[Ficรับสมัคร] -CHILD- Remake (31/05/09) Remake มันซะในฐานะขึ้นบอร์ดใหม่ ภาค Memory Of Nobody 1 -Become something- เสียงของเครื่องยนต์กำลังทำงานเบาๆ...เสียงเดือดของน้ำรอบด้าน...เสียงของผู้คนรอบข้างกำลังสนทนาและกลิ่นของยากับสารเคมีที่เหม็นจนน่าคลื่นไส้ "ที่นี่....?" เสียงที่ดังสะท้อนก้องในใจเอ่ยถาม...ความมืดรอบด้านคือสิ่งเดียวที่มองเห็น รอบด้านเปรียบเสมือนห้องผ่าตัดที่ใช้แสดงวิธีผ่าตัดเพราะด้านบนมีกระจกใสกั้นเอาไว้...กลางห้องคือร่างของเด็กผู้หญิงในชุดสีเขียวที่ถูกล่ามขึงไว้กับเตียงอย่างแน่นหนาและถูกปิดตาเอาไว้ "การทดลองขั้นสุดท้ายแล้วสินะ" เสียงใครบางคนกำลังพูดคุย...น้ำเสียงอู้อี้เหมือนเจ้าของเสียงมีอะไรบังปากเอาไว้ เสียงนั้นพูดสลับกับเสียงหายใจดังฝืดฝาดเบาๆราวกับกับคนอยู่ในชุดนักบินอวกาศ "การทดลอง...?" เสียงในใจดังขึ้นอีกครั้ง...ในตอนนั้นเองที่รู้สึกเหมือนมีอะไรมาสัมผัสที่ตัวของตน ความรู้สึกเย็นเฉียบเหมือนเหล็กแช่น้ำเย็นมาแตะโดนตัวทำให้สะดุ้ง...เหมือนสิ่งนั้นกำลังค่อยๆเคลื่อนมาที่หัวของตน "แกะที่ปิดตาออกได้แล้ว...พวกเราอยากจะเห็นทุกอิริยาบถของเด็กคนนี้ตลอดการทดลอง" เสียงแหบแห้งของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นและไม่นานจากภาพมืดสนิทก็ค่อยๆสว่างขึ้น...ดวงตาสีแดงสดพร่ามัวกระพริบถี่ๆเพื่อปรับให้รับก็แสงสีขาวสว่างไปทั่ว "อรุณสวัสดิ์ ์No.09" เสียงเดิมดังมาทักทาย ตอนนั้นเองที่ภาพรอบด้านค่อยๆชัดขึ้น...ห้องกว้างสีขาวสะอาด ข้างตัวคือโต๊ะที่เต็มไปด้วยขวดหลอดแก้วใส่สารเคมีต่างๆและเครื่องมือแพทย์อีกมาก และมีคนในชุดเหมือนกับนักบินอวกาศอีกสองคนที่เธอมองไปเห็นหน้าเพราะหมวกที่คนพวกนั้นสวมมีแก้วครอบสีดำสนิทครอบบังเอาไว้ "หมายเลข09.?" เธอนึกอย่างสงสัย...เธอจำไม่ได้ว่ามีชื่อนี้ "ไม่ต้องแปลกใจไปเพราะจากวันนี้ไปนี้คือชื่อรหัสของเธอ วันนี้เธอคงจะแปลกใจที่ตื่นขึ้นมาในที่แบบนี้...แต่ไม่ต้องตกใจ พวกเราแค่ต้องการทดลองอะไรบางอย่างนิดหน่อย...เมื่อเสร็จแล้วเธอก็จะกลับไปอยู่ที่ที่เธอมา ขอให้เธอทำตัวดีๆและนอนอยู่อย่างสงบ" เสียงที่ดังมาจากลำโพงมุมห้องดังมาจึงไม่น่าแปลกใจที่ทำให้เสียงนั้นดูแหบแห้ง เด็กสาวหมายเลข09นอนอยู่บนเตียงคนไข้กลางของสีขาวนี้...แม้ทางนั้นจะบอกเธอว่าให้นอนอยู่นิ่งๆอย่างสงบแต่ตัวเธอตอนนี้นั้นมีผ้าสังเคราะห์มาคาดรัดส่วนคอ อก เอว และข้อเท้าเอาไว้...ส่วนที่มือทั้งสองข้างนั้นถูกกางออกพร้อมถูกล๊อคด้วยเหล็กอย่างแน่นหนาถึงเธอจะอยากดิ้นก็ดิ้นไม่ได้...มีแค่ดวงตาของเธอเท่านั้นที่จะสามารถขยับและกลอกดูรอบด้านได้ หนำซ้ำทุกส่วนของร่างกายเธอเต็มไปด้วยสายไฟและสายน้ำเกลือระโยงระยางและเส้นผมสีทองยาวสลวยที่ยุ่งเหยิงอยู่บนพื้นเตียง "เอาล่ะ...เริ่มกันได้แล้ว" สิ้นเสียงนั้นชายสองคนที่อยู่ข้างเตียงก็หยิบบางสิ่งบนโต๊ะนั้นขึ้นมาแต่เธอมองไม่เห็นไม่ตอนแรก...แต่พอชายเหล่านั้นนำสิ่งนั้นเข้ามาใกล้ก็ทำให้เธอรู้สึกสั่นกลัวแปลกๆ เข็มฉีดยาขนาดกลางที่มีบางสิ่งเหมือนกับก้อนเนื้อขนาดจิ๋วแช่อยู่ในน้ำสีเหลืองอำพัน แต่ไม่รู้ทำไมมันทำให้เธอรู้สึกหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะและหายใจแรงจนเครื่องตรวจวัดคลื่นหัวใจข้างเตียงส่งเสียงดังต่อเนื่องและเส้นกราฟเต้นสูงอย่างรุนแรง "ไม่เอา..." เธอเอ่ยเบาๆริมฝีปากสั่นและพยายามดิ้นให้หลุดจากการถูกมัด "ใจเย็นๆหมายเลข09...อีกไม่นานก็จะจบแล้ว นอนอยู่นิ่งๆก็พอ" เสียงนั้นดังเตือนแต่เธอยังไม่หยุด...ชายคนหนึ่งนำสำลีชุบยาฆ่าเชื่อโรคเช็ดบนเส้นบนแขนเล็กๆนั้น ส่วนอีกคนกำลังกดเข็มฉีดไล่ลมจนน้ำสีอำพันพุ่งออกจากปลายเข็มนิดหน่อย "อย่านะ...อย่า...ไม่...อ๊ะ!!" ไม่มีการฟังเสียงห้าม...ปลายเข็มถูกแทงเข้าไปในเส้นเลือดบนแขนและฉีดจนหมดเข็ม "อึ๊ก!!...อั้ค!! อ๊า!!!!!! อ๊า!!!!!!" เสียงครางห้ามเบาๆจู่ๆก็หายไปกลายเป็นเสียงกรีดร้อง เด็กน้อยผมทองร้องครวญครางเหมือนมีไฟเผาอยู่ในร่าง เส้นเลือดทุกส่วนของร่างกายปูดโปนขึ้นจนน่ากลัว...เธอดิ้นทั้งๆที่ถูกมัดและดิ้นแรงขึ้นเรื่อยๆแล้วยังชักอย่างรุนแรง เครื่องวัดคลื่นหัวใจดังถี่ๆเหมือนชำรุด...น้ำเกลือในถุงกำลังค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีแดงเพราะสายน้ำเกลือที่เสียบเข้าตัวเธอถูกเลือดสีแดงขับออกมา ดวงตาสีแดงของเธอเหลือกและเบิกโพลงอย่างทรมาน...เสียงร้องเริ่มเปลี่ยนเป็นเสียงสำลักและชักเกร็งอย่างรุนแรง "ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกท่านสุภาพบุรุษ...นี้เป็นแค่อาการเริ่มต้นของ-ผู้ถูกเลือก-ได้ทำการฝั่ง-ชายด์-ในร่างเท่านั้น หลังจากผ่านช่วงนี้ไปเด็กคนนั้นก็จะกลับเป็นปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น" น้ำเสียงราบเรียบเหมือนไม่ตื่นตกใจในสิ่งที่เกิดขึ้น "กรี๊ด!!!!!!!............" เสียงร้องดังยาวแล้วก็เงียบไปทันที "ตี๊ด!!" เสียงดังยาวของเครื่องวัดคลื่นหัวใจดังขึ้นเรียกความสนใจของชายคนนั้นไม่น้อยและสามารถทำให้เขาตกใจได้ เด็กสาวผมทองที่ตอนนี้นอนนิ่งไม่ไหวติ่งพร้อมม่านตาที่เปิดกว้างและเลือดที่ไหลออกจากหู ตา จมูก ปาก "ฉีดยากระตุ้นหัวใจและปั้มหัวใจ!! ทำยังไงก็ได้ให้หัวใจเต้น!!...เร็วเข้า!!" สิ้นเสียงชายสองคนในห้องสีขาวต่างรีบหายากระตุ้นหัวใจมาฉีดให้หล่อน สายรัดพันธนาการต่างๆถูกปลดออกและเริ่มทำการนวดหัวใจ "ชิ...ผิดพลาดซะได้" กำปั้นข้างหนึ่งทุบบนหน้าจอที่ถ่ายจากห้องนั้นอย่างไม่สบอารมณ์ สีหน้าของเขาเคร่งเครียดขึ้นมาทันทีในขณะที่กลุ่มคนลึกลับเบื้องต่างพาผู้คุยเสียงอื้ออึ้งไปเรื่อย...แต่ตอนนั้นเองที่ทุกคนไม่รู้ว่ามีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นเป็นเด็กน้อยหมายเลข09 รอยขีดเล็กๆปรากฏขึ้นต่างข้อต่อทุกส่วนต่างๆของร่างกาย "ไม่ทันแล้วมั่ง?" 1ใน2คนในห้องขาวนั้นพูดขึ้นขณะที่กำลังปั้มหัวใจอยู่ "ผิดพลาดอีกรอบแล้วสิ" อีกคนหนึ่งพูดพร้อมเสียงถอนหายใจ "เฮ้อ...ถึงจะบอกว่าเป็นตัวทดลองก็เถอะแต่ทำให้เด็กอายุแค่นี้มาตายมันก็ทำให้รู้สึกแย่เป็นบ้า" "พวกแกสองคนข้างล่างเงียบได้แล้ว...จัดการกับร่างนั้นซะ" เสียงนั้นออกมาจากลำโพงอีกครั้ง แล้วทั้งคู่ก็พยักหน้า...แม้จะไม่อยากทำแต่งานก็คืองาน ทั้งคู่ช่วยกันถอดสายน้ำเกลือและสายเครื่องวัดต่างๆออกแล้วดึงผ้ามาคลุมปิดร่างนั้นก่อนที่จะเข็นเตียงออกมาห้องไป "เฮ้อ...ล้มเหลวอีกจนได้...ปริมาณส่วนผสมสารแปลงสภาพชายด์ที่ฉีดเข้าไปคงจะสูงเกินกว่าที่ร่างกายจะปรับสภาพได้" ชายในชุดแพทย์ที่ขาวถอนหายใจก่อนที่จะหยิบบุหรี่ขึ้นมาคาบเอาไว้อย่างเหนื่อยอ่อน...ความรู้สึกราวกับสิ่งที่คาดหวังไว้มันพังทลายลงไปตรงหน้า "บึ้ม!!" จู่ๆเสียงระเบิดดังสนั่นและแรงสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นทำเอาบุหรี่ที่คาบหล่นจากปาก...เขารีบเห็นกลับไปที่จอมอนิเตอร์ของกล้องวงจรปิดทุกตัวเพิ่งต้องการรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หน้าจอของกล้องตัวหนึ่งที่กำลังถ่ายภาพที่กำลังบันทึกที่ทางเดินแห่งที่เต็มไปด้วยเปลวไฟและซากปรักหักพัง...เงาๆหนึ่งที่ปรากฏขึ้นท่ามกลางเปลวไฟรอบด้านพร้อมอาวุธทรงยาวในมือ "ฮะฮะฮะฮะฮ่าฮ่าฮ่า!! ในที่สุด...ในที่สุดสิ่งที่พวกเราทดลองมันก็ได้สำเร็จอีกชิ้นแล้ว!!...ผลงานของฉันสำเร็จไปอีกชิ้นแล้ว!!" ชายหนุ่มจับจ้องหน้าจอนั้นพร้อมกับหัวเราะชอบใจ เด็กผู้หญิงผมยาวในจอภาพค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองจอนั้นก่อนที่จะพุ่งมาพร้อมเงื้อหอกของตนขึ้นสูงแล้วก็สัญญาณบนนั้นก็หายไปแต่เสียงหัวเราะราวกับบ้าคลั่งนั้นยังไม่มีทีท่าว่าจะเงียบลงไปง่ายๆและดังก้องกังวานไม่มีที่สิ่งสุด... ............................................ ค่ายกักกันแห่งหนึ่งในเยอรมัน...ณ สถานที่แห่งหนึ่งซึ่งเหมือนกับโรงพยาบาล เพียงแต่ห้องคนไข้ทุกห้องห่วงล้วนเป็นประตูเหล็กและลูกกรงที่แน่นหนาเท่านั้น เสียงหยดของน้ำเกลือที่ห้อยสูงเหนือเตียง เสียงโซ่ที่ลากกับพื้นฟังดูเสียดหูบางครั้ง พร้อมเสียงสะอื้นไห้ใครอีกหลายๆบางคนในห้องสีขาวที่มีแต่เตียงนอน ชายฉกรรจ์หลายคนในชุดทหารสีน้ำตาลที่สะพายปืนกล AK-74 เดินตรวจตราไปมาตัดสลับกับกลุ่มชายสูงอายุในชุดเสื้อกาวน์สีขาวขุ่นที่คอยเขียนอะไรบางอย่างในแผ่นกระดาษ ในห้องคนไข้แต่ล่ะห้องล้วนมีแต่เด็กเล็กที่มีตั้งแต่อายุเพิ่งพ้นวัยอย่านมจนถึงวัยรุ่นต้นๆ...เด็กๆแต่ล่ะคนที่มีโซ่ข้อเท้าคล่องติดต่างอยู่ในชุดผ้าฝ้ายเนื้อหยาบสีเขียวตัวยาวเท่านั้น มีบางห้องมีทหารบางคนค้นเตียงผ้าเข้าไปก่อนที่จะกลับออกมาพร้อมร่างของเด็กบางคนที่มีผ้าคลุมปิดทั้งตัว ในอีกจุดหนึ่งของที่แห่งนี้...ยังมีอีกห้องที่มีนักวิทยาศาสตร์ชรามีมองอยู่เรียบๆก่อนที่จะใช้ปากกาหมึกข้นขีดเขียนบางอย่างลงไปในกระดาษ “พวกแกเตรียมตัวเอาเปลมาที่ห้อง09ได้เลย...ดูท่าทางหนูทดลองตัวนี้จะไม่รอด” เขาพูดใส่วิทยุติดตามตัวของตนก่อนที่จะเดินไปอีกทาง "เทเรซ่า...เป็นอะไรรึเปล่า?" เสียงใครบางคนเอ่ยเรียกเด็กอีกคนที่อยู่ในห้อง09 เด็กน้อยผมทองในเสื้อคนไข้สีเขียวที่นอนคดบนพื้นข้างเตียง ข้อต่อทุกส่วนบนร่างของเธอมีแต่รอยขีดบางๆ ที่คอของเธอสวมสิ่งที่เหมือนกับปลอกคอหนาเอาไว้...เด็กน้อยหายใจหอบอย่างรุนแรงและกัดฟันร้องครางอย่างทรมาน "เจ็บจัง...ปวด...ปวดไปหมดเลย...เจ็บจังเลย...ช่วยด้วย...เจ็บเหลือเกิน" เธอครางเสียงเบา และกอดตัวแน่นเหมือนร่างกายมันจะแตกแยกออกจากกันเป็นชิ้นๆ "อดทนหน่อยนะ...อีกไม่นานความเจ็บปวดนี้ก็หายไปแล้วล่ะ" เสียงเดิมพูดกับเธอ...เสียงของเด็กผู้หญิงที่กำลังยืนเกาะลูกกรงใกล้ๆที่ติดกับห้องของเธอ "พี่...พี่แคลร์ ช่วยหนูด้วย" สายตาที่พร่ามัวพยายามจะปรับให้ชัดเพื่อมองบุลคลตรงนั้น...เด็กผู้หญิงที่ดูอายุมากกว่าและสูงกว่าเธอยืนเกาะลูกกรงอย่างเป็นห่วง ผมสีดำมันขลับยาวถึงกลางหลัง ดวงตาสีเงินสุกใส แต่ที่คอของเธอมีปลอกคอเหล็กและที่ข้อนิ้วของหล่อนก็มีรอยขีดบางๆเหมือนกัน...แม้จะสภาพไม่ต่างกันแต่ดวงตาของแคลร์แสดงถึงความเด็ดเดี่ยวและเข้มแข็งเกินกว่าเด็กอายุ10ขวบ "เทเรซ่ายื่นมือเธอมา...พี่จะจับมือเธอเอาไว้...มาสิเทเรซ่า..." แคลร์นั่งลงกับพื้นแล้วลอดมือพาลูกกรงนั้นมาทางเธอ เด็กน้อยผมทองได้แต่ค่อยๆคลานไปทางนั้นอย่างยากลำบาก...ทุกครั้งที่เธอขยับตัวเหมือนตัวจะฉีกออกจากกัน...แขนและขาเหมือนถูกไฟมารนอยู่ตลอด น้ำตาจำนวนมากที่ไหลอาบแก้มและพยายามที่จะเอื้อมมือเล็กๆของตัวเองไปหามือข้างนั้น "เข้มแข็งไว้นะเทเรซ่า...เธอต้องอดทนไว้นะ พี่จะอยู่ตรงนี้...จะจับมือเธอเอาไว้ตรงนี้แหละเพราะฉะนั้นเธอต้องเข้มแข็งและทนมันให้ได้" เด็กสาวผมดำพูดพร้อมจับมือเธอแน่น แต่ในตอนนั้นเองที่มีเสียงเหมือนใครบางคนเดินมาทางนี้ "พะ...พี่แคลร์ ปล่อยมือหนูเถอะ...คนพวกนั้น...จะมาแล้ว" เด็กน้อยกัดฟันพูดอย่างเจ็บปวด อีกฝ่ายได้แต่ส่ายหน้าและกำมือนั้นแน่น "หนูไม่...ไม่อยากให้พี่ถูกลงโทษ...ปล่อยเถอะค่ะ.." เด็กน้อยผมทองพูดสลับหอบก่อนที่จะออกแรงดึงมือนั้นกลับ แคลร์จึงได้แต่มองเธอและเดินไปอยู่อีกที่เตียงของตนเงียบเท่านั้น “ว่าไงหมายเลข09?” ใครบางคนเอ่ยเรียกชื่อรหัสของเธอ เป็นชายร่างสูงโปร่งในชุดเสื้อกาวสีขาว ผมยาวมัดรวบเป็นหางด้านหลังยื่นหน้ามองผ่านช่องลูกกรงของประตูนั้นแล้วมองมาทางเธอ “เปิดประตู” เขาหันไปอีกทางไปบอกกับชายในชุดทหารอีกคนที่ยืนคุมอยู่และอีกฝ่ายก็ทำตามคำสั่งอย่างโดยดี ในตอนนั้นเองที่เด็กน้อยพยายามจะลุกขึ้นแต่ก็ปวดแปล๊บขึ้นมาอีกครั้ง “อึก!!” ตัวเธอเกร็งก่อนที่จะฝุ่บลงกับพื้นแล้วหายใจหอบอีกรอบ มารู้ตัวอีกทีชายคนนั้นได้มายืนอยู่ใกล้ๆเธอแล้ว “ช่วงนี้พยายามอย่าขยับดีกว่านะ...ไม่อย่างนั้นความเจ็บปวดทรมานมันจะมากกว่าเดิมตัวร่างเล็กๆที่บอบบางแบบนี้ต้องทนไม่ไหวแน่ๆ ใช่รึเปล่าหมายเลข01?” เขาพูดก่อนที่จะเหลือบไปถามแคลร์ที่อยู่ห้องข้างผ่านลูกกรง เด็กหญิงผมดำแต่ได้นิ่งเงียบและเห็นหน้าเข้ากำแพงเท่านั้น “เอาล่ะ...พาเธอไปนอนบนเตียงน่าจะดีกว่า” สิ้นคำพูดชายหนุ่มเขาอุ้มเด็กน้อยขึ้นก่อนที่จะนำมาวางบนเตียงแล้วห่มผ้าอย่างดี มือที่กว้างและใหญ่ที่สวมถุงมือสีขาวเอาไว้ตลอดถูกยื่นมาลูบหน้าผากของหล่อน “นอนหลับบนเตียงนี้ดีๆซะ3-4วัน..แล้วเธอก็ดีเอง” ชายหนุ่มพูดพร้อมกับรอยยิ้มแต่แววตาที่มองมาทำให้เด็กน้อยรู้สึกสะอิดสะเอียน เทเรซ่าเหลือบมองชายคนนี้อย่างเจ็บแค้นและกำมือแน่น ตอนนั้นที่มีนายทหารชุดน้ำตาล2คนเดินเข้ามาในห้อง “แม็กซิมีเลี่ยน วอน ฮ็อฟแมน มีสายจากท่านผู้บัชชาการต้องการที่จะคุยกับคุณ” 1ในนั้นจะพูดกับเขา แม๊กซีมิเลียนแสดงสีหน้าเบื่อหน่ายก่อนที่จะถอนหายใจ “อย่างนั้นเหรอ?...” เขาพูดก่อนที่จะลุกขึ้นยืน...แต่ในจังหวะนั้น “ฮ้า!!” ผ้าห่มถูกสะบัดเปิดออกในมือของเธอคือสิ่งที่เหมือนกับลิ่มปลายแหลมที่ถูกกำแน่นแล้วพุ่งตรงมาทางหลังต้นคอชายหนุ่มจากข้างหลัง แต่แล้ว “เปรี๊ยะ!! กรี๊ด!!” เสียงกรีดร้องที่ดังก้องเสียดแก้วหู...ลิ่มแหลมในมือแตกกระจายเป็นละออง ร่างเล็กๆของเธอตกจากเตียงตามด้วยอาการบิดเกรงไปมากับพื้นหินแข็ง... "เทเรซ่า!!" แคลร์รีบวิ่งมาจับที่ลูกกรงแล้วตะโกนเรียก "อยู่เงียบๆ!!" 1ในทหารทั้งคู่คนหนึ่งวิ่งมาที่แคลร์ก่อนที่ฟาดกระพกลงที่มือของแคลร์แต่โชคดีที่เธอชักมือกลับทัน ในตอนนั้นอีกคนยกปืนของตนขึ้นเล็งมาทางเด็กน้อยผมทองแต่ก็ต้องลดปืนลงหลังจากที่แม๊กซีมิเลียนยกมือขึ้นเรียบๆก่อนที่จ้องมองร่างของเธอที่นอนคว่ำกับพื้น...เสียงหอบสลับเสียงสะอื้นดังออกมาอยู่เรื่องแม้แต่แคลร์ที่อยู่ห้องข้างๆก็ได้แต่กำมือแน่นเพราะทำอะไรไม่ได้ “คงยังไม่รู้สินะว่าปลอกคอเธอสวมน่ะมันใช้ควบคุมพลังของเธอ...ทันทีที่เธอใช้พลังกระแสไฟฟ้าจำนวนหนึ่งจะเกิดขึ้น...แม้มันจะไม่สูงมากแต่ก็ทำให้ตัวชาไปได้ซักพัก” เขาพูดจบก็อุ้มเทเรซ่ามานอนบนเตียงอีกครั้ง ผ้าห่มที่กองบนพื้นถูกหยิบขึ้นมาสลัดแล้วห่มให้ “....” อะไรบางอย่างที่เอ่ยออกมาจากริมฝีปากเล็กๆที่ซีดเซียวนั้น...แม็กซีมิเลียนเห็นจึงลองยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆเพราะอยากรู้ว่าเธอพูดอะไร “ปล่อย...ปล่อยฉันออกไป...ฉันอยากกลับบ้าน...ฉันอยากกลับบ้าน...” คำพูดแผ่วๆที่ออกมาจากปากเล็กๆพร้อมน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม ชายหนุ่มได้ยินแต่ก็ไม่พูดอะไรและเอื้อมหยิบผ้าเช็ดหน้ากำมะหยี่ที่พกในกระเป๋ากางเกงออกมาเช็ดคราบน้ำตานั้นก่อนที่จะยิ้มเรียบๆ “เธอไม่มีบ้านให้กลับแล้ว...ทุกคนในนี้ไม่มีบ้านให้กลับไปหรอก” ชายหนุ่มแล้วเว้นช่วงเอาไว้ก่อนที่จะจับคางของเด็กน้อยให้หันไปทางเขา “ที่พวกเธอมาอยู่ที่นี้เพราะไม่มีใครต้องการพวกเธอยังไงล่ะ” คำพูดที่เหมือนกับสายฟ้าฟาดผ่าลงกลางศีรษะ...เด็กน้อยได้แต่นิ่งเงียบแต่ไม่สามารถหยุดน้ำตาที่เอ้อล้นออกมาได้ เธอจำไม่ได้ว่าเธอมาอยู่ที่แห่งนี้ตอนไหน...เธอจำได้แค่ประโยคสองสามประโยคจากบ้านของ เธอตอนคืนหนึ่งเท่านั้น...... .......................................... “เด็กคนนั้นไม่มีความจำเป็นกับฉัน...จะเอาไปอะไรก็เชิญ” “ถ้าอย่างนั้นทองถุงนี้ก็เป็นของคุณ...แล้วพรุ่งนี้เราจะมารับตัวเธอไป” ค่ำคืนหนึ่งที่หิมะตกหนัก ณ บ้านชั้นเดียวทรงอิฐหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่ตรงเนินเขาไม่ห่างจากตัวเมืองมากหนัก...เด็กน้อยผมทองยาวคนหนึ่งที่ตื่นขึ้นมากลางดึก เธอได้ยินเสียงของใครบางคนกำลังคุยกันจากข้างนอก ตุ๊กตาหมีตัวเก่าที่ตาที่ทำจากกระดุมหลุดหายไปข้างถูกเอามากอดแนบอกก่อนที่เธอจะค่อยๆแอบย่องลงจากเตียงแล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง รถจิ๊ฟสีดำที่เพิ่งมีชายร่างสุงคนหนึ่งในชุดโค้ตหนังตัวยาวก้าวขึ้นไป...เสียงสตาตร์เครื่องดังไปทั่วจากเครื่องยนตร์ที่ผ่านการใช้งานมามากก่อนที่จะค่อยๆเคลื่อนขับฝ่าดงหิมะออกไป เด็กน้อยเดินล่ะออกมาจากหน้าต่างห้องของตนก่อนที่จะเดินมาตรงประตู...กลอนลูกบิดถูกบิดเปิดออกช้าๆเป็นช่องเล็กเพื่อหวังจะแอบดูมาเกิดอะไรขึ้นข้างนอก ห้องรับแขกพื้นที่ไม่กว้างมากมีแค่เตาไฟที่มีท่อนไม้จำนวนหนึ่งกำลังถูกไฟ เผาใหม้ให้ความร้อน ผู้หญิงคนหนึ่งที่มวยผมถูกม้วนไว้อย่างไม่เป็นระเบียบในชุดกระโปรงสีดำเดินมาที่โต๊ะไม้โอ๊คตัวใหญ่พร้อมกับถุงหนังใบหนึ่งที่มีเสียงดังเหมือนมีอะไรกระทบกันตลอดเวลา ถุงหนังถูกเปิดออกก่อนที่จะเทลงบนโต๊ะนั้นแล้วหินสีเหลืองอร่ามจำนวนหนึ่งก็ออกมากองบนโต๊ะไม้สะท้อนกับแสงไฟจากเตาผิงจนเป็นประกายแวววาว “...แม่” เด็กน้อยเอ่ยเรียกผู้หญิงคนนั้นแล้วเธอก็รีบหันกลับมาพร้อมท่าทางตกใจ “เด็กบ้า...ทำไมยังไม่ไปนอนอีก” เธอพูดขึ้นด้วยท่าทางหงุดหงิด ก่อนที่จะเดินมาทางเธอแล้วกำต้นแขนเธอแน่นจนเทเรซ่ารู้สึกถึงเล็บที่จิกลงไปในเนื้อ “ฉันบอกกี่ครั้งแล้วว่าให้รีบเข้านอน...ไปนอนเดี๋ยวนี้” สิ้นคำพูดเธอผลักเด็กน้อยเข้าห้องแล้วปิดประตูเสียงดังก่อนที่จะมีเสียงเหมือนกลอนประตูจะถูกไขกุญแจล๊อคเอาไว้เหมือนกัน เด็กน้อยผมทองยาวได้แต่มองประตูไม้บานใหญ่นั้นเรียบๆก่อนที่จะเดินกลับไปที่เตียงนอนของตนและเข้านอนแม้ว่าดวงตาจะไม่สามารถปิดได้ก็ตาม.... จบตอน...
