เรื่องเล่าที่ร่วงหล่น ตามHDD ที่จากไป [สถาณะตายสนิท]

กระทู้จากหมวด 'Fiction' โดย joi100, 17 พฤศจิกายน 2007.

  1. joi100

    joi100 นักเดินทางแห่งมิดการ์ด

    EXP:
    478
    ถูกใจที่ได้รับ:
    23
    คะแนน Trophy:
    38
    Re: Tale Of Light and Shadow [นักดาบจากแดนใต้ (5) หลังจากมุขตันมานาน]

    ห้องรับแขกหนนี้ไม่ขอพูดอะไรมาก เพราะเขียนไป ด้านท้ายหมดแล้ว พูดคุยกันด้านล่างเลยนะครับ


    Near


    [action]หุๆมันเป็นมุขหากินเวลามุขตันครับฮาๆ นึกไม่ออกก็เล่าอดีตไปก่อนนี่แหละ 555[/action]
    -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
    Paia: Inside GN-0000


    [action]จัสมินงั้นรึ รอซักพักละกันพี่น้อง เอิ๊กๆเขียนถึงบ่อยๆหมดมุขพอดีฮาๆ[/action]
    -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
    -MOKO-เรื่อยๆ เหนื่อยก็พัก

    [action]ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมชมกันครับ[/action]
    -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
    Twin-Fenrir

    [action]ตอนอ่านใบสมัครผมก็คิดงั้นแหละครับ เอิ๊กๆ ตอนนี้คงได้เห็นฉากต่อสู้แล้วนะครับไม่รู้จะถูกใจรึเปล่า[/action]
    -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    ยูคิฮิเมะ~ Gespenst Jaeger


    [action]แหมๆเจ๊ยูล่ะก็เริ่มแอบดักทางกันแล้วนะนี่ ฮาๆ ไม่รู้ตอนใหม่นี่จะเศร้าตามลางสังหรรึเปล่านะครับ เอิ๊กๆ[/action]
    -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    Stay With Loyal

    [action]ขอบตุณที่ติดตามกันมาเรื่อยๆครับผม[/action]
    -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
  2. joi100

    joi100 นักเดินทางแห่งมิดการ์ด

    EXP:
    478
    ถูกใจที่ได้รับ:
    23
    คะแนน Trophy:
    38
    Re: Tale Of Light and Shadow [นักดาบจากแดนใต้ (5) หลังจากมุขตันมานาน]

    เรื่องเล่าจากแสงและเงา เรื่องที่ : 4 นักดาบจากแดนใต้ (6)







    ป่าขนาดใหญ่ที่ปกคลุมพื้นที่เกือบครึ่งของเกาะขนาดใหญ่อย่าง อุเอรุโตะ แหล่งทรัพยากรธรรมชาติ ที่สำคัญของชาวเมืองแห่งนี้ บัดนี้มันกำลังจะกลายเป็นเวที ที่จะเล่าขานเรื่องราวของเด็กหนุ่ม2คนที่ต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่เรียกว่า "โชคชะตา" โดยที่พวกเขาไม่มีทางรู้เลยว่าสิ่งที่พวกเขาได้เผชิญนั้นมันเป็นเพียงบทนำของตำนานที่จะถูกเล่าขานไปเรื่อยๆ จากรุ่นสู่รุ่นบนเกาะแห่งนี้

    จากการพบกันครั้งแรกของเด็กชายผู้ฝึกวิชาเพียงลำพังอยู่ในป่าใหญ่ด้วยดาบไม้เพียงเล่มเดียว "ชาง" และ เด็กชายผู้ที่ต้องแบกรับชะตากรรมที่เขาไม่ได้เลือกมัน "อาราชิ" เวลาได้ไหลผ่านพวกเขาทั้งคู่ไปเกือบๆ 3 เดือนแล้ว ดังเช่าสายน้ำในลำธารเล็กๆ ที่พวกเขาทั้งคู่ได้นั่งเหม่อมองอยู่ในเวลานี้

    "นี่ชาง ทำไมนายถึงได้ขยันฝึกวิชาดาบทั้งๆที่ตัวนายในเวลานี้ก็เก่งกว่าคนปกติทั่วๆอยู่มากทีเดียวแล้วนะนี่ ถ้านายไปเข้าร่วมงานประลองต่างๆที่จัดขึ้นทั้งที่ อุเอรุโตะ นี่และ ด้านนอกเกาะนายก็จะได้ทั้งเงินทองและชื่อเสียง" อาราชิชวนเด็กชายที่นั่งเหม่อมองสายน้ำข้างๆเขาคุย หลังจากทั้งคู่ฝึกวิชาดาบด้วยกันเสร็จ โดยมีชางที่สอนพื้นฐานต่างๆเท่าที่ตัวเขาเองพอจะถ่ายทอดออกมาได้ ซึ่งมันก็เพียงพอสำหรับอาราชิที่มีพื้นฐานการต่อสู้อยู่แล้วจะประยุกต์สิ่งเหล่านั้นเป็นรูปแบบการใช้ดาบโดยเฉพาะของตัวเขาเอง

    ชางกลับไม่ได้ตอบคำถามของเพื่อนเขาทันที เพียงแต่ละสายตาจากสายน้ำในลำธารที่เขามองอยู่ เงยหน้ามองไปยังท้องฟ้าสีครามที่กว้างใหญ่ที่ปกคลุมผืนป่าแห่งนี้อยู่ ปุยเมฆสีขาวค่อยๆล่องลอยไปเรื่อยๆ ตามสายลมที่พัดผ่าน เป็นเวลาอยู่ชั่วอึดใจใหญ่ๆที่ ชางเหม่อมองท้องฟ้าอยู่เช่นนั้น

    แต่ อาราชิ ก็ไม่ได้เร่งอะไรเด็กชายข้างๆตัวเขา เพราะการอยู่ด้วยกันมาเกือบๆ 3 เดือนมานี่ ทำให้เขารู้ว่า การที่เจ้าหมอนี่เหม่ออยู่อย่างนั้น มันไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ได้สนใจ หรือ ไม่รับรู้ในสิ่งที่ถูกถาม แต่เขากำลังครุ่นคิดถึงคำตอบอยู่ต่างหาก

    แล้วในที่สุดหลังจากเวลาผ่านไป ชางก็เอ่ยขึ้น "อาราชิ นายคิดว่าการที่ได้ สิ่งที่เรียกว่าเงินทอง และ ชื่อเสียงมันจะทำให้คนเรามีความสุขอย่างนั้นหรือ?"

    ถามผู้ถามกลายเป็นผู้ถูกถาม อาราชิก็ตอบกลับไป "ไม่รู้สิ เห็นคนส่วนใหญ่ ก็แสวงหาสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่รึ หมู่บ้านที่ข้าเคยอยู่ ต่างไม่เคยมีใครสนใจการมีอยู่ของตัวตนเด็กที่มีแต่นำความหายนะมาให้อย่างข้า จนสุดท้ายข้าก็ถูกขับไล่ออกมาจากหมู่บ้านแห่งนั้น ด้วยเหตุผลที่ว่าการอยู่ที่นั่นของข้าจะทำให้หมู่บ้านนั้น เสื่อมเสียชื่อเสียง"

    "อย่างนั้นรึ ลาภ ยศ สรรเสริญ มันจะมีค่าอะไรหากสิ่งเหล่านั้นไม่สามารถปกป้องสิ่งสำคัญได้ มันช่วยอะไรได้เมื่อเราและคนสำคัญต้องอยู่ในอันตราย มันจะมีค่าอะไรถ้าเรามองจากมุมมองของธรรมชาติ มันเป็นเพียงสิ่งลวงตาที่สังคมสร้างขึ้น สุดท้ายเมื่อเราตายไปเราก็เอามันไปด้วยไม่ได้"

    "นี่เป็นสิ่งที่เราถูกสั่งสอนมา และเราก็เชื่อเช่นนั้นโดยไม่คลางแคลงใจแม้แต่นิดเดียว 1ใน`สัจจะ`ที่เราให้ไว้กับอาจารย์ คือจะไม่กวัดแกว่งอาวุธในมือเพื่อตอบสนองกิเลศของตนเองเป็นอันขาด"

    "อย่างนั้นรึ? ข้าอยากจะพบอาจารย์ของนายซักครั้งจังเลยนะ เท่าที่ฟังจากนายมา อาจารย์ของนายคงเป็นคนที่สุดยอดมาก" อาราชิ เอ่ยขึ้นหลังจากได้ฟังคำตอบของชาง พลางเหม่อมองท้องฟ้าตามคนข้างๆบ้าง

    "เมื่อก่อนชั้นไม่เคยรู้เลยนะว่า ท้องฟ้ามันกว้างใหญ่และสวยงามขนาดนี้ๆ ทั้งๆที่แค่เงยหน้าขึ้นไปเราก็สามารถพบมันได้แล้ว ขอบคุณนะ ชาง ที่ทำให้ข้าได้มองเห็นอะไรดีๆในชีวิตบ้าง นอกจากสายตาอันเต็มไปด้วยความรังเกียจ"

    "ทำไมนายไม่ลองไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่อื่นดูล่ะ ไปในที่ๆไม่มีคนรู้จักนายแล้วเริ่มต้นตามเส้นทางที่อยากอยากจะเดินไป" ชางเอ่ยถามทั้งๆที่สายตายังเหม่อมองไปยังท้องฟ้า

    อาราชิถอนหายใจออกมาเล็กน้อย "ไม่ใช่ข้าไม่เคยคิดนะ แต่ว่าจะให้ข้าไปไหนล่ะ แล้วคนที่มีปีศาจติดตัวอย่างข้าจะไปทำอะไรได้นอกจากเป็นตัวหายนะที่มีแต่คนรังเกียจ ไม่ว่าที่ไหนก็คงไม่ต่างกัน"

    "นี่อีกไม่นานท่านอาจารย์ก็จะกลับมาจากการไปทำธุระแล้ว เราจะลองไปถามท่านดูน่าจะมีหนทางที่จะช่วยนายได้บ้าง"

    "ขอบใจนะเพื่อน ข้าไม่รู้จะตอบแทนนายในไงดีสำหรับทุกๆอย่างที่นายช่วยเหลือข้ามา" อาราชิก้มหัวเชิงคารวะให้กับเด็กชายนักดาบข้างๆเขา

