[ฟิครับสมัคร] Memorial Core (Update ตอนที่ 4 + รูป)

กระทู้จากหมวด 'Fiction' โดย endlich, 14 พฤศจิกายน 2007.

  1. endlich

    endlich Member

    EXP:
    123
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    16
    Memorial Core : พลิกตำนานสงครามศักดิ์สิทธิ์
    แนว Fantasy / Action / Adventure


    Prologue​


    หลังจากสงครามโลกครั้งสุดท้ายสิ้นสุดลงโลกก็ตกอยู่ในสภาพที่เสียหายเกินจะเยียวยา ทั่วผืนดินเต็มไปด้วยซากปรักหักพังและเปลวเพลิงจากสงคราม ทั่วผืนฟ้าถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นละอองอันแสนปวดแสบปวดร้อนยามต้องผิวกาย ทั่วผืนน้ำเปี่ยมไปด้วยสารพิษและกัมมันตภาพรังสีจนท้องทะเลกลายเป็นสีดำ

    พวกเราคือชาวโลกกลุ่มสุดท้ายที่ตัดสินใจละทิ้งดาวบ้านเกิดที่ไร้ซึ่งความหวัง โดยสารยาน “อาร์ค” มุ่งหน้าสู่จักรวาลอันกว้างใหญ่อย่างไร้จุดหมายเพื่อค้นหาที่อยู่อาศัยแห่งใหม่ ดังเช่นชาวโลกกลุ่มอื่น ๆ ที่ออกจากโลกไปก่อนหน้านี้นานแล้ว

    ดูเหมือนว่าพระผู้เป็นเจ้ายังไม่ทรงทอดทิ้งพวกเรา เพราะหลังจากที่ผ่านการเดินทางอันยาวนานจนมาถึงอีกฟากหนึ่งของกาแล็กซี่ พวกเราก็ได้พบกับดวงดาวที่มีชั้นบรรยากาศคล้ายคลึงกับโลก พวกเราจึงตัดสินใจร่อนลงไปยังดาวดวงนั้นพร้อมทั้งตั้งชื่อให้กับมันว่า ดาวอัลฟ่า

    ดาวอัลฟ่ามีทุกสิ่งที่มนุษย์ต้องการในการดำรงชีวิต ไม่ว่าจะเป็นผืนดินที่เขียวชอุ่มด้วยต้นหญ้าและดอกไม้หลากสี สายลมบริสุทธิ์ที่พัดพาเอาความสดชื่นติดมาด้วยทุกครั้งที่ยามได้สัมผัส และท้องทะเลสีครามที่ไร้ซึ่งมลพิษใด ๆ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้พวกเราประหลาดใจยิ่งกว่า นั่นก็คือ

    ดาวดวงนี้มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ก่อนหน้านี้นานแล้ว พวกเราเรียกพวกเขาว่า ชาวอัลฟีเรี่ยน

    ลักษณะทางกายภาพของชาวอัลฟีเรี่ยนคล้ายคลึงกับพวกเรามาก มีเพียงดวงตาสีอำพันเท่านั้นที่เป็นเครื่องบ่งบอกความแตกต่างของชาติพันธุ์ พวกเขามีนิสัยรักสงบดำรงชีวิตอยู่อย่างสันติซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่พวกเราปรารถนาอย่างที่สุด พวกเราได้เข้าไปเจรจากับพวกเขาเพื่อขออาศัยในดาวอัลฟ่าด้วยซึ่งพวกเขาก็ไม่ขัดข้องแต่ประการใด

    หลังจากที่ได้เรียนรู้อารยธรรมของกันและกันอยู่พักใหญ่ทำให้พวกเราได้รู้ว่า ชาวอัลฟีเรี่ยนนั้นมีจำนวนน้อยเมื่อเทียบกับพวกเราและชอบอาศัยอยู่อย่างสงบตามป่าเขาดังเช่นภูติไพร นอกจากนี้พวกเขายังมีอีกสิ่งหนึ่งที่พวกเราไม่เคยรู้จักมาก่อน...

    พวกเขามีเวทมนตร์

    เวทมนตร์ของชาวอัลฟีเรี่ยน คือ คริสตัลหลากสีรูปทรงปริซึมขนาดไม่เกินนิ้วหัวแม่มือ ที่มีชื่อเรียกสั้น ๆ ว่า คอร์ มันจะปลดปล่อยพลังธาตุชนิดต่าง ๆ ที่อยู่ภายในตัวเองออกมาเมื่อถูกสัมผัสหรือจับต้อง พวกเราใช้เวลาหลายชั่วอายุคนเพื่อเรียนรู้วิธีการใช้คอร์และใช้มันในการสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ มากมาย

    รวมไปถึงสิ่งที่พวกเราเรียกกันว่า... สงคราม


    ~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~
  2. endlich

    endlich Member

    EXP:
    123
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    16
    Re: [ฟิครับสมัคร] Memorial Core : พลิกตำนานสงครามศักดิ์สิทธิ์

    Chapter I : เปิดตำนานวีรบุรุษ

    ปีศักราชใหม่ที่ 1024 (นับปีที่ชาวโลกอพยพมายังดาวอัลฟ่าเป็นปีเริ่มต้น)

    ถนนสายหนึ่งในอาณาจักรแห่งแสง

    บนท้องถนนอันว่างเปล่า สองข้างทางเต็มไปด้วยแมกไม้เขียวขจีที่เบียดเสียดกันขึ้นคอยให้ร่มเงาแก่ผู้คนที่สัญจรไปมา มอเตอร์ไซด์พลังงานแสงอาทิตย์คันหนึ่งกำลังวิ่งอยู่บนถนนสายนั้นด้วยความเร็วสูงจนใบไม้แห้งที่ร่วงอยู่ตามพื้นถึงกับแหวกเป็นทางเมื่อรถวิ่งผ่าน

    เจ้าของรถเป็นเด็กหนุ่มเจ้าของเรือนผมสั้นสีน้ำตาลเข้มที่ปลิวไสวยามต้องแรงลม แว่นตากันลมอันใหญ่สะท้อนเงาของท้องฟ้าอยู่เต็มสองเลนส์ ใบหน้าคมเข้มเจือด้วยรอยยิ้มเล็กน้อยให้กับธรรมชาติรอบกาย เขาหลับตาลงพร้อมกับคลายคันเร่งออกเพื่อซึมซับอากาศบริสุทธิ์ยามเช้าให้ได้มากที่สุด

    แต่เขาก็ทำได้ไม่นานนัก ท้องฟ้าที่กำลังเปิดอยู่ดี ๆ กลับมีเมฆฝนก้อนใหญ่เคลื่อนตัวมาบดบังแสงอาทิตย์จนท้องฟ้ามืดครึ้ม สายลมเย็นที่กระทบใบหน้าก็เริ่มที่จะแรงขึ้นเรื่อย ๆ ในที่สุดสายฝนแห่งวสันต์ฤดูก็โปรยปรายลงมา เขาลืมตาขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์นักก่อนที่จะบ่นพึมพำเบา ๆ

    “ให้ตายสิ แม้แต่ฟ้าฝนก็ไม่เป็นใจรึนี่” พูดจบเขาก็บิดคันเร่งเต็มกำลัง ควบเจ้าสองล้อคู่ใจทะยานไปบนท้องถนนอันเปียกปอนเพื่อไปให้ถึงที่หมายโดยเร็วที่สุด

    ในเวลาเดียวกัน แต่ต่างสถานที่...

    ณ อาคารสูงสีขาวสะอาดตารายล้อมด้วยเสาหินขนาดใหญ่สีขาวจนดูราวกับว่าเป็นวิหารของเทพเจ้า ที่นี่คือ พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติลูมินัสต้า สถานที่ ๆ ใช้เก็บรวมรวมหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ในช่วงสามเดือนที่ผ่านมาสถานที่แห่งนี้ได้กลายเป็นสถานที่จัดนิทรรศการ “ระลึกประวัติศาสตร์อุนดิเนเซีย” จึงไม่แปลกที่ช่วงนี้จะมีผู้คนมากหน้าหลายตาแวะเวียนกันมาที่นี่อย่างไม่ขาดสาย

    คนกลุ่มนี้ก็เช่นกัน พวกเขามานั่งรอพิพิธภัณฑ์เปิดกันตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง คนหนึ่งเป็นเด็กหนุ่มรูปร่างผอมเพรียว เส้นผมสีน้ำเงินอมม่วงซอยสั้นรับกับใบหน้า ดวงตาสีเขียวมรกตกำลังไล่อ่านไปตามหน้าหนังสือ “The Griever Hut” อย่างใจจดใจจ่อ

    ส่วนอีกคนเป็นเด็กสาวหน้าตาสะสวยเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลยาวสลวยที่ถูกมัดเป็นหางม้าเอาไว้โดยปล่อยให้ปอยผมด้านหน้าตกลงมาเล็กน้อย เธอกำลังเดินวนไปวนมาอย่างกระวนกระวายใจพลางชะเง้อคอมองหาใครบางคนในม่านสายฝนที่กำลังโปรยปราย

    “นี่ก็เลยเวลานัดมาชั่วโมงกว่าแล้ว ยังไม่มีวี่แววว่าคุณราเมียร์จะมาเลยนะคะ ถ้ายังไง... เราเอาร่มออกไปรับเค้ากันดีมั้ยคะ?” เด็กสาวถามเพื่อนที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ข้าง ๆ

    “ไม่ต้องกังวลไปหรอกไอริส คนอย่างหมอนั่นไม่เคยผิดนัดใครง่าย ๆ หรอก ที่มาสายก็คงเพราะมัวแต่ชื่นชมธรรมชาติตามสไตล์มันน่ะแหละ” นาโอตอบโดยไม่ละสายตาจากหนังสือ “ถ้าเราออกไปรับอาจจะคลาดกันก็ได้นา”

    “แต่ว่า...”

    “หึ...” นาโอแค่นหัวเราะในลำคอ “ตายยากจริงแฮะ พอพูดถึงก็มาพอดี”

    พูดจบเขาปิดหนังสือในมือเก็บใส่กระเป๋าเป้ ก่อนที่จะชี้ให้เด็กสาวดูเงาตะคุ่มที่กำลังฝ่าสายฝนเข้ามาเรื่อย ๆ เมื่อเข้ามาใกล้ ๆ จึงได้รู้ว่าเป็นร่างของเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มในสภาพเปียกปอนกำลังจูงมอเตอร์ไซด์เข้ามายังบริเวณที่ทั้งสองคนยืนอยู่

    “ดูไม่จืดเลยนี่หว่าราล” นาโอทักขึ้นมาเป็นคนแรก “นี่คงลืมชาร์ตพลังงานสำรองเอาไว้สิท่า พอฝนตกปุ๊บถึงได้พลังงานหมดปั๊บแบบเนี้ย”

    “เดาแม่นนี่หว่านาโอ โชคดีที่พลังงานหมดไม่ไกลนัก ยังพอเข็นมาที่นี่ไหว” ราเมียร์พูดพลางถอดแว่นกันลมที่ชุ่มน้ำออกเผยให้เห็นดวงตาสีเหลืองอำพันแม้ว่าเขาจะไม่ใช่ชาวอัลฟีเรี่ยนก็ตาม “ถ้าไกลกว่านี้คงต้องทิ้งรถไว้ที่นั่นแล้ว”

    “ชอบทำให้คนอื่นเป็นห่วงอยู่เรื่อยเลยนะคะ” ไอริสพูดพลางเดินเข้ามาเกาะต้นแขนของราเมียร์ไว้ พอได้จังหวะเท่านั้นเธอก็หยิกแรง ๆ ไปหนึ่งที เล่นเอาคนถูกหยิกถึงกับน้ำตาร่วงเลยทีเดียว

    “อุ๊บ! อะไร...” ราเมียร์ขยับปากจะถามแต่ก็ถูกฝ่ามือเรียวบางยื่นมาปิดปากเอาไว้ พร้อมกับวงหน้าใสที่ยื่นมากระซิบที่ข้างหู

    “ไหนใครเป็นคนบอกคะว่า ‘อย่ามาสาย’ แล้วนี่มันหมายความว่ายังไงคะ ไม่รู้ล่ะถ้าวันนี้รายงานของกลุ่มไม่เสร็จล่ะก็คุณจะได้ลิ้มรสชาติของคำว่าประวัติศาสตร์อย่างถึงใจเลยทีเดียว” สาวเจ้ากระซิบเสียงแผ่วเบาแต่แฝงไว้ด้วยความหนักแน่น

    “มีอะไรกันเหรอสองคนนั่น?” นาโอถามอย่างสงสัยกับพฤติกรรมของเพื่อนทั้งสอง

    “ไม่มีอะไรค่ะ” ไอริสหันหน้ากลับมาปฏิเสธเสียงหวาน “เราเข้าไปข้างในกันเถอะค่ะ”

    “เอ่อ... ก่อนอื่นชั้นขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนได้ป่ะ เดินแฉะ ๆ แบบนี้นาน ๆ เดี๋ยวจะเป็นปอดบวมตายซะก่อน” ราเมียร์ขออนุญาตเด็กสาวแบบกล้า ๆ กลัว ๆ

    “เชิญสิคะ รอมาเป็นชั่วโมงแล้ว จะรออีกซักสิบนาทีจะเป็นไรไปเชียว”

    เมื่อได้รับอนุญาต เจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลเข้มจึงฉวยโอกาสพาร่างอันเปียกปอนเดินล่วงหน้าเข้าประตูพิพิธภัณฑ์ไป

    “เราเองก็เข้าไปได้แล้วมั้ง” นาโอพูดพร้อมกับเดินไปหยิบกระเป๋าเป้ของตัวเองและของไอริสขึ้นมาสะพายไหล่ ก่อนจะเดินนำเด็กสาวเข้าไปด้านใน


    ~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~

    เมื่อเข้ามาในพิพิธภัณฑ์สิ่งแรกที่ทุกคนจะได้เห็นคือ ห้องโถงขนาดใหญ่ที่ปูพื้นด้วยหินอ่อนสีขาวสะอาดตา เพดานนั้นทำด้วยกระจกใสทำให้สามารถมองเห็นท้องฟ้าภายนอกได้ สถาปัตยกรรมหนึ่งเดียวในห้องนี้คืออนุสาวรีย์ของบรรพกษัตริย์ทั้งห้าผู้แบ่งแยกดาวอัลฟ่าออกเป็นห้าส่วน แต่ละท่านล้วนแต่มีสีหน้าเคร่งเครียดดุดันราวกับมีชีวิตจริงแม้จะสิ้นพระชนม์มากว่าหนึ่งพันปีแล้วก็ตาม

    “อืม... เริ่มจากที่ไหนก่อนดีล่ะ” นาโอพูด เนื่องจากทางที่เชื่อมต่อจากห้องโถงมีหลายทาง สำหรับคนที่ไม่ค่อยได้เข้ามาศึกษาหาความรู้ที่นี่อย่างนาโอก็ต้องมีสับสนบ้างเป็นธรรมดา

    “ตามแผนที่บอกว่าห้องจัดนิทรรศการให้ขึ้นบันไดทางซ้ายมือ” ไอริสอ่านป้ายแผนที่ให้เด็กหนุ่มฟัง ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมองว่าควรจะไปยังทิศทางใด “ทางนั้นไงคะ”

    ทั้งสองคนเดินขึ้นบันไดซ้ายมือตามที่แผนที่บอกไว้ก็พบกับห้องโถงขนาดใหญ่อีกห้อง ซึ่งห้องนี้แม้จะปูพื้นด้วยหินอ่อนสีขาวเหมือนกับห้องแรก แต่ทั้งฝาผนังและฝ้าเพดานกลับถูกประดับประดาด้วยธงสีน้ำเงินที่มีลายเส้นเป็นรูปนางเงือกสีเงินกำลังเริงระบำอยู่อย่างร่าเริงราวกับว่าห้องนี้ได้กลายเป็นวังบาดาลของพวกเธอไปแล้ว

    “วันนี้คนน้อยจังเลยแฮะ เรามาผิดห้องรึเปล่าเนี่ย” นาโอพูดเมื่อสังเกตเห็นว่าภายในห้องโถงอันกว้างใหญ่กลับมีคนยืนจับกลุ่มกันเพียงไม่กี่กลุ่มเท่านั้น

    “สีประจำอาณาจักรแห่งน้ำคือสีน้ำเงิน ต้องเป็นห้องนี้ไม่ผิดแน่ค่ะ” ไอริสสันนิษฐาน “ที่คนน้อยคงเป็นเพราะฝนที่ตกลงมาตั้งแต่เช้ามากกว่า”