Re: [Ficรับสมัคร] -CHILD- Remake REMAKE!!! (ตกใจกะเขามั้ง^^) อย่างนี้ต้องรออ่านของใหม่ (รอของเก่าด้วยน่ะครับ)
Re: [Ficรับสมัคร] -CHILD- Remake *0* รีเมคซะอย่างงั้น คนที่สมัครแล้วไม่ต้องสมัครใหม่ช่ายม่ะคับ ผมจะได้รออ่านอย่างเดียว 555+ ปล. ช่วงนี้ฟิครับสมัครมาแรงจริงๆเน้อ
Re: [Ficรับสมัคร] -CHILD- Remake อะเดะ!!! รีเมค ปวดตาซะแล้ว เอาเป็นว่าผมเซฟไปอ่านแล้วจะมาเม้นอีกที ตอนหน้าเลยละกันนะครับ สู้ๆ ฮะ
Re: [Ficรับสมัคร] -CHILD- Remake อืมๆ รีเมคใหม่ เนื้อเรื่องจะเป็นยังไงน่า? (ตัวละครดั้งเดิม คงไว้สินะครับ)
Re: [Ficรับสมัคร] -CHILD- Remake อืม...จะเอาไงดีล่ะ...จะว่ารีเมคก็ไม่ใช่ จะว่าไม่รีเมคก็ไม่เชิงเพราะมีเนื้อหาจากของเดิมอยู่มากและเพิ่มเติม ของใหม่นิดหน่อย ตอนใหม่ที่ลงนี้ถ้าให้นับคือว่าเป็นภาค0ดีกว่าครับ เพราะเหตุการณ์นี้เชื่อว่าตัวละครของหลายคนยังเป็นวุ้น อยู่(ถ้าไม่วุ้นก็หนุ่มแน่นเลย) เหตการณ์ตอนนี้เกิดขึ้นก่อนเหตุการณ์สงครามช่วงเย็น(ค.ศ. 1947 – 1990) ในตอนนี้ผมแต่งในช่วงปีประมาณ ค.ศ.1940 ไหนๆก็โพสมาแล้วขอใส่ข้อมุลที่ผมไปหาเจอมาล่ะกัน โลกตะวันตกเมื่อเริ่มคริสตศตวรรษที่ 20 ดูจะเป็นโลกที่น่าอยู่ในแง่ที่ว่ามีพัฒนาการที่ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่าง ไม่เคยปรากฏมาก่อน การค้นพบทางวิทยาศาสตร์สาขาต่าง ๆ เจริญก้าวหน้าจนดูเสมือนว่าไม่เหลือความลึกลับไว้ในจักรวาลอีกต่อไป การอุตสาหกรรมก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของมวลมนุษย์สะดวกสบายขึ้น ทางด้านการเมืองการปกครองระบอบ ประชาธิปไตยกำลังได้รับการพัฒนา สิทธิเสรีภาพและความเสมอภาคถูกกล่าวขวัญกันกว้างขวาง อย่างไรก็ตาม อีกด้านหนึ่งกลับพบว่าในระยะแรกของศตวรรษที่ 20 นี้เอง แต่ละประเทศเริ่มแก่งแย่ง ชิงดีชิงเด่นเพื่อสร้างความมั่งคั่ง ร่ำรวยหรือความได้เปรียบให้แก่ประเทศของตน เห็นได้ชัดจากการแข่งขันการล่าอาณานิคม การแข่งขันทางด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ ฯลฯ ท้ายสุดก็ก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างประเทศและจบลงที่สงครามที่รุนแรง นั่นคือ สงครามโลกครั้งที่ 1 สงครามโลกครั้งที่ 2 และ สงครามเย็น 1. สงครามโลกครั้งที่ 1 ( ค.ศ. 1914 – 1918 ) กรณีของสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นความขัดแย้งบนฐานการล่าอาณานิคม โดยเฉพาะในแหลมบอลข่าน (Balkan) ระหว่างมหาอำนาจ ยุโรปสองค่าย คือ ฝ่ายไตรพันธมิตร (Triple Alliance) ซึ่งประกอบไปด้วยเยอรมนี ออสเตรีย – ฮังการี และอิตาลี กับฝ่ายไตรภาคี (Triple Entente) ประกอบไปด้วยอังกฤษ ฝรั่งเศสและรัสเซีย ตัวจุดชนวนของสงครามครั้งนี้อุบัติขึ้นเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน ค.ศ. 1914 เมื่อ อาร์คดยุคฟรานซิส เฟอร์ดินัลด์ (Archduke Francis Ferdinand) มงกุฎราชกุมารแห่งออสเตรีย-ฮังการีและพระชายาถูกลอบปลงพระชนม์ที่เมืองซาราเจโวในแคว้นบอสเนีย โดยนักศึกษาชาตินิยมชาวเซอร์เบีย ชื่อ กาวริลโล ปรินซิป (Gavrilo Princip) รัฐบาลออสเตรีย-ฮังการีจึงตัดสินใจจะทำลายล้างเซอร์เบีย ให้ราบคาบ และเมื่อได้รับแรงสนับสนุนจากเยอรมนี จึงยื่นข้อเรียกร้องที่เซอร์เบียไม่อาจยอมรับได้ ออสเตรีย-ฮังการีจึงประกาศ สงครามและเริ่มบุก รัสเซียได้เข้าสนับสนุนเซอร์เบียและระดมพลเตรียมต่อสู้ เยอรมนีจึงได้เรียกร้องมิให้รัสเซียและฝรั่งเศสเข้ามา แทรกแซง ครั้งทั้งสองมหาอำนาจไม่ปฏิบัติตาม เยอรมนีจึงประกาศสงครามกับรัสเซียในวันที่ 1 สิงหาคม 1914 และฝรั่งเศสในวันที่ 3 สิงหาคม 1914 ตามลำดับ หลังจากเยอรมนีประกาศสงครามกับรัสเซียและฝรั่งเศสแล้ว ได้เคลื่อนกำลังพลเข้าละเมิดความเป็นกลางของประเทศเบลเยียมเพื่อขอ เป็นทางผ่านในการบุกฝรั่งเศส อังกฤษซึ่งเป็นมหาอำนาจของโลกจึงประกาศสงครามกับเยอรมนีในวันที่ 4 สิงหาคม 1914 มหาอำนาจในยุโรปจึงเข้าสู่สงคราม ยกเว้นอิตาลีที่เข้าร่วมในปีรุ่งขึ้น (ค.ศ.1915) ฝ่ายเยอรมนี ออสเตรีย-อังการี อิตาลีได้ตุรกีและบัลแกเรียเป็นพันธมิตร ซึ่งต่อมาถูกเรียกโดยรวมว่าฝ่ายมหาอำนาจกลาง (Central Powers) ส่วนอังกฤษ ฝรั่งเศส และรัสเซีย ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามฝ่ายพันธ-มิตร(the Allies)ได้ประเทศต่าง ๆ อีกหลายประเทศเข้าร่วม รวมทั้งประเทศในเอเชีย เช่น จีน ญี่ปุ่น แต่ในปีค.ศ. 1917 รัสเซียได้ถอนตัวออกจากสงครามครั้งนี้ เนื่องจากเลนินผู้นำกลุ่มบอลเชวิคส์ทำการปฏิวัติทางการเมืองขึ้นในรัสเซีย และสหรัฐอเมริกาก็ได้เข้ามาแทนที่รัสเซีย หลังจากเยอรมนีประกาศจะใช้เรือดำน้ำทำลายเรือข้าศึกและเรือสินค้าของทุกชาติโดยไม่มีขอบเขต สำหรับประเทศไทยได้เข้าร่วมกับฝ่ายพันธมิตรเมื่อ วันที่ 22 กรกฎาคม ค.ศ. 1917 โดยส่งทหารอาสาสมัครเข้าร่วมรบในสมรภูมิยุโรปจำนวน1200 คน ในช่วงแรกของสงคราม มหาอำนาจกลางเป็นฝ่ายได้เปรียบ แต่หลังจากที่อเมริกาเข้าร่วมกับฝ่ายพันธมิตร พร้อมกับส่งอาวุธยุทโธปกรณ์และกำลังพลเกือบ 5 ล้านคน ทำให้พันธมิตรกลับมาได้เปรียบและสามารถเอาชนะฝ่ายมหาอำนาจกลางได้อย่างเด็ดขาด ในที่สุดเมื่อฝ่ายมหาอำนาจกลางยอมแพ้และเซ็นต์สัญญาสงบศึกเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918 สงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งกินระยะเวลายาวนาน 4 ปี 5 เดือนจึงยุติลงอย่างเป็นรูปธรรม สงครามโลกครั้งที่ 1 นอกจากจะจบลงด้วยชัยชนะของฝ่ายพันธมิตรแล้ว ยังส่งผลกระทบสำคัญ อื่น ๆ ตามมาอีกหลายประการ ประการแรก หลังจากที่สหรัฐอเมริกาได้เข้าร่วมรบและประกาศศักดาในสงครามครั้งนี้ให้เป็นที่ประจักร ทำให้สหรัฐอเมริกาได้ก้าวเข้ามาเป็นหนึ่งในมหาอำนาจโลกเสรีบนเวทีโลกเคียงคู่กับอังกฤษและฝรั่งเศส ประการที่สอง รัสเซียกลายเป็นมหาอำนาจโลกสังคมนิยม หลังจากเลนินทำการปฏิวัติยึดอำนาจ และต่อมาเมื่อสามารถขยายอำนาจไปผนวกแคว้นต่าง ๆ มากขึ้น เช่น ยูเครน เบลารุส ฯลฯ จึงประกาศจัดตั้งสหภาพโซเวียต (Union of Soviet Republics -USSR) ในปี ค.ศ. 1922 ประการที่สาม เกิดการร่างสนธิสัญญาสันติภาพแวร์ซายส์ (The Treaty of Veraailles) โดยฝ่ายชนะสงครามสำหรับเยอรมนี และสนธิสัญญาสันติภาพอีก 4 ฉบับสำหรับพันธมิตรของเยอรมนี เพื่อให้ฝ่ายผู้แพ้ยอมรับผิดในฐานะเป็นผู้ก่อให้เกิดสงคราม ในสนธิสัญญาดังกล่าวฝ่ายผู้แพ้ต้องเสียค่าปฏิกรรมสงคราม เสียดินแดนทั้งในยุโรปและอาณานิคม ต้องลดกำลังทหาร อาวุธ และต้องถูกพันธมิตรเข้ายึดครองดินแดนจนกว่าจะปฏิบัติตามเงื่อนไขของสนธิสัญญาเรียบร้อย อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุที่ประเทศผู้แพ้ไม่ได้เข้าร่วมในการร่างสนธิสัญญา แต่ถูกบีบบังคับให้ลงนามยอมรับข้อตกลงของสนธิสัญญา จึงก่อให้เกิดภาวะตึงเครียดขึ้น ประการที่สี่ เกิดการก่อตัวของลัทธิฟาสซิสต์ในอิตาลี นาซีในเยอรมัน และเผด็จการทหารในญี่ปุ่น ซึ่งท้ายสุดประเทศมหาอำนาจเผด็จการทั้งสามได้ร่วมมือเป็นพันธมิตรระหว่างกัน เพื่อต่อต้านโลกเสรีและคอมมิวนิสต์ เรียกกันว่าฝ่ายอักษะ (Axis) ประการสุดท้าย ความสูญเสียจากสงครามโลกครั้งนี้ทำให้เกิดการตระหนักถึงความจำเป็นที่จะต้องมีความร่วมมือระหว่างประเทศ เพื่อรักษาความมั่นคง ปลอดภัยและสันติภาพในโลก ดังนั้นจึงมีการจัดตั้งองค์การสันนิบาตชาติขึ้นเป็นองค์กรกลางในการเจรจาไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างประเทศ กระนั้นความพยายามดังกล่าวก็ดูจะล้มเหลว เพราะในปี ค.ศ. 1939ได้เกิดสงครามที่รุนแรงขึ้นอีกครั้ง นั่นคือ สงครามโลกครั้งที่ 2 2. สงครามโลกครั้งที่ 2 ( ค.ศ. 1939 – 1945 ) กรณีของสงครามโลกครั้งที่ 2 อาจนับได้ว่าเป็นสงครามครั้งรุนแรงและยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยอุบัติขึ้น เพราะสงครามครั้งนี้ได้ขยายสมรภูมิรบออกไปทั่วโลกในระยะเวลาอันรวดเร็ว โดยครอบคุมอาณาบริเวณทั้งในยุโรป แอฟริกาเหนือ เอเชียตะวันออก และมหาสมุทรแปซิฟิก เมื่อพิจารณาสาเหตุของสงครามโลกครั้งที่ 2 พอจะสรุปได้ดังต่อไปนี้ คือ 1. ความไม่พอใจของฝ่ายผู้แพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 1 ต่อข้อตกลงสันติภาพ โดยเฉพาะสนธิสัญญาสันติภาพแวร์ซายส์ 2. สภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกในช่วงทศวรรษ 1920 – 1930 3. นโยบายสร้างชาติภายใต้ระบอบเผด็จการฟาสซิสต์ในอิตาลี นาซีในเยอรมันและเผด็จการทหารในญี่ปุ่น 4. ความล้มเหลวขององค์การสันนิบาตชาติในการเป็นองค์กรกลางเพื่อเจรจาไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างประเทศ ส่วนชนวนระเบิดของสงครามโลกครั้งที่ 2 คือ การที่เยอรมนียกกองทัพบุกโปแลนด์ ซึ่งมหาอำนาจตะวันตก ได้แก่ อังกฤษและฝรั่งเศสได้ลงนามในพันธสัญญาค้ำประกันอธิปไตยไว้ อังกฤษและฝรั่งเศสจึงยื่นคำขาดได้เยอรมันถอนทหารออกจากโปแลนด์ เมื่อฮิตเลอร์ไม่ปฏิบัติตาม ทั้งสองประเทศจึงประกาศสงครามกับเยอรมนี สงครามโลกครั้งที่สองจึงอุบัติขึ้น เมื่อเริ่มสงครามนั้น ประเทศคู่สงครามแบ่งออกเป็นสองฝ่าย คือ ฝ่ายอักษะ ประกอบด้วยเยอรมนี อิตาลีและญี่ปุ่น กับฝ่ายสัมพันธมิตร ประกอบด้วยอังกฤษ ฝรั่งเศสและรัสเซีย ต่อมาประเทศต่าง ๆ ก็เข้ากับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจนสงครามได้แผ่ขยายกลายเป็นสงครามโลกอย่างแท้จริง สำหรับสงครามในโลกตะวันออกนั้นเริ่มต้นขึ้นในราว ค.ศ. 1941 เมื่อญี่ปุ่นโจมตีฐานทัพเรือของสหรัฐอเมริกาที่อ่าวเพิร์ลฮาเบอร์ สหรัฐอเมริกาจึงประกาศสงครามกับญี่ปุ่น และหลังจากนั้นเพียงไม่กี่วันเยอรมนีและอิตาลีก็ประกาศสงครามกับสหรัฐอเมริกา เนื่องจากทั้งสองประเทศได้ทำสัญญาพันธมิตรกับญี่ปุ่น จึงเท่ากับเป็นแรงผลักดันให้สหรัฐอเมริกาเข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตรอย่างเต็มตัว รวมทั้งประเทศต่าง ๆ ในทวีปอเมริกาใต้ต่างประกาศสงครามตามสหรัฐอเมริกาเกือบทั้งสิ้น ในระยะแรกของสงครามฝ่ายอักษะได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัด แต่หลังจากวัน D-Day ซึ่งเป็นวันที่สัมพันธมิตรยกพลขึ้นบกที่มอร์มังดี ประเทศฝรั่งเศสด้วยกำลังพลนับล้านคน เครื่องบินรบ 11,000 เครื่อง เรือรบ 4,000 ลำ วิถีของสงครามจึงค่อย ๆ เปลี่ยนด้านกลายเป็นฝ่ายสัมพันธมิตรได้เปรียบ และสงครามก็ยุติลงอย่างเป็นรูปธรรมด้วยชัยชนะของฝ่ายสัมพันธมิตร เมื่อญี่ปุ่นเซ็นต์สัญญาสงบศึกกับสหรัฐอเมริกาบนเรือรบมิสซูรี ในวันที่ 14 สิงหาคม 1945 หลังจากที่สหรัฐอเมริกาทิ้งระเบิดปรมาณูถล่มเมืองฮิโรชิมาและนางาซากิของญี่ปุ่น ในวันที่ 6 และ 9 สิงหาคม 1945 ตามลำดับ หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งยืดเยื้อยาวนานเกือบ 6 ปียุติลง ลัทธิเผด็จการฟาสซิสต์ในอิตาลี นาซีในเยอรมัน และเผด็จการทหารในญี่ปุ่นก็ล่มสลายลงอย่างสิ้นเชิง ขณะเดียวกัน ตำแหน่งแห่งที่มหาอำนาจของโลกก็มีการปรับเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน กล่าวคือ ในโลกเสรีหรือโลกประชาธิปไตย สหรัฐอเมริกาได้ก้าวขึ้นสู่ความเป็นอภิมหาอำนาจเหนืออังกฤษและฝรั่งเศส มิใช่เพียงเพราะสหรัฐอเมริกามียุทโธปกรณ์ที่ทรงอานุภาพเท่านั้น แต่เพราะอังกฤษและฝรั่งเศสได้รับความบอบช้ำจากผลพวงของสงครามครั้งนี้อย่างมหาศาล จึงไม่อาจจรรโลงโครงสร้างความสัมพันธ์เชิงอำนาจเดิมเอาไว้ได้อีกต่อไป อย่างไรก็ตาม สหรัฐอเมริกาก็มิได้เป็นอภิมหาอำนาจเดี่ยวโดยปราศจากคู่แข่ง เพราะอีกขั้วหนึ่งสหภาพโซเวียตก็ได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งมหาอำนาจในค่ายคอมมิวนิสต์ ทั้งยังเป็นแกนนำในการเผยแพร่อุดมการณ์การเมืองแบบสังคมนิยมออกไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วโลก เมื่อโลกถูกแบ่งแยกออกเป็นสองค่าย กล่าวคือ สหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำค่ายประชาธิปไตย ส่วนสหภาพโซเวียตเป็นผู้นำค่ายคอมมิวนิสต์ ขณะเดียวกันต่างฝ่ายต่างพยายามนำเสนอระบบการเมืองที่ตนยึดมั่น เพื่อให้ประเทศอื่น ๆ รับไปใช้เป็นแม่แบบการปกครอง เงื่อนไขนี้เองจึงก่อให้เกิดการแข่งขัน ขัดแย้งทางอุดมการณ์การเมืองการปกครอง และค่อย ๆ ลุกลาม รุนแรงจนกลายเป็นสภาวะของสงครามเย็นอย่างมีนัยสำคัญ 3. สงครามเย็น ( ค.ศ. 1947 - 1990 ) อาจกล่าวได้ว่า สงครามเย็นเป็นสงครามที่ก่อตัวขึ้นจากปมปัญหาความขัดแย้งทางอุดมการณ์การเมืองการปกครองระหว่างสหรัฐอเมริกาที่ยึดถือการปกครองแบบประชาธิปไตย กับสหภาพโซเวียตที่ยึดถือการปกครองแบบสังคมนิยม สาเหตุที่สงครามครั้งนี้ถูกขนานนามว่าเป็น “สงครามเย็น” เนื่องจากมหาอำนาจทั้งสองมิได้ใช้กำลังเข้าทำสงครามกันโดยตรงหากแต่ใช้วิธิการอื่น ๆ เพื่อเป็นนัยของการแสดงอำนาจเหนืออีกฝ่ายหนึ่ง เช่น การแผ่แพร่โฆษณาชวนเชื่ออุดมการณ์ทางการเมืองของตนเพื่อให้เกิดประเทศบริวาร การแข่นขันพัฒนากำลังทหารและอาวุธ การให้ความช่วยเหลือทางด้านเศรษฐกิจแก่ประเทศที่สาม รวมถึงการใช้นโยบายทางการทูต เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ภายใต้การแสดงอำนาจข่มขวัญซึ่งกันและกันนี้ ก็ถูกสอดแทรกด้วย “สงครามร้อน” ซึ่งดำเนินไปในลักษณะของสงครามตัวแทน (Proxy warfare) โดยมหาอำนาจทั้งสองจะสนับสนุนกำลังทหารและอาวุธ ในกรณีที่เกิดการรบระหว่างฝ่ายนิยมประชาธิปไตยกับฝ่ายนิยมคอมมิวนิสต์ในประเทศที่สาม จุดเริ่มต้นของสงครามเย็นก่อตัวขึ้นเมื่อสหภาพโซเวียตขยายอิทธิพลลัทธิคอมมิวนิสต์เข้าไปยังเขตยุโรปตะวันออก ประเทศโปแลนด์ ฮังการี ยูโกสลาเวีย แอลเบเนีย บัลแกเรีย โรมาเนียและเซคโกสโลวะเกีย ตกเป็นประเทศบริวาร ขณะเดียวกันสหภาพโซเวียตยังต้องการคุมช่องแคบอสฟอรัสและช่องแคบดาร์ดะแนลล์ ซึ่งเป็นเส้นทางการเดินเรือระหว่างทะเลดำกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ดังนั้นสหภาพโซเวียตจึงส่งกองทัพเข้ารุกรานตุรกีและกรีซซึ่งเป็นรัฐในอารักขาของอังกฤษ อังกฤษไม่สามารถต้านทานอิทธิพลของสหภาพโซเวียตได้ จึงขอความช่วยเหลือไปยังสหรัฐอเมริกา ประธานาธิบดีทรูแมน (Harry S. Truman) ได้ออกประกาศหลักการทรูแมน (Truman Doctrine) ซึ่งมีสาระสำคัญว่าสหรัฐอเมริกาจะให้การสนับสนุนแก่ประเทศเสรีทั้งหลายให้พ้นจากการคุกคามของลัทธิคอมมิวนิตส์ โดยจะให้ความช่วยเหลือทั้งทางการเงินและการทหาร สหภาพโซเวียตไม่พอใจและต่อโต้ด้วยการเรียกร้องให้ประเทศคอมมิวนิสต์ทั่วโลกร่วมมือกันต่อต้านการขยายอิทธิพลของจักรวรรดิอเมริกาและพันธมิตร สงครามเย็นและสงครามร้อนจึงเริ่มแพร่ขยายออกไปยังพื้นที่ต่าง ๆ เมื่อพิจารณาในส่วนของสงครามเย็นที่มีลักษณะของการแสดงอำนาจข่มขวัญฝ่ายตรงข้าม ส่วนใหญ่ปรากฏขึ้นในยุโรปตะวันออก กล่าวคือ หลังจากสหรัฐอเมริกาประกาศหลักการทรูแมน ในปี ค.ศ. 1947 อเมริกายังได้ประการใช้แผนการมาร์แชล (Marshal Plan) โดยมีใจความสำคัญ คือ สหรัฐอเมริกาจะให้ความช่วยเหลือทางด้านเศรษฐกิจแก่ทุกประเทศ ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นความพยายามที่จะแสดงอำนาจทางเศรษฐกิจเหนือสหภาพโซเวียต รวมถึงเป็นการโน้มน้าวให้ประเทศต่าง ๆ ที่กำลังเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจจากผลของสงครามโลกครั้งที่สองให้หันมานิยมสหรัฐอเมริกา สหภาพโซเวียตจึงได้ตอบโต้ด้วยการจัดตั้งองค์การโคมินฟอร์ม (Cominform) เพื่อกระชับความร่วมมือระหว่างประเทศคอมมิวนิสต์ในยุโรปตะวันออก และประกาศใช้แผนการโมโลตอฟ (Molotov Plan)เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศคอมมิวนิสต์ในปีเดียวกัน นอกจากนี้สหภาพโซเวียตยังได้ก่อวิกฤตการณ์ปิดล้อมกรุงเบอร์ลินในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1948 เพื่อตัดเส้นทางคมนาคมในเขตยึดครองของโลกเสรีประชาธิปไตย การกระทำดังกล่าวทำให้สหรัฐอเมริกาหวั่นเกรงการขยายอิทธิพลของคอมมิวนิสต์ในเขตยุโรปมากขึ้น จึงได้จัดตั้งองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (NATO) ในปี ค.