แต่สำหรับเด็กที่เกิดจากนักโทษที่เป็นแวมไพร์ นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนี่ง โดยมากแล้วเมื่อมีเด็กเกืดจากแม่ที่เป็นแวมไพร์ หรือ ข้ารับใช้แวมไพร์ (พวกมนุษย์ที่เป็นบริวารอย่างเต็มใจ) เด็กคนนั้นจะต้องถูกกำจัดโดยเร็ว และนั่นก็คือปัญหาที่เกิดขึ้นกับนักโทษในบล็อคของเรา


    แวมไพร์เด็กสาว(?) ไม่ใช่ว่าผมจะพึ่งเคยเห็นคนท้องเป็นครั้งแรกมาก่อน แต่ด้วยว่าผมเห็นท้องเธอค่อยๆโตต่อเนื่อง ทีล่ะน้อยจนแทบสังเกตุไม่ออกนึกว่าเป็นน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น ตลอดสามปีที่ผ่านมาท้องของเธอค่อยๆโตขึ้น จนมางานเขาพวกเราสองคน ในคืนหนึ่งกลางเดือน มิถุนายน คืนนั้นเป็นคืนเดือนมืด ทำให้ตัวหอคอยที่แสงไฟตะเกียงที่ไม่ค่อยสว่างอยู่แล้ว มืดหนักเข้าไปอีก ตอนนั้นเป็นเวรของโจเซ่ แกเล่าว่าในคืนนั้นตอนราวๆตีหนึ่งเห็นจะได้ เขาได้ยินเสียงเหมือนมีอะไรหนักๆกระแทกพื้น กับกลิ่นคาวเลือดเลือนๆจากห้องของนักโทษ แต่คิดว่าเป็นแรงสั่นจากห้องทรมาน เขาเลยไม่ได้เอะใจอะไร จนกระทั่งเมื่อพระอาทิตย์ขึ้น แล้ว โจเซ่หน้าซีดเข้ามาปลุกผมที่นอนอยู่ ผมคิดว่าต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแน่ แต่เมื่อเขาพาผมไปที่ห้องขังของเจ้าหล่อน ผมก็ได้แต่ยืนบื้ออยู่ตรงนั้นเช่นเดียวกับอีกฝ่าย


    ต่อหน้าพวกเราเด็กชายแรกเกิด กำลังดูดนมจากผู้เป็นแม่ ที่พื้นนั้นนองไปด้วยเลือดปนกับน้ำคร่ำ ตัวเธอนั้นหันมามองเราสองคน หากไม่ใช่เพราะว่าหลอดเสียงของเธอโดนทำลายไปนานแล้ว เธอคงจะสามารถสื่อสารกับเราได้มากกว่านี้ ทารกนั้นหยุดร้องทันทีที่เห็นหน้าพวกเราทั้งสอง


    ผมกับโจเซ่ แม้จะรู้ขั้นตอนดี แต่ไม่รู้ว่าเพราะผมเกิดใจอ่อน หรือ เพราะหลายปีที่ทำงานมา ทำให้ผมรู้ว่าไม่ใช่แวมไพร์ทุกตัวที่จะเป็นสัตว์ร้ายเหมือนกันหมด (แม้พฤติกรรมดิบจะเป็นอย่างนั้นก็ตาม) โจเซ่เองก็เหมือนกัน แม้จะยังมองแวมไพร์ในแง่ลบมาตลอด แต่เพราะรู้ว่าจะเกิดอะไรกับเด็ก ถ้าผู้คุมคนอื่นมาพบเข้า เขาถึงได้รองน้ำใส่ถังและเริ่มทำความสะอาดพื้นห้องขัง ส่วนตัวผมนั้นเอาเด็กไปทำความสะอาดชะคราบเลือดออก ดีว่าตอนนั้นเป็นช่วงเช้ามืด ยังไม่ถึงเวลาตรวจตราตอนเช้า โจเซ่ถึงตอนนั้นแทนที่จะแจ้งกับห้องควบคุมกลาง ตัวผมกับเขา ถึงได้เอาเด็กคนดังกล่าวมาเก็บไว้ในห้องพักของเราแทน อาศัยช่วงเวลาประจำสัปดาห์ที่พวกผมต้องเข้าไปตรวจสภาพห้องขังเป็นประจำ และ ตัวแม่เด็กเองก็จะให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีด้วย


    แม้จะสามารถรอดจาการตรวจประจำวัน แต่ในขณะที่ทั้งผมกับโจเซ่ยังแก้ปัญหาไม่ตกเลยว่าจะเอายังไงกับเด็กที่เกิดมาดี แต่สองสามวันหลังจากนั้น ขณะที่ผมไปเดินซื้อของใช้ในเมืองรวมไปถึงอาหารเด็กอ่อนนั่นเอง คนๆนั้นก็ปรากฎตัวขึ้นอีก ตอนนั้นหิมะตกมาได้พักใหญ่แล้ว เขาคนนั้นในชุดโค้ทสีเทา สวมหมวกทรงสูง ยืนอยู่ที่หัวมุมถนนใกล้ๆกับลานน้ำพุ แน่นอนว่าผมจำนัยต์ตาสีทองใต้กรอบแว่นกลมนั่นได้ ดีว่าตรงนั้นไม่ค่อยมีคนเดินมากนัก ผมเดินเข้าไปนั่งข้างกับคนๆนั้น เราสองคนนั่งกันอยู่ตรงนั้น มองดูเหล่าชาวบ้านเดินผ่านหน้ากันไปอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ผมจะถามเขาว่ามาทำไม?

    ชายคนนั้นไม่ได้พูดอะไรแต่เจ้าตัวกลับยื่นซองน้ำตาลให้ผม ผมรู้เลยว่าในนั้นมีอะไร ผมรับมาเปิดดู ภายในนั้นเป็นหนังสือเดินทางสำหรับตัวผมและเพื่อนทั้งสอง อย่างที่ผมได้ขอไประหว่างติดต่อทางจดหมาย แนบมาพร้อมกับประวัติปลอม กับ เอกสารราชการที่ทำออกมาได้เนียนจนผมยังนึกว่าเป็นของจริงในครั้งแรก ภายในยังบรรจุอัญมนีสีสวยอีกจำนวนหนึ่ง แน่ล่ะว่าตั้งแต่ที่ชายคนดังกล่าวปรากฎตัวขึ้นเมื่อหลายปีก่อน ผมก็เริ่มติดต่อผ่านจดหมายด้วยวิธีที่แกกำหนดขึ้นมา ผมทำหน้าที่ขายข้อมูลของสถานจองจำแลกกับที่อีกฝ่ายช่วยส่งเงินไปให้ครอบครัวของ เพื่อนที่เสียชีวิตไป ตอนแรกผมก็ไม่อยากทำเรื่องแบบนี้หรอก แต่เพราะทราบเรื่องที่กองทัพไม่ส่งเงินชดเชยให้ครอบครัว เพียงเหตุผลว่าอยู่ในภาวะสงคราม และ พวกกองทัพเห็นว่าไม่ควรเสียเงินชดเชยไปให้กับคนตาย ลำพังเงินเดือนผู้คุมก็ไม่มากมายอยู่แล้ว แล้วมันเรื่องอะไรที่ผมจะต้องไปทนกับระบบแบบนี้ด้วยกัน?

    แน่นอนว่า โจเซ่คัดค้านมาตลอดว่ามันไม่ถูกต้อง แต่หลังสงครามกลางเมืองสเปนเป็นต้นมา ตัวเขาก็เริ่มที่เสื่อมศรัทาที่มีต่อกองทัพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับศาสนจักร ส่วนไอแวน แกยังเป็นห่วงว่าชายแปลกหน้าจะรักษาสัญญาหรือไม่ หรือกระทั่งว่าเขาเป็นสายของศาสนจักรหรือเปล่า แต่เมื่อความตึงเครียดในเขตอาณานิคมเริ่มก่อตัว ด้วยข้อความในจดหมายที่ไอแวนส่งมา ช่วงกลางปี ถึงสถานการณ์ที่พวกแวมไพร์เรื่มขยายการก่อกวนชายแดน กับ การส่งตำรวจศาสนาเข้าไปในเขตชายแดนมากผิดปรกติ เรื่องที่ทำให้โจเซ่ถึงกับใจไม่อยู่กับตัว ผมรู้จากปากแกเมื่อก่อนว่า ครอบครัวเจ้าตัวนั้นเป็นเจ้าของไร่ฝ้าย แต่เรื่องที่ว่าคนงานในไร่แกเป็นพวกรับใช้แวมไพร์นี่สิ ที่ทำให้เจ้าหน้าที่ศาสนจักรเริ่มเพ็งเล็งไปยังครอบครัวแก แล้วเป็นเรื่องที่ดูเหมือนชายแปลกหน้าจะรู้เรื่องดังกล่าวด้วย ที่ทำให้ทั้งสองร่วมหัวจมท้ายกับเรื่องนี้้ด้วย

    แต่ผมสังเกตุมาตลอดเวลาที่ติดต่อกับชายแปลกหน้าเหมือนกันว่า ข้อมูลที่แกขอส่วนใหญ่กลับเป็นเรื่อง โครงสร้างของหอคอย ทั้งวัสดุในการก่อสร้าง ความสูง ความลึก ความกว้าง ตำแหน่งของห้องขังในแต่ล่ะชั้น โดยที่ไม่เคยถามอะไรที่เกี่ยวกับข้อมูลอื่นนอกจากเรื่องหอคอยเลย แต่ก็มีบางครั้งจะถามถึงเรื่องนักโทษแวมไพร์ และ พวกนอกรีตบางคนที่ถูกขังอยู่ แน่นอนว่าอย่างไม่น่าประหลาดใจ ชายแปลกหน้าจะถามถึงสภาพร่างกายของสองแวมไพร์ที่อยู่ในการดูแลของพวกเรา แต่พอผมบอกเรื่องที่แวมไพร์เด็กสาว(?)คลอดลูกชายให้แกฟัง เจ้าตัวก็ดูจะตกใจไปชั่วขณะ ผมมองตอนที่ตัวแกเหมือนจะพูดพึมพำอะไรบางอย่างกับตัวเอง ก่อนที่ชายแปลกหน้าจะยื่น ซองขาวอีกอันให้กับผม ซองนั้นปิดผนึกไว้อย่างดี แต่ที่ด้านหนึ่งมีวันเดือนปีเขียนเอาไว้ พร้อมข้อความว่า [ อย่าเปิดจนกว่าจะถึงวันที่ระบุ ] แต่ตอนที่ผมจะถามว่าสิ่งนี้มีเพื่ออะไร ชายแปลกหน้าก็หายตัวไปเสียแล้ว


    การติดต่อในครั้งนั้นเป็นครั้งสุดท้าย หลังจากที่ผมจัดแจงส่งหนังสือเดินทางไปให้ไอแวน และ ครอบครัวของโจเซ่ผ่านทางเจ้าตัว ผมกับโจเซ่กับตกลงกันได้ว่า จะปล่อยเจ้าหล่อนเลี้ยงดูลูกของเธอไปอีกสักระยะ แน่ล่ะว่าเพราะชั้นนั้น หลังจากผ่านมาหลายปีหลัง ปริมาณการสอบสวนนักโทษในชั้นดังกล่าวน้อยลง จนถึงระดับที่น่าจะเรียกได้ว่าไม่สนใจอีกแล้ว ประกอบกับชั้นของเราอยู่ใกล้ของชั้นห้องทรมาน (ลงจากชั้นของเราไปเพียง 10ชั้นเท่านั้น )เสียงร้องของเด็กจึงปนไปกับเสียง กรีดร้องของนักโทษที่โดนทรมาน แต่ผมรู้ว่าเรื่องแบบนี้คงจะปิดได้ไม่นานนัก เพราะปีหน้าก็จะครบกำหนดรอบ10ปี ในการเช็คนักโทษแล้ว






    1790





    ปีที่ 30ของการทำงาน หนึ่งปีผ่านไปนับแต่ตอนที่แวมไพร์เด็กสาว(?) ให้กำเนิดบุตรน้อยๆของเธอ โดยที่มี โจเซ่กับผมรับบทเป็นคุณพ่อจำเป็น แต่ในปีนั้นเองที่เรื่องใหญ่สองเรื่องได้เกิดขึ้นกับสถานจองจำแห่งนี้


    ที่จริงก่อนจะเกิดเรื่องนี้ไม่นาน ข่าวลือที่ว่าจะมีการเจรจาสงบศึกระหว่างจักรวรรดิกับแวมไพร์ แพร่สะพัดไปในเขตอาณานิคม ซึ่งสถานที่ประชุมนั้นว่ากันว่าจะจัดที่บริเวณทะเลนอกเกาะแห่งนี้ แต่ไม่นานข่าวการลอบสังหารคณะผู้เจรจาของจักรวรรดิ ก็ออกมา พร้อมกับเรื่องเจ้าหน้าที่ศาสนจักรล้อมจับตัวแทนของแวมไพร์ที่มาเจรจาด้วย แม้แต่สายตาคนระดับล่างอย่างผม ยังมองเรื่องนี้ว่าไร้เหตุผลสิ้นดี แต่ผมก็ทำอะไรไม่ได้มากนัก เมื่อตัวแทนพวกนั้นถูกส่งมายังหอคอยแห่งนี้


    ไม่ต้องบอกทุกคนก็รู้ในทันทีว่าเรื่องนี้ จะก่อมรสุมความสัมพันธ์ครั้งใหม่ระหว่างตัว จักรวรรดิ กับ แวมไพร์เป็นแน่ และถ้าจะมีอะไรแย่ไปกว่านั้น หนึ่งในกลุ่มตัวแทนแวมไพร์ก็ถูกประหารสด ที่นอกหอคอยด้วยข้อหาวางแผนสังหารคณะผู้เจรจาจักรวรรดิ (แต่ประชาชนรู้กันทั้งบ้านเมืองว่า เรื่องนี้ศาสนจักรเป็นตัวการเบื้องหลังไม่ผิดแน่) การประหารนั้นมีการทำให้เหมือนราวกับเป็นงานแสดงจำอวด ทางท่านพัศดีเองก็ไม่ได้เห็นดีเห็นงามกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ตัวท่านเองก็ไม่มีอำนาจจะไปขัดเบื้องบนอะไร การประหารในครั้งนั้นยังรวมไปถึงเหล่านักโทษแวมไพร์ระดับต่ำๆอีกหลายคน นับว่าเป็นโชคดีที่ว่านักโทษในชั้นของเราไม่โดนลากตัวไปด้วย แต่ไม่ใช่กับชั้นที่อยู่ต่ำกว่าเราลงไป


    หลังการประหารในครั้งนั้นราวเดือนกว่าๆ ข่าวล่ามาเร็วที่ทำเอาพวกเราถึงกับยืนตัวแข็งในครั้งแรกที่ได้ยินในครั้งแรก ก็มาถึง กองเรือลาดตระเวนจักรวรรดิ ตรวจพบกองเรือขนาดใหญ่ของพวกแวมไพร์ กำลังมุ่งตรงมายังเกาะ โดยพุ่งเป้ามาที่เกาะที่หอคอยตั้งอยู่ การระดมทารเรือที่มีอยู่ทั้งหมดในหมู่เกาะเริ่มขึ้น พร้อมกับการเตรียมความพร้อมอย่างเร่งด่วน งานการทรมานทุกอย่างถูกระงับชั่วคราว ประชาชนที่ทราบข่าวต่างพากันตื่นตระหนก คนพวกนี้บางส่วนเคยมีประสบการณ์จากสงครามในครั้งอดีตอยู่บ้าง คนที่พอจะมีเงินก็พาครอบครัวขึ้นเรืออพยพไปอยู่แผ่นดินแม่ ส่วนคนที่ไม่มีเงินซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ ต่างพยายามจะหาที่หลบซ่อน จนทางสถานจองจำต้องเปิดหอคอยรับประชาชนบางส่วนเข้ามา ความโกลาหลเกิดขึ้นไปทั่ว การปล้นสดมเกิดขึ้นทุกหัวมุมถนน จนเมื่อเรือของพวกแวมไพร์ลำแรกสามารถมองเห็นในระยะสายตาจากหอคอย ท่านพัศดีถึงได้เปิดสัญญานเตือนภัยฉุกเฉินขึ้น