    “เอาล่ะค่ะท่านผู้มีเกียรติทุกท่าน…” ยังไม่ทันที่ทั้งสองคนจะได้ทำอะไร ก็ได้ยินเสียงของไกด์สาวคนหนึ่งกำลังอธิบายแต่ละจุดภายในห้องนี้ให้นักท่องเที่ยวกลุ่มเล็ก ๆ กลุ่มหนึ่งฟัง

    “สิ่งที่ทุกท่านจะได้เห็นต่อไปนี้มีชื่อเรียกว่า คอร์ มันเป็นหินที่สามารถปล่อยพลังออกมาได้เรื่อย ๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุดยามที่ถูกมนุษย์สัมผัส ในอดีตถือเป็นของที่จำเป็นสำหรับมนุษย์ในชีวิตประจำวันอย่างมาก ถือเป็นจุดเปลี่ยนของวิวัฒนาการที่ทำให้มนุษย์เราไม่ต้องเริ่มต้นใหม่จากศูนย์”

    ไอริสและนาโอเดินเข้ามาจดคำอธิบายของไกด์สาวใกล้ ๆ พร้อมกับชะโงกมองสิ่งที่อยู่ในตู้กระจกเบื้องหน้าไปด้วย มันเป็นก้อนหินก้อนเล็ก ๆ ขนาดประมาณนิ้วหัวแม่มือที่ทั้งแตกร้าวและผุพัง ไม่เห็นจะแปลกประหลาดอย่างที่ไกด์คนนั้นพูดเลยสักนิด

    “หากแต่ว่าพลังงานที่มากมายมหาศาลนั้นกลับก่อให้เกิดสงครามแย่งชิงพลังงานครั้งใหญ่ระหว่างอาณาจักรแห่งไฟกับอาณาจักรทั้งสี่ แม่ทัพของอาณาจักรแห่งไฟในสมัยนั้นคือ ควอโทร อาร์ เพอร์ดิเทียร์ เค้าคือชายที่ได้ชื่อว่าเป็นนักรบอันดับหนึ่งในแผ่นดิน กองกำลังอัศวินแดงชาดของเขาไม่เคยปราชัยในสมรภูมิใด ๆ”

    “เพื่อที่จะหยุดสงครามที่นับวันจะทวีความรุนแรงขึ้นไปเรื่อย ๆ ทางสภาสูงที่ประกอบไปด้วยปราชญ์ยี่สิบสี่คนที่รวบรวมมาจากทั่วดาวอัลฟ่าและตัวแทนของแต่ละอาณาจักรอีกห้าคน จึงได้ทำการลงมติให้ทำลายคอร์ที่มีอยู่บนโลกทิ้งให้หมดอย่าให้เหลือแม้เพียงเศษเสี้ยว”

    “แต่ทว่าการที่จะทำลายคอร์จำนวนมากมายมหาศาลได้นั้นก็จำเป็นที่จะต้องมีเวลาที่มากมายเช่นเดียวกัน ด้วยเหตุนี้จึงต้องมีการยกกำลังไปถ่วงเวลากองกำลังอัศวินแดงชาดไว้ก่อน ซึ่งกองกำลังที่ถูกเลือกก็คือ กองกำลังอัศวินฟ้าครามของอาณาจักรแห่งน้ำ”

    ถึงตรงนี้ไกด์สาวก็เดินนำนักท่องเที่ยวมาหยุดอยู่ตรงรูปภาพรูปหนึ่งที่มีขนาดใหญ่เท่าฝาผนัง ภายในรูปเป็นบุคคลกลุ่มหนึ่งกำลังยืนหันหลังชนกันอยู่ท่ามกลางสนามรบ แต่ละคนล้วนแล้วแต่มีอาวุธครบมือ สวมเกราะสีน้ำเงินเข้มที่มีร่องรอยบาดแผลอยู่เต็มไปหมด ที่โดดเด่นที่สุดคือคนที่กำลังขี่ม้าตะโกนสั่งการอยู่ตรงกลางภาพ สีหน้าของเขานั้นเกรี้ยวกราดและดุดันราวกับว่าจะตามเข่นฆ่าศัตรูไปจนถึงชาติภพหน้า

    “ภาพที่ท่านเห็นอยู่นี้คือ กองกำลังอัศวินฟ้าครามภายใต้การนำของแม่ทัพวาฮัน อิซาก้า ผู้เก่งกาจ ท่านได้นำกองกำลังที่มีอยู่น้อยนิดขึ้นต้านกองกำลังอัศวินแดงชาดของแม่ทัพควอโทรได้อย่างเหลือเชื่อเป็นเวลาถึงสามเดือนเต็ม จนในที่สุดคอร์ทั้งหมดก็ถูกทำลายลงพร้อม ๆ กับธงรบผืนสุดท้ายของอาณาจักรแห่งน้ำที่หักสะบั้นลงเฉกเช่นเดียวกัน...”

    “ด้วยเหตุนี้ นับตั้งแต่สงครามสิ้นสุดลงจึงได้มีการจัดงานระลึกประวัติศาสตร์อุนดิเนเซียขึ้นทุกปี โดยจะจัดหมุนเวียนกันไปตามสามอาณาจักรที่เหลือ เพื่อเป็นการระลึกถึงการจากไปอย่างวีรบุรุษของเหล่าอัศวินแห่งอุนดิเนเซีย”

    “สุดยอดไปเลยนะคะ แม่ทัพวาฮันเนี่ย” ไอริสพูด แววตาเปี่ยมไปด้วยความเลื่อมใส “ทั้งกล้าหาญ สูงส่งและเสียสละ”

    “นั่นสินะ เอ... นี่ก็ตั้งนานแล้วทำไมเจ้าราลยังไม่มาอีก ไม่ช่วยกันจดเดี๋ยวรายงานก็ไม่เสร็จกันพอดี”

    “ถ้างั้นเราไปตามเค้ากันดีมั้ยคะ ห้องน้ำก็อยู่ใกล้ ๆ นี่เอง” ไอริสเสนอความเห็น

    “ก็ดี งั้นไปกันเหอะ”


    ~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~

    ภายในห้องน้ำอันเงียบสงัดและค่อนข้างมืด สายฝนด้านนอกยังคงตกลงมาอย่างไม่ขาดสายอีกทั้งยังมีฟ้าร้องครืนดูน่ากลัว ที่บริเวณอ่างล้างมือที่อยู่หน้ากระจก ราเมียร์กำลังบรรจงถอดเสื้อผ้าออกทีละชิ้นเผยให้เห็นมัดกล้ามสมส่วนที่ชุ่มไปด้วยน้ำสะท้อนแสงไฟสลัวเป็นมันวาว

    “อูย... ยัยไอริสหยิกเจ็บเป็นบ้า เล่นซะเนื้อเขียวเลย” เด็กหนุ่มพูดพลางลูบต้นแขนของตัวเองไปมา ก่อนจะหยิบเสื้อผ้าที่ชุ่มน้ำไปอังที่เครื่องเป่าลม

    ช่วยด้วย...” จู่ ๆ เสียงโหยหวนซึ่งไร้ที่มาก็ดังขึ้น

    “ใครวะ!?” ราเมียร์ตะโกนถามด้วยความตกใจ ดวงตาสีเหลืองอำพันกลอกไปมาเพื่อหาที่มาของเสียงนั้น

    มาทางนี้...

    “เฮ้ย! มีชวนด้วย ท่าไม่ดีแล้วแฮะ” ราเมียร์ถอยหลังพิงกำแพงเพื่อกันไม่ให้มี “บางสิ่ง” โผล่มาจะเอ๋ด้านหลัง จากนั้นจึงค่อยสวมเสื้อกลับทั้งที่ยังไม่แห้งดีนัก

    มาทางนี้...

    เด็กหนุ่มแสร้งทำเป็นไม่สนใจเดินไปหยิบกระเป๋าที่หน้ากระจกก่อนที่จะผลุนผลันเดินออกไปจากห้องน้ำทันที ในใจก็ภาวนาว่าอย่าได้ตามมาหลอกหลอนกันเลย

    มาทางนี้...

    ไหล่ของเด็กหนุ่มสั่นสะท้าน ความกลัวเริ่มเข้าเกาะกุมจิตใจของเขาเรื่อย ๆ ราเมียร์สลัดหัวเพื่อขับไล่ความกลัวนั้นออกไป ก่อนที่จะกัดฟันตัดสินใจกลับหลังหันเดินเข้าไปหาที่มาของเสียงปริศนานั่น

    “เอาวะ ถ้าไม่ใช่ผีล่ะก็ พ่อจะกระทืบให้ง่อยกินไปเลย”

    เมื่อเดินตามเสียงมาเรื่อย ๆ ราเมียร์ก็พบว่าตัวเองนั้นได้เดินเข้ามาอยู่ในห้อง ๆ หนึ่งที่ทั้งมืดและกว้าง ใจกลางของห้องนั้นมีแท่นสำหรับวางวัตถุโบราณตั้งเอาไว้อยู่ สิ่งที่วางอยู่บนแท่นถูกคลุมไว้ด้วยผ้าสีน้ำเงินยาวจรดพื้นปักเป็นรูปนางเงือกสีเงินดูงดงาม

    ในขณะที่เขากำลังเอื้อมมือเปิดผ้าคลุมนั่นเอง...

    มือปริศนาก็เอื้อมมาแตะไหล่ของเขาจากด้านหลังเล่นเอาคนโดนแตะถึงกับเสียวสันหลังวูบขนลุกเกรียวไปทั้งตัว

    “ทำอะไรน่ะ?” เจ้าของมือที่ว่าคือเพื่อนสนิทของเขา นาโอ รันเซ่ และเพื่อนร่วมชั้น ไอริส ฟอร์ซ นั่นเอง

    “เอ่อ... ก็... กำลังจะดูว่าผ้ามันคลุมอะไรอยู่” ราเมียร์พูดเสียงสั่น “ไม่ใช่ว่ากลัวผีอะไรหรอกนะ”

    “แล้วมันคืออะไรคะ ของในผ้าคลุมนั่นน่ะ?” เด็กสาวถามท่าทางอยากรู้อยากเห็น

    “ก็กำลังจะเปิดอยู่นี่แหละ พวกนายดันมาขัดซะก่อน”

    พูดจบราเมียร์ก็กระชากผ้าคลุมออกเผยให้เห็นสิ่งของด้านใน มันเป็นสร้อยคอที่ทำขึ้นจากโลหะสีเงินเงาวาวขัดกันเป็นเกลียวเถาวัลย์งดงาม ตรงกลางของสร้อยนั้นประดับด้วยคริสตัลรูปทรงปริซึมสีฟ้าใสมีประกายเจิดจรัสอยู่ภายในดุจดวงดาวบนท้องฟ้า ทั้งหมดบรรจุอยู่ภายในกล่องคร่ำคร่าสีทองที่สลักลวดลายอักขระโบราณอยู่ทั่วกล่อง

    “เมโมเรียลคอร์” นาโอเอ่ยชื่อของสิ่งนั้น

    “อะไรน่ะ รู้จักด้วยเรอะ?” ราเมียร์ถาม

    “เปล่า” นาโอตอบหน้าซื่อ “ก็อ่านชื่อมันที่แท่นนั่นน่ะ เค้าบอกว่าเป็นคอร์ที่ระลึกตอนสถาปนาห้าอาณาจักรครั้งแรกและจะตกทอดเป็นสมบัติของราชวงศ์ผู้ปกครองอาณาจักรทั้งห้าอย่างไม่มีเงื่อนไข มีทั้งหมดห้าชิ้นแต่ปัจจุบันขุดพบในซากเมืองเก่าของอาณาจักรแห่งน้ำเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น”

    “ชั้นว่าเรารีบไปกันก่อนดีกว่ามั้ยคะ ถ้ามีใครมาเห็นเราตอนนี้เค้าอาจจะนึกว่าเราเป็นขโมยก็ได้”

    “จะบ้าเรอะ! แค่ดูไม่มีใครเค้าคิดว่าเป็นขโมยหรอกเว้ย ยัยเบื๊อก! อุ๊ฟ!” เป็นราเมียร์ที่โดนหยิกเป็นครั้งที่สอง

    ช่วยด้วย...” จู่ ๆ เสียงปริศนาก็ดังขึ้นอีกครั้ง

    “เสียงอะไรน่ะ?” นาโอร้องทักขึ้นบ้าง “ไอริสเหรอ?”

    “ชั้นเปล่านะคะ” ไอริสพูดมองไปที่วัตถุโบราณด้านหน้า “เสียงดังมาจาก... เมโมเรียลคอร์”

    “อืม... รู้สึกว่าจะใช่นะ” ราเมียร์พูดก่อนจะยื่นมือออกไปเพื่อที่จะแตะเมโมเรียลคอร์ที่บัดนี้เริ่มมีประกายแสงสีฟ้าระยิบระยับพร้อมกับลมกรรโชกที่พัดเสียจนสิ่งของในห้องสั่นไหวแม้ว่าในห้องนี้จะไม่มีช่องที่กว้างพอให้ลมจากภายนอกพัดเข้ามาก็ตาม

    “จะดีเหรอ ชั้นว่าอย่าดีกว่ามั้ง” นาโอเอื้อมมือไปรั้งมือของราเมียร์เอาไว้

    “ถ้ามีผีล่ะก็ เราจะได้เห็นกันล่ะ” ราเมียร์พูดอย่างมั่นใจ

    “หึ...” นาโอแค่นหัวเราะออกมาก่อนที่จะยื่นมือออกไปเช่นกัน “ถ้าอย่างนั้นเราก็แตะพร้อมกัน”

    “ระวังตัวนะคะ” ไอริสพูดก่อนที่จะเอื้อมมือมาเกาะหลังราเมียร์

    ทันทีที่มือของสองหนุ่มสัมผัสกับเมโมเรียลคอร์ ก็บังเกิดแสงสว่างวาบจนห้องที่มืดจนแทบมองไม่เห็นนั้นกลับกลายเป็นสีขาวโพลน ทั้งสามคนรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังลอยออกไปด้านนอกทั้งที่ยังยืนอยู่ โคลงเคลงราวกับกำลังยืนบนเรือที่กำลังแล่นอยู่ มืดมนราวกับกำลังดำดิ่งสู่ห้วงลึกแห่งรัตติกาล ในสติอันรางเลือนมีเพียงสีขาวที่ขาวเสียจนมองไม่เห็นร่างกาย มองไม่เห็นจิตใจ มองไม่เห็นแม้แต่... อนาคตของตัวเอง


    ~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~

    Special Thanks
    - Ramiar Alaxxer [~~MaSaLaN~~]
    - Iris Force [!+~Hell~+!]
    - Nao Runse [Naoki Kagami : PEACEMAKER]
    - Vahan Yzaga [Evan Ψzac £ เดอะ ริปเปอร์]
    - Quattro Revan Perditior [PAIA : The King of Kings]
  3. endlich

    endlich Member

    EXP:
    123
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    16
    Re: [ฟิครับสมัคร] Memorial Core : พลิกตำนานสงครามศักดิ์สิทธิ์

    Chapter II : การพบกันของคนสองยุคสมัย

    ปีศักราชใหม่ที่ 624

    ป่าวงกต อาณาจักรแห่งดิน

    แสงตะวันยามเช้าสาดส่องลงมากระทบกับหยาดน้ำค้างบนใบไม้สะท้อนเงาเป็นประกายระยิบระยับ สายลมบริสุทธิ์พัดพากลีบดอกไม้หลากสีปลิวตกลงไปในลำธารใสที่มองเห็นปลาน้อยใหญ่ดำผุดดำว่ายกันอย่างเริงร่า ที่นี่คือป่าวงกต สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวอัลฟีเรี่ยนที่มนุษย์หน้าไหนก็มิอาจย่างกรายเข้ามาได้ เว้นแต่...

    ชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลทองมัดรวบไว้ด้านหลัง ผู้ซึ่งกำลังนั่งอยู่บนต้นไม้ต้นหนึ่งที่เจริญเติบโตสูงกว่าต้นไม้ใด ๆ ว่ากันว่าหากได้ขึ้นมานั่งอยู่บนยอดของมันล่ะก็จะสามารถมองเห็นทิวทัศน์ที่สวยงามที่สุดของป่าวงกตได้เลยทีเดียว ในมือข้างหนึ่งของเขาถือขนมปังอบที่มีรอยกัดเล็กน้อย ส่วนมืออีกข้างถูกยกขึ้นมาป้องแสงแดดจ้าเพื่อให้สายตาสามารถมองเห็นทิวทัศน์เบื้องล่างได้ไกลที่สุด

    “คิดไม่ผิดจริง ๆ ที่ปีนขึ้นมากินมื้อเช้าบนนี้... เนอะ เซชส์” เขาหันไปพูดกับแฟรี่ตัวน้อยที่นั่งตัวสั่นอยู่บนหัวไหล่

    แฟรี่ (Fairy) เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะคล้ายมนุษย์เพียงแต่มีขนาดเล็กกว่ามากนัก เพศชายจะมีปีกที่ใสเหมือนปีกของแมลงปอที่กลางหลังส่วนเพศหญิงจะมีปีกที่สวยงามเหมือนปีกของผีเสื้อ มักสวมใส่เสื้อผ้าที่ทำจากใบไม้หรือกลีบดอกไม้ มีความสามารถพิเศษในการจดจำเส้นทางในป่าได้อย่างดีเยี่ยม

    “แต่เซชส์กลัวนี่เจ้าคะ มิ้ว~” เจ้าตัวน้อยพูดพลางเอามือปิดหน้า “เซชส์ว่าเรารีบลงกันดีกว่านะเจ้าคะ มิ้ว~”

    “อะไรกันเซชส์ เจ้าเองก็บินได้แท้ ๆ ยังจะกลัวความสูงอีกเหรอ” ชายหนุ่มพูดอย่างนึกเอ็นดู “ไม่ไหวเลยน้า”

    “ก็เซชส์ไม่เคยบินสูง ๆ นี่เจ้าคะ มิ้ว~” เจ้าตัวน้อยตัดพ้อ “ที่เคยบินก็แค่ระดับดอกไม้เองนะเจ้าคะ มิ้ว~”

    “เอาล่ะ ๆ เดี๋ยวข้าลงก็ได้ แต่ขอจัดการกับมื้อเช้าให้เสร็จก่อนนะ”

    ในขณะที่ทั้งคู่กำลังคุยกันอยู่นั้น สายลมที่เคยพัดอย่างอ่อนโยนก็เริ่มที่จะพัดแรงขึ้นเรื่อย ๆ กลุ่มเมฆฝนก้อนหนาเคลื่อนที่ตามแรงลม หมุนวนเข้ามาบดบังพระอาทิตย์จนท้องฟ้าที่เคยสว่างกลับมืดครึ้มในพริบตา ฝูงสัตว์ป่าน้อยใหญ่ต่างวิ่งหนีกันอลหม่านราวกับว่ากำลังมี “บางสิ่ง” ที่มีพลังกดดันมหาศาลกำลังมาที่นี่

    “นี่มันอะไรกันเนี่ย!?”

    ทันใดนั้น ลำแสงสีขาวขนาดมหึมาก็พุ่งทะลุใจกลางเมฆลงมาจากฟากฟ้าราวกับน้ำตกจากสรวงสวรรค์ เปล่งรัศมีเจิดจ้าจนชายหนุ่มต้องยกมือขึ้นบังสายตาของตัวเองและสายตาของภูตตัวน้อยเอาไว้ ลำแสงประหลาดนั้นสว่างวาบอยู่ชั่วอึดใจก่อนที่จะสลายไปพร้อม ๆ กับความสงบสุขของป่าที่คืนกลับมาอีกครั้ง

    “นี่มัน... ปรากฏการณ์เวทมนตร์” ชายหนุ่มพูดพร้อมอย่างหรี่ตาลงอย่างครุ่นคิด “ใครกันที่กล้ามาปล่อยพลังซี้ซั้วในป่าวงกตแบบนี้”

    “ข้าจะลองไปดูลาดเลาซักหน่อย เซชส์เจ้าลงไปคอยที่ม้าก่อนนะ เดี๋ยวข้าจะกลับมา” ชายหนุ่มให้สัญญากับภูตตัวน้อยก่อนที่จะฉวยหอกคู่ใจกระโดดลงไปยังผืนป่าเบื้องล่างทันที


    ~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~

    ห่างออกไปราวหนึ่งกิโลเมตรบริเวณที่ลำแสงดังกล่าวสาดส่องลงมา บัดนี้สิ่งที่เหลืออยู่มีเพียงต้นไม้ที่คุกรุ่นไปด้วยควันที่เกิดจากการแผดเผาด้วยความร้อนสูง ผืนหญ้าโดยรอบถูกกวาดล้างผิวหน้าออกไปกลายเป็นผืนดินนุ่ม ๆ มีควันจาง ๆ จากการระเหยของดินลอยขึ้นมา ร่างของเด็กหนุ่มนามราเมียร์ และเด็กสาวนามไอริสกำลังนอนไม่ได้สติอยู่กลางผืนดินนั้น

    “อา...” เป็นราเมียร์ที่ฟื้นขึ้นมาก่อน เขาชันกายลุกขึ้นนั่งพร้อมกับสลัดศีรษะเพื่อขับไล่ความมึนงงออกไป

    “เกิดอะไรขึ้นวะเนี่ย พอแตะไอ้ผลึกนั่นก็วูบไปเลย” ราเมียร์บ่นเสียงขรมก่อนที่จะสังเกตเห็นว่าทิวทัศน์รอบกายนั้นมันช่างไม่คุ้นตาเอาเสียเลย “แล้ว... เราอยู่ที่ไหนล่ะนี่”

    “เกิดอะไรขึ้นคะคุณราเมียร์... แล้วนี่เราอยู่ที่ไหน?” ยังไม่ทันที่เด็กหนุ่มจะหาคำตอบให้กับตัวเองได้ ไอริสที่เพิ่งจะฟื้นขึ้นมาก็ชิงถามซะก่อน

    “ไม่รู้” ราเมียร์ตอบ

    “แล้วคุณนาโอล่ะคะ?” เด็กสาวถามอีกครั้งเมื่อสังเกตเห็นว่าผู้ที่อยู่ในบริเวณนี้มีเพียงแค่เธอกับราเมียร์เท่านั้น

    “ไม่รู้” ราเมียร์ตอบเช่นเดิม

    “อะไรกัน ถามอะไรก็ไม่รู้ซักอย่าง!” ไอริสเริ่มยัวะจัดหลังจากที่ได้รับคำตอบเดิมถึงสองครั้งสองครา “นอกจากเรื่องโดดเรียนแล้วคุณเคยรู้อะไรกับใครเค้าบ้างมั้ยคะ!”

    “ก็มันไม่รู้นี่เว้ย ชั้นเองก็เพิ่งฟื้นก่อนเธอไม่กี่นาทีนี่เอง ทีหลังจะถามอะไรหัดใช้สมองซะมั่งเซ่!” ราเมียร์ตวาดใส่ไอริสเนื่องจากเขาเองก็เริ่มยัวะเช่นกัน

    เด็กสาวนิ่งเงียบไปพักใหญ่ ก่อนที่เธอจะพูดต่อด้วยสีหน้าที่เจื่อนลงเล็กน้อย “ขอโทษ... ชั้นคงหงุดหงิดไปหน่อย”

    “ไม่ต้องขอโทษหรอก” ราเมียร์พูดพลางแสร้งหันหน้าไปทางอื่น “ชั้นผิดเองที่พาเธอมาเจอกับเรื่องแบบนี้ ถ้าชั้นไม่ไปแตะผลึกนั่นล่ะก็...”

    “คิดว่าเป็นเพราะพลังของเมโมเรียลคอร์เหรอคะ?”

    “ชั้นไม่รู้... ชั้นรู้แค่ว่าผลึกนั่นเรียกพวกเรามาเพราะต้องการให้เราช่วยเหลืออะไรบางอย่าง พอชั้นไปแตะมัน ๆ ถึงส่งพวกเรามาที่นี่”

    “ถึงคุณจะพูดอย่างนั้นก็เถอะ แต่ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาโทษว่าเป็นความผิดของใครหรอกนะคะ ปัญหาของเราตอนนี้ก็คือจะหาทางออกไปจากป่านี้ยังไง ไหนจะต้องตามหาคุณนาโออีก”

    “เรื่องของนาโอน่ะตัดทิ้งไปได้เลย” ราเมียร์พูดพร้อมกับยิ้มอย่างมั่นใจ

    “ชั้นกับหมอนั่นเคยไปเดินป่าด้วยกันมาหลายครั้ง เรื่องหลงป่าแค่นี้หมอนั่นเอาตัวรอดได้อยู่แล้ว”

    “ที่เหลือก็คือพวกเราล่ะ” พูดจบเขาก็หยิบกระเป๋าเป้ขึ้นสะพายหลัง “ก่อนอื่นเราต้องหาเนินสูง ๆ จะได้รู้ว่าป่าที่พวกเราอยู่นี่กว้างแค่ไหน หลังจากนั้นค่อยว่ากันอีกที”

    “ว่าไง... จะไปกับชั้นมั้ย?” เด็กหนุ่มถามพร้อมกับยื่นมือไปหาเด็กสาวที่กำลังนั่งอยู่กับพื้น

    “ชั้นยังมีตัวเลือกเหลืออีกเหรอคะ” ไอริสตอบรับข้อเสนออย่างเต็มใจ เธอยื่นมือออกไปจับมือของราเมียร์เอาไว้ก่อนที่จะออกแรงลุกขึ้นยืนอีกครั้งเพื่อเผชิญกับความท้าทายใหม่ ๆ ที่เธอไม่เคยพบมาก่อน


    ~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~

    เป็นเวลากว่าสองชั่วโมงที่สองหนุ่มสาวเดินทางเข้าไปในป่าอย่างไร้จุดหมาย ความหิวกระหายและความเหนื่อยล้าเริ่มที่จะบั่นทอนกำลังใจของพวกเขาไปทีละน้อย จนในที่สุดพวกเขาก็ตัดสินใจหยุดพักเหนื่อยกันที่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งที่พอจะมีร่มเงาให้หลบร้อนได้บ้าง

    “เป็นป่าที่แปลกมาก” ราเมียร์พูดหลังจากที่ทิ้งตัวลงนั่งข้าง ๆ ไอริส “สมัยก่อนพ่อของชั้นเป็นนักผจญภัย เวลาที่หาพี่เลี้ยงเด็กให้ชั้นไม่ได้เค้าก็มักจะหนีบชั้นเข้าป่าไปด้วยเสมอ มันก็เลยทำให้ชั้นชำนาญป่าโดยไม่รู้ตัว ไม่ว่าจะเป็นป่าเล็กป่าใหญ่ถ้ายังอยู่ในอาณาจักรแห่งแสงล่ะก็ รับประกันได้เลยว่าชั้นไม่มีวันหลงแน่นอน”

    “แต่ว่าป่านี้ ยิ่งเดินก็ยิ่งรู้สึกว่าห่างไกลทางออกมากขึ้นทุกที ราวกับว่าเรากำลังเดินอยู่ในเขาวงกตอย่างงั้นแหละ”

    “ที่นี่คือ... ป่าวงกต” จู่ ๆ ไอริสก็เอ่ยชื่อนี้ขึ้น

    “อะไรนะ”

    “พอพูดถึงเขาวงกต ชั้นก็นึกชื่อนี้ขึ้นมาได้น่ะค่ะ” เด็กสาวใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อบนใบหน้าก่อนที่จะพูดต่อ“ป่าวงกตเป็นป่าที่กว้างใหญ่ที่สุดในโลก ว่ากันว่าข้างในป่ามีพวกภูตอาศัยอยู่ หากใครถูกภูตชักชวนให้เข้าไปอยู่ในป่าด้วยกันล่ะก็จะไม่มีวันได้เห็นแสงเดือนแสงตะวันอีกเลย”

    คำบอกเล่าของไอริสทำให้ราเมียร์มีสีหน้าที่ซีดลงอย่างเห็นได้ชัด

    “อะไรกันคะ ชั้นก็แค่ล้อเล่นเท่านั้นเอง” ไอริสหัวเราะร่า “ที่นี่คงไม่ใช่ป่าวงกตหรอกค่ะ ขนาดนั่งเรือเหาะที่เร็วที่สุดจากลูมินัสต้าไปโนมฟอเรสยังต้องใช้เวลาตั้งสามวัน แต่นี่เราเพิ่งจะผ่านไปคืนเดียวจะมาอยู่ในป่าวงกตได้ไงกันคะ”

    “มันก็ไม่แน่หรอกนะ ถ้าผลึกนั่นมีพลังเคลื่อนย้ายจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งได้ล่ะก็... ระยะทางก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรเลย”

    “นั่นสินะ... หืมม์?” เด็กสาวเอียงคอสงสัย เมื่อจู่ ๆ ราเมียร์ก็ยกมือขึ้นมาบังปากเธอไว้เป็นทำนองว่าให้เธอเงียบเสียง ก่อนที่เขาจะชี้ไปยังพุ่มไม้เบื้องหน้าที่มีการเคลื่อนไหวผิดธรรมชาติเล็กน้อย

    “ชั้นจะไปดูลาดเลาซักหน่อย ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นล่ะก็วิ่งหนึไปได้เลยนะ” พูดจบเขาก็ย่องเข้าไปหาพุ่มไม้นั้นเงียบ ๆ โดยไม่ลืมที่จะฉวยกิ่งไม้แห้งบนพื้นติดมือไปด้วย

    เมื่อราเมียร์ไปถึงพุ่มไม้ ภาพที่ปรากฏต่อสายตานั้นก็ทำให้เขาอุทานออกมาโดยไม่รู้ตัว

    “ว้าว!”

    สิ่งมีชีวิตที่ปรากฏอยู่หลังพุ่มไม้แม้จะมีลักษณะทางกายภาพคล้ายกับมนุษย์แต่องค์ประกอบนั้นกลับต่างกันราวฟ้ากับเหว ด้วยร่างกายอันใหญ่โตร่วมสามเมตรที่ประกอบขึ้นมาจากเหล็กกล้า แขนขวาติดตั้งวัตถุทรงกระบอกยาวราวกับลำกล้องของปืนใหญ่ ส่วนแขนซ้ายติดตั้งแผ่นโลหะสี่เหลี่ยมแบนลักษณะคล้ายโล่ ดวงไฟสีแดงสองดวงที่ดูราวกับดวงตาของปีศาจร้ายกำลังสอดส่ายไปมาราวกับว่ามันกำลังค้นหาอะไรบางอย่างอยู่

    “เกิดอะไรขึ้นคะ?” ไอริสย่องเข้ามาถามราเมียร์จากด้านหลังเมื่อเห็นท่าทีของราเมียร์ที่เปลี่ยนไป แต่แทนที่จะได้รับคำตอบจากปากของเด็กหนุ่ม เขากลับทำเพียงแค่ชี้นิ้วออกไปด้านหน้าเท่านั้น

    “นี่มัน... หุ่นยนต์!” ไอริสอุทานออกมาทันทีที่มองเห็น “ไม่น่าจะเป็นไปได้ ก็เมื่อสี่ร้อยปีก่อนได้มีการร่างกฎหมายยกเลิกการผลิตหุ่นยนต์ขึ้นมาแล้วนี่นา แล้วทำไม...”

    “บางทีเจ้านี่อาจเป็นของพวกนักสะสมของเก่าทำหลุดมาก็ได้” ราเมียร์พูดเองเออเองเสร็จสรรพ ก่อนที่จะเดินตรงเข้าไปหาหุ่นยนต์ตัวนั้น “ชั้นจะลองเข้าไปคุยกับมันดูซักหน่อย ถ้ามันมีระบบนำร่องมันอาจจะนำทางเราออกไปจากป่านี้ได้ก็ได้”

    “ระวังตัวด้วยนะคะ” ไอริสสำทับไล่หลัง

    “เฮ้! เจ้าหุ่น” เจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลเข้มตะโกนเรียกแต่หุ่นยนต์ตัวนั้นกลับไร้ปฏิกิริยาโต้ตอบ ราเมียร์จึงเดินเข้าไปใกล้กว่าเดิมแล้วตะโกนเรียกอีกครั้ง

    “เฮ้! เจ้าหุ่น”

    ดูเหมือนว่าเสียงเรียกครั้งนี้จะได้ผล เมื่อดวงไฟสีแดงที่กำลังสอดส่ายอย่างไร้เป้าหมายนั้นถูกเลื่อนมามองบริเวณที่ทั้งสองคนยืนอยู่ ในขณะที่ปืนใหญ่ในมือขวาก็ถูกยกขึ้นมาประทับเล็งที่เป้าหมายเดียวกัน

    TARGET NAME: UNKNOWN (ชื่อเป้าหมาย: ไม่ทราบแน่ชัด)
    STATUS: CIVILIAN (สถานภาพ: พลเรือน)
    SEX: MALE (เพศ: ชาย)
    MAGIC POWER: 7,000 (พลังเวทมนตร์: 7,000)
    THREAT: 7% (ระดับภัยคุกคาม: 7%)

    TARGET NAME: UNKNOWN (ชื่อเป้าหมาย: ไม่ทราบแน่ชัด)
    STATUS: CIVILIAN (สถานภาพ: พลเรือน)
    SEX: FEMALE (เพศ: หญิง)
    MAGIC POWER: 10,000 (พลังเวทมนตร์: 10,000)
    THREAT: 10% (ระดับภัยคุกคาม: 10%)


    ทันทีที่ดวงตาอิเลคทรอนิกส์วิเคราะห์เสร็จ ปืนใหญ่ในมือขวาก็ถูกขึ้นรังเพลิงโดยอัตโนมัติ เพียงเท่านี้ราเมียร์ก็รับรู้ด้วยสัญชาตญาณแล้วว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป

    “ไอริส เผ่น!” เขาตะโกนสั่งเด็กสาวในขณะที่ตัวเองนั้นกระโจนหลบไปอีกทาง

    ลำกล้องปืนใหญ่ของปีศาจในคราบหุ่นยนต์เปล่งแสงสีเหลืองขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่มันจะยิงกระสุนที่มีลักษณะเป็นลูกบอลที่สร้างขึ้นจากลมหมุนออกมา แม้จะดูไม่มีพิษภัยแต่ทันทีที่ลูกบอลนั้นสัมผัสกับต้นไม้บริเวณที่เด็กหนุ่มเคยยืนอยู่ เนื้อไม้ที่เคยแข็งแกร่งก็ถึงกับฉีกดังเปรี๊ยะหักโค่นลงในทันที

    “เวรแล้วไง!” ราเมียร์สบถออกมาเมื่อเห็นอานุภาพการทำลายล้างของปืนใหญ่นั้น “ไอริส มัวทำอะไรอยู่ หนีไปเร็ว!”