ศ. 1949 เพื่อให้ความร่วมมือทางการทหารแก่สมาชิกในค่ายประชาธิปไตย สหภาพโซเวียตจึงตอบโต้ด้วยการจัดตั้งองค์การสนธิสัญญาวอร์ซอ (Warsaw Treaty Organization) ซึ่งเป็นองค์กรทางทหารเช่นเดียวกับ NATO และจัดตั้งองค์การโคมิคอน (Comecon) เพื่อเข้าช่วยเหลือทางเศรษฐกิจตามแผนการโมโลตอฟ วิกฤตของสงครามเย็นในเขตยุโรปตะวันออกยิ่งรุนแรงมากขึ้นเมื่อสหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศสได้สถาปนาเยอรมนีตะวันตกที่เป็นเขตยึดครองของตนเป็นประเทศสาธารณรัฐเยอรมนี เพื่อใช้เป็นเขตต่อต้านคอมมิวนิสต์ สหภาพโซเวียตจึงตอบโต้ด้วยการจัดตั้งเยอรมนีตะวันออกเป็นประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมนี และในปี ค.ศ. 1960 สหภาพโซเวียตได้สร้างกำแพงเบอร์ลินปิดล้อมเยอรมนีตะวันออก เพื่อสกัดกั้นการอพยพของชาวเยอรมนีตะวันออกเข้าสู่เยอรมนีตะวันตก กำแพงเบอร์ลินจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของสงครามเย็นในยุโรป ส่วนสงครามร้อนหรือสงครามตัวแทนนั้น ปรากฏอย่างเด่นชัดโดยเฉพาะในเขตเอเชีย อันได้แก่จีนเกาหลี และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ เวียดนาม สงครามตัวแทนในจีน เริ่มต้นขึ้นหลังจาก ดร. ซุน ยัด เซน ทำการปฏิวัติล้มล้างการปกครองของราชวงศ์แมนจู ในช่วงเวลาดังกล่าวจีนต้องเผชิญปัญหาทางเศรษฐกิจอย่างหนัก ดร. ซุน ยัด เซน จึงรับความช่วยเหลือทางการเงินจากสหภาพโซเวียตและยินยอมให้มีการจัดตั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีนขึ้นโดยมี เหมา เจ๋อ ตุง เป็นผู้นำพรรค ต่อมา เจียง ไค เช็ค ได้ดำรงตำแหน่งผู้นำประชาธิปไตยจีนแทน ดร. ซุน ยัด เซน และเกิดความขัดแย้งกับเหมา เจ๋อ ตุง ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงการปกครองของจีนเข้าสู่สังคมนิยม สงครามตัวแทนจึงปะทุขึ้น โดยสหภาพโซเวียตสนับสนุนเหมา เจ๋อ ตุง ส่วนสหรัฐอเมริกาสนับสนุนเจียง ไค เช็ค ปรากฏว่าเหมา เจ๋อ ตุง ชนะ ประเทศจีนจึงเปลี่ยนระบบการปกครองเป็นคอมมิวนิสต์ภายใต้ชื่อสาธารณรัฐประชาชนจีน (People Republic of Chaina) ในปี ค.ศ. 1949 ส่วนฝ่ายเจียง ไค เช็คต้องอพยพไปตั้งถิ่นฐานยังเกาะไต้หวันและจัดตั้งรัฐบาลจีนคณะชาติปกครองไต้หวันในระบอบประชาธิปไตย สงครามตัวแทนในเกาหลี เกิดขึ้นจากการที่ฝ่ายสัมพันธมิตรแบ่งแยกเกาหลีออกเป็นสองส่วนหลังสงครามโลกครั้งที่สองยุติ โดยเหนือเส้นขนานที่ 38 ให้สหภาพโซเวียตเป็นฝ่ายดูแล ส่วนที่อยู่ใต้เส้นขนานที่ 38 สหรัฐอเมริกาเป็นฝ่ายดูแล สหภาพโซเวียตถือว่าเส้นขนานที่ 38 เป็นเส้นแบ่งทางการเมืองและต้องการให้เป็นคอมมิวนิสต์ แต่สหรัฐอเมริกาต้องการให้ทั้งสองส่วนรวมเป็นประเทศเดียว และมีการเจรจาตกลงกันถึงสองปีแต่ไม่ประสบผลสำเร็จ สหรัฐอเมริกาจึงยื่นข้อเสนอต่อองค์การสหประชาติเพื่อสถาปนาเอกราชของเกาหลี แต่สหภาพโซเวียตไม่ยินยอม สหรัฐอเมริกาจึงสถาปนาส่วนใต้เส้นขนานที่ 38 เป็น สาธารณรัฐเกาหลี (Korea Republic) ปกครองในระบอบประชาธิปไตย ในขณะที่สหภาพโซเวียตก็สถาปนาเขตเหนือเส้นขนานที่ 38 ขึ้นเป็น สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี (Korea People Democratic Republic) ปกครองแบบสังคมนิยม ต่อมาในวันที่ 25 มิถุนายน ค.ศ. 1950 ทหารของเกาหลีเหนือภายใต้การสนับสนุนของสหภาพโซเวียตได้ยกทัพข้ามเส้นขนานที่ 38 เข้ายึดกรุงโซลเมืองหลวงของเกาหลีใต้และมุ่งยึดเกาหลีใต้ทั้งหมด สหประชาชาติได้เรียกประชุมคณะมนตรีความมั่นคงและได้ผ่านมติให้ขับไล่เกาหลีเหนือออกไปจากเกาหลีใต้โดยสหภาพโซเวียตไม่ได้ใช้สิทธิยับยั้ง (VETO) เนื่องจากไม่อยู่ในที่ประชุม กองกำลังของสหประชาชาตินำโดยสหรัฐอเมริกาภายใต้การบังคับบัญชาของพลเอกแมคอาร์เธอร์ (Mac Arthur) จึงยกพลขึ้นบกที่เมืองอินซอนใกล้กรุงโซลรุกตอบโต้เกาหลีเหนือ สงครามดำเนินไปถึง ค.ศ. 1953 ไม่มีฝ่ายใดแพ้ชนะ จึงมีการเจรจาสงบศึกที่เมืองปันมุนจอม เกาหลีจึงยังถูกแบ่งแยกมาจนกระทั่งปัจจุบัน และเป็นเพียงประเทศเดียวในโลกที่ยังถูกแบ่งสองส่วนโดยไม่มีการรวมชาติ สงครามตัวแทนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่โดยเด่นที่สุดคือกรณีของเวียดนาม ซึ่งเริ่มต้นขึ้นเมื่อขบวนการเวียดมินห์ภายใต้การนำของ โฮจิมินห์ โดยมี โว เหงียน เกียบ เป็นผู้บัญชาการรบสามารถเอาชนะกองทัพของฝรั่งเศสที่เมืองเดียนเบียนฟู และขับไล่อิทธิพลของฝรั่งเศสออกจากเวียดนามได้ ต่อมาได้มีการประชุมสันติภาพที่เจนิวา ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ในการตกลงครั้งนั้นได้มีข้อสรุปให้แบ่งเวียดนามออกเป็นสองส่วน โดยเหนือเส้นขนานที่ 17 ให้เป็นเวียดนามเหนือภายใต้ชื่อ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเวียดนาม ปกครองแบบคอมมิวนิสต์ ส่วนใต้เส้นขนานที่ 17 ให้เป็นเวียดนามใต้ใช้ชื่อว่าสาธารณรัฐเวียดนาม ปกครองแบบประชาธิปไตย โดยกำหนดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปเพื่อรวมประเทศภายในหนึ่งปี แต่ไปประสบผลสำเร็จ ขบวนการคอมมิวนิสต์เวียดนามเหนือที่มีสหภาพโซเวียตหนุนหลังได้ยกทัพเพื่อบุกเวียดนามใต้และจะสถาปนาเวียดนามให้เป็นคอมมิวนิสต์ทั้งประเทศ สหรัฐอเมริกาจึงได้เข้าสนับสนุนเวียดนามใต้ โดยจัดตั้งองค์การสนธิสัญญาป้องกันร่วมกันแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (South East Asia Treaty Organization : SEATO ) ประกอบด้วย สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ฟิลิปปินส์ ปากีสถานและไทย เพื่อต้านคอมมิวนิสต์และส่งทหารเข้าช่วยเหลือเวียดนามใต้ สงครามเวียดนามกินระยะเวลายาวนานหลายปีและต้องยุติลงเนื่องจากสหรัฐอเมริกาถูกแรงกดดันจากประชาชนภายในประเทศและนานาชาติให้ถอนทหารออกจากสงครามเวียดนาม และปล่อยให้เวียดนามใต้เผชิญการรุกรานของเวียดนามเหนือตามลำพัง ซึ่งในที่สุดก็พ่ายแพ้ให้กับเวียดนามเหนือ เวียดนามจึงสามารถรวมประเทศเป็นหนึ่งเดียวภายใต้การปกครองแบบสังคมนิยมตั้งแต่ปี ค.ศ. 1975 เป็นต้นมา แม้ว่าสงครามเย็นและสงครามตัวแทนจะกินอาณาบริเวณกว้างขวาง อย่างไรก็ตามในราวทศวรรษ 1955 เป็นต้นมาสถานการณ์ความรุนแรงก็ค่อย ๆ คลี่คลายลง เนื่องจากครุสซอฟได้ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้นำสหภาพโซเวียตแทนสตาลินและใช้นโยบายอยู่ร่วมกันอย่างสันติกับกลุ่มเสรีประชาธิปไตย และเมื่อมิคาอิล กอร์บาชอฟ (Michail Gorbashev) ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีต่อจากครุสซอฟ ได้ประการใช้นโยบาย กราสนอสต์ และ เปเรสทรอยกา (Glasnost & Perestroika) โดยเปิดประเทศเข้าสู่ระบบเสรี ปรับเศรษฐกิจให้เอกชนเข้าไปดำเนินการ ปฏิรูปโครงสร้างการเมืองเปิดโอกาสให้ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพทางการเมืองมากขึ้น ถอนทหารออกจากอัฟกานิสถานและยุโรปตะวันออก ซึ่งนโยบายดังกล่าวสร้างความไม่พอใจแก่กลุ่มผู้นำคอมมิวนิสต์ฝ่ายอนุรักษ์นิยมและพวกหัวรุนแรง กระทั่งเกิดการทำรัฐประหารขับนายกอร์บาชอฟออกจากตำแหน่ง แต่ต่อมาประชาชนและทหารฝ่ายรักประชาธิปไตยภายใต้การนำของนายบอริส เยลต์ซิน (Boris Yelsin) ได้ก่อกระแสเรียกร้องประชาธิปไตยต่อต้านการทำรัฐประหาร ทำให้การทำรัฐประหารล้มเหลวและฝ่ายผู้ก่อการถูกจับกุม แม้นายกอร์บาชอฟจะดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีแต่อิทธิพลก็ลดลงอย่างรวดเร็ว แลตเวีย เอสโตเนีย ลิทัวเนีย ซึ่งเป็นรัฐทางทะเลบอลติกประกาศเอกราชไม่อยู่ภายใต้การปกครองของสหภาพโซเวียต และในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1991 เยลต์ซินร่วมกับผู้นำรัฐยูเครนและรัฐเบลารุสได้ร่วมกันประกาศยุบสหภาพโซเวียต ส่งผลทำให้สหภาพโซเวียตล่มสลายลง ส่วนในยุโรปตะวันออก โดยเฉพาะเยอรมนีก็ได้ประกาศรวมประเทศและทำลายกำแพงเบอร์ลินซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของสงครามเย็น ในปี 1990 หลังจากสงครามเย็นยุติลงด้วยการล่มสลายของสหภาพโซเวียต ก็เกิดผลกระทบหรือความเปลี่ยนแปลงอื่น ๆ ตามมาอีกหลายประการ ได้แก่ 1) สหรัฐอเมริกากลายเป็นอภิมหาอำนาจเดียวของโลก 2) เกิดการจัดระเบียบโลกใหม่ นำโดยสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีสาระสำคัญ คือ เน้นการปกครองแบบประชาธิปไตย การค้าเสรี การเคารพสิทธิมนุษยชน และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม 3) เกิดกระแสชาตินิยมใหม่ ซึ่งเป็นการเรียกร้องการปกครองตนเองของชนกลุ่มน้อยในดินแดนต่าง ๆ และการประกาศเอกราชของประเทศต่าง ๆ เช่น ความขัดแย้งระหว่างเชื้อชาติรัสเซียกับชนกลุ่มน้อยชาวเชคเนียในประเทศรัสเซีย หรือการประกาศเอกราชของติมอร์ตะวันออก เป็นต้น ความปลอดภัยจากสงครามขนาดใหญ่ ทำให้โลกเริ่มพัฒนาเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว ระบบทุนนิยมได้แทรกซึมเข้าสู่วิถีชีวิตแทบทุกส่วนของโลก เกิดการเชื่อมโยงโลกถึงกันอย่างรวดเร็วและไร้ขีดจำกัด สภาวะดังกล่าวนี้อาจเรียกได้อีกนัยหนึ่งว่า เกิดการเปลี่ยนยุคจากยุคของสงครามเข้าสู่ยุคโลกาภิวัตน์ ......... ถ้าให้แต่งเอาข้อมูลแบบตรงจริงๆผมคงตายก่อน...นี้แค่เอามาให้ดูเป็นความรู้รอบตัวเฉยๆครับไม่ถือว่าเอามาอิงแต่อย่างใด(ข้อมุลที่แต่งลงฟิคอยากหักจากความจริงไปบ้างใครที่เก่ง+มีความรู้ทางด้านวิชานี้ขออภัยล่วงหน้า)
Re: [Ficรับสมัคร] -CHILD- Remake เอแต่ถ้าเป็นแบบนี้ ในช่วงนี้ ตัวองค์กรเองก็ยังอยู่ในช่วงฟื้นฟูตัวมิใช่หรือครับ? (ถ้าตามที่เราเข้าใจไม่พลาดไป)
Re: [Ficรับสมัคร] -CHILD- Remake ภาค Memory Of Nobody 2 ค่ายกักกันCHLIDในเยอรมัน... -Run- "เทเรซ่า...เธอต้องกินอะไรบ้างนะ นี้เธอไม่กินอะไรมาสามวันแล้วเดี๋ยวจะไม่สบายเอา" แคลร์เด็กสาวผมยาวดำพูดผ่านลูกกรง ถัดไปคือเทเรซ่าที่นั่งอยู่บนเตียงได้แต่มองถาดอาหารที่มีคนเพิ่งเอามาให้ "หนูไม่หิว" เธอบอกเรียบๆด้วยท่าทางซึมเศร้า...สามวันหลังจากวันนั้นอาการเจ็บปวดของเทเรซ่าหายไปแล้วแต่เธอก็เอาแต่นั่ง ซึมอยู่เงียบๆคนเดียวแคลร์จึงต้องชวนคุยอยู่ตลอด "เทเรซ่า เธอต้องกิน...ไม่งั้นเธอจะไม่มีแรงเอา นี้เธอไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่มาอยู่ที่นี้แล้ว" แคลร์เกาะลูกกรงพูดย้ำโดยข้าง ตัวก็คึอถาดอาหารของตัวเองที่เพิ่งมีคนเอามาให้เหมือนกัน ความจริงแคลร์เองถือเป็นเด็กที่ถูกนำมาทดลองเหมือนกัน...เธอเข้ามาอยู่ ในนี้ได้ตั้งแต่ครึ่งเดือนก่อนที่เทเรซ่าจะเข้ามา เด็กที่เคยอยู่ในห้องเทเรซ่าก่อนหน้านี้ซึ่งมาพร้อมกับแคลร์ได้ตายไปเพราะทนรับอาการ แทรกซ้อนไม่ไหวนั้นเอง "เธอต้องกินนะเทเรซ่า...ถึงไม่หิวเธอก็ต้องกิน" "พี่แคลร์...หนูไม่หิวจริงๆ" เทเรซ่าบอกเสียงเบาๆ "ถ้าเธอไม่กินพี่ก็จะไม่กิน...แต่ถ้าเธอจะกินก็มากินกับพี่ตรงนี้" แคลร์พูดท่างทางจริงจังพร้อมดวงตาสีเงินนั้นมองมาอย่างเฉียบคม และดูเด็ดขาดก่อนที่จะเดินมานั่งตรงลูกกรงและถือถาดอาหารวางข้างตัวเอง เทเรซ่ามองหน้าอีกฝ่ายแล้วนิ่งไปสักพักก่อนที่จะถือถาด ตัวเองแล้วค่อยมาทางแคลร์ช้าๆ ถาดเหล็กแบบหลุมที่มีขนมปังก้อนแข็ง ซุปน้ำที่เหมือนกับน้ำขุ่นๆ และมันฝรั่งบดหยาบๆจำนวนหนึ่ง เทเรซ่ามองมันเรียบๆก่อนที่จะมองมาทางแคลร์อีกครั้ง "กินซะนะแคลร์...จะได้มีแรง" คำพูดสั้นๆพร้อมกับรอยยิ้มอย่างใจดีและอบอุ่น แค่นี้ทำให้น้ำตาของเทเรซ่าไหลรินออกมา แคลร์เองอดีตเคยเป็นเด็กกำพร้าของโบสต์แห่งหนึ่งในเยอรมันก่อนที่จะถูกส่งตัวมาที่นี่... และความที่เธออายุมากที่สุดเธอจึงมีหน้าที่ดูแลเด็กกำพร้าคนอื่นๆที่อายุน้อยกว่า เพราะแบบนี้จึงทำให้เธอดูเป็นผู้ใหญ่และเป็นเด็กมีความ รับผิดชอบมากที่สุดคนหนึ่ง "พี่แคลร์..." เธอสะอื้นไห้แล้วคอยยกมือปาดน้ำตาเรื่อยๆ แคลร์ถอนหายใจเบาๆ "ไม่ร้องนะเทเรซ่า...พี่แบ่งขนมปังให้แล้วรีบกินเถอะ อีกเดี๋ยวก็หมดเวลาทานแล้ว" เด็กสาวผมดำปลอบพร้อมยื่นขนมปังมาวางใส่ ถาดของอีกฝ่าย ทั้งสองเริ่มทานอาหารของตนโดยไม่รู้ว่าถูกจ้องมองจากกล้องวงจรปิดตรงมุมห้อง ............................................................... "สองคนนี้รู้สึกจะสนิทกันเป็นพิเศษนะ...มาจากที่เดียวกันเหรอ ดร.ฮ็อฟแมน?" ชายร่างสูงในชุดทหารถามขึ้นกับชายในชุดกาวน์ สีขาว...ดูจากตราดาวบนไหล่ทำรู้ว่ามียศสูงพอดู "ไม่หรอกครับ พันเอก แอนดิสัน...หมายเลข13 แคลร์ คือเด็กที่เรารับตัวมาจากโบสถ์นอกเมืองเบอร์ลิน จากเด็ก15คนที่เราพามา แคลร์คือเด็กคนเดียวที่รอดชีวิตจากสภาวะช่วงปรับตัวและหายจากสถาพปรับตัวได้เร็วที่สุด...หนำซ้ำเป็นเด็กที่สถาพจิตใจดีที่สุดใน บรรดาเด็กทุกคนในนี้ ส่วนอีกคนนั้นคือเด็กอีกคนที่เพิ่งผ่านช่วงสภาวะปรับตัว...หมายเลข09 เทเรซ่า ที่ทางเราเพิ่งซื้อตัวเธอมาเมื่อ เดือนก่อน" แม๊กซิมิเลี่ยน วอน ฮ็อฟแมน อธิบายยิ้มๆพลางอ่านแฟ้มบันทึกข้อมูล "ดูท่าคุณจะสนใจเด็กสองคนนี้เป็นพิเศษนะ" "ของมันแน่นอนอยู่แล้วล่ะครับ...คุณก็รู้นี้ผมชอบเด็กน่ารักๆ" แม็กซีมิเลี่ยน ยิ้มกว้างพูดติดตลก "แล้วผมก็ชอบเด็กที่ดูมีพรสวรรค์ ด้วย" "หึ...ผมว่าสิ่งที่พวกเรากำลังให้เด็กพวกนี้คือ คำสาป มากกว่า" จากคำพูดนี้ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของแม็กซิมีเลี่ยนจางหายไปแทบ จะทันที "นั้นสินะ..." นักวิทยาศาสตร์หนุ่มพ่นถอนหายใจเบาๆ ก่อนที่จะไล่ตรวจดูแต่ล่ะจอภาพของกล้องวงจรปิดในแต่ล่ะห้องของเด็กแต่ ล่ะคน "รู้สึกว่ามีหลายคนนะที่สภาพร่างกายคงที่แล้ว... จะได้เริ่มแผนการค้นย้ายไปอีกที่ซะที" .............................................. กลางดึกไม่กี่วันต่อมา... "แกร๊งๆๆๆๆๆ!!" เสียงกระบองที่ตีใส่ลูกกรงแต่ล่ะห้องทำให้ทุกคนที่กำลังหลับใหลต้องสะดุ้งตื่น เทเรซ่าและแคลร์เองก็ลุกขึ้นจาก เตียงแทบจะทันทีเหมือนกัน...ก่อนที่ทั้งคู่จะได้พูดอะไรหน้าห้องของแคลร์ก็มีเสียงไขกุญแจก่อนที่เปิดออก "ออกมา" ทหารคนหนึ่งพูดเสียงเรียบหลังจากเปิดประตูเหล็ก เทเรซ่ามองอย่างตกใจแล้วรีบหันมามองแคลร์...แต่แคลร์กลับมอง เธอพร้อมยิ้มแล้วพยักหน้าเป็นการบอกว่าไม่เป็นไรก่อนที่จะเดินออกจากห้องไป "พะ...พี่แคลร์!!" เธอร้องเรียกแต่ตอนนั้นเองที่ประตูห้องของเธอก็เปิดออกเหมือนกัน "ออกมา" ชายฉกรรย์ชุดทหารพูดเสียงเข้ม...เทเรซ่ารู้สึกหวาดผวาแต่ก็ต้องค่อยเดินออกมาจากห้องตัวเองอย่างไม่กล้าขัดขืน ตอนนี้เธอออกมายืนอยู่นอกห้องซึ่งตอนนี้มีเด็กคนอื่นๆอีกหลายสิบคนที่ยืนเรียงแถวกัน...มีทั้งเด็กชายเด็กหญิงอายุแต่ล่ะคนไม่น่าเกิน 10ขวบและไม่ต่ำกว่า5ขวบซึ่งแต่ล่ะคนอยู่ในสภาพอิดโรยและไม่มีชีวิตชีวา "เทเรซ่า" แคลร์เรียกชื่อ แล้วรีบมาจับมือเธอไว้ เทเรซ่าเองเห็นแคลร์ก็ทำให้ความรู้สึกหวาดกลัวลดลงและจับมืออีกฝ่ายแน่น "เดินเรียงแถวตามคนข้างหน้าไปได้แล้ว...อย่าแต่แถวล่ะ" ทหารคนหนึ่งที่อยู่ข้างหลังพูดขึ้น...ชายฉกรรย์ในชุดทหารพร้อมอาวุธ ปืนครบมือจำนวนเกือบสิบคนที่มายืมคุมโดยรอบ แคลร์สังเกตเห็นว่ายังมีเด็กบางส่วนที่ยังอยู่ในห้องขัง...นั้นแสดงว่าไม่ใช่ทุกคนที่ถูก ให้ออกมาจากห้อง "พี่แคลร์..." เทเรซ่าที่เดินตามหลังพูดเสียงเบาและจับมือเธอแน่น "ไม่ต้องกลัวนะ...พี่อยู่ตรงนี้" แคลร์พูดพร้อมกับยิ้มบรรเทาความกังวลของอีกฝ่าย ตอนนี้ทั้งหมดกำลังเดินเรียงแถวไปตามทางที่ ถูกนำไป...จากบรรยากาศห้องขังแต่ล่ะห้องที่มีสภาพไม่ต่างกันมากนักเริ่มเปลี่ยนไปเป็นลานกว้างนอกพื้นที่ซึ่งเป้นครั้งแรกที่เด็กทุกคน เคยเห็น ไม่นานทุกคนก็มาถึงยังสิ่งที่เหมือนกับตู้เหล็กขนาดใหญ่ "เรียงแถวเข้าไป" ทหารเข้าหนึ่งพูดพร้อมโบกปืนของตนไปทางสิ่งที่คล้ายประตูของห้องนั้น "ตึง!!" ประตูเหล็กถูกเลื้อนปิดทันทีที่เด็กคนสุดท้ายเข้าไปในห้อง เด็กแต่ล่ะคนมองรอบด้านอย่างหวาดระแวง "ทำไมถึงพาพวกเรามาในที่แบบนี้ล่ะ?....!!" แคลร์นึกอย่างแปลกใจแล้วเริ่มสังเกตรอบห้อง ภายในนั้นมีไฟแสงสลัวดวงเดียวที่ดู กลางห้อง...