    ตอนนั้นพวกเราสองคนเตรียมรับต่อสิ่งจะเกิด เมื่อคำสั่งสุดท้ายลงมาถึง ท่านพัศดีได้กำหนดให้พวกเราเหล่าผู้คุม ทำยังไงก็ได้เพื่อไม่ให้ผู้รุกรานบรรลุเป้าหมายของตน แม้ว่าจะต้องตัวตายก็ตาม คำสั่งสุดท้ายในกรณีที่หากแนวป้องกันสุดท้ายแตกลง ผมมองระเบิดมือในมือ ที่ได้รับแจกจากแผนกสรรพวุธ มาตรการณ์ทำความสะอาด เพื่อไม่ใช้นักโทษที่มีจำนวนร่วมพันคน สามารถแหกจากห้องขังไปก่อความวุ่นวายภายนอก โจเซ่ถึงกับส่ายหน้า ในแววตาผมที่จ้องสบกับเขา เราสองคนเริ่มคิดได้ตอนนั้น ทั้งหมดนี้มันจะเลยเถิดมากไปแล้ว แต่แรงสั่นสะเทือนที่เขย่าหอคอยเรียกสติเราทั้งสองจากผวังค์


    เสียงปืนใหญ่สามารถได้ยินมาแต่ไกล มองออกไปทางช่องมอง บริเวณท่าเรือและฐานทัพเรือแดงฉานไปด้วยเพลิงที่ลุกไหม้อาคารไม้พวกนั้น พวกเรือดำที่จอดกันนอกท่า ยังระดมยิงปืนใหญ่ใส่เกาะไม่ยั้ง เสียงแหกร้องของทั้งทหารเรือและชาวบ้านที่หลบการโจมตีดังอืออึงไปทั้งเกาะ แต่ตอนที่เราสองคนยังไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อไปดี ระฆังเตือนภัยของหอคอยก็ดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงร้องของเหล่าผู้คุม ตะโกนโหวกเหวกออกคำสั่งไปมา ตั้งแต่ชั้นพื้นดินถึงยอดหอคอย เราสองคนมองหน้ากัน ก่อนรีบไปประจำป้อมปืนในบล็อค พร้อมเปิดระบบประตูฉุกเฉิน


    หลังการจลาจลครั้งใหญ่เมื่อ 10ปีก่อน ทางสถานจองจำได้มีการปรับปรุงระบบป้องกันตัวครั้งใหญ่ และหนึ่งในนั้นก็คือป้อมปืนประจำบล็อค เพื่อป้องกันไม่ให้มีการบุกเข้าประชิดหอคอยเหมือนครั้งก่อน ทุกบล็อคในทุกชั้น ประจำการด้วยปืนกลมือหมุน นำเข้าจากกองทัพจักรวรรดิ อัตราการยิง 60นัดต่อนาที สำหรับระยะทำการในระยะใกล้ ถึงปานกลาง ทั้งนี้ยังมีชุดกระสุนมากพอจะยิงต่อเนื่องได้ร่วมชั่วโมง ทั้งนี้ในป้อมก็ยังมีปืนยาวและปืนสั้น สำรองเอาไว้ในกรณีที่ปืนหลักกระสุนหมด และ การต่อสู้ภายในหอคอย

    ป้อมปืนใหญ่นั้นประจำอยู่ที่ชั้น ปราการของหอคอย ที่กึ่งกลางหอคอย และ อีกชุดที่ยอดหอคอย กระสุนปืนใหญ่ทั้งแบบลูกตันและลูกปราย อัตราการยิงเต็มที่นั้นอยู่ 2นัดต่อนาที แต่ด้วยจำนวนปืนที่ไม่ต่ำกว่า 200กระบอกตลอดความสูงของหอคอย ทำให้ตัวหอคอยยากที่จะสามารถเข้าทะลวงได้ นั่นคือสิ่งที่ผู้ออกแบบ และ ท่านพัศดีคิดเอาไว้ สำหรับผู้รุกรานที่เป็นมนุษย์


    เหล่าทหารที่กรูกันออกไปป้องกันทางเข้าที่ระดับพื้นดิน เฝ้ามองเมื่อเปลวไฟเปลี่ยนกลางคืนให้สว่างเหมือนกลางวัน และสิ่งที่วิ่งกรูกันมายังหอคอย ทำเอาทหารหลายคนถึงกับเกิดอาการเข่าอ่อนขึ้นมา แน่ล่ะว่าพวกเขาคาดได้ว่าจะเจอแวมไพร์ จำนวนมาก แต่ไม่ใช่อย่างที่กำลังเห็นอยู่ตอนนี้ ด้วยร่างกายที่เว้าแหว่งเพราะถูกกัดกิน ดวงตาสีแดงเลือด เลือดที่ไหลออกจากทั้งดวงตา รูจมูก ริมฝีปาก ท่าทางกระหายเลือดราวสัตว์ป่า กู่ร้องราวกับคนเสียสติ ในสารพัดรูปร่าง ทั้งทหารเรือ ชาวบ้านที่ท่าเรือ ทั้งหญิง ชาย และ เด็ก ทุกคนต่างวิ่งกรูเข้ามาหาเหล่าทหารที่เล็งปืนของตนไปยังพวกนั้น


    นำโดยเสียงปืนของผู้กองของตน เสียงปืนนั้นร้อยและควันไฟดินดำฟุ้งขึ้นในบัดดล เหล่าป้อมปืนก็ระดมยิงใส่ เสียงปืนใหญ่ และ ปืนกลดังถลั่งทลายประหนึ่งพายุสายฟ้า แล้วในชั่วพริมตา กำแพงเนื้อที่วิ่งดาหน้าเข้ามา ก็กลายสภาพเป็นกองเศษเนื้อในบัดดล แต่พวกระลอกหลังก็ยังเข้าแทนที่แนวหน้า มีจำนวนเพียงน้อยนิดที่สามารถมาถึงแนวป้องกันแรกได้ แต่เหล่าทหารที่ยืนเรียงจ่อปืนยาวตนเป็นแผง ก็ระดมยิงใส่พวกที่เหลือรอดเหล่านั้น ทั้งภาพและกลิ่นนั้นชวนให้คลื่นเหี้ยน แต่ด้วยอดรีนาลีนที่ฉึดพล่าน ทำให้ทั้งทหารเบื้องล่าง เหล่าผู้คุมในป้อม และ พวกเราสองคนอยู่ในภาวะตื่นตัวเต็มที่


    แต่กลายเป็นการเข้าตีของพวกแวมไพร์ ถึงจะสามารถยันเอาไว้ได้ แต่กลับไม่มีแวมไพร์ระดับสูงปรากฎตัวเลย ไม่จนกระทั่งเกิดระเบิดขึ้นที่ด้านหนึ่งของหอคอย บริเวณชั้นปราการ ปรากฎว่าป้อมปืนหนึ่งโดนทำลายในครั้งเดียว สิ่งที่เกาะอยู่ตรงช่องเปิดที่เคยเป็นป้อมปืน รูปร่างของมันนั้นคล้ายมนุษย์ แต่ด้วยแขนขาและร่างกายที่บิดเบี้ยวเหมือนปีศาจจากนรก และ ใบหน้าเหมือนหมาป่า พร้อมเขี้ยวยาว ไม่ผิดแน่นี่คือลักษณะของแวมไพร์อีกพวก พวกเลือดสามัญ

    ตัวมันนั้นฝ่าทะลวงเข้ามาถึงแกนกลางหอคอย แน่ล่ะว่าซี่กรงของประตูสามารถป้องกันการโจมตีของ เจ้าแวมไพร์ตนนี้ได้ แต่ก็จนมีดบินห่าใหญ่เฉี่ยวร่างมันไป เป็นท่านพัศดี และ เหล่าลูกชายทั้งสองของเขา ทั้งตึงมือว่า เจ้าหน้าที่ศาสนาจักรก็กำลังรับมือกับคลื่นการโจมตีที่ด้านนอก แต่ก็จะไม่ยอมให้แวมไพร์ตนไหนมาบุกสถานจองจำแล้วก่อเรื่องได้ง่ายๆ โจเซ่ที่ออกไปเอาลังกระสุนมาเติม มองเมื่อการต่อสู้เริ่มขึ้น แต่เสียงระเบิดพร้อมลูกไฟที่หลายชั้นของหอคอยดังขึ้น แล้ว เจ้าแวมไพร์เหมือนกับตัวที่พึ่งเข้ามา ก็กรูกันเข้ามาในหอคอยไม่ต่ำกว่าสิบตัว เหล่าผู้คุมที่คุมป้อมของตน เมื่อเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น ก็รีบฉวยอาวุธของตนเข้าช่วยกำจัดผู้รุกราน การต่อต้านนั้นดำเนินไปอย่างดุเดือด เสียงห่ากระสุนดังก้องหอคอยเหมือนเมื่อในครั้งอดีต หากแต่ครั้งนี้เป้าหมายไม่ใช่เหล่าฝูงชนที่โกรธแค้น แต่เป็นแวมไพร์กระหายเลือดนับสิบๆตัวแทน


    เพราะในสมองมันบอกให้ฆ่าพวกแวมไพร์ที่บุกเข้ามา เพื่อไม่ให้โดนฆ่าตายเสียเอง ผมเลยไม่ทันได้สังเกตุว่าผู้คุมอีกกลุ่ม ในบล็อคที่อยู่เหนือเราขึ้นไปทำอะไร ในเสียงสะท้อนของกระสุนเงิน ผมได้ยินเสียงร้องหวีดของแวมไพร์ ก่อนจะตามมาด้วยเสียงระเบิดมือ ตอนแรกผมก็ไม่ได้ให้ความสนใจอะไร แต่เมื่อเสียงที่ว่ามันดังจากบล็อคข้างๆ ถึงทำให้ผมรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พวกผู้คุมที่ประสาทอ่อนเริ่มใช้ระเบิดมือที่ได้รับแจกมา ทำตามคำสั่ง มาตราการทำความสะอาด (ผมไม่ว่าหรอกนะถ้าจะมีใครเกิดขวัญเสียในสถานการณ์แบบนั้น แต่แทนที่จะยันผู้รุกรานกลับมาทำตามคำสั่งบ้าๆนั่น จนคนหนุ่มหลายคนตายไปพร้อมกับนักโทษในห้องขังของตน ) ใช้ระเบิดมือดัดแปลงเพื่อจัดการกับแวมไพร์โดยเฉพาะ สังหารเหล่านักโทษในบล็อคของตนทิ้งเสีย


    ความโกลาหลทวีคูณขึ้นทันที ซึ่งดูเหมือนว่าแวมไพร์ผู้รุกรานเมื่อเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นกับนักโทษ ก็ชะงักไปก่อนจะพุ่งเป้าหมายของตนไปยังการช่วยนักโทษเป็นหลักแทน พวกเราสองคนในตอนนั้นเชื่อมาตลอดว่า ระบบประตูฉุกเฉินจะสามารถป้องกันการโจมตีของแวมไพร์ได้ เพราะจากกรณีที่มีนักโทษหลุดออกมา เจ้าระบบที่ว่านี้และลูกกรงเงินของมัน ก็ช่วยชีวิตเหล่าผู้คุม และ พวกเราไว้หลายต่อหลายครั้ง (อย่างครั้งจลาจลก็ดี) แต่นั่นก็สำหรับแวมไพร์นักโทษ เพราะต่อหน้าแวมไพร์สงครามพวกนี้ ลูกกรงก็เหมือนซี่ไม้จิ้มฟัน เพียงออกแรงฟาดซี่กรงก็หักโดยพลัน เสียงหวีดร้องด้วยความกลัวและความตกใจดังขึ้น ก่อนจะตามด้วยเสียงเนื้อมนุษย์โดนฉีกขย้ำ นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับบล็อคถัดจากของเรา


    มองหน้ากัน ผมที่มือหนึ่งกำปืน กับอีกข้างกำกุญแจ ก้าวไปยังกรงขังนักโทษ ผมชั่งใจอยู่ไม่กี่วินาที ต่อหน้าที่และศรัทธา สามัญสำนึกและคำสั่ง เปิดกลไกห้องขังทั้งสอง ก้าวเขาไปในห้องแวมไพร์เด็กสาว แต่ตอนที่ผมกำลังจะปลดโซ่ของนักโทษโจเซ่มาจับมือผมเอาไว้ ในแววตาเขาบอกว่า ไม่ ตาผมก็ว่า ไม่ แต่มือผมไขล็อคตรวนไปเสียแล้ว แวมไพร์เด็กสาว เธอดูจะสงบนิ่งมาก ในขณะที่ แวมไพร์วัยรุ่นชายหันมามองพวกเราสองคน หลังจากที่ผมปลดโซ่ตรวนแกออก เจ้าตัวพูดอะไรบางอย่างสั้นๆ ก่อนจะกระโจนหายไป ตัวทารกนั้นร้องไห้จ้ามาตั้งแต่ที่เสียงปืนเริ่มขึ้น แต่เมื่อได้เห็นหน้าแวมไพร์สาวทารกน้อยถึงได้สงบลงในที่สุด


    หลังจากจัดการกลไกระบบประตูแล้ว เพื่อให้แน่ใจว่าทารกจะไม่ถูกจับได้ พวกเราห่อตัวแกไว้ด้วยเศษผ้าหลวมๆ โจเซ่รับหน้าที่ดูต้นทาง แต่เมื่อเปลวไฟที่ลามมาจากห้องพักผู้คุมชั้นต่างๆ เริ่มลุกลายใหญ่ขึ้นทุกขณะ เวลาจึงเป็นสิ่งที่กระชั้นมาก กระนั้นการต่อสู้่ก็ยังดำเนินต่อไป เสียงดาบและเสียงปืนยังดังก้องไปมาอยู่ตลอด เราสองคนกับแวมไพร์เด็กสาวค่อยๆลัดเลาะอย่างเร็วที่สุด ลงไปตามบันไดวน เราสองคนรู้แน่ว่าไม่สามารถออกทางประตูหลักได้ จึงเหลือทางเดียวที่จะออกได้โดยไม่ถูกตรวจพบ ทางเรือขนศพที่ชั้นใต้ดิน ตัวทางน้ำนั้นต่อเข้ากับอุโมงค์ธรรมชาติที่ทอดตัวยาวไปถึงทะเล หากแต่การจะไปถึงที่นั่นได้เราต้องผ่านส่วนที่เป็นคุกใต้ดินไปเสียก่อน


    หากเป็นช่วงเวลาปรกติ ช่องทางดังกล่าวจะมีการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด แต่จากผมเห็น กองเลือดกองใหญ่กับ ซากที่เหลือของผู้คุม ที่กระจัดกระจายอยู่ตลอดบันไดวน พอจะบอกได้ว่าทางข้างหน้านั้นสะดวกราบรื่นเพียงใด หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ พวกเราสามคนรีบเร่งลงไปอย่างเร็วเท่าที่จะทำได้ แต่อีกเพียงไม่กี่ชั้นจะถึงเรือแล้วนั่นเอง ร่างสีดำสามร่างก็เข้ามาขวางทางพวกเราไว้ เสื้อคลุมยาวดำ ไม้กาเขนเงิน กับชุดพระสีดำ พร้อมด้วยดาบเงิน เจ้าหน้าที่ศาสนจักรไม่ผิดแน่ พวกเขาสามคนมองมาที่พวกเรา พอดีกับตอนนั้นที่ลมร้อนจากเปลวไฟ พัดเอาผ้าที่ปิดบังร่างแวมไพร์เด็กสาว ปลิวหลุดไป