    ดูเหมือนว่าเสียงตะโกนของราเมียร์จะไปไม่ถึงไอริสเสียแล้ว เมื่อความกลัวบดบังประสาทการรับรู้ของเด็กสาวไปจนหมดสิ้น เธอค่อย ๆ ทรุดตัวลงไปนั่งอยู่กับพื้นพร้อมกับน้ำตาที่ไหลรินออกมาเป็นสาย ในขณะเดียวกับเจ้าหุ่นยนต์ที่พลาดเป้าหมายแรกไป มันจึงเล็งปากกระบอกปืนมายังเป้าหมายที่สองที่ยังคงนั่งกองอยู่กับพื้น

    “ฮึ่ม!”

    เด็กหนุ่มตัดสินใจกระโจนเข้ามากั้นกลางระหว่างเด็กสาวกับปีศาจร้ายพร้อม ๆ กับกระสุนนัดที่สองที่ถูกยิงออกมา ส่งผลให้กระสุนนัดนั้นกระแทกกับหน้าอกของราเมียร์อย่างจังจนร่างของเขาลอยละลิ่วไปกระแทกกับต้นไม้ด้านหลัง ก่อนที่จะไถครูดลงมานอนกองอยู่กับพื้น

    “แค่ก...” ราเมียร์สำลักลิ่มเลือดออกมาก่อนที่จะสลบไป ไอริสที่ได้สติหลังจากที่เด็กหนุ่มเข้ามาขวางจึงวิ่งเข้ามาประคองร่างอันยับเยินของเขาเอาไว้

    “ร.. ราเมียร์!”

    ไอริสละล่ำละลักพูดน้ำตานองหน้า ในขณะที่ปีศาจในคราบหุ่นยนต์ประทับปืนเล็งเป้าหมายอีกครั้งเพื่อที่จะปฏิบัติภารกิจครั้งนี้ให้สำเร็จลุล่วงโดยไม่ปล่อยให้เด็กสาวได้มีโอกาสร้องขอชีวิตเลยซักครั้ง

    ชั่ววินาทีแห่งความเป็นความตายนั้นเอง กระสุนลมหมุนที่กำลังจะสัมผัสเป้าหมายก็ถูกคมหอกไม่ทราบที่มาพุ่งเข้ามาปัดกระสุนนัดนั้นสะท้อนกลับไปในทิศทางตรงกันข้าม ส่งผลให้โล่ของหุ่นยนต์ตัวนั้นกระเด็นหลุดจากมือไปในทันที

    ร่างของชายหนุ่มผู้สวมเสื้อโค้ทที่ทอจากผ้าป่านสีขาวสะอาดตาก้าวออกมายืนบังคนทั้งสองเอาไว้ เส้นผมยาวสีน้ำตาลทองที่เคยมัดไว้ด้านหลังในยามนี้กลับปลิวไสวสง่างามราวกับแผงคอของพญาราชสีห์ ดวงตาคมกริบสีน้ำเงินไพลินฉายแววเฉยชาให้กับอริร้ายที่ยืนอยู่เบื้องหน้า

    แม้ว่าโล่จะหลุดมือไปแล้วแต่นั่นก็ไม่ทำให้หุ่นยนต์ปีศาจหยุดการกระทำอันโฉดเขลาลงแม้แต่น้อย มันประทับปืนเล็งอีกครั้งก่อนที่จะระดมยิงอย่างบ้าคลั่ง ในขณะที่ชายหนุ่มวาดมือซ้ายขึ้นไปด้านหน้าอย่างไม่ยี่หระพร้อมกับพึมพำเบา ๆ

    “14th Defense type, six flag shield (เวทพิทักษ์ที่ 14, โล่ภูษาหกแฉก)”

    ตลอดเส้นทางที่มือข้างนั้นวาดไปบนอากาศปรากฏผืนผ้าขนาดใหญ่สีเงินกางออกเป็นรูปดาวหกแฉก ทำหน้าที่กั้นกลางระหว่างชายคนนั้นกับคมกระสุนของปีศาจร้าย แม้กระสุนลมหมุนจะรุนแรงและต่อเนื่องสักเพียงใดก็มิอาจทะลุผ่านผืนผ้าบาง ๆ สีเงินนี้ไปได้แม้แต่น้อย

    จนในที่สุด กระสุนที่ยิงกระหน่ำก็หยุดลง แม้จะเป็นการหยุดแค่เสี้ยววินาทีแต่ชายหนุ่มก็ไม่ปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยไป เขาตลบชายผ้าออกไปให้พ้นคลองสายตา หอกที่ปักอยู่กับพื้นถูกยกขึ้นมากระชับในระดับหัวไหล่ก่อนที่จะออกแรงพุ่งมันออกไปยังเป้าหมายที่ยืนอยู่เบื้องหน้า

    ฉึก!!

    หอกสีเงินอันคมกริบปักทะลุหน้าอกของหุ่นยนต์ตัวนั้นอย่างแม่นยำราวจับวาง ดวงตาสีแดงฉานค่อย ๆ มอดลงก่อนที่จะดับไปพร้อม ๆ กับร่างของปีศาจร้ายที่หงายหลังล้มตึงลงไปกองกับพื้นเสียงดังสนั่น ไม่มีวันได้ลุกขึ้นมาแผลงฤทธิ์อีกเป็นครั้งที่สอง

    “คุณคะ...” ไอริสลองเรียกชายคนนั้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแบบกล้า ๆ กลัว ๆ เพราะยังไม่แน่ใจว่าชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าเป็นมิตรหรือศัตรูกันแน่“ช่วยเพื่อนหนู... ด้วยนะคะ”

    ชายหนุ่มหันหลังกลับมาตามเสียงเรียกของไอริส ก่อนที่จะคุกเข่าลงพร้อมกับยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยน

    “ไม่ต้องห่วง” พูดจบเขาก็เอามือขวาทาบลงบนรอยช้ำบริเวณหน้าอกของราเมียร์ “ข้าไม่ปล่อยให้สุภาพบุรุษที่ปกป้องหญิงสาวด้วยชีวิต ต้องตายเปล่าหรอก”

    “กระดูกซี่โครงหัก อวัยวะภายในบอบช้ำหลายแห่ง” ชายหนุ่มวิเคราะห์อาการบาดเจ็บจากภายนอก “โชคดีที่ข้าพอจะเป็นเวทมนตร์ธาตุแสงอยู่บ้าง บาดแผลแค่นี้รักษาได้อยู่แล้วล่ะ”

    พูดจบเขาก็รวบรวมอณูแสงสีขาวมาไว้ในอุ้งมือของตัวเองก่อนที่จะปล่อยให้มันแทรกซึมผ่านเข้าไปร่างกายของราเมียร์จนหมด ไม่นานรอยฟกช้ำเหล่านั้นก็จางหายไปราวกับว่าไม่เคยมีบาดแผลใด ๆ เกิดขึ้นมาก่อน

    “ว้าว!” ไอริสตะลึงกับสิ่งมหัศจรรย์ที่เธอไม่เคยได้เห็นมาก่อน “ขอบคุณมากค่ะ เอ่อ คุณ...”

    “ขอโทษที่แนะนำตัวช้าไปหน่อย” ชายหนุ่มกระแอมเล็กน้อยก่อนที่จะแนะนำตัวให้อีกฝ่ายรู้จัก

    “ข้า วาฮัน อิซาก้า อัศวินระดับหนึ่งแห่งอุนดิเนเซีย ยินดีที่ได้รู้จักนะแม่หญิง”


    ~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~

    Special Thanks
    - Vahan Yzaga [Evan Ψzac £ เดอะ ริปเปอร์]
  4. SkuldFuture

    SkuldFuture New Member

    EXP:
    1
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    Re: [ฟิครับสมัคร] Memorial Core : พลิกตำนานสงครามศักดิ์สิทธิ์

    เนื้อเรื่องน่าสนใจมากๆเลยค่ะ ย้อนกลับมาอดีตได้เจอกับวีรบุรุษในตำนาน

    สนุกมากเลยค่ะ จะรออ่านตอนต่อไปนะคะ ^^

    (เป็นสมาชิกใหม่ค่ะ เม้นเยอะๆไม่ค่อยเป็น ต้องขออภัยด้วยค่ะ ถ้าทำอะไรผิดพลาดตรงไหนก็ขอให้ช่วยชี้แนะด้วยนะคะ)
  5. sumiyo

    sumiyo Vincent4ever!!!

    EXP:
    267
    ถูกใจที่ได้รับ:
    4
    คะแนน Trophy:
    18
    Re: [ฟิครับสมัคร] Memorial Core : พลิกตำนานสงครามศักดิ์สิทธิ์

    การบรรยายเนื้อเรื่องเข้าใจง่ายดีค่ะ สนุกอ้ะ~!! ><

    เป็นกำลังใจให้น้าจ้า~~สู้ๆน้า~
  6. kumi

    kumi Active Member

    EXP:
    805
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    36
    Re: [ฟิครับสมัคร] Memorial Core : พลิกตำนานสงครามศักดิ์สิทธิ์

    มาแปะให้กำลังใจ ฟิคใหม่ฟิตจัด ฝีมือพัฒนาเพียบ = W =+

    ตอนต่อไปมาลงเร็วๆ เน้อ >W<b!
  7. endlich

    endlich Member

    EXP:
    123
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    16
    Re: [ฟิครับสมัคร] Memorial Core : พลิกตำนานสงครามศักดิ์สิทธิ์

    Chapter III : โอเอซิสที่ไร้ชีวิต

    ปีศักราชใหม่ที่ 624

    ทะเลทรายเกรฟยาร์ด อาณาจักรแห่งไฟ

    ท่ามกลางทะเลทรายอันเวิ้งว้างที่ครอบคลุมพื้นที่ถึงเก้าในสิบส่วนของอาณาจักรแห่งไฟ สิ่งมีชีวิตชนิดเดียวที่สามารถยืนหยัดอยู่บนนรกแห่งนี้ได้มีเพียงต้นกระบองเพชรที่ขึ้นกันอย่างบางตา นอกนั้นก็ล้วนแล้วแต่ต้องตกเป็นเหยื่อสังเวยให้กับมัจจุราชที่ชื่อว่าความแห้งแล้งแทบทั้งสิ้น

    ร่างของเด็กหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีน้ำเงินอมม่วงนาม นาโอ รันเซ่ กำลังก้าวเดินอยู่บนทะเลทรายผืนนี้อย่างโดดเดี่ยว สิ่งที่สะท้อนออกมาจากดวงตาสีเขียวมรกตคู่นั้น คือความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางอันยาวนานตั้งแต่เช้าจรดเที่ยงโดยที่ไม่มีน้ำตกลงถึงท้องเลยแม้แต่หยดเดียว

    เบื้องหน้าของเขาคือเนินทรายลูกที่เจ็ดนับตั้งแต่เดินผ่านมา เขาตัดสินใจว่าหากขึ้นไปบนยอดเนินแล้วยังไม่พบกับอะไรซักอย่างที่นอกเหนือจากทรายแล้วล่ะก็เขาจะไม่เดินต่ออีกแล้ว

    ดูเหมือนว่าพระผู้เป็นเจ้าจะยังไม่ทรงทอดทิ้งผู้ทุกข์ยาก เพราะทันทีที่นาโอเดินขึ้นมาจนถึงยอดเนิน เขาก็พบกับแหล่งน้ำที่อยู่ใจกลางทะเลทรายหรือที่รู้จักกันในนามโอเอซิส แม้จะอยู่ไกลสักหน่อยแต่ความหวังที่เอ่อล้นขึ้นมาก็มากพอที่จะผลักดันสองขาให้ก้าวเดินต่อไปยังจุดหมายเบื้องหน้าให้จงได้

    “แฮ่ก... แฮ่ก...” นาโอหอบอย่างอ่อนแรงขณะก้าวลงจากเนิน “อีกนิดเดียว... ก็จะถึงโอเอซิสแล้ว”

    ยังไม่ทันที่นาโอจะไปถึงจุดหมาย ความรีบร้อนบวกกับกำลังขาที่อ่อนล้าก็ทำให้เขาพลัดตกลงมาจากเนินทรายอันสูงชัน ไหลลงมาตามแอ่งกระทะเป็นระยะทางไกลหลายสิบเมตร บาดแผลที่เกิดจากการไถลไปบนพื้นทรายร้อน ๆ สร้างความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสให้กับเด็กหนุ่มจนเขาไม่มีแรงพอที่จะลุกเดินไปไหนได้อีกต่อไป

    “แม้แต่สวรรค์... ก็ไม่เข้าข้างรึเนี่ย...” นาโอโอดครวญให้กับโชคชะตาของตนเอง

    “เจ้าราล... ไอริส... อยากเจออีกซักครั้ง... จัง... เลย...”

    ในสติอันลางเลือน เงาร่างของใครคนหนึ่งภายใต้เสื้อคลุมสีดำสนิทได้ก้าวเข้ามาบดบังแสงอาทิตย์อันร้อนแรงเอาไว้ ก่อนที่เขาผู้นั้นจะยื่นมือเข้ามาแตะที่หน้าผากของนาโออย่างอ่อนโยนราวกับสัมผัสของนางฟ้า เด็กหนุ่มพยายามที่จะแสดงกิริยาอะไรก็ได้เพื่อให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่ แต่มันก็ช่างยากเย็นเหลือเกิน

    “ช.. ช่วยด้วย...” นาโอพยายามเค้นคำพูดสุดท้ายออกมา ก่อนที่สติสัมปชัญญะทั้งมวลจะดับวูบลง


    ~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~

    ในเวลาเดียวกัน แต่ต่างสถานที่...

    “วาฮัน อิซาก้า แม่ทัพแห่งกองกำลังอัศวินฟ้าครามน่ะเหรอคะ!” ไอริสโพล่งออกมาเสียงดัง

    “ผิดไปนิดหน่อยนะ เพราะข้าเป็นแค่อัศวินระดับหนึ่งเท่านั้น ตำแหน่งแม่ทัพน่ะอยู่เหนืออัศวินระดับหนึ่งขึ้นไปอีกหนึ่งขั้น” วาฮันพูดอย่างอารมณ์ดี

    คำบอกเล่าของชายแปลกหน้าทำให้เด็กสาวมีสีหน้าเครียดเล็กน้อย เธอเอามือกุมคางครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ก่อนที่จะหลุดคำถามออกมา “ปีนี้... ปีอะไรคะ?”

    “ปีนี้ก็ปีศักราชใหม่ที่ 624 ไง ถามทำไมรึ?”

    “ปีศักราชใหม่ที่ 624” ไอริสทวนคำตอบของวาฮันเบา ๆ “หมายความว่าเมโมเรียลคอร์พาเราย้อนอดีตมาเมื่อสี่ร้อยปีก่อนงั้นเหรอ เป็นไปไม่ได้...”

    “เจ้าสบายดีมั้ย บาดเจ็บตรงไหนบ้างรึเปล่า?” วาฮันถามเมื่อสังเกตเห็นอาการผิดปกติของเด็กสาว

    “ป... เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร” ไอริสตอบปฏิเสธ

    ในขณะที่ไอริสกำลังหาคำตอบให้กับตัวเองอยู่นั้น ชายผู้ที่เพิ่งจะฟื้นจากอาการบาดเจ็บก็ลืมตาขึ้นมาช้า ๆ ฝ่ามือหยาบกร้านยกขึ้นมาลูบบริเวณที่ถูกยิงอย่างเบามือ เพียงเท่านั้นดวงตาสีเหลืองอำพันก็ลุกโพลงขึ้นอย่างแปลกใจ เนื่องจากบาดแผลที่สร้างความเจ็บปวดเจียนตายให้กับเขาเมื่อครู่ ในยามนี้กลับไม่เหลือร่องรอยบาดเจ็บให้เห็นเลยแม้แต่รอยเดียว

    “ไอริส... นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”

    “ราเมียร์!” เด็กสาวดีใจจนลืมตัวโผเข้าไปกอดราเมียร์แน่น “ดีใจจริง ๆ ที่คุณยังไม่ตาย”

    “เอ้อ~ จะตายเพราะเธอกอดเนี่ยแหละ” คำพูดของราเมียร์ทำให้ไอริสรู้สึกตัว เธอผละออกจากร่างของเขาอย่างรวดเร็วพร้อมกับใบหน้าที่ขึ้นสีชมพูระเรื่อ

    “ขอโทษ...”