ทั้งสี่มุมของห้องนั้นก็ติดตั้งสิ่งที่คล้ายพัดลมขนาดใหญ่ ถัดลงมาคือบางอย่างที่คล้ายท่อยื่นออกมาจากกำแพงแล้วไม่นาน ตาท่าทางของแคลร์ก็เปลี่ยนไปเมื่อจู่ๆก็เหมือนมีควันสีขาวลอยออกมาจากท่อ "แย่ล่ะ!!" เด็กสาวผมดำอุทานแล้วรีบวิ่งมาที่ประตูแล้ว ออกแรงดัน...แต่สิ่งพบคือประตูนั้นถูกล๊อคจากอีกด้านอย่างแน่นหนาจนเปิดไม่ออก "พี่แคลร์?" "เทเรซ่าเอาผ้าปิดจมูกไว้!! อย่าสูดควันเข้าไป!!" กลุ่มควันจำนวนมากที่ออกมาจากท่อเริ่มมีมากขึ้น...เด็กบางคนที่สูดควันเข้าไปล้ม สำลักและล้มลง เทเรซ่าและเด็กคนอื่นๆที่ได้ยินคำเตือนจึงรีบดึงชายเสื้อมาปิดจมูกไว้แต่ก็ยังมีบางคนที่สำลักควันและทรุดลงกับพื้นตามๆ กัน ในขณะเดียวกันที่แคลร์ใช้ไหล่กระแทกประตูแต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะเปิดออก "รีบมาช่วงกันดันประตูเร็ว!!...แค่กๆ" เธอสั่งถึงแม้ว่าจะเอา ผ้ามาปิดปากปิดจมูกไว้หนำซ้ำรู้สึกเหมือนร่างกายอ่อนแรงลงอย่างเห็นได้ชัด เด็กบางคนที่ยังมีแรงก็รีบพากันมาที่ประตูและช่วยกันออก แรงเปิดแต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น... "แค่ก!! หาย..ใจ...ไม่...ออก" เทเรซ่าทรุดเข่าและเริ่มสำลักเพราะควันยิ่งมีมากขึ้นจนจะทำให้ห้องปกคลุมไปด้วยควันแก๊ส เด็กๆอื่นก็ พากับสำลักและล้มลงตามๆกันเหลอไว้แต่แคลร์ที่ยังออกแรงใช้ไลห่ดันประตูแต่ก็ค่อยไหล่ครูดลงมานั่งพิงประตูกับพื้นพร้อมสายตาที่เริ่ม พร่ามัว "...ไม่ไหวแล้ว...มึนหัวไปหมดเลย..." แคลร์คิดก่อนที่จะหลับตาและล้มนอนลงตรงนั้นอย่างเรี่ยวแรง เวลาผ่านไปหลายนาที...ไม่นาน พัดลมทั้งสี่ของห้องนี้ก็ทำงานและเริ่มดูดควันแก๊สพวกนี้ออกไปจากห้อง ประตูเหล็กถูกเปิดออกก่อนที่จะมีกลุ่มคนในหน้ากากกันแก๊ส จำนวนหนึ่งเข้ามาในห้องแห่งนี้พร้อมกระเป๋าหนังจำนวนหนึ่ง "รีบเปลี่ยนปลอกคอแล้วอุ้มเด็กพวกนี้ไปที่เฮลิคอปเตอร์" ชายคนหนึ่งภายใต้หน้ากากป้องกันแก๊สออกคำสั่งแล้วทุกคนก็เริ่มทำนำ อุปกรณ์ของตนออกมาถอดปลอกคออันเดิมและติดตั้งปลอกคอตวรจจับสัญญาณตัวใหม่ ไม่นานเด็กทุกคนก็ถูกนำตัวไปยังเฮริคอปเตอร์ ลำเลียงพลขนาดใหญ่แล้วมันก็บินออกจากค่ายกักกันแห่งนี้ไปสู่อีกที่หนึ่งซึ่งเด็กทุกคนที่ยังสลบไม่ได้สติไม่รู้ว่าจะมีอะไรรอพวกเขาอยู่ ...................................................................... ป่าดงดิบบนเกาะเขตร้อนแห่งหนึ่ง แสงแดดที่ส่องลอดผ่านกิ่งก้านของต้นไม้ใหญ่ส่องกระทบใบหน้าของเด็กน้อยผมทอง...เทเรซ่าค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆก่อนที่จะลุกนั่ง "โอย...มึนหัวจังเลย...ที่นี้...?" เทเรซ่าหันมองรอบด้านอย่างประหลาดใจ พื้นที่เต็มไปด้วยกิ่งไม้ ใบไม้และหญ้าเปียกสด รอบด้านคือ ต้นไม้ที่ขึ้นรกและทึบ...ในตอนนั้นเองที่เด็กคนอื่นๆอีกนับสิบที่เริ่มรู้สึกตัวมายืนที่จุดรวมเดียวกัน แคลร์ก็คือ1ในนั้นและเมื่อเทเรซ่าเห็นเธอ ก็รีบวิ่งเข้าไปหาทันที "ไม่เป็นอะไรใช่มั้ย เทเรซ่า?" แคลร์ตรวจดูเนื้อตัวอีกฝ่ายแล้วถามอย่างเป็นห่วง "ไม่เป็นไรค่ะ...พี่แคลร์ค่ะที่นี้ที่ไหน?" เด็กสาวผมทองถามกลับ แต่สีหน้าของแคลร์ก็ดูสงสัยไม่แพ้กัน "พี่ก็ไม่แน่ใจ..." แคลร์พยายามนึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนที่มองเด็กคนอื่นๆ...เธอจำได้ว่าพวกตัวเธอและเด็กคนอื่นๆถูกเข้าไปห้องแห่ง หนึ่งก่อนที่จะถูกลมแก๊สบางอย่างจนหมดสติไป "พวกเราคงลมยาสลบก่อนที่จะถูกพามาที่นี้" เธอคิด "อรุณสวัสดิ์ตอนเช้าทุกคน" เสียงทักทายอย่างร่าเริงดังออกมาจากปลอกคอของทุกคน แคลร์เองลองก้มมองก็พบว่าที่ส่วนที่เหมือน ลำโพงเล็กอยู่ตรงขอบ...ปลอกคออันใหม่ที่ไม่ใช่แบบเดิมที่เธอสวมก่อนหน้าที่หนาและใหญ่แต่ตอนนี้มันเหมือนเป็นห่วงเล็กๆเหมือนสร้อย คอที่ใส่พอดีคอแต่ก็ไม่สามารถถอดออกได้อยู่ดี มันต้องถูกสับเปลี่ยนตอนที่เธอหลับ "พวกเธอคงแปลกใจสินะว่าที่ไหนกัน?...ที่นี้ก็คือ ป่าในเกาะกลางทะเลบนมหาสมุทรแปซิกฟิคอันไร้ชื่อและไม่ได้ระบุไว้ในแผนที่โลก และที่นี้ก็คือบ้านใหม่ของพวกเธอ" "เฮอะ...บ้านใหม่อะไร? มีแต่ป่าทั้งนั้น" เด็กผู้ชายคนหนึ่งพูดอย่างไม่สบอารมณ์ "อย่าเพิ่งรีบร้อนสิ...แต่ถ้าพวกเธอไปตามทางที่แผนที่บอกพวกเธอก็จะถึงบ้านใหม่ที่จะคอยต้อนรับพวกเธอเอง" เสียงจากลำโพงคอ ดังสวนขึ้นมาอีกทำให้เด็กชายคนเมื่อกี้ถึงกับสะอึก...นอกจากลำโพงแล้วมันยังติดตั้งเคื่องดักฟังภายในอีก "กระเป๋าข้างตัวเธอแต่ล่ะคนมี แผนที่ ขนมปังและน้ำดื่มอยู่ในนั้น...ระยะทางจากที่พวกเธอถึงบ้านใหม่ใช้เวลาเดินแค่ครึ่งวันเท่านั้น ถ้าเธอไม่หลงทางหรือเจออะไรเข้า ซะก่อนนะ" "หมายความว่าไงที่ว่า-เจออะไรเข้าซะก่อน-น่ะ?...เฮ้!!" เด็กชายคนนั้นตะโกนถามแต่ไม่มีเสียงตอบกลับ ตอนนั้นเองก็มีเสียงกังวาน ของบางอย่างดังออกมาจากป่า...นกป่าจำนวนมากพากันบินออกจากต้นไม้อย่างแตกตื่น เหล่าเด็กๆต่างพากันเงียบนิ่ง...บางคนยังคงหวาด ผวา...บางคนมองรอบด้านอย่างตื่นตระหนกซึ่งเทเรซ่าคือหนึ่งในนั้น "พี่แคลร์ค่ะ" เธอเอ่ยเสียงเบา "ไม่เป็นไรหรอกเทเรซ่า...พี่อยู่นี้ทั้งคนไม่ต้องกลัวอะไรหรอก" เธอพูดแล้วลูบหัวอีกฝ่ายก่อนที่จะยิ้มให้ ตอนนั้นเองที่เธอหันไป มองกระเป๋าของตนแล้วเดินมาเปิดกระเป๋าสำรวจสิ่งของภายใน "ขนมปัง2ก้อน น้ำ1ขวด แผนที่กับเข็มทิศ...แค่นี้เองเหรอ?" "นี้...ได้ยินเสียงอะไรตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว?" เด็กคนหนึ่งในกลุ่มพูดขึ้นในขณะที่กำลังดูของในกระเป๋าเหมือนกัน นอกป่าไม้ที่ขยับตามแรง ลม...นกและสัตว์ป่าที่ร้องระงม...และเหมือนมีอีกเสียงหนึ่งที่ดังแทรกใกล้เข้ามาและดังขึ้นเรื่อยๆก่อนที่จะเงียบไปเหลือไว้แต่เพียงเสียง เสียดสีของกิ่งไม้ของป่าเท่านั้น ซึ่งแคลร์เองก็รู้สึกแบบเดียวกัน และในตอนนั้นเอง... "ฝุ่บ!! โอ้ย!!" บางสิ่งพุ่งออกมาจากพุ่มไม้ก่อนที่มันจะไปโดนเด็กคนหนึ่งเข้า...สิ่งที่เหมือนกับลูกดอกธนูยาวเกือบเมตรปักที่ไหล่เด็กคน นั้น "อะไรน่ะ!? เฮ้ย!!" บางคนอุทานอย่างตกใจและจู่ๆตาข่ายที่ลอยออกมาก็คลุมร่างนั้นแล้วดึงเข้าพุ่มไม้อีกทาง แคลร์พยายามให้เทเรซ่า อยู่ใกล้ตัวเองเอาไว้มองรอบด้านอย่างระวัง... "บางอย่างอยู่ในพุ่มไม้...คนเหรอ?" แคลร์คิด "ฉัน...ฉันไม่อยากอยู่ที่นี้" เด็กคนหนึ่งมีท่าทีหวาดกลัวและขวัญผวาพึมพัมคนเดียวก่อนที่วิ่งออกจากตรงนั้น...ตอนนั้นเองที่เธอไปชนกับ อะไรบางอย่างเข้า บางสิ่งคล้ายเสื้อหนังหยาบๆที่มีแต่กลิ่นคล้ายเนื้อเน่า เด็กน้อยค่อยเงยหน้ามองก่อนที่ดวงตาจะเบิกโพลงอย่าง ตกใจ "กรี๊ด!! ผลัก!!" กระบองไม้ที่หวดใส่เด็กคนนั้นจนเสียงกรีดร้องเงียบไป เด็กคนอื่นๆหันมาตามเสียงร้องก้ต้องตกตะลึงกับภาพที่เห็น กลุ่มชายฉกรรย์หลายสิบที่ออกมาจากพุ่มไม้ ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเคราผมเผ้ายุ่งเหยิง เนื้อตัวเปรื้อนดินมอมแมมไม่ต่างจากคนป่า ดวงตาเหม่อลอยที่แดงกล้ำ ฟันชีกเหลืองที่มีน้ำลายไหลย้อยออกมาตลอด "อาหาร...อาหาร...อาหาร..." คนพวกนั้นพึมพัมแบบเดียวกัน...เด็กบางส่วนถึงกับขาสั่นและทรุดลงตรงนั้น ในขณะที่บางคนกับยืน นิ่ง "อาหาร!!" จู่ๆเสียงคำรามก็ดังก้องไปทั่วท่ามกลางเสียงกรีดร้องตกใจของเด็กแต่ล่ะคน "กรี๊ด...ช่วยด้วย!!" ชายคนหนึ่งวิ่งมาคว้าตัวเทเรซ่าเอาไว้ มืออีกข้างของมันกำสิ่งที่เหมือนกระดูกปลายถูกเหลาให้แหลมถูกเงื้อขึ้นหวัง จะแทงลงมาที่เธอ "ย้าก!!" ไม้ท่อนหนึ่งถูกตีใส่หน้าชายคนนั้นจนต้องปล่อยเทเรซ่า ในระหว่างที่เธอกำลังตรงใจก็รู้สึกว่าถูกมือใครจับที่แขนเข้า "เทเรซ่า มาทางนี้เร็ว!!" แคลร์คว้ากระเป๋าก่อนที่จะคว้าข้อมือเด็กน้อยวิ่งไปอีกทาง "มีเรืองหนึ่งที่ไม่ได้บอกไป...เพราะเกาะแห่งนี้เป็นเกาะร้างที่นี่จึงถูกเป็นที่ทิ้งเชลยศึกและเหล่านักโทษอุกฉกรรย์เอาไว้เพราะหลังจาก ช่วงสงครามเรือนจำส่วนใหญ่ถูกทิ้งระเบิดทำให้ไม่มีที่เก็บคนพวกนี้ แน่นอนว่าเกาะนี้อาหารและน้ำสะอาดหายากและเต็มไปด้วยสัตว์ร้าย ต่างๆนานา...คนที่จะมีชีวิตอยู่ที่นี้ได้ต้องอาศัยสัญชาติญาณของตัวเองจนบางทีการใช้สัญชาติญาณของตัวเองบ่อยเกินไปก็ทำให้ลืมความ เป็นมนุษย์ในตัวเอง และไม่นาน..." เสียงที่อธิบายจากลำโพงปลอกคอดังอธิบายท่ามกลางความอลหม่าน เด็กบางส่วนถูกอาวุธกับดัก โจมตีจากกลุ่มคนเถื่อน บางคนหนีกระจัดกระจายไปคนล่ะทิศล่ะทาง "คนเหล่านี้ก็จะเสียสติสัมปชัญญะ ลืมความเป็นมนุษย์และไม่ต่าง อะไรกับเหล่าเดนตายที่ต้องการฆ่าฟันเท่านั้น" ... .................................... ค่ายกักกันที่เยอรมัน "จะดีเหรอที่ส่งกลุ่มทดลองออกไปสิ้นเปลืองแบบนี้...เด็กพวกนี้ไม่เคยเรียนรู้วิธีเรียกอาวุธออกมาได้เองนะ อย่างน้อยๆก็น่าจะให้ฝึก การต่อสู้ซักหน่อย" พักเอก แอนดิสัน กำลังมองเด็กบางคนที่ถูกฆ่าตายภาพบนจอมอนิเตอร์อย่างสงบนิ่ง ตรงข้ามกันคือแม๊กซิมิเลียนที่ เพิ่งกดปิดไมค์แล้วหยิบมวนสูบบุหรี่เรียบๆในท่าทางเดียวกัน "เราต้องการให้เด็กพวกนี้คือสัตว์ป่านะครับไม่ใช่สัตว์เลี้ยง...สัตว์ป่าไม่จำเป็นต้องฝึกสอนพวกมันก็สามารถเอาตัวรอดบนธรรมชาติอัน โหดร้ายด้วยตัวมันเอง พวกมันต่อสู้ตามสัญชาติญาณและอยู่รอดด้วยสัญชาติญาณ...ไม่เหมือนกับสัตว์เลี้ยงที่ไม่ว่าคุณจะฝึกมันเท่าไหร่แต่ ถ้าไร้สัญชาติญาณในตัวเองเมื่อพวกมันเจอเหตการณ์ที่ไม่คาดคิดจะทำให้ไม่มีโอกาสทำอะไรได้เลย...แต่ในทางกลับกันถ้าสัตว์ป่าตัวนั้น อ่อนแอเกินไป..." เขาเว้นช่วงแล้วจ้องมองจอภาพที่กำลังฉายเด็กชายคนหนึ่งกำลังถูกนักโทษอุกฉกรรย์บีบคอก่อนที่นิ่งไป "สัตว์ตัวนั้นก็ ไม่โอกาสรอดชีวิตจากธรรมชาติที่ไม่เคยเห็นใจผู้ใดแบบนี้ได้หรอกครับ" เขาพูดพร้อมกดก้นบุหรี่ที่เพิ่งสูบหมดไปลงบนโต๊ะ "การทดสอบนี้เพื่อทดสอบการใช้สัญชาติญาณการต่อสู้สินะ" นายทหารยศสูงพูดสรุปและหัวเราะในลำคอเบาๆ ...................................................................... "พี่แคลร์...พี่แคลร์..." เทเรซ่าที่วิ่งตามแรงจูงของแคลร์ยังคงร้องไห้อย่างหวาดกลัว แคลร์เองกำท่อนไม้ในมือของตนแน่นและใช้มันตบ ตีพุ่มไม้ที่ขวางทาง...เธอหวังอย่างเดียวว่าถ้าออกไปจากป่านี้ไปได้เร็วมากเท่าไหร่โอกาสรอดก็จะมากขึ้นเท่านั้น "พี่แคลร์...โอ้ย!!" ในจังหวะนั้นที่กำลังวิ่ง เด็กสาวผมทองเกิดสะดุดรากไม้และล้มลง "ลุกขึ้นเทเรซ่า...ลุกขึ้นมา" แคลร์พยายามคว้าแขนเธอและออกแรงดึง "หนูวิ่งไม่ไหวแล้ว..." เด็กน้อยพยายามจะลุกแต่ก็ทรุดลงไปอีก...เท้าเปล่าของหล่อนทลอกและแดงกล้ำเพราะไปเกี่ยวโดนหนาม หรือเปลือกไม้แข็งๆเข้า "เข้ามาหลบในนี้ก่อน" แคลร์สังเกตเห็นพุ่มไม้ทึบแถวนั้นก็รีบพาเด็กน้อยไปหลบพัก เสียงฝีเท้าและเสียงร้องยังคงดังแว่วๆอยู่รอบป่า... เทเรซ่านั่งตัวสั่นโดยมีแคลร์นั่งจะมืออยู่ใกล้ๆ แคลร์มองดูท่อนไม้หมายในมือตัวเองและมองดูอย่างของในกระเป๋าอย่างหมดหวัง "ถ้ามีอะไรดีกว่านี้ล่ะก็..." เธอคิดแล้วแทบอย่างจะปาท่อนไม้ผุในมือให้พ้นๆตา "พี่แคลร์ เราจะทำยังไงต่อไปดี? หนูกลัว" เทเรซ่าสะอื้นเสียงเบาแต่ตอนนั้นเองที่แคลร์ได้ยินเสียงฝีเท้าบางอย่างดังใกล้เข้ามา "ชู่ว์...เงียบ" แคลร์ใช้มือปิดปากอีกฝ่ายและก้มหัวเธอให้ก้มต่ำลง ช่องใต้พุ่มไม้หนาคือจุดเดียวที่ทำให้เด็กน้อยทั้งสองมองเห็นการเคลื่อน ไหวภายนอกได้...เท้าขนาดใหญ่ที่ดูหยาบสกปรกก้าวข้ามผ่านจุดตรงหน้าไป ใจของแคลร์เต้นแรงไม่เป็นจังหวะและในตอนนั้นเองที่เธอรู้สึก บางอย่างในหัวของเธอ...ไม่ใช่อาการปวดหัวแต่คล้ายกับมีอะไรกระซิบบอกอย่างในหัวเธอ "อะไรกันเมื่อกี้?...รู้สึกเหมือนมือมันร้อนๆยังไงก็ ไม่รู้...ตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว" แคลร์พึมพัมเบาๆพร้อมเป่ามือของตน...ใจหนึ่งก็คิดว่าคงเพราะกำท่อนไม้หยาบหวดตีไปมาจนเนื้อทลอกแต่เธอก็ ไม่เห็นแผลบนมือ ฝ่ามือของเธอทั้งสองข้างเป็นสีแดงเหมือนถูกรนไฟ...ความร้อนที่รู้สึกถึงกระดูกแต่ผิวภายนอกกลับมีอุณหภูมิปกติ เด็กสาวปล่อยท่อนไม้ในมือก่อนที่จะยกมือทั้งสองขึ้นมาดูและยิ่งเธอเพ่งสมาธิเพ่งมองก็ยิ่งรู้สึกราวกับสัมผัสอะไรบางอย่างในมือข้างนั้น บางอย่างในสมองสั่งการให้เธอตั้งสมาธิก่อนที่จะยื่นมือออกไปข้างหน้า "พี่แคลร์?" เทเรซ่าหันมาเรียกอย่างสงสัยเพราะแคลร์เงียบไปตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว เด็กสาวผมดำตื่นจากพะวังก่อนที่จะมองหน้าเทเรซ่า สลับมองมือของตน...เมื่อกี้แคลร์สามารถรู้สึดได้ว่ากำลังสัมผัสกับบางสิ่งทั้งๆที่ในมือไม่มีอะไร "เทเรซ่า...เดี๋ยวพี่จะออกไปล่อพวกมัน" "อะไรนะค่ะ?" "เธอเดินตามทิศแล้วดูวงสีแดงบนแผนที่คงไปถึงที่หมายได้ไม่ยาก...พอพวกมันตามพี่มาให้เธอรีบหนีทันที" แคลร์พูดเสร็จก็คว้าเอา ใบไม้ใบใหญ่แถวนั้นมาห่อที่เท้าของเทเรซ่าแล้วฉีกชายเสื้อมาผูกมันเอาไว้เป็นเหมือนรองเท้าสำรอง "แค่นี้คงวิ่งไหวนะ" "ไม่เอานะ...พี่ต้องไปกับหนูสิ" เด็กน้อยกำเสื้อเธอแน่นพลางส่ายหน้า "ไม่ต้องกลัว พวกมันต้องตามพี่มาอีกทางแน่ๆ ไม่มีตามเธอหรอก" "หนูไม่ได้กลัวเรื่อง...หนูกลัวว่าพี่จะเป็นอะไรต่างหาก คนพวกนั้นโหดร้ายจะตาย" เทเรซ่าพูดน้ำตาคลอเบ้า...แคลร์เองเข้าใจก่อนที่จะ กอดอีกฝ่ายไว้แน่น "พี่ไม่เป็นอะไรหรอก...เดี๋ยวพอพี่ล่อพวกนั้นไกลพอแล้วเด้วพี่จะตามไปเอง พี่ก็มีแผนที่กับเข็มทิศอีกชุดเหมือนกัน...ดูสิ" เด็กสาวผมดำ พูดยิ้มเรียบๆสลับหัวผมอีกฝ่าย "พี่สัญญาว่าพี่จะไม่เป็นอะไรหรอก...พี่ต้องอยู่ดูแลปกป้องเธอเอง" "พี่แคลร์.." เทเรซ่าอะไรพูดไม่ออก....แต่ตอนนั้นเองที่แคลร์ปล่อยเธอแล้วออกจากพุ่มไม้ไป "เฮ้!!...พวกนาย!!" เสียงที่แผดก้องเรียกความสนใจแก่คนเถื่อนทั้งสามแล้วพวกมันก็หันมาตามเสียง "ฉันอยู่ทางนี้แน่จริงก็ตามสิ" แคลร์โบกไม้โบกมือแล้ววิ่งไปอีกทางซึ่งก็ได้ผล...กลุ่มคนเถื่อนได้วิ่งไล่ตามแคลร์ไปซึ่งในขณะเดียวกันเทเรซ่าได้ออกมาจากที่ซ่อนก็รีบ วิ่งไปอีกทาง.... ............................................................ "แค่นี้คงไกลพอแล้วล่ะ?" แคลร์พูดเบาๆก่อนที่จะหยุดมองด้านหลัง...กลุ่มชายฉกรรย์ไล่ตามมาทันพอดี "อาหาร!!...อาหาร!!" พวกนั้นพึมพัมคำพูดเดิมๆอยู่ตลอด...ในมือที่มีทั้งลิ่มกระดูกเหลา กระบองไม้ติดหนามแหลมหรือกระทั่งขวานหิน เด็กน้อยมองดูก่อนที่จะหรี่ตาลงแล้วลองตั้งสมาธิอีกครั้ง...บางสิ่งแบบเดิมกำลังกระซิบบอกเธออีกครั้ง ความร้อนที่มือเริ่มแผ่ซ่านขึ้นมาถึง แขน หัวไหล่ไล่ขึ้นมาเรื่อยๆ มือเรียวเล็กรู้สึกถึงบางสิ่งที่สัมผัสโดนในอากาศ...ภาพบางสิ่งในหัวผุดขึ้นมาเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง บางอย่างที่เธอ เคยเห้นในสมุดภาพนิทานที่เธอเคยอ่านเจอเมื่อนานมาแล้วมันกลับมาอีกครั้ง และในเสี่ยววินาทีที่แคลร์กางมือออกไปด้านหน้าอัตโนมัติ พร้อมความรู้สึกที่ร้อยผ่าวจากไหล่พุ่งลงไปรวมกันที่มือข้างนั้น "Active!!" เสียงตะโกนคำพูดที่ไม่เคยได้ยินและไม่รู้ถึงความหมาย ไม่นานก็เหมือนกับมีฝุ่นละอองเรืองแสงจำนวนนับไม่ถ้วนมารวมกัน อยู่ที่มือข้างนั้น...มวลฝุ่นค่อยๆรวมตัวกันจนเห็นเป็นรูปเป็นร่าง เส้นผมดำขลับของแคลร์ลอยขึ้นกลางอากาศแล้วเธอก็หลับตาลงแล้วรูปร่าง ของละอองเรืองแสงมันก็เปล่งแสงสว่างจ้าอีกครั้งก่อนที่จะระเบิดออกกระจาย...ทันทีที่แสงสว่างนั้นหรี่ลง ดาบยักษ์Claymoreที่กว้างกว่าฟุตและยาวประมาณเมตรครึ่งตั้งตระหง่านตรงหน้าซึ่งน่าจะสูงกว่าส่วนสูงของหล่อนด้วยซ้ำ...เด็กน้อยผมดำมองมันเรียบๆก่อนที่จะยื่นมือไปกำที่ด้ามของมัน มือเล็กๆข้างเดียวกำรอบด้ามนั้นและดึงออกจากพื้นที่ปักอย่างง่ายดายเหมือนไร้น้ำหนัก...ราวกับพลังบางอย่างพุ่งพลานอยู่ในร่างกายเตรียมจะระเบิด ทั้งความรู้สึกกระปรี่กระเปร่า สายตาและสมองที่ตื่นตัวตลอดเวลาสามารถรับรู้ได้แม้กระทั่งแมลงที่บินไกลออกไป เธอมองดาบตัวเองตั้งแต่ด้ามจรดปลายแล้วยิ้มที่มุมปากก่อนที่จะเหลือบมามองเหล่าชายทั้งสามตรงหน้า "ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น..." แคลร์พูดเรียบๆก่อนที่จะชี้ดาบยักษ์ของตัวเองมาทางเหล่าชายฉกรรย์ ดวงตาสีเงินเทามองคนเหล่านั้นที่ปราศ จากความหวาดกลัว "ฉันจะไม่ให้พวกแกแตะต้องเทเรซ่าแม้แต่ปลายผมหรอก" ...