    ผมรู้ว่าจะอธิบายอะไรก็คงจะไม่น่าเชื่อถือเท่าไหร่ ปืนในมือผมเลยทำหน้าที่แทน แน่ล่ะว่าระหว่างเจ้าหน้าที่ศาสนจักร มือสังหารที่ฝึกพิเศษเพื่อกำจัดแวมไพร์ กับ ผู้คุมคุกธรรมดาๆ ฝ่ายไหนจะชำนาญการต่อสู้มากกว่ากัน เพียงพริบตาเดียวจากตำแหน่งเดิม เจ้าหน้าที่นายหนึ่งก็จ้วงดาบมาใส่ผม แต่ดาบนั้นถูกปัดออกด้วยกรงเล็บของแวมไพร์เด็กสาว ที่ตอนนี้กลายสภาพเป็นแวมไพร์สาวเต็มตัว เจ้าหน้าที่อีกสองคนเห็นดังนั้นก็ชักดาบของตนออกมา แต่ตัวผมกับโจเซ่ก็โดนเจ้าหล่อนชกตัวไว้ ก่อนจะทิ้งดิ่งผ่านคนทั้งสามลงไป แต่ทึ่งพอๆกันที่เห็นว่าเจ้าหน้าที่เหล่านั้นกลับกระโดดตามลงมาติดๆ ที่ระดับพื้นล่างสุด ตัวผมนั้นล้มกลิ้งกับพื้น โจเซ่เองก็เช่นกัน ส่วนทารกน้อยนั้นอยู่ในมือของแวมไพร์สาว ทารกน้อยร้องจ้า แต่เธอก็ค่อยๆกล่อมทารกน้อยให้สงบลง


    ผมมองไปเห็นเมื่อ แวมไพร์สาวยิ้มละไมให้ลูกของเธอ ก่อนจะมอบทารกให้ผม ก่อนที่ตัวเธอจะพุ่งเข้าหาเจ้าหน้าที่ทั้งสามคนนั้น เป็นโจเซ่ที่คว้าตัวผมไว้ตอนที่ เศษหินจากด้านบนร่วงหล่นลงมา พร้อมๆกับลูกไฟนับสิบที่หล่นมาพร้อมกับเศษไม้ติดไฟ ช่วยกันอย่างทุลักทุเลนำเรือบดลงทางน้ำ ก่อนจะรีบนำตัวเองและทารกขึ้นรือ ช่องทางนั้นถูกปิดไว้ด้วยซี่กรงเหล็ก แต่ตอนที่โจเซ่จะหมุนกลไกนั้นเอง ที่เขาพบว่ากลไกนั้นโดนทำลายไปแล้ว เขาตะโกนบอกผมตอนที่ ร่างไร้วิญญานของเจ้าหน้าที่สองนาย ตกลงถึงพื้นไม่ห่างจากพวกเรานัก และที่ลงมายืนประจันหน้าระหว่างพวกเรา เจ้าหน้าที่มีรอยแผลตามร่างกาย กับ แวมไพร์สาวที่แขนข้างหนึ่งขาดไป กับรอยแผลเปิดใหญ่ที่ทรวงอก ตอนนั้นไฟก็เริ่มที่จะลามลงมาถึงชั้นล่างเข้ามาทุกที การตัดสินของคู่ต่อสู้ทั้งสองจบลงไม่ถึงเสี้ยววินาที เมื่อได้ยืนขึ้นนกปืนของโจเซ่ เจ้าหน้าที่ซัดดาบของตนเข้าในระดับอกของแวมไพร์ ส่วนเจ้าหล่อนก็พุ่งเข้าใส่พร้อมกรงเล็บในมือ


    เกิดเสียงทะลวงขึ้น เมื่อทั้งสองคนไปสลับตำแหน่งกัน เป็นแวมไพร์สาวที่ทรุดตัวลงก่อน รอยแผลฟันใหญ่แทงเปิดช่องตรงทรวงอก ส่วนเจ้าหน้าที่แกหันกลับมายิ้มเยาะ ก่อนหัวกับตัวจะแยกล้มลงไปคนล่ะทาง จากสายผมบอกได้ว่าแวมไพร์สาวเธอไม่รอดแน่ แต่เธอก็ยังฝืนลากสังขารของตนไปที่ซี่กรงเหล็กที่กั้นทางน้ำ เสียงเคร้งดังขึ้นพร้อมกับกรงเล็บที่ฉีกขาดเป็นชิ้นๆ ไปเช่นเดียวกับซี่กรงเหล็กเหล่านั้น เมื่อเห็นว่าทางเปิดออกแล้ว เราสองคนก็ช่วยกันจ้ำเรือบดผ่านเข้าท่อน้ำไป ผมมองตอนที่โจเซ่พยายามจะส่งมือให้เจ้าหล่อน ผู้ที่ตอนนี้นอนผิงช่องทางน้ำ แต่เธอกลับกระซิบเบาๆเมื่อคานไม้ขนาดใหญ่ไฟลุกท่วมล่วงจากด้านบน ลงมากั้นกลางระหว่างเรือกับตัวเจ้าหล่อน นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมได้เห็นเธอ หรือ ภายในหอคอยแห่งนั้น ก่อนที่เรือของเราจะเร้นสู่เงามืดของท่อน้ำ โดยมีเสียงทะเลก้องห่างออกไปไม่ไกล




    หลังจากผ่านท่อน้ำทิ้งมาได้ กลิ่นเกลือแรกที่สัมผัสกับเสียงปะทุของเปลวไฟลูกใหญ่ ทำเอาเราสองคนต้องหันกลับไปมองหอคอยทมิฬ เปลวไฟสีแดงลุกโชนขึ้นจากช่องเปิดรอบหอคอย หอคอยที่คุไฟเริ่มที่จะเอียงอย่างเห็นได้ชัด เสียงลั่นของทั้งคานเหล็กและกำแพงหินดังมาถึงเรือพวกเรา ไม่นานหอคอยทั้งหลังก็เริ่มพังทะลายลง โจเซ่เบือนหน้าหนีเมื่อเห็นก้อนไฟขยับได้ กระโจนลงมาจากหอคอย พร้อมเสียงหวีดร้องสุดชีวิต ไม่ต้องพูดอะไรกันให้มากความ ผมรีบจ้ำใบพายโจเซ่ก็เช่นกัน เราไม่รู้จะต้องไปไหนแต่รู้อย่างเดียวว่าต้องรีบออกห่างเกาะให้มากที่สุด ก่อนที่เรือรบของพวกแวมไพร์ที่ล้อมเกาะไว้จะสังเกตุ


    ที่สุดแล้วพวกเราสองคนก็มาถึงยังทุ่นลอยด้านตะวันตก ห่างจากตัวเกาะมาร่วมๆสามกิโล แต่เปลวไฟยังส่องสว่างราวกับอาทิตย์อัศดงณขอบฟ้า เด็กชายร้องจ้า ผมต้องรับแกขึ้นมาปลอบ นั่นก็เป็นตอนที่พวกเราสองคนได้ยินเสียงประหลาดจากหอคอย หันไปมองตามก็เห็นช่วงจังหวะที่ตัวหอคอยพังทลายลงกับพื้น กลุ่มลูกไฟขนาดใหญ่พวยพุ่งขึ้นจากพื้น พร้อมกับแรงสั่นสะเทือน ในตอนนั้นเองที่ผมนึกถึงคำของชายแปลกหน้า ซองขาวที่ผมติดตัวไว้ตั้งแต่ตอนนั้น ผมแกะออกดู ภายในนั้นมีกระดาษขาวพิมพ์ด้วยอักษรแปลกๆ แต่ผมจะอ่านออกว่ามันเขียนถึงให้ไปยังทุ่นทิศตะวันตก ซึ่งทุ่นนั้นอยู่ห่างจากจนที่เราอยู่ไปไม่ไกลนัก สิ่งที่บรรจุในซองอีกอันเป็นแท่งเหล็กขนาด เท่านิ้วชี้ มีปุ่มกดที่ปลาย พอลองกดดูตามที่คำแนะนำเขียนไว้ เจ้าแท่งประหลาดนั้นก็เริ่มเรืองแสงที่ปลายสีแดง แต่ก็แค่นั้นไม่มีอะไรเกิดขึ้น


    พายเรือกันต่อจนมาถึงที่ทุ่นลอยตามตำแหน่งที่ระบุ หมอกเริ่มจับตัวในบริเวณดังกล่าว ลมหนาวเริ่มทำเอาพวกเราขนลุกซู่ มองขึ้นไปแสงจันทร์เงินส่องประกายลงมาอาบพื้นทะเลให้เป็นฟ้าทะมืนจางๆ คลื่นลมตอนนี้ค่อนข้างจะสงบอยู่พอควร มีเพียงแสงกระพริบจากแท่งเหล็กเท่านั้นที่ยังให้แสงสว่างนำทางกับพวกเรา โจเซ่ที่เริ่มใจเสียว่าควรที่จะกลับไปยังเกาะดีไหม แต่พอผมพูดเรื่องที่เราพึ่งทำลงไปเขาก็คิดได้ แน่ล่ะว่าการกลับไปตอนนี้เท่ากับเป็นการไปหาความตายชัดๆ ไม่นานกลุ่มหมอกก็ปกคลุมเรือของพวกเราไว้ และในตอนนั้นเอง ที่โจเซ่สังเกตุถึงอะไรบางอย่างกำลังใกล้เข้ามา ผมเองก็หันไปมอง วินาทีต่อมาเกิดเสียงดังวูบใหญ่ขึ้น แล้วเมื่อหมอกจางลง เรือบดลำน้อยก็ลอยเคว้งอยู่กลางทะเล โดยไม่มีวี่แววของผู้โดยสารบนนั้นให้เห็นอีกเลย



    =========================================​



    Innocent Blood



    ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่วันหนึ่งตัวคุณจะตื่นขึ้นมา แล้วพบว่าครึ่งชีวิตที่ผ่านมาของตัวเองมีแต่การหลอกลวงและเลือดที่เปื้อนมือชนิทไม่มีวันล้างออกจนวันตาย


    หลังจากนั้นสองสามเดือน ผมที่อยู่ในระหว่าการฝึกในกองทัพเรือสหภาพ ได้รับจดหมายไม่ลงทะเบียนฉบับหนึ่ง เป็นไอแวนที่ส่งข่าวมา ดูเหมือนว่าเขาจะกลายเป็นผู้ให้ข้อมูลคนใหม่ เนื้อความในจดหมายนั้นเล่าถึงชีวิตความเป็นอยู่ที่บ้านเกิดของพวกเราสามคน ดูเหมือนว่าครอบครัวของโจเซ่จะอาศัยช่วงที่ สถานจองจำถูกโจมตี หนีไปยังชายแดนทางใต้ ผ่านเกาะฮาวาน่า แล้วข้ามต่อไปยัง ราชอาณาจักรอเมโซเนีย โจเซ่เองก็ย้ายไปอยู่กับครอบครัวหลังจากนั้นไม่นาน ตอนนี้ทำงานช่วยในหน่วยงานพิทักษ์สิ่งแวดล้อมภาคพื้นทวีปอเมริกา ส่วนไอแวนนั้นหลังจากออกจากกองทัพเพราะปัญหาสุขภาพ ตอนนี้เขาก็ไปเปิดร้านเหล้าเล็กๆที่ชายแดนตะวันตก คอยหาข่าวจากนักเดินทางและทหารที่ประจำการอยู่ทางนั้น ในเนื้อจดหมายังมีรูปถ่ายตัวเขากับครอบครัวอีกด้วย ดูเหมือนตอนนี้ ไอแวนจะเป็นพ่อลูกสามไปเสียแล้ว

    ทั้งนี้ข่าวคราวจากสถานจองจำ ยังคงมีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ดูเหมือนว่าทางศาสนจักรจะเข้าไปดูแดสถานจองจำโดยตรง แทนที่ท่านพัศดีคนเก่า ที่เสียชีวิตไปพร้อมๆกับบุตรคนโตทั้งสองคน ส่วนบุตรชายคนเล็กนั้นเข้าร่วมกับศาสนจักร ในนามของ นาธาเรล เดลลา ฟรานเชีย นึกไปผมก็อดเศร้าใจไม่ได้เมื่อมารดาของเด็กหนุ่มเสียชีวิตระหว่างการคลอด แล้วทำให้ชีวิตของเขาต้องมาลงเอยเช่นนี้ ส่วนหอคอยก็ได้มีการสร้างใหม่ แม้จะไม่ใหญ่โตเท่าครั้งก่อนตาม แต่ก็ยังใช้เป็นที่คุมขังนักโทษเฉกเช่นในอดีต



    ที่อยู่ของผมเอง ก็อยู่ไม่ไกลจากที่ทำงานเก่านัก ได้รับรู้ข้อมูลจากช่วงการฝึกอบรม ความรู้ที่โรงเรียนทหารไม่เคยสอนไว้ พื้นที่ริมชายฝั่งตะวันออก ในส่วนที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของ สาธารณะรัฐ ไกอา Yellow Zone - 02 เขตฟื้นฟูในการดำเนินงานของบริษัท หากการฟื้นฟูสำเร็จลงซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาอย่างน้อย 10ปี พื้นที่ชายฝั่งแห่งนี้ ที่ครั้งหนึ่งเป็นที่แนวสันเขาหัวล้านกับพื้นดินปนทราย ที่ยังเป็นที่อาศัยของพวกผีดิบจำนวนไม่น้อย จะสามารถกลายเป็นเขตที่อยู่อาศัยสำหรับมนุษย์และไฮบริด Blue Zone เฉกเช่น ดินแดนด้านใต้สุดของทวีปนี้ ที่ซึ่งบางครั้งผมก็อดใจหายไม่ได้ว่า ชีวิตที่ผ่านมาของผมและประชาชนอีกนับล้านในจักรวรรดิ กลับหูตามืดบอดไม่เคยได้รับรู้เรื่องโลกภายนอกพวกนี้เลย


    ส่วนทารกน้อยถ้าจะสงสัย วันหลังจากที่พวกเราถูกช่วยขึ้นเรือไป ตามคำที่แวมไพร์สาวกระซิบกับผมในตอนนั้น ทางบริษัทตกลงว่าจะส่งทารกไปใช้ชีวิตในเขตอาณานิคมอเมริกา ด้วยประวัติและครอบครัวใหม่ พร้อมกับชื่อที่มารดาตั้งให้ ชายแปลกหน้าเองหลังจากรับทารกไปดูแล เจ้าตัวก็ตามทารกไปยังที่อยู่แห่งใหม่ในฐานะผู้คุ้มครอง ในตอนนั้นผมไม่ได้คิดเลยว่า ชะตาชีวิตของทารกน้อยผู้ที่ต่อมาจะได้เป็นตัวตั้งตัวตี ในการต่อสู้กับศาสนจักร ที่ในเวลาต่อมาจะเสื่อมถอย ตกต่ำจากตัวระบบของมันเอง


    ความคิดที่จะย้ายไปอยู่เขตอื่น เคยเข้ามาในหัวผมอยู่ช่วงหนึ่ง ด้วยความรุนแรงที่ขยายตัวมากขึ้นทั้งจาก อดีตสาธารณรัฐไกอาก็ดี หรือ ผลพวงจากสงครามระหว่างจักรวรรดิ และ อาณาจักรโครเวนเซียส ในน่านน้ำทะเลเหนือก็ตาม คำเตือนถึงเจ้าหน้าที่และพลเรือนในเขตที่ผมอาศัยอยู่ ถึงการอพยพกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินทำเอาหลายครอบครัวย้ายออกไปจากเขตนี้เป็นจำนวนมาก คงเหลือไว้แต่หน่วยติดอาวุธกับเจ้าหน้าที่ที่จำเป็น ซึ่งก็มีหน่วยของผมกับ หน่วยทหารติดอาวุธของบริษัท อีกจำนวนหนึ่ง

    แม้จะไม่มีคำสั่งห้ามย้ายออกหรือกระทั่งอณุญาตให้ย้ายเขตได้ก็ตาม แต่ผมก็ตัดสินใจไปว่าแล้ว อย่างน้อยถึงจะไม่สามารถแก้ไขสิ่งที่ทำไปแล้ว แต่อย่างน้อยการที่ผมยังอยู่ในเขตนี้ และ คอยช่วยผู้หลบหนีจากคุกนรกนั่น ก็พอจะช่วยเบาบางความรู้สึกผิดลงได้ และเพื่อคำสัญญาที่ผมได้ให้ไว้กับเพื่อนในกลุ่ม จะใช้ชีวิตแทนในส่วนที่พวกเขาไม่อาจมีได้ และ สักวันในวันหนึ่ง คนรุ่นลูกรุ่นหลานจะมองย้อนกลับมา เพื่อตระหนักว่าพ่อแม่ของพวกเขา ได้เสียสละเพื่ออนาคตของพวกเขามากเพียงใด?....