    “แล้วตกลงมันเกิดอะไรขึ้นแน่เนี่ย บาดแผลชั้นหายไปได้ยังไง?” ราเมียร์รัวคำถามเป็นชุดก่อนที่จะหันไปพบกับชายแปลกหน้าที่นั่งคุกเข่าอยู่ข้าง ๆ “แล้วนี่ใคร?”

    “เค้าชื่อ วาฮัน อิซาก้า ค่ะ เป็นแม่ทัพ.. เอ๊ย อัศวินระดับหนึ่งแห่งอุนดิเนเซีย” พูดจบเธอก็หันมายิ้มให้กับวาฮัน “เค้าเป็นคนช่วยชีวิตพวกเราไว้ค่ะ”

    “เดี๋ยวนะ แม่ทัพ อัศวิน อะไรเนี่ย ชั้นงงไปหมดแล้ว”

    “ตั้งใจฟังชั้นให้ดี ๆ นะคะ” ไอริสพูดเสียงเข้ม สีหน้าเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมาทันที “เมโมเรียลคอร์ไม่ได้มีพลังในการเคลื่อนย้ายสถานที่เท่านั้นนะคะ แต่มันยังมีพลังในการเคลื่อนย้ายมิติเวลาด้วย ตอนนี้พวกเราอยู่บนโลกในอดีตเมื่อสี่ร้อยปีก่อนค่ะ”

    “จริงเรอะ!” ราเมียร์ร้องออกมาอย่างประหลาดใจ แต่ในความประหลาดใจนั้นก็แฝงไว้ด้วยความดีใจอยู่ในที

    “ท่าทางไม่ค่อยตกใจเลยนะคะ”

    “มันก็ไม่ได้เหนือความคาดหมายเท่าไหร่นักหรอก ชั้นก็กะอยู่แล้วว่าไอ้ผลึกนั่นมันต้องมีพลังอะไรที่มากกว่าการเคลื่อนย้ายสถานที่ แต่นึกไม่ถึงว่ามันจะมีพลังในการเคลื่อนย้ายมิติเวลาได้ด้วย” ราเมียร์พูดพลางยิ้มอย่างสะใจ “นี่แหละโลกที่ชั้นต้องการ โลกอดีตที่มีแต่การผจญภัยไร้ขอบเขต”

    “พวกเจ้าแน่ใจนะว่าสบายดี?” วาฮันถามอีกครั้ง

    “พวกเราสบายดีค่ะ” ไอริสตอบแทนเด็กหนุ่มซึ่งมีทีท่าว่าจะหลุดเข้าโลกส่วนตัวไปซะแล้ว “แต่ก่อนอื่นหนูอยากจะบอกอะไรบางอย่างกับคุณค่ะ มันอาจจะดูเพ้อเจ้อไปหน่อยแต่ว่าทุกอย่างเป็นความจริงนะคะ”

    “คือว่า พวกเรามาจาก...” ยังไม่ทันที่ไอริสจะพูดจบ ฝ่ามือกร้านของราเมียร์ก็เอื้อมมาปิดริมฝีปากของเด็กสาวไว้อย่างรวดเร็ว ก่อนที่เขาจะยื่นใบหน้าเข้ามากระซิบใกล้ ๆ พอให้ได้ยินกันแค่สองคน

    “ชั้นว่าเราอย่าเพิ่งบอกอะไรเค้าตอนนี้เลยจะดีกว่า เพราะถ้าเกิดเค้ารับไม่ได้ขึ้นมาแล้วคิดว่าพวกเราเป็นบ้า เค้าอาจจะทิ้งพวกเราไว้กลางป่าแล้วหนีไปก็ได้ ทางที่ดีรอให้เค้าพาเราออกจากป่านี้ให้ได้ซะก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกทีก็แล้วกัน” พูดจบราเมียร์ก็หันหน้ามาส่งยิ้มหวานให้วาฮัน

    “คือว่า... พวกเราเป็นนักท่องเที่ยวจากอาณาจักรแห่งแสงน่ะครับ ก่อนที่จะได้พบกับคุณพวกเราพลัดตกจากหน้าผาแล้วบังเอิญหัวไปกระแทกหินเข้า ความจำก็เลยเสื่อมไปนิดหน่อยน่ะครับ เหะ ๆ”

    “งั้นก็ช่วยไม่ได้นะ” วาฮันพูดพลางพยักหน้าอย่างคนเข้าใจง่าย “ไหน ๆ ก็ตามหาเจ้าจอมเวทลึกลับนั่นไม่เจอแล้ว เอาเป็นว่าข้าจะพาพวกเจ้าออกจากป่านี้เองก็แล้วกัน”

    “แล้วพวกเจ้าชื่ออะไรกันบ้างล่ะ ยังพอจำชื่อตัวเองได้มั้ย?” วาฮันถาม

    “จำได้ครับ ผมราเมียร์ อเล็กเซอร์ ส่วนคนนี้...”

    “ไอริส ฟอร์ซ ค่ะ”

    “ก็ยังดีนะที่ยังไม่ลืมชื่อตัวเอง” พูดจบชายหนุ่มก็ลุกขึ้นเดินตรงไปยังกองเศษเหล็กซึ่งครั้งหนึ่งเคยเกือบจะเอาชีวิตราเมียร์มาแล้ว โดยมีหนุ่มสาวทั้งสองคนเดินติดตามมาด้วย

    “หุ่นยนต์นั่น คืออะไรครับ?” ราเมียร์ถามพลางขยับเข้ามาดูใกล้ ๆ

    “เจ้า GT* เนี่ยเหรอ?” วาฮันถามพลางดึงหอกของตัวเองออกจากหน้าอกของหุ่นยนต์ตัวนั้น “มันเป็นกองกำลังภาคพื้นดินของอาณาจักรแห่งไฟ ปกติจะอยู่รวมกันเป็นหมู่ย่อยสิบเอ็ดตัว แต่ที่เจ้านี่แยกออกมาตัวเดียวคงจะเป็นเพราะหลงป่าเหมือนกับพวกเจ้าน่ะแหละ”

    พูดจบอัศวินหนุ่มก็คุกเข่าลงพร้อมกับใช้ด้ามหอกกระแทกส่วนที่เป็นรังเพลิงของปืนใหญ่ที่ติดอยู่บนแขนของหุ่นยนต์จนมันหลุดออกมา เผยให้เห็นแท่งคริสตัลสีเหลืองทองซ่อนอยู่ภายใน เขาหยิบมันออกมาก่อนที่จะโยนให้ราเมียร์รับไว้

    “อะไรครับเนี่ย?” เด็กหนุ่มพูดพลางจับคริสตัลแท่งนั้นพลิกไปมาบนฝ่ามือเพื่อที่จะดูว่ามันทำอะไรได้บ้าง “มีลมอ่อน ๆ พัดออกมาด้วยแฮะ”

    “ไหนขอชั้นดูบ้างสิคะ”

    ไอริสแบมือขอซึ่งราเมียร์ก็ส่งให้แต่โดยดี ทันทีที่คริสตัลแท่งนั้นสัมผัสกับฝ่ามือของเด็กสาว สายลมที่ราเมียร์บอกว่าพัดออกมาอ่อน ๆ ก็กลับแปรเปลี่ยนกลายเป็นพายุหมุนขนาดย่อมจนเธอตกใจโยนมันทิ้งลงบนพื้นทันที ซึ่งอากัปกิริยาเหล่านี้ก็มิอาจรอดพ้นสายตาอันคมกริบของวาฮันไปได้

    “ไม่นึกว่าพวกเจ้าจะลืมกระทั่งคอร์นะ” พูดจบวาฮันก็เดินเข้ามาหยิบคอร์ชิ้นนั้นขึ้นมา “นี่คือ แอร์คอร์ เป็นคอร์ที่ให้พลังธาตุลม กระสุนลมที่ GT ยิงใส่พวกเจ้าก็สร้างขึ้นมาจากคอร์ชิ้นนี้แหละ”

    “แบบเดียวกับเวทมนตร์ที่คุณใช้เมื่อกี๊รึเปล่าคะ?” ไอริสถาม

    “เซ้นส์ดีมากไอริส” วาฮันเอ่ยชมก่อนที่จะแกะผ้าพันแผลที่พันอยู่บนมือทั้งสองข้างออก เผยให้เห็นคอร์อีกสองชิ้นวางอยู่บนหลังมือภายใต้ผ้าพันแผลนั้น “คอร์สีเงินในมือซ้าย คือ สตีลคอร์ที่ให้พลังธาตุโลหะ ส่วนคอร์สีขาวในมือขวา คือ ไลท์คอร์ที่ให้พลังธาตุแสง”

    “สำหรับคนปกติการจับต้องแค่นี้ไม่มีผลอะไรหรอก เพราะพวกเราทุกคนถูกฝึกให้สามารถควบคุมพลังเวทในการใช้คอร์ได้คล่องแคล่วไม่ต่างอะไรกับการใช้ช้อนส้อมทานอาหาร แต่สำหรับพวกเจ้าข้าคิดว่าการควบคุมพลังเวทไม่ได้ น่าจะมีผลมาจากอาการความจำเสื่อมมากกว่า” พูดจบเขาก็เก็บคอร์ทั้งสามชิ้นเข้ากระเป๋าหลังของตัวเอง

    “ทีแรกข้ากะจะให้แอร์คอร์กับพวกเจ้าเป็นของขวัญที่พบกันครั้งแรก แต่สำหรับพวกเจ้าน่าจะยังเร็วเกินไปโดยเฉพาะเจ้า ไอริส” ชายหนุ่มหันมองมาทางเด็กสาว “เจ้ามีพลังเวทที่มากกว่าคนปกติประมาณสองเท่า ความอันตรายยิ่งมากขึ้นเป็นสองเท่า การควบคุมก็จะยิ่งยากขึ้นเป็นสองเท่าเช่นเดียวกัน”

    คำพูดของอัศวินหนุ่มทำให้ไอริสมีสีหน้าสลดลงอย่างเห็นได้ชัด วาฮันซึ่งมองเห็นในจุดนี้จึงเดินเข้ามาตบไหล่ของเธอเบา ๆ

    “ไม่ต้องกังวลหรอกน่า ไว้กลับไปถึงอุนดิเนเซียเมื่อไหร่ข้าจะให้ทาร่าสอนเจ้าให้เข้าทางจนได้แหละ นางน่ะเป็นผู้หญิงที่เชี่ยวชาญการใช้เวทโดยไม่ร่ายมนตร์อันดับต้น ๆ เลยนา” คำปลอบของวาฮันทำให้เด็กสาวมีรอยยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง

    “พลังงั้นรึ...” ราเมียร์พึมพำออกมาเบา ๆ พลางมองไปที่ฝ่ามืออันว่างเปล่าของตัวเอง

    “คิดอะไรอยู่หืมม์? ราเมียร์” วาฮันถาม

    “เปล่าครับ”

    วาฮันมองสีหน้าของราเมียร์อย่างเข้าใจก่อนที่จะเอ่ยปากออกมา “เจ้ากำลังคิดอยู่ใช่มั้ยว่าทำไมผู้หญิงที่อ่อนแออย่างไอริสถึงมีพลังเวทมากกว่าผู้ชายที่เข้มแข็งอย่างเจ้า”

    “เคยมีคนบอกข้าว่าที่ผู้หญิงมีพลังเวทสูงนั้น ก็เพราะว่าผู้หญิงเป็นเพศแห่งการกำเนิดจึงจำเป็นที่จะต้องมีฐานพลังที่มากพอที่จะสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ ขึ้นมาบนโลก ส่วนผู้ชายแม้จะมีพลังเวทที่ด้อยกว่าแต่ก็มีสิ่งที่เรียกว่าพละกำลังเข้ามาชดเชยในจุดด้อยนั้น แล้วรู้มั้ยว่าพละกำลังของผู้ชายมีไว้เพื่ออะไร...”

    วาฮันเว้นช่วงให้ราเมียร์คิดก่อนที่จะเฉลยออกมา “เพศชายเป็นเพศแห่งการปกป้อง พละกำลังของผู้ชายก็มีไว้เพื่อปกป้องสิ่งที่ผู้หญิงสร้างสรรค์ขึ้นมายังไงล่ะ”

    “เฮอะ” เด็กหนุ่มแค่นหัวเราะให้กับความคิดงี่เง่าของตัวเอง “ถึงไอริสจะมีพลังหรือไม่ ผมก็มีหน้าที่ ๆ จะต้องปกป้องเธออยู่แล้วล่ะครับ”

    “ทีนี้ก็ไม่มีอะไรคาใจแล้วนะ จะออกเดินทางกันได้รึยัง หืมม์?” วาฮันถาม

    “ครับ/ค่ะ” ราเมียร์และไอริสขานรับพร้อมกัน การผจญภัยครั้งใหม่ของพวกเขาในดินแดนที่ไม่รู้จัก กำลังจะเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง


    ~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~

    กลับมาที่โอเอซิสแห่งนั้นอีกครั้ง...

    สถานที่แห่งความหวังที่ควรจะเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งชีวิต ในยามนี้กลับไม่มีแล้วซึ่งสิ่งมีชีวิต รอบแหล่งน้ำแม้จะรายล้อมไปด้วยที่อยู่อาศัยจนน่าจะเรียกได้ว่าเป็นหมู่บ้านขนาดย่อม แต่ที่อยู่อาศัยเหล่านั้นกลับรกร้างว่างเปล่าราวกับว่า ผู้คนที่เคยอาศัยอยู่ ณ ที่แห่งนี้ได้ล้มหายตายจากไปกันจนหมดแล้ว

    แล้วคำตอบก็ปรากฏขึ้นบริเวณท้ายหมู่บ้านนี่เอง ร่างของผู้เสียชีวิตจำนวนมากมายนอนเรียงรายกันอย่างเกลื่อนกลาด มีทั้งผู้ชาย ผู้หญิง ผู้เฒ่าผู้แก่ ไม่เว้นแม้กระทั่งเด็ก ๆ ไม่มีร่องรอยของการต่อสู้ขัดขืน ไม่มีร่องรอยของการใช้เวทมนตร์ มีอย่างเดียวที่เหมือนกันก็คือ ลวดลายกลีบดอกไม้สีดำ ที่ปรากฏให้เห็นอยู่รอบข้อมือของทุกศพเพียงเท่านั้น

    “เฮ้อ~”

    น้ำเสียงที่ฟังดูเบื่อหน่ายดังแว่วออกมาจากประตูบ้านหลังหนึ่งที่เปิดทิ้งเอาไว้ เจ้าของเสียงเป็นหญิงสาวอายุราวยี่สิบต้นผู้สวมเสื้อคลุมยาวสีดำสนิทราวกับจันทร์อับแสง วงหน้าขาวใสถูกประดับด้วยดวงตาสีเหลืองอำพันตามแบบฉบับของชาวอัลฟีเรี่ยนเลือดแท้ เธอก้าวออกมาจากประตูบานนั้นก่อนที่จะยกฮู้ดขึ้นมาคลุมเส้นผมสีเงินให้พ้นจากแสงแดดอันแรงกล้าตามประสาคนรักสวยรักงาม

    “รู้งี้ไม่ฆ่าหมดซะก็ดีหรอก เหลือเอาไว้ซักคนจะได้ถามที่อยู่ของเจ้านั่นได้” พูดจบเธอก็เดินออกมา ดวงตาเหลือบมองไปยังซากศพรอบข้างอย่างปลง ๆ “แบบนี้คงต้องกลับบ้านมือเปล่าสินะ”

    ในขณะที่เธอกำลังบ่นอยู่นั้นเอง เบื้องหลังเพิงไม้ผุพังแห่งหนึ่งไม่ไกลจากจุดที่เธอยืนอยู่มากนัก ร่างของชายสองคนกำลังหลบซ่อนตัวอยู่ที่นั่น คนหนึ่งเป็นชายวัยกลางคนไว้หนวดเครารุงรัง บาดแผลที่ประดับอยู่ตามร่างกายบ่งบอกถึงความโชกโชนของเขาได้เป็นอย่างดี ส่วนอีกคนเป็นเด็กหนุ่มรูปร่างกำยำ ใบหน้าของเขาถอดเค้าโครงของชายอีกคนมาอย่างไม่มีผิดเพี้ยน

    “คาซิม ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เจ้าก็ห้ามออกไปจากเพิงนี้เด็ดขาด เข้าใจมั้ย!” ชายผู้สูงวัยกว่าเอ่ยเสียงเครียด

    “แต่ว่า... ท่านพ่อ” คาซิมตั้งท่าจะเถียง แต่เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของผู้เป็นบิดาแล้วเขาก็ทำได้แค่เพียงก้มหน้ารับคำสั่งเท่านั้น “ครับ... ท่านพ่อ”

    เมื่อเห็นว่าผู้เป็นบุตรรับคำดีแล้วเขาจึงลุกขึ้นยืน ก่อนที่จะเดินออกไปเผชิญหน้ากับความตายที่อยู่ในรูปกายของหญิงสาวเบื้องหน้า

    “ออกมาจนได้สินะ คาออส ฟิลลาทิโน่” เธอเอ่ยทักชายผู้ที่กำลังเดินเข้ามาหา “ต้องรอให้ลูกน้องตายหมดรึไง ถึงจะออกมาได้น่ะ หืมม์?”