Re: [Ficรับสมัคร] -CHILD- Remake มาลงตอนใหม่แล้ววว อืมมม รัศมีความชั่วร้ายแผ่ซ่านไปทั่ว การเอาตัวรอดและการทดลอง สิ่งนี้ทำให้แคลร์กลายเป็นเด็กกร้านโลกในที่สุดสินะครับ ยิ่งอ่าน ยิ่งเห็นถึงต้นตอขององค์กร innocent นะครับ (น่าจะเป็นองค์กรระดับโลกจริงๆ)
Re: [Ficรับสมัคร] -CHILD- Remake ตอนใหม่มาแล้วววว เเคลร์เป็นห่วงเทเรซ่ามากเลยนะเนี่ยT^T อยากอ่านตอนต่อไปจังเเคลร์จะจัดการยังไงกับพวกบ้านั้นนะ * * (เลือดสาดแน่เลย~~!!!) innocent ร้ายดีจัง
Re: [Ficรับสมัคร] -CHILD- Remake ภาค Memory Of Nobody 3 -Fight Back- ป่าเขตร้อนบนเกาะร้างที่ไม่ได้ถูกบันทึกไว้ในแผนที่ สภาพอากาศที่ร้อนชื้นแม้ว่าเพิ่งจะมีฝนตกเมื่อตอนเช้ามืด...เสียงย้ำโคลนสลับกับเสียงพุ่มไม้ที่เสียดสีกระทบกันอย่างผิดธรรมชาติทำให้รู้ว่ามีใครกำลังทำอะไรในป่าที่ไม่น่าจะมีใครเข้ามาตอนนี้ "ฉัวะ!! อ้าก!!" คมดาบขนาดใหญ่ที่เพิ่งฟันผ่านร่างชายร่างผอมทำให้เลือดพุ่งทะลักเมื่อท่อน้ำแตกก่อนล้มลงดิ้นทุรนทุรายกับพื้นก่อนที่จะนิ่งไป...เจ้าของดาบยักษ์แม้จะหอบแต่สายตายังคงสงบนิ่งและไม่แสดงท่าทีตกใจมากนัก ดาบขนาดใหญ่ค่อยๆถูกยกขึ้นมาในท่าตั้งรับด้วยแขนเล็กๆที่มีเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมาเป็นเส้นดูน่ากลัว "นี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันฟันคน" เธอเหลือบมองร่างที่นอนจมกองเลือดนั้นสลับมองมือของที่ตัวเองที่เปื้อนเลือดเรียบๆโดยไม่รู้สึกสะทกสะท้านเท่าไหร่ ...อดีตของเธอที่มีชีวิตไม่ต่างจากขอทานแม้ว่าจะอาศัยและเติบโตในโบสถ์ที่ทรุดโทรมหลังสงครามเท่านั้น "อ้าก!!" ชายฉกรรย์อีกคนที่วิ่งเข้ามาก็โดนคมดาบของแคลร์ฟันกระเด็นไปอีกคน ดาบยักษ์ที่ฟันใส่สีข้างของนักโทษเชลยสงครามสร้างบาดแผลฉกรรย์ทำให้เลือดออกจำนวนมาก แคลร์ชักClaymoreของตนกลับก่อนที่ตวัดฟันคอจนขาดกระเด็นพาให้เลือดจำนวนหนึ่งพุ่งใส่ใบหน้าสีขาวของเธอ พื้นโคลนหลังฝนตกที่เปียกแฉะตอนนี้นอกจากสีน้ำตาลของดินมันยังย่อมสีแดงของเลือดอีกจำนวนมาก...ลำต้นและใบไม้ของพุ่มไม้รอบด้านต่างถูกย่อมจากเลือดสีแดงเหมือนๆกัน แคลร์มองดูรอบๆและแน่ใจแล้วว่าไม่มีพวกมันอีก "หมดแล้วสินะ..." แคลร์ถอนหายใจพร้อมปักดาบนั้นเพื่อใช้ยันตัว เด็กน้อยหอบเบาๆแล้วพยายามมองรอบด้าน...เธอยังคงจำทางวิ่งมาได้และหวังว่าเทเรซ่าจะไม่เป็นอะไร ตอนนี้เธอได้แต่คิดว่าต้องรีบกลับไปหาเทเรซ่าให้เร็วที่สุด ........................................................... ทางด้านเทเรซ่า...หลังจากเด็กน้อยวิ่งแยกออกมาจากแคลร์ตอนนี้มาหลบยังพุ่มไม้อีกที่แต่ไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัวเพราะยังมีพวกนักโทษคลุ้มคลั่งจำนวนมากที่อยู่แถวนี้ ตอนนี้เธอทำได้แต่นั่งเงียบๆและมองลอดผ่านรูของพุ่มนั้นเท่านั้น "พี่แคลร์...พี่อยู่ไหนน่ะ...ช่วยหนูที" เธอคิดอย่างหวาดกลัวและกำชายเสื้อแน่น ในตอนนั้นที่รู้สึกมีคนมาที่พุ่มไม้แถวนั้นจนเด็กน้อยต้องรีบมุดไปอีกทาง เสียงหายใจหอบแหบทำให้เธอรู้ได้ว่าเป็นใคร "ฝุ่บ!!" จู่ๆพุ่มไม้เหนือศีรษะของหล่อนก็ถูกแหวกออก "กรี๊ด!!" เสียงกรี๊ดร้องที่ดังก้องป่าพร้อมๆกับไม้พันหินแหลมกำลังจะหวดลงทางศีรษะของเธอ ในตอนนั้นเองที่มีสายลมนั้นที่พัดกระโชกมา "ฉัวะ!!" แขนของมันทั้งสองขาดที่ขาดกระเด็นไปอีกทางและก่อนที่จะส่งเสียงร้องเจ็บปวดก่อนที่ศีรษะของมันจะลอยหลุดจากบ่าเหมือนกัน เทเรซ่าที่ยังกุ่มหัวหลับตาเพราะความกลัวไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่เธอมารู้ตัวอีกทีก็เมื่อรู้สึกว่ามีใครมาโอบไหล่เธอไว้ "ไม่เป็นอะไรใช่มั้ย เทเรซ่า?" เสียงที่คุ้นหูทำให้เด็กน้อยลืมตามองเจ้าของเสียงทันที "พี่แคลร์" เธอส่งเสียงร้องดีใจแต่ก่อนที่จะพูดอะไรแคลร์รีบพาเธอเขามาหลบในพุ่งไม้ใกล้ๆ "หลบอยู่ตรงนี้แล้วปิดตาไว้นะ...ห้ามเปิดตาจนกว่าพี่จะบอก" "ทำไมล่ะค่ะ?" "เชื่อพี่สิ" แคลร์พูดพร้อมยิ้มจางๆแล้วลูบหัวหล่อนเบาๆ แม้เทเรซ่าจะไม่เข้าใจมากนักแต่ก็ทำตามอย่างว่าง่ายซึ่งตอนนั้นเองที่เธอไม่รู้ว่าเส้นเลือดบนแขนของแคลร์กำลังปูดโปนไล่มาถึงหัวไหล่และลามมาถึงต้นคอแล้ว ดวงตาสีเงินนั้นจ้องมองออกนอกพุ่มไม้นั้นและมองกลุ่มนักโทษเสียสติจำนวนหนึ่งที่อยู่แถวนั้น "เดี๋ยวพี่กลับมานะ...อย่าลืมตาล่ะ" สิ้นคำพูดเธอก็พุ่งทยานออกจากพุ่มไม้นั้นทันทีดาบยักษ์ที่เงื้อสูงมันก็ฟันดิ่งลงกลางหน้าผาก1ในจำนวนนั้น ร่างที่ถูกผ่าออกเป็นสองเสี่ยงอย่างง่ายดายเหมือนผ่าแตงโมพร้อมของเหลวสีแดงที่สาดกระเซ็น พวกมันคนอื่นต่างส่งเสียงร้องเหมือนสัตว์ป่าที่แตกตกใจและรีบหวดปาอาวุธในมือมาทางแคลร์ เด็กน้อยตวัดดาบออกรอบตัวปัดสิ่งที่ลอยมากระเด็นไปคนล่ะทางแล้วตวัดฟันสะพายแหลงใส่พวกมันอีกคน ดาบขนาดใหญ่ที่ตัดทุกอย่างให้ขาดสะบั้นได้ในทีเดียวและในขนาดนั้นก้มีรอยยิ้มบนใบหน้าของแคลร์ราวกับรู้สึกสนุกกับการฆ่าฟันนี้ ทุกครั้งที่คมดาบตัดผ่านร่าง ทุกครั้งที่กลิ่นเลือดโชยมาแตะจมูก ทุกครั้งที่เหล่าโลหิตสาดกระทบใบหน้ามันทำให้เลือดในร่างกายของเธอสูบฉีด หัวใจที่เต้นแรงและสารอะดินนารีนทำให้เธอรู้สึกอยากจะหัวเราะอย่างมีความสุขในเหตการณ์ตอนนี้ จนในที่สุดก็ไม่มีนักโทษชายในบริเวณนั้นอีก "ฮิฮิ...หมดแล้วเหรอ?...ฉันยังไม่พอใจเลย" แคลร์ที่ตอนนี้ยิ้มกว้างตามองฟ้าในขณะที่บนใบหน้าและตามร่างกายของเธอเต็มไปด้วยคราบเลือด เส้นเลือดที่ปูดโปนนั้นมันกำลังค่อยๆปูดลามขึ้นมาถึงแก้ม "มาอีกสิ...ฉัน...ฉันอยากจะฟันอีก" เธอพูดพร้อมแสยะยิ้มพร้อมกำดาบในมือแน่น แต่ตอนนั้นเอง... "พี่แคลร์...หนูลืมตาได้ยัง?" เทเรซ่าตะโกนถามออกมาจากพุ่มไม้ทำให้ตาของแคลร์เบิกโพล่ง เด็กน้อมผมดำรีบยกมือกุ่มขมับตัวเองสลับหายใจหอบ "นะ...นี้ฉันเป็นอะไรไป!?" เธอถามตัวเองในใจอย่างรู้สึกตกตะลึง ราวกับเมื่อครู่ไม่ใช่ตัวของเธอ...เด็กน้อยผมดำรีบคืนสติในขณะที่เส้นเลือดที่ปูดโปนนั้นยุบลงและค่อยๆไล่หายไป "เทเรซ่า..." แคลร์พูดเบาๆแล้วรีบเช็ดเนื้อตัวของเธอที่คิดว่ามีเลือดติดอยู่ออก โคลนตามพื้นถูกใช้มือหยิบขึ้นมาทาตามเสื้อของตนเพื่อปิดคราบเลือดนั้นก่อนที่จะรีบเดินมาทางเทเรซ่า "พี่แคลร์?" เด็กน้อยผมทองเอ่ยสั้นๆในขณะที่ตัวเองกำลังยกมือปิดตา แคลร์เองใช้มืออีกข้างจูงมืออีกฝ่ายไปอีกทางโดยยังไม่บอกให้ลืมตาจนกระทั่งคิดว่าได้ออกห่างจากจุดเดิมไกลพอสมควรแล้ว "เทเรซ่า ลืมตาได้แล้วจ้ะ" "ฮ้าก!! / โอ้ย!!" ชายเต็มไปด้วยหนวดเคราที่จู่ๆกระโจนออกมาจากพงไม้เหมือนสัตว์ป่าก่อนที่จะพุ่งเข้ามาพร้อมหินปลายแหลมและแทงเข้าหัวไหล่ของแคลร์อย่างแรงจนทำให้ดาบหลุดจากมือเธอ "พี่แคลร์!!" เทเรซ่าร้องเรียกในขณะที่แคลร์ถูกชายคนนั้นกดลงติดกับพื้นจนไม่สามารถขยับตัวได้ ชายที่หน้าตาเต็มตัวหนวดเครารุงรัง...ฟันซีกเหลืองที่กรองกลิ่นหายใจเหม็นคลุ้งราวกับเนื้อเน่าที่กัดกรามแน่น เทเรซ่าที่ตัวสั่นกลัวจนไม่กล้าแม้แต่ขยับตัวหรือแม้แต่จะร้อง...ในใจเธอตะโกนก้องแต่ปากของตนยังสั่นระริก "เทเรซ่า...อึ๊ก!!" แคลร์พยายามจะพูดแต่ถูกมือขนาดใหญ่กำรอบคอ "ยะ..หยุด..." เด็กน้อยผมทองหายใจหอบก่อนที่จะพยายามฝืนขาที่อ่อนแรงของตัวเองให้ลุกขึ้นมา "หยุดนะ!! ปล่อยพี่แคลร์!!...ปล่อยพี่แคลร์เดี่ยวนี้!!" เทเรซ่าพุ่งกระโดดลงเกาะด้านหลังของชายคนนั้นไว้ก่อนที่จะใช้มือเล็กๆของตัวเองทุบ ดึงผมและกัด "อ้าก!! / กรี๊ด!!" ชายฉกรรย์สลัดเทเรซ่าบนหลังก่อนที่จะคว้าคอแล้วเหวี่ยงเธอไปอีกทาง "แก!! ฉับ!!" แคลร์ลุกขึ้นมาคว้าดาบของตนขึ้นมาก่อนที่จะตวัดฟันใส่...ดาบแม้จะฟันลงที่หัวไหล่อีกฝ่ายแต่มันไม่ทำให้แขนข้างนั้นขาดกระเด็น ดาบของเธอหยุดลงเมื่อคมดาบกระทบกับกระดูกในแขนอีกฝ่ายเพราะความเหนื่อยล้าและแผลที่ไหล่บวกกับแรงเหวี่ยงดาบที่น้อยนิดทำให้ความรุนแรงลดลง "บะ...เบาไป ปึ๊ก!! อั๊ค!!" กำปั้นขนาดใหญ่พุ่งเข้าท้องแคลร์อย่างแรง...ดาบClaymoreของเด็กสาวกระจายหายไปทันทีก่อนที่ร่างของหล่อนจะกระเด็นไปอีกทาง ชายคลุ้มคลั้งหอบหายใจดังก่อนที่จะมองที่แผลบนหัวไหล่ของตัวเองเรียบๆสลับมองแคลร์ที่นอนเจ็บท้องอยู่แล้วมันก็เดินมาคว้าก้อนหินขนาดใหญ่ใกล้ๆกันแล้วกำลังจะเดินไปทางเธอ "ยะ..หยุดนะ" เทเรซ่าที่อยู่อีกทางพูดเสียงเบา เธอรู้สึกบอบซ้ำและหมดแรงจนแม้แต่แรงจะลุกก็ไม่มี...เธอได้แต่มองชายคนนั้นเดินเข้าไปใกล้แคลร์มากขึ้นเรื่อยๆพร้อมก้อนหินขนาดใหญ่ในมือ "ถะ..ถ้าฉันแข็งแกร่งกว่านี้ ถ้าฉันมีพลังกว่านี้ล่ะก็..." เทเรซ่าคิดในใจอย่างเจ็บแค้นพร้อมกำมือแน่นแต่ในตอนนั้นเองที่เธอเหลือบไปเห็นใบหน้าของแคลร์ที่ค่อยๆขยับขึ้นมามอง...ริมฝีปากของแคลร์ขยับช้าๆเป็นการบอกแบบไม่มีเสียง "รีบ...หนี...ไป...สิ..." ก่อนที่จะมีรอยยิ้มบนใบหน้าที่หลบซ่อนความเจ็บปวดเอาไว้ ตอนนั้นที่ดวงตาของเทเรซ่าเริ่มพร่ามัวราวกับสติสัมปชัญญะเริ่มขาดหาย...ราวกับที่อะไรบางอย่างตื่นขึ้นในร่างตน "ฉึก!!" ความรู้สึกเหมือนมีบางอย่างอยู่ในลำคอ ชายฉกรรย์ค่อยๆยกมือของตนขึ้นมาจับที่คอก็พบว่ามีเหล็กแหลมเสียบทะลุคอหอยตัวเองจากข้างหลัง "เทเรซ่า" แคลร์ที่นอนอยู่อุทานอย่างไม่เชื่อสายตาเพราะตอนนี้เทเรซ่าที่จู่ๆกระโดดมาเกาะหลังชายฉกรรย์เอาไว้ก่อนที่จะแทงลิ่มแหลมจากด้านหลังคออีกฝ่าย "สวบ!! อ๊าก!!" ดวงตาที่พร่ามัวของเทเรซ่าราวกับเสียสติ มือเล็กดึงลิ่มแหลมออกจากคอจนทำให้มีเลือดจำนวนมากพุ่งกระฉูดออกจากลำคอชายฉกรรย์...เสียงร้องของความเจ็บปวดดังก้องไปทั่วป่าก่อนที่จะเงียบไปอีกครั้งเมื่อลิ่มแหลมแทงของเทเรซ่าเสียบเข้าลำคออีกรอบ "ตาย...ตาย...ตาย!!" เสียงร้องเหมือนคนเสียจริตที่ดังทุกครั้งที่ลิ่มแหลมเสียบเข้าเนื้ออีกฝ่าย เลือดที่ยังพุ่งกระเซ็นเปรอะตามใบหน้าและร่างกายแต่เธอก็ยังไม่หยุดแต่ตอนนั้นเองที่มีมือใครบางคนมาจับแขนเธอไว้ "เทเรซ่าพอได้แล้ว...หยุดเทเรซ่า...พอ...พอได้แล้ว...พอ" แคลร์ที่เพิ่งขยับตัวได้รีบมารั้งเทเรซ่าไว้ เด็กสาวประคองเธอจากข้างหลังและค่อยๆดึงลงมาจากศพนั้น มือที่จับอีกฝ่ายสลับกระซิบข้างหูเบาๆทำให้เทเรซ่าเองที่ยังหายใจหอบดูเหมือนจะสงบลง...ลิ่มแหลมเปื้อนเลือดในมือค่อยๆจางหายไปเป็นละอองแต่เลือดที่เปื้อนมือนั้นยังคงมีอยู่ "ไม่เป็นไรนะเทเรซ่า...ไม่มีอะไรแล้ว" แคลร์รีบพลิกตัวเธอมากอดไว้พร้อมปิดตาของเธอไม่ให้เห็นร่างของนักโทษคนเดิมซึ่งตอนนี้มีแผลเหวอะหวะเต็มใบหน้าและร่างกายดูน่าสยดสยอง "พะ...พี่แคลร์" เทเรซ่าพูดเสียงสั่นเสียขวัญและเริ่มร้องไห้อีกครั้ง "รีบไปจากที่นี้เถอะ" แคลร์เองได้แต่กอดเธอไว้และรีบเดินออกจากตรงนั้นไป ................................. "รู้สึกว่าเริ่มมีบางส่วนที่รู้จักใช้สัญชาติญาณของตัวเองก่อนที่จะไม่มีโอกาสแล้วสินะ" พันเอกแอนเดอสันพูดเรียบๆ พร้อมดูกราฟวัดความดันและการเต้นของหัวใจบนหน้าจอขนาดใหญ่...แต่ล่ะกราฟมีชื่อและรหัสของชายด์แต่ล่ะตัวที่ถูกส่งออกไป ในตัวกราฟจากบ่งบอกถึงชีพจร ความดันเลือด การทำงานของสมอง การเต้นของหัวใจ และจังหวะหายใจซึ่งสิ่งเหล่ารู้ได้จากห่วงคอของเด็กแต่ล่ะคน บางกราฟที่วิ่งเป็นเส้นตรงบนชื่อบางคนนั้นหมายถึงเด็กคนนั้นเสียชีวิตไปแล้ว "แต่ดูเหมือนว่าเด็กที่คุณหวังไว้เริ่มจะแย่นะ" พักเอกหนุ่มพูดพร้อมชี้ซิกก้าร์ของตนไปทางชื่อชื่อหนึ่งบนจอ...กราฟของหมายเลข13 แคลร์ ที่จังหวะกายใจนั้นดูมากขึ้นแต่ชีพจรและความดันเลือดตกลงอย่างเห็นได้ชัด.... ...................................... "แฮ่ก...แฮ่ก...แฮ่ก..." เสียงหอบอย่างเหนื่อยอ่อนและเสียงลากดาบขนาดใหญ่ที่ดังตามจังหวะเดิน ปากแผลบนหัวไหล่ของแคลร์ยังคงมีเลือดไหลออกมาตลอดแม้ว่าจะมีผ้ามีพันปิดไว้...แม้เธอจะจูงมือเทเรซ่าพร้อมเดินนำแต่ความจริงตอนนี้เธอรู้สึกเบลอไปหมดแล้ว เทเรซ่าแม้จะเด็กกว่าก็ดูออกว่าเด็กผมดำอาการแปลกไปจนกระทั่งเมื่อแคลร์ใช้ดาบปักพื้นแล้วยืนพิงอย่างเหนื่อยล้า "พี่แคลร์คะ?" เธอถาม " แฮ่ก ไม่เป็นไรหรอกเทเรซ่า" เด็กน้อยผมดำพูดพร้อมยิ้มจางๆ ในตอนนั้นเองที่เหมือนกับเธอได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง "เทเรซ่า...ทิ้งพี่ไว้ตรงนี้แล้วรีบขึ้นไปทางเหนือซะ" หลังจากที่เธอพูดจบสีหน้าของเทเรซ่าเปลี่ยนไปแทบจะทันที สีหน้าเธอดูตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด "ไม่เอา!! หนูไม่ทิ้งพี่เด็ดขาด พี่แคลร์ต้องไปกับหนูสิ" "เทเรซ่าจ้ะ...ใจเย็นๆก่อนแล้วฟังพี่นะ..." แคลร์พูดช้าๆเพื่อให้อีกฝ่ายสงบสติ ซึ่งได้ผล...แม้เทเรซ่ากำลังจะร้องไห้แต่ก็กลับสงบลงตามคำพูดของแคลร์ "ฟังให้ดีๆสิ...ได้ยินมั้ย? เสียงน้ำน่ะ" "เสียงน้ำ?" "ใช่...เสียงน้ำ" "แต่หนูไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย" "พี่รู้...เพราะเสียงมันเบามากๆแต่ถ้าเธอตั้งใจฟังเธอต้องได้ยินแน่ ตอนแรกพี่ก็ไม่เชื่อ...แต่พอพี่ตั้งใจฟังให้ดีๆ...ก็เหมือนกับภาพพวกลำธารมันผุดขึ้นในหัวและรู้ได้เลยว่าลำธารนั้นอยู่ที่ไหน" "แต่ว่า..." "เธอทำได้แน่...พวกเราทุกคนทำได้ พวกเราทุกคนถูกทำให้มีพลังพิเศษบางอย่าง...เธอก็มีเหมือนกัน" แคลร์พูดเบาพร้อมยิ้ม เทเรซ่าแม้จะไม่มั่นใจแต่พอได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกมีกำลังใจขึ้น...เธอปาดน้ำตาก่อนที่จะยืนขึ้นแล้วเริ่มตั้งใจฟัง...เสียงกิ่งไม้ที่เสียดสีกัน เสียงแมลง เสียงนก เสียงสัตว์ป่า เสียงลม และอีกหลายเสียงที่ปะปนรวมกันจนดูน่าสับสนแต่ที่เทเรซ่าคิดตอนนี้คือหาลำธารให้เจอ และแล้วก็เหมือนเสียงบางส่วนถูกทำให้เงียบลง...เสียงนกที่จู่ๆถูกหรี่ลง เสียงป่าที่หายไปและเสียงอื่นๆที่ไม่อยากฟังก็จางหายไป และแล้วก็เหมือนมีเสียงอะไรบางอย่างมากกระซิบข้างหู...มันค่อยๆดังขึ้นเหมือนหมุนปุ่มระดับเสียงวิทยุและภาพเหล่านั้นก็ปรากฎขึ้นในหัว "พี่แคลร์ค่ะหนูรู้แล้วว่าน้ำอยู่ไหน?" เด็กน้อยผมยาวหันมาพูดอย่างดีใจแต่ก็ต้องหยุดไปเพราะหันมาเห็นสีหน้าของแคลร์ ใบหน้าของเธอเริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาวเพราะเสียเลือดมาก "เก่งมากจ้ะ...เก่งมาก..." คำพูดเพียงแค่นั้นก่อนที่แคลร์จะหลับตาลง ดาบClaymoreที่เธอยืนพิงจู่ก็ค่อยๆสลายหายไปเป็นละอองจนทำให้แคลร์ล้มลงไปนอนกับพื้น "พี่แคลร์!!" เทเรซ่ารีบวิ่งมาดูเธอ...แคลร์ยังคงหายใจอยู่แต่เบาบางมาก "ต้องรีบหาน้ำ..." เด็กน้อยคิดก่อนที่จะออกแรงพยุงร่างของแคลร์และรีบเดินไปทางที่ตนได้ยิน ยิ่งเดินเธอก็เหมือนเสียงนั้นยิ่งดังชัดเข้ามาเรื่อยๆ เด็กน้อยออกแรงพยุงอีกฝ่ายพลางใช้มือปัดกิ่งไม้พุ่งไม่ที่บังทางออก "เจอน้ำแล้ว..." เด็กน้อยร้องอย่างดีใจ เธอรีบจัดแจงวางแคลร์ลงแล้วรีบหาใบไม้ขนาดใหญ่ที่มีมากแถวนั้นมาตักน้ำก่อนที่จะนำมาให้อีกฝ่าย "พี่แคลร์...หนูมีน้ำแล้ว" เธอพูดแล้วค่อยๆหยดน้ำจากใบไม้นั้นใส่ปากอีกฝ่ายก่อนที่จะเทที่แผลของเธอเพื่อล้างปากแผล "โดโรธี...ไมเคิล...ลีน่า...ทุกคน...ฉันขอโทษ ซิสเตอร์ค่ะ ฉันขอโทษ...ฉันดูแลทุกคนไม่ได้...ฉันขอโทษ" คำพูดเบาๆที่แคลร์พูดในขณะหลับพร้อมน้ำตาที่อาบแก้ม...เป็นเพราะอาการอ่อนเพลียทำให้ฝันร้าย เสียงละเมอของเธอทำให้เทเรซ่าหันมามองอย่างประหลาดใจ "พี่แคลร์...?" "ขอโทษ...ขอโทษ..." เสียงพึมพัมนี้ยังคงมีต่อเนื่อง...ความทรงจำบางอย่างที่เจ็บปวดยังคงกลับมาหลอกหลอนเธออย่างไม่มีสิ้นสุด ...... จบตอน