    .....​




    อ้างอิงบันทึกความทรงจำของ : ร้อยตรี โอเล็ค เดรสเนอร์ / หัวหน้าหน่วยข่าวกรองและผู้ประสานงานข้อมูลข่าวสาร / สถานะภาพ:ปฎิบัติการณ์
    วันที่บันทึก 16 มกราคม 1800
    Y-02 / เขตที่อยู่อาศัย Freetown / ฐานปฎิบัติการณ์และฟื้นฟูแนวหน้า [ดีทรีช]


    -- Page 2/2 --​
  8. Ryuto

    Ryuto 終わる道、始まる夢

    EXP:
    964
    ถูกใจที่ได้รับ:
    16
    คะแนน Trophy:
    88
    Re: +++ The Last Kingdom : Fall of Man +++ / update Vol. 5.0

    เข้ามานั่งชมพลางปูเสื่อรอ ฟิคแนวนี้หายากนะครับผมว่า

    กำลังไล่อ่านเรื่อยๆครับ^^"
  9. derick

    derick Member

    EXP:
    339
    ถูกใจที่ได้รับ:
    1
    คะแนน Trophy:
    18
    Re: +++ The Last Kingdom : Fall of Man +++ / update Vol. 5.0

    สุดยอดอ่ะ....=[]=...

    ผมรู้สึกเหมือนผมอ่านบันทึกจากเหตุการณ์ที่มันน่าจะเกิดขึ้นได้จริง ๆ เลยนะ ตอนแรกอ่านมาเรื่อย ๆ ก็ไม่อะไรเท่าไหร่ แต่พอมาเจอเด็กสาวที่คลอดลูกอ่ะ แม่เจ้า...มันคือความเป็นไปได้ที่ตั้งอยู่บนพื้นของความเป็นจริงโคตร ๆ

    อ๊าก......อยากรู้ว่าเด็กคนนั้นเป็นใคร เห็นว่ามีบทบาทสำคัญในอนาคตด้วย อ่อก...อยากรู้ อยากอ่านต่อครับ

    มีคำที่ดูเหมือนจะตกหล่นไปบ้างนะ ผมไม่แน่ใจ

    รออ่านต่อครับ ><b
  10. jimkung

    jimkung Member

    EXP:
    261
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    16
    Re: +++ The Last Kingdom : Fall of Man +++ / update Vol. 5.0

    เนื้อหาเข้มข้นสมจริง ผมไม่ค่อยได้อ่านบันทึกประวัติศาสตร์นะครับ แต่ถ้าไม่รู้ว่านี่คือฟิคชั่น
    ผมจะนึกว่าฟิคนี้คือนิยายอิงประวัติศาสตร์เลยทีเดียว ชอบมากครับ - -+
    ในตอนนี้แวมไพร์เด็กสาว?ที่คลอดลูกออกมา ได้ใจผมไปเต็มๆ ชอบเธอมากครับ ชอบคาแรคเตอร์นี่มาก
    ยิ่งตอนการกระทำที่เธอทำเหมือนตอบแทนบุญคุณ และความอ่อนโยนที่ให้กับลูกนั่นน่ะ ทำให้ผมซึ้งมากมาย

    พยายามเข้านะครับ ผมเชียร์ๆๆๆๆ อยากอ่านต่อมากกกกกกกกกกที่สุดเลยคร้าบบบบ
  11. jamejaeja

    jamejaeja แม่มดคำสาปมรณะ

    EXP:
    119
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    16
    Re: +++ The Last Kingdom : Fall of Man +++ / update Vol. 5.0

    จุใจเลยคร้า

    สุดยอด มาแต่ละทีไม่เสียทีเลยที่อ่าน

    รอตอนหน้าอยู่จ๊ะ
  12. Fujizaki

    Fujizaki New Member

    EXP:
    17
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    1
    Re: +++ The Last Kingdom : Fall of Man +++ / update Vol. 5.0

    โห มาอ่านอีกที รอบนี้มาแบบเข้มสุดๆ
  13. kiro

    kiro Member

    EXP:
    62
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    6
    Re: +++ The Last Kingdom : Fall of Man +++ / update Vol. 5.0

    นาธาเรลเรามีชื่อในบันทึกอีกแล้ว~

    การดำเนินเรื่องโดยเล่าผ่านบันทึกความจำของคนๆหนึ่งในเหตุการณ์นั้นน่าสนใจดีมากครับ

    ให้ความรู้สึกที่แปลกใหม่ เนื้อเรื่องก็น่าติดตามต่อ
  14. shinkyoto

    shinkyoto Well-Known Member

    EXP:
    580
    ถูกใจที่ได้รับ:
    3
    คะแนน Trophy:
    88
    Re: +++ The Last Kingdom : Fall of Man +++ / update Vol. 5.0

    แฟ้มข้อมูล ชั้นความลับ C-001 : Zone AREA

    หมวดหมู่ : สภาวะแวดล้อม และ สถานะการเมืองระหว่างรัฐ






    Yellow Zone (เขตอันตราย)


    แม้ว่าการแพร่ระบาดของเชื้อในโซนที่เรียกกันอย่างเป็นทางการว่า "เขตอันตราย" จะอยู่ในระดับที่เป็นอันตรายตามชื่อของมัน กระนั้น 80%ของประชากรโลกก็อยู่อาศัยในเขตที่ว่านี้แทบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น เนเชอรัล หรือ เมซัวร่า ก็ตาม

    สภาพทางภูมิศาสตร์ทั่วไปของ "เขตอันตราย" พอจะกล่าวสรุปได้ว่า รกร้าง ป่าเถื่อน ทรุดโทรม และ อาณาธิปไตย สุดขั้ว สภาพอากาศแปรปรวนไม่สามารถคาดเดาได้ พายุทรายเกิดขึ้นเป็นประจำ พายุไต้ฝุ่นทำลายอะไรก็ตามที่ไม่ได้ตอกตะปูติดกับพื้น น้ำท่วมฉับพลันมาควบคู่กับภาวะแล้งน้ำหลายปีให้หลัง ป่าไม้ตายซากไปนานแล้ว แม่น้ำลำคลองตื้นเขิน เขตทะเลทรายแผ่ขยาย และผู้ติดเชื้อจำนวนไม่น้อยที่เตรดเตร่อยุ่ในเมืองร้าง และ เส้นทางต่างๆ ตระเวณหาเหยื่อไปวันๆ กล่าวได้ว่าเป็นสภาพที่ไม่เอื้อต่อการดำรงชีวิตอย่างที่สุด (หากไม่นับ เขตวิกฤิตด้วย)



    ชีวิตประจำวันใน เขตอันตราย สิ่งที่ประชากรที่อาศัยอยู่จะต้องประสบอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน บ้านเรือนส่วนใหญ่นั้นไม่มีน้ำสำหรับอุปโภค บริโภคที่เพียงพอ เชื้อเพลิงสำหรับสร้างความอบอุ่นและทำอาหาร ในหลายกรณีต้องใช้ระบบปันส่วนจากของที่มีอยู่อย่างจำขัดจำเขียด เสบียง ของหายาก กับ เวชภัณฑ์ที่หายากกว่า ความปลอดภัยในชีวิตเองก็เป็นสิ่งที่หาหลักประกันได้น้อยยิ่งเช่นกัน ทั่วไปหากไม่เจอกับผู้ติดเชื้อ หรือ สัตว์ติดเชื้อ คุณก็อาจจะเข้าไปเป็นเหยื่ออีกรายของสงครามระหว่างแก็งค์อาชญากรรม และหากคุณเป็นเนเชอรัล ก็พึงจะต้องระวังตัวจากพวก เมซัวร่า ที่ออกหาเหยื่อในเวลากลางคืนไว้ด้วย

    เมืองในเขตอันตราย ส่วนมากจะถูกปล่อยทิ้งรกร้าง อาคารหลายหลังขาดการดูแล ผุพังไปตามอายุขัย ถนนถูกกลืนไปกับผืนทรายและน้ำทะเล เมืองจำนวนไม่น้อยที่จมอยู่ใต้ทะเล มีเพียงจำนวนไม่มากที่สามารถใช้อาศัยอยู่ได้ แต่เมืองพวกนั้นก็กลายสภาพเป็นแหล่งชุมนุมของพวกคนนอกศาสนาและนอกกฎหมาย หรือไม่ก็ถูกปกครองจาก องค์กรอาชญากรรม ขุนศึก หรือ อยู่ในภาวะอาณาธิปไตยไปเสียสิ้น

    กระนั้นจากเมืองในจำนวนนับร้อยนับพันเมืองที่กระจายไปทั่วเขตอันตราย ก็มีเมืองจำนวนหนึ่งที่สามารถตั้งตัวออกจากสภาพบ้านป่าเมืองเถื่อน ฟื้นฟูจนสามารถเรียกความเป็นอารยะกลับคืนมาได้ เมืองพวกนั้นส่วนหนึ่งจะเป็นเมืองที่อยู่ใกล้กับ เขตปลอดภัย ที่ทำเสมือนหนึ่งเป็นตัวแทนของผู้มีอำนาจในเขตปลอดภัยเหล่านั้น ต่อเมืองอื่นๆในเขตอันตราย แต่ส่วนใหญ่ โดยเฉพาะเมืองที่ถูกปกครองโดยพวก เมซัวร่านั้น จะลงเอยด้วยการก่อตั้งเป็นนครรัฐของพวกตนขึ้นมาแทน ดั่งเช่นตัวอย่างที่มีให้เห็นในปัจจุบัน


    ทั้งนี้ ด้วยความช่วยเหลือส่วนใหญ่ที่มีต่อประชากรในเขตดังกล่าว ล้วนดำเนินการโดยคนของ สหพันธรัฐ ใช้สถานะภาพและชื่อเสียงของตน รวบรวมผู้คนที่กระจัดกระจายให้รวมเป็นหนึ่ง จัดหา อาหาร ยารักษาโรค การศึกษา และ ที่อยู่อาศัยให้ กับการทำงานอย่างไม่ลดล่ะเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชากรในเขตดังกล่าว ทำให้ ประชาชนส่วนใหญ่ให้ความสนับสนุนต่อสหพันธรัฐ มากกว่าที่จะให้ กับฝ่าย จักรวรรดิ ผู้ที่ในช่วงเวลาที่ผ่านมา จ้องจะประหัตประหารชีวิตใดๆที่มิได้ศิโรราบต่อการปกครองของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นเมซัวร่าหรือเนเชอรัลก็ตามที


    รายชื่อของเขตอันตราย (หลังปี 1800)

    [​IMG]

    Y-01 : Siberia
    Y-02 : West Cost Africa
    Y-03 : North Gaia
    Y-04 : East Gaia
    Y-05 : South Gaia
    Y-06 : North Iria Aternalis
    Y-07 : South Iria Aternalis
    Y-08 : Korventchent
    Y-09 : Eastern Gaia
    Y-10 : Ocenia
    Y-11 : Formosa
    Y-12 : East Eurasia
    Y-13 : East Human Empire
    Y-14 : West Human Empire
    Y-15 : Amezonia
    Y-16 : Green Land


    กลุ่มอำนาจใหม่

    จากผลของการล่มสลายทางสังคมกันเป็นทอดๆ อำนาจของรัฐบาลในเขตต่างๆที่หายไป ทำให้เกิดสภาพอาณาธิปไตยขึ้นทุกย่อมหญ้า (ที่ซึ่งจะสามารถพอจะอาศัยอยู่ได้) ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป การปรากฎขึ้นของกลุ่มอำนาจใหม่ โดยมีผู้ที่เรียกตัวเองว่าเมซัวร่าเป็นแกนหลัก ได้ก่อให้เกิดเขตอิทธิพลภายใต้การปกครองของผู้นำแต่ล่ะฝ่าย แยกย่อยจากที่เคยมีเป็นสิบๆกลุ่ม ผ่านการต่อสู้แย่งชิงอำนาจ จนมาเหลือเพียง กลุ่มอำนาจห้ากลุ่มที่ในเวลาต่อมา ได้สถาปณารัฐของตนขึ้น มาในที่สุด



    The Kingdom of Korventchent

    [​IMG]

    ผู้ปกครองคนปัจจุบัน : เรย์โนอาร์ เวอร์ซีเรอารัส โครเวนท์เชนท์ ที่13 [Reinoar Versirearus Korventchent XIII]

    เขตปกครอง(โซน) : Y-08

    จำนวนประชากรโดยประมาณ : 38ล้านคน

    เมืองหลวง : Necropolis


    ราชอาณาจักรที่ปกครองผ่านหนึ่งในตระกูลเมซัวร่าที่เก่าแก่เป็นอันดับต้นๆ จากผู้นำคนแรกสุด [อังเดร ดีเอส โครเวนท์เชนท์] เริ่มจากเป็นเพียงนครรัฐเล็กๆจากคาบสมุทรบอลข่าน ในปี 1600 เจ้าตระกูลได้นำกองกำลังของตนบุกเข้าโจมตีขั้นแตกหักกับจักรวรรดิ ในช่วงเวลาของสงครามร้อยปี ผ่านศึกสงครามย่อยนับไม่ถ้วน กับการรบใหญ่ 5ครั้ง จากที่เป็นเพียงนครรัฐเล็กๆ เหล่ากษัตริย์องค์ต่อๆมาได้แผ่ขยายอำนาจและเส้นขอบฟ้าของอาณาจักรไปไกลถึงทะเลเหนือ จรดทะเลทรายภาคใต้ กระนั้นความสูญเสียก็สาหัสยิ่งนัก ภายในระยะเวลาเพียง100ปีแรกของการทำสงคราม ต้องสังเวยชีวิตของเหล่ากษัตริย์ไปถึง 12องค์ จนการขึ้นครองราชของ ผู้นำของตระกูลคนต่อมา [เรย์โนอาร์ เวอร์ซีเรอารัส โครเวนท์เชนท์] หลายสายตรงลำดับที่ห้าของจ้าวตระกูลคนแรก

    ด้วยขึ้นครองราชหลังสงครามกลางเมืองมอสโกเวียผ่านไปได้ไม่ถึงทศวรรษ แต่พระองค์กลับนำพาอาณาจักรเข้าสู่ภาวะทรงตัวระหว่างสงครามได้เป็นที่น่าประทับใจ แม้จากสายตาของผู้สังเกตุการณ์หลายฝ่าย ทว่าเส้นทางการปกครองของพระองค์นั้นกลับมีแต่การนองเลือด แม้จะนำพาความสงบภายในมาสู่อาณาจักรได้ แต่จากภัยสงครามทั้งจากจักรวรรดิ และ อาณาจักรข้างเคียง โดยเฉพาะ จากเหล่าโจรสลัดทางภายใต้ ทำให้100ปีภายใต้การปกครองของกษัตริย์องค์นี้ แม้จะดูระส่ำระสายไปบ้าง แต่โดยรวมนับว่ากษัตริย์องค์นี้ มีทักษะที่จำเป็นในการนำพาประเทศของตนผ่านช่วงกลียุคมาได้เป็นผลสำเร็จ