    ชางส่ายหน้าเล็กน้อย "ไม่จำเป็นต้องคิดว่าเป็นบุญคุณอะไรหรอกนะ อาราชิ นายรับปากเราอย่างหนึ่ง เมื่อทุกอย่างลงตัว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นตอนที่นายจะเดินทางไปจากเกาะแห่งนี้ นายที่จะก้าวเดินออกไปเพื่อเริ่มชีวิตใหม่ จะไม่ลังเลเพราะตัวเราที่ยังคงจะอยู่ที่เกาะแห่งนี้"

    "นายจะอยู่ที่นี่ต่อไปงั้นหรือชาง นายเป็นคนแนะนำให้ข้าไปจากที่นี่ แล้วทำไมตัวนายเองไม่ไปบ้างล่ะ?" อาราชิเอ่ยถามาอย่างสงสัย

    ชางยังคงเหม่อมองท้องฟ้าอยู่พักใหญ่ๆกว่าจะตอบกลับมา "คงเป็นเพราะเราไม่รู้น่ะสิว่าจะไปจากที่นี่เพื่อทำอะไร หรือเพื่อตามหาอะไร เอาไว้ถ้าเราได้คำตอบว่าเราจะออกเดินทางไปเพื่ออะไรเมื่อนั้นคงถึงเวลาที่เราจะออกจากเกาะแห่งนี้แหละมั๊ง"

    หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรที่เด็กชายทั้ง 2 คนคุยอะไรกันอีกนอกจากการนั่งมองท้องฟ้าจมอยู่ในภว้างแห่งความคิดของทั้งคู่




    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~




    ขณะที่ทั้งคู่นั่งเหม่อมองท้องฟ้าอยู่ริมลำธารนั้นเอง พวกเขาก็รู้สึกได้เลยว่ามีกลุ่มคนกำลังพุ่งมาหาพวกเขาอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาเดียว เด็กชายทั้ง2คนก็ถูกล้อมกรอบด้วยกลุ่มคน เกือบ 10 คน ซึ่งดูจากการแต่งตัวและอาวุธที่ถือก็บอกได้ทันทีว่าน่าจะเป็นทหารรับจ้างจากแผ่นดินใหญ่ ไม่ใช่คนบนเกาะแห่งนี้แน่นอน

    นักรบคนหนึ่งถือดาบขนาดใหญ่ใส่ชุดเกราะสีดำทั้งตัว ซึ่งดูเหมือนกับว่าเป็นหัวหน้าของคนกลุ่มนั้นก็หันหน้าไปเอ่ยกับนักเวทย์คนหนึ่งที่อยู่ข้างๆเขา "นี่น่ะรึเด็กที่มีปีศาจสิงอยู่ นี่เจ้าจ้างพวกข้ามาจากพลูตรอนิค ด้วยค่าจ้างสูงลิบ เพื่อจัดการเด็กเนื่ยนะ ท่าทางงานนี้จะสบายไปหน่อยล่ะสิ"

    ทันทีที่จบประโยค กลุ่มคนที่ล้อมกรอบเด็กชายทั้ง 2 คนก็พุ่งตรงเข้าโจมตีไปยังอาราชิ แต่เด็กชายทั้ง 2 ต่างไม่ยอมเสียท่าง่ายๆ พริบตาเดียว ดาบไม้ในมือชาง และ อาราชิ ต่างส่งผู้ที่หมายจะปลิดชีวิตของเด็กชายที่มีปีศาจสิงอยู่ในตัว ลงไปกองอยู่กับพื้นทันที

    ทั้งคู่ต่างรู้ได้ทันทีว่าสิ่งที่พวกเขาสมควรทำที่สุดตอนนี้คือหนี เพราะไม่มีทางเลยที่ดาบไม้เพียง 2 เล่มในมือเด็กๆอย่างพวกเขาจะต่อสู้กับนักรบที่เจนจัดอย่างนักรบดำตรงหน้าเขาแน่ๆ แม้จะยังไม่เห็นฝีมือ แต่สัญชาติญาณของทั้งคู่มันกระตุ้นเตือนอยู่ตลอดเวลา ชาง และ อาราชิ สบตากันเพียงแว่บเดียวก็รู้ได้เลยว่าควรจะทำเช่นใดต่อไป

    ทั้ง 2 ต่างหันหลัง พร้อมกันพลางจะพุ่งตัวกระโดดข้ามลำธารเล็กๆตรงหน้าเพื่อหลบหนี แต่ยังไม่ทันที่ทั้ง 2 จะได้ขยับตัว จู่ๆก็มีเถาวัลย์ งอกออกมาจากพื้นดินรัดข้อเท้าของทั้งคู่ไว้ ด้วยฝีมือของนักเวทย์ที่ยืนอยู่ข้างๆกับนักรบดำ แต่บัดนี้นักรบดำหาได้ยืนอยู่ตรงนั้นแล้ว ร่างของเขามายืนอยู่ด้านหลังของอาราชิ พร้อมกับง้างดาบหมายจะฟันทีเดียวฝ่าร่างของเด็กชายตรงหน้าให้แยกเป็น 2 ส่วน

    ชั่ววินาทีดับจิตที่ตัดสินความเป็นตายของเพื่อนคนแรกของเขา อาคาโบชิ ชาง กัดฟันขว้างดาบไม้ในมือเขาสุดแรงเกิดไปกระแทกข้อมือของนักรบดำคนนั้นเป็นผลให้วิถีดาบเบี่ยงไปจากที่ได้คิดไว้ แต่ถึงกระนั้น ความรุนแรงและความตมขอมมันไม่ใช่ว่าจะไม่มีผลกับอาราชิที่เป็นเป้าหมาย เสื้อด้านหลังของเขาขาดวิ่นเผยแผ่นหลังที่เต็มไปด้วยอักขระโบราณ ที่เรียงกันเป็นรูปวงกลมเรียงกันถึง 9 ชั้น ซึ่งเวลานี้ มันมีรอยแผลที่เกิดจากดาบ ลากผ่านตัดเป็นแนวเฉียงตั้งแต่ ไหล่ขวา ลงมาจนถึง บริเวณเอวด้านซ้าย

    อ๊าก!!!!! เสียงของอาราชิร้องออกมาอย่างเจ็บปวด แต่ทุกอย่างมันไม่จบลงเพียงแค่นั้น จู่ๆอักขระบนแผ่นหลังของอาราชิก็เปล่งแสงแล้วหมุนวนอย่างบ้าคลั่ง บรรยากาศบริเวณนั่นถูกปกคลุมด้วยบรรยากาศอันน่าสะอิดสะเอียน อึดอัด และ หวาดหวั่น ความรู้สึกราวกับมีเข็มนับพันเล่มทิ่มแทงไปทั้งตัว

    เป็นครั้งแรกที่ อาคาโบชิ ชาง ได้เผชิญหน้ากับความรู้สึกเช่นนี้แรงกดดันมหาศาลเช่นนี้ จิตสังหารของเหล่าสัตว์ร้ายที่เขาเคยเผชิญมาเทียบไม่ได้ซักนิดกับสิ่งที่เขาเผชิญอยู่ตรงนี้ และนี่เป็นครั้งแรกจริงๆที่เขารู้สึกหวาดกลัวจากก้นบึ้งของจิตใจ จนร่างกายสั่นเทาไปทั้งตัว

    อึดใจต่อมาก็มีกลุ่มควันค่อยๆรวมตัวจนกลายเป็นเงารูปร่างของ สุนัขจิ้งจอกขนาดใหญ่ ที่มี 9 หาง ซึ่งตามตำนานของ อุเอรุโตะ มันคือปีศาจที่แข็งแกร่งและน่าหวาดหวั่นมากที่สุดที่สุดเท่าที่จะมีการจารึกไว้

    นักเวทย์ที่ยืนอยู่ก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง "ฮ่า ฮ่า ฮ่า นี่รึพลังของจิ้งจอกเก้าหาง วันนี้แหละที่ข้าจะทำให้มันกลายเป็นของข้า"

    แต่เวลานี้ อาคาโบชิ ชาง พยายามข่มความกลัวทั้งหมด เขาไม่สนใจหรอกว่า คนกลุ่มนี้จะต้องการพลังของปีศาจที่กำลังปรากฏเบื้องหน้าเขาไปทำอะไร หรือ จะเอาพลังของปีศาจตนนี้ไปเป็นของตัวเองได้อย่างไร เขารู้เพียงอย่างเดียวเขาต้องออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด นักดาบน้อย อาศัยจังหวะที่ทุกคนตรงนั้นหันความไปสนใจร่างของปีศาจที่กำลังจะปรากฎกายตรงนั้น พุ่งเข้าไปคว้าตัว อาราชิที่นอนจมกองเลือดอยู่ แล้วหนีออกไปจากที่นั้นอย่างรวดเร็วโดยไม่คิดจะเหลียวหลังกลับไปมองซักนิด

    อาคาโบชิ ชาง วิ่งอย่างสุดกำลัง จนมาถึงบ้านของอาจารย์เขา ที่อยู่ห่างออกมาจากทั้งนั่นมาพอสมควร เขาจัดแจงวางเพื่อนของเขาลงกับพื้นแล้ว รีบใส่ยาห้ามเลือด ก่อนที่ อาราชิ จะตายจากอาการเลือดหมดตัว เพราะบาดแผลที่กลางหลัง ขณะที่กำลังทำแผลอยู่นั่นเอง ชางรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่างที่เขาไม่อยากจะเผชิญหน้ากับมันเลย ไม่ว่ามันจะเป็นตัวอะไรก็ตามที

    แต่แล้วคำพูดของอาจารย์ที่สั่งสอนเขามันก็ลอยเข้ามาในหัว "ยามใดนี่มนุษย์เผชิญหน้ากับความหวาดกลัว ที่ไม่อาจจะหลบหนี และ หลีกเลี่ยง แทนที่จะสิ้นหวังร่างกายสั่นเทา ให้เงยหน้าสู้กับมัน อย่างน้อยถึงเราจะพ่ายแพ้มันก็จะไม่อับอายตัวเอง เพราะได้สู้กับมันอย่างสุดกำลังแล้ว"

    ชางต่อยหน้าตนเองอย่างแรงเพื่อเรียกสติกลับมา แล้ววิ่งเข้าไปในบ้าน มุ่งตรงไปยังห้องเก็บดาบที่อาจารย์ของเขาเก็บสะสมไว้ ซึ่งตอนเด็กๆเขามันจะชอบนั่งฟังเรื่องราวของดาบชั้นยอดเหล่านั้นแทนนิทานดั่งที่เด็กคนอื่นๆชอบฟังกัน ชางเดินเข้ามาในห้อง เดินผ่านดาบชั้นยอดมากมาย เดินมุ่งตรงไปยังมุมห้อง เขาหยิบดาบเล่มหนึ่งที่วางอยู่มุมห้องที่เต็มไปด้วยฝุ่น ราวกับว่ามันตั้งอยู่ตรงนั้นโดยที่ไม่มีใครสนใจมานานแสนนาน