Re: [Ficรับสมัคร] -CHILD- Remake เป็นตอนโลลิที่ดูน่ากลัวพิลึก - - ติดตามต่ออยู่นะคับนึกว่าจะไม่อัพซะแล้วสิ 555+ ปล.เอาตอนโลลิๆ ของผมคืนมาน้า T T
Re: [Ficรับสมัคร] -CHILD- Remake ทารุณเป็นที่สุด คนพวกนี้จะทดลองอะไรทำไมสูญเปล่าขนาดนี้กัน เลวร้ายที่สุด แล้วทั้งสองคนจะเป็นอย่างไร คงไม่พ้นฟื้นในห่อพัสดุเตรียมส่งขายเป็นแน่ รอติดตามผลงานชิ้นต่อไปอย่างแน่วแน่
Re: [Ficรับสมัคร] -CHILD- Remake ภาค Memory Of Nobody 4 ตอนพิเศษ แคลร์Feedback 1 "เธอโตที่สุดในกลุ่ม..ต้องฝากให้เธอช่วยดูแลทุกคนด้วยนะ แคลร์" ฉันยังคงจำคำสั่งของซิสเตอร์ได้ดี แล้วก็จะทำตามโดยไม่ให้ขาดตกบกพร่อง ฉันถูกเลี้ยงโดยซิสเตอร์ มากาเร็ต มาตั้งแต่จำความไม่ได้หลังจาก พ่อกับแม่จริงๆของฉันนำฉันมาทิ้งไว้ที่หน้าโบสถ์ หลังจากนั้นก็มีเด็กอีกหลายความที่มีชะตากรรมเดียวกัน... ทุกคนมีทั้งถูกทิ้งและกำพร้า ซิสเตอร์ก็เป็นแค่หญิงชราวัย50ปีใจดีคนหนึ่งที่เป็นแม่ม้ายและสูญเสียสามีและ บุตรไปเพราะสงคราม ท่านจึงมาเป็นแม่ชีในโบสถ์แห่งนี้และดูแลเด็กทุกคนที่ไม่มีที่ไป...แม้ว่าจะมีบางวันที่พวก เราจะกินอาหารไม่อิ่ม แต่สิ่งที่พวกเราทุกคนได้รับคือความอบอุ่นจากท่าน ส่วนตัวฉันที่อายุมากที่สุดในบรรดา เด็กกำพร้าทุกคนจึงต้องมีน่าที่ดูแลเด็กคนอื่นๆเปรียบเสมือนน้องแท้ๆและแบ่งเบาภาระงานในโบสถ์ต่างๆจาก ซิสเตอร์อีก ทำตั้งแต่ทำอาหาร ทำความสะอาดและงานบ้านอื่นๆซิสเตอร์ก็สอนให้ รวมถึงคำสั่งสอนต่างๆที่จำ ขึ้นใจ...จนกระทั่งวันหนึ่งในฤดูหนาวในปีที่12ของฉัน...วันนั้นถือเป็นวันแรกที่ฉันทำผิดกฏ หมู่บ้านชานเมืองเบอร์ลินที่เต็มไปด้วยหิมะ ชาวบ้านส่วนใหญ่เริ่มเข้าบ้านปิดหน้าต่างและประตูเพราะหิมะ ตกหนักเช่นเดียวกับร้านค้าอื่นๆ แต่ในขณะเดียวกันนั้นที่ยังมีเด็กกลุ่มหนึ่งที่หลบอยู่ตามซอกซอย "จะเอาจริงเหรอแคลร์? ซิสเตอร์รู้เข้ามีหวังโดนทำโทษแน่ๆ" เด็กชายอายุประมาณ8-9ขวบในชุดแขนยาว สีน้ำตาลเก่าๆถามอย่างหวาดๆกับเด็กผู้หญิงผมยาวสีดำสวมหมวกไหมพรมเก่า ในจำนวนนั้นยังมีเด็กอีก3คนซึ่ง อายุน้อยกว่าซึ่งทุกคนสวมใส่แต่เสื้อกันหนาวตัวหนาที่เก่าและดูมอมแมม ดวงตาสีเงินของเด็กหญิงจ้องมองขนมปัง บนตะกร้าอย่างแนวแน่ "อย่าเลยพี่แคลร์...ถึงพวกเราจะไม่มีเงินก็จริงแต่การขโมยนี้ผิดกฎนะ" เด็กผู้หญิงที่กอดตุ๊กตาอีกคนหนึ่ง พูดแต่ก็ต้องรีบเงียบไปเมื่อเด็กผู้หญิงผมดำหันมามองอย่างไม่พอใจ "พวกเราไม่มีทางเลือกนะแมรี่...จริงอยู่ที่มันผิดคำสอนของซิสเตอร์แต่เราจะปล่อยให้พวกเด็กคนอื่นๆหิว มากไปกว่านี้ไม่ได้หรอก เธอก็หิว...จริงมั้ย?" เด็กผู้หญิงที่ตัวสูงที่สุดในกลุ่มทำให้รู้ว่าอายุมากกว่าทุกคนพูด ในขณะที่สายตายังไม่ล่ะออกจากตะกร้าขนมปังใบหนึ่งที่วางอยู่บนโต๊ะหน้าร้านขายขนมปัง "พวกเธอไม่ต้อง ออกมานะ...เดี๋ยวพี่จัดการเอง" สิ้นคำพูดเธอก็รีบตรงเข้าไปยังจุดนั้น ชายร่างอ้วนเจ้าของร้านที่ยังคงวุ่นอยู่ใน ร้านโดยไม่ได้สังเกตว่ามีอะไรกำลังขยับตะกร้าขนมปังนอกร้าน "อีกนิดเดียว..." แคลร์พึมพัมเบาๆพร้อมค่อยๆยกตะกร้า แต่ตอนนั้นเอง... "เฮ้ย จะทำอะไรน่ะเจ้าเด็กบ้า!!" ชายเจ้าของร้านหันมาเห็นเข้าก็ร้องตะโกนก่อนที่จะคว้าเอาไม้พายตักขนมปัง วิ่งมาทางนี้ "ตายล่ะ!!" แคลร์อุทานพร้อมคว้าตะกร้าขนมปังก่อนที่จะรีบวิ่งออกจากตรงนั้นโดยมีชายขายขนมปังวิ่งไล่ตาม มาติดๆ "หยุดเดี๋ยวนี้นะเจ้าเด็กขี้ขโมย!!" เสียงตะโกนอย่างเกรียวกราดดังไล่หลังมาเรื่อยๆแต่ท่ามกลางสภาพพื้นดินที่ เต็มไปด้วยหิมะแบบนี้ทำให้ผู้ใหญ่ที่น้ำหนักตัวมากกว่ายากที่จะวิ่งได้ถนัดเพราะเท้าที่ฝั่งลงไปในหิมะ แคลร์ที่วิ่งนำ มาก่อนหักเลี้ยวเข้าตรงมุมถนนหน้าที่เด็กคนอื่นๆรออยู่ "เอานี้!!" แคลร์โยนขนมปังให้แต่ล่ะคนในขณะที่ตัวเองยังถือตะกร้านั้นไว้ "รีบกลับไปที่โบสถ์...เร็วเข้า!!" แล้ว เธอก็รีบวิ่งกลับออกไปทางเดิมเป็นการล่อให้เจ้าของร่างขนมปังไปอีกทางในขณะเด็กคนอื่นก็ได้แต่ทำตามที่บอก ................................................................ "เด็กบ้า...ฉันบอกให้หยุด!!" แคลร์ได้วิ่งหนีชายอ้วนจนจะมาถึงสะพานไม้ข้ามลำธารที่ดูเก่าและทรุดโทรม ชายอ้วนดูท่าจะไม่เลิกลาง่ายๆและไล่จี้เข้ามาใกล้เธอขึ้นเรื่อยๆ "ตามจังเลย!!" เธอสถบอย่างรำคาญก่อนที่จะวิ่งไปทางสะพานไม้นั้น ลำธารด้านล่างยังไม่เป็นน้ำแข็งและ ยังคงมีน้ำไหลอยู่...กระแสน้ำที่ค่อนข้างแรงเพราะน้ำจากหิมะบนภูเขาที่ละลายลงมา ในตอนนั้นเองที่แคลร์กำลังจะถึง สะพาน "จับได้แล้ว...โชคดีนะที่ยังไม่ขึ้นสะพานไป!!" ชายร่างอ้วนที่วิ่งมาทันเอื้อมมือขนาดใหญ่มาคว้าคือเสื้อโค้ตตัว นอกของเธอเข้าแล้วยกเธอขึ้นลอยเหนือพื้น "อย่าดิ้นสิ...เดี๋ยวก็ได้ตกลงไปหรอก!!" "ปล่อยนะปล่อย...ปล่อยสิ!!" แคลร์ออกดิ้นขัดขืนโดยหวังจะให้หลุดจากนิ้วมืออวบอ้วนเหมือนไส้กรอกเยอรมัน แต่มันไม่ง่ายนัก "คงเป็นเด็กกำพร้าจากโบสถ์สินะ...ฉันจะไปบอกให้ซิสเตอร์รู้ซะแล้ว" ชายอ้วนพูดเรียบๆก่อนที่จะถอนหายใจ "เรื่องอะไรจะยอมเล่า!!" แคลร์กัดฟันก่อนที่จะเอื้อมมือมาปลดกระดุมเสื้อนอกของตัวเองก่อนที่จะสลัดตัวออก จากเสื้อคลุมนั้น ตอนนี้ในมือชายอ้วนมีแต่เสื้อของเธอเท่านั้นซึ่งตัวเด็กน้อยวิ่งข้ามสะพานไปแล้ว "ระวัง!! วะ เหวอ!!" ชายอ้วนตะโกนไล่หลังเพราะตอนนี้เมื่อเขาก้าวเข้ามาบนสะพานซึ่งมีความกว้างพอแค่1คน เท่านั้นและเพราะทำมาจากเชือกจึงทำให้สะพานโยกไหวตลอดทำให้ชายอ้วนไม่สามารถตามแคลร์ที่วิ่งไปถึงอีกฝังแล้ว "ฟู่...เกือบไป" แคลร์พูดเบาๆอย่างโล่งอกเมื่อวิ่งเข้ามาในป่าและมั่นใจว่าเจ้าของร้านขนมปังจะไม่ตามมา แต่ปัญหา ตอนนี้ของเธอคือเริ่มรู้สึกหนาวเพราะเสื้อนอกที่เธอสลัดทิ้งไป...ตอนนี้เธอมีเสื้อแขนยาวที่ไม่สามารถกันสู้อากาศหนาวที่มี หิมะรอบด้านได้ เด็กน้อยเป่ามือสลับถูไปมาให้ความอบอุ่นแต่ก็ไม่ช่วยมากนัก...ฟันของเธอเริ่มสั่นกระทบกัน ระยะทางที่ คาดเดาเธอคิดว่าจากตรงนี้ไปถึงโบสถ์ก็ไกลพอสมควรและที่สำคัญเธอต้องเดินอ้อมนอกเมืองซึ่งเป็นป่าไปเนื่องจากไม่ สามารถที่จะเดินในตัวเมืองได้เพราะตอนนี้เจ้าของร้านขนมปังคงดักรออยู่แน่ๆ "แซ่ก!!" เสียงของพุ่มกิ่งไม้แห้งที่ขยับทำให้เธอหันไปตามเสียง แคลร์เองเคยได้ยินซิสเตอร์เตือนอยู่บ่อยๆว่าช่วง หน้าหนาวในฤดูหิมะนี้จะมีสัตว์ป่าบางจำพวกที่ออกหากิน โดยเฉพาะป่าใกล้ตัวเมืองพวกมันมักจะไปมาอยู่บริเวณนี้เพื่อจับ สัตว์เลี้ยงในฟาร์มของชาวบ้านกิน นี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอเข้าป่าแต่เป็นครั้งแรกที่เธอเข้าป่าตอนฤดูหิมะแบบนี้ "ต้องรีบกลับ ก่อนอาทิตย์ตก...ไม่งั้นซิสเตอร์จะรู้แน่ว่าเราไม่อยู่..." แล้วเธอก็รีบย้ำฝ่าหิมะเพื่อกลับที่ของตน ................................................................... อาทิตย์เย็นกำลังจะตกดิน...เป็นภาพเบื้องหลังโบสถ์ศาสนาคริสที่ถูกสร้างหินและไม้ สถาพที่เก่าทรุดโทรมจนบานหน้าต่าง บางจุดต้องใช้ไม้ผุๆมาปะกันลม โบสถ์เก่าๆที่ตั้งอยู่บนเนินแยกออกมาจากหมู่บ้านไม่กี่ร้อยเมตรซึ่งนานๆครั้งจะมีชาวบ้าน มาสวดขอพร ณ ที่แห่งนี้...ไกลออกไปไม่กี่เมตรแคลร์ที่กำลังเดินกอดไหล่ตัวเองโดยหวังอยากจะเข้าไปลมความอุ่นจาก เตาพิงใจจะขาด "พี่แคลร์!!" เสียงเรียกที่ดังมาทำให้แคลร์เงยหน้ามอง เด็กน้อยแมรี่ที่วิ่งมาทางนี้โผกอดเข้าหาเธออย่างดีใจ "หนู คิดว่าพี่โดนจับตัวไปแล้วซะอีก" เธอเริ่มร้องไห้ในขณะเดียวกันที่แคลร์ก็ถอนหายใจเรียบๆ "เด็กบ้า...บอกแล้วไงว่าเดี๋ยวพี่กลับมา" แคลร์พูดพร้อมเรียบยิ้มๆในขณะเดียวกันที่เด็กคนอื่นๆอีกเกือบ10คนที่ออกมา จากตัวโบสถ์และวิ่งมาทางเธอ "พี่แคลร์!!" ทั้งหมดเรียกเกือบพร้อมๆกัน และทุกคนจากที่มีสีหน้ากังวลก็กลายเป็นรอยยิ้มเมื่อเห็นเธอเด็กๆทุกคนมีอายุ ตั้งแต่3 ขวบจนถึง10 ขวบ...แคลร์แม้จะอายุแค่11แต่ก็สูงที่สุดในกลุ่มทำให้เธอเป็นเหมือนพี่ของทุกคน และเธอเองก็ดูแลเอาใจ ใส่ทุกคน "กลับมาช้าจังนะพี่แคลร์" เด็กชายในหมวกไพรพรมคนหนึ่งพูดน้ำเสียงติดตลก "เงียบไปเถอะ ไมเคิล...แล้วขนมปังพวกนั้นล่ะ?" เด็กสาวผมดำถาม "ฉันเก็บเอาไว้ในที่ลับของพวกเราแล้ว" ไมเคิลเด็กชาย อายุ10 ขวบยิ้มกว้างแล้วชูนิ้วโป้ง แล้วแคลร์ก็ยิ้มตอบ "ดีแล้วล่ะ...แค่นั้นก็ทำให้เด็กพวกนี้ได้กินอิ่มได้บ้าง" เธอพูดก่อนจะมองเด็กคนอื่นๆ...ส่วนใหญ่นอกจากเธอและไมเคิล แล้ว นอกนั้นอายุไม่เกิน7ขวบสักคน แมรี่อายุ7ขวบแต่ก็ตัวเล็กพอๆกับเด็กคนอื่นๆเพราะร่างกายที่อ่อนแอและไม่สบายบ่อยๆมัก จะกอดตุ๊กตากระต่ายตัวโทรมเอาไว้ตลอด "แคลร์" เสียงเรียกชื่อเรียบๆแต่ทำให้แคลร์สะดุ้งได้ สายตาของหล่อนค่อยเหลือบมองเจ้าของเสียงก่อนที่จะยิ้มแห้งๆ "ซิสเตอร์..." แคลร์เอ่ยเสียงเบา สายตาเริ่มมองต่ำเพราะไม่กล้าสู้ที่อีกฝ่ายจ้องมองมา "หายไปไหนมาถึงกลับมาป่านนี้?" หญิงชราร่างสูงถามน้ำเสียงราบเรียบเป็นปกติแต่แคลร์รู้ดีว่าหญิงชราอาจจะรู้ว่าเธอไปทำ อะไรมา "คือ...หนูไป..." เธออ้ำอึ้งโดยพยายามหาคำพูดที่คิดว่าดีที่สุด "หนูไปเดินเล่นในเมืองมา..." แคลร์ตอบแต่สายตายังไม่กล้า สบตาอีกฝ่าย "แล้วเสื้อคลุมของเธอล่ะ?...ตอนบ่ายฉันยังเห็นเธอใส่ออกไปอยู่เลย" "คือ...หนูลืมเอาไว้ตอนไปเล่นกับแมรี่กับไมเคิลน่ะค่ะ..ใช่มั้ย?" เธอบอกก่อนที่จะแอบเอาศอกกระทุ้งท้องเด็กชายที่ยืนอยู่ ข้างหลังเบาๆ "อุ๊บ...อะ ใช่ครับ...ตอนนั้นเราไปเล่นซ่อนแอบกันแล้วสงสัยแคลร์คงลืมเอาไว้ที่ไหนแถวนั้น" ไมเคิลบอกพร้อมยิ้มแห้งๆ "งั้นเหรอ?" แม่ชีชราพูดก่อนที่จะมองทุกคนเรียบๆ "เอาล่ะ...งั้นก็รีบเข้าไปข้างในกันได้เถอะใกล้เวลาอาหารกลางวันแล้ว" "ครับ/ค่ะ" "จริงสิแคลร์...มีคนหนึ่งเขาเอาของมาให้เธอ" มากาเร็ตพูดเรียบๆก่อนที่จะเดินเข้าไปในโบสต์พร้อมกับเดินกลับมาออกพร้อม เสื้อโค้ดตัวเก่า...มันเป็นของแคลร์ เมื่อเด็กสาวเห็นก็ทำให้เธอหน้าซีด แล้วสักพักก็มีใครอีกคนเดินออกมาจากด้านหลังของโบสต์ ชายอ้วนเจ้าของร้านขนมปังนั้นเอง "ตายล่ะหว่า" ไมเคิลพึมพัมเบาๆพร้อมกลืนน้ำลาย "จะถามอีกทีนะแคลร์...เสื้อคลุมนี้เธอลืมไว้ในเมืองใช่มั้ย?" แม่ชีชราถามอีกครั้ง แคลร์มองชุดนั้นสลับมองชายอ้วน ตอนนี้ เธอโกหกไปก็เท่านั้นเพราะคิดว่าแม่ชีต้องรู้คำตอบอยู่แล้ว...แต่จะหาคำพูดอะไรที่คิดว่าจะโดนดุน้อยที่สุด "คือ...คือว่า..." "ซิสเตอร์มากาเร็ตคะ อย่าทำโทษพี่แคลร์นะคะ" แมรี่ที่จู่ๆพูดขึ้นมาด้วนน้ำเสียงสั่น...โดยนิสัยแมรี่จะเป็นเด็กขี้อายและค่อน ข้างขี้กลัว นี้เป้นครั้งแรกที่เธอเอ่ยปากพูดโดยไม่ต้องมีคนบอก "เป็นเพราะหนูบอกว่าหิวพี่แคลร์เลยต้องขโมยขนมปังจากร้านคุณลุง ...มันเป็นความผิดของหนู" เด็กน้อยกอดตุ๊กตาแน่น ดวงตาที่เอ้อน้ำตาทำท่าจะร้องไห้เพราะใจหนึ่งก็กลัวทำให้เด็กทุกคนมองมาทาง เธอ "หยุดพูดนะแมรี่...ไม่ใช่ความผิดเธอซะหน่อย ซิสเตอร์คะที่จริงแล้วเป็นความผิดของหนะ..." "เป็นความผิดของผมด้วยครับ...เพราะเป็นคนวางแผนขโมยขนมปังมาเอง" ก่อนที่แคลร์จะเอ่ยจบ ไมเคิลพูดขึ้นสีหน้าราบเรียบ เหมือนเป็นนักโทษที่ยอมสารภาพผิดหน้าตาย แคลร์หันไปทางเขาแล้วจะอ้าปากแต่แล้ว.. "เป็นความผิดพวกเราด้วยฮะ...ถ้าพวกเราไม่บ่นว่าหิวพวกพี่ๆเขาคงไม่ต้องทำแบบนี้" กลุ่มเด็กที่อายุพอพูดรู้เรื่องพูดขึ้นมา "อย่า ทำโทษพี่แคลร์เลนนะคะซิสเตอร์" คำอ้อนวอนจากเด็กเล็กที่ต่างช่วยกันพูดมีอย่าต่อเนื่อง แคลร์ได้แต่มอง...เธออยากจะห้ามทุกคน เพราะความจริงเธอเป็นคนวางแผนทั้งหมดแต่ไม่สามารถจะพูดแทรกเพราะเสียงเด็กคนอื่นๆที่แทรกดังมาอยู่เรื่อยๆ "ทุกคนเงียบ" เสียงที่เปล่งจากลำคอของแม่ชีชราดังขึ้น...แม้จะเสียงราบเรียบปกติแต่ก็ทำให้เสียงทุกเสียงเงียบหายไปแทบจะทัน ที มากาเร็ตหันมามองแคลร์เรียบๆก่อนที่จะหันไปมองไมเคิล "ไมเคิล...เอาขนมปังที่เธอซ่อนมาคือคุณเขาเดี๋ยวนี้" เธอสั่ง..ไมเคิลไม่พูด อะไรแต่ก้ต้องเดินเข้าไปในโบสถ์เงียบๆและไม่ช้าก็เดินกลับออกมาเพราะขนมปังฝรั่งเศลแบบยาวสามแท่งในอ้อมแขน เด็กทุกคนต่างมอง ขนมปังเหล่านั้นตาละห้อยเสียดายลึกๆในขณะที่มันถูกส่งต่อให้กับมือชายอ้วน และตอนนั้นที่แม่ชีมากาเร็ตเดินมาทางชายอ้วนก่อนที่จะ โค้งให้เขา "ฉันต้องขอโทษแทนเด็กพวกนี้ด้วยนะค่ะ...เป็นความผิดของฉันเองที่สั่งสอนพวกเขาไม่ดี..." แม่ชีมากาเร็ตเว้นช่วงก่อนที่จะยกมือ ถอดสร้อยห้อยไม้กางเขนที่ห้อยคอไว้ก่อนก่อนที่จะยื่นมาทางชายอ้วน แคลร์เองเห็นก็ตกใจเพราะตั้งแต่เธอจำความได้หญิงชราก็มีสร้อย กางเขนนี้ห้อยคอตลอดและไม่เคยให้ห่างตัว...มันทำให้แคลร์เข้าใจได้ว่ามันคงเป็นของสำคัญมาก "แต่ซิสเตอร์ค่ะ..." แคลร์พยายามจะพูดแต่ต้องเงียบไปเพราะเห็นสายตาของหญิงชรามองมาเรียบๆ เด็กน้อยกำมือแน่นอย่างรู้สึก ผิด "ไม่เป็นไรครับซิสเตอร์ ผมเองก็ไม่ใช่คนไม่มีเหตุผล...เรื่องขนมปังผมยกให้ก็ได้" ชายอ้วนยื่นขนมปังนั้นคืนให้ไมเคิลที่ยืนอยู่ ใกล้ๆก่อนที่จะเกาท้ายทอยอย่างลำบากใจ "มันจะดีเหรอค่ะ?" แม่ชีเองก็แปลกใจ "ผมแค่อยากมาบอกว่าเด็กคนนี้ขโมยของแล้วอยากให้ท่านช่วยสั่งสอนเฉยๆ ยุคสมัยแบบนี้จะให้เด็กตัวเล็กๆเรียนรู้เรื่องการลักขโมย มันไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก นี้ถ้าไม่ใช่เป็นผมแต่ถ้าเธอไปขโมยของคนอื่นที่เขามีปืนเธออาจจะถูกยิงได้ง่ายๆ" ชายอ้วนอธิบายพร้อมถอนหายใจ อีกรอบก่อนที่จะเผยรอยยิ้มบนแก้มอูมอวบนั้นมาทางแคลร์ "ผมเองก็มีหลานสาวอายุประมาณนี้แหละ...