    สถานการณ์ปัจจุบัน : ด้วยผลของ เขตวิกฤิต ที่ขยายตัวในอัตราน่าเป็นห่วงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา (เพื่มขึ้น 3%ต่อปี ปัจจุบันอาณาจักรเสียพื้นไปแล้วคิดเป็น 37%ของพื้นที่ทั้งหมด ) ทำให้เกิดความเป็นกังวลถึงการเตรียมความพร้อมในกรณีที่จำเป็นที่อาจต้องย้ายเมืองหลวง ในช่วงเวลาไม่กี่สิบปีข้างหน้านี้ ทั้งปัญหาแหล่งน้ำสะอาดขาดแคลนจากฝนทิ้งช่วงในตอนกลางของประเทศ (ใกล้กับพรมแดน เขตวิกฤิต) เพิ่มแรงกดดันให้กับผู้ปกครองคนปัจจุบันเป็นอย่างมาก






    The Most Serene Republic of Iria Aternalis

    [​IMG]

    ผู้ปกครองคนปัจจุบัน : โจชัว ลิคเทนดัล (Joshua Lichtendahl)

    เขตปกครอง(โซน) : Y-06 , Y-07

    จำนวนประชากรโดยประมาณ : 41ล้าน

    เมืองหลวงปัจจุบัน : City state of Aternalis


    ในฐานะที่เป็นเพื่อนบ้านใหญ่ที่สุดที่ติดกับจักรวรรดิ [สาธารณรัฐ อิลเรีย เอเทอนัลลิส] และ ในฐานะที่เป็นสมรภูมิหลักในสงครามร้อยปี ช่วงระหว่างสงครามอาณานิคมสองครั้งหลัง กับสภาพพื้นที่ส่วนใหญ่ที่ถูกทำลายจากไฟสงคราม แม้จะเป็นประเทศเกิดใหม่ (ก่อตั้งปี 1755 ประกาศเอกราชปี 1760) แต่การที่สามารถเอาตัวรอดจากสงครามร้อยปีมาได้ โดยไม่ล่มสลายหรือโดนกลืนกินไปเช่นรัฐเพื่อนบ้านจำนวนมาก เป็นข้อพิสูจน์ถึงประสิทธืภาพรัฐบาลพลเรือน ที่ก่อตั้งและเข้ากุมอำนาจปกครองประเทศนี้มาร่วม หนึ่งศตวรรษ โดยการนำของผู้นำที่มีวิสัยทัศน์อย่าง โจชัว ลิคเทนดัล (Joshua Lichtendahl)


    จากสามัญชน เมซัวร่า มาถึงนักปฎิวัติผู้ที่เป็นที่ชื่นชมและกังขามากที่สุดคนหนึ่งในช่วงสงครามร้อยปี กับบทบาทที่หลายคนมองว่าเป็นแบบอย่างของคนหัวก้าวหน้า ในขณะที่อีกส่วนมองว่าเป็นปรากฎการณ์การเสื่อมลงของระบบชนชั้น ในสังคมเมซัวร่า แม้ว่าจะรับตำแหน่งเป็นเพียงผู้ช่วยผู้พิทักษ์ (ตำแหน่งสูงสุดในรัฐบาล) ถึงจะไม่เป็นรับรู้ของสาธารณะชน แต่คนในของรัฐบาลทราบด้วยเนื้อแท้ของข้อเท็จจริงว่า อำนาจการตัดสินในเรื่องต่างๆนั้นขึ้นอยู่กับคนๆนี้คนเดียว ถึงนโยบายการไม่รุกรานใคร และไม่ยอมให้ใครมารุกรานของ ผู้นำเบื้องหลังคนนี้จะประสบผลเป็นอย่างดีในช่วงสงคราม ทว่าสภาพการณ์เมื่อสิ้นสงครามกลับกลายเป็นว่านโยบายดังกล่าวกลับสร้างเงื่อนไขที่เหล่าผู้นำก็ไม่รู้จะแก้อย่างไรขึ้นมาแทน (แม้สงครามภายนอกจากจะหย่าศึกกันได้ แต่ความไม่สงบภายใน ประกอบกับสภาพ เศรษกิฐตกต่ำหลังสงครามกลับบั่นทอนความเข้มแข็งของประเทศลงอย่างมาก ) จนถึงกับทำให้เกิดข่าวลือหนาหูในระยะหลัง ถึงการพยายามแย่งชิงตำแหน่งผู้ปกครองสูงสุดระหว่างคนในรัฐบาลด้วยกันเอง




    สถานะปัจจุบัน : ในปัจจุบัน สาธารณรัฐที่มีประชากรร่วม 26ล้านชีวิตแห่งนี้ ยังคงติดอันดับหนึ่งในตารางของเขตประสบภัยพิบัติประจำปี พื้นที่กว่า 55%กลายสภาพเป็น เขตวิกฤิต ด้วยไร้วิธีที่มีประสิทธิภาพในการจัดการกับ การขยายตัวของเขตวิกฤต กับการย้ายเมืองหลวงขึ้นไปทางตะวันออกเฉียงเหนือเรื่อยๆ (เพื่อให้พ้นจากการขยายตัวของเขตวิกฤิต) ทำให้ในระยะหลังมานี้ แม้จะมีการสงบศึกชั่วคราวกับจักรวรรดิ ในข้อตกลงหลัง [สงครามสามฝ่าย 1839 - 1840] แต่ก็เลี่ยงไม่พ้นที่ประชากรชายแดนของทั้งสองฝ่ายจะมีบาดหมางกันหนักข้อขึ้นทุกวัน และหลายครั้งที่ความบาดหมางจบลงด้วยความรุนแรง ที่ก่อหวอดเป็นการต่อสู้เล็กใหญ่อย่างเลี่ยงไม่ได้

    ล่าสุดขบวนการเคลื่อนไหวแบ่งแยกดินแดนภาคใต้ของประเทศพยายาที่จะแยกตัวเป็นเอกราชในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จากสาเหตุที่รัฐบาลไม่สามารถควบคุมส่วนภาคใต้ที่แยกจากส่วนเหนือได้อย่างเต็มกำลัง ประกอบการดูแลเอาใจใส่ดินแดนส่วนนี้ที่บกพร่องไปมาก จากปัญหา เขตวิกฤิตทางภาคกลางของประเทศ ทำให้เกิดเสียงไม่พอใจในหมู่ประชากรภาคใต้เป็นอย่างมาก



    Republic of Gaia

    กลุ่มปกครองปัจจุบัน / ผู้นำกลุ่ม / เขตปกครอง(โซน)

    Gaia Leberation Army : โอเล็ค เดรสเนอร์ : Y-02 , Y-03

    The Dark Symphonia : ลูน่า เฮฟทิก เอเทอร์เฟีย : Y-04

    Free State of Persia : อีฟรีส อัล เซอรเซีย : Y-09

    Middle Kingdom of Moraria : แซงซัส ลูเซียโน่ ที่1 : Y-05


    จำนวนประชากรโดยประมาณ : 20ล้าน (การสำรวจปี 1750)

    เมืองหลวงปัจจุบัน : Special Economic Zone of FreeTown

    เมืองหลวงเก่า : Aterria


    หากเราเปรียบเทียบรัฐๆหนึ่งเสมือนเป็นอาหาร สาธารณรัฐไกอา ก็คงเปรียบประหนึ่งสตูลหม้อใหญ่ที่ปรุงโดยพ่อครัวสี่คน โดยต่างคนก็ต่างจะปรุงรสในแบบของตัวเองโดยไม่สนว่าจะทำให้รสชาติสตูลในหม้อเละเทะเพียงใด(จะแยกหม้อทำก็ไม่ทำ ยังรั้นที่จะแย่งกันทำในหม้อเดียวกันอีก) นั้นคือคำเปรียบที่ตรงกับสภาพปัจจุบันของอดีตรัฐแห่งนี้ได้ดีที่สุด


    ในประวัติศาสตร์แล้ว สาธารณรัฐไกอา ถือว่าเป็นประเทศที่มีประวัติการก่อตั้งประเทศ นับย้อนกลับไปได้ร่วมๆ 700ปี ก่อนหน้าสงครามร้อยปี ไปไกลก่อนที่จะมีจักรวรรดิ และ ระบบสภาขุนางเมซัวร่า ไปยั้งยุคที่ยังไม่มีการแบ่งโซนเกิดขึ้น กระนั้นบทบาทของชาติที่มีอดีตรุ่งเรืองเช่นนี้ในปัจจุบันต่อประเทศเพื่อนบ้าน ก็ยังมีอยู่ถึงจะในรูปแบบที่ต่างออกไปจากเดิม ตั้งแต่การล่มสลายของระบอบกษัตริย์เมื่อ 400ปีก่อนหน้า บรรดารัฐบริวารใหญ่น้อยต่างก็กระด้างกระเดื่องต่อเมืองหลวง เหล่าขุนนางต่างพากันตั้งตนเป็นใหญ่ การต่อสู้แย่งชิงอำนาจนำไปสู่สงครามกลางเมืองนับร้อยๆปี ทำลายบ้านเมือง ระบบการปกครอง และ ระบบสังคมพื้นฐานลงอย่างสิ้นเชิง (และยังเป็นสาเหตุใหญ่ของการเกิด เขตวิกฤิต ของประเทศนี้ในเวลาต่อมาด้วย)


    ความหลากหลายของฝ่ายและกลุ่มอำนาจ มิได้มีแต่ประชากรดั้งเดิมเท่านั้นที่เข้าต่อสู้ แต่สาธารณรัฐไกอา อย่างชื่อเรียกที่รัฐบาลกลาง (ตั้งขึ้นโดยรัฐบาลสหพันธรัฐ ในปี 1790 หลังการสงบศึกของ ราชอาณาจักรโครเวนท์เชนท์ กับ กองทัพปลดปล่อยไกอา ในสงครามสเปน ช่วงระหว่างปี 1774 - 1788) ที่ปัจจุบันปกครองเขตทะเลทรายตอนเหนือและภาคตะวันตกบางส่วน หากแต่ยังมีกองกำลังและกลุ่มอำนาจอีกหลายกลุ่ม ที่หากไม่ได้รับการสนับสนุนทางอ้อม ก็ได้รับการสนับสนุนทางลับจากบรรดา ประเทศเพื่อนบ้านทั้งสิ้น


    ราชอาณาจักรกลางโมราเรีย คงไม่อาจตั้งอาณาจักรของตัวเองได้ ถ้าไม่ได้ยุทธปัจจัยจาก อาณาจักรอเมโซเนีย (ทหารนายกองหลายคนในกองทัพ โมราเรียเองก็มีเชื้อสายมาจาก อเมโซเนียทั้งสิ้น) รัฐอิสระเปอร์เซีย ที่มีดีแค่จุดยุทธศาสตร์ ที่เป็นแนวเทือกเขาแต่ขาดเสบียงกรังทำศึก ก็ได้รับการสงเคราะห์เรื่องเสบียงจากกองกำลังไม่ทราบฝ่าย ที่ข้ามมาจากชายแดน โครเวนท็เชนท์ แม้แต่ กองทัพปลดปล่อยไกอาเอง ก็คงไม่อาจบรรลุข้อตกลงหยุดยิง และ ได้รับเงื่อนไขในการตั้งรัฐบาลกลาง จากสหพันธรัฐได้ หากไม่ได้รับการเห็นชอบและสนับสนุนของ ฝ่ายสหภาพ ที่ระดับผู้บริหารกิจการต่างประเทศสหภาพ มีเรื่องเกี่ยวพันผลประโยชน์ในสัมปทานเมืองแร่ ในเขตชายฝั่งตะวันตกของเขตปกครองกองทัพปลดปล่อย ซึ่งในที่นี้ยังไม่รวมถึงกลุ่มพ่อค้าของผิดกฏหมาย ที่ตั้งตนเป็นประหนึ่งเจ้าเมือง ใช้หัวเมืองห่างไกลเป็นประหนึ่งฐานบัญชาการอาณาจักรธุรกิจของตน อย่างเป็นล่ำเป็นสัน อีกนับสิบๆกลุ่ม


    กระนั้นกลุ่มของอดีตเชื้อสายราชวงศ์ที่ปกครองประเทศนี้มาในอดีตอย่าง ซิมโฟนี่แห่งความมืด ก็ดูจะเป็นกลุ่มอำนาจเดียวที่ไม่ได้พึ่งผิงหรือเป็นหุ่นชักใยของประเทศเพื่อนบ้านเหมือนอย่างกับกลุ่มอื่นๆ แม้ว่าจะโดนตราหน้าจากรัฐบาลกลางว่าเป็นกลุ่มกบฎ แต่ด้วยมีเสียงสนับสนุนจากประชากรในบริเวณแทบทะเลแดงเป็นสำคัญ ทำให้อาณาเขตดังกล่าวกลายเป็นพื้นที่มั่นสำคัญ ในการฟื้นฟูอาณาจักรดั่งที่ผู้นำกลุ่มได้สาบานเอาไว้ ต่อหน้าที่ประชุม ในการเจรจา5ฝ่าย ในตอนที่มีการคัดเลือกให้ กลุ่มกองกำลังปลดปล่อยได้เป็นรัฐบาลกลาง เมื่อครั้งกาลก่อน



    สถานะปัจจุบัน : นอกจากสงครามกลางเมืองที่ดำเนินมาร่วมๆ 400ร้อยปีกว่า (และยังไม่มีทีท่าว่าจะสงบในเร็วๆนี้) ปัญหาเรื่อง เขตวิกฤิต ก็เป็นปัญหาเช่นเดียวกับที่ประเทศอื่นประสบ หลักๆแล้วในดินแดนที่หาคำว่าสันติภาพและความปรองดอง ได้ยากเสียยิ่งกว่าหาน้ำสะอาดสักแก้วหนึ่ง (ของที่หาง่ายที่สุด ประชาชนส่วนใหญ่ (ที่ส่วนมากก็เป็นเมซัวร่าทั้งสิ้น) ต่างก็ต้องก้มหน้ารับความทุกข์ยากต่อไปอย่างหลีกเลี่ยงเสียไม่ได้





    Kingdom of Amezonia

    [​IMG]

    ผู้ปกครองคนปัจจุบัน : ดิวล่อน เฟย์ อลันซาเนียร์

    เขตปกครอง(โซน) : Y-15 , B-08

    จำนวนประชากรโดยประมาณ : 32ล้าน

    เมืองหลวง : Pendragon


    การที่ประเทศหนึ่งๆจะเปิดรับไมตรีจากประเทศใดๆสักประเทศนั้น ต้องคำนึงถึงด้วยว่าสถานการณ์ประเทศเพื่อนบ้านตอนนั้นเป็นอย่างไร? ราชอาณาจักรอเมโซเนี่ย แม้จะไม่ได้มีประวัติศาสตร์ยาวนานอย่าง สาธารณรัฐไกอา หรือจะมีกษัตริย์เข้มแข็งอย่าง โครเวนท์เชนท์ กระทั่งประเทศที่เจ้าของคือประชาชนอย่างอิลเรีย เอเทอนัลลิส กระนั้นด้่วยสภาพภูมิศาสตร์ที่เรียกได้ว่าอยู่ในจุดกระอั่กกระอ่วน ทำให้อาณาจักรแห่งนี้มีลักษณะความเฉพาะตัวบางอย่าง ที่ประเทศอื่นไม่มี


