Re: [Fic รับสมัคร] Pandora : ตอนที่ 1.2 UP!!18/06/51 Title : Pandora : ตอนที่ 1.2 : กุญแจดอกแรก Author : Derick Genre : Mystery / Fantasy / Adventure (Suspense / Thriller or Horror) Rating : G Disclaimer : เป็นเรื่องที่มีเนื้อหาค่อนข้างรุนแรงต่ออารมณ์ความรู้สึกในบางฉากบางตอน มีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความเป็นและตายเสียส่วนใหญ่ มันคือจุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง ความปรารถนาที่เป็นทุกข์ ...ความรัก... เมฆสีเทาเคลื่อนคล้อยปกคลุมท้องฟ้าในยามดึกสงัด ชายหนุ่มชุดกาวน์สีขาวเจ้าของดวงตาสองสีค่อย ๆ หย่อนกายนั่งลงบนเก้าอี้ภายในห้องตรวจอย่างเหนื่อยอ่อน แขนสองข้างเหยียดตรงยาว ลำตัวบิดซ้ายขวาไปมาเบา ๆ ด้วยหวังผ่อนคลายกล้ามเนื้อและร่างกายที่หักโหมงานมาตลอดทั้งวัน เขาเงยหน้ามองนาฬิกากลมเรือนใหญ่บนผนังห้อง “ นี่ 4 ทุ่มกว่าแล้วเหรอเนี่ย... ” เสียงเคาะประตูดังขึ้นสองสามครั้งตามมารยาท พร้อมกับการปรากฏตัวของหญิงสูงวัยผู้หนึ่ง เธอสวมชุดพยาบาลสะอ้าน รอยยิ้มอ่อนโยนแต้มบนใบหน้าที่เปี่ยมด้วยประสบการณ์ “ คงเหนื่อยสินะคะวันนี้ ” แก้วกาแฟร้อนส่งควันลอยฉุยถูกวางลงบนโต๊ะทำงาน “ นิดหน่อยครับ ไม่คิดว่าจะมีงานหนักมากตั้งแต่วันแรก ๆ แล้วนี่ยังไม่กลับหรือครับ? ” ชายหนุ่มผงกศีรษะลงแทนคำขอบคุณ “ ว่าจะกลับแล้วล่ะค่ะ แต่เห็นคุณหมอยังไม่กลับก็เลยจะอยู่เป็นเพื่อนก่อน ” เขายิ้ม “ ไม่เป็นไรหรอกครับ คุณจิรัลกลับเถอะ เดี๋ยวอีกสักพักผมก็จะกลับเหมือนกัน ” “ งั้นราตรีสวัสดิ์นะคะ พบกันพรุ่งนี้ค่ะ ” เธอเอ่ยก่อนขอตัวลากลับ ที่นี่เป็นคลินิกรักษาสัตว์ในย่านตัวเมืองที่ค่อนข้างจะมีชื่อเสียง เปิดตั้งแต่เช้าจนถึงสี่ทุ่ม สัตวแพทย์ผู้เป็นดั่งหัวใจของที่แห่งนี้จะสับเปลี่ยนหมุนเวียนมาจากโรงพยาบาลรักษาสัตว์ใหญ่ ๆ ต่าง ๆ ส่วนตัวเขาเป็นเพียงแพทย์ฝึกหัดที่เผอิญเรียนดีจนมีผลงานเป็นที่ไว้วางใจ ทำให้เมื่อเรียนจบก็มีงานมารองรับทันที ชายหนุ่มมักจะขออยู่เวรดึกเป็นประจำ ใจจริงแล้วเขาอยากให้มันเปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงด้วยซ้ำ เขาไม่อยากหลับ ไม่อยากปิดตาลง เพราะทุกครั้งที่ทำแบบนั้น ภาพของใครคนหนึ่งก็จะลอยมา ลอยมาตอกย้ำให้เขาไม่มีวันลืมเลือนเธอได้ “ เมื่อไหร่....เมื่อไหร่จะได้พบเธอเสียที ” สัตวแพทย์หนุ่มกุมหน้าอกแน่น คิ้วเรียวขมวดเป็นปมแน่น ดวงตาปิดสนิท ร่างกายสั่นเทา หยาดเหงื่อผุดพรายอย่างหนัก เครื่องปรับอากาศที่อยู่โดยรอบแม้จะหนาวเย็นสักเพียงใดแต่ก็ไม่สามารถหยุดอาการที่เกิดขึ้นเป็นประจำนี่ได้ ทุกครั้งที่คิด....ทุกครั้งที่นึกถึง ความรักคือสุขอันประเสริฐ แต่อีกนัยหนึ่งมันก็คือความทุกข์ทรมานอย่างยากจะห้าม การสูญเสียคนที่รักทั้ง ๆ ที่ยังมีความรักหลงเหลืออยู่ มันทรมาน...ทรมานยิ่งกว่าตายทั้งเป็น “ คุณหมอเอเลแกรนท์...คุณหมอคะ?! ” เสียงหญิงคนเดิมดังขึ้นเรียกให้เขาหลุดจากภวังค์ ชายหนุ่มเดินไปเปิดประตู พบกับใบหน้าถอดสีที่เปี่ยมไปด้วยความวิตกกังวลของเธอ “ มีอะไรรึเปล่าครับ? ” “ พอดีฉันลืมของไว้เลยกลับมาเอา เห็นไฟเปิดอยู่จึงเรียกคุณหมอ แต่คุณหมอก็ไม่ยอมตอบ ฉันก็เลยตกใจว่าคุณหมอเป็นอะไรรึเปล่า? ” คลาเวียร์ซคลี่ยิ้ม นี่เขาพลอยทำให้คนอื่นต้องเป็นห่วงไปด้วยหรือนี่ “ ขอโทษทีครับ พอดีผมคิดอะไรเพลินไปหน่อย ” เธอถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก “ คราวหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะคะ ว่าแต่คุณหมอจะกลับหรือยังคะ? ” “ ครับ...งั้นเรากลับพร้อมกันเลยแล้วกัน นี่ก็ดึกมากแล้วจะได้ปลอดภัยกับคุณจิรัลด้วย รอผมสักครู่นะครับ ” ชายหนุ่มรีบเข้าไปเก็บข้าวของภายใน ก่อนจะถอดชุดกาวน์แขวนและสวมเสื้อสูทแทน สมกับเป็นย่านตัวเมืองที่มีผู้คนพลุกพล่าน แม้ในยามดึกสงัดเพียงนี้ก็ยังมีพวกวัยรุ่นหนุ่มสาวที่ยังคงออกมาหาความสำราญ ทำให้บรรยากาศที่คิดว่าจะน่าหวาดกลัวต้องหมดลงทันที คลาเวียร์ซเกาศีรษะเบา ๆ แก้ขัดเขิน “ สงสัยผมคงจะกังวลมากไป ” จิรัลหัวเราะ “ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เห็นคึกครื้นแบบนี้ก็ใช่ว่าจะปลอดภัยนะคะ ดีแล้วล่ะที่คุณคิดแบบนั้น ” ทั้งคู่แยกกันตรงสถานีรถไฟ ชายหนุ่มขึ้นรถไฟขบวนสุดท้ายของวันเพื่อกลับสู่ห้องพักของตนเอง เขาออกจากบ้านมาตั้งแต่ช่วงมัธยมปลายแล้ว มีเวลาก็กลับไปเยี่ยมบ้านบ้างบางครั้งบางคราว และทุกครั้งที่กลับก็ต้องมีเรื่องปวดหัวจนได้รีบออกมาทุกที คลาเวียร์ซกลับถึงห้องพักของตน ทำภารกิจส่วนตัวทุกอย่างเสร็จสิ้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปกว่าสองชั่วโมง เขาก็ยังคงนอนหงายมองเพดาน ฟังเสียงนาฬิกาของเมืองที่ยังคงตีสนั่นบอกเวลาของวันใหม่ “ เที่ยงคืนแล้ว....สินะ ” แม้ไม่อยากนอนก็ต้องข่มตาให้นอน หากไม่พักผ่อนเขาเองเนี่ยและที่จะแย่จนไม่สามารถทำอะไรได้ วันนี้ก็เหนื่อยทั้งวัน มีสัตว์มาให้รักษาแทบไม่ได้พัก แต่เช้าจรดค่ำ ทำเอาคนแข็งแรง ๆ ยังแทบทรุด ความง่วงงุนเอาชนะความตั้งใจ ความอ่อนเพลียอยู่เหนือสมองที่กำลังขบคิดหนัก ในที่สุดชายหนุ่มก็ต้องเข้าสู่ห้วงการหลับใหล เสียงสมหายใจสม่ำเสมอบ่งบอก ดังสลับเบา แผ่วสลับหนัก ผสานกันจนคนฟังสามารถรับรู้ได้ถึงห้วงที่ลึกลงไปในจิตใจใต้สำนึก ว่ากันว่าคนเรามักจะสร้างภาพที่เกิดจากการคิดคำนึงในช่วงเวลาก่อนหลับ สิ่งนั้นเรียกติดปากจากคนทั่วไปว่า ความฝัน หลายคนว่าการฝันคือการที่คนฝันนั้นหลับไม่สนิท สร้างเรื่องราวขึ้นมาให้ตนเอง แต่บางคนว่าความฝันคือสิ่งดี มันจะช่วยทำให้คนฝันรู้สึกดีในยามตื่น แต่ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ดีหรือร้าย เกิดขึ้นจากอะไรและเพราะอะไร สิ่งนั้นก็ยังคงเป็นเรื่องของบุคคลนั้นอยู่ดี ดวงตาสองสีมองฝ่าเข้าไปในความมืดมิดอันหาจุดสิ้นสุดไม่ได้ เขาหมุนตัวดูรอบ ๆ สัญชาตญาณบางอย่างบอกให้เขาห้ามก้าวเดินไปไหน “ นี่มันอะไรกัน? ” เสียงสะท้อนนับสิบนับร้อยดังโดยรอบอย่างน่าปวดหัว เขารู้สึกเหมือนตนเองยืนอยู่ท่ามกลางหุบเหวลึกที่สามารถส่งเสียงให้ดังก้องได้ มันไม่ใช่ห้องของเขา ไม่ใช่ที่ ๆ เขาเคยพบ “ นี่มันที่ไหน? ความฝันงั้นเหรอ? ” หากเป็นความฝัน มันก็คงเป็นฝันซ้อนฝันที่แสนแปลกประหลาด ทุกครั้งที่คลาเวียร์ซฝัน ภาพที่เขามักเห็นส่วนใหญ่จะเป็นภาพของเธอผู้นั้น ภาพอดีตที่เราเคยได้อยู่ร่วมกัน หรือภาพในอนาคตที่เขาเฝ้าคิดถึงและจินตนาการต่าง ๆ นานา เพื่อให้มันเกิดขึ้นจริง แต่มันก็แค่ความฝันเท่านั้น... เขาก้มหน้าลงมองเท้าตนเอง “ ใช่....