น่าเสียดายที่เธอเสียไปหลายปีก่อน เพราะสงคราม" สายตาของชายอ้วนดูอ่อนโยนลงและเปลี่ยนเป็นเศร้าสร้อย แคลร์มองดูชายอ้วนเรียบๆและรู้สึกเข้าใจบางอย่าง...ตอนที่ตัว เธอนี้จะข้ามสะพานและชายอ้วนห้ามเธอเอาไว้ตลอดไม่ใช่เพราะต้องการจะจับเธอ...แต่กลัวว่าเธอจะตกน้ำไป "ต้องขอโทษอีกทีที่ทำให้คุณเดือดร้อน" มากาเร็ตพูดพร้อมโค้งให้อีกครั้ง ชายอ้วนโค้งกลับก่อนที่จะโบกมือลาเด็กทุกคนและเดินจาก ไป "รอดไปนะแคลร์" ไมเคิลยิ้มกว้างพลางตบไหล่แคลร์เบาๆ เด็กน้อยเองได้แต่ยิ้มเรียบๆพลางแอบชำเลืองแม่ชีอยู่เรื่อยๆเพะรากลัวว่าจะ ถูกลงโทษอะไรหลังจากนี้ "เอาล่ะทุกคน...เอาไปข้างในได้แล้ว ได้เวลาอาหารเย็นแล้วเดี๋ยวจะเย็นหมดนะ" แม่ชีมากาเร็ตตกมือเบาๆในขณะร้องบอก เด็กทุกคน รู้ว่าวันนี้จะได้กินอื่มต่างร้องหัวเราะอย่างดีใจแล้วรีบวิ่งกรูเข้าโบตถ์ เหลือแต่แคลร์ที่ยืนนิ่งรอรับความผิด...เด็กน้อยยืนก้มหน้าตรงหน้า มากาเร็ต ตอนนั้นเองที่แม่ชีชราเดินมาทางนี้และหยุดตรงหน้าเธอ...เงาดำที่ขยายใหญ่ต้องทำให้เธอหลับตาแน่นรอรับว่าจะถูกตี "ตุบ" ความหนักที่อยู่บนไลห่สองข้างทำให้แคลร์ค่อยๆลืมตา เสื้อคลุมตัวเก่าของเธอที่วางคลุมเธอเธออยู่ "อย่าทำหายอีกนะ...ปีนี้อาจจะหนาวกว่าทุกปีเข้าใจมั้ย?" มากาเร็ตพูดเรียบๆก่อนที่จะดินผ่านไป...แคลร์มองตามหลังหญิงชราเรียบๆ เธออยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่พูดไม่ออก...เด็กน้อยยังคงกลัวความผิด "เข้ามาข้างในได้แล้วแคลร์...ข้างนอกเริ่มหนาวแล้วนะ" คำพูด ห่วงใยราวไม่เคยเกิดเรื่องอะไรขึ้นเลยทำให้แคลร์ชะงัก...ดวงตาสองข้างพร่ามัวอย่างไม่ได้ตั้งใจ เธอกัดฟันแน่นและเริ่มสะอื้นอย่างช่วยไม่ได้ "ซิสเตอร์คะ..." เด็กน้อมผมดำเอ่ยเรียกเสียงสั่นเครือ หยดน้ำตาไหลจรดคางก่อนจะหยดลงบนพื้นหิมะสีขาว "หนู...หนูขอโทษค่ะ... หนูขอโทษ...หนูขอโทษ" คำพูดซ้ำๆที่ออกมาจากใจ...เสียงสะอื้นร้องไห้พร้อมน้ำตาที่ไหลอาบแก้มอย่างรู้สึกผิด แม่ชีชรายิ้มเรียบๆก่อน ที่จะเดินมานั่งและสวมกอดเธอแน่น "พระผู้เป็นเจ้าย่อมให้อภัยแก่ผู้ยอมรับผิดเสมอ...ฉันไม่โกรธเธอหรอก" คำพูดที่อ่อนโยนยิ่งทำให้เด็กน้อยรู้สึกโกรธตัวเอง หลังจาก นั้นเธอเริ่มปล่อยเริ่มร้องไห้เสียงดังโดยไม่รู้ตัว...นับจากวันนั้นเธอก็สาบานว่าจะไม่ทำแบบนี้อีก หลังจากวันนั้นชีวิตของเด็กกำพร้าในโบสถ์ ก็ดีขึ้นเล็กน้อย...ทุกตอนเย็นที่ชายอ้วนร้านขนมปังมักจะแวะมาแบ่งขนมปังที่เหลือจากร้าน นานๆครั้งก็เขาก็จะนำหมูป่าตัวใหญ่จากการล่า สัตว์มาแบ่งปั่นตอนอาหารค่ำ จนกระทั่งวันหนึ่งที่มีรถจี๊บสีเขียวคล้ำที่ขับมาจอดหน้าโบสถ์ช่วงบ่ายซึ่งเป็นช่วงเวลาหลังอาหารกลางวันและ เด็กๆกำลังเล่นกันหลังอาหาร ซิสเตอร์ที่กำลังทำความสะอาดครัวและจานชามโดยมีแคลร์และแมรี่ช่วยงานจู่ๆก็ท่าทางก็เปลี่ยนไปหลังจาก มองรถคันนั้น "รถทหารเหรอ?" แคลร์มองผ่านหน้าต่างแล้วพูดเบาๆ และตอนนั้นที่มือของซิสเตอร์มาวางบนไหล่เธอ "แคลร์...พาแมรี่ออกไปเล่นกับเด็กคนอื่นๆได้แล้วล่ะ" "แต่ยังมีจานที่หนูยังไม่ได้เช็ดอีกนะค่ะ" เด็กน้อยผมดำบอก "ไม่เป็นไรหรอก...วันนี้แดดแรงเดี๋ยวตากแดดเอาก็ได้ ไปเล่นเถอะ" แม่ชีเฒ่าพูดพร้อมยิ้มทำให้แคลร์ไม่พูดอะไรต่อ...เธอจัดการ วางผ้าเช็ดจานแล้วจูงมือแมรี่ออกจากห้องครัวไป เธอเดินผ่านห้องโถงของโบสถ์มีรูปสลักเยซูคริสซึ่งมีไว้ทั้งสวดมนต์ สอนหนังสือและรับ ประทานอาหารร่วมกัน ตอนนั้นที่ชายร่างสูงในเสื้อคลุมตัวหนาก้าวเข้ามาในห้องโถงนี้...แคลร์รู้ดีว่ามีคนแปลกหน้ามาที่โบสถ์บ่อยๆและ เธอก็ไม่ค่อยสนใจแต่สำหรับชายคนนี้ทำให้แคลร์ไม่สามารถล่ะสายตาไปได้ เสื้อตัวหนาขนสัตว์สีน้ำตาลที่ตรงหน้าอกมีเหรียญตราทหาร ติด รองเท้าบูทขนาดใหญ่ย้ำบนพื้นไม้เกิดเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดตามจังหวะ แคลร์แม้จะไม่ค่อยใส่สนใจเหล่าคนที่เข้ามาในโบสถ์เท่าไหร่แต่ เหมือนบางสิ่งบอกเธอว่าคนคนนี้อันตรายจนทำให้เหงื่อบนต้นคอไหลออกมาชวนหนาวสันหลังได้ จนกระทั่งชายคนนี้เดินหายเข้าไปในห้อง ครัวตามด้วยเสียงปิดประตูเธอจึงกลับมารู้สึกตัวได้ตามเดิม "เมื่อกี้นี้...อะไรกันน่ะ?" แคลร์พูดเบาๆพร้อมปาดเหงิ่อที่คอออก...ทั้งที่อากาศหนาวแต่เธอกลับเหงื่ออก ไม่ใช่เพราะความร้อนแต่ เหมือนกับความกลัวเสียมากกว่า "ไงแคลร์" เสียงที่ดังมาทำให้แคลร์หันไปตามเสียง "ไมเคิล ฉันกับแมรี่กำลังออกไปพอดี" "เรื่องนั้นเอาไว้ที่หลังดีกว่า...ฉันมีเรื่องอะไรที่น่าทำกว่านั้นเยอะ" เด็กชายพูดจบพร้อมยิ้มกว้างทะเล้น ซึ่งแคลร์เข้าใจดีว่าหมายความ ว่าไง... "สวัสดีครับดร. ไม่สิ...ตอนนี้คงต้องเรียกว่า ซิสเตอร์ มากาเร็ต แม่ชีชราใจบุญ" เสียงของผู้ชายดังออกมาจากห้องครัว แคลร์ แมรี่ และไมเคิลพยายามเขยิบเข้าใกล้ช่องประตูที่สุดโดยหวังจะได้ยินอะไรบ้าง "ตามหาฉันเจอได้ยังไง?" มากาเร็ตถามเรียบๆโดยไม่สนใจคำพูดก่อนหน้า "คุณอย่าลืมสิ...องค์กรณ์ของพวกเราครอบคลุมจะตาย ตราบใดที่ไม่มีการยืนยันว่าพบศพคุณพวกเราก็ไม่มีวันเลิกล้มการตามหาหรอก" ชายร่างสูงพูดน้ำเสียงติดตลกในขณะที่แม่ชีชราไม่ยิ้มด้วย "แต่ก็ไม่อยากเชื่อเลยนะ...ว่า20ปีที่คุณหายไปจะสามารถรวบรวมวัตถุดิบชั้น เยี่ยมมากมายขนาดนี้" "อย่าแตะต้องเด็กพวกนี้!!" แม่ชีเฒ่าโพร่งขึ้นมาทันที ทำเอาแคลร์ แมรี่และไมเคิลสะดุ้ง...ทั้งสามไม่เคยได้ยินเธอเสียงดังขนาดนี้ "มอบเด็กพวกนั้นเราเถอะซิสเตอร์...ลำพังแค่ตัวคุณก็แทบจะไม่พอกินอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?" "ฉันยินดีจะอดตายเพื่อให้เด็กพวกนี้ได้กิน...แต่ฉันจะไม่มีวันส่งเด็กไร้เดียงสาเหล่านี้ให้ตกนรกทั้งเป็นหรอก" น้ำเสียงที่ตะเบ็งดังจากแม่ ชีมากาเร็ตเป็นน้ำเสียงที่แคลร์ไม่เคยได้ยินมาก่อนและท่าทางที่ดูเกรียวกราดแบบที่ไม่เคยเจอ ในขณะเดียวกันที่ชายร่างสูงหัวเราะในลำคอเบาๆ "อย่าพูดจาน่ากลัวแบบนั้นสิครับ สิ่งที่พวกเรากำลังทำอยู่คือวิวัฒนาการทางการทหาร วิวัฒนาการทางอาวุธที่จะทำให้ประเทศนี้อยู่เหนือ ทุกประเทศ...และเด็กพวกนี้แหละคือวัตถุดิบชิ้นเยี่ยมที่จะนำพาความสำเร็จของพวกเรา ทางองค์กรเองก็ยังคงเห้นถึงคุณค่าของคุณอยู่... ผมเชื่อว่าถ้าคุณกลับมาหาพวกเราพร้อมเด็กเหล่านี้ ดีไม่ดีนอกจากคุณจะไม่โดนโทษทัณต์แล้วคุณอาจจะได้ตำแหน่งที่สูงกว่าเดิมก็ได้" "อย่าใช้คำว่า-เรา- อย่าเอาฉันไปรวมกับพวกแก" แม่ชีราบพูดน้ำเสียงราบเรียบแต่ดวงตาเต็มไปด้วยโทษะ "เฮอะ...คุณเองก็ไม่ต่างจากพวกเราหรอก คิดหรือว่าแค่คุณหนีจากองค์กรแล้วมาเป็นแม่ชีเลี้ยงเด็กกำพร้าพวกนี้จะลบกลิ่นเลือดตามตัว ของคุณได้" "เงียบนะ!!" หญิงชราแผดเสียงอีกครั้งพร้อมหน้าที่ซีดเผือด "ไม่ว่ายังไงฉันก็จะไม่ให้เด็กๆกับพวกแก...ออกไป!!...ออกไปซะ!!...ออก ไปเดี๋ยวนี้แล้วอย่ากลับมาที่นี้อีก!!" มือที่แห้งเหี่ยวด้วยอายุไขถูกยกขึ้นชี้ไปที่ประตูอย่างสั่นทม ชายหนุ่มพ่นลมหายใจเรียบๆก่อนที่จะขยับ หมวกและเสื้อโค้ตตัวเองด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์ "แล้วคุณจะต้องเสียใจ" คำพูดสุดท้ายก่อนที่เขาจะหันหลังเดินออกไปจากตรงนั้น แคลร์ และไมเคิลรีบผละจากประตูโดยแคลร์ดึงแมรี่ ออกมาทันก่อนที่จะถูกประตูกระแทกใส่ ชายในเสื้อโค้ตเดินออกมาแล้วออกจาห้องโถงเรียบโดยไม่เห้นเด็กทั้งสามแต่ช่วงวินาทีนั้นเองที่ เหมือนแคลร์มองเห็นรอยยิ้มแปลกๆบนไปหน้านั้น... จบตอน
Re: [Ficรับสมัคร] -CHILD- Remake เหมือนจะเดาตอนต่อไปได้ลางๆ ความดิบเถื่อนแผ่ซ่าน แต่จากสำนวนของชายลึกลับ ฟังดูเหมือนตัวประกอบยังไงชอบกลก็ไม่รู้สิครับ?
Re: [Ficรับสมัคร] -CHILD- Remake (17/04/08) ภาค Memory Of Nobody 5 ตอนพิเศษ แคลร์Feedback 2 ตอนจบ คืนหนึ่งในฤดูหนาวที่ยังคงมีพายุหิมะรุนแรง...ลมหนาวกระโชกที่เย็นเฉียบทำให้คนที่ถูกสายลมสัมผัสผิวรู้สึกเหมือนถูกมีดเฉือนไปถึงกระดูก ไม่มีร้านค้าเปิดมาเกือบอาทิตย์และเด็กๆก็ไม่ได้ออกจากโบสถ์มาตลอดอาทิตย์ ตื่นเช้ามาหลังอาหารเช้าทุกคนได้แต่นั่งเรียนหนังสือในห้องสวดมนต์และพอเลิกเรียนก็แค่เล่นอยู่แต่ภายในนั้นจนถึงเวลาอาหารค่ำ โรเบิร์ต ชายเจ้าของร้านขนมปังเองมาเยี่ยมที่โบสถ์แห่งนี้แค่ครั้งเดียวเองในอาทิตย์นี้เพราะจากนั้นก็มีพายุหิมะลงหนักตลอดทั้งวันทั้งคืน โชคยังดีที่ก่อนหน้านั้นเขามาช่วยซ่อมเตาผิงให้จนทำให้มันส่งความร้อนได้ดีกว่าเดิมทำให้ในโบสถ์รู้สึกอบอุ่นขึ้น ตอนนี้หลังเวลาอาหารเย็นที่มีพายุหิมะพัดตกหนักแบบไม่เห็นเดือนเห็นตะวันจนถ้าไม่มีนาฬิกาคงไม่รู้ว่าตอนนี้ใกล้จะดึกแล้ว "ทุกคน...เตรียมเข้านอนได้แล้ว อย่าลืมป้วนปากซะล่ะ" เสียงซิสเตอร์มากาเร็ตดังก้องห้องโถง "ค่า/ครับ" เด็กน้อยกว่า10คนขานรับพร้อมๆกัน แคลร์ลุกขึ้นจูงมือแมรี่ไปห้องนอนโดยมีไมเคิลเดินตาม...ห้องนอนของเด็กแต่เดิมเป็นห้องเก็บของซึ่งถ้าความสะอาดแล้วสามารถจัดวางเตียงเล็กได้3เตียง เพราะฉะนั้นจึงมีแคลร์ แมรี่ และไมเคิลซึ่งจะนอนห้องเดียวกันแต่อีกไม่นานไมเคิลคงต้องย้ายไปนอนรวมกับเด็กผู้ชายห้องอื่นในอีกไม่กี่ปี ทั้งสามจัดการล้างหน้าที่ซิสเตอร์อุ่นเอาไว้ให้และป้วนปากก่อนจะพาไปที่ห้องนอน ห้องนอนเล็กๆกับเตียงไม้เก่าๆสามเตียงกับฟูกขนเป็ดเก่าๆที่เพิ่งเอาไปผึ่งกับเตาผิงจนตอนนี้มันอุ่นสบายจนน่านอน แมรี่เป็นเปลี่ยนจากเสื้อไหมพรมตัวหนาเป็นชุดนอนตัวยาวก่อนที่จะสวมเสื้อไหมพรมตัวเดิมทับ แคลร์และไมเคิลเองก็ทำเหมือนกัน จากนั้นแมรี่ที่ยังคงจัดแจงใส่ชุดนอนให้ตุ๊กตาหมีของตนโดยมีแคลร์หวีผมให้ ส่วนไมเคิลก็หวีผมของแคลร์ต่อ "ใส่ชุดหนาๆจะได้ไม่หนาวนะ" แมรี่พูดกับตุ๊กตาพลางหัวเราะ แคลร์เองก็ยิ้มให้ ส่วนไมเคิลถอดหายใจในขณะที่ยังหวีผมให้แคลร์อยู่ "ตุ๊กตาจะไปหนาวได้ยังไง? อุ๊ก!!" เด็กชายพูดเบาๆก่อนที่จะถูกศอกจากคนข้างหน้ากระทุ้งใส่ท้อง "ไม่ต้องพูดมากหรอก" แคลร์ตาเขียวใส่แล้วหันไปหวีผมให้แมรี่ต่อ แมรี่มีผมบ๊อบสั้นสีน้ำตาลออกทองที่ดูฟูฟ่องตลอดเวลาทำให้หัวเธอเหมือนลูกบอลมีขนลูกใหญ่ แต่แคลร์มีผมดำที่ยาวตรงถึงกลางหลังทำให้ไมเคิลรู้สึกรำคาญบางครั้งตอนหวีผมให้หล่อน "ทำไมฉันต้องหวีผมให้เธอตลอดเลยเนี้ย?" "ก็นายเป็นผู้ชายไม่ใช่เหรอ?...เป็นสุภาพบุรุษต้องบริการสุภาพสตรีสิ" แล้วเธอก็เอื้อมมาหยิบผมของตนปอยนึงมาดูเรียบๆ "จะว่าไปมันก็น่ารำคาญจริงๆแหละ...พรุ่งไปขอให้ซิสเตอร์มากาเร็ตช่วยตัดดีกว่า" "อย่าตัดนะ!!" จู่ๆเด็กชายก็โพลงขึ้น แคลร์และแมรี่เองก็ตกใจและหันมามอง "...ก็...หน้าตาอย่างเธอขืนตัดผมสั้นน่ะน่าเกลียดจะตาย...ไว้แบบนี้แหละดีแล้ว" ไมเคิลพูดติดขัดพลางหลบหน้าอีกแล้วก่อนที่จะหวีผมต่อทิ่งให้เด็กหญิงทั้งสองมองอย่างงุนงง "อะไรของนาย...เดี๋ยวบอกว่าไว้ยาวเกะกะ พอฉันบอกจะตัดนายก็ห้าม...เอาแต่ใจซะมัด" แคลร์พูดอย่างไม่สบอารมณ์ "ยุ่งน่า!!...เอาเป็นว่าห้ามตัดก็แล้วกัน ถ้าน่าเกลียดจะหาว่าฉันไม่เตือน" ไมเคิลพูดอย่างไม่พอใจทำให้เด็กหญิงสองคนงุนงงแต่ก็ไม่พูดอะไร ตอนนั้นเองที่ทั้งสามรู้สึกได้ว่ามีเสียงของเครื่องยนตร์ดังใกล้เข้ามาที่โบสถ์ ทั้งๆที่พายุหนักขนาดนี้แต่กลับมีเสียงของรถยนตร์ดังแทรกมากับเสียงพายุ แคลร์มองหน้าคนอื่นๆก่อนที่จะวิ่งมามองที่หน้าต่าง...รถลำเลียงทหารจำนวนสามคันจอดอยู่ตรงหน้าโบสถ์ และตอนนั้นที่มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นและใกล้เข้ามาที่ห้องของเธอ "เด็กๆ!!" ประตูห้องถูกเปิดออกอย่างแรง แม่ชีชราที่หายใจแรงการวิ่งและสีหน้าที่กำลังตื่นตกใจทำให้เด็กทั้งสามแปลกใจ "เราต้องรีบไปจากที่นี้!!" "อะไรกันค่ะซิสเตอร์!?" แคลร์ถาม "ไม่มีเวลาอธิบายแล้ว...รีบไปเรียกคนอื่นๆให้ไปรวมกันที่ห้องใต้ดิน เดี๋ยวฉันจะตามไป!!" แล้วหญิงชราก็วิ่งไปอีกทางอย่างรีบร้อน แม้ว่าแคลร์จะไม่ค่อยเข้าใจแต่ก็ต้องทำตามเพราะเห็นท่าทีแบบนั้นของแม่ชีชรา ทั้งเธอและไมเคิลไล่เคาะตามห้องนอนของเด็กคนอื่นๆแล้วพากันไปยังห้องใต้ดิน ตอนนั้นเองที่มีเสียงดังมาจากห้องโถง...ประตูโบสถ์ถูกพังเข้ามาจนแตกหัก เสียงรองเท้าบูทหนังจำนวนหลายคู่ที่ดังกระทบพื้นไม้ของโบสถ์ แคลร์มองลอดผ่านลูกกรงที่ใช้ระบายลมใต้รูปปั้นก็เห็นว่ากลุ่มคนในชุดเสื้อโค้ดหนาหลายคนที่ต่างมีปืนกลสะพายคนล่ะกระบอกเข้ามาในนี้ "ค้นให้ทั่ว..."ชายคนหนึ่งพูดขึ้นเรียบๆซึ่งจากน้ำเสียงแคลร์จำได้ว่าคือชายคนเดียวกันกับเมื่ออาทิตย์ก่อนที่มาที่โบสถ์นี้ "คนพวกนี้มาทำอะไรที่นี่?" แคลร์คิดอย่างสงสัย "แคลร์" เสียงที่ดังมาทำให้เธอหันไป แม่ชีมากาเร็ตที่เพิ่งมาถึงด้วยท่าทางรีบร้อนพร้อมตะเกียงน้ำมันในมือ "ทุกคนมากันครบแล้วใช่มั้ย?" เธอถามสลับหอบ "ค่ะซิสเตอร์..." แคลร์รีบตอบ มากาเร็ตได้ยินแบบนั้นก็ดูเหมือนจะมีท่าทางเบาใจขึ้น "ดี...รีบไปกันเถอะ เราจะต้องอ้อมไปออกข้างล่างโบสถ์นี้" แล้วเธอก็มาอุ้มแมรี่แล้วรีบออกจากตรงนั้นโดยมีแคลร์ ไมเคิล และเด็กคนอื่นๆตามมาซึ่งยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ทั้งหมดไปจนสุดทางของทางใต้ดินนี้ "ทางตัน!?" เด็กคนหนึ่งในกลุ่มอุทาน เพราะรอบด้านนอกจากกำแพงเพดานอิฐหินแล้วก็มีแต่ถังลังและห่อผ้าเก่าๆเท่านั้น "ตรงนี้มีทางลับ" แม่ชีชราบอกเสียงเบาก่อนที่จะวางแม่รี่ลงและตรงไปที่ถังใบหนึ่ง เธอออกแรงดันมันไปอีกทางก็ปรากฏช่องทางขนาดใหญ่กว้างพอที่ให้ผู้ใหญ่คลานผ่านเข้าไปได้ "รีบเข้าไปเร็วเข้า อย่าหยุดเด็ดขาดจนกว่าจะถึงสุดทาง ที่ปลายทางจะมีคนรอให้ความช่วยเหลือเธออยู่" "แล้วซิสเตอร์ล่ะคะ?" แคลร์ถาม "เดี๋ยวฉันจะตามไป...แคลร์ฉันมอบหน้าที่ดูแลเด็กทุกคนกับเธอนะ" หญิงชราพูดด้วยท่าทางรีบก่อนที่จะสวมกอดเด็กน้อย "ขอให้พระผู้เป้นเจ้าคุ้มครอง..." คำพูดทิ้งท้ายก่อนที่จะผละออกมาแล้วรีบเดินออกจากจุดนั้น แคลร์แอบสังเกตุเห็นว่าแม่ชีมากาเร็ตดึงปืนสั้นกระบอกนึงออกมาจากกระเป๋าสะพาย "แคลร์ รีบไปกันเถอะ" ไมเคิลที่คอยต้อนให้เด็กคนอื่นๆมุดลอดอุโมงค์ไปหันมาบอกแคลร์ที่ยังยืนมองแม่ชีชราไล่หลังอยู่ "แคลร์" ไมเคิลเรียกเธออีกรอบแล้วคว้าข้อมือของเธอให้ลงอุโมงค์ไป "ปัง!!" เสียงปืนดังมาจากโบสถ์เรียกความสนใจของแคลร์ "ฉันต้องกลับไปดูซิสเตอร์" แคลร์บอกกับตัวเองแล้วมุดออกจากอุโมงค์โดยไม่ฟังเสียงของไมเคิลที่ตะโกนดังไล่หลัง แคลร์กลับมามองลอดผ่านลูกกรงที่ใช้ระบายลมเดิมแล้วมองสำรวจรอบแล้วก็ต้องตกตะลึงกับภาพที่เห็น แม่ชีมากาเร็็ตที่โดนจับมัดมือไขว้หลังโดยที่หัวไหล่ของเธอมีเลือดออกจำนวนมากกำลังคุกเข่าตรงหน้าชายคนหนึ่งในเสื้อโค้ทหนาที่นั่งไขว่ห้างอยู่อย่างสบายอารมณ์ นายทหารคนหนึ่งยื่นปืนส่งให้ชายที่นั่งอยู่ซึ่งคือปืนของแม่ชีก่อนหน้านี้นั้นเอง "เอาล่ะครับดร.