    ดาบรูปแบบเฉพาะของ อุเอรุโตะ ที่เรียกขานกันว่า "คาตานะ" ความยาวจากด้ามจรดปลายดาบเพียง 108 ซม. ซึ่งนับว่ามันค่อนข้างจะสั้นกว่าดาบชั้นยอดเล่มอื่นๆ ที่ตั้งอยู่ในห้องแห่งนั้น หรือ คาตานะ ที่นักดาบทั่วๆไปใช้กัน ทั้งปลอกดาบ ทึ่กั้นดาบ เชือกถักที่พันด้ามดาบไว้ ต่างมีสีดำสนิท กลืนเป็นสีเดียวกันทั้งเล่ม ทันทีที่เด็กชายยกดาบเล่มนั้นขึ้นมาก็รู้สึกได้เลยว่ามันหนักกว่าดาบไม้ที่เขาถืออยู่เป็นประจำ แต่มันก็ไม่ได้หนักเกินกว่าที่เขาจะใช้มัน

    เขาไม่รู้ซะด้วยซ้ำว่าดาบเล่มนี้มีชื่อว่าอะไร เพราะมันเป็นดาบเพียงเล่มเดียวภายในห้องนี้ที่อาจารย์เขาไม่เคยเล่าถึงเรื่องราวของมันเลย เพราะอาจารย์ของเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันตั้งอยู่ในห้องนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน มันอาจจะเป็นดาบชั้นยอด หรือ อาจเป็นเพียงดาบธรรมดาที่ถูกวางไว้ที่นี่ตั้งแต่สมัยก่อนก็เป็นไปได้ แต่ไม่ว่าดาบเล่มนี้จะเป็นอะไร เขาก็ตั้งใจตั้งแต่สมัยเด็กๆแล้วว่า ซักวันเมื่อใดก็ตามที่เขาสามารถที่จะใช้ดาบจริงๆไม่ใช่ดาบไม้แล้วล่ะก็ ดาบเล่มนี้แหละจะเป็นดาบที่เขาเลือกใช้

    แต่เขาก็ไม่คิดเหมือนกันว่าวันนั้นมันจะมาถึงเร็วขนาดนี้ หนำซ้ำนี่ยังการเอาออกไปใช้โดยพละการโดยไม่ได้ขออนุญาตจากอาจารย์ของเขาด้วย แต่สถาณการณ์เช่นนี้เขาไม่มีทางเลือกอื่นเลยนอกจากทำเช่นนี้

    "เราเองอาจจะยังเป็นเพียงแค่นักดาบอ่อนหัดไม่คู่ควรจะใช้ดาบจริง แต่ขอยืมพลังจากท่านหน่อยเถอะ" ชางพึมพัมกับดาบในมือเขา แล้วก็วิ่งออกไปยังหน้าบ้าน ซึ่งเขาก็รู้สึกได้ว่า เจ้าปีศาจจิ้งจอกตัวนั่นกำลังมุ่งตรงมาทางนี้อย่างรวดเร็ว ซึ่งก็น่าจะหมายความว่า ไม่นักเวทย์คนนั้นสามารถสยบปีศาจตนนั้นได้ ไม่ก็ ไม่มีใครรอดชีวิตแล้ว





    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~




    บัดนี้ป่าทั้งป่าต่างเงียบสนิท ไม่มีแม้กระทั่งเสียงแมลงที่ร้องระงงอยู่เป็นประจำ ราวกับว่าป่าทั้งป่าก็ตกอยู่ในความหวาดกลัวจากสิ่งที่กำลังมุ่งตรงมายังที่ๆเขายืนอยู่ในเวลานี้ สายลมพัดกรรโชก พร้อมๆกับการปรากฎตัวของปีศาจที่ถูกจารึกไว้ว่าน่าหวาดหวั่น และแข็งแกร่งที่สุดของอุเอรุโตะ

    ร่างอันสง่างามของจิ้งจอกตัวมหึมา ที่มีหางเป็นพวงถึง 9 หาง ขนสีทองอร่ามแต่บัดนี้มันกับเปื้อนไปด้วยสีแดงฉาน ของโลหิตสดๆ ซึ่งมันก็ดั่งคำตอบว่า กลุ่มคนเมื่อกี้เผชิญหน้ากับชะตากรรมเช่นใด แต่นอกจากนั้นยังมีดาบสีดำขนาดใหญ่เล่มหนึ่งปักติดอยู่บริเวณหลัง ของปีศาจจิ้งจองตัวนั้นด้วย ซึ่งเขาจำได้ว่ามันเป็นของนักรบดำคนนั้น

    ชาง กระชับดาบในมือแน่นยืนเผชิญหน้ากับ ปีศาจตัวนั้น บัดนี้ความหวาดกลัวที่เคยมีอยู่กลับหายไปอย่างเหลือเชื่อ มีแต่เพียงความมุ่งมั่นที่จะปกป้อง บ้านหลังนี้ บ้านที่เขาเกิดและเติบโตมา ปกป้องเพื่อนเพียงคนเดียวของเขาที่นอนบาดเจ็บอยู่ในบ้านหลังนั้น ปกป้องสัจจะที่เขาได้ให้ไว้กับอาจารย์ ว่าจะไม่มีวันที่จะยอมหันหลังให้กับความหวาดกลัว แม้ว่าสิ่งเหล่านั้นมันจะต้องแลกด้วยชีวิตของเขา เด็กชายเงยหน้ามองปีศาจตรงหน้าเขาอย่างไม่หวาดหวั่น

    ปีศาจจิ้งจอกหยุดยืนห่างจากเขาไปไม่ถึง 2 เมตร แรงกดดันมหาศาลถาโถมมายังเด็กชายที่ยืนขวางทางมัน แต่เด็กชายกลับไม่มีทีท่าหวาดกลัวซักนิด ตรงข้ามเขากลับจ้องมองมายังมันอย่างไม่หวั่นเกรงใดๆด้วย

    ปีศาจจิ้งจอดแสยะยิ้มออกมาเล็กน้อย พลางพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอันน่าหวาดหวั่น "ท่าจับดาบเช่นนี้ แววตาที่น่ารังเกียจอย่างนี้ แกคือผู้สืบทอดชื่อของ `อาคาโบชิ` สินะ ไม่ว่าจะยุคใด คนที่กล้าขวางทางข้าด้วยตัวเองเพียงลำพัง โดยไม่หวาดกลัวซักนิดคงจะมีแต่เจ้าพวก อาคาโบชิ นี่แหละ จงหายไปซะ!!!"

    จบประโยคลูกไฟขนาดใหญ่ก็ถูกปล่อยให้พุ่งเข้าใส่ร่างของเด็กชายที่ยืนขวางทางมัน ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับ ชาง กระชากดาบในมือเขาออกจากฝักแล้วพุ่งสวนเข้าใส่เปลวเพลิง เวลานี้เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งที่เขาได้เรียนรู้และความสามารถของเขาทั้งหมดออกมาใช้ ไม่ว่าผลมันจะออกมาเป็นเช่นใดก็ตาม

    พริบตาเดียวลูกไฟก็ถูกดาบในมือของ อาคาโบชิ ชาง ฟันขาดและระเบิดสลายตัวไป พริบตาต่อมา ชางใช้ความเร็วสูงสุดของเขาก้าวเท้าตัดระยะเข้าประชิดตัวปีศาจตนนั้น

    ซึ่งก็ราวกับว่ามันรู้อยู่แล้ว กงเล็บอันแหลมคม และ พลกำลังอันมหาศาล คือสิ่งที่รอเด็กชายอยู่เมื่อเขาเข้าประชิดตัวปีศาจจิ้งจอก ชางไม่ได้ตกใจหรือลนลานแม้แต่น้อย เพราะเขารู้ดีว่าเวลานี้หลบไปยังไงก็ไม่พ้นอยู่ดี ชางตัดสินใจที่จะฟันสวนเข้าไปทันที

    ฉั่ว!!!

    เสียงคมดาบที่ตัดกงเล็บของปีศาจตนนั้นให้ขาดสะบั้นออกจาก อุ้งเท้า ปีศาจจิ้งจอกส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวดและกราดเกรี้ยว พริบตาต่อมาลูกไฟนับ 100 ก็ถูกระดมยิงเข้าใส่ เด็กชาย อย่างไม่หยุดหย่อน ชาง ทำได้เพียงอย่างเดียวคือ เคลื่อนไหวให้เร็วที่สุดเพื่อที่จะหลบลูกไฟที่มายมายดุจสายฝนนั่น ชาง ขมวดคิ้วเล็กน้อยเท่าที่เขาได้ปะทะกับปีศาจจิ้งจอกนี่ราวกับว่า มันจะอ่อนแรงจากการต่อสู้กับคนกลุ่มนั้นอยู่แล้ว คล้ายๆกับว่านี่ยังไม่ใช่พลังทั้งหมดของปีศาจที่เคยสร้างความหายนะมาแล้วให้แก่เกาะแห่งนี้ในอดีต และแล้วทุกอย่างก็เหมือนจะเป็นตำตอบในสิ่งที่เขาสงสัย

    การที่ปีศาจตนนี้มุ่งตรงมาหาพวกเขาอย่างแม่นยำก็น่าจะเป็นเพราะ พลังของมันส่วนหนึ่งน่าจะยังถูกผนึกอยู่ภายในตัว อาราชิ และเหตุผลที่มันมุ่งตรงมาที่นี่คือ การสังหาร อาราชิ เพื่อที่จะปลดผนึกทั้งหมดที่ถูกผนึกไว้ เพื่อพลังที่สมบูรณ์ ซึ่งการจู่ๆมันเปลี่ยนเป้าหมายจากตัวเขามุ่งตรงไปยังทางบ้านของอาจารย์เขาที่ อาราชิ นอนอยู่แทนที่จะไล่ตามเขาที่พยายาม หลบหนีลูกไฟของมันให้ออกห่างจากที่นั่นมากที่สุด ก็ราวกับเครื่องที่ยืนยันข้อสันนิฐานของเขาทั้งหมด