มันก็แค่ความฝันเท่านั้นเอง... ” “ อยากให้มันเป็นจริงไหมล่ะนายท่าน? ” เสียงแหลมเล็กที่ดังก้องอยู่ในความมืดมิดทำให้คลาเวียร์ซต้องเงยหน้าขึ้นมอง พยายามเพ่งผ่านความมืดที่รอบล้อมเพื่อหาถึงแหล่งที่มาของเสียง เขาหมุนตัวไปรอบ ๆ ดังเช่นครั้งแรกที่ลืมตาเห็นสถานที่แห่งนี้ “ นั่นใคร?! ” คำถามที่เปล่งออกไปเป็นเพียงลมปากสะท้อนไปมาเท่านั้น พักใหญ่....ชายหนุ่มเงียบฟังอยู่พักใหญ่กว่าจะได้รับเสียงหัวเราะตอบกลับมา เสียงหัวเราะที่ทำให้เขาต้องค่อย ๆ ถอยหลังหนีเรื่อย ๆ ดวงตาสองสีมองเบื้องหน้าอย่างหวาดหวั่น ก่อนจะสะดุ้งสุดตัวเมื่อรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่กระทบเข้ากับแผ่นหลัง เขาหันขวับมอง เบื้องหน้าเห็นเป็นแสงสว่างจากคบเพลิงที่ลอยวนอยู่ “ ขอต้อนรับสู่โลกแห่งความฝัน.... ” เสียงนั้นปรากฏขึ้นพร้อมหน้ากากตัวตลกสีขาว ริมฝีปากแดงใหญ่ บริเวณดวงตาด้านขวามีดอกหลามตัดทาบทับ มันลอยออกมาจากความมืด กระทบกับแสงไฟที่รายล้อมรอบคบเพลิง คลาเวียร์ซเข่าอ่อน ทรุดลงนั่งกับพื้นด้วยความตกใจระคนหวาดกลัว นิ้วเรียวถูกยกขึ้นชี้ไปยังอมนุษย์ที่ปรากฏให้เห็นเพียงหน้ากากบาง ๆ เท่านั้น “ คะ....คุณ....คุณเป็นใครกัน??!! ” “ หึหึหึ....ขออภัยที่เสียมารยาท กระผมคือโจ็กเกอร์ คนทั่วไปมักเรียกผมว่า ตัวตลก ” ผู้พูดเผยให้เห็นร่างกายที่สวมชุดตัวตลกหลากสีสัน รู้สึกเหมือนออกมาจากสำรับไพ่ไม่มีผิดเพี้ยน ผู้แนะนำตนเดินย่างสามขุมเข้ามาใกล้ ท่วงท่าและการก้าวเดินช่างราวกับตัวตลกที่แสดงอยู่บนเวที ดูทั้งน่าขบขันและน่าขนลุกไปตาม ๆ กัน “ นายท่านคงตกใจ ต้องขออภัยจริง ๆ กระผมมัวแต่ติดธุระกับแขกท่านอื่น เลยออกมาต้อนรับช้าไป ” มือสีขาวซีดประดับด้วยเล็บสีดำสนิทยาวถูกยื่นออกมาให้ผู้ที่ถูกเรียกว่าเป็นแขก คลาเวียร์ซมอง ทั้งหวาดหวั่น ทั้งลังเล เขาขบคิดถึงปัญหาต่าง ๆ ทางออกและทางแก้ไข สุดท้ายก็กลายเป็นดั่งห้อง ๆ นี้ มันมืดไปหมด มืดมนอย่างไร้ทางออก ได้ยินแต่เพียงเสียงของตนเองที่สะท้อนไปมาเท่านั้น “ บอกผมที...ที่นี่มันที่ไหน แล้วมันเรื่องบ้าอะไรกัน?? ” ตัวตลกทำหน้าสงสัย หมุนตัวไปมาเล่นอยู่บนลูกบอลกลมยักษ์ที่จู่ ๆ ก็ปรากฏขึ้นมา “ ที่นี่ที่ไหน ๆ ” เขาทวนคำเหมือนจงใจกวนประสาทผู้ถาม ชายหนุ่มอดรนทนไม่ไหว แค่นี้เขาก็กดดันมากเกินพอแล้ว “ เมื่อไหร่คุณจะตอบคำถามผมเสียที!! ไหนว่ามันคือโลกแห่งความฝัน แล้วโลกแห่งความฝันอะไร ทำไมคุณถึงมาอยู่ในฝันของผมได้!!! ” เสียงดังสนั่นก้อง พลุมือถูกจุดเหมือนต้องการแสดงความยินดี หน้ากากขาวโพลนยื่นมาแทบจะชนกับใบหน้าของชายหนุ่ม “ ถูกต้อง!!! ถูกต้องแล้วนายท่าน!! ที่นี่คือโลกแห่งความฝัน ” “ สถานที่ ๆ ท่านกำลังอยู่แห่งนี้คือ จุดเชื่อมต่อ มันคือทางที่เชื่อมต่อระหว่างโลกแห่งความฝันและโลกแห่งความจริง ” ตัวตลกตอบ คลาเวียร์ซนั่งรอฟังโดยหวังว่าอีกฝ่ายจะอธิบายความต่อ แต่กลับมีเพียงความเงียบเชียบ “ ทำไมถึงไม่พูดต่อ พูดอะไรก็ได้ที่จะทำให้ผมรู้เรื่องมากกว่านี้ ” หน้ากากที่แสดงใบหน้ายิ้มร่าแปรเปลี่ยนทันใด มันสลดลง บริเวณใต้ตามีหยดน้ำสีฟ้าที่ราวกับถูกเขียนขึ้นประดับอยู่ ริมฝีปากแย้มกว้างก็หุบลง “ ขออภัย....ขออภัยเหลือเกิน กระผมทำให้ท่านไม่พอใจ กระผมทำให้ท่านไม่พอใจ ” มีดด้ามยักษ์ที่จู่ ๆ ก็โผล่ออกมาทำเอาชายหนุ่มตกใจจนต้องถอยหลังอีกครั้ง มันมีนับสิบนับร้อย รายล้อมรอบตัวของตัวตลกผู้กำลังสำนึกผิดนั่น “ กระผมสมควรตาย สมควรตายเหลือเกิน!! ” ทันทีที่พูดจบ มีดนั่นก็พุ่งตรงมายังอีกฝ่าย หมายจะสังหาร เสียบให้ร่างเล็ก ๆ นั่นพรุนทะลุ พอคลาเวียร์ซเห็นก็ต้องเปล่งเสียงออกไปตามนิสัย “ คุณไม่ผิด!!!! อย่าทำอะไรแบบนั้น!!! ” เหมือนมีดนับร้อยนั่นจะฟังคำสั่ง พวกมันหยุดชะงักการเคลื่อนไหว ดวงตาสีแดงของตัวตลกค่อย ๆ เมียงมองเหมือนย้ำถามข้อความนั่นให้มั่นใจ ชายหนุ่มถอนหายใจ “ ผมผิดเอง คุณไม่ผิดหรอก ” “ ขอบคุณนายท่านที่ไม่เอาโทษตัวตลกผู้แสนน่าชิงชังอย่างผม ” เขาคุกเข่าลงพลางก้มศีรษะจนแทบชนกับพื้น คลาเวียร์ซรู้สึกแปลกที่มีคนมาทำแบบนี้กับตน “ อย่าทำแบบนี้เลยครับ ผมผิดเองที่ไม่ยอมถามคำถามคุณ ” “ นายท่านถามมาเลยครับ กระผมยินดีรับใช้ ตอบทุกคำถามที่กระผมสามารถตอบได้ ” ชายหนุ่มพยักหน้า ความหวาดกลัวเริ่มน้อยลงไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่อาจทราบ “ ผมถามทำไมผมถึงมาอยู่ที่นี่ได้? ” “ เพราะนายท่านมีความปรารถนา ” คำตอบที่ทำเอาคนฟังถึงกับงุนงง “ ผมเนี่ยนะ??? ” ตัวตลกแย้มยิ้ม พลางทำท่าจุ๊ปาก “ จุ๊จุ๊จุ๊.....ความรัก....ยากนักที่มนุษย์จะหลีกพ้น ความรัก...บ่วงแห่งความทุกข์ทรมานที่เกิดขึ้นได้กับมนุษย์ทุกคน ” ในคราแรกคลาเวียร์ซก็รู้สึกไม่เข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายพูดออกมา เขาจึงนิ่งคิดทบทวนไปมา ซ้ำแล้วซ้ำเล่า กว่าจะเชื่อมโยงสิ่งต่าง ๆ เพื่อแก้ไขปริศนาคำที่ถูกเปล่งออกมานั่นได้ ความรัก....ความทุกข์ คงหมายถึงเรื่องของเขาสินะ ความปรารถนาที่จะได้อยู่กับคนที่ตนรัก เหมือนตัวตลกนั่นจะรู้เท่าทันความคิด ทันทีที่ชายหนุ่มรู้ความหมาย เสียงพลุและบทเพลงเทศกาลรื่นเริงก็ดังกระหึ่มขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะสงบลง “ นายท่านช่างเปี่ยมด้วยความรู้นัก เพียงเท่านี้ก็สามารถเข้าใจได้ ” “ แล้วยังไง? ” ตัวตลกกระโดดไปมารอบตัวเขา สลับกับการเต้นท่าประหลาด ๆ “ นายท่านอยากให้ความปรารถนาเป็นจริงหรือไม่? ความปรารถนาที่มีเพียงหนึ่งเดียวของท่าน? ” คลาเวียร์ซไม่ตอบ ยังคงจ้องมองอีกฝ่ายนิ่ง ตัวตลกเห็นแล้วก็ระเบิดเสียงหัวเราะ “ ข้าจะมอบของให้ท่านหนึ่งสิ่ง ของนี้เป็นกุญแจที่จะนำท่านไปสู่ความปรารถนา จะนำท่านไปสู่ความหวัง จะนำท่านไปสู่ความรักที่หายไปนาน.... ” ร่างของตัวตลกนั้นค่อย ๆ เคลื่อนไหวเร็วขึ้น....เร็วขึ้น จนไม่สามารถมองเห็นได้ แต่แล้วมันก็หายไปทันตา เหลือเพียงแสงสว่างจากดวงไฟเล็ก ๆ สีทองที่ค่อย ๆ เคลื่อนตัวลงมาอยู่เบื้องหน้าเขาอย่างช้า ๆ ชายหนุ่มมองอย่างระแวดระวัง ไม่ทำอะไรกับแสงที่ปรากฏตรงหน้า เขารอ....รออยู่จนเวลาล่วงไปพักใหญ่ ทุกสิ่งก็ยังคงเงียบสงบ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แสงนั้นก็ไม่ได้จางหายไป ทุกอย่างเป็นเหมือนตอนที่เขามาถึงที่นี่ใหม่ ๆ คลาเวียร์ซตัดสินใจยื่นมือไปรองรับ ดวงไฟสีทองนั้นจึงเปลี่ยนเป็นกุญแจแล้วร่วงลงสู่มือของเขา ดวงตาสองสีพินิจมองโดยรอบ มันมีอักษรประหลาดสลักไว้ “ บราโว!!! ยินดีด้วยนายท่าน!! ท่านเป็นผู้ที่เหมาะสมกับกุญแจดอกนี้ จงต่อสู้นายท่าน จงต่อสู้แล้วรวบรวมกุญแจที่เหลือ แล้วเมื่อนั้น....