มากาเร็ต...บอกผมมาดีกว่าว่าคุณเอาเด็กไปซ่อนที่ไหน? โทษหนักข้อหาหันหลังให้กับองกรณ์จะได้เบาลง" ชายในเสื้อโค้ทหนาพูกเรียบๆ เขาสวมตากันลมขนาดใหญ่ทำให้แคลร์มองหน้าอีกฝ่ายไม่ถนัด "ถึงคุณจะซ่อนเด็กพวกนั้นไว้ในเมืองก็ไม่มีประโยชหรอกครับ...มีทหารอีกมากที่กระจายอยู่บริเวณแถวนี้และพื้นที่ใกล้เคียง...ไม่นานเด็กพวกนั้นก็จะถูกพบ" "ฮ๊อฟแมน...เจ้าเด็กเมื่อวานซืน...ถึงจะฆ่าฉัน ฉันไม่มีวันขายเด็กพวกนั้นหรอก" แม่ชีชราพูดพลางกัดฟันอดกลั้นความเจ็บปวด ฮ๊อฟแมนยังคงนั่งฟังพลางมองปืนในมือไปมาเฉยๆ "ความจริงในฐานะคนที่เคยร่วมงานกันมาก่อนผมก็ไม่อยากที่จะทำอะไรรุนแรงหรอกนะ เพราะยังไงคุณเองก็คือมันสมองชั้นดีของเรา...สมาธิท่านอื่นคงเสียดายไม่น้อยถ้าคุณเป็นอะไรไป" "นายเองก็กำลังจะมีภรรยาไม่ใช่เหรอ? ในอนาคตนายเองก็คงมีลูกหลาน...ไมคิดบ้างเหรอว่าบาปกรรมมันจะตกไปที่ลูกหลานของเอง" "อย่าเอาบทเทศบทสวดมาสอนผมดีกว่าครับซิสเตอร์...ผมไม่เชื่อในพระเจ้าหรอก...ผมไม่เชื่อในบาปกรรมด้วย ผมเชื่ออย่างเดียวว่าผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดย่อมได้ทุกสิ่ง" สิ้นคำพูดเขาก็ลุกขึ้นมาจากที่นั่งยาวนั้น "เอาล่ะ...ในเมื่อคุณมีข้อมูลอะไรที่เราต้องการอีก...ผมคงไม่จำเป็นต้องเก็บคุณไว้อีกแล้ว มีอะไรจะสั่งเสียมั้ยครับ?" แล้วปากกระบอกปืนก็ชี้มาจากหน้าผากแม่ชีชรา "...ฉันจะไปรอแกในนรก..." "ปัง!!" "อะ!!" แคลร์ที่แอบดูอยู่เกือบจะร้องออกมาด้วยความตกใจแต่ก็ต้องรีบยกมือขึ้นปิดปาก เธอรีบรวบรวมสติแล้ววิ่งไปจากตรงนั้นกลับไปยังอุโมงค์ ......................... "อย่าเข้ามาใกล้นะ!!" กลุ่มไมเคิลที่มุดลอดผ่านอุโมงค์ออกมาก่อนหน้านี้มาเจอกับกลุ่มหทารเข้า...เด็กแต่ล่ะคนวิ่งนี้กระจัดกระจายไปคนล่ะทิศคนล่ะทาง ไมเคิลกำปืนที่อาศัยวิชาล้วงกระเป๋าขโมยมาจากทหารคนหนึ่งกำแน่นชี้มาทางกลุ่มคนในชุดทหาร เด็กชายแม้จะตัวสั่นกลัวแต่ก็ต้องปกป้องคนอื่น...ปืนสั้นที่อยู่ไม่นิ่งเพราะทั้งน้ำหนักและมือที่ยังสั่น ตอนนั้นเองที่ชายคนหนึ่งก้าวออกมาจากกลุ่มคนทั้งหมด "ถะ...ถ้าเข้ามามากกว่านี้ฉันยิงจริงๆนะ" เด็กชายตะโกนเตือน "ยิงเลยสิ" เสียงทุ่มต่ำตอบกลับมาเรียบๆพร้อมก้าวเข้ามาใกล้เรื่อยๆโดยไม่มีท่าทีกลัวปากกระบอกปืนตรงหน้า เด็กน้อยกัดกร้ามแน่นและพยายามเหนี่ยวไกอย่างยากลำบาก...ชายตรงหน้าใกล้เข้ามาเรื่อยๆพร้อมๆกับแรงเฮือกสุดท้ายที่ส่งไปที่ปลายนิ้ว "ย้าก!! แชะ!!" เสียงตะโกนดังลั่นตามด้วยเสียงนกปืนที่ดีดกระทบแต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น...ลูกตะกั่วไม่ได้มีการถูกขับออกมาจากปากกระบอกปืนสร้างความแปลกใจให้ไมเคิลไม่น้อย ตอนนั้นเองที่ทหารคนนั้นมายืนอยู่ตรงหน้าพร้อมกับค่อยๆดึงปืนนั้นออกจากมือไมเคิลไปอย่างง่ายดาย "Walther P38 มีSafetyตรงนี้เพื่อป้องกันการเกิดปืนลั่น...ก่อนอื่นต้องกดไกลงมานิดนึงก่อนแล้วค่อยปลดล๊อค" ชายหนุ่มกดไกปืนครึ่งนึงก่อนที่จะเลื่อนนิ้วโป้งมาเลื่อนสลักด้านข้าง แล้วเขาก็ชี้ปากกระบอกปืนมาทางเด็กชายที่ยังงุนงงอยู่ "...เท่านี้ก็ยิงได้แล้ว" "ปัง!!" ............................. "สุดทางแล้วเหรอ?" แคลร์ที่ออกมาเป็นคนสุดท้ายมองรอบ...ถ้าเธอจำไม่ผิดที่นี้คือตรอกตรอกหนึ่งของหมู่บ้านใกล้โบสถ์ "พะ...พี่แคลร์!!" เสียงหนึ่งเรียกเธอเขาพอเธอหันไปตามเสียงก็ถูกใครบางคนพุ่งมากอดเธอเข้าอย่างแรงพอดี "แมรี่!!...แล้วคนอื่นๆล่ะ!?" "ถูกจับไปหมดแล้ว" เด็กหญิงตัวน้อยพูดเสียงสั่นเครือ แคลร์ก็ตกใจเหมือนกัน "พี่...แล้วซิสเตอร์ล่ะคะ?" จากคำถามนี้ทำให้เธอพูดไม่ออก แล้วก่อนที่แคลร์จะตอบอะไรก็รู้สึกมีคนเดินมาทางนี้พอดี "มาทางนี้เร็ว" แคลร์บอกพลางจูงแมรี่วิ่งไปอีกทาง ตอนนั้นเองที่เธอมาถึงหน้าร้านขายขนมปังพอดี "คุณลุงคะ...เปิดประตูที...ช่วยพวกเราด้วย" แคลร์เคาะประตูไม้พลางตะโกนและกอดแมรี่ที่กำลังหวาดกลัวแน่น "เกิดเรื่องอะไรขึ้น? เอะอะอะไรกัน?" ที่ลอดผ่านประตูไม้ก่อนที่จะประตูนั้นจะเปิดออก "อ้าวแคลร์...แม่รี่ ดึกดื่นค่ำคืนปานนี้มีเรื่องอะไรรึ?" "คุณลุงช่วยพวกเราที...คือว่า.." "ค้นหาให้ทั่ว" ก่อนที่แคลร์จะได้อธิบายอะไรเสียงทหารที่ใกล้ๆดังขึ้นทั้งเอาเด็กทั้งสองหันไปอย่างหวาดผวา "เข้ามาก่อน" ชายอ้วนรีบดึงเด็กทั้งสองเข้าบ้านแล้วรีบลงกลอนประตู "ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเกิดอะไรขึ้น...แต่เธอสองคนมาหลบตรงนี้ก่อน" แล้วเขาก็พามาตรงหีบไม้ใบใหญ่ก่อนที่จะเลื่อนมันให้พ่นทาง มีช่องลับอยู่ด้านล่างใต้หีบนี้ซึ่งมีไว้เก็บของ ชายอ้วนอุ้มแคลร์ลงไปก่อนที่จะอุ้มแมรี่ส่งต่อลงไปก่อนที่จะเลื่อนหีบใบใหญ่เพื่อปิดทาง "เปิดประตู!!" เสียงเคาะประตูอย่างแรงดังขึ้น "อยู่ในนี้เงียบๆนะ..." ชายอ้วนพูดกระซิบบอกแล้วเอื้อมมือไปหยิบปืนลูกซองล่าสัตว์ที่แขวนพนังอยู่ก่อนที่จะตรงไปที่ประตูก่อนที่จะเปิดมันออก "มีธุระอะไรดึกดื่นปานนี้?" ชายอ้วนถามทันเมื่อเปิดประตูออก "ขอเข้าไปตรวจข้างในหน่อย" "มีเรื่องอะไรก็บอกกันก่อนสิ...จู่ๆมาค้นบ้านประชาชนธรรมดาแบบนี้คิดว่าเป็นทหารแล้วคิดจะทำอะไรก็ได้รึไง?" "เป็นคำสั่งของทางกองทัพ ไม่จำเป็นต้องบอกให้คนสามัญรับรู้...โปรดให้ความร่วมมือด้วย" นายทหารพูดจบก่อนที่จะกระชับปืนเชิงขู่ ชายอ้วนได้แต่มองเรียบๆก่อนที่จะหลับทางให้อีกฝ่ายแต่โดยดี ทหาร3-4นายที่ก้าวเข้ามาในบ้านแล้วจัดการรื้อค้นอย่างไม่เกรงใจ จนกระทั่งมีคนหนึ่งที่มาที่หีบใหญ่...ทั้งแคลร์และแมรี่ที่หลบอยู่แอบกลืนน้ำลาย หีบถูกเปิดแล้วปิดลง...เวลาผ่านไปสักพักกลุ่มทหารก็รวมตัวอยู่หน้าบ้านชายอ้วน "มีโจรผู้รา้ยหรือทหารหนีทัพมาแถวนี้รึไงถึงกลับต้องมีทหารมาค้นมากมายแบบนี้น่ะ" ชายอ้วนแกล้งถามไปตามเรื่อง "ไม่ใช่เรื่องของคนสามัญ" สิ้นคำพูดกลุ่มทหารก็เดินจากไป...ชายอ้วนมองตามจนลับตาก่อนที่ปิดประตูแล้วลงกลอนอย่างแน่นหนาอีกครั้งก่อนที่จะรีบไปเลื่อนหีบออก "ออกมาได้แล้ว" ชายอ้วนกระซิบแล้วอุ้มเด็กทั้งสองออกจากที่ซ่อน " " " " "อย่าขัดขืนดีกว่าคุณหนู" เสียงนั้นลอดผ่านผ้าพันคอที่ปิดปากอยู่ ตอนนั้นแคลร์ถูกชายคนนั้นนั่งคร่อมและใช้มือข้างเดียวของตนรวบข้อมือทั้งสองเอาไว้จนไม่สามารถที่จะขยับได้...ในตอนนั้นที่ทหารคนอื่นๆก็รีบเข้ามาพร้อมปืนในมือซึ่งเล็งมาที่หัวเธอทุกกระบอก แต่ชายในเสื้อคลุมก็ยกมืออีกข้างเป็นสัญญาณว่าให้ถอยไป "ปล่อยฉัน...ปล่อย!!!" แคลร์ยังคงอาละวาดพร้อมพยายามดิ้นแต่ก็ไร้ประโยชเพราะสู้แรงไม่ไหว ดวงตาสีเงินนั้นจ้องมองบุลคลตรงหน้าอย่างโกรธแค้น...ในขณะเดียวกันที่ชายคนที่คร่อมเธออยู่ก็ค่อยๆดึงแว่นกันลมและผ้าพันคอออก "ฉันชอบดวงตาของเธอจริงๆ...เป็นสีที่สวยงามมาก ความงามที่แฝงไปด้วยความลึกลับในตัว โอ๊ะ!!" ชายในเสื้อโค้ดยิ้มเรียบๆแล้วจะใช้มือลูบที่แก้มของหล่อนแต่ก็ต้องรีบชักกลับออกมาเพราะเธอเกือบจะกัดนิ้วเขาเข้า "เหมือนสัตว์ป่าจริงๆ" เขาพูดพร้อมยิ้มที่มุมปาก ตอนนั้นเองที่นายทหารคนหนึ่งวิ่งเข้ามาในห้องพอดี "ดร. ฮ๊อฟแมนครับ...จับเด็กคนอื่นๆได้ครบทุกคนแล้วครับ" คำพูดจากปากรนายทหารทำให้แคลร์ตกตะลึง... "ดี...พาเธอคนนี้ไปด้วย" แล้วแคลร์ก็ถูกมัดมือและพาไปยังรถบรรทุกลำเลียงพล...ในนั้นมีเด็กคนอื่นๆและทหาร2-3คนที่มีหน้าที่เฝ้า แคลร์พยายามมองว่ามีใครบางที่ไม่อยู่ในนี้...แต่ตอนนั้นเองที่เธอต้องตกใจ "ไมเคิล!!" แคลร์กรีดร้องเมื่อเห็นเด็กชาย เลือดจำนวนมากที่ไหลออกมาท้องเด็กชายที่หายใจอย่างเหนื่อยอ่อน ริมฝีปากซีดเพราะเสียเลือดมากและกำลังหนาวสั่น "นี้!!...เขากำลังจะตายนะช่วยเขาทีสิ!!" แคลร์หันไปบอกกับทหารเฝ้าแต่คนพวกนั้นกับมีท่าทีนิ่งเฉย "ช้าเร็วพวกแกก็ไมรอดอยู่ดี...ถ้าไม่อยากเจ็บตัวก็นั่งเงียบๆเถอะ" "แต่ว่า...พล๊อค! อั้ค!!" ก่อนที่แคลร์จะพูดอะไรต่อก็ถูกด้ามปืนตบเข้าที่แก้มอย่างแรง "บอกให้เงียบ!!" เสียงขู่ตะโกนทำให้เด็กคนอื่นตกใจขวัญเสียไปกันใหญ่...ที่มีใครรู้ว่ามีอะไรรอเด็กพวกนี้อยู่ ............................................................ สถานกักกัน "อ้าก!!" ความรู้สึกของร่างกายที่เหมือนกำลังถูกฉีกตั้งแต่วันที่คนพวกนี้ฉีดอะไรบางอย่างเข้าตัวเธอ เด็กน้อยได้แต่นอนอยู่บนเตียงกับความเจ็บปวดและพยายามทำเป็นไม่ได้ยินเสียงร้องเรียกของเด็กกำพร้าคนอื่นๆที่อยู่ในสภาพเดียวกัน ความกลัวและหวาดผวาในจิตใจที่ไม่เคยมีได้ทวีขึ้น...นับวันเสียงร้องครวญครางเริ่มค่อยๆหายไปทีล่ะเสียง จนกระทั่งวันหนึ่งที่เธอรู้สึกตัวขึ้นในสภาพอิดโรยและซูบผอมจากการอาเจียนและไม่ได้กินอะไร ผมสีดำที่ยุ่งเหยิงเนื้อตัวที่เหม็นคลุ้งจากอาเจียนและเลือดที่เธอสำรอก แคลร์ค่อยๆลงจากเตียงและมองดูรอบๆด้วยสายตาเหม่อลอย...ห้องลูกกรงอื่นๆที่ติดกันมีแต่ความว่างเปล่า เด็กคนอื่นๆที่มาด้วยกันไม่อยู่ในนั้นอีกแล้ว "แมรี่..." แคลร์เอ่ยเรียกแล้วมองไปห้องด้านซ้ายที่ว่างเปล่า "ไมเคิล..." เธอเรียกอีกชื่อแล้วมองไปอีกห้องที่ติดกัน "แมรี่...ไมเคิล...ทุกคน" เด็กน้อยพยายามเรียกชื่อด้วยเสียงที่คิดว่าเปล่งออกมาดังที่สุดแล้วมองรอบด้าน...ไม่มีเสียงขานรับทุกห้องที่เธอคิดว่าเคยมีเด็กกำพร้าอยู่ก่อนหน้านี้เหลือเตียงที่ว่างเปล่าและคราบเลือดอาเจียนที่เปรอะแห้งอยู่ตามเตียงและพื้น ตอนนั้นเองที่มีเสียงฝีเท้าและเสียงกุญแจที่กำลังไขของข้างซ้ายอยู่ "ล้มเหลวไปอีกตัวแล้วสินะ" ชายร่างสูงในชุดทหารสีเทาพูดเรียบๆแล้วหลังจากนั้นก็มีเปลหามที่ถูกหามเข้ามาในห้องนั้นโดยชายในชุดคลุมเหมือนนักบินอวกาศสองคน พวกเขาวางเปลนั้นลงบนเตียงก่อนที่จะก้มลงทำอะไรบางอย่าง....เพราะเตียงที่บังอยู่ทำให้เธอไม่รู้ว่าคนพวกนี้กำลังทำอะไร ไม่นานก็มีบางสิ่งที่ทำให้แคลร์รู้สึกใจหายแล้วสติดับวูบ ร่างเด็กผู้หญิงผมฟูฟ่องที่ถูกอุ้มมาว่าบนเปลหามนั้นในสภาพซูบผอม และดวงตาไม่ปิดสนิท ในอ้อมแขนยังคงกอดตุ๊กตากระต่ายตัวเก่าที่มีแต่คราบเลือดสีแดงออกน้ำตาลนั้น แคลร์เองไม่รู้ตัวเลยว่าเกิดอะไรขึ้น...ทั้งที่ไม่มีแรงแต่มือเธอกลับกำแน่นพอๆกับกรามที่ขบแน่นจนเกือบแตก ดวงตาสีเงินจ้องเขม่งไปยังกลุ่มคนตรงหน้าอย่างโกรธแค้นพร้อมน้ำตาสีแดงสดที่ไหลออก "อ๊า~~~!!" "อะไรน่ะ? โครม!!" ทหารนายหนึ่งหันไปทางต้นเสียงแต่ก่อนจะรู้เรื่องอะไรลูกกรงเหล็กก็พุ่งมากระแทกอัดกำแพงจนร่างแหลกเละ ทหารอีกนายที่เพิ่งตั้งตัวก็ตกใจกับภาพตรงหน้า...เด็กหญิงผมดำที่ตอนนี้ในมีแท่งเหล็กยาวแหลมที่คือเหล็กลูกกรงมาเป็นอาวุธในมือ "เหวอ!! ฉัวะ!!" ก่อนที่เสียงร้องจะสิ้นสุดเหล็กยาวก็พุ่งมาเสียบเข้าคอหอยอีกฝ่ายอย่างแรง เลือดสีแดงสดไหลทะลักเปรอะเต็มใบหน้าเด็กน้อยเสียสติเบื่องหน้า ............................. "เกิดเรื่องอะไรขึ้น?" ดร.หนุ่มในชุดกาวน์ยกวิทยุติดตามตัวมาพูดใส่เพราะเห็นทหารจำนวนหนึ่งที่อาวุธครบมือวิ่งไปมาอย่างอลหม่าน "เกิดเรื่องใหญ่แล้วครับดร.ฮ๊อฟแมน...ตอนนี้มีเด็กคนหนึ่งที่เพิ่งแปลงสภาพเสร็จกำลังอะลาวาดครับ!!" ............................. "สกัดมันไว้!!" "ถอยออกมา!!...ถอยออกมา!!" "ปีศาจชัดๆ!!" เสียงตะโกนไปมาของเหล่าทหารสลับกับเสียงปืนที่ดูสับสนวุ่นวาย ช่องทางเดินยาวที่ตามทางเดินมีแต่ศพทหารในสถาพไม่มีชิ้นดี...กลางทางเดินคือเด็กผู้หญิงอายุนาเกิน10ขวบที่ตามตัวมีแต่คราบเลือดพร้อมแท่งเหล็กในมือ เบื้องหน้าคือกลุ่มทหารที่ได้แต่ถอยล่นไปเรื่อยๆอย่างตื่นตระหนก "ล่อไปตรงทางแยก...มีอีกหน่วยเตรียมจู่โจมตรงนั้น!!" ชายคนหนึ่งพูดแล้วออกวิ่งพร้อมคนอื่นๆซึ่งตอนนั้นเองที่เด็กน้อยหายไปจากทางเดินแล้ว "ฉึก!! อ๊อก!!" แท่งเหล็กที่พุ่งลงมาเสียงจากหัวทะลุถึงคอในชั่วพริบตา แคลร์ดึงเห็ลกออกแล้วพุ่งไปยังทหารอีกคนใกล้ๆกัน เหล็กยาวถูกใส่คออีกจนเกิดเสียงดังกร๊อบแกร๊บ กลุ่มหทารที่ค่อยล้มลงที่ล่ะคนในระหว่างทางเดินและพวกที่เหลือก็ได้แต่วิ่งหนี แม้จะยิงปืนสวนกลับไปอีกฝ่ายก็หลบอย่างรวดเร็ว ทหารคนสุดท้ายที่วิ่งหนีเอาชีวิตรอดจนใกล้มาถึงทางเดินแยกที่เตรียมไว้ "ถะ ถะ ถึงแล้ว...ฉัวะ!!" นายทหารที่กำลังจะร้องออกมาอย่างดีใจแต่ก็ต้องถูกเหล็กที่พุ่งมาเสียบทะลุท้ายออกปากก่อนจะล้มลงตรงนั้น ซึ่งแคลร์ก็มาถึงทางแยกตรงนั้นพอดี...ทหารเพราะปืนกลหนักจำนวนมากเล็งมาทางเดียวกันซึ่งแน่นอนว่าไม่สามารถหลบได้ "ยิงมันสิ!!...ยิง!!" สิ้นเสียงร้องสั่งการอย่างตื่นตระหนก...ปากกระบอกปืนเล็งเตรียมยิงในขณะเดียวกันที่ดร.ฮ๊อฟแมนที่เพิ่งมาถึงก็เบิกตาโพรง "อย่ายิง!!" "ปัง!! ปัง!! ปัง!!ปัง!!" ความรู้สึกร้อนวาบที่ท้องและแผ่นหลัง...เด็กน้อยรู้สึกหายใจลำบาก และร่างของตัวเองกำลังทิ้งตัวลงบนพื้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ เปลือกตาเธอกำลังจะปิดทั้งๆที่ไม่ง่วงและทุกอย่างก็มืดสนิท จบตอน
Re: [Ficรับสมัคร] -CHILD- Remake (17/04/08) โอ้วววว "อย่ายิง" ช่างเป็นคำกล่าวที่เปี่ยมไปด้วยจิตวิญญานของนักวิทยาศาสตร์อย่างล้นเหลือ (แม้ความตายจะอยู่ตรงหน้าแล้ว) ต่างจากที่นึกภาพไว้ตอนแรกไม่มากก็น้อย ฮ้อฟแมน มิใช่เพียงนักวิจัยหนุ่มไฟแรง แต่ยังมีความทะเยอทะยานสูงอีกด้วยนะคร้าบบบบ แคลร์ อืม ความสำเร็จทางวิทยาศาสตร์ ที่จะตามมาหลอกหลอนผู้สร้างในภายหลัง สินะ โอ้วววว เป็นปลื้มมากกว่าท่านยังมีไฟที่จะสานต่อเรื่องนี้ (ทั้งที่แนวฟิคแบบนี้ไม่ค่อยมีมากนักนะคร้าบ) "นายเองก็กำลังจะมีภรรยาไม่ใช่เหรอ? ในอนาคตนายเองก็คงมีลูกหลาน...ไมคิดบ้างเหรอว่าบาปกรรมมันจะตกไปที่ลูกหลานของเธอเอง" แหมประโยคนี้ มันเหมือนคำแช่งยังไงไม่รู้สินะครับ
Re: [Ficรับสมัคร] -CHILD- Remake (17/04/08) อืมๆ เป็นครั้งแรกๆจริงๆที่มาอ่านอะไรโลลิแล้วสยองๆ บวกได้อารมณ์มากเหลือเกิน เยี่ยมครับชอบ สู้ต่อไป ฟิคนี้หนุกมาก ชอบๆ