    ซึ่งชางก็รู้ดีว่าเขาปล่อยให้มันปลดผนึกทั้งหมดแล้วได้มาซึ่งพลังทั้งหมดไม่ได้ เพราะนั้นมันหมายถึงความหายนะครั้งใหญ่ที่เคยเกิดขึ้นกับเกาะแห่งนี้ มันจะเกิดขึ้นอีกครั้ง ชางทุ่มพลังทั้งหมดพุ่งตามปีศาจตัวนั้นไปอย่างสุดชีวิต โดยที่เขาไม่ได้สังเกตแม้แต่น้อยว่าเวลานี้ดาบในมือเขามันเปล่งแสงสีดำออกมาเล็กน้อย

    ทันทีที่ชางไล่กวดปีศาจตัวนั้นทั้น สิ่งที่เขาเลือกทำเป็นอย่างแรกคือการตัดหางปีศาจตัวนั้นให้ได้มากที่สุดเพราะเขาจำได้ดีว่า อาจารย์ของเขาเคยเล่าเรื่องเกี่ยวกับปีศาจต่างๆ และ 1 ในนั้นก็มีปีศาจจิ้งจอกอยู่ด้วย หางคือแหล่งพลังของมัน ถ้าเขาตัดมันได้น่าจะส่งผลต่อการต่อสู้นี้อย่างแน่นอน

    "พยุหศาสตราคมเขี้ยวนาคาคลั่ง"

    ชางตะโกนสุดเสียง พร้อมกับพุ่งเข้าใส่พวงหางทั้ง 9 ของปีศาจจิ้งจอก ทั้งๆที่มันวิ่งอยู่ ซึ่งมันก็คาดไม่ถึงว่าจะมีมนุษย์คนได้วิ่งใล่ตามมันทันเช่นนี้ อาคาโบชิ ชาง ใช้ดาบในมือ กระหน่ำ ฟาดฟัน ด้วยความเร็วสูงสุด ซึ่งเวลานี้ดาบในมือเขาเปล่งแสงสีดำรอบๆใบดาบ ทุกๆครั้งที่ชางฟันลงไปมันก็หมายถึง คมดาบที่แหวกลงไปในร่างของปีศาจจิ้งจอก บริเวณหางของมันที่มั่นใจว่าไม่มีศาสตราวุธใดๆทำอันตรายมันได้ พริบดาเดียวหางทั้ง 9 ก็ถูกแยกออกจากร่างของปีศาจตนนั้น

    แต่มันก็ยังไม่ยอมสิ้นท่าแค่นั้น ปีศาจจิ้งจอกวกตัวกลับอ้าปากพุ่งเข้าใส่ ชางที่ยืนอยู่ ซึ่งการเคลื่อนไหวโดยใช้ความเร็วสูงสุดของเขาติดต่อกันเช่นนี้ มันเกิดกำลังของเด็กชายไปพอสมควรเลยทีเดียว ผมกระทบที่มีต่อร่างกายบัดนี้มันแสดงผลออกมาอย่างชัดเจนแล้วในเวลานี้ ขาทั้ง 2 ข้างของชางบัดนี้มันไม่ยอมขยับตามที่เขาต้องการเสียแล้ว

    สิ่งที่เขาพอจะทำได้คือยกดาบในมือขึ้นมารับคมเขี้ยวที่พุ่งเข้ามาหมายจะขย้ำให้ดับดิ้น แม้ร่างของเด็กชายจะไม่โดนคมเขี้ยวนั้นขย้ำ คมเขี้ยวของปีศาจจิ้งจอกที่ว่ากันว่าแข็งแกร่งดุจศาสตาวุธชั้นยอด แต่เขาก็โดนแรงปะทะจนลอยไปกระแทกต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ปีศาจจิ้งจอกไม่ทิ้งโอกาสของมันให้หลุดลอยพุ่งเข้าใส่ ชาง อีกครั้งอย่างรวดเร็ว

    ร่างของเด็กชายที่เหนื่อยล้าและบอบช้ำ ไม่สามารถขัยบตัวหลบหลีกได้ทันทีอย่างที่ใจคิด ทำได้แค่เพียงยืนเป็นเป้านิ่งหลังพิงต้นไม้ใหญ่เท่านั้นเอง แต่เด็กชายไม่สิ้นหวังง่ายๆ ชางเก็บดาบเข้าฝัก พลางย่อตัวลงเล็กน้อย ในท่าที่เตรียมพร้อมที่สุดที่จะฟันสวนกลับ สายตามองไปยังร่างของปีศาจจิ้งจอกที่พุ่งตรงมายังเขาอย่างรวดเร็ว ถึงแม้เขาอาจจะไม่รอดจากการโจมตีครั้งนี้อย่างน้อยเขาก็อยากสู้จนถึงที่สุด

    แต่ก่อนที่ชางจะได้ทำอะไรอยู่ๆ ร่างของปีศาจตนนั้นก็กระตุกวูบทั้งตัว ดาบสีดำขนาดใหญ่ที่ถูกปักคาไว้บนหลังของมันจากฝีมือนักรบดำคนนั้น ถูกกระชากมาถืออยู่ในมือของ อาราชิ ที่บัดนี้มายืนอยู่บนหลังของมัน

    "แกอยากได้พลังที่เหลือที่ยังถูกผนึกในตัวข้าใช่มั๊ยล่ะ งั้นก็เอาไปเลย!!!!" อาราชิตะโกนลั่น พร้อมๆกับปักดาบลงไปกลางหลังมันอีกครั้ง โดยที่เขารวบรวมพลังทั้งหมดในตัวแปลเปลี่ยนเป็นสายฟ้า ปลดปล่อยผ่านดาบเล่มนั้นที่เป็นสื่อ ลงไปในร่างของจิ้งจอกโดยตรง เป็นผลให้ปีศาจจิ้งจอกกระตุกไปทั้งร่างอย่าวงรุนแรงอีกครั้ง ร่างของอาราชิที่บาดเจ็บอยู่แล้ว แถมยังเพิ่งใช้พลังทั้งหมดไป ลอยลิ่วลงมากระแทกพื้น ด้วยแรงกระตุกของปีศาจจิ้งจอก

    การโจมตีครั้งนี้ของอาราชิมันยังไม่สามารถสยบปีศาจจิ้งจอกได้ทันที การปรากฎตัวของอาราชิก็ราวกับความหวังของมันยามบาดเจ็บสาหัสเช่นกัน มันพุ่งเข้าใส่ อาราชิ ที่นอนกองอยู่กับพื้นอยู่ในเวลา เลือดจากบาดแผลกลางหลังเริ่มไหลออกมาอีกครั้ง

    ชาง ซึ่งเวลานี้พอจะเคลื่อนไหวบ้างได้แล้ว พุ่งไปยืนขวาง หน้าอาราชิไว้ พร้อมกับตั้งท่าเหมือนเมื่อกี้อีกครั้ง ปีศาจจิ้งจอกพุ่งเข้าขย้ำคนที่ขวางทางมันทันที อาคาโบชิ ชาง ยืนนิ่งจนกระทั่งเขี้ยวของปีศาจเบื้องหน้าเขา อยู่หางจากตัวเขาไม่ถึงนิ้ว เด็กชายจึงกระชากดาบออกจากฝักฟันสวนกลับไปสุดแรงเกิด

    เพล้ง!!!!

    เสียงของเขี้ยวของปีศาจจิ้งจอกที่ว่าแข็งแกร่งกว่าอาวุธใดๆหักสะบั้น พร้อมๆกับ ดาบในชางที่หักเป็น 2 ท่อนเช่นกัน แต่ อาคาโบชิ ชาง ยังไม่หยุดการโจมตีครั้งนี้ เขาปล่อยฝักดาบที่ถืออยู่เอามือข้างนั้นคว้าปากของปีศาจจิ้งจอก เพื่อกระชากตัวพุ่งไปด้านหลังบริเวณต้นคอ และพริบตาที่ร่างของเขาลอยมาถึง ชาง ใช้กำลังที่เหลือทั้งหมดแทงดาบที่เหลือเพียงครึ่งเล่มไปยังบริเวณกระดูกต้นคอของมัน แล้วออกแรงบิดดาบเต็มที่

    กร๊อบ!!!

    เสียงกระดูกต้นคอของหมดหลุดออกจากกัน ชางใช้มือทั้ง 2 ข้างกระชับด้ามดาบไว้แน่น แล้ววิ่งลากดาบที่มีเพียงครึ่งเล่ม ตัดกระดูกสันหลังของมันทั้งเส้นจนมาถึงโคนหาง ร่างของปีศาจที่เป็นที่หวาดกลัวของคนทั้งอุเอรุโตะ บัดนี้กำลังดิ้นทุรนทุราย แล้วก็นิ่งไป จากนั้นร่างนั้นก็ค่อยๆสลายกลายเป็นอากาศธาตุ อาคาโบชิ ชาง ซึ่งเวลานี้ การเดินแต่ละก้าวมันช่างเจ็บปวดไปทั้งตัว เพราะการเคลื่อนไหวที่เกิดกำลัง เด็กชายค่อยๆเดินไปเก็บฝักดาบ และ ใบดาบที่หักสะบั้น เพราะการโจมตีครั้งสุดท้ายของเขา

    "ขอโทษนะที่เราทำให้ท่านต้องบาดเจ็บเช่นนี้ เพราะความไม่เอาไหนของเรา ต้องขอโทษจริงๆ....." ท้ายประโยคหายไปในลำคอของ ชาง ที่เอ่ยกับดาบที่หักเป็น 2 ท่อนพลางกำมันไว้แน่น แล้วก็ค่อยๆเดินไปประคองร่างอันไร้สติของ อาราชิ ที่ยังกำดาบในมือไว้แน่น แล้วก็ค่อยๆ ลากกลับไปยังบ้านของอาจารย์เขา




    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~




    อาราชิ รู้สึกตัวอีกครั้งก็พบว่าตัวเองนอนอยู่ในบ้านของอาจารย์เจ้าชาง เมื่อพยายามลุกขึ้นก็พบว่าความเจ็บปวดที่บริเวณหลังหายไปแล้ว เมื่อเขาเดินออกมาจากห้องก็พบ อาคาโบชิ ชาง นั่งเหม่อมองท้องฟ้าอยู่ที่ชานบ้าน ข้างตัวเขามีดาบเล่มหนึ่งถูกวางไว้บนผ้าที่ปูรองไว้ ดาบนั้นมันหักเป็น 2 ท่อน เขาค่อยๆเดินไปนั่งลงข้างๆชาง

    หลังจากเงียบกันอยู่พักใหญ่ๆ "นายคงจะ โกรธ เกลียด และ แค้น ข้าสินะ ข้าจะไม่แก้ตัวใดๆ แต่ข้าอยากขอโทษในสิ่งที่เกิดขึ้น ชางข้าขอโทษ"

    ชางหันกลับมาหาอาราชิ พร้อมๆกับขมวดคิ้วอย่างสงสัย "ทำไมเราต้อง โกรธ เกลียด และ แค้น นายด้วยล่ะอาราชิ แล้วจู่ๆนายมาขอโทษเราทำไมล่ะ?"