สิ่งที่ท่านปรารถนาจะเป็นจริง ” เสียงที่ปรากฏ ข้อความที่ได้ยินทำเอาเขาต้องลุกขึ้นยืน “ เดี๋ยว!!!ต่อสู้!! มันอะไรกัน หมายความว่ายังไง??!! ” ไม่มีเสียงใด ๆ ตอบกลับมา วินาทีต่อจากนั้นคลาเวียร์ซรู้สึกเหมือนตนเองกำลังตกลงสู่หุบเหวลึก ดำดิ่งลงไปอย่างไร้หนทาง เสียงลมที่อื้ออึงจากการปะทะ เขาหลับตากำกุญแจในมือแน่น จมดิ่งลงสู่เบื้องล่าง ลึกลงอย่างน่าหวาดหวั่น เสียงนาฬิกาปลุกดังลั่นทำเอาคนที่นอนอยู่ต้องลุกพรวดขึ้น หยาดเหงื่อผุดพรายหนัก เขารู้สึกร้อนวูบวาบไปหมด ดวงตาสองสีเปิดเปลือกตาออกกว้างมองรอบ ๆ เตียง โต๊ะ ตู้ ที่นี่คือห้องของเขา....เขาหลุดมาจากโลกแห่งนั้นแล้ว มันก็แค่ความฝัน ชายหนุ่มถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก แต่ก็ตกต้องใจอีกครั้งเมื่อมือของเขาสัมผัสได้กับอะไรบางอย่าง กุญแจสีทองที่เห็น แบบเดียวกับในความฝันนั้นไม่มีผิดเพี้ยน “ นะ....นี่มัน.... ” สิ่งที่เขากำลังประสบ และกำลังจะประสบ....คือความฝัน หรือความจริงกันแน่...? . . . . . . . สู้สิ.....สู้สินายท่าน แล้วท่านจะสมปรารถนา . . . . . . ===================TBC================== derick - ในที่สุดก็ได้มาต่อ.... 5555 หลังจากที่หายหัวไปนานโข จริง ๆ จะมาต่อได้นานแล้วล่ะครับ แต่ผมกลุ้มใจกับตัวละครและการจัดคู่ เหอ ๆ ตัวละครแต่ละตัวสมัครมาได้ในทิศทางเดียวกันจริง ๆ มีตัวละครไม่กี่ตัวที่สมัครมาได้โดนใจ โอ้วววว...แบบเป๊ะ ๆ คนนี้ล่ะใช่เลย เหอ ๆ กลับมาคราวนี้เป็นเรื่องราวของคลาเวียร์ซ ชายหนุ่มผู้เป็นไปด้วยความรัก เอ้ย...ความทุกข์จากความรัก เขาเป็นผู้ที่ได้กุญแจดอกแรกไป แต่จะเป็นกุญแจอะไร เกี่ยวเนื่องกับความฝันแบบไหน ต่อสู้อะไรยังไง ก็ต้องตามดูกันต่อไป....หึหึ ขอบคุณผู้อ่าน ผู้ให้กำลังใจ ผู้ติดตามและท่านเจ้าของตัวละครที่อุตส่าห์เต็มใจให้เรายำทุกท่าน ขอบคุณมาก ๆ ครับ
Re: [Fic รับสมัคร] Pandora : ตอนที่ 1.2 UP!!18/06/51 [action]โครม!![/action] กรี๊ดดดดด อีตาคลาร์ซได้คิวแสดงอย่างรวดเร็วมาก [action]โค้งปะหลกๆ ขอบคุณค่า[/action] แต่ T[]T!!!! เดี๋ยวกลับมาอ่านต่อค่ะ เผ่นไปเรียนแล้ว T[]T!!!!!!!!!!
Re: [Fic รับสมัคร] Pandora : ตอนที่ 1.2 UP!!18/06/51 เฮือก หลอนจิตน่ากลัวมาก =[]=! บรรยากาศทั้งเรื่องสร้างหนัง psycho ได้สบายๆเลยนะครับนุ๊กกี้ เก่งจริงๆ ชมด้วยใจ ชอบตอนที่คลาเวียซหลุดเข้าไปในวังวนจิตมาก เห็นชัดเลยว่ามนุษย์เราพอถูกกระตุ้นด้วยความปรารถนาเบื้องลึก ต่อให้ต้องจมสู่ความมืดมนก็ยังยอม อ้าก ได้อารมณ์จริงๆ ตอนแรกใจหายว่าฟิคนี้จะล่ม แต่กลับมาได้งดงามขนาดนี้ ผมก็เชียร์ให้ออกตอนต่อไปเร็วๆนะคร้าบ [action]กอดขานุ๊กกี้แน่น[/action]
Re: [Fic รับสมัคร] Pandora : ตอนที่ 1.2 UP!!18/06/51 โอ้ววว ในที่สุดมี๊ก็มาต่อแล้ว 0.0!!! ตัวตลกนี่มันดูหลอนจิตจริงๆด้วยนะ =w=.... เรื่องนี้มันทิ้งปริศนาเยอะจั๊ง!!! แต่ก็ชวนให้ติดตามมากๆ * 0 * ภาษาการบรรยายดีฮะอ่านลื่น ^^b กุญแจนั่นคืออะไรกันหว่า..... แล้วนี่คือต้องสู้กัน?? เพื่อให้ความปรารถนาของแต่ละคนเป็นจริง...? (เดาไปเรื่อยยยยยย~) สุ้ต่อไปคร้าบมี๊ จะคอยติดตามงับ
Re: [Fic รับสมัคร] Pandora : ตอนที่ 1.2 UP!!18/06/51 มันคือเรื่องของ ความรัก+ความปราถนา / กิเลศ * 0(สัญญา) ถ้าเราเจอตัวตลกแบบนี้เราเผ่นโลดเลยนะ (ตัวตลกในบรรยากาศอึมครึม ให้ความสยองกว่าตัวตลกหน้าตายเสียอีก) จะความจริงหรือความฝัน ปลายทางของมันคงจบไม่สวยเท่าไหร่เป็นแน่แท้
Re: [Fic รับสมัคร] Pandora : ตอนที่ 1.2 UP!!18/06/51 บรรยากาศมัน........... - - ถ้าผมเจอตัวตลกหลอนจิตแบบนี้ผมจะ.................. . . . ยิงด้วยอาก้า *-*/ [action]โดนยิงซะเอง[/action] ถ้าอยากได้กุญแจเดี๋ยวผมไปปั้มให้ก็ได้นะ - -b
Re: [Fic รับสมัคร] Pandora : ตอนที่ 1.2 UP!!18/06/51 ได้อารมณ์มากเลยเจ้าคะ อ่านแล้วนึกออกเลยว่าใครมำอะไรอยู่ ว้าวๆๆๆ มาเร็วๆนะมันส์มาก
Re: [Fic รับสมัคร] Pandora : ตอนที่ 1.2 UP!!18/06/51 ก่อนอื่น... ขอโทษเป็นอย่างมากครับที่มาเม้นช้า เนื่องด้วยอารมณ์อยากอ่านฟิคเพิ่งจะกลับมาพุ่งพรวด ชอบแนวเรื่องแบบนี้มากๆเลยครับ ไม่รู้ว่ามันจะกลายเป็นโศกนาฎกรรมหรือเปล่านา..? ตัวตลกนั่นทำพันธะสัญญาอะไรไว้? ตัวตนที่แท้จริงของมันคืออะไร? สัตวแพทย์ซึ่งเป็นมนุษย์ธรรมดาๆ จะต่อสู้อย่างไร? อยากอ่านต่อจริงๆครับ ชอบมากๆ
Re: [Fic รับสมัคร] Pandora : ตอนที่ 1.3 UP!!22/07/51 Title : Pandora : ตอนที่ 1.3 : Maria Angel Serenede กับห้วงเวลาแห่งความฝัน Author : Derick Genre : Mystery / Fantasy / Adventure (Suspense / Thriller or Horror) Rating : G Disclaimer : เป็นเรื่องที่มีเนื้อหาค่อนข้างรุนแรงต่ออารมณ์ความรู้สึกในบางฉากบางตอน มีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความเป็นและตายเสียส่วนใหญ่ รัตติกาลเคลื่อนคล้อยทาบทับสายัณห์ เมฆาหุนหันบดบังนภากว้าง ร่างหญิงสาวบอบบางในชุดสีดำสนิทกำลังนั่งเหม่อมองดวงจันทร์อยู่บนหอคอยสูงตระหง่าน เส้นผมสีทองยาวไสวเป็นประกายสะท้อนปลิวพัดไปตามการสั่นไหวของระฆังใบใหญ่ ดวงตาสีเขียวส่องแสงเรืองรอง อ่อนไหวและนุ่มนวล หอมหวานและละมุนละไม เธอขยับกายลุกขึ้นยืน “ เที่ยงคืนแล้วสินะ.... ” Light shines on the heaven… ริมฝีปากสีระเรื่อขยับบางเบา ส่งเสียงร้องเพลงไพเราะเสนาะหู เป็นประโยคที่ฟังดูคล้ายกับเสียงเพลงสวดอ้อนวอนพระเจ้า แต่ในนั้นกลับแฝงไปด้วยความนัยน์ที่ยากจะคาดเดา The earth the spirit… เธอปล่อยร่างของเธอทิ้งตัวลงจากหอคอย เปลือกตาบางปิดลงเช่นเมฆหมอกที่ปกคลุมดวงจันทร์ จมดิ่งสู่ความมืดมิดเบื้องล่าง ทีละนิด.....ทีละนิด จนมองเห็นพื้นสีแดง ทะเลแห่งโลหิตซึ่งถูกปูไว้แทนถนนคอนกรีต Light brings glory and grace บทเพลงยังคงขับกล่อมช้า ๆ เรื่อยไปทีละประโยค บางเบาลง ๆ ตรงข้ามกับความมืดที่จู่ ๆ ก็ปรากฏ รุมเร้าบ้านเมืองอันแสนวิจิตรและชวนหลงใหล ให้กลายเป็นเศษซากปรักหักพังอันแสนขืนข่ม ทุกข์ทรมาน May it open your eyes to the truth Shanti…Shanti…. ทันทีที่จบประโยค ปลายเท้าของเธอก็สัมผัสลงบนพื้น ทะเลสีโลหิตกลับกลายเป็นถนนคอนกรีตตามเดิม บ้านเมืองที่ถูกปกคลุมด้วยความมืดก็เช่นกัน แต่จะดูแปลกตาออกไปจากความเป็นจริง แปลกตาออกไปจากที่เคยเห็นอยู่ก่อนหน้า....