    “พวกเค้าจับข้าขังเอาไว้ เพราะไม่อยากให้ข้าต่อสู้” คาออสหยุดยืนในระยะที่ห่างพอสมควร “ทำไมต้องทำกันขนาดนี้ด้วย พวกเค้าเคยทำอะไรให้เจ้าเจ็บแค้นงั้นรึ?”

    “เปล่า ข้าก็แค่...” หญิงสาวล้วงมือเข้าไปแขนเสื้อพร้อมกับหยิบกระดาษเก่าคร่ำคร่าออกมาชูให้อีกฝ่ายดู ในนั้นมีรูปคาออสในวัยหนุ่มพร้อมด้วยค่าหัวที่เขียนกำกับอยู่ด้านล่าง “...อยากได้ค่าหัวสิบล้านโกลด์ของเจ้าเท่านั้นเอง”

    “ที่แท้ก็พวกนักล่าค่าหัว... ทำแบบนี้มันเกินไปแล้ว!” พูดจบเขาก็ทาบมือทั้งสองข้างลงไปที่พื้นพร้อมกับร่ายมนตร์ออกมา

    “23rd Offense type, rising jaw bite! (เวททำลายที่ 23, คมเขี้ยวทะเลทราย!)”

    สิ้นคำประกาศเริ่มการต่อสู้ ขากรรไกรฉลามขนาดมหึมาก็ผุดจากพื้นทรายขึ้นมางับบริเวณที่หญิงสาวยืนอยู่อย่างรวดเร็วจนฝุ่นทรายฟุ้งกระจาย แม้ว่าเธอจะสามารถหลบฉากออกมาได้อย่างฉิวเฉียด แต่กระนั้นก็ยังต้องเสียเสื้อคลุมบางส่วนสังเวยให้กับการจู่โจมครั้งนี้

    “เร็วจริง ๆ สมแล้วที่เป็นอดีตหัวหน้ากองโจรทะเลทรายอันโด่งดัง”

    หญิงสาวบ่นพึมพำในขณะที่กำลังกระโดดถอยหลังออกมาจากพื้นที่อันตราย โดยที่ไม่ทันระวังตัวร่างของคาออสก็โผล่ขึ้นมาจากพื้นทรายด้านหลังพร้อมกับตวัดดาบยาวเข้าใส่เต็มแรง ถึงแม้หญิงสาวจะชักมีดสั้นออกมารับคมดาบเอาไว้ทัน แต่แรงโถมที่มากมายนั้นก็ทำเอามีดของเธอกระเด็นหลุดมือไปทันที

    “ได้เปรียบด้านภูมิประเทศนี่นา” เธอตัดพ้อก่อนที่จะหยิบของสองสิ่งออกมาจากเสื้อคลุม หนึ่งคือคอร์ที่มีสีต่างกันจำนวนสี่ชิ้นในมือขวา และสองคือหลอดแก้วที่บรรจุน้ำยาสีเขียวในมือซ้าย เมื่อเห็นว่าอุปกรณ์ทั้งหมดพร้อมแล้วเธอจึงประกบมือทั้งสองข้างเข้าหากันพร้อมกับร่ายมนตร์ออกมา

    “Summon type, the king of desert sky red-tailed hawk! (เวทอัญเชิญ, ราชันย์แห่งฟากฟ้าทะเลทราย เหยี่ยวหางแดง!)”

    เพียงเท่านั้นก็ปรากฏกลุ่มควันสีขาวขึ้นบนพื้นทรายด้านหน้าหญิงสาว พร้อมกับร่างของพญาวิหคขนาดใหญ่สีน้ำตาลเข้มมีปลายหางสีน้ำตาลแดงยืนคอยท่าอยู่ เธอกระโดดขึ้นไปบนหลังของมันก่อนที่จะออกคำสั่งให้บินขึ้นไปบนฟ้าทันที

    “ต่อไปจะเอาจริงล่ะนะ คาออส ฟิลลาทิโน่!”


    ~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~

    *GT = Ground Troopers

    Special Thanks
    Casim Fyllatino [--+[] WAR []+--]
    Alizabeth Richer [◘ SûmiyØ VåleñtinÈ ◘]
    Tara Jaswinder [- DΞЯІСК -]

    มาคุยกันหน่อย
    ในที่สุดก็มาถึงตอนที่ 3 จนได้แฮะ แถมจบแบบขัดใจคนอ่านอีก สาเหตุก็เพราะยังไม่ได้คิดว่าจะให้สู้กันยังไงดี (กรั่ก ๆ)
    [action]วิ่งหลบรองเท้าคนอ่าน[/action]
    สำหรับตอนที่ 1 & 2 ผมได้ทำการรีเมครายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปนะครับ ถ้าท่านใดมีเวลาก็ย้อนขึ้นไปอ่านได้ แต่ที่รีเมคนั้นไม่มีผลกับเนื้อเรื่องแต่อย่างใดครับ ในตอนที่ 3 นี้ยังมีบุคคลปริศนาอีกคนคือ สตรีชุดดำที่ช่วยนาโอเอาไว้ เธอจะเป็นใครนั้นจะเฉลยพร้อมทั้งให้เครดิตในตอนหน้านะครับ (ถ้าเป็นเจ้าของตัวละครคงจะรู้อยู่แล้วล่ะมั้งนะ) แล้วก็ชื่อที่เครดิตนั้นผมเอามาจากบอร์ดเก่า (เนื่องจากไม่ทราบชื่อในบอร์ดใหม่) ถ้าท่านใดต้องการให้เปลี่ยนชื่อล่ะก็บอกผมได้นะครับ สุดท้ายก็ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาให้กำลังใจผมนะคร้าบ~
  8. swanton

    swanton Dragon on Board

    EXP:
    1,424
    ถูกใจที่ได้รับ:
    69
    คะแนน Trophy:
    113
    Re: [ฟิครับสมัคร] Memorial Core : พลิกตำนานสงครามศักดิ์สิทธิ์

    ฝีมือไม่ตกเลยครับ สร้างเรื่องราวได้สมเหตุสมผล มีฐานบนความเป็นจริงของโลก(หมายถึงโลกเรานี่แหละ) ยอดเยี่ยมจริงๆ

    สิ่งที่ขอชมมากที่สุดคือสิ่งนี้ครับ

    ลึกซึ้งมาก อ่านแล้วให้ความรู้สึกสมดุล และ... อะไรสักอย่างที่อธิบายไม่ถูก

    วาฮันดูเป็นผู้ใหญ่ดีมาก แต่แอบขำเล็กๆเพราะท่าทางที่ดูมึนๆกับราเมียร์และไอริส ส่วนไอริสมางานนี้ยิ่งฉายคาแรคเตอร์ชัดครับ ว่าแต่สาวชุดดำนั่นใครกัน ท่าทางสวยดี :aha: เอ๊ยไม่ใช่ ดูโหดเป็นบ้าเลย ถึงกับฆ่าล้างหมู่บ้านเชียว :sad:
    ตอนต่อไปจะรอดูบทบาททาร่าครับ (ถ้าออกนะ)
  9. derick

    derick Member

    EXP:
    339
    ถูกใจที่ได้รับ:
    1
    คะแนน Trophy:
    18
    Re: [ฟิครับสมัคร] Memorial Core : พลิกตำนานสงครามศักดิ์สิทธิ์

    โอ้วววววววว ตอนใหม่แล้ว

    บรรยายดีเช้นเดิมครับ แม้จะสั้นไปก็เถอะ TT-TT

    ชอบตรงที่อีวานquoteไว้เช่นกัน ดูมีเหตุมีผลดี นอกนั้นก็รอดูเหตุการณ์และบทบาทแต่ละคนต่อไป

    วาฮันแอบดีติ๊งต๊องแปลกๆไงไม่รู้กร๊ากกกกกกกก หรือคิดมากไปเอง 555
  10. PaiaAznable

    PaiaAznable มนุษย์ตู้ปลาช้ำรัก

    EXP:
    744
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    86
    Re: [ฟิครับสมัคร] Memorial Core : พลิกตำนานสงครามศักดิ์สิทธิ์

    ตอนใหม่มาแล้วสินะ.... อยากรู้จริงๆว่าใครเป็นแม่สาวชุดดำที่ช่วยเจ้านาโอเอาไว้

    รอชมต่อไปพี่ท่าน ถ้ามาเมนต์ช้าไปก็ซอรี่น่อ = ="a

    ปล.ชื่อใหม่ผม... Paia Aznable : The Red Comet นะครับ ^^'a
  11. yoshiki

    yoshiki FATE

    EXP:
    862
    ถูกใจที่ได้รับ:
    17
    คะแนน Trophy:
    38
    Re: [ฟิครับสมัคร] Memorial Core (Update Chapter III)

    ย....ยอด ยังคงความลื่นไหลเหมือนน้ำมันหล่อลื่นไม่เสื่อมคลาย อ่านแล้วเพลินดีคับและยังคงความน่าติดตามไว้ ชักอยากจะเห็นตอนหน้าเร็วๆแล้วสิ ^^

    แต่เห็นด้วยที่ตอนนี้มันสั้นไปนิดนะคับ แหะๆ
  12. train

    train Member

    EXP:
    498
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    16
    Re: [ฟิครับสมัคร] Memorial Core (Update Chapter III)

    อ๊าก ค้างคาาาาาาาาาาาาาาาา
    อยากอ่านต่อ ท่าทางจะสู้กันมันหยดติ๋งๆเลยทีเดียว >[]<,,
    สตรีปริศนาสองคนนั้นใครกันหว่า? ชักอยากรู้ซะแล้วสิ
  13. Griever

    Griever New Member

    EXP:
    14
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    Re: [ฟิครับสมัคร] Memorial Core (Update Chapter III)

    อ่านจบจนได้ เห็นเรพเดียวตอนแรกจะบ่นว่าน้อยซักหน่อย ที่ไหนได้นั่งอ่านทีนานพอควรเลยแฮะ

    ตอนนี้เป็นการบอกถึงความซวยในความโชคดี เอ๊ย ความโชคดีในความซวยของนาโอ ซวยที่ต้องมาลงกลางทะเลทรายเดินจนแทบหมดแรงตาย แต่โชคดีที่มีหญิงสาวสวย(มั้ง)มาช่วยไว้ และในอนาคตคงได้เดินทางด้วยกัน

    แต่รู้สึกวิธีการใส่คอร์ของวาฮันนี่ ดู...ยังไงไม่รู้แฮะ ไม่ได้มีความสุนทรีย์เล้ยยย~ ชาร์ตัวชั้นขอที่มันดูดีกว่านี้หน่อยนะ อย่าเอาผ้าพันเลยรับไม่ได้อะ

    ส่วนตัวละครหญิงที่ช่วยนาโอ เดาพอได้สบายๆจากตรงแนะนำด้านหลังแหละนะ

    บ่นมาเยอะเม้นต์ดีๆให้หน่อยละกัน รู้สึกเดี๋ยวนี้ศิลปะการบรรยายของนายจะดีมากเลยนะเนี่ยชาร์ เขียนได้ดี คำผิดแทบไม่มีหรืออาจจะไม่มีเลย สรุปฝีมือดีขึ้นมาก - -b เสียอย่างเดียว ถ้าเป็นไปได้อย่าล่มได้มะ ชั้นอยากอ่านให้จบอะ
  14. shinkyoto

    shinkyoto Well-Known Member

    EXP:
    580
    ถูกใจที่ได้รับ:
    3
    คะแนน Trophy:
    88
    Re: [ฟิครับสมัคร] Memorial Core (Update Chapter III)

    ไอ้ฉากคนตายหมดหมู่บ้านนี้ มันออกจะเกินไปจริงๆล่ะน่า ต้องการคนๆเดียว

    ประเดี๋ยวก่อน บอกว่า นักล่าค่าหัว เช่นนี้จะหมายถึงสิ่งใดกันครับท่าน? (ใครเป็นคนออกหมาย แล้ว หญิงสาวมาถึงเมืองกลางทะเลทรายได้อย่างไร? (ไม่มีวี่แววยานพาหนะ)
  15. alladiya

    alladiya สมาชิกที่ไม่มีอยู่จริง

    EXP:
    1,207
    ถูกใจที่ได้รับ:
    11
    คะแนน Trophy:
    88
    Re: [ฟิครับสมัคร] Memorial Core (Update Chapter III)

    นึกภาพการฆ่าล้างหมู่บ้าน อึ๋ย แค่คิดก็น่ากลัวพิลึก ชาวบ้านตายอย่างไม่รู้อิโน่อิเหน่ เย เย~ เว้ยย
    ( เวรกรรม ติดไอ้เพลงติงต๊องนั่นซะแล้ว...)

    วาฮันเก็บคอร์ไว้ในที่แปลกๆดีเนอะ - - ถ้าเจอศัตรูใช้อาวุธมีคมเลาะผ้าพนแผลนั่นออกได้ก็จบเห่เลยน่ะสิ *-*
  16. Hell

    Hell Member

    EXP:
    405
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    16
    Re: [ฟิครับสมัคร] Memorial Core (Update Chapter III)

    โอ้ตอนใหม่มาแล้ว~~~! ยังคงแต่งได้สุดยอดไร้ที่ติเหมือนเดิม
    และก็อย่างที่ rep คุณ Evan Ψzac £ เดอะ ริปเปอร์ พอผมอ่านประโยคนั่นแล้วรู้สึกว่ามันเข้ากันดี ดูสมดุลมากๆเลย
    ของที่สร้างมาถ้าไม่ได้รับการปกป้องดูเเลก็จะพังไป ช่างลึกซึ้งจริงๆ
  17. sumiyo

    sumiyo Vincent4ever!!!

    EXP:
    267
    ถูกใจที่ได้รับ:
    4
    คะแนน Trophy:
    18
    Re: [ฟิครับสมัคร] Memorial Core (Update Chapter III)

    ...ก....กรี๊ดดดดดดดดดด~~~~ ฉากเปิดตัวเค้าโดนใจมั่กๆๆ~~!!! ,,>[]<,,!!!!