    อาราชิถึงกับพูดไม่ออกเมื่อได้รับคำตอบที่ไม่คาดคิด "ก็ข้าเป็นสาเหตุที่ทำให้นายบาดเจ็บ และ ดาบที่สำคัญของนายหักเพราะข้าเป็นต้นเหตุไม่ใช่รึชาง?"

    "มันก็ใช่ล่ะนะ ก็เราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่รึ เพื่อนก็ต้องช่วยเพื่อนสิ แล้วอีกอย่าง `นักดาบที่แท้จริงหาได้กวัดแกว่งดาบในมือเพื่ออวดอ้างกำลังของตน หรือ ทำร้ายผู้อื่นเพื่อผลประโยชน์ของตน แต่ดาบในมือของนักดาบนั้น มีไว้เพื่อช่วยเหลือ และ ปกป้องต่างหากล่ะ` การที่เราเจ็บตัว และเสียดาบไป มันก็เป็นเส้นทางที่เราเชื่อมั่นและเลือกด้วยตัวเอง"

    "ไม่เห็นจะต้องไปโทษ หรือ โกรธ นายนี่นา แล้วนายจะมาขอโทษเราทำไมล่ะ" ชางตอบกลับมาพร้อมกับรอยยิ้ม และ แววตาที่จริงใจตรงไปตรงมา

    เป็นครั้งแรกที่จู่ๆน้ำตาของ อาราชิไหลออกมาโดยที่เขาไม่รู้ตัว เพียงเพราะคำพูดง่ายๆของเพื่อนเพียงคนเดียวของเขาในเวลา "ชางซักวันฉันอยากจะปกป้อง และ ช่วยเหลือใครซักคน ได้อย่างที่นายทำบ้าง"

    ชางยิ้มออกมาเล็กน้อย "ปีศาจในตัวนายก็หายไปแล้ว นายคงจะออกเดินทางไปจากเกาะนี้ได้แล้วสินะ"

    "นั่นสินะจริงๆแล้วข้าอยากจะไปากที่นี่ให้เร็วที่สุด เพราะแค่นี้ข้าก็สร้างความเดือดร้อยให้นายมากแล้ว 3 เดือนมานี่ข้าขอบคุณในทุกๆเรื่องที่นายได้ช่วยข้าเสมอมา ท่าทางข้าคงต้องไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้แล้วล่ะ"ซึ่งในเวลานี้เด็กชายทั้ง 2 คนได้ยินถึงเสิยงของคนกลุ่มใหญ่ที่อยู่ไม่ห่างออกไปนัก

    อาราชิ ลุกขึ้นแล้วหันหน้าไปมองชางที่ยังคงนั่งเหม่อมองท้องฟ้าอยู่ "ชางถ้าเจอกันครั้งหน้าถ้านายมีปัญหาหรือตกอยู่ในอันตรายแล้วล่ะก็ ไม่ว่าจะยากลำบาก หรือ เสียงชีวิตแค่ไหน ข้าจะเป็นฝ่ายช่วยเหลือนายอย่างเต็มที่ ข้าสัญญา" จบประโยค อาราชิก็วิ่งตรงไปยังทิศทางที่คนกลุ่มนั้นทันที

    ชางละสายตาจากท้องฟ้า แล้วมองตามหลังอาราชิที่วิ่งไป เขารู้ดีว่าทำไมอาราชิถึงต้องไปในทิศทางเดียวกับคนกลุ่มนั้น ก็เพื่อจะล่อพวกนั้นซึ่งน่าจะมาตามหาตัวอาราชิ ตามตนเองไป จะได้ไม่ต้องมายุ่งกับบ้านหลังนี้ และตัวเขายังไงล่ะ เด็กชายนักดาบ กวาดสายตามองไปยังดาบสีดำเล่มใหญ่อันเคยเป็นของนักรบดำที่ อาราชิ ถือติดมือมาด้วย ซึ่งตอนนี้มันถูกวางพิงกำแพงอยู่ พลางตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง

    อาคาโบชิ ชาง เดินนำผ้าที่วางดาบที่หักเป็น 2 ท่อนจากฝีมือเขาไปวางไว้บนโต๊ะ แล้วก็หยิบผ้าผืนใหญ่อีกผีนที่วางอยู่บนโต๊ะเช่นกัน เดินตรงไปยังดาบใหญ่เล่มนั้นบรรจงเอาผ้าห่อดาบเล่มนั้นทั้งเล่ม แล้วก็หยิบดาบไม้ของตน มุ่งหน้าออกจากบ้านหลังนี้เช่นกัน




    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~




    ท่าเรือเมืองอุเอรุโตะ ยามเย็นเช่นนี้ ต่างก็คึกคักเพราะชาวประมง และ เรือสินค้าต่างเตรียมตัวที่จะออกสู่ท้องทะเลอันกว้างใหญ่โดยอาศัยสายลมที่พัดออกจากฝั่งที่เป็นเช่นนี้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ถึงจะเป็นเกาะที่อยู่ห่างจากแผ่นดินใหญ่ แต่ท่าเรือแห่งนี้ก็มีเรือจากที่ต่างๆมากมายจอดอยู่โดยหลายๆลำก็เตรียมตัวกลับแผ่นดินใหญ่อยู่ ซึ่งเวลานี้มีเด็กชายคนหนึ่งกำลังหลบหนีการไล่ล่า ซึ่งเขาเคยชินกับมันดุจส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันไปแล้ว มาหลบอยู่แถวนี้

    เด็กชายคนนั้นแอบมองทหารของที่นี่กลุ่มหนึ่ง ซึ่งเขาหนีพวกนั้นมาเกือบทั้งวัน ขณะที่กำลังแอบดูอยู่นั่นเองจู่ๆก็มีใครบางคนมาจับไหล่เขาจากด้านหลัง โดยที่เด็กชายไม่รู้ตัวทำเอาเขาสะดุ้งเฮือก หันกลับไปอย่างรวดเร็ว แต่คนที่เขาพบกลับสร้างความแปลกใจให้แก่เขายิ่งนัก

    "ชางทำไมนายมาอยู่ที่นี้ได้ล่ะ?" อาราชิถามเพื่อนของเขาอย่างสงสัยยิ่งนัก

    "เพื่อนกำลังจะออกเดินทางก็ต้องมาส่งจริงใหมล่ะ แล้วนายลืมของบางอย่างไว้ด้วย" ชางตอบกลับมาง่ายๆพลางยื่นห่อผ้าขนาดใหญ่ที่ถืออยู่มาให้อาราชิ

    เด็กชายรับมาอย่าง งงๆแต่ทันทีที่รับมันมาเขาก็รู้ได้ทันทีว่ามันคือดาบใหญ่ของนักรบดำคนนั้นที่ปักคาอยู่กลางหลัง ของปีศาจจิ้งจอกตนนั้น

    "ดาบชั้นดีจะปล่อยมันไว้เฉยๆที่บ้านของท่านอาจารย์ ก็ดูจะเปล่าโยชน์ใช่ไหมล่ะ เพราะยังไงทั้งเราและท่านอาจารย์ก็ไม่ถนัดที่จะใช้ดาบแบบนี้เท่าไร เราว่านายน่าจะใช้ประโยชน์จากมันได้นะ แล้วนี้เป็นเงินเล็กๆน้อยๆที่เรามีอยู่นายที่กำลังจะออกต้องใช้เงินใช่มั๊ยล่ะ" ชางเอ่ยพลางยัดเยียดถุงเงินใส่มืออาราชิ

    อาราชิ จ้องหน้าเพื่อนของเขาพลางขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ "ทำไมต้องเพื่อข้ามากขนาดนี้ด้วยล่ะชาง?"

    แต่การสนทนาของเด็กชายทั้งคู่ก็ถูกขัดจังหวะเพราะทหารกลุ่มนั้นสังเกตเห็นอาราชิ ที่เป็นเป้าหมายของพวกเขา แล้วกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้

    "ก็การจะช่วยใครซักคนต้องช่วยอย่างเต็มที่หากคิดจะช่วยแล้ว ที่สำคัญก็เราเป็นเพื่อนกันนี่นา รีบไปเถอะอาราชิ มีเรือหลายลำที่ท่าเรือกำลังจะมุ่งหน้าไปแผ่นดินใหญ่ เราจะถ่วงเวลาให้นายเอง" ชางเอ่ยพลางชี้ไปยังท่าเรือ

    อาราชิส่ายหน้า "แต่ว่าถ้าทำอย่างนั้นนายจะมีความผิดฐานขัดขวางพวกทหารนะ"

    "นายจำที่รับปากเราไว้ไม่ได้หรือ ลูกผู้ชายต้องรักษาคำพูดสิ ไปสิอาราชิ" เด็กชายนักดาบเอ่ยถึงสิ่งที่เคยพูดกันไว้ อาราชิยังอ้ำอึ้งอยู่เล้กน้อย แต่ชางก็เดินตรงสวนเข้าหาทหารกลุ่มนั้นทันที อาราชิที่เห็นดังนั้น ได้แต่กำดาบและถึงเงินในมือไว้แน่น แล้ววิ่งตรงไปยังท่าเรือทันที

    ชาง หยุดยืนนิ่งขวางอยู่กลางถนนที่เป็นเส้นทางที่มุ่งไปท่าเรือ และในมือของเขามีเพียงดาบไม้เพียงเล่มเดียวเท่านั้น

    "เด็กน้อยหลบไปซะพวกข้าจะรีบไปจับตัวเจ้าเด็กปีศาจนั่น"ทหารคนหนึ่งตะโกนบอกเด็กชายให้หลบพวกเขา

    "เพื่อของเราไม่ใช่ปีศาจ เป็นเพียงคนที่กำลังจะออกเดินทางไปตามเส้นทางที่เขาเลือก พวกท่านได้โปรดอย่าได้ขัดขวางเขาเลย" ชางตอบกลับไปเรียบๆ

    เมื่อเห็นเด็กชายไม่ยอมหลบทางให้พวกเขาจึงตรงเขาใช้กำลังเพื่อเปิดทางทันที แต่จู่ๆทหารกลุ่มนั้นก็กระเด็นกลับไปทั้งๆที่ เด็กชายยังคงยืนอยู่ที่เดิม