มากมายนัก มือเล็กเรียวหยิบกุญแจสีทองจากภายในเสื้อของเธอออกมา เพียงเธอรูปไล้มันเบา ๆ กระแสลมแรงพื้นเบื้องล่างก็พุ่งทะยานรอบล้อมกายเธอ เหมือนบัดนี้เธออยู่ท่ามกลางพายุลูกใหญ่ ที่ก่อตัวขึ้นจากผืนปฐพี “ จงน้อมรับใช้แก่เรา นายผู้ถือครองและเชื่อมด้วยพันธะสัญญา.... ” เสียงหวานพึมพำ ร่างของหญิงสาวคนหนึ่งปรากฏ เธอมีเส้นผมสีเงินยาวเหยียดตรง ดวงตาสีแดงสด ผิวที่ขาวราวไข่มุกตัดกับปีกสีดำสนิทซึ่งโบกกระพืออยู่บริเวณแผ่นหลัง ดวงตาคู่นั้นค่อย ๆ จ้องลงมายังเบื้องล่าง พร้อม ๆ กับพายุที่พัดผ่านหายไปอย่างรวดเร็ว “ สวัสดีคาโล ” หญิงสาวผู้อยู่เบื้องล่างเอ่ยทัก เธอพยักหน้าพลางเคลื่อนตัวลงสู่พื้นอย่างราบเรียบ “ ดีค่ะท่านมาเรีย... ” ทั้งสองยิ้มให้กัน รอยยิ้มของพวกเธอช่างเปรียบเสมือนแสงไฟที่ส่องสว่างอยู่ในความเดียวดายอันมืดมิดนี่เสียเหลือเกิน “ ท่านมาเรียเรียกคาโลออกมามีงานอะไรจะให้คาโลรับใช้หรือคะ? ” หญิงสาวหัวเราะคิกคักกับคำพูดนั้น เธอเอามือไขว้หลังแล้วก้าวเดินไปรอบ ๆ ก่อนดวงตาสีเขียวสดจะแหงนหน้ามองท้องฟ้าสีดำสนิท ท้องฟ้า....ที่ไร้เงาของแสงแห่งดวงจันทร์ “ ไม่มีหรอก....ฉันก็เพียงแต่....เหงาเท่านั้น ” เหงา....ช่างเป็นคำที่ฟังดูหดหู่เสียเหลือเกิน... เส้นผมสีเงินสั่นไหว “ เหงา?....เป็นศัตรูประเภทไหนหรือคะ? ” มาเรียใบหน้าสลดลงเล็กน้อย เธอถอนหายใจยาวแล้วยิ้มบาง จริง ๆ มันก็เป็นความผิดของเธอเองที่พูดอะไรออกไปแบบนั้น เธอลืมไปเสียสนิทว่าความรู้สึกพื้นฐานพวกนี้ ปีศาจหรือพวกที่อยู่อีกมิติจะไม่มีทางเข้าใจ ตัวตนอีกตัวตนหนึ่งที่มีเพียงชีวิตและพลังแห่งการต่อสู้ทำลายล้างเท่านั้น “ นี่คาโล..... ” ผู้ฟังเหลือบมอง “ คะ? ” “ เธอว่า....ความฝันของฉันเป็นยังไง? ” มาเรียก้มหน้ามองบนพื้น ดวงตาสีแดงสดจ้องมองไปรอบ ๆ ขาสองข้างขยับตามการหันของใบหน้า ภาพที่เห็นมีเพียงสีดำ ซากรกร้างของบ้านเรือนสมัยก่อน คราบความโศกเศร้า การทำลายล้างจากมือของมนุษย์ และตอตะโกของบ้านเรือนซึ่งเกิดจากการเผาไหม้อย่างรุนแรง “ สวยมากเลยค่ะ ” มาเรียหัวเราะอีกครั้ง “ นี่คำชม คำโกหก หรือว่าอะไรกันล่ะ? ” ความฝัน....ใครจะเชื่อว่าเวลาแค่เสี้ยววินาที ทุกสิ่งทุกอย่างจะแปรเปลี่ยนเป็นโลกอีกโลกหนึ่งได้ โลกแห่งฝันร้าย...โลกที่ผู้กุมกุญแจจะเป็นผู้สรรสร้างขึ้น โลกที่ผู้กุมกุญแจเป็นเสมือนเจ้าแห่งสมรภูมิ เป็นเสมือนเจ้าแห่งสงครามที่กอบกุมทุกอย่างไว้ ซึ่งในคืนนี้....เธอ...มาเรีย แองเจิ้ล เซเรเนด ก็คือราชินีแห่งความฝันนี้ ห้วงเวลาแห่งความฝันจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเจ้าแห่งฝันนั้นหลับใหล ความมืดมิดของภวังค์จะนำเขาจมดิ่งสู่ความเป็นนิรันดร์ สุดขอบสายตา สุดปลายแห่งท้องฟ้า จะมีแต่ภาพความฝันและเมืองซึ่งถูกสร้างขึ้นจากจินตนาการ ความโหดร้าย ทารุณและความน่าหวาดหวั่น ความฝันจะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนไปตามกาลเวลา ในแต่ละวัน....แต่ละเดือน จนสิ้นสุดทุกสิ่ง ผู้คนที่มีสิทธิและพลังในการ ‘ตื่นจากฝัน’ เท่านั้นจึงจะสามารถเป็นราชาและราชินีในที่แห่งนั้นได้ “ ฉันจะได้เห็นฝันแบบนี้ไปอีกนานสักแค่ไหนนะ.... ” มาเรียเอ่ยแผ่ว....ความฝันในโอกาสครั้งแรกของเธอ จะมีต่อไปถึงแค่ไหนกัน? ดวงตาสีแดงของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้รับใช้จ้องมอง “ ตราบใดที่คาโลยังอยู่ ท่านมาเรียจะต้องเป็นผู้เดียวที่ได้เห็นความฝันนี้เป็นคนสุดท้าย... ” นั่นหมายถึงชัยชนะ...ซึ่งอยู่เหนือการฆ่าฟันและความตายทั้งปวง “ ไม่หรอกคาโล....ฉันอยากเห็นความฝันนี้....แค่เพียงวันนี้เท่านั้น ” นั่นหมายถึงความพ่ายแพ้....ซึ่งอยู่ภายใต้กฎและความตาย แปลกใจเหลือเกิน....กี่ครั้งต่อกี่ครั้งที่มาเรียจ้องมองกุญแจที่อยู่ในมือ เธอคิด....คิดว่าเหตุใดคนอย่างเธอจึงเป็นเจ้าของมันได้ คนที่ไม่เหลืออะไรให้ยึดเหนี่ยว คนที่พบแต่ความโชคร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า คนที่สูญเสียแต่สิ่งที่ตนรัก ไม่เหลืออะไรสักเพียงนิด.....แล้วทำไม? จะบอกว่าเพราะความต้องการงั้นหรือ เพราะความปรารถนางั้นหรือ เปล่าเลย....ไม่ใช่เลย แม้เธอจะมีความปรารถนา แต่เธอก็ไม่ได้โง่งมงายขนาดที่ไม่รู้ว่า ‘คนตายไม่อาจฟื้นคืน’ แต่เพราะอะไร....มันเพราะอะไรกัน “ เพื่อแพนโดร่า..... ” คำตอบที่ได้รับจากคาโลมีเพียงเท่านั้น สิ่งที่เธออยากรู้คือแพนโดร่าคืออะไร คำพูดติดปากนักหนาของเหล่าผู้ที่อยู่ต่างมิติมันคืออะไร ตัวตลกประหลาดที่เป็นปริศนานั่นเป็นคน ตัวตลกปริศนามอบกุญแจให้เธอเพื่ออะไร คำตอบของทั้งหมดนี่มันอยู่ที่ไหนกัน “ ต้องสู้งั้นหรือ....สู้ทั้ง ๆ ที่ไม่อยากจะสู้งั้นหรือ?? ” คาโลมองผู้เป็นนายพร่ำรำพัน เธอไม่เข้าใจความรู้สึกของมนุษย์ และยิ่งไม่เข้าใจความนึกคิดกับธรรมชาติของสัตว์โลกชนิดนี้ เพราะเธอที่ได้ชื่อว่าเป็นปีศาจ ถูกสรรสร้างมาจากน้ำมือของพระเจ้าให้เป็นสัตว์ที่มีพลังความต้องการ ให้เป็นสัตว์ที่มีชีวิตแต่ไร้จิตใจ เหลือไว้เพียงความต้องการ และความกระหายในการต่อสู้ฆ่าฟัน “ ในตอนนี้คงมิมีผู้ใดกล้าล่วงล้ำเข้าสู่เขตแห่งความฝันของท่าน เพราะเวลานั้นยังไม่มาถึง... ” คาโลเอ่ย มาเรียแหงนมองผู้ที่ยืนอยู่ข้างกาย “ ถึงมี....ฉันก็คิดไม่ออกว่าจะสู้ไปเพื่ออะไร ” ดวงตาสีแดงที่เคยนิ่งเฉยกลับแข็งกร้าวขึ้น “ คาโลไม่เคยมีเจ้านายเช่นท่าน เจ้านายของคาโลแต่ละคนมีความอยากได้ พวกเขาเหมือนเช่นปีศาจ เหมือนกับพวกเรา ” หญิงสาวผู้เป็นนายเอ่ยถาม “ แล้วเธอสนุกไหมคาโล เธอชอบเป็นแบบนั้นไหม? ” คนถูกถามนิ่งคิด “ ไม่รู้....คาโลไม่รู้ เพราะหน้าที่ของคาโลมีเพียงการทำตามคำสั่งผู้เป็นนายเท่านั้น ” มาเรียเบนสายตาหนี ความจริงเธออยากจะถามต่อ แต่จากคำตอบที่ได้รับมันทำเอาคนที่ว่าน่าสงสารอย่างเธอยังต้องนิ่ง การไม่รู้อะไรเลย ต้องถูกจำกัดกรอบให้ทำตามคำสั่งไปวัน ๆ ไม่มีอิสระ ไม่มีความนึกคิด ไม่มีหัวใจ มันทรมานยิ่งกว่าอะไรทั้งปวง เธอไม่รู้ว่าเธอคิดถูกไหม หรือมันจะทำได้จริงหรือเปล่า แต่อย่างน้อย....มาเรียก็รู้สึกว่าตนเองมีกำลังใจที่จะต่อสู้ต่อไป ไม่ใช่เพื่อเธอ....ไม่ใช่เพื่อความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ที่เป็นไปไม่ได้ แต่มันเพื่อคนอื่น....เพื่อสิ่งที่น่าเบื่อและแสนน่ารังเกียจนี้ “ หากแพนโดร่าสามารถขอพรได้ทุกอย่างจริง ๆ ” เธอเว้นจังหวะ... “ ฉันจะขอ....ให้พวกเธอมีชีวิต.....ชีวิตที่มีพร้อมทั้งความคิดและจิตใจ... ” มาเรียกล่าวเป็นมั่น คาโลได้แต่ตกตะลึงกับคำพูดที่ไม่ต่างจากสาบานนั่น เธอแทบจะโผเข้าใส่ผู้เป็นนาย มือเล็ก ๆ บีบที่แขนอีกฝ่ายพลางออกแรงเขย่าไปมา “ ไม่ได้นะคะ ท่านมาเรียจะเอ่ยแบบนี้ไม่ได้ รีบถอนคำพูดเร็วเถอะค่ะ!! ” มาเรียสับสน “ ถอนคำพูด?....