    จะรอติตดามต่อนะคะ~~~กำลังน่าติดตามเลยอ่า~~~~ ><!!!
  18. kiro

    kiro Member

    EXP:
    62
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    6
    Re: [ฟิครับสมัคร] Memorial Core (Update Chapter III)

    รู้สึกสองคนนี้ทำใจง่ายไปหน่อยกับการย้อนเวลา....ปกติแล้วน่าจะตื่นเต้นตกใจมากกว่านี้นะครับ - -
  19. ultima

    ultima Active Member

    EXP:
    933
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    36
    Re: [ฟิครับสมัคร] Memorial Core (Update Chapter III)

    ว๊ากส์ ตอนใหม่มาแล้วแต่กว่าจะได้มาเม้นท์ช้ามากๆเลย สนุกมากขึ้นทุกตอนๆ จะรออ่านตอนต่อไปครับ
  20. angelgirl

    angelgirl New Member

    EXP:
    69
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    Re: [ฟิครับสมัคร] Memorial Core (Update Chapter III)

    ถึงจะน้อยไปหน่อย แต่ก็เพิ่งสังเกตว่าแค่เรฟเดียวแฮะ รู้สึกว่าบอร์ดใหม่นี่จะใส่เรฟนึงได้มากขึ้นมั้ง

    บรรยายได้เยี่ยมเหมือนเดิม รักษามาตรฐานเอาไว้นะ ^^

    เห็นด้วยนะคะที่ผู้หญิงมีพลังเวทสูงๆ = =b เรื่องจะได้ดูสมดุล ว่าแต่ ใครกันที่มาช่วยนาโอไว้ อยากรู้จริงๆเลย

    รออ่านตอนต่อไปนะคะ สู้ๆ
  21. endlich

    endlich Member

    EXP:
    123
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    16
    Re: [ฟิครับสมัคร] Memorial Core (Update Chapter III)

    Chapter IV : The Last Live

    ปีศักราชใหม่ที่ 624

    ทะเลทรายเกรฟยาร์ด อาณาจักรแห่งไฟ

    ท่ามกลางสายลมบนอันอ่อนโยนที่โอบอุ้มปีกทั้งสองข้างของพญาวิหคเอาไว้ประดุจมารดาโอบอุ้มทารก ร่างของหญิงสาวผู้สวมเสื้อคลุมสีดำกำลังนั่งอยู่บนหลังของเหยี่ยวหางแดงอย่างสงบ พลางสำรวจอาวุธที่ยังเหลืออยู่ในกระเป๋าเพื่อเตรียมรับศึกหนักที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า

    “เฮ้อ~ ปากก็บอกว่าจะเอาจริง แต่วิธีการเนี่ยสิจะเอาไง” เธอบ่นกระปอดกระแปดก่อนที่จะหยิบอาวุธต่าง ๆ มาเรียงไว้เป็นหมวดหมู่ “ที่เหลือก็มีเข็มพิษสิบเล่ม มีดสั้นหนึ่งเล่ม ไฟร์คอร์หนึ่งชิ้น แล้วก็... ไม้ตายก้นหีบอีกหนึ่ง”

    พูดจบเธอก็ยกมือขึ้นกุมขมับอย่างคนคิดหนัก “รู้งี้ไม่น่าใช้พิษกลีบบุปผามรณะกับพวกลิ่วล้อเลยแฮะ ถ้ามีมันซักขวดอะไร ๆ ก็ง่ายกว่านี้เยอะ”

    ในขณะที่เธอกำลังใช้ความคิดอยู่นั้น คาออสที่ยืนอยู่เบื้องล่างก็ล้วงคอร์สีเขียวสดชิ้นหนึ่งออกมาจากกระเป๋ากางเกงก่อนที่จะกำมันเอาไว้ในมือแน่น ดวงตาสีสนิมเหล็กจับจ้องไปยังศัตรูที่กำลังบินอยู่บนท้องฟ้าอย่างไม่วางตา ในใจก็ให้สัตย์ปฏิญาณกับตัวเองว่าจะเอาเลือดของอีกฝ่ายมาเซ่นดวงวิญญาณของพวกพ้องให้จงได้

    “60th Support type, ten walkway climber (เวทสนับสนุนที่ 60, สิบวิถีเถาวัลย์)”

    แสงสีเขียวอ่อนทอประกายออกมาจากคอร์ชิ้นนั้นก่อนที่คาออสจะโยนมันลงไปบนพื้นอย่างรวดเร็ว ในพริบตาที่คอร์สัมผัสพื้นทรายเถาวัลย์เส้นใหญ่ขนาดเท่าต้นมะพร้าวจำนวนสิบเส้นก็งอกออกมาจากคอร์ชิ้นนั้น ห้าเส้นพุ่งทะยานขึ้นไปบนฟ้าอีกห้าเส้นชอนไชอยู่ใต้พื้นทราย จากนั้นเขาจึงหลับตาลงพร้อมกับประสานมือทั้งสองเข้าหากัน เพียงเท่านั้นเถาวัลย์ห้าเส้นที่พุ่งขึ้นไปบนฟ้าก็พลันเปลี่ยนทิศทางพุ่งไปหาเหยี่ยวหางแดงที่กำลังบินอยู่ทันที

    “หืมม์...” หญิงสาวที่หันมาเห็นเข้าพอดีจึงโกยอาวุธทั้งหมดเข้ากระเป๋า ก่อนที่จะบังคับให้สัตว์พาหนะพลิ้วหลบการโจมตีไปอย่างไม่ยากเย็น

    แต่ดูเหมือนว่าการโจมตีของคาออสจะยังไม่หมดแค่นั้น เมื่อเขาออกตัววิ่งไต่ระดับขึ้นมาบนเถาวัลย์ที่โจมตีพลาดก่อนที่จะกระโดดออกมาเงื้อดาบตั้งท่าจะฟันสาวชุดดำกลางอากาศ เมื่อเห็นดังนั้นเธอจึงตัดสินใจล้วงเข็มพิษสี่เล่มออกมาจากกระเป๋าก่อนที่จะซัดสวนออกไป

    ฟิ้ว!!

    คาออสมองเข็มพิษที่พุ่งเข้ามาก่อนที่จะยกดาบขึ้นมาปัดเข็มพิษเหล่านั้นจนกระเด็นออกไป จากนั้นจึงกวักมือเรียกเถาวัลย์เส้นหนึ่งให้มาขดตัวเป็นแผ่นวางเท้าก่อนที่ร่างของเขาจะร่วงหล่นลงสู่พื้นทรายเบื้องล่าง

    “หมอนี่เขี้ยวใช่เล่นแฮะ แล้วถ้าแบบนี้ล่ะ...”

    พูดจบหญิงสาวก็สั่งให้เหยี่ยวหางแดงพุ่งเข้าไปหาฝ่ายตรงข้ามด้วยความเร็วสูง เมื่อได้ระยะพอเหมาะเธอก็ดีดตัวออกมาจากเหยี่ยวตัวนั้นปล่อยให้มันพุ่งชนศัตรูดื้อ ๆ โดยที่เธอทำเพียงแค่ล้วงเข็มพิษออกมาอีกห้าเล่มเพื่อรอจังหวะที่จะโจมตีซ้ำเท่านั้น

    แต่มีหรือที่ลูกเล่นง่าย ๆ แบบนี้จะตบตาผู้มากประสบการณ์อย่างคาออสได้ เขามองข้ามพญาวิหคไปที่หญิงสาวที่กำลังลอยเคว้งอยู่กลางอากาศเบื้องหลัง ก่อนที่จะกระโดดข้ามมันหัวไปอย่างง่ายดายแล้วชักปืนพกกระบอกโตรัวกระหน่ำไปที่เธอทันที

    ปัง!! ปัง!! ปัง!!

    เป็นเรื่องยากที่จะเคลื่อนที่หลบลูกกระสุนขณะกำลังลอยอยู่กลางอากาศ เธอจึงใช้เข็มพิษในมือนั้นปาออกไปเพื่อหักล้างกับกระสุนที่พุ่งเข้ามา แล้วผิวปากเรียกเหยี่ยวหางแดงให้บินวนกลับมารับร่างบางไว้ได้อย่างทันท่วงที

    “ฮึ... ถอยไปตั้งหลักก่อนดีกว่าเรา”

    เมื่อคิดได้ดังนั้นเธอจึงบังคับสัตว์พาหนะให้บินต่ำลงไปจนเฉียดพื้นทราย แล้วบินลัดเลาะไปตามสันทรายอย่างชำนิชำนาญ แต่ยังไม่วายที่จะถูกตามล่าโดยเถาวัลย์อีกห้าเส้นที่โผล่พรวดขึ้นมาจากพื้น ขัดสานกันจนกลายเป็นตาข่ายขนาดยักษ์ครอบคลุมบริเวณที่หญิงสาวบินอยู่จนมืดมิดราวกับเป็นเวลากลางคืน

    “ไม่ได้การ แบบนี้แย่แน่!” หญิงสาวพูดก่อนที่จะหยิบคอร์สีแดงสดออกมากำไว้ในมือแน่นพร้อมกับร่ายมนตร์

    “44th Offense type, fire dragon blast! (เวททำลายที่ 44, ระเบิดมังกรอัคคี!)”

    ตูม!!

    เสียงระเบิดดังกึกก้องกัมปนาทพร้อมกับอานุภาพของเปลวไฟที่เผาทำลายเถาวัลย์เกือบทั้งหมดจนวอดวายกลายเป็นเถ้าถ่านสีน้ำตาลดำ ร่างของพญาวิหคพุ่งทะยานออกมาจากกองเถ้าถ่านขึ้นสู่ฟากฟ้าอย่างรวดเร็ว แม้ว่าเธอจะรอดพ้นจากการจับกุมมาได้ แต่กระนั้นก็ยังได้แผลฉกรรจ์ที่หัวไหล่ติดมาเป็นของแถม

    “สาหัสเหมือนกันแฮะ... ถ้าไม่รีบจัดการให้จบ ๆ ไปล่ะก็ คนที่เสร็จก็คงจะเป็นเราล่ะนะ” หญิงสาวพูดพลางฉีกชายเสื้อคลุมของตัวเองเพื่อนำมาพันแผล “ว่าแต่หมอนั่น... หายไปไหนแล้ว!?”

    ปัง!! ปัง!! ปัง!!

    เสียงปืนดังกึกก้องมาจากด้านหลังกระตุ้นเส้นประสาทของหญิงสาวให้ตึงเครียดขึ้นมาอีกครั้ง เธอหันหลังพร้อมกับใช้มีดสั้นปัดกระสุนเหล่านั้นให้กระเด็นออกไป แล้วบังคับให้สัตว์พาหนะบินร่อนเข้าไปในกลุ่มควันที่เกิดจากการระเบิดเมื่อครู่เพื่ออำพรางตัวเอง

    “ฮึ่ม!”

    คาออสคำรามอย่างโกรธแค้นพร้อมกับยิงไล่ไปตามเงาราง ๆ ในหมอกควันที่คาดว่าน่าจะเป็นศัตรูของตน โดยไม่ทันสังเกตว่าหญิงสาวกำลังวิ่งไต่ระดับขึ้นมาบนเถาวัลย์เส้นเดียวกับตัวเองอย่างเงียบเชียบพร้อมกับดวงตาที่วาวโรจน์ราวกับดวงตาของสัตว์ร้าย

    เคร้ง!!

    แต่แล้ววินาทีที่คมมีดอาบยาพิษกำลังจะปาดคอนั้นเอง เงาของมีดที่สะท้อนแสงแดดจ้าได้ดึงดูดสายตาของคาออสให้เหลียวมองมาทางด้านหลัง แล้วสอดดาบขึ้นมารับการลอบสังหารเอาไว้ได้อย่างฉิวเฉียด หญิงสาวชักสีหน้าขัดใจเล็กน้อยก่อนที่เธอจะอ้าปากพ่นเข็มพิษเล่มสุดท้ายออกมา

    ฟิ้ว!!

    ด้วยประสบการณ์ที่มากล้นทำให้อดีตจอมโจรค่าหัวสิบล้านเอียงคอหลบเข็มพิษเล่มนั้นไปได้อย่างไม่ยากเย็นนัก ก่อนที่เขาจะใช้กำลังที่เหนือกว่าดันเธอจนกระเด็นออกไปจากเถาวัลย์ที่ยืนอยู่จากนั้นจึงยกปืนขึ้นหมายจะยิงซ้ำ แต่แทนที่หญิงสาวจะตั้งท่าปัดป้องเหมือนอย่างเคย เธอกลับทำสิ่งที่เหนือความคาดหมายยิ่งกว่า นั่นก็คือ...

    “วี๊ด!”

    เจ้าของเรือนผมสีเงินผิวปากดังลั่น สั่งให้สัตว์อัญเชิญของตนพุ่งเข้าจู่โจมคาออสจากด้านหลัง เพียงเท่านั้นก็ทำให้อดีตจอมโจรหันหลังควับพร้อมกับยกดาบในมือซ้ายขึ้นมาสกัดกั้นกรงเล็บอันแหลมคมเอาไว้ ขณะที่ปืนในมือขวาก็ลั่นไกใส่เหยี่ยวหางแดงของหญิงสาวทันที

    ปัง!!

    เมื่อสัตว์อัญเชิญตายร่างกายจะสูญสลายกลายเป็นควันสีขาว ร่างของคาออสจึงถูกปกคลุมไปด้วยหมอกควันสีขาวนวลที่บดบังทัศนวิสัยภายนอกจนไม่สามารถจับทิศทางอะไรได้เลย เขาทำได้แค่เพียงยกดาบขึ้นมาอยู่ในท่าตั้งรับเพื่อป้องกันศัตรูโจมตีทีเผลอเท่านั้น

    จนกระทั่งหมอกควันแห่งชะตากรรมจางลง คาออสจึงพบว่าหญิงสาวผู้ซึ่งเป็นศัตรูฆ่าล้างหมู่บ้าน บัดนี้ได้ขึ้นมายืนอย่างสงบอยู่บนเถาวัลย์เส้นเดียวกับเขาในระยะห่างไม่ถึงสองเมตร

    “เมื่อครู่ทำไมถึงไม่โจมตีข้า?” คาออสออกปากถามเนื่องจากสงสัยในพฤติกรรมของฝ่ายตรงข้าม “แผนการของเจ้าก็คือ ใช้การโจมตีของเหยี่ยวเป็นนกต่อ แล้วตัวเจ้าค่อยโจมตีซ้ำตอนที่ข้ายังอยู่ในหมอกควันมิใช่รึ?”

    “ผิดแล้ว” หญิงสาวตอบพร้อมกับเผยยิ้มออกมาอย่างผู้มีชัย “การโจมตีของข้าในตอนแรกคือนกต่อ แล้วการโจมตีของเหยี่ยวต่างหากคือการโจมตีปิดท้าย”

    “ว่าไงนะ...” พูดได้เพียงแค่นั้นทั้งดาบและปืนต่างก็ร่วงผล็อยลงไปกองกับพื้นทรายเบื้องล่าง ทั่วสรรพางค์กายไร้ซึ่งการตอบสนองใด ๆ ราวกับว่าประสาทสัมผัสทั้งมวลถูกตัดขาดคำสั่งการจากสมองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

    “ทำหน้าแบบนั้นเหมือนจะถามว่า ‘เพราะอะไร’ สินะ” หญิงสาวพูดพลางเดินเข้ามาใกล้ “ข้าจะบอกให้ก็ได้ ถือว่าเป็นความเมตตาครั้งสุดท้ายจากข้าก็แล้วกัน”

    “การที่จะใช้เวทอัญเชิญได้นั้นจำเป็นที่จะต้องใช้ธาตุหลักทั้งสี่ อันได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ แต่เมื่อครู่นี้ข้าได้ผสมสิ่งแปลกปลอมนอกเหนือธาตุทั้งสี่เข้าไปอีกหนึ่งอย่าง” พูดจบเธอก็ปรายตามองร่างที่ขยับไม่ได้ของคาออส “นั่นก็คือ พิษทำลายระบบประสาทยังไงล่ะ”

    “ในขณะที่ยังคงรูปร่างเป็นสัตว์อัญเชิญอยู่นั้น พิษทั้งหมดจะหมุนเวียนอยู่ในกระแสเลือดของสัตว์อัญเชิญและจะไม่เป็นอันตรายใด ๆ แต่ทันทีที่สัตว์อัญเชิญตาย พิษทั้งหมดจะฟุ้งกระจายออกไปในอากาศและจะออกฤทธิ์ทันทีแม้จะสูดดมไปเพียงเล็กน้อยก็ตาม”

    “เข้าใจรึยังล่ะ ทีนี้ก็ไม่มีอะไรค้างคาใจแล้วสินะ...”

    หญิงสาวพูดพลางควงมีดไปตามร่องนิ้วอย่างคล่องแคล่วก่อนที่จะจบลงที่คอหอยของฝ่ายตรงข้ามจนเลือดสาดกระเซ็นเป็นฝอย ส่งร่างอันไร้วิญญาณของอดีตจอมโจรผู้ยิ่งยงให้ร่วงหล่นจากเถาวัลย์ที่สูงนับสิบเมตรลงไปสู่พื้นทรายเบื้องล่างทันที

    “ท่านพ่อ!” คาซิมตะโกนลั่น ก่อนที่ความเสียใจที่สูญเสียบุพการีอันเป็นที่รักจะผลักดันให้เขาวิ่งออกมาจากที่ซ่อนตัว พร้อมกับความหวังที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดว่าผู้เป็นบิดานั้นจะยังมีลมหายใจอยู่

    “เค้าตายแล้วล่ะ” มัจจุราชผู้พรากชีวิตของอดีตจอมโจรไปเมื่อไม่กี่วินาทีก่อน กระโดดตามลงมายังพื้นทรายเบื้องล่างพร้อมกับบอกความจริงที่เจ็บปวดที่สุดให้เด็กหนุ่มได้รับรู้

    “แก! นังปีศาจ!” เพียงเท่านั้นคาซิมก็ฉวยดาบคู่ใจของคาออสขึ้นมา หมายจะเข่นฆ่าผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าให้สิ้นชีพไปในบัดดล

    ฉัวะ!!