    "ไม่ว่าเช่นไรจนกว่าเพื่อนของเราจะออกเดินทางไปจากเกาะแห่งนี้ เราคงให้พวกท่านผ่านตรงนี้ไปไม่ได้แม้แต่ก้าวเดียว" นักดาบน้อยเอ่ยด้วยสีหน้า และ น้ำเสียงสงบนิ่ง

    ทหารกลุ่มนั้นต่างลุกขึ้นมาพยายามจะผ่านเด็กชายคนนี้ไปเพื่อทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมา แต่ยังไงพวกเขาก็ไม่สามารถผ่านเด็กชายที่ถือดาบไม้ซึ่งยืนขวางทางพวกเขาได้แม้แต่น้อย

    จนเวลาผ่านไปซักพักใหญ่ๆก็ยังไม่มีใครที่สามารถผ่าน อาคาโบชิ ชาง ที่ยืนนิ่งขวางทางอยู่เช่นนั้นได้แม้แต่คนเดียว เด็กชายมองเห็นทหารกลุ่มใหญ่อีกกลุ่มหนึ่งใส่ชุดเกราะรูปแบบเฉพาะของที่นี่ สีแดงสด กลุ่มหนึ่งมุ่งตรงมายังเขา ในกลางคนกลุ่มนั้นมีชายสูงวัยขี่ม้าสีขาวสะอาดตาอยู่ตรงกลางกลุ่ม

    ทหารชุดแรกที่ยังไม่อาจผ่านเขาไปได้หลบทางให้ทหารชุดสีแดงกลุ่มนั้น พร้อมๆกับทำความเคารพผู้ที่อยู่บนหลังม้า

    "นี่น่ะรึเด็กชายที่ขัดขวางพวกเจ้าไม่ให้ ตามตัวเด็กชายที่มีปีศาจจิ้งจอกสิงอยู่ในร่าง" บุรุษผู้อยู่บนหลังม้าเอ่ยขณะลงจากมาแล้วเดิมมาเผชิญหน้ากับเด็กชายที่ยืนขวางทางอยู่

    อาคาโบชิ ชาง รู้ดีว่าเขาผู้นี้เป็นใครไม่ได้นอกจากผู้ปกครองของเกาะแห่งนี้ เพราะเขาเคยได้ฟังอาจารย์ของเขาเล่าให้ฟังหลายหนเกี่ยวกับกองทหารเอกที่สวมเกราะสีแดงสดผู้รับใช้ท่านเจ้าเมืองโดยตรง ซึ่งแต่ละคนฝีมือต่างอยู่ในระดับแนวหน้าของเกาะแห่งนี้ แล้วตัวท่านเจ้าเมืองก็ยังถือเป็นยอดนักดาบระดับเดียวกับอาจารย์ของเขาอีกด้วย

    ท่านเจ้าเมืองเดินตรงมาหยุดตรงหน้าเด็กชาย พริบตาต่อมาดาบที่เหน็บอยู่บริเวณเอวของท่านก็ถูกชักออกมาแล้วฟันแสกหน้าของชาง ปลายดาบผ่านใบหน้าของเด็กชาย ทหารหลายๆคนที่มองเห็นเหตุการณ์ ต่างแสดงท่าทีตกใจออกมาหลายคนเลยทีเดียว แต่เด็กชายที่เป็นเป้าหมายครั้งนี้กลับยังคงยืนนิ่งอยู่เช่นเดิม ทั้งสีหน้าและแววตาไม่เปลี่ยนซักนิดเดียว

    "ทำไมไม่หลบล่ะเด็กน้อย" ท่านเจ้าเมืองมองหน้าของเด็กชายพลางเก็บดาบเข้าฝัก

    "ก็ท่านไม่คิดจะฟันผู้น้อยให้โดนนี่ครับ ดาบที่ฟันไม่โดนก็ไม่จำเป็นต้องหลบใช่ไหมครับ" ชางก้องหัวคารวะบุรุษตรงหน้าเขาเล็กน้อย

    ท่านเจ้าเมืองยิ้มออกมาเล็กน้อย "เอาล่ะเด็กน้อยเจ้าช่วยบอกเหตุผลที่เจ้ามาขวางทางทหารของข้าหน่อยจะได้ไหม เจ้าไม่รู้หรอกหรือว่า ปีศาจจิ้งจอกที่อยู่ในตัวเด็กคนนั้น ถ้ามันหลุดออกไปบนแผ่นดินใหญ่มันจะเกิดอะไรขึ้น?"

    ชางสบตาท่านเจ้าเมือง พลางตอบกลับไปว่า "ในตัวเขาคนนั้น ไม่มีป๊ศาจจิ้งจอกอีกแล้วล่ะครับท่าน " แล้วเด็กชายก็เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเขา และ อาราชิ ให้ทุกคนเบื้องหน้าเขาฟัง หลังจากเด็กชายเล่าจบ เขามองเห็นสายตาแปลกๆจากทหารหลายๆคนที่มองมายังเขา แต่ท่านเจ้าเมืองที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขากลับไม่ได้มองเด็กชายตรงหน้าเขาด้วยสายตาเช่นนั้น

    "ถ้าเป็นอย่างที่เจ้าเล่าจริงๆ ถึงยังไงการขัดขวางการทำงานคนของทางการ มันก็มีความผิดไม่ใช่รึเด็กน้อย ทำไมเจ้าถึงได้ทำเพื่อนคนที่เพิ่งรู้จักกันเพิ่งไม่เท่าไร มากถึงขนาดนี้ล่ะ"

    ชางยิ้มออกมาเล็กน้อย พร้อมๆกับสายลมที่พัดผ่านมาวูบหนึ่ง แล้วเขาก็ตอบออกมาง่ายๆว่า "เพราะเขาเป็นเพื่อนของผู้น้อยยังไงล่ะครับ"

    ท่านเจ้าเมืองถามต่อไปด้วยน้ำเสียงจริงจัง "ถ้าข้าและเหล่าทหารของข้า จะมุ่งหน้าไปจับตัวเด็กคนนั้นล่ะ เจ้าคิดว่าจะเอาชนะพวกข้า เพื่อช่วยเพื่อนของเจ้าได้รึเปล่าล่ะ?"

    "ผู้น้อยรู้ตัวเองดีว่าฝีมืออ่อนหัดยิ่งนัก คงไม่อาจเอาชนะเหล่ายอดฝีมือที่อาจารย์ของข้าน้อยกล่าวถึงบ่อยๆหรอกครับท่าน แต่ว่าถ้าแค่ถ่วงเวลาจนกว่าเรือที่เพื่อนข้าน้อยโดยสารอยู่ ออกจากท่าเรือแห่งนี้ไปแล้วล่ะก็ ข้าน้อยคงจะพอทำได้"

    คำตอบอันไม่มีใครคาดคิดว่ามันจะหลุดออกมาจากปากเด็กชายตรงหน้า ทำเอาทุกอย่างเงียบกริบไปในทันที คำตอบที่ดูเผินๆเหมือนจะถ่อมตน แต่สิ่งที่แฝงอยู่ในนั้นมันคือ การเตรียมพร้อมที่จะสู้อย่างสุดกำลังเพื่อนจะรักษาในสิ่งที่เชื่อ

    ความเงียบเข้าปกคลุมบริเวณทางเข้าท่าเรือแห่งนั้น บรรยากาศที่น่าอึดอัด ระหว่างเด็กชายเพียงคนเดียวกับกองทหาร และ ผู้ปกครองเมืองแห่งนี้ รู้สึกได้ถึงแรงกดดันมหาศาลจากท่านเจ้าเมืองที่พุ่งเข้าใส่เด็กชายตรงหน้าอย่างรุนแรง จนหลายๆคนรู้สึกอึดอัด แต่เด็กชายที่ยืนอยู่ตรงนั้นกลับไม่มีปฎิกริยาใดๆทั้งสิ้นแม้แต่นิดเดียว

    ขณะที่สถาณการณ์ตึงเครียดถึงขีดสุด จู่ๆท่านเจ้าเมืองก็หัวเราะเสียงดัง ขึ้นมา "เจ้าแน่นอนมากเด็กน้อย สมเป็นลูกศิษย์ของยอดฝีมือ อย่าง อาคาโบชิ โยดา เลยจริงๆทั้งฝีมือและจิตใจ นับว่าเข้าขั้นเลยทีเดียว เอาล่ะพวกเจ้าแยกย้ายกันได้แล้ว เรื่องราวของปีศาจที่เป็นดุจฝันร้ายที่พวกเจ้าหวาดกลัวนั้นมันจบแล้วล่ะ เท่าที่ข้าได้รับรายงานมา ถึงเจ้าจะล้มปีศาจจิ้งจอกนั่นได้ แต่เจ้าก็ได้รับบาดเจ็บมากกว่าเด็กชายที่มีจิ้งจอกสิงอยู่มากทีเดียวเลยไม่ใช่รึ? ถึงเวลาที่เจ้าควรจะนอนพักได้แล้วเด็กน้อย"

    อาคาโบชิ ชาง เหลือบมองไปยังท่าเรือก็พบว่า เรือทุกลำได้ออกจากท่าไปหมดแล้ว มันก็จริงอย่างที่ท่านเจ้าเมืองพูดไม่มีผิดตัวเขาเอง แค่ยืนยังแทบจะไม่ไหวอยู่แล้ว มือที่จับดาบก็แทบไม่มีความรู้สึกใดๆทั้งสิ้น จากการปะทะครั้งสุดท้ายกับปีศาจจิ้งจอกนั่น เมื่อเห็นว่าสิ่งที่เขาพอจะทำได้หมดลงแล้ว ราวกับเชือกที่ถูกขึงไว้จนตึงขาดสะบั้นในทันที สติของเด็กชายดับวูบ ร่างของเด็กชายที่ยืนอยู่ทรุดฮวบลงทันที

    ท่านเจ้าเมืองคว้าตัวเด็กชายไว้ก่อนที่ร่วงไปกระแทกพื้น แล้วประคองร่างนั้นส่งให้ทหารคนที่อยู่ใกล้ๆ แล้วสั่ง "พาเด็กคนนี้ไปดูแลรักษา ให้ดีที่สุด"




    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~




    อาคาโบชิ โยดา หยุดการเล่าเรื่องของเขาลง พลางยกแก้วน้ำขึ้นมาจิบ "เจ้าหมอนั่นสลบอยู่อย่างนั้นถึง 7 วัน จนหลายๆคนกลัวว่ามันจะไมี่ตื่นอีกแล้วซะด้วยซ้ำ ข้าเองที่ไม่มีครอบครัวอย่างพวกเจ้า รู้ได้ทันทีเลยว่า หัวอกพ่อแม่ เวลาลูกตัวเองเจ็บปางตายมันเป็นยังไง ถึงไม่ใช่สายเลือดเดียวกันข้าก็คิดว่ามันเป็นลูกชายของข้าไปซะแล้วล่ะ"

    สหายเก่าอีก 2 คนยิ้มออกมาบางๆ แล้วโยดาก็เล่าเรื่องที่มันดำเนินมาถึงช่วงท้ายแล้ว "ทันทีที่เจ้าหมอนั่นพื้นขึ้นมาเห็นหน้าข้า มันก็ขอโทษข้าใหญ่เรื่องที่เอาดาบออกมาใช้โดยพละการ แถมยังทำมันหักอีกต่างหาก ข้าเองก็ไม่ได้สนใจเรื่องนี้อยู่แล้ว เพราะยังไงชีวิตของมันก็สำคัญกว่าดาบนั่นอยู่ดี"

    "จากนั้นมาเจ้าหมอนั่นก็เรียนรู้ทุกอย่างที่ข้าพอจะสอนมันได้ และ ฝึกฝน เป็นเวลาเกือบ 10 ปี ด้วยเหตุผลที่ว่าคราวหน้ามันจะสามารถปกป้อง สัจจะ และ สิ่งที่สำคัญ ได้ไม่ให้เกิดเหตุการซ้ำรอยเช่นนี้ จนสุดท้ายวันที่มันจะออกเดินทาง ดาบเล่มที่เจ้าหมอนั่นเลือก ก็คือดาบเล่มที่มันทำหักนั่นแหละ"

    "มันบอกว่าจะหาทางซ่อมดาบเล่มนี้ให้ได้ ทั้งๆที่ช่างตีดาบ ทั้งอุเอรุโตะ และ เวลเจ ที่ข้ารู้จักต่างส่ายหน้ากับดาบเล่มนี้ เพราะมันทำจาก โอริฮารูก้อน ที่ว่ากันว่าแข็งแกร่ง และ ตอนนี้ไม่มีช่างคนไหนในเอลเทอเฟีย เก่งพอที่จะสร้างและซ่อมแซมมัน เรื่องราวของเจ้าลูกศิษย์ก็มีเท่านี้ล่ะนะ"

    อาดิวที่นั่งเงียบฟังอยู่นาน "เป็นเรื่องราวที่น่าสนใจดีนะ เหมือนกับว่าข้าเองก็เคยได้ยินเรื่องนี้จากนักรบรับจ้าง คนหนึ่งที่รู้จักเหมือนกัน สงสัยจะเป็น เด็กที่เคยมีปีศาจจิ้งจอกสิงอยู่ในตัวที่ ลูกศิษย์ของเจ้าช่วยไว้ น่ะแหละ ตอนนี้ใครๆก็เรียกหมอนั่นว่า `บุรุษผู้นอกรีตในชุดดำ เอซ อัลทิโอนิส เพอร์ดิเทีย`"

    "อย่างนั้นรึ ว่าแต่ว่า การที่เจ้า 2 คนตามตัวข้ามาอย่างนี้ คงไม่ใช่แค่อยากพบเพื่อนเก่าใช่รึเปล่าล่ะ มีเรื่องราวอะไรร้ายแรงอย่างนั้นรึ?"นักดาบอวุโส เอ่ยขึ้นกับสหายเก่าทั้ง 2

    มหาอุปราชแห่งนครแห่งเวทย์มนต์ริมุเน่เอ่ยตอบกลับมา "ก็ไม่มีอะไรมากมายหรอกนะ เพียงแต่ชั้นและอาดิว มีลางสังหรที่ไม่ค่อยดีนัก เลยอยากได้ความเห็นจากเจ้าหน่อยน่ะโยดา"

    แล้วทั้ง 3 คนก็คุยถึงเรื่องราวต่างๆ จนเกือบถึงเช้าถึงแยกย้ายไปพักผ่อนกัน โดยมีเพียง 3 คนนั้นที่รู้ว่าพวกเขาคุยอะไรกัน




    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

    หากจะย้อนเวลากลับไปซักนิด ที่ร้านตีดาบชื่อดังของนครแห่งอัศวิน รีเวเรีย มีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินถือห่อผ้าลักษณะยาวเรียว เดินออกมาจากร้านแห่งนั้น แล้วออกเดินไปตามถนนภายในเมืองแห่งนี้

    ไม่รู้เป็นครั้งที่เท่าไรแล้วที่ชายหนุ่มผมสีดำสนิท ในเสื้อแจ๊กเก็ตแขนสันสีน้ำเงินเข้ม ได้รับคำตอบซ้ำๆจากการเอาดาบในมือเขาไปให้ร้านตีดาบในที่ต่างๆดู คำตอบเดียวที่ได้รับก็ คือ "ไม่สามารถซ่อมได้" ด้วยวัสดุที่ หายากอยู่แล้ว แต่คนที่สามารถสร้าง และ ซ่อมแซมนั้นกลับหายากยิ่งกว่า ใครๆต่างว่ากันว่าไม่มีคนที่ทำเช่นนี้ได้แล้วซะด้วยซ้ำ แต่เขาไม่ล้มเลิกง่ายๆหรอก ต้องมีซักแห่งบนแผ่นดินแห่งนี้ แหละที่สามารถ ซ่อมแซมดาบในมือเขาได้

    ชายหนุ่มเหม่อมองไปบนท้องฟ้า ขณะที่กำลังเดินอยู่ เขาได้ยินเสียงดนตรีแผ่วเบาดังมาจากตรอกเล็กๆแห่งหนึ่ง ราวกับมีอะไรบางอย่างที่ทำให้เขาอยากรู้ถึงที่มาของเสียงดนตรีแผ่วเบานุ่มหูนี่

    ชายหนุ่มเดินมาหยุดอยู่หน้าร้านเหล้าเล็กๆที่ตั้งอยู่ด้านในของตรอก พลางคิดในใจ "ร้านเหล้าคือแหล่งรวมของนักเดินทาง และข่าวสาร เราอาจจะได้ข่าวสารดีๆบ้างก็ได้" เมือคิดได้ดังนั้นชายหนุ่มจึงเอื้อมมือไปพลักประตูแล้วก้าวเข้าไปภายในร้าน โดยที่เขาไม่รู้ตัวเลยซักนิดว่า การตามหาผู้ที่สามารถซ่อมแซมดาบของเขามันจะกลายเป็นผจญภัยครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขา

    จบ บทที่4 นักดาบจากแดนใต้

    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
  3. joi100

    joi100 นักเดินทางแห่งมิดการ์ด

    EXP:
    478
    ถูกใจที่ได้รับ:
    23
    คะแนน Trophy:
    38
    Re: Tale Of Light and Shadow [นักดาบจากแดนใต้ (5) หลังจากมุขตันมานาน]

    ในที่สุด ผมก็สามารถ ปิดบทที่ 4 ซึ่งเป็นบทสุดท้าย ของเรื่องเล่าช่วงแรกในวันที่ กระทู้ ครบรอบ 1 ปีพอดี ถ้าจะถามว่านิยายของผมเรื่องนี้มันมีแก่นของคืออะไรแล้วล่ะก็ มันคือเรื่องเล่า ที่ถูกถ่ายทอดออกมา จากมุมมองของหลายๆตัวละคร โดยแบ่งเป็นบทใหญ่ๆ โดยแต่ละบท อาจจะเกี่ยวข้องหรือไม่เกี่ยวข้องกันเลย เรื่องราวหลายๆเรื่อง มีเหตุผล มีที่มาที่ไป ในขณะอีกหลายๆเรื่องเพียงถูกกล่าวขึ้นมาลอยๆ ผมว่าตรงนี้แหละคือสิ่งที่ผมรู้สึกว่า มันคือสิ่งที่เรียกว่า "เรื่องเล่า" 1ปีกว่า ที่ผ่านมา นิยายเรื่องนี้ ก็ถูกเล่าขานผ่านตัวอักษรไปเรื่อยๆ บทแล้วบทเล่า ซึ่งการเขียนนิยายของผมนั้น ผมทำก้เพราะอยากจะเขียนมัน เขียนเพราะว่าผมรู้สึกสนุกกับมัน

    โดยการทำนิยายรับสมัครนั้น หลายๆคนมองว่ามันเป็นเขียนแค่ตอนที่ช่วงมีไฟ พอไปซักพักพอความสดใหม่หายไป ก็จะค่อยๆเงียบแล้วก็ลืมเลือนกันไป นักเขียนหลายๆ ท่านอาจจะติดภารกิจต่างๆ ทั้ง การเรียน การทำงาน หรือปัญหาชีวิต เพราะการเขียนนิยายตามบอร์ดเช่นนี้มันไม่ได้อะไรตอบแทนเลยจากเป็นเวทีที่ให้แสดงฝีมือเท่านั้น

    จนทำให้หลายๆคนมองนิยายรับสมัครว่าเขียนให้จบยาก แต่ก็ยังมีคนบ้าคนหนึ่ง อย่าง `นักเดินทางแห่งมิดการ์ด` ที่ยังดื้อดึงเขียนต่อมาอยู่เรื่อยๆ จนหลายๆคนลืมเลือนนิยายเรื่องนี้กันไปแล้ว แต่มันก็ยังเขียนอยู่อีกแฮะ (ฮาๆ) เพราะในความคิดของผม การเริ่มต้นเขียนนิยายซักเรื่อง มันก็เหมือนคำสัญญากับคนอ่าน ว่าจะเขียนให้จบ มันอาจจะเป็นความบ้าของตัวผมเองล้วนๆ แต่ผมก็เชื่อที่จะทำเช่นนั้น

    หลายๆครั้งที่ผมถูกตั้งคำถามว่าเขียนไปแล้วก็ไม่ได้อะไร จะเขียนไปทำไม คำตอบเดิมทุกครั้งที่ผมจะตอบกลับไปก็คือ "ผมรู้สึกสนุก และ ชอบที่จะเขียนมัน เท่านี้ก็เพียงพอแล้วล่ะ"

    และที่ขาดไม่ได้เลย คือ เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่ติดตามกันตลอดมา ผมก็ไม่รู้จะตอบแทนพวกท่านที่คอยให้กำลังใจเสมอมาได้เช่นไร นอกจากคำว่า ขอบคุณ จากใจจริงของนักเขียนเพี้ยนๆคนนี้

    ขอบคุณครับ


    ถือว่าเป็นการฉลองการครบ 1 ปี ขอเล่าเรื่องราวต่างๆจากมุมมองของผมต่อนิยายเรื่องนี้ในแต่ละบทละกันนะครับ

    Tale Of Light and Shadow เรื่องเล่าจากแต่ละบท

    นิยายที่ผมเขียนขึ้นในมุมมองที่ว่าอยากจะเขียนนิยาย ที่เป็นเรื่องราวสั้นๆ ของตัวละครต่างๆ แล้วแบ่งเป็นบทใหญ่ๆ 4 บท แต่ละบทก็จะมีประเด็นหลักของมัน เรื่องเรื่องราวที่ผมอยากจะเล่าเรื่องราวเหล่านั้นผ่านตัวอักษร

    บทที่ 1 พ่อค้าหัวส้ม

    เรื่องเล่าเรื่องแรกที่ผมเลือกที่จะเขียนมันขึ้นมาก่อน เพราะบทนี้จะเป็นการเล่าเรื่องราวถึงความเป็นอยู่โดยทั่วๆไป ในแผ่นดินแห่งนี้ โดยประเด็นหลักก็คือ "ความฝัน" ซึ่งบทนี้เป็นบทที่ผมปูพื้นเรื่องราวหลายๆเรื่องไว้ ทั้งเรื่องของ ออส ตัวละครหลัก และตัวละครอื่นๆ เรื่องราวของการเลือกเส้นทางเดินของชีวิต การเลือกที่จะเดินตามความฝัน

    บทที่ 2 อัจฉริยะในห้องสมุด

    ถือว่าเป็นอีก1 บทที่เขียนยากมาทีเดียวสำหรับผม เพราะมันคือบทแห่ง "ความรู้" โดยเรื่องเล่าเรื่องนี้ จะมีอยู่ช่วงหนึ่ง เป็นเล่า 1 เหตุการณ์ผ่าน 2 มุมมอง คือ มุมมองของเลซาท และ องค์หญิงโรวิเนีย เป็นบทที่ผมรู้สึกสนุกกับการเขียนเวทย์มนต์ซัดกันแหลกลานมากๆ แต่บทนี้ก็ถือว่าเป็นบทที่มี คนคมหลายๆคำที่ผมชอบมันและ ใส่มันลงมาในบทนี้


    บทที่ 3 หมอบ้าเที่ยวล่าสุด

    เป็นบทที่ผมเขียนจาก คำว่า "ปณิธาน" ซึ่งบทนี้เป็นบทที่ผมโยงความเกี่ยวข้องของตัวละครต่างๆเข้าด้วยกัน ถือเป็นอีก 1 บทที่ต้องนั่งคิด แล้ว แก้อยู่นานพอสมควรอยู่เช่นกัน โดยจะเป็นการเล่าเรื่องย้อนกลับ โดยเป็นบทที่ใช้ตัวละคร เยอะมากๆ แต่มันก็สนุกดีไปอีกแบบนะสำหรับผม เรื่องราวของเด็กๆ ที่ต่างมีโชคชะตาที่สวนทาง ซึ่งตอนท้ายก็มีความแปลกใจเล็กๆ แก่คนอ่านนิดๆหน่อยๆทิ้งไว้ให้ด้วย

    บทที่ 4 นักดาบจากแดนใต้

    บทล่าสุด และถือเป็นบทสุดท้ายของเรื่องราว ทั้ง 4 ก่อนจะเล่าเรื่องราวการผจญภัยครั้งใหญ่ ของพวกเขาแหล่านั้น และเรื่องราวอื่นๆ ที่พวกเขาไปเกี่ยวข้อง โดยบทนี้ ผมเล่าถือใช้คำว่า "สัจจะ" เป็นแกน และใช้รูปแบบการเล่าเรื่องของ ชาง จากคนอื่นเป็นคนเล่า ไม่ใช่เจ้าตัว ซึ่งมันอาจจะดูแปลกๆไปซักนิด แต่ผมอยากจะลองเขียนแบบนี้ดูซักหนอยู่เหมือนกัน

    สุดท้ายนี้ ก็คงต้องขอขอบคุณทุกท่านอีกครั้ง ที่ ตามอ่านกันเสมอมา และท่านก็คงจะได้อ่านนิยายจากคนเพื้ยนๆอย่างผมไปเรื่อยๆ จนกว่ามันจะจบ ซึ่งอาจจะได้เขียนฉลอง ครบ 2 ปี รึเปล่านะ ฮาๆ

    ขอบคุณครับ

    นักเดินทางแห่งมิดการ์ด
  4. maxlancer

    maxlancer ประธานรุ่น2ตุรกีเชียงใหม่

    EXP:
    1,183
    ถูกใจที่ได้รับ:
    1
    คะแนน Trophy:
    88
    Re: Tale Of Light and Shadow [ปิดบทที่4 ฉลองครบรอบ 1 ปี]

    T[]T 1ปีแล้วหรือนี่ เรื่องนี้ ช่างน่ายินดีเสียเหลือเกิน ตั้งแต่ กระผมเพิ่งเข้าวงการ ยันปัจจุปัน ดองเกลือ พิคเกิ้ลไปแลวสองไห แต่ก็มีเรื่อวนี้แหละ ที่อยู่คู่บอร์ดเรามาตลอด 555+

    ผมจะพยายามแต่งให้จบซักเรื่อง โดยเอาท่านเป็นตัวอย่างที่ดีให้ได้งับ==

    ปล ตอนสอง ใกล้และ ใกล้เข้าฝั่ง 55+
  5. PaiaAznable

    PaiaAznable มนุษย์ตู้ปลาช้ำรัก

    EXP:
    744
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    86
    Re: Tale Of Light and Shadow [ปิดบทที่4 ฉลองครบรอบ 1 ปี]

    โอ้ ครบรอบปีนึงแล้วเหรอเนี่ย จะว่าเร็วก็เร็วจะว่านานก็นานแฮะ TwT

    ขอให้ไม่เกิดเรื่องร้ายๆชนิดไม่คาดฝัน (อย่างที่เฮียแม็กและผมเคยโดน OTL) กับท่านนักเดินทางแล้วกันนะครับผม

    พยายามเข้านะงับ จะรออ่านต่อไป >w<b

    ปล.ความฝัน ความรู้ ปณิธาณ สัจจะ ต่อไป... ความรัก!!! [action]กะเข้าตัวเองให้ได้ใช่มั้ยฟะไอ้บ้าไพอา =[]=!!![/action]
  6. near

    near Member

    EXP:
    334
    ถูกใจที่ได้รับ:
    4
    คะแนน Trophy:
    18
    Re: Tale Of Light and Shadow [ปิดบทที่4 ฉลองครบรอบ 1 ปี]

    เย้!!! ครบรอบ1ปีแล้ว!!!

    ช่างเป็นฟิคที่ยาวนาน และ ผมก็ติดตามมานานมากกกก

    ครบ 1 ขวบแล้ว ก็ขอให้ได้อยู่ฉลองกันจนถึงปลายทางแล้วกันเหนาะ

    สู้ต่อไปครับ เอาใจช่วยครับ!!! ^^
  7. Yukimura

    Yukimura New Member

    EXP:
    151
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    Re: Tale Of Light and Shadow [ปิดบทที่4 ฉลองครบรอบ 1 ปี]

    โอ้....ข้าน้อยยอมรับ- -'

    1ปีก็จริงแต่พึ่งอ่านไปได้ถึงบท2เองละครับ- -'อ่านไปนานๆแสบตาเงอะ
  8. identity

    identity Active Member

    EXP:
    580
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    36
    Re: Tale Of Light and Shadow [ปิดบทที่4 ฉลองครบรอบ 1 ปี]

    หนึ่งปี

    แต่งได้ตลอดโดนไม่ดองนาน

    [action]ขอซูฮก[/action]

    แต่ว่าจะว่าไปเดี๋ยวผมเอามาลงบ้างอย่าลืมไปอ่านล่ะ

    ฮาๆๆๆ
  9. parwankorn

    parwankorn Member

    EXP:
    60
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    6
    Re: Tale Of Light and Shadow [ปิดบทที่4 ฉลองครบรอบ 1 ปี]

    หนึ่งปีแล้วนะครับ

    ผมติดตามผลงานของพี่ ตั้งแต่ฟิกที่แล้ว ซึ่งก็จำชื่อไม่ได้นะครับ

    จะอย่างไรก็ดี

    ผลจะติดตามผลงานต่อไปนะครับ
  10. moko

    moko New Member

    EXP:
    27
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    Re: Tale Of Light and Shadow [ปิดบทที่4 ฉลองครบรอบ 1 ปี]

    หุหุ พึ่งเ้ข้ามาเห็บ ครบรอบหนึ่งปีแล้ว เร็วจัง

    แต่ยังไงก็ยังติดตามอยู่นะะะ
  11. pop30711

    pop30711 New Member

    EXP:
    1,155
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    Re: Tale Of Light and Shadow [ปิดบทที่4 ฉลองครบรอบ 1 ปี]

    1 ปีช่างผ่านไปไวจริงๆ แฮะ...

    ก็ จะยังติดตามผลงานต่อไปนะครับ

    ถ้ามีตอนต่อไปก็จะติดตามครับ
  12. yoshiki

    yoshiki FATE

    EXP:
    862
    ถูกใจที่ได้รับ:
    17
    คะแนน Trophy:
    38
    Re: Tale Of Light and Shadow [ปิดบทที่4 ฉลองครบรอบ 1 ปี]

    โอ๊กๆๆ ตามมาอ่านทีเดียว 4 ตอนรวด แทบอ้วก T T

    เฮ้ย ครบ 1 ขวดแล้ว !!! เอ้ย 1 ขวบ เร็วชะมัดเลย

    สำหรับกระผมที่ติดตามผลงาานท่านพี่มาโดยตลอดและคิดว่าก็คงติดตามต่อไปจนกว่ามันจะจบล่ะนะ อยากจะบอกว่าาาาา

    ทำไมสาวน้อยอเมทิสของผมโดนแก้ลักษณะสีผมหมดเลยล่ะเฟ้ย !!!!!!!!!

    แล้วตูมาโวยวายอะไรว่ะเนี่ย จริงๆแล้วก็ชอบไม่ใช่หรือไง เออ ผมไปดีกว่าแหะ เปลืองเนื้อที่ยังไงชอบกล

Share This Page