ทำไมล่ะ?? ” แต่ยังไม่ทันจะอธิบายอะไร ท้องฟ้าที่เป็นสีดำมืดก็ขยายตัวกว้าง มันถูกแหวกออกจนเห็นแสงสีแดงเลือด มือหนึ่งเล็ดลอดออกมาจากช่องทางนั้น ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ และเข้าใกล้มาเรียขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนมือยักษ์....ไม่สิ มือของพระเจ้าที่ไม่มีคำว่าสิ้นสุด “ เจ้าแห่งพันธะ..... ” คาโลทรุดลงนั่งกับพื้น ตัวของเธอสั่นเทา มาเรียเองก็กลัว แต่พอเห็นอาการของคนข้าง ๆ แล้วทำให้เธอดูจะเป็นกังวลปนเปไปกับความสงสัยมากกว่า “ เจ้าแห่งพันธะ? ใครกัน? แล้วทำไมเธอต้องกลัวถึงเพียงนี้ ” ฝ่ามือใหญ่ยักษ์นั้นกระแทกลงกับพื้นจนเกิดเสียงดังสนั่น ดินแตะระแหงเป็นรอยหลายสิบกิโลเมตรราวกับเกิดแผ่นดินไหวครั้งใคร และทันทีที่มือนั้นเคลื่อนตัวลอยสูงขึ้น คำบางคำก็ปรากฏ....ก่อนจะแปรรูปเป็นเสาศิลาขนาดสูงเสียดฟ้า “ มันคือเสาแห่งพันธะ.... ” คาโลว่า หลังจากเธอเริ่มตั้งสติได้ มือนั้นหายไปท่ามกลางกลุ่มเมฆอีกครั้ง ดวงตาสีเขียวสดจ้องมองมันจนจบ “ เสาแห่งพันธะ?? ” “ เสานี้จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อท่านแสดงเจตนารมณ์และความต้องการอย่างชัดเจน เมื่อครู่ท่านมาเรียได้กล่าวออกไปแล้ว...... ” ดวงหน้าที่ดูเศร้าหมองทำให้มาเรียอดสงสัยหนักไม่ได้ “ แล้วทำไมเธอถึงต้องกลัวแบบนั้น? มันแย่มากเลยหรือ? ” คาโลส่ายศีรษะไปมา “ คาโลก็ไม่รู้ แต่จากที่เคยได้ยินมา มันน่ากลัวมาก....โทษแห่งการบิดเบือนคำพูด บิดเบือนพันธะ.. ” มันไม่แปลกเลยที่คาโลจะไม่รู้ เพราะตลอดเวลาที่เธอเป็นข้ารับใช้นั้น เจ้านายของเธอแต่ละคนไม่เคยหนีรอดชะตากรรมจนสามารถฝ่าฝันไปได้ถึงจุดสิ้นสุดเลยสักครั้ง ส่วนใหญ่จะพ่ายแพ้และถูกลงโทษตามกฎ ซึ่งถือว่าโชคดีมาก ที่พวกข้ารับใช้จะแค่แหลกสลายเพื่อรอเวลาที่เหมาะสม เธอจึงยังคงจำเรื่องราวที่ผ่านมาได้ แม้ไม่มากมายแต่ก็ไม่ได้น้อยเลยหากเทียบกับปีศาจตนอื่น ๆ และมาบัดนี้....เธอหวังว่าเธอจะเป็นปีศาจตนที่ได้เห็นถึงความหมายที่แท้จริงของพันธะ มาเรียมองดูสภาพโดยรอบที่ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนไปก็ลุกขึ้น หันมองคนข้างกายก่อนยิ้ม “ หมดเวลาแล้วล่ะ...ไปกันเถอะคาโล ” อีกฝ่ายหันมอง ก่อนจะหลับตาลงจะหายตัวไปอย่างรวดเร็ว มาเรียเองพอคาโลหายไปเธอก็หลับตา รับสิ่งต่าง ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้น “ แล้วพบกันนะ.... ” พื้นที่เธอยืนเกิดรอยแยก ค่อย ๆ ขยายจากรอยเล็กเป็นรอยใหญ่ แตกระแหงจนความหนาแน่นของพื้นดินไม่อาจทนไหว ต้องแตกสลายจนเกิดช่องว่างสีดำทมิฬ เธอตกลงสู่ห้วง ๆ เดิมอีกครั้ง ตกลงลึก.....ลึกลงอย่างไร้จุดสิ้นสุด ดำดิ่งสู่ความมืด....ครั้งแล้วครั้งเล่า... . . . . . . เสียงระฆังแห่งการเริ่มต้นดังขึ้น... . . . . . . เลือดหยดนี้....จะเป็นเลือดหยดแรกของเกมอันน่าตื่นเต้นเกมนี้.... ================TBC.=============== ผู้แต่ง – เหอ ๆ ยังไม่ล่มครับยังไม่ล่ม แต่ช่วงนี้ผมงานเยอะขนาดหนักจริง ๆ ต้องบอกว่าเยอะมากจนผมเองยังเหนื่อย -*- นี่พอดีเคลียเสร็จไปแล้วหนึ่งอย่าง (แต่ดูท่าว่าจะต้องมีแก้แหงม ๆ) ก็เลยแอบอู้มาต่อสักนิด เนื้อเรื่องดำเนินเรื่อย ๆ ปริศนาจะไขออกทีละเปราะ ๆ เพื่อไม่ให้เกิดความกำกวมแบบไขทีเดียวตอนจบเรื่อง ไม่งั้นคนอ่านมึนกันตายแน่ ๆ (ขนาดคนแต่งบางทียังไม่รู้จะแก้ปมยังไงเลย) ผมก็เลยตัดสินใจคลายปมทีละปมไปเลยดีกว่า มาเรียเป็นบทตัวละครที่ผมเห็นแล้วโดนอีกตัวหนึ่ง คือเธอสมัครมาได้ตรงจริง ๆ แต่พอแต่งมาแล้วปรากฏว่ามันยาก เพราะเธอดีเกินไป ฮา....แต่สุดท้ายก็แต่งออกมาได้ล่ะนะ ยังไงก็ขอบคุณการติดตามและกำลังใจที่ดีเสมอมาครับ แล้วพบกันตอนหน้าเน้อ ^^ เครดิตเพลง : Pray จากเกม Shin megami tensei : Digital devil saga
Re: [Fic รับสมัคร] Pandora : ตอนที่ 1.3 UP!!22/07/51 =[]=bbb Gothic ได้ใจจริงๆครับ อ๊าก ชอบตอนคาโลปรากฏตัว ชอบตอนที่คาโลถามว่า "เหงาเป็นศัตรูประเภทไหน" metaphor ได้ใจจริงๆครับ นุ๊กกี้แต่งได้ซึมซาบถึงอารมณ์โดดเดี่ยวอ้างว้างและโหยหามาก (อิจฉาทีเดียว จบวรรณคดีมาแต่ทำไม่ได้ขนาดนี้ T T) ผมชอบทุกตอนที่ปรากฏ มันออกมาในโทนเดียวกัน ซึมลึก แถมยังสะท้อนตัณหาอะไรลึกๆของมนุษย์ด้วย (แต่โทนออกไปในแนวซาตาน dark magic มากกว่าจะออกโทนสัจธรรมเนอะ) สนุกมาก รอตอนต่อไปอยู่นะครับ
Re: [Fic รับสมัคร] Pandora : ตอนที่ 1.3 UP!!22/07/51 ตัวละครค่อยๆโผล่กันออกมาตอนละคนเลยเเฮะ คราวนี้เป็นบทของมาเรียสินะ ฟิคพี่อันนี้คนละขั้วสุดๆกับไอ้ฟิคโรงเรียนนั่นเลย พอดีช่วงนี้ใกล้สอบเลยไม่ค่อยมีเวลาเเต่งของตัวเองเลยเเฮะ หลังสอบเสร็จต้องรีบปั่นตอนเเรกออกมาให้ด้ายยย
Re: [Fic รับสมัคร] Pandora : ตอนที่ 1.3 UP!!22/07/51 ว้าวทุกอย่างกำลังจะเริ่มแล้วน่ะสิ ตื่นเต้นมากเลยๆๆๆๆ
Re: [Fic รับสมัคร] Pandora : ตอนที่ 1.3 UP!!22/07/51 โหยๆมี๊งานเข้า -0- สู้ต่อไปครับมี๊.... ว่าแต่วันนี้ไม่เห็นบอกผมเลยว่าอัพแล้ว =[]=" เข้ามาด้วยความงุนงงเล็กน้อย 555+ ถึงตอนนี้ก็ชอบบรยากาศและการบรรยายของมี๊อยู่ครับ 'w'b เยี่ยม ! เห็นภาพและรู้สึกได้ตามตัวละครจริงๆ อร๊ากกก ชอบคาโล >[]<,, เนื้อเรื่องตอนนี้ก็ดำเนินใกล้การเริ่มต้นของการต่อสุ้แล้วสิ - -+ ตื่นเต้ลลลลล จะรอตอนต่อไปนะครับ ^^/
Re: [Fic รับสมัคร] Pandora : ตอนที่ 1.3 UP!!22/07/51 ผมชอบการบรรยายฉากที่สุดครับ มาแล้วๆ อีกคนผู้ถือกุญแจ ชอบจริงๆ รอตอนต่อไปมากระชากอารมณ์แรงๆอีกครับ - -+
Re: [Fic รับสมัคร] Pandora : ตอนที่ 2 UP!!16/08/51 Title : Pandora : ตอนที่ 2 เปิดฉากม่านสีเลือด Author : Derick Genre : Mystery / Fantasy / Adventure (Suspense / Thriller or Horror) Rating : G Disclaimer : เป็นเรื่องที่มีเนื้อหาค่อนข้างรุนแรงต่ออารมณ์ความรู้สึกในบางฉากบางตอน มีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความเป็นและตายเสียส่วนใหญ่ หลับตาลงเถิด.... หลับเสียให้สนิท.... แล้วจงสรรค์สร้างความฝัน.... ที่เปี่ยมไปด้วยความทุกข์อันแสนทรมาน... เปี่ยมไปด้วยความมืดมิดอันน่าหวาดหวั่น.... แล้วเมื่อเธอลืมตาตื่นขึ้นพบกับความเป็นจริง เธอจะรู้ว่าฝันนั้นได้ช่วยสร้างความเข้มแข็งให้เธอได้มากมายเหลือเกิน “ เพราะโลกแห่งความฝัน....มันไม่เลวร้ายอย่างโลกแห่งความจริง ” . . . . . . แน่ใจงั้นหรือ? ความมืดมิดของรัตติกาลปกคลุมทั่วผืนฟ้าอันกว้างใหญ่ ดวงจันทร์กลมโตสะท้อนตัวลงบนแม่น้ำสายกว้าง ลมเย็นโบกพัดไหววูบตามสภาพอากาศอันหนาวเหน็บ เกลียวคลื่นที่ถูกก่อพลิ้วระลอกจนสร้างความสั่นไหวให้แก่เงาสว่างที่ทาบทับอยู่ ในช่วงวินาทีนั้นที่ประกายความงดงามของแสงแห่งดวงจันทร์ถูกบดบังด้วยเมฆสีดำหนา ซึ่งเคลื่อนคล้อยก่อตัวอย่างไม่อาจหาที่มาที่ไปได้ มันกลืนกินนายของท้องฟ้ายามค่ำจนหมดสิ้น ไม่มีแม้กระทั่งช่องทางให้ทำหน้าที่ส่องแสงลงบนผืนโลกเลยสักนิด เสียงระฆังยามค่ำคืนตีบ่งบอกเวลาวิกาล พลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งวันใหม่ ทุกครั้งทุกจังหวะที่สะท้อนก้อง เรียกเงาเสียงหัวเราะคิกคักบาง ๆ จากเหล่าผู้รอคอยให้ผสานไปกับเสียงลมหายใจของมนุษย์ผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ จงรื่นเริงไปกับบทเพลงแห่งเลือดที่ถูกบรรเลง จงครื้นเครงไปกับมหกรรมแห่งชีวิตที่ลิขิตด้วยความตาย เสียงระฆังครั้งสุดท้ายจบลงพร้อมกับภาพบรรยากาศภายนอกที่แปรเปลี่ยน พายุหิมะหนาวเหน็บที่ปรากฏออกมาในยามค่ำคืนพัดกระหน่ำจนชาเข้าไปถึงไขกระดูก พื้นดินที่น่าจะถูกปูไปด้วยปุยขาวสะอ้านกลับโดนโฉลมด้วยสีแดงแห่งโลหิต เสียงหวีดหวิวของลมคล้ายเสียงแว่วของมนุษย์ผู้ใกล้หมดลมหายใจดังลอดเข้าโสตการฟังของชายผู้ยืนหลับตานิ่ง เส้นผมสีดำพลิ้วไหวตัดกับผิวขาว ร่างกายองอาจสมกับดวงหน้าคมคาย “ ช่างเป็นโลกที่แสนตอกย้ำเหลือเกินนะ.... ” เขาพึมพำพร้อมรอยยิ้มเย้ยหยันตนเอง ลมหายใจถูกสูดเข้าเต็มปอด “ ว่าอย่างนั้นไหม.....วาเลธ? ” ขนนกสีดำสนิทร่วงหล่นลงบนมือของผู้เอื้อนเอ่ย ดวงตาสีน้ำเงินจ้องมองมันก่อนค่อย ๆ แหงนหน้าสู้กับพายุหิมะที่ตกลงมาอย่างหนัก ในสุดท้องฟ้านั่น...ในที่ ๆ สายตาของเขาสามารถมองได้ถึง ปีกสีดำสนิทที่งดงามและน่าพรั่นพรึง เสมือนก้อนอะไรสักอย่างที่ถูกห่อหุ้มด้วยขนปีกสีดำสนิทพุ่งตรงลงมาอย่างรวดเร็ว เฉกเช่นอุกกาบาตจากฝากฟ้าซึ่งทิ้งตัวลงมาสู่ผืนดิน มอดไหม้ด้วยเปลวเพลิงจากการเสียดสี สัมผัสกับความชื้นจนเหลือเพียงสะเก็ดคราบซึ่งครอบคลุมพลังอันมหาศาลไว้ภายใน ชั่ววินาที...ปีกที่ห่อหุ้มก็แผ่สยายออกบดบังท้องฟ้าในรัศมีสายตา พลางสะบัดตามการเคลื่อนไหวของร่างกายเจ้าของ พลันดวงตาสีดำสบกับดวงตาสีน้ำเงิน ร่างนั้นก็นั่งลงคุกเข่า นอบน้อมแก่ผู้เป็นนายตนเอง “ เป็นการปรากฏตัวที่น่าทึ่งไม่เปลี่ยนเลยนะ... ” “ หากนกไม่ลงมาจากฟากฟ้าแล้วจะให้มาจากที่ใดกันเล่านายท่าน... ” เสียงราบเรียบเอ่ย เด็กหนุ่มแย้มยิ้ม “ นายท่าน....คำเรียกแบบนี้ดูไม่คุ้นหูเลยนะครับ...มันดูเหมือนห่างไกลจริง ๆ ” ห่างไกลจนไม่อาจเอื้อมมือไขว่คว้าได้ วาเลธมองตามสายตาของอีกฝ่าย เพียงแค่นั้นก็จับความได้ “ หากท่านมิปรารถนาจะให้ข้าเรียกท่านเช่นนั้น ข้าจะขอเสียมารยาทแล้วเอ่ยเรียกท่านว่า ท่านไกอัส ” ใบหน้าคมก้มลงมองร่างที่นั่งคุกเข่า “ มันไม่ใช่การเสียมารยาทเลยวาเลธ ผมรู้สึกดีมากจริง ๆ ” ทว่าการสนทนาต้องหยุดลงอย่างกะทันหัน เมื่อจู่ ๆ รอยเท้าที่ไม่ทราบจำนวนแน่นอนก็ปรากฏขึ้น เหยียบย่ำบนพื้นหิมะสีแดงเลือดจนกลายเป็นร่องหลุมขนาดเล็กใหญ่ต่างกันไป “ ช่างเป็นแขกที่ไม่มีมารยาทจริง ๆ เลยนะครับ ” ไกอัสเหยียดยิ้มเย็น เสียงสายลมที่พัดท่ามกลางพายุหิมะว่าดังแล้ว แต่เสียงโหยหวนอย่างหิวกระหายของเหล่าผู้ไม่ประสงค์ดีกลับดังเสียยิ่งกว่า ร่างที่เห็นเพียงการเหยียบย่ำปรากฏกายอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกระโดดเข้าใส่คนทั้งคู่ เหมือนนักล่าที่พร้อมจะขย้ำเหยื่อได้ทุกเมื่อ เด็กหนุ่มถอยหลังไปเพียงหนึ่งก้าว ปล่อยให้ร่างที่นั่งคุกเข่าอยู่มาแทนที่ วาเลธจ้องเขม็งไปยังศัตรู ปีศาจร้ายเดนตายที่ซ่อนตัวอยู่ในซอกหลืบของฝันอันน่ากลัว คอยดูดกลืนความเศร้าโศกและด้านลบของจิตมนุษย์เป็นอาหาร พวกมันไร้ซึ่งตัวตน สมองและความคิด สิ่งเดียวที่รับรู้ได้คือความหิวกระหายที่ประดังเข้ามาไม่รู้จักจบจักสิ้น “ ระวังตัวด้วยท่านไกอัส... ” วาเลธยื่นมือออกไปพร้อมกับยืดท่อนแขนจนสุด บนฝ่ามือนั่นบังเกิดกระแสลมปั่นป่วน บีบอัดรัดจนแน่น ก่อนค่อย ๆ ขยายตัวแล้วแปรเปลี่ยนเป็นรูปร่าง หอกด้ามยาวปรากฏแก่สายตาโดยพลัน มือทั้งสองกระชับหอกแน่น พลางเหวี่ยงไปมาอย่างชำนาญ ฟาดฟันศัตรูที่ถาโถมเข้าใส่ด้วยแรงแห่งลมและความคมของมัน เงาวาววับของโลหะสีเงินถูกย้อมไปด้วยเลือดสีดำ ปีกใหญ่กระพือร่อนระนาบไปตามพื้น เก็บกวาดอย่างรวดเร็วและเงียบเชียบราวพายุโหม ดวงตาสีน้ำเงินจ้องมองไปยังข้ารับใช้ตน มองการเคลื่อนไหวทุกกระเบียดนิ้ว ท่วงท่าสง่างามเฉกเช่นนักรบอหังการ เฉิดฉายอยู่ท่ามกลางหิมะสีเลือดและกลุ่มก้อนเงาดำ หอกในมือถูกสะบัดหนึ่งครั้ง เลือดสีดำที่เปรอะเปื้อนก็กระเด็นออก “ พวกเดนตาย....ท่าทางว่าค่ำคืนนี้คงมีมนุษย์ฝันร้ายกันมากนัก... ” แต่แล้วหอกนั้นก็กลับถูกยกขึ้นอีกครั้ง เพื่อรับการโจมตีอันรุนแรงของบางสิ่งบางอย่าง วาเลธถอยรูดลงไปจนเกือบชนกับผู้ยืนอยู่ด้านหลัง แต่กระนั้นก็ยังคงทานพลังนั้นไว้ได้ “ สมกับเป็นผู้ที่ได้รับพรจากยมทูตเสียจริง... ” ชายปริศนาเอ่ยแผ่ว รอยยิ้มบางละเลียดลงบนริมฝีปากได้รูป ดวงตาสีแดงสดจ้องมองดวงตาสีดำพาดผ่านกระบองยักษ์อาวุธคู่กาย วาเลธงัดหอกตนขึ้นอย่างรวดเร็ว อีกฝ่ายจับสัมผัสได้จึงรีบกระโดดถอยหลังตั้งหลัก แล้วก้าวถอยหลังไปอีกเล็กน้อยเพื่อยืนเทียบเคียงกับผู้เป็นนายตน เจ้าของเส้นผมสีน้ำตาลแดงเดินออกมาจากเงามืดด้านหลัง “ นายสินะที่เป็นราชาแห่งฝันในคืนนี้? ” ผู้มาเยือนพูดโพล่งออกมาอย่างไม่รีรอสิ่งใด ไกอัสนิ่งมอง “ คงจะเป็นเช่นนั้น ” เขาพิจารณาต่อ “ ผู้รับใช้ที่แข็งแกร่งขนาดนี้....ผู้กุมกุญแจสินะครับ? ” “ ไม่จำเป็นต้องตอบคำถาม..ชิน!!! ” กระบองเหล็กกล้าถูกยกขึ้นสุดกำลังพร้อมกับร่างของปีศาจเผ่าพันธุ์ยักษ์ที่ลอยตัวสูง พุ่งโจมตีมนุษย์ผู้เป็นดั่งเป้าหมายตามคำสั่งนายตน วาเลธที่ยืนรอท่าพร้อมก็ออกรับแรงกระแทกนั่นอีกครั้ง หากว่าเผ่าพันธุ์นกผู้ครอบครองพลังแห่งสายลมได้เปรียบเรื่องความรวดเร็วแล้ว เผ่าพันธุ์ยักษ์ผู้กุมอำนาจของผืนพิภพคงเป็นจ้าวแห่งความแข็งแกร่งและพละกำลังอันมหาศาล วาเลธรับแรงนั้นด้วยความยากลำบาก ริมฝีปากขบเม้มแน่น ก่อนจะใช้กระแสธรรมชาติช่วยเหลือไว้ ปีกสีดำถูกแผ่สยายออก รับแรงของพายุที่ถาโถมเข้าใส่ แปรเปลี่ยนเป็นพลังงานขั้นสูง บีบอัดผลักดันจนผู้รุกไล่เริ่มถอยร่นบ้าง ได้เปรียบเสียเปรียบต่างกัน เผ่าพันธุ์ทั้งสองที่ปะทะช่างเป็นการแสดงน่าดูชมเสียนี่กระไร รอยยิ้มภายใต้กรอบหน้ากากตัวตลกแย้มกว้าง ดวงตาหรี่ลงจนแทบปิด เหมือนการมาเยือนครั้งนี้จะอยู่นอกเหนือจากความคาดหมาย วาเลธและชินต่างเลิกราการต่อสู้ฉับพลัน เข้ายืนอยู่เบื้องหน้าเพื่อคุ้มครองผู้เป็นนายตามพันธะสัญญา ตัวตลกแปลกหน้าแสร้งทำท่าตกใจ ผวาวิ่งวนไปวนมาอย่างรวดเร็วรอบ ๆ คนทั้งสองกลุ่ม “ โอ้....ตายแล้ว ๆ แย่แล้ว ๆ นายท่านทั้งสองแย่แล้ว ๆ ” คนความอดทนต่ำกำมือแน่น ดวงตาสีดำแข็งกร้าวพยายามจับจ้องไปยังการเคลื่อนไหวนั่น “ หยุดสักที!! ” เขาตะโกนก้อง ยังไม่ทันสิ้นลมหายใจของจังหวะคำพูด ร่างที่พยายามสร้างความปั่นป่วนจนน่าปวดหัวนั่นก็หยุดชะงักกึก ยืนนิ่งเป็นหุ่นขี้ผึ้ง ไม่พูด ไม่กระทำ ไม่เอ่ยอะไรออกมาเลย แม้กระทั่งลมหายใจ....คนมองเองยังรู้สึกว่ามันไม่มีด้วยซ้ำ “ ไม่คิดว่าคุณผู้นำทางจะออกมาขัดขวางการต่อสู้ในครั้งนี้ ” เด็กหนุ่มผู้เงียบงันเอ่ย คนถูกต่อว่ากราย ๆ หัวเราะคิกคัก มันสะท้อนก้องไปทั่วพื้นที่ ดังเรื่อยไปราวเสียงตอบโต้กันระหว่างคนเอ่ยและพายุหิมะที่ปกคลุมหนาตา “ ใจเย็นก่อนท่านไกอัส ท่านเฟรม ที่ข้าน้อยมาในวันนี้มิได้อยากจะขัดการต่อสู้แต่อย่างใด....เพียงแค่... ” “ ถ้าไม่ได้มาขัดก็ถอยไปซะ!!จะได้จบ ๆ ไปเสียที ” เฟรมตะโกน “ ได้อย่างไรกันนายท่าน....ขืนเป็นแบบนั้นตัวตลกอย่างกระผมจะหาความสำราญได้อย่างไร ” ตัวตลกซึ่งถูกขนานนามว่าผู้นำทางกล่าว รอยยิ้มเหยียดกว้างยังคงทาบทับอยู่บนหน้ากากสีขาวขุ่น ดูท่าว่าคำพูดนั่นจะไม่ได้ไหลเข้าหูของคนเลือดร้อนเลยสักนิด เฟรมเตรียมสั่งให้ชินเข้าปะทะอีกครั้ง พอกับที่ไกอัสสั่งให้วาเลธคอยตั้งรับและเตรียมตัวให้พร้อมทุกสถานการณ์ ก่อนที่การปะทะจะเริ่มต้นอีกครั้ง ทุกอย่างก็หยุดนิ่งลง สายตาทุกคู่จับจ้องไปยังสัมผัสชีวิตอีกดวง ซึ่งค่อย ๆ เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ ใกล้ขึ้น.....ใกล้ขึ้นจนร่างนั้นโผล่พ้นเงามืดออกมา ต้องกับแสงสว่างที่ถูกกำหนดขึ้นภายใต้ความคิดของราชาแห่งฝัน เด็กหนุ่มอ่อนวัยในชุดนอนหยุดยืนนิ่งมอง มือทั้งสองกอดตนเองเพื่อบรรเทาความหนาวเหน็บ “ คะ....คน มีคนอยู่จริง ๆ ด้วย!! ” เขารีบถลาเข้าไปกลางกลุ่ม มองซ้ายมองขวาอย่างยินดี “ ผมไม่คิดเลยว่าจะมีคนอยู่ด้วย พอตื่นมาก็เห็นแต่พายุหิมะ บ้านก็เหมือนไม่ใช่บ้าน ไม่สิ....ไม่รู้ว่าผมตื่นนอนที่ไหนมากกว่า ” เขาร่ายยาว เสียงปรบมือสามครั้งยังขึ้นวัดการสนทนา ประกายเพลิงสวดงามจากพลุนับสิบถูกจุดขึ้น เหมือนกัน.....เหมือนกันไม่มีผิด เหมือนกับตอนที่พวกเขาได้รับกุญแจจากเจ้าตัวตลกนี่ไม่มีผิด “ บราโว!!!!นายท่าน!!!ในที่สุดนายท่านก็มา!!! ” ตัวตลกปริศนาเอ่ยเสียงดัง มือทั้งสองของมันกำมือของเด็กหนุ่มเขย่าไปมาแรง ๆ เฟรมและไกอัสที่ยืนดูอยู่เกิดความรู้สึกเหมือนกัน เขางงวยและสงสัยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ดูไปแล้วเด็กคนนี้มีอายุเพียงไม่เท่าไหร่ ซ้ำยังเดินเข้ามาโดยไม่รู้ว่าโลกแห่งนี้คือที่ไหน....ที่สำคัญ....เป็นมนุษย์ที่ไม่มีข้ารับใช้ มันเป็นไปได้ยังไงกัน! ดวงตาสีแดงที่แต้มบนหน้ากากเหลียวมองคนทั้งสอง “ ใจเย็นก่อนนายท่านทั้งสอง...ผมกำลังจะแนะนำแขกผู้มีเกียรติท่านสุดท้ายให้ได้รับรู้กันไว้... ” “ ท่านอวิ๋นหลง ผู้กุมกุญแจดอกสุดท้ายแห่งเกม ๆ นี้ ” กุญแจสีทองปรากฏเบื้องหน้าเด็กหนุ่ม อวิ๋นหลงรีบยกมือขึ้นรับอย่างอัตโนมัติ ด้วยกลัวว่ามันจะตกลงไปจมกองหิมะเลือดจนหาไม่เจอ เฟรมที่มองอยู่นานแสยะยิ้มเย็น “ งั้นก็ดีเลย....ทำให้จบ ๆ เสียตรงนี้ ” แต่ก่อนจะได้ขยับไปไหน เคียวสีดำด้ามยักษ์ก็ปรากฏขึ้น มันสร้างแรงกดดันมหาศาลที่แม้แต่มนุษย์ธรรมดาผู้ไม่เกี่ยวข้องกับโลกแห่งนี้ยังรับรู้ได้ ปลายของเคียวตวัดวับเบื้องหน้าเด็กหนุ่ม ขวางระหว่างชินและอวิ๋นหลงไว้ในระยะพอประมาณ “ ข้าก็ไม่อยากห้าม....แต่เสียดายที่ค่ำคืนนี้มันจบลงแล้ว.... ” ทุกคนมองไปโดยรอบ พายุหิมะที่ตกลงมาอย่างหนักเริ่มซาลงจนหยุด ความมืดมิดจากปลายท้องฟ้าเริ่มถูกแสงสว่างในยามเช้ากลืนกิน อันว่าโลกแห่งฝันมักจะอยู่ได้เพียงชั่วครู่ เวลาวันนี้หมดลงแล้ว.... ผู้เป็นราชาแห่งฝันก้มหน้าลงพลางแย้มยิ้ม “ หึ....เห็นทีว่าวันนี้คงจะไม่มีโอกาสแล้ว ไว้คราวหน้าแล้วกันนะครับ ” เขาเว้นจังหวะ “ คราวหน้า....ผมจะเป็นฝ่ายไปเยือนคุณบ้าง ” ดวงตาสีน้ำเงินจ้องไปยังเฟรม ก่อนจะหันเหมาทางอวิ๋นหลง “ คุณก็เช่นกัน....ผู้กุมกุญแจดอกสุดท้าย... ” เด็กหนุ่มทำท่าจะเอ่ยถามอะไรหลาย ๆ อย่าง แต่ก็มองไปเห็นนิ้วชี้ที่ถูกยกกั้นปากไว้ ตัวตลกแย้มยิ้มกว้าง “ คำถามเหล่านั้น....มีเพียงท่านคนเดียวเท่านั้นที่จะตอบคำถามของตนเองได้ ” เขาค้อมศีรษะ “ แล้วพบกัน....นายท่าน ” ภาพที่อวิ๋นหลงเห็นคือท้องฟ้าที่ค่อย ๆ เกิดรอยร้าว ราวกับบานกระจกที่ค่อย ๆ ถูกกัดกร่อนจนแตกสลาย เศษของท้องฟ้ากระเด็นไปทั่ว เขารีบยกมือป้องกันตัวเอง และในวินาทีนั้นที่เขารู้สึกถึงการร่วงหล่น ตัวเขากำลังจมดิ่งสู่ความมืด..... อย่างรวดเร็ว....จนไร้ซึ่งหนทางแก้ไขใด ดวงตาสีดำเบิกกว้างอย่างตกใจ เส้นผมสีน้ำตาลหยักศกน้อย ๆ เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ลมหายใจหอบถี่หนักราวคนขาดอากาศมาเป็นเวลานาน มือเรียวยกขึ้นสัมผัสหน้าอก จับจังหวะการเต้นของหัวใจที่ถี่เร็วยิ่งกว่ากลองรัว “ ฝัน.....ฝันใช่ไหม??? ” เด็กหนุ่มเอ่ยกับตนเอง ริมฝีปากสั่นด้วยความหวาดกลัว เขารู้.....รู้ตัวดีที่สุดว่ามันไม่ใช่ความฝัน เพราะในมือที่เหลืออีกข้างหนึ่งนั้น.....ในมือข้างนั้น กุญแจสีทองเปล่งประกายในมือที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ ====================TBC================== Talk : อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกก อารมณ์อย่างเฟล ตอนแรกนึกว่าจะได้ฟิคใหม่ ไป ๆ มา ๆ มันโยงกันได้นี่หว่าเลยเอามาต่อเสียเลย 5555555 ตอนนี้เป็นตอนที่ปริศนาเกิดขึ้นพร้อมกันหลายจุดมาก มันเป็นการเปิดฉากของเหตุการณ์หลักอย่างที่สอง อาจจะงงกันบ้างต้องขออภัย แต่ให้รู้ไว้ผมตั้งใจทำให้งง 555555 ขอบคุณที่ติดตามครับ แล้วพบกันตอนหน้าเน้อ *-* /
Re: [Fic รับสมัคร] Pandora : ตอนที่ 2 UP!!16/08/51 พรวด กร๊ากกกกก ตอนนี้โคตรจะงง ปริศนาเยอะแยะมากมาย ว่าแต่อวิ๋นหลง มันทำไมดูเด็กสุดๆ? นิสัยเจ้าเฟรมได้ใจจริงๆมันต้องหัวดื้อด้านแบบนี้เซ่ถูกต้องที่สุดแล้วววววว มี๊มาทำสร้างปริศนาไว้แบบนี้ห้ามล่มนะเออ - - มันข้องใจจจจจจจจ
Re: [Fic รับสมัคร] Pandora : ตอนที่ 2 UP!!16/08/51 T[]T มันช่างหลอน เย็นยะเยือก อะไรเช่นนี้ !!!! ชอบบรรยากาศของฉากหิมะครับ นุ๊กกี้บรรยายได้สุดยอดมาก ช่วงที่อ่านเหมือนกับหลุดเข้าไปในราตรีที่เงียบงันและหนาวเหน้บ มีเพียงปุยหิมะที่ตกลงมาเรื่อยๆเท่านั้น ถึงจะเป็้นความฝัน แต่ผมก็พอจะเก๊ทนะว่ามัน represent อะไรบ้าง เพียงแต่ในหลายๆจุดยังงงอยู่ว่าคำพูดนี้เป็นคำพูดของใคร ปีกนกกับการปรากฏตัวของวาเลธน่าสะพรึงกลัวเป็นที่สุด แต่อะไรบางอย่างยังบอกอยู่ว่า มันไม่ใช่คนเลว ซึ่งจุดนี้ต้องยกความดีความชอบให้ผู้แต่งจริงๆที่ยังสื่อปณิธานของวาเลธออกมาได้ โดยที่ไม่ต้องใช้ตัวอักษรเลย (ผมอยากทำแบบนี้ได้มั่งจัง) มันสะท้อนถึงความมืดมิด จมปลัก และทรนง ได้ในคราวเดียวกัน แต่สุดท้ายตัวขโมยซีนเอกผมว่าก็ยังคงเป็นตัวตลก เสมือนสำนวนจีนที่กล่าวว่า "มิสู้นั่งดูพยัคฆาสู้กัน" อวิ๋นหลงก็เป็นตัวละครที่ทำให้ส่วนท้ายสมบูรณ์ขึ้นมาด้วย ไกอัสดูออกมาเด็กๆอย่างไรแปลกๆ (อาจจะเพราะลงท้ายคำว่า 'ครับ' บ่อย... ละมั้ง) เฟรมเลือดร้อนหยิ่งทะนง เหมือนเปลวไฟสีดำ ส่วนปริศนาก็ยังคงคลุมเครือต่อไป ชวนให้ติดตามอย่างยิ่ง ขอบคุณครับสำหรับฟิคมืดมนๆตอนนี้ แต่งต่อด้วยนะ
Re: [Fic รับสมัคร] Pandora : ตอนที่ 2 UP!!16/08/51 =[]= คุมิไม่เคยอ่านฟิคนี้เลยทั้งๆ ที่สมัคร... สงสัยเพราะตอนนั้นยุ่ง แล้วเห็นบรรยากาศฟิคมืดมนไปมั้งคะ (ช่วงนั้นกำลังนิยมฟิคสีลูกกวาด อนิเมลันลาอย่างอาเรีย เหอๆ) เขียนดีนะคะ ชอบการใช้คำพูด ตัวหนังสือตัวหนาเน้นอารมณ์ชัดเจนดี อ่านเรื่อยๆ สบายๆ ค่ะ คงเพราะมันสั้นด้วยเลยอ่านจบด้วยความเร็วมาก (ฮา...) นึกภาพตัวตลกออกเลย สงสัยเพราะเพิ่งดูแบทแมน หน้าตาคงเปื้อนยิ้มท่าทางจิตๆ เหมือนโจ๊กเกอร์ในนั้น (ฮา..) ไกอัสคุมิสุภาพเชียว ครับตลอดเวลาเลย ก๊ากก~ น่าจะให้หมอนี่สวมแว่นด้วยนะเนี่ย แจ่ม - -+ แล้ววาเลธก็ไฮโซมาก แค่ชื่อก็ฟังดูยิ่งใหญ่แล้ว เป็นนกอีก ถูกใจฮะ ปริศนาเยอะจัง ทุกคนนอนหลับฝันแล้วมาสู้กันเพื่อแย่งชิงกุญแจ เปิดไปสู่กุญแจใหญ่ไขกล่องแพนโดร่ารึไงนะ = =? (มั่วสุดๆ) อย่าล่มเลยนะคะ เดี๋ยวจะกลับไปอ่านฟิคโรงเรียนรั่วนั่นให้จบด้วย คงตัดกับฟิคนี้ชอบกลเนอะ (ฮา...) แล้วคำผิดนิดหน่อยค่ะ ขอไม่เรียงตอนแล้วกัน เผอิญอ่านแล้วเห็นเข้า ไม่ได้ตั้งใจจะเผาเท่าไหร่หรอกนะ เอิ๊ก แสงเขียน -- แสงเทียน นักศึกษามัธยมปลาย -- น่าจะใช้นักเรียนมากกว่านักศึกษาเนอะ มีพรสวรรค์แต่ไม่ใช่เสียนี่ -- แต่ ไม่ใช้ ความนัยน์ -- น่าจะเป็น ความนัย ไม่มี น์ ค่ะ เพราะอันนี้แปลว่าดวงตา เธอรูปไล้ -- ลูบไล้
Re: [Fic รับสมัคร] Pandora : ตอนที่ 2 UP!!16/08/51 อ่านแล้วยังคงมองเห็นภาพอยู่ตลอดเวลา ทำให้รู้ว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร
Re: [Fic รับสมัคร] Pandora : ตอนที่ 2 UP!!16/08/51 บอสสสสสสสสสสสสสสสสสสส เอามาต่อเดี๋ยวนี้!!! ผมล่ะไม่ได้เข้ามาตั้งนานเนื้อเรื่องผ่านไปเข้มข้นขนาดนี้แล้วหรือนี่ อ่านแล้วเครียดปนหดหู่เหมือนกับแพนโร่จริงๆ แต่ก็เป็นจุดที่ทำให้อยากจะอ่านต่อ อยากจะรู้เรื่องให้มากกว่านี้ ชอบวาเลสจังเลยมาอย่างเท่ ผมนึกถึงตอนบักแซ็คอันเชิญบาฮามุธออกมา แค่นึกคู่ต่อสุ้ก็เป็นต้องนึกสยองแล้ว ช่วงนี้ผมท่าทางจะบิวเครียดๆได้ดีอีกเรื่องที่ฮาๆหน่อยถึงได้ไม่ขึ้นเลย แต่ก้รออยุ่นะครับ ทั้งเรื่องนี้ เรื่องนั้น แล้วก็อีกหลายๆเรื่องรวมทั้งลอสซิตี้ด้วย ผมล่ะยังค้างอยู่เลย ดริกจะเป็นยังไงบ้างเนี่ย อยากจะตะโกนร้องไห้ออกมากับตอนจบ สงสารไท่หลงแต่ก็อยากอ่าน ไว้เจอกันครับ ^ ^
Re: [Fic รับสมัคร] Pandora : ตอนที่ 2 UP!!16/08/51 อารมณ์เหมือนในทีวีดีนะ 555 ไม่ได้อ่านฟิคนานละ ขอไล่อ่านสักเรื่องหน่อยเถอะ คิดถึง~
Re: [Fic รับสมัคร] Pandora : ตอนที่ 3 UP!!01/01/52 Title : Pandora : ตอนที่ 3 ความฝันในความจริง Author : Derick Genre : Mystery / Fantasy / Adventure (Suspense / Thriller or Horror) Rating : G Disclaimer : เป็นเรื่องที่มีเนื้อหาค่อนข้างรุนแรงต่ออารมณ์ความรู้สึกในบางฉากบางตอน มีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความเป็นและตายเสียส่วนใหญ่ ความฝันกับความจริงที่แตกต่างกันเพียงหลับตา... อวิ๋นหลงนั่งมองกุญแจสีทองในมือเป็นรอบที่ร้อยของวัน พยายามนึกใคร่ครวญถึงเหตุการณ์เมื่อคืน มันคือความฝันอย่างงั้นหรือ? ถ้าใช่...ก็คงเป็นความฝันที่เหมือนจริงและไร้สิ่งแต่งแต้มใด ๆ ที่สุดที่เขาเคยได้สัมผัสมาในชีวิต ผู้คนที่เหมือนมีตัวตน ชีวิตและจิตใจ แต่ภาพบรรยากาศในโลกนั้นกลับกลายเป็นภาพวาดเสมือนจริงที่ถูกรังสรรค์ขึ้น หิมะอันหนาวเหน็บที่ถูกชโลมไปด้วยเลือด ไม่มีหรอก....ยังไงก็ไม่มีทางจะเป็นสถานที่จริงในโลกมนุษย์ไปได้ “เฮ้อ...” ยิ่งคิดยิ่งปวดหัว “ว่าไง!!” เสียงที่มาพร้อมแรงมือกระแทกเข้าหลังของคนนั่งถอนหายใจอย่างจัง ดวงตาสีดำหันขวับมองเพื่อนของตน “มันเจ็บนะเว้ย!! ทักทายแบบคนปกติเขาไม่ได้รึไงกัน!!” อีกฝ่ายหัวเราะ “แหม....เอาน่า ๆ นิดหน่อย ๆ ก็ฉันเรียกนายอยู่พักแล้วดันไม่รู้สึกตัวเองนี่หว่า” ยูนั่งลงข้าง ๆ ก่อนเหลือบมองสิ่งของในมือเพื่อนตน “อะไรน่ะ…เห็นจ้องทั้งวันและ?” อวิ๋นหลงก้มลงมองตามสายตานั่น “กุญแจ..” “กุญแจอะไร? อย่าบอกนะว่าแกไปได้กุญแจบ้านสาวที่ไหนมา!!” “ถ้าฉันได้มาฉันจะยกให้แกคนแรกเลย” ยูทำหน้าเหวอใส่ “อย่าบอกนะว่าแกเป็น....” พอเห็นหน้าตากวนแบบนั้นเขาก็อดไม่ได้ที่จะฟาดฝ่ามือลงไปบนไอ้หัวช่างคิดนั่นสักที คนแกล้งแหย่ร้องเสียงหลงด้วยความเจ็บปวด “ไม่เห็นต้องตีเลยนี่หว่า!” “ก็เผื่อไอ้ความคิดบ้า ๆ ของแกมันจะกระเด็นหลุดมาบ้างไงล่ะ” อวิ๋นหลงหัวเราะ พลางเหลือบไปเห็นนาฬิกาเรือนใหญ่ภายในห้องเรียน นี่มันเลิกเรียนมาได้สักพักแล้วนี่นา แต่ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าขาดอะไรไปนะ....เหมือนกับว่ายังไปไหนไม่ได้แบบนั้น “นี่มันจะสี่โมงแล้วนะ....” เขาเอ่ยต่อ “แล้ว?” เด็กหนุ่มคนถามมองเพื่อนจอมกวนของตน “ทำไมรุ่นพี่ไม่มาตามอ่ะ? มีอะไรที่ชมรมรึเปล่า??” ผิดวิสัยเกินไป ปกติแค่เสียงระฆังเลิกเรียนดังขึ้น โรเซสจะต้องมาปรากฏตัวตรงหน้าประตูห้องเรียนเขาแล้ว แต่นี่กลับเงียบหายไปเฉย ๆ หรือจะมีอะไรเกิดขึ้นที่ชมรมรึเปล่า? คิดแล้วให้เป็นกังวล อวิ๋นหลงลุกขึ้นยืน มือหนึ่งคว้าเอากระเป๋าตนเองไว้ “ฉันไปชมรมนะ” ยูที่นั่งอยู่ได้แต่มองตามด้วยสายตางุนงง “อะไรของมัน พอเขามาตามก็บ่น พอเขาไม่มาตามก็สงสัย” มือยกขึ้นเกาศีรษะเบา ๆ แต่ก็ไม่ยอมปล่อยให้ความสงสัยหลุดลอยไปเฉย ๆ เขาลุกขึ้นพลางหยิบกระเป๋าตนเองแล้ววิ่งตามอีกฝ่ายไปบ้าง ทันทีที่เสียงประตูห้องดัง สายตาทุกคู่จับจ้องไปยังผู้มาเยือน ชั่ววินาทีนั้นเด็กหนุ่มสังเกตเห็นสายตาของรุ่นพี่หญิงของตน ซึ่งมองมาทางเขาด้วยความตกใจระคนเคลือบแคลงสงสัย ก่อนเธอจะลดระดับสายตาลงแล้วทำตนเช่นปรกติ “แปลกนะจ๊ะ วันนี้ไม่ไปเชิญกลับมาเองได้” พอได้ยินคำทักทายแบบนี้เด็กหนุ