    แต่ยังไม่ทันที่จะได้ทำตามที่ใจคิด ร่างของหญิงสาวก็เคลื่อนที่ผ่านข้างของคาซิมไปอย่างรวดเร็วราวลมพัด พร้อมกับฝากรอยแผลกรีดยาวตั้งแต่หัวไหล่จรดข้อมือซ้ายเอาไว้ ความเจ็บปวดที่ถาโถมเข้าจู่โจมทั้งร่างกายและจิตใจทำให้เด็กหนุ่มแผดเสียงร้องออกมาราวกับคนเสียสติ

    “อ้าก!”

    “พวกมนุษย์... น่ารำคาญจริง” หญิงสาวบ่นพึมพำพร้อมกับเงื้อมีดขึ้นสูงหมายจะสังหารชีวิตสุดท้ายในโอเอซิสแห่งนี้ให้สิ้นชีพตามพวกพ้องไป

    “พอได้แล้วล่ะ อลิซ”

    น้ำเสียงที่เยือกเย็นราวกับน้ำแข็งดังขึ้นมาจากด้านหลัง เพียงเท่านั้นหญิงสาวผู้ถูกเอ่ยนามว่า อลิซ จึงได้หันหน้ามองไปยังที่มาของเสียง จึงได้พบกับร่างของหญิงสาวผู้สวมเสื้อคลุมสีดำสนิทแบบเดียวกับเธอ ใบหน้าขาวซีดที่โผล่พ้นชายฮู้ดออกมานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ใด ๆ

    “ชาลีฟ...” อลิซเอ่ยชื่อของสหายผู้มาใหม่ “ข้าบอกให้เจ้าไปเดินเล่นก่อนไม่ใช่รึไง ก็ตกลงกันแล้วไม่ใช่รึว่างานนี้ข้าขอจัดการคนเดียว”

    ชาลีฟไม่ตอบโต้อะไร เธอเดินเข้ามายังร่างของคาซิมที่นอนบาดเจ็บปางตายอยู่ ก่อนที่จะทาบฝ่ามือลงไปบนปากแผลบริเวณหัวไหล่แล้วลากไปจนสุดความยาวแผล เพียงเท่านั้นปากแผลที่เปิดอ้าอยู่ก็พลันเชื่อมสนิทกันอย่างน่าอัศจรรย์ เหลือเพียงแผลเป็นเอาไว้คอยเตือนใจให้เด็กหนุ่มนึกถึงความไม่เอาไหนในฝีมือของตัวเองเท่านั้น

    “ย... อย่าคิดว่ามาทำดีกับข้า แล้วข้าจะให้อภัยพวกเจ้านะ!” คาซิมตะโกนใส่หน้าหญิงสาวผู้มาใหม่แม้ว่าตัวเขาเองจะหมดแรงจนแทบจะลุกไม่ขึ้นแล้วก็ตาม ซึ่งแน่นอนว่าเขาเองก็ไม่ได้รับการตอบสนองจากเธอเช่นเดียวกัน

    “ทำเกินไปรึเปล่า ไม่เห็นจำเป็นต้องฆ่าคนที่ไม่เกี่ยวข้องเลยนี่” ชาลีฟหันหน้ามาพูดกับเพื่อนสาว ดวงตาสีดำสนิทที่ซ่อนอยู่ภายใต้เงาฮู้ดเหลือบมองซากศพรอบกายอย่างเฉยเมย

    “ไม่หรอก สำหรับมนุษย์ที่แย่งชิงแผ่นดินเกิดเราไป... มันก็สมควรแล้วล่ะ”

    อลิซพูดพร้อมกับแสร้งหันหน้าไปทางอื่น ทำให้สายตาของเธอไปสะดุดเข้ากับร่างของชายคนหนึ่งซึ่งแต่งกายผิดแผกแตกต่างไปจากชาวบ้านในโอเอซิสแห่งนี้อยู่มากโข เขานอนสลบไศลไม่ได้สติอยู่ในบริเวณที่ชาลีฟเคยยืนอยู่ตอนแรก ซึ่งชาลีฟเองก็คงจะจงใจยืนบังเขาเอาไว้เพื่อไม่ให้เธอสังเกตเห็นได้ง่าย

    “นั่นมัน... มนุษย์” เมื่อเห็นเผ่าพันธุ์ที่ตนเองเกลียดชัง อลิซจึงพุ่งตรงเข้าไปหาอย่างรวดเร็วพร้อมกับกระชากมีดออกมาจ่อบริเวณคอหอยของนาโอทันที

    “ข้าจะฆ่ามัน”

    “ได้ยินหัวหน้าสั่งเอาไว้ว่า ให้หาใครก็ได้มาเป็นเพื่อนเล่นกับคีย์ซักคนนึง ข้าคิดว่าหมอนี่น่าจะใช้ได้” ชาลีฟพูดออกมาลอย ๆ

    “ง้านเหรอ” อลิซลากเสียงยานคางหมายจะยั่วโมโหฝ่ายตรงข้าม “นั่นสินะ ก็เจ้าน่ะหมดอาลัยอาวรณ์กับโลกใบนี้แล้วนี่นา เจ้าคงไม่คิดช่วยเจ้าหนุ่มคนนี้เพียงเพราะความสงสารหรอกใช่มั้ย?”

    ไร้เสียงโต้ตอบจากผู้ถูกท้าทาย ชาลีฟยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยราวกับว่ารูปลักษณ์ภายนอกของเธอเป็นเพียงแค่เปลือกหนา ๆ ที่ห่อหุ้มสิ่งที่เรียกว่าจิตใจอันมืดมนเอาไว้เท่านั้น

    “เฮ้อ~ ยอมแพ้เลยแฮะ เจ้านี่ยั่วไม่สนุกเอาซะเลย” อลิซพ่นลมพรืดออกมาอย่างอ่อนใจ ก่อนที่จะเปลี่ยนมาตั้งคำถามแทน “อีกไกลมั้ยกว่าจะถึงสถานีรถไฟ?”

    “อีกราวสิบกิโล... แต่ถ้าข้าใช้ ‘เท้าวายุ’ ก็จะไปถึงได้ในสองนาที” ชาลีฟพูดก่อนที่จะล้วงคอร์สีเขียวสดชิ้นหนึ่งออกมาจากกระเป๋า

    “เจ้าใช้เวทไม้เป็นตั้งแต่เมื่อไหร่หืมม์? ชาลีฟ” อลิซถาม

    “เปล่า” ชาลีฟตอบปฏิเสธ

    “ก่อนที่จะปฏิบัติภารกิจ หัวหน้าเรียกข้าเข้าไปพบพร้อมกับมอบมนตร์มาให้หนึ่งบท แล้วบอกข้าว่าเจ้าจะชนะการต่อสู้แต่จะได้รับบาดเจ็บสาหัสที่หัวไหล่ ให้ข้าใช้มนตร์บทนี้รักษาเจ้ารวมไปถึงใช้มันในการเคลื่อนย้ายศพของ คาซิม ฟิลลาทิโน่ ด้วย”

    “ฮึ... แม้แต่จุดที่บาดเจ็บชายคนนั้นก็ยังรู้อีกรึเนี่ย” อลิซเปรยออกมา

    ชาลีฟไม่พูดอะไร เธอทำเพียงแค่ยื่นฝ่ามือที่ถือคอร์ออกไปด้านหน้าพร้อมกับร่ายมนตร์

    “32nd Support type, healing flower (เวทสนับสนุนที่ 32, บุปผาฟื้นสภาพ)”

    เถาไม้เลื้อยสีน้ำตาลเข้มงอกออกมาจากคอร์ชิ้นนั้นก่อนที่จะแตกแขนงกิ่งก้านสาขาออกเป็นสามเส้น เส้นที่หนึ่งและสองตรงไปยังร่างของอลิซและนาโอที่อยู่ใกล้เคียงกัน ส่วนเส้นที่สามนั้นตรงไปยังร่างอันไร้วิญญาณของคาออสที่นอนอยู่ห่างออกไป เมื่อได้ระยะพอเหมาะแล้วที่ปลายของทั้งสามเส้นก็ปรากฏดอกไม้ขนาดใหญ่สีแดงสดบานออกมาแล้วกลืนกินร่างของคนทั้งสามเข้าไปในทันที

    “ท่านพ่อ!” คาซิมอุทานออกมาอย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง “แก... แกจะเอาท่านพ่อไปไหน!?”

    หญิงสาวเจ้าของเรือนผมสีแดงอมส้มไม่ตอบ เธอกำมือที่ถือคอร์อยู่พร้อมกับดึงเข้าหาตัวเอง เพียงเท่านั้นดอกไม้ที่เต่งตูมเพราะกลืนร่างของคนทั้งสามเข้าไปก็พลันหดเล็กลงแล้วถอยร่นเข้ามายังคอร์ชิ้นนี้อีกครั้งราวกับว่ากำลังฉายภาพย้อนกลับ จนในที่สุดทะเลทรายผืนนี้ก็เหลือเพียงแค่ร่างของเธอกับคาซิมเท่านั้น

    คาซิมพยายามจะยันตัวเองขึ้น แต่ด้วยความที่เสียเลือดมากบวกกับอากาศที่ร้อนอบอ้าวทำให้เขาไม่สามารถทำตามความประสงค์ของตัวเองได้ ชาลีฟยืนมองอากัปกิริยาเขาด้วยแววตาที่ยากจะเข้าใจ ก่อนที่เธอจะโยนถุงน้ำที่พกติดตัวลงไปที่พื้นแล้วหันหลังเดินจากไปโดยไม่ปริปากพูดอะไรซักคำ

    “เดี๋ยวก่อนเซ่!” คาซิมร้องเรียกด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่า “พวกแก... เป็นใครกัน!?”

    ร่างบางภายใต้เสื้อคลุมสีดำสนิทหยุดชะงัก ก่อนที่จะเอ่ยปากพูดกับเด็กหนุ่มโดยที่ไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับมามองเลยซักนิด

    “ที่ข้าไว้ชีวิตเจ้าไม่ใช่อยากจะให้เจ้าทำอะไรโง่ ๆ ที่เรียกว่าการแก้แค้นหรอกนะ ที่ไว้ชีวิตเจ้าก็เพราะว่าอยากจะให้เจ้ามีชีวิตอยู่ต่อไปจนถึงยุคสมัยที่ไร้สงครามต่างหาก... แต่ถ้าเจ้าอยากจะแก้แค้นข้าก็คงห้ามเจ้าไม่ได้ พวกข้าคือ R.A. (Rebellion Angels) กลุ่มที่จะเปลี่ยนแปลงโลกในอนาคตอันใกล้นี้”

    “ลาก่อน... หวังว่าคงจะไม่ได้พบกันอีก”

    พูดจบร่างของหญิงสาวก็พลันหายวับไปราวกับสายลม สิ่งที่เหลือทิ้งไว้ในดวงตาของเด็กหนุ่มนามคาซิมในยามนี้ มีเพียงสายธารแห่งความเศร้าโศกที่กำลังอาบนองอยู่บนสองแก้ม และเปลงเพลิงแห่งความเคียดแค้นที่บ่มเพาะอยู่ในแววตา รอคอยวันเวลาที่จะประทุขึ้นมาอีกครั้ง


    ~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~

    กลับมาแล้วคร้าบ หลังจากหายหน้าไปแต่งแบบมึน ๆ มา 20 วัน (นานไปรึเปล่าเนี่ย) บทที่ 4 นี้เป็นบทสุดท้ายของช่วงปูเนื้อเรื่อง ดังนั้น ตั้งแต่บทที่ 5 เป็นต้นไปก็จะเข้าสู่เนื้อหาหลักกันจริง ๆ แล้วนะครับ ซึ่งหมายถึงตัวละครที่ท่านสมัครมาก็จะทยอยออกกันเยอะขึ้น เย้!!

    ในบทที่ 2 - 4 จะมีการใช้เวทมนตร์หลากหลายสาย ซึ่งแต่ละสายผมจะแบ่งแยกออกเป็นสีเพื่อให้เข้าใจง่าย ๆ ได้ดังนี้ครับ
    สีแดงเข้มจะเป็นเวทสายโจมตี (Offense type)
    สีน้ำเงินเข้มจะเป็นเวทสายป้องกัน (Defense type)
    สีเขียวจะเป็นเวทสายสนับสนุน (Support type)
    สีน้ำตาลจะเป็นเวทสายอัญเชิญ (Summon type)

    สำหรับท่านที่สงสัยว่าเจ๊อลิซแกใส่ยาไปตอนไหนหว่า ก็ขอให้ย้อนขึ้นไปอ่านท้าย ๆ บทที่ 3 นะครับ แล้วจะรู้เองว่าเจ๊แกใส่ไปตอนไหน

    เอ้อ! แล้วก็มีหลายท่านติงเหมือนกันว่าตอนที่ 3 นั้นสั้นไป ที่จริงมันก็พอ ๆ กันทุกบทแหละครับ แต่ที่เห็นว่าสั้นคงเป็นเพราะบอร์ดใหม่ 1 เรป.สามารถใส่ได้มากกว่า 10,000 ตัวอักษร ผมก็เลยอัดเข้าไปเต็มสตรีมในเรป.เดียวเลยจะได้นับบทง่าย ๆ แถมไม่เป็นการปั๊มเรป.ด้วย ฮ่า ๆ

    อาวล่ะ~ พล่ามมามากแล้วพอแค่นี้แล้วกัน ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้า ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมชมครับ

    Special Thanks
    - นาโอ รันเซ่ [Naoki Kagami : PEACEMAKER]
    - อลิซาเบธ ริชเชอร์ [SûmiyØ VåleñtinÈ]
    - ชาลีฟ โอ. กรีด [->T r A i N<-]
    - คาซิม ฟิลลาทิโน่ [--+[] WAR []+--]

    ปล. แก้ไขตามที่ท่านวาอัน เอ๊ย! ท่านอีวานแนะนำแล้วนะครับ ^^;
  22. derick

    derick Member

    EXP:
    339
    ถูกใจที่ได้รับ:
    1
    คะแนน Trophy:
    18
    Re: [ฟิครับสมัคร] Memorial Core (Update ตอนที่ 4)

    ภาษายังดีเช่นเดิมครับ ><b

    ทำตอนนี้รู้สึกว่าอลิซเธอเทพน่ากลัวจริง ๆ การผสมเวทมนตร์ได้นี่คงไม่ใช่ระดับสูงแบบปกติแล้วสินะ -*-

    ว่าแต่จะเอาคุณพ่อไปทำอะไรน่ะ ????
  23. ultima

    ultima Active Member

    EXP:
    933
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    36
    Re: [ฟิครับสมัคร] Memorial Core (Update ตอนที่ 4)

    โอ มาลงอีกตอนแล้วสินะ การต่อสู้ของคาออสกับอลิซนี่ช่างเป็นกลยุทธ์ที่คาดไม่ถึงจริงๆ

    มาลงตอนต่อไปเร็วๆนะครับ ติดตามอยู่
  24. raymiel02

    raymiel02 New Member

    EXP:
    18
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    Re: [ฟิครับสมัคร] Memorial Core (Update ตอนที่ 4)

    อืมไม่ได้เข้ามาแปบเดียวเองไปตอน 4 แล้วหรือนี่ ฉากต่อสู้สุดยอดจริง ๆ แถมปิดฉากการต่อสู้ได้เลือดสาดอีกตะหาก ส่วนเวทย์มนต์นั้นก็พอจะเดาได้ละครับว่ามันจะเป็นลักษณะแบบไหน
  25. swanton

    swanton Dragon on Board

    EXP:
    1,424
    ถูกใจที่ได้รับ:
    69
    คะแนน Trophy:
    113
    Re: [ฟิครับสมัคร] Memorial Core (Update ตอนที่ 4)

    อลิซดูเป็นคนที่หลายบุคลิกแบบลงตัว อารมณืว่าเวลาเจ๊อยู่คนเดียวก็จะขี้บ่นแบบสาวๆ แต่พอเวลาสู้ล่ะโหดเหี้ยมเชียว แถมฝีมือก็ใช่ย่อยด้วย

    การเปรียบเทียบนี่ ถ้าเ้อาวัตถุที่มีในยุคของท้องเรื่องจะดูกลมกลืนกว่าไหมครับ? อย่างที่บอกว่าเถาวัลยืเท่าเสาไฟฟ้านี่ รู้สึกว่ามันจะเป็นอิมเมจแบบผิดโลกไปหน่อยแฮะ ^^" เอาแบบวัตถุใดก็ได้ในยุคนั้นๆดีไหม? อันนี้ผมเสนอแนะนะ
    คำพูดนี้มากจาก Transformer รึเปล่านะ ^^" หรือผมคิดมากไปเอง(เพิ่งดูมาเมื่อวาน)

    การบรรยายยังไม่ตก ตอนนี้อ่านแล้วแอบเห็นใจคาซิม (เดาเอาเองว่ามันจะต้องกลายเป็นคนที่มีความแค้นสุมอกแหงเลย)

Share This Page