    แม้จะว่าชื่อประเทศจะเป็นอาณาจักร และมีระบบการปกครองในรูปของ สภากึ่งราชาธิปไตย มาตั้งแต่สมัยการก่อตั้งชาติดังกล่าว เมื่อช่วงปลายของสงคราม จักรวรรดิ สหพันธรัฐครั้งที่1 [ 1616-1698 ] แต่ด้วยการที่รายได้หลักของประเทศมากจากอุตสาหกรรมเหมืองแร่และการเกษตร (เป็นหนึ่งในไม่กี่ที่ ในเขตอันตราย ที่สภาพแวลล้อมยังพอจะเอื้ออำนวยต่อการเกษตรและปสุสัตว์) ทำให้ประชากรส่วนใหญ่มีสภาพความเป็นอยู่ไม่ได้ดีไปกว่า สมัยที่ยังไม่มีอาณาจักรมากนัก ระบบสภาเองก็มีแต่ผู้อาวุโสจำนวนหนึ่ง กับ ระบอบราชาธิปไตยที่มีองค์ประมุขรัฐไร้ความสามารถ ที่ไม่ว่าสภาจะว่ายังไงพระองค์ก็ว่าตามนั้นไปเสียทุกเรื่อง เลยกลายเป็นความทุกข์มหาศาลของเหล่าประชาชนที่ สภาอาวุโสทำตัวประหนึ่งเป็นเจ้าของอาณาจักร เริ่มใช้อำนาจบาตรใหญ่ ใช้อำนาจตามใจชอบ สร้างความไม่พอใจแกประชาชนส่วนใหญ่ที่ได้รับผลกระทบจาก การใช้อำนาจไม่เป็นธรรมของเหล่า สมาชิกสภาทั้งหลาย แต่ว่าการเข้ามาของพ่อค้าชาวสหภาพในปี 1765 ในช่วงสงครามกลางเมืองสหพันธรัฐ พร้อมกับเรือดำ กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในประวัติศาสตร์ชาติดังกล่าว


    ตอนแรกนั้น เป็นความคิดดูถูกและหยิ่งผยองของเหล่า เมซัวร่า ในสภาสูงที่มีต่อ พ่อค้าเนเชอรัลจากแดนไกล แต่ก่อนที่พวกตนจะได้ทำอะไร ชาติเอกราชหนึงก็กลายสภาพเป็น เมืองขึ้นของคนแปลกหน้าไปในไม่กี่ชั่วโมง ในสงคราม6ชั่วโมง อย่างที่ได้เรียกกันในเวลาต่อมา ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นทันทีที่ผู้รุกรานมีชัยเหนืออาณาจักรดังกล่าว ในความพินาศย่อยยับของเมืองหลวง ระบอบสภาที่ สมาชิกอาวุโสส่วนใหญ่ถูกกวาดเรียบ เหลือไว้เพียงผู้ที่ยอมจำนนต่อกองทหารของพ่อค้าคนดังกล่าว และ เชื้อพระวงศ์สองสามคน ถูกแทนที่ด้วย สภาร่วมที่ผู้รุกรานจัดตั้งขึ้นปกป้องผลประโยชน์ของตนในเขตยึดครอง แม้ช่วงของการปกครองโดยผู้รุกรานจะกินเวลาเพียง 20ปี กระนั้นความรู้แท้จริงที่ผู้รุกรานนำมาต่างหาก ที่ช่วยพัฒนาประเทศยากจนแห่งนี้ ให้ขึ้นมาถึงระดับที่แม้จะไม่ทัดเทียมเท่าสหภาพ แต่ก็มีสภาพดีกว่าประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆมาก (เป็นประเทศแรกในสหพันธรัฐ ที่สามารถฟื้นฟูเขตอันตราย ให้เป็น เขตปลอดภัยได้เป็นผลสำเร็จ) แม้ภายหลังจะได้รับเอกราชจากการเรียกร้องของประชาชน แต่ทั้งอาณาจักรและสหภาพก็ยังอยู่ในความสัมพันธ์แบบ ประเทศเจ้าอาณานิคมกับอาณานิคม ตลอดจวบจนถึงปัจจุบันนี้




    สถานะปัจจุบัน : ปัญหาหลักสำคัญในปัจจุบันของอาณาจักร คือจำนวนประชากรในอาณาจักร ถ้าจะพูดให้ถูกคือประชากรผู้อพยพที่ในแต่ล่ะปีจะเข้ามาร่วมๆหลายหมื่นคน การส่งตัวกลับและการตั้งค่ายพักพอที่จะบรรเทาความแออัดไปได้ส่วนหนึ่ง แม้ว่าทางฝ่ายสหภาพเองจะช่วยรับผู้อพยพบางส่วนไปดูแลแล้วก็ตาม แต่จากสถิติบ่งชี้ว่าหากอัตราการอพยพยังคงอยู่ในระดับนี้ต่อไป ภายใน25ปีข้างหน้านี้ จำนวนประชากรผู้อพยพจะเพิ่มจำนวนถึง 50ล้านโดยประมาณ (จำนวนในปัจจุบัน หักจากส่วนที่อยู่ในระหว่างส่งกลับ และ ที่สหภาพรับไปช่วยเหลืออีกอยู่ที่ 31.6ล้าน)

    ทั้งนี้ในค่ายพักผู้อพยพเอง ก็มีปัญหาการเหยียดสายเลือดปรากฎขึ้นด้วย ด้วยว่าปัญหาลักษณะดังกล่าวจะไม่ค่อยพบเห็นในอาณาจักรที่ประชากรทั้งหมดหรือส่วนใหญ่เป็นเมซัวร่า แต่ที่นี่ ด้วยผู้อพยพส่วนใหญ่เป็น เนเชอรัล หรือ เมซัวร่าสายเลือดสามัญ (รายละเอียดสายเลือดเมซัวร่า กรุณาดูในหมวดหัวข้อ [เมซัวร่า]) ซึ่งเมื่อต้องมาอยู่รวมกันในค่ายพักเดียวกัน (แบ่งกันตามประเทศ หรือ โซนที่ผู้อพยพย้ายมา) หากเป็นผู้อพยพจากโซนหรือประเทศเดียวกันก็ไม่ค่อยที่จะมีปัญหาอะไรนัก แต่หากเป็นผู้อพยพจากประเทศอย่าง สาธารณรัฐไกอา หรือ ประชากรชายแดนระหว่างจักรวรรดิและประเทศสมาชิกสหพันธรัฐ บ่อยครั้งที่เมื่อมาอยู่ในค่ายเดียวกัน ความรุนแรงจากความบาดหมางเรื่องเผ่าพันธุจะระเบิดขึ้นใส่กัน

    การใช้ความรุนแรงที่บานปลายกลายเป็นสงครามกลางเมืองย่อยๆในค่ายผู้อพยพมีให้เห็นกันชินตา และเมื่อนับวันมีแต่จะรุนแรงขึ้นทุกขณะ จนกลายเป็นประเด็นให้สภาสูงต้องพิจารณานโยบายเปิดรับผู้อพยพ ว่าควรที่จะดำเนินต่อไปดีหรือไม่? แม้ว่าจะมีการพยายามให้ยกเลิกนโยบายดังกล่าว จากฝ่ายขวาในสภารวมถึงผู้อาวุโสบางส่วน แต่ก็มักจะถูกตัวแทนของฝายสหภาพคัดค้านหรือไม่ก็ใช้เงินช่วยเหลือประจำปี มากดดันให้สภาต้องล้มเลิกความพยายามเรื่องนี้เสียทุกครั้งไป





    The Great Holy Human Empire

    [​IMG]

    ผู้ปกครองคนปัจจุบัน : Pope Innocent 121th

    เขตปกครอง(โซน) : Y-13 , Y-14

    จำนวนประชากรโดยประมาณ : 135ล้าน

    เมืองหลวง : Londinum


    หัวข้อเพิ่มเติม "บริบทของสงครามร้อยปี ต่อขั้วอำนาจทั้งสาม"

    ประเทศที่มีประชากรร่วม 130ล้านแห่งนี้ ครั้งหนึ่งนั้นเคยเป็นประเทศเกาะเล็กๆที่ไม่มีพลังอำนาจทางทหารหรือเศรษฐกิจมากนัก แต่เมื่อสงครามร้อยปีอุบัตขึ้น จากประเทศชั้นสามเล็กๆ จักรวรรด ดั่งชื่อสั้นๆที่จะเรียกประเทศนี้ในเวลาต่อมา ก็ได้ถือกำเนิดขึ้น จักรวรรดิที่เกิดจากการวมตัวของ เนเชอรัลนับล้าน ที่ลี้ภัยการรุกรานของ เมซัวร่า ในช่วงต้นของสงครามร้อยปี ก่อนจะขยับขยายไปเป็นสงครามแย่งชิงความเป้นใหญ่ของทั้งสองฝ่ายไปมา นานนักศตวรรษ


    หากเทียบกับประเทศในโซนเดียวกันแล้ว การปกครองในระบอบที่ องค์ประมุขศาสนจักร มีตำแหน่งเป็นประมุขของจักรวรรดิด้วยนั้น นับว่าผิดแผกไปมากที่สุด แม้แต่ประเทศที่แตกเป็นเสี่ยงๆอย่าง สาธารณรัฐไกอา ยังมิอาจบรรลุ ถึงการปกครองระบอบดังกล่าวได้ ระบอบที่เชื่อกันสูญหายไปนานแสนนานเมื่อครั้งอดีต แต่ประสิทธิภาพของมันนั้นจัดว่าเข้มแข็งอย่างน่าประหลาด โดยเฉพาะในช่วงเวลาศึกสงคราม ด้วยว่าตลอดประวัติศาสตร์ของประเทศต้องทำสงครามกับเหล่า เมซัวร่ามาตลอด ทำให้ผู้นำและผู้คนของจักรวรรดิ มีลักษณะนิสัยที่ออกไปทางพวกชอบความรุนแรง และ เคร่งศาสนาอย่างที่สุด แต่บ่อยครั้งที่ความรุนแรงและความเคร่งจัด ก็นำไปสู่การนองเลือดในประเทศ ของเหล่าประชาชนชั้นล่าง กับ คนของทางการ ในเรื่องความเชื่อ และ เสรีภาพในการแสดงออก


    แม้ว่าจะเป็นประเทศที่มีท่าทีแข็งกร้าวต่อโลกภายนอกอย่างสูง จนยากที่การแทรกแทรงจากภายนอกจะเข้าไปทำอะไรในประเทศนี้ได้ แต่จากภูมิศาสตร์ของตัวจักรวรรดิ ที่ตั้งอยู่กลางดินแดนของสหพันธรัฐ ทำให้กลางเป็นอีกขั้วอำนาจหนึ่ง ที่มาถ่วงดุลไม่ให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดมีอำนาจมากจนเกินไป



    สถานะปัจจุบัน : แม้จะไม่ได้รับผลการกระทบโดยตรงจากเขตวิกฤิต อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในส่วนของจักรวรรดิตะวันออก แต่ในฝากของจักรวรรดิตะวันตก กลับ ยังติดพันอยู่กับปัญหาความไม่สงบบริเวณชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้านอยู่เป็นประจำ โดยอย่างยิ่งกับปัญหา ไฮบริดอพยพจำนวนมาก ที่ทะลักข้ามชายแดนไปยังเขตอาณานิคมของจักรวรรดิ ซ้ำยังปัญหาของการอพยพย้ายถิ่นฐานจำนวนมากของประชากรชายแดน ที่นับวันจะยิ่งล่ะทิ้งบ้านเกิด และย้ายไปหลบภัยตามหัวเมืองหลักๆ จนก่อให้เกิดปัญหาประชากรล้นเมือง ที่อยู่อาศัยไม่เพียงพอ ปัญหาสุขลักษณ์ อาหารขาดแคลน และ โรคระบาด

    ทว่าเหล่า ผู้มีอำนาจทั้งหลายในจักรวรรดิ กลับไม่เอาใจใส่ปัญหาดังกล่าว กลับซ้ำเติมปัญหาด้วยการใช้อำนาจบาตรใหญ่ ทั้งกดขี่ประชาชน ลงโทษอย่างไร้เหตุผล ประหัตประหารประชากรผู้ที่กล้าเรียกร้องความยุติธรรม เหล่าผู้มีความรู้และพ่อค้า ต่างพากันเข้าร่วมวงกับเหล่าขุนนาง ในการหาประโยชน์จากความเหลื่อมล่้ำดังกล่าว ศาสนจักร องค์กรทางศาสนาขนาดใหญ่ของประเทศ ก็ใช้อำนาจของตนในการสร้างความกลัวและความตายต่อประชากรชั้นล่างอย่างโหดเหี้ยมถึงที่สุด กลายเป็นว่า ทั้งที่เป็นประเทศ ที่มีสภาพแวลล้อมและรากฐานสังคม ดีเป็นอันดับหนึ่ง ในบรรดาประเทศในเขตอันตราย ( ราชอาณาจักร อเมโซเนีย รั้งในตำแหน่งสอง ด้วยว่าสภาพแวลล้อมส่วนใหญ่ ยังไม่เอื้อต่อการดำรงชีวิตมากนัก) แต่สาเหตุหลักของปัญหาในประเทศ กลับมาจากเหล่าผู้ปกครองประเทศ และ เหล่าสถาบันหลักแทบทั้งสิ้น






    Page : 2/3​
  15. derick

    derick Member

    EXP:
    339
    ถูกใจที่ได้รับ:
    1
    คะแนน Trophy:
    18
    Re: +++ The Last Kingdom : Fall of Man +++ / update Vol. 5.0

    ความรู้สึกแรกที่อ่านจบคือ....ถ้าไม่ได้อ่านติดต่อกันมันจะไม่ได้อารมณ์จริง ๆ นะฮา....และความรู้สึกต่อมาคือ อยากให้เข้าเนื้อเรื่องหลักเร็ว ๆ มาก ๆ เพราะจากที่อ่านแฟ้มข้อมูลเหล่านี้แล้วทำให้อยากเห็นความเป็นไปในลักษณะปัจจุบัน

    ผมรู้สึกว่าแต่ละประเทศต่างก็มีจุดดีจุดเสียของตนเองแตกต่างกันไป จริง ๆ คือต้องขอชมว่าท่านแต่งได้ออกมาสมกับเป็นพื้นฐานจากนิสัยหรือสิ่งที่ควรจะเป็นไปดี ชอบสุดคือตรงพ่อครัว 4 คนมาปรุงอาหาร 555 ถ้าต่างคนต่างปรุงสักแต่จะทำของตัวมันก็ออกมากินไม่ได้สินะ หึหึ

    จะรอตามต่อไปนะครับ สู้ ๆ เน้อ - -+V
  16. kiro

    kiro Member

    EXP:
    62
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    6
    Re: +++ The Last Kingdom : Fall of Man +++ / update Vol. 6.1

    รู้สึกกำลังมองดูกระดานเปล่าที่มีตัวต่อจิ๊กซอว์ถูกโยนลงมาทีละชิ้น ข้อมูลแน่นมาก...ยิ่งกระตุ้นให้อยากเห็นตอนที่ภาพเสร็จสมบูรณ์เร็วๆ

    เหมือน rep บนแหละครับ อยากเห็นเนื้อเรื่องหลักซะแล้ว :E

    จากที่ดูในแผนที่นี่ พื้นที่ของอิลเรีย เอเทอนัลลิสหายไปเยอะทีเดียว แถมยังมีปัญหาภายในอย่างการแบ่งแยกดินแดนและการแย่งอำนาจอีก...ไม่รู้ว่าประเทศจะล่มสลายไปเอง หรือว่าจะโดนแทรกแซงจากภายนอกกันแน่นะ

    สงสัยจะวางนโยบายผิดพลาดไปหน่อยแฮะเรา ^^;
  17. swanton

    swanton Dragon on Board

    EXP:
    1,424
    ถูกใจที่ได้รับ:
    69
    คะแนน Trophy:
    113
    Re: +++ The Last Kingdom : Fall of Man +++ / update Vol. 6.1

    เหมือน rep บนทุกประการครับ

    [action]โดนถีบ[/action]

    อ่านแล้วเห็นความแร้นแค้นทางธรรมชาติและทางการเมืองแบบสุดโต่ง ชวนให้คิดถึงยุคมืดของช่วงเวลาที่โลกใกล้แตกสลายขึ้นมา สิ่งที่สงสัยคือ ดินแดนเขตสีเหลืองทำไมยังมีคนทนอยู่กันได้ ทั้งที่ทั้งภัยพิบัติ ทั้งภัยอาชญากร เมชัวร่า เยอะขนาดนั้น

    อ่านๆมาไม่มีสาธารณรัฐไหนดีหมดสักที่ มันออกจะเหนือจริงไปนิด แต่ผมก็ทึ่งในฝีมือ+ภูมิความรู้ของทั่น vincent มากๆ (คือเรียกว่าถ้าไม่มีพื้นประวัติศาสตร์การเมือง คงยากจะแต่งออกมาได้ขนาดนี้ ชมแล้วก็ขอชมอีกเหอะนะ) ในจำนวนนี้เหมือน great holy roman empire จะแหวกมิติมากที่สุด แต่โดยพื้นทั้งหมดผมกลับชอบการมีอยู่ของอาณาจักรนี้แฮะ
    อยากให้เข้าเนื้อเรื่องหลักเร็วๆเช่นกัน อยากดูบทบาทของพวกหัวการเมืองกับพวกฝ่ายที่รับมือกับเมชัวร่า+เมชัวร่าเอง
  18. Fujizaki

    Fujizaki New Member

    EXP:
    17
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    1
    Re: +++ The Last Kingdom : Fall of Man +++ / update Vol. 6.1

    กรรม เราหา vol 6.1 ไม่เจอ T-T
  19. shinkyoto

    shinkyoto Well-Known Member

    EXP:
    580
    ถูกใจที่ได้รับ:
    3
    คะแนน Trophy:
    88

    Red Zone
    (เขตวิกฤิต)


    คำจำกัดความที่ชัดเจนที่สุดของ เขตวิกฤิต นรกบนดิน ในพื้นที่เหล่านี้ ทั้งสภาพแวดล้อมและสภาพการปนเปื้อนล้วนเป็นอันตรายถึงชีวิตต่อสิ่งมีชีวิตใดๆ ที่จะเข้าไปในเขตดังกล่าวอย่างที่สุด หลายพื้นที่นอกจากการปนเปื้อนของเชื้อไวรัสแล้ว ฝนกรด และ ทะเลสาบสารพิษ มีให้เห็นได้เมื่อได้เข้าไปในเขตวิกฤิตตามส่วนต่างๆของโลก แสงแดดเป็นของหายาก ในเขตวิกฤิตหลายๆแห่ง ที่ถูกปกคลุมด้วยเมฆหมอกของสารพิษและรังสีอันตราย เมฆหมอกพวกนี้บางครั้งก็ลอยไปไกลถึงเขตรอยต่อกับเขต อันตราย แต่สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์เด่นสุดของเขต วิกฤิต คือพายุฝนดำ ฝนดำที่จะทำลายทุกชีวิตที่ได้สัมผัสเม็ดฝนเหนียวข้นของมัน และ พื้นดินสีดำ ที่ไม่มีสิ่งชีวิตใดๆจะสามารถอาศัยอยู่ได้

    แต่แม้จะได้ชื่อว่าเขตวิกฤิต แต่จำนวนผู้ติดเชื้อในเขตดังกล่าว กลับไม่ได้มีมากไปกว่าในเขตอันตรายเสียเท่าไหร่ ในหลายพื้นที่แทบจะเรียกได้ว่าปลอดเชื้อโดยสมบูรณ์ ทั้งด้วยธรรมชาติของอาการผู้ติดเชื้อที่จะเสียชีวิตในเวลาไม่กี่เดือนหลังเข้าสู่อาการขั้นสุดท้าย กับตัวสภาพแวดล้อมเองที่ไม่อื้อต่อการดำรงชีวิต แม้แต่กับผู้ติดเชื้อ หรือ เมซัวร่าก็ตาม (แม้จะมีแสงแดดน้อย แต่ด้วยมลพิษในน้ำ ดิน และ อากาศ ทำให้ยากต่อการดำรงชีวิต) การฟื้นฝูเขตวิกฤิต ถือเป็นงานใหญ่ ที่ไม่ใช่ทุกอาณาจักรจะสามารถทำได้ งานที่มีแต่เวลาเท่านั้นที่ช่วยเยียวยาความเสียหายในเขตดังกล่าว (การฟื้นฟูเขต วิกฤิตหนึ่งๆ ต้องใช้เงินทุนและกำลังคนมหาศาล ประมาณกันว่างบประมาณที่ใช้ฟื้นฟูเขตวิกฤิตในหนึ่งเดือน สามารถใช้เลี้ยงประชากรในเขตอันตรายทั้งหมดได้ถึง 5ปี!! ) เช่นนั้นแล้ว อาณาจักรส่วนใหญ่จึงหันมาให้ความเอาใจใส่ เขตอันตรายของตน ไม่ให้กลายสภาพเป็นเขตวิกฤิตไป ด้วยเหตุผลทั้งงบประมาณ และ ความเสี่ยงที่น้อยกว่า

    อัตตราการขยายตัวของเขตวิกฤิต พื้นที่อย่างเขต R-01,R-04,R-05,R-06 นั้นจากการสำรวจเพียงไม่ถึง หนึ่งชั่วอายุคน จากเดิมที่เป็นเขตอันตราย ก็กลับกลายเป็นเขตวิกฤิตไปในที่สุด สาเหตุส่วนหนึ่งนั้นมาจากสภาพความไร้เสถียรภาพทางการเมือง ของเขตอัตราย ทำให้เกิดการล้างผลาญทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม เพื่อตอบสนองต่อสงครามกลางเมืองระหว่างรัฐต่อรัฐ สงครามที่ทำลายทั้งเขตที่อยู่อาศัยของทั้งประชากรท้องถิ่นและระบบนิเวศใกล้เคียง จึงส่งเป็นเหมือนตัวเร่งให้การขยายตัวของเขตวิกฤิตทวีความรุนแรงขึ้นไปอีก

    ทั้งนี้เชื่อกันว่า หากความไร้เสถียรภาพเช่นนี้ยังดำเนินต่อไป โดยไร้การควบคุมภายในไม่เกิน 20ปีข้างหน้านี้ มีความเป็นไปได้ที่จะต้องบรรจุกเขตวิกฤิตเขตใหม่ๆเพื่อขึ้นอีกอย่างน้อย สองเขต





    รายชื่อของเขต วิกฤิต (สำรวจล่าสุดปี 1840 )

    [​IMG]

    R-01 : Central Korventchent , Eastern-Korventchent
    R-02 : Central Siberia
    R-03 : Nile River Bank
    R-04 : Central Gaia
    R-05 : Central North Iria Aternalis
    R-06 : South Iria Aternalis , North Amezonia
    R-07 : South East Asia , East Asia Seaboard
    R-08 : South Asia








    เขตวิกฤิต กับ บทบาทของ จักรวรรดิ

    ตัวจักรวรรดินั้นไม่ค่อยจะมีบทบาทสำคัญในการดูแลเขตวิกฤิตมากเท่าไหร่นัก ทั้งด้วยทรัพยากรอันจำกัด และ บุคลากรที่เต็มมือกับการดูแลเขตอันตรายของตน กระนั้น ตัวศาสนจักรกลับใช้การคงอยู่ของเขตวิกฤิต เพื่อผลประโยชน์ด้านการปกครองประชาชนของตนเป็นส่วนใหญ่ กับคำโฆษณาชวนเชื่อว่า การคงอยู่ของเขตวิกฤิตเป็นแหล่งกำเนิดของ แวมไพร์ ศัตรูของจักรวรรดิ และ เพื่อกันไม่ให้ประชาชนของตัวเองอพยพย้ายออกจากจักรวรรดิ กล่าวอีกนัยคือใช้ความกลัวและการบิดเบือนข้อมูลเพื่อสร้างรากฐานอำนาจการปกครองของตน

    แล้วด้วยแนวพรมแดนที่ไม่ติดกับเขตวิกฤิตเหมือนเช่นชาติอื่นๆ ทำให้ผู้นำทั้งทางทหารและศาสนาของจักรวรรดิ ให้ความสำคัญในการฟื้นฟูเขตวิกฤิตไว้เป็นเพียง คำเจรจาบนโต๊ะเพื่อภาพลักษณ์มากกว่าการลงมือทำในระดับพื้นที่



    เขตวิกฤิต กับ บทบาทของสหภาพ

    โปรดดูหัวข้อ Blue Zone ประกอบ


    เขตวิกฤิต กับ บทบาทของ เมซัวร่า

    แหล่งทิ้งเหล่าแวมไพร์ชั้นต่ำเป็นอย่างดี นั่นคือท่าทีของหลายอาณาจักรที่มีต่อเขตวิกฤิต ด้วยว่าธรรมชาติในเขตดังกล่าว เหมาะสมเป็นอย่างยิ่งในการทำลายล้างชีวิตใดๆที่ไม่ต้องการอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเสียค่าใช้จ่ายหรือความเสี่ยงเพียงน้อยนิดในการจัดการ ทั้งนี้ยังรวมไปถึงเหล่าทาสมนุษย์ คนยากไร้ เด็กกำพร้า หรือประชากรที่ไม่เป็นประโยชน์ต่ออาณาจักรพวกนั้น ด้วยเหตุนี้เขตวิกฤิตส่วนใหญ่ที่ติดกับอาณาจักรเหล่านี้ จะมีอัตตราการพบผู้ติดเชื้อ สูงกว่าเขตวิกฤิตที่ไม่ได้อยู่ติดถึงร้อยล่ะ 80%

    และด้วยว่า ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับเขตวิกฤิตเอง ก็ยังจำกัดอยู่กับคนไม่กี่คนในชนชั้นปกครองของแต่ล่ะอาณาจักร และทิ้งให้ประชากรส่วนใหญ่ ทั้งเมซัวร่าและมนุษย์ขาดความเข้าใจอย่างถ่องแท้ ถึงสภาพของเขตวิกฤิต (เช่นเดียวกับเขตอันตรายและเขตปลอดภัย) ทำให้มีความพยายามเพียงน้อยนิดที่ เมซัวร่าจะมีส่วนในการฟื้นฟูเขตวิกฤิต เฉกเช่นสหภาพ (ซึ่งถ้าจะกล่าวให้ถูกต้อง ฝ่ายจักรวรรดิเองก็มีทีท่าไม่ต่างกันเช่นกัน)





    ++++++++++ ++++++++++ ++++++++++​





    Blue Zone


    พื้นที่ส่วนที่เหลือของโลก ที่ยังมีสภาพเหมาะสมต่อการดำรงชีวิต ของทั้งมนุษย์ และ สิ่งมีชีวิตสายพันธ์อื่นๆ แม้จะได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศแปรปรวนจาก เขตอันตราย เป็นบางครั้ง แต่ด้วยพรมแดนทางธรรมชาติ ด้วยทั้งภูเขาสูง เขตทะเลทราย เขตพื้นที่ป่าขั้วโลก หรือ กระทั้งมหาสมุทรเอง ทำให้พื้นที่ส่วนดังกล่าว สามารถชะลอการปนเปื้อนได้ง่ายกว่าพื้นที่ส่วนอื่นของโลก

    แต่ถึงจะมีสภาพเหมาะสมต่อการดำรงชีวิตมากว่าเขตอื่น ทว่าในเขตปลอดภัยเหล่านี้ กลับเป็นอยู่อาศัยของประชากรจำนวนเพียงหยิบมือหนึ่ง ด้วยจำนวนประชากรไม่ถึง 2% ของเขตอันตราย (ประมาณการณ์ปี 1850 อยู่ที่เพียง 5.4ล้านคนโดยประมาณ) ทำให้จำนวนประชากรรวมทั้งหมดในเขตปลอดภัย มีมากกว่าสาธารณะรัฐไกอา เพียงไม่กี่ล้านคนเท่านั้น

    ทว่าจำนวนประชากรที่อยู่อาศัยระยะยาวคือตัวเลขที่ประมาณการณ์ไว้นั้น ยังไม่ได้รวมกับผู้อยู่อาศัยชั่วคราวอีกจำนวนมาก ผู้ที่ได้สถานภาพ เป็นผู้อาศัยชั่วคราว ไม่ว่าจะเป็นผู้ลี้ภัยสงคราม ความอดอยาก หรือ ระบบการปกครอง และ ยังรวมไปถึงเหล่าประชากรไฮบริดอีกจำนวนไม่น้อย ที่บางคนก็เลือกที่จะอยู่ในเขตอาศัยดังกล่าวเป็นการถาวร แต่ส่วนใหญ่จะขอหนังสือเดินทางไปยังรัฐโลกที่สาม ทั้งนี้หากนับรวมกับประชากรกลุ่มที่รอการเดินทาง และ อยู่ระหว่างการเดินเรื่อง จำนวนประชากรที่อาศัยอยู่ในเขตปลอดภัย ก็จะอยู่ระหว่าง 200-250ล้านคน


    ในด้านความสัมพันธ์ระหว่าง ผู้บริหารในเขตปลอดภัย กับ นครรัฐทั้งหลายในเขตอันตราย ด้วยนโยบายการแยกตัวโดดเดี่ยว ทั้งด้านสังคม การค้า และ วัฒนธรรม ทำให้การติดต่อสื่อสารของทั้งสองฝั่ง ถูกจำกัดให้เป็นเพียง การสังเกตุการณ์แต่เพียงฝ่ายเดียว แต่ก็มีบางครั้งที่ผู้บริหารเขตปลอดภัย บางเขต โดยเฉพาะเขตที่อยู่ติดกับเขตอันตราย เข้าไปเกี่ยวโยงกับกิจการภายในของ นครรัฐใกล้เคียงกับโซนของตน และ ในกรณีพิเศษจริงๆ ทางคณะกรรมการบริหารจากส่วนกลางจะเข้าไปลงมือแทรกแซง กิจการภายในของนครรัฐใกล้เคียง อย่างที่เห็นจากกรณี การแปรสภาพ ราชอาณาจักรอเมโซเนีย จากผู้ปกครองที่เป็น ราชวงศ์เมซัวร่าเลือดบริสุทธ์ เปลี่ยนเป็น ผู้สืบทอดหุ่นเชิดภายใต้การควบคุมของสหภาพ หรือกระทั่ง รัฐบาลผสมของอดีตสาธารณรัฐไกอา ที่นำการจัดตั้งโดยกองกำลังที่ได้รับการสนับสนุนโดยตรงจากสหภาพเอง เหล่านี้คือตัวอย่างของระบบการเมืองของสหภาพ ที่เน้นการเข้าไปแทรกแทรงทางอ้อม เพื่อบรรลุเป้าหมายของตน มากกว่าจะใช้กำลังซึ่งหน้า ดังเช่นบรรดาชาติกระหายสงครามเพื่อนบ้านทำกัน




    รายชื่อของเขตปลอดภัย Blue-Zone (หลังปี 1800)

    [​IMG]

    B-01 : Japan
    B-02 : Koryu
    B-03 : New Zealand
    B-04 : Aden
    B-05 : Madagasga
    B-06 : South Africa
    B-07 : Alaska
    B-08 : Carifonia Republic
    B-09 : Andess
    B-10 : takhba
    B-11 : Pendragon (former Capital Kingdom of Amezonia)






    The Union

    Full name : Union of Global Trade and Environmental Nation

    [​IMG]


    ชื่อเรียกแทนสั้นๆ ของกลุ่มประเทศเกิดใหม่ในช่วงต้นของสงครามร้อยปี ที่รอดพ้นจากสภาพแวดล้อมไม่เป็นมิตรในส่วนที่เหลือของโลก จากจำนวนนับร้อยในอดีต ผ่านกาลเวลา รุ่งเรืองและล่มสลาย แต่ด้วยเหตุการณ์เมื่อ 200ปีก่อนหน้า ทำให้เกิดการแบ่งขั้วอย่างชัดเจน สหภาพเอง ก็เป็นผลิตผลจากช่วงเวลากลียุคในครั้งนั้น อารยธรรมที่รุ่งเรืองในอดีตใดๆ ที่ยังหลงเหลืออยู่ ประชากรไม่ว่าจะเป็น มนุษย์ ไฮบริด หรือ เมซัวร่า ทุกคนที่แสวงว่า ชีวิตที่ดีกว่า ชีวิตที่มีเสรีภาพมากกว่า ชีวิตที่มีคุณค่ามากกว่า ต่างพากันหลั่งไหลมายังสหภาพกันทั้งสิ้น

    ด้วยนโยบายการปกครองที่ยึดหลัก ความอยู่ดีกินดีของคนในรัฐบริหาร เพราะความแตกต่างทางสังคมและรายได้เป็นเรื่องสามัญของทุกรัฐ ทำให้สหภาพเน้นหนักไปในการจัดการเรื่อง สวัสดิภาพของคนในความคุ้มครองของตน สวัสดิการสำหรับผู้อยู่อาศัย คำพูดที่ว่า ทำมากได้มาก ทำน้อยได้น้อย กับ สำคัญมากได้มาก และ สำคัญน้อยได้น้อย คือหลักยึดถือปฎิบัติทั่วไปของทุกรัฐในสหภาพ แม้จะมีความขัดแย้งระหว่างรัฐต่างๆในสหภาพอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความมั่นคงโดยรวมของสหภาพลดน้อยลงแต่อย่างใด

    แม้ว่าฉากหน้า สหภาพจะเป็นรัฐอิสระที่รวมตัวกันเพื่อวัตถุประสงค์ทางการค้าและการทหาร แต่ผู้ปกครองตัวจริง หรือ ผู้บริหารรัฐเล็กรัฐน้อยทั้งหลายนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นผู้สนับสนุนทั้งด้านเศรษฐกิจและการป้องกันกับสหภาพแทบทั้งสิ้น หรือจะกล่าวอีกนัยคือ สหภาพนั้นเป็นรัฐหุ่นเชิดหรือในบางรัฐก็เป็นตัวบรรษัทเอกชน ยักษ์ใหญ่ที่ทำหน้ากำหนดนโยบายในด้านต่างๆ รวมไปถึงชิวิตและสวัสดีภาพของคนในรัฐนั้นๆ ทั้งนี้หากแยกกันตามขนาดองค์กรและอิทธิพลแล้ว ในสหภาพจะสามารถแบ่งกลุ่มบรรษัทออกได้ดังนี้




    LUZIARA Industrial

    รัฐบริหาร : Corporate State of America (เป็นเพียงรัฐบริหารเดียว ที่อยู่ใต้การปกครองอย่างเบ็ดเสร็จจากบรรษัทแม่)

    พนักงาน และ ลูกค้าในสังกัด : 1ล้านคนโดยประมาณ (ส่วนใหญ่ อาศัยและทำงานในรัฐ ตอนเหนือ และ ตอนใต้ )

    เขต : B-07,B-08,B-09 R-06

    สำนักบริหารกลาง : Sanferio

    กิจการหลัก : กิจการความมั่นคงพลเรือน และ รัฐ (ในที่นี้ บรรษัท = รัฐ) อุตสาหกรรมฟื้นฟูสภาพแวดล้อม

    กิจการรอง : สื่อสารมวลชน /ทรัพยากร /สุขภาพ /ก่อสร้าง /ขนส่ง /เครื่องอุปโภค บริโภค /การเงิน /การศึกษา /สิ่งแวดล้อม /บันเทิง /กีฬา /เพลง /บริการแขนงต่างๆ และ อื่นๆอีกหลายร้อยกิจการที่ นำมาลงที่นี้ไว้ไม่หมด




    Fujikawa

    รัฐบริหาร : Eurasia Federation (ส่งทั้งคนของตน และ อิทธิพลของตนเข้าไปแทรกแซงอย่างออกหน้าออกตา)

    พนักงาน และ ลูกค้าในสังกัด : 1.5ล้านคนโดยประมาณ (ส่วนใหญ่อยู่บนเกาะใหญ่)

    เขต : R-07,R-08 Y-11,Y12 B-01,B-02

    สำนักบริหารกลาง : Shin Nihama

    กิจการหลัก : บริการการเงินและธนาคาร อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมนาโนเท็ค อุตสาหกรรมนิวเคลียร์ อุตสาหกรรมฟื้นฟูสภาพแวดล้อม

    กิจการรอง : ร้านค้าปลีก อสังหาริมทรัพย์ กิจการรับเหมาก่อสร้าง กิจการโรงแรม กิจการโรงพยาบาลและสถานบำบัด อุตสาหกรรมบันเทิง





    Tyrell Corporation

    รัฐบริหาร : Republic of Gaia ( ไม่รวมพื้นที่ในเขตปกครองของ ซิมโฟเนียแห่งความมืด )

    พนักงาน และ ลูกค้าในสังกัด : 7แสนคนโดยประมาณ (ส่วนใหญ่อาศัยบนเกาะ SELENA)

    เขต : B-04,B-05,B-06 Y-02,Y-03 R-04

    สำนักบริหารกลาง : SELENA (เกาะเทียมฝีมือมนุษย์ ใหญ่ที่สุดอันดับสอง นอกชายฝั่งเขต Y-02 (อันดับหนึ่งตกเป็นของ FUJIKAWA))

    กิจการหลัก : อุตสาหกรรมป้องกันภัย อุตสาหกรรมทหาร บริการจัดการของเสียอุตสาหกรรม อุตสาหกรรมฟื้นฟูสภาพแวดล้อม

    กิจการรอง : อุตสาหกรรมเหมืองแร่ เภสัชอุตสาหกรรม อุตสาหกรรมชีวภาพ อุตสาหกรรมค้ามนุษย์





    Eco-Green Energy Group

    รัฐบริหาร : Takhba

    พนักงาน และ ลูกค้าในสังกัด : 6หมื่นคนโดยประมาณ (ทั้งหมดอาศัยในสำนักบริหารกลาง)

    เขต : B-10

    สำนักบริหารกลาง : Ecopolis

    กิจการหลัก : อุตสาหกรรมพลังงาน เน้นหนักที่ พลังงานหมุนเวียน และ พลังงานจากดวงอาทิตย์ อุตสาหกรรมฟื้นฟูสภาพแวดล้อม

    กิจการรอง : อุตสาหกรรม การป้องกัน และ บรรเทาสาธารณะภัย





    GENOM

    รัฐบริหาร : New Zealand

    พนักงาน และ ลูกค้าในสังกัด : 2.3ล้านคนโดยประมาณ (มากที่สุดในบรรดารัฐบริหารของสหภาพ)(ส่วนใหญ่อาศัยอยู่บนเกาะเหนือ)(รัฐเดียวที่คืนสภาพสู่ความเป็นรัฐดั้งเดิมก่อนสมัยช่วงยุคมืด)

    เขต : B-03,Y-10

    สำนักบริหารกลาง : Auckland

    กิจการหลัก : เภสัชอุตสาหกรรม อุตสาหกรรมพันธุวิศวกรรม กิจการเครือข่ายสถานพยาบาลและศูนย์การแพทย์ อุตสาหกรรมฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม

    กิจการรอง : กิจการเหมืองแร่ อัญมณี และ อุตสาหกรรมความปลอดภัย และ การป้องกันระหว่างรัฐ



    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++​




    Merius Trading company

    รัฐบริหาร : Kingdom of Amezonia (เฉพาะส่วนของความมั่นคงต่อรัฐ การคลัง ติดต่อต่างประเทศ และ กองทัพ)

    พนักงาน และ ลูกค้าในสังกัด : 4หมื่นคนโดยประมาณ (อาศัยอยู่ในเขตที่อยู่อาศัยเฉพาะของสหภาพทั้งหมด)

    เขต : B-11,Y-15

    สำนักบริหารกลาง : Pendragon

    กิจการหลัก : กิจการค้าส่งสินค้าระหว่าง สหภาพ จักรวรรดิ กิจการค้าขนส่งสินค้าไปยังจักรวรรดิแต่เพียงผู้เดียว ( ภายใต้ สนธิสัญญา ปี 1700 สองปีหลัง สงคราม จักรวรรดิ สมาพันธรัฐ ครั้งที่หนึ่ง กับบรรดาผู้แทนของอีก ห้าบรรษัทในสมัยนั้น )

    กิจการรอง : กิจการเครือข่ายประสานงาน รับส่งผู้ยากไร้ใน รัฐต่างๆ (ที่ไม่ใช่รัฐในเขตบริหารของบรรษัทอื่น) ไปยังองค์กรอิสระต่างๆ

    *หมายเหตเพิ่มเติม*

    ตามเอกสารแล้ว บริษัทค้าส่งเมออิอัส ไม่ถือว่าเป็น บรรษัทในระดับเดียวกันกับอีก ห้าบรรษัทที่กล่าวมา (จากทั้งขนาดกิจการ ลักษณะกิจการ และ อิทธิพลต่อพื้นใดพื้นที่หนึ่ง) และด้วยอายุการดำเนินธุรกิจมาเพียง 100ปี (นับเฉพาะช่วงที่เข้าร่วมกับ สหภาพ เมื่อปี 1700) แต่ที่ได้เข้าร่วมกับสหภาพนั้น สาเหตุหลักนั้นมากจาก ต้นตระกูล เมออิอัส ผู้ที่ได้ดำเนินนโยบายเน้นการเจรจาหลายช่องทาง กับตัวแทนของสหภาพ จนนำไปสู่การสร้างเส้นทางขนส่งทั้งสินค้า และ บุคลากรสำคัญ เข้าออกจากจักรวรรดิ ได้โดยไม่เปิดเผยร่องรอย หรือ ถูกเปิดโปงได้โดยง่าย อย่างที่บรรษัทอื่นมิอาจทำได้ในราคาที่บริษัทดังกล่าวนำเสนอมาได้ (และไม่ใช่ในแง่ความเสี่ยงต่อการประกาศสงครามเต็มรูปแบบกับ จักรวรรดิ หรือ นำไปสู่การใช้กำลัง อย่างที่บรรษัทอื่นเสนอให้ได้)

    แต่เพราะแทบจะไม่มีศักยภาพพอที่จะเข้าร่วม โครงการฟื้นฟูสิ่งแวลล้อม ซึ่งเป็นนโยบายหลักของสหภาพ ได้เต็มประสิทธิภาพ ทำให้ตัวบริษัทมักจะตกเป็นเบี้ยล่างให้กับ บรรษัทที่ใหญ่กว่าอยู่เสมอๆ แม้จะเป็นพันธมิตรร่วมกับ eco-green หรือ พันธมิตรชั่วคราวที่ยังตกลงเรื่องส่วนแบ่งเส้นทางการขนส่งกับ GENOM ก็ดี แต่ด้วยขนาดแล้ว การแทรกแซงจากอีกสามยักษ์ใหญ่ในสหภาพ ทั้งในส่วนของกิจการหลัก การค้าส่ง กับ กิจการรองอย่าง องค์กรที่จัดการกับผู้อพยพ ก็ยังคงเกิดขึ้นอยู่เป็นระยะๆ ซึ่งแม้จะเจอการแทรกแทรงในระดับนี้ แต่ตัวบริษัทเองก็ยังสามารถรักษาความสัมพันธ์อันดีกับสามยักษ์ใหญ่ดังกล่าวไว้ได้



    บทบาทของสหภาพต่อ เขตวิกฤิต

    แม้นโยบายหลักของสหภาพคือ ฟื้นฟู รักษา และ ปกป้องสภาพแวดล้อม แต่ในความเป็นจริงแล้ว การดำเนินงานตามนโยบายดังกล่าว ต้องใช้ค่าใช้จ่ายจำนวนมาก อีกทั้งยังต้องใช้ทั้งกำลังคนและทรัพยากรอีกจำนวนมหาศาลเพื่อทำการฟื้นฟูในระยะเวลาอันจำกัด (ข้อกำหนดหนึ่งใน แผนฟื้นฟูระบุไว้ว่า จะต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูไม่เกินกว่า 200ปีต่อเขตที่ได้รับสัมปทาน ) และด้วยค่าตอบแทนในสัญญาที่ไม่ว่าจะคำนวณอย่างไร ก็ไม่ได้กำไรกับบรรษัททั้งหลายแม้แต่น้อย ซ้ำยังจะต้องควักเนื้อตัวเองจ่ายเสียเป็นส่วนใหญ่ จึงเป็นวิเคราะห์กันในหมู่นักวิชาการและหน่วยงานตรวจสอบหลายองค์กร ที่ไม่ได้ขึ้นตรงกับบรรษัทดังกล่าว ถึงความไม่ปรกติในการดำเนินงานฟื้นฟูของสหภาพในเรื่องนี้


    กับข่าวลือที่ว่า เหล่าบรรษัทที่รับสัมปทาน ต่างใช้สัมปทานผูกขาดในการฟื้นฟู เพื่อจุดประสงค์ด้านการทดลองผิดกฏหมาย โดยเฉพาะกับเหล่าประชากรท้องถิ่น ทำให้เกิดเสียงวิภาควิจารในระดับหนึ่ง แต่ด้วยสื่อร้อยล่ะ 99%อยู่ในการควบคุมของเหล่าบรรษัทที่ตกเป็นเป้าหมายของการโจมตี ทำให้ข่าวลือดังกล่าวเป็นเพียงข่าวลืออีกชิ้นที่ไม่ได้รับความสนใจ หรือ สนับสนุนจากประชาชนหรือหน่วยงานรัฐมากนัก

    บทบาทของสหภาพต่อ ประชาคมนานาชาติ

    ด้วยว่าสหภาพคือการรวมตัวอย่างหลวมๆของ เหล่าบรรษัทที่ได้รับสัมปทานในการฟื้นฟูสภาพแวดล้อมโลก จึงอาจกล่าวได้ว่า บทบาทของสหภาพนั้นจำกัดอยู่แค่ประชากรในท้องถิ่น กับ นักสังเกตุการณ์อิสระที่มาตรวจสอบการดำเนินงาน แต่หาได้มีบทบาทไปไกลมากกว่านั้น



    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++​



    หายไปนานแต่สุดท้ายก็สามารถนำมาลงได้ จะพยายามให้มากขึ้นเพื่อไม่ให้ฟิคเรื่องนี้ออกทะเล หรือ ลงหม้อไหไปอีกรอบ

    และคาดว่าตั้งแต่ตอนหน้าไป จะเริ่มเข้าสู่เนื้อเรื่องในส่วนหลักเสียที หลังจากลงรายละเอียดสถานการณ์ในเรื่องคร่าวๆ


    ยังไงก็ฝากเนื้อฝากตัวกับบอร์ดใหม่กันอีกครั้งนะครับ

    (ปล.) หวังว่าธงของ สหภาพ จะไม่ดู ไม่เป็นมิตรมากเกินไปนะฮับ
  20. Fujizaki

    Fujizaki New Member

    EXP:
    17
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    1
    *T___T*

    6.2 มาแล้ว แล้วก็หายไปอีกแล้ว
  21. jamejaeja

    jamejaeja แม่มดคำสาปมรณะ

    EXP:
    119
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    16
    ฉันคิดถึงเรื่องนี้ พรีชได้โปรด กี่ปีก็จะรอเหมือนดูหนังภาคต่อ ฮ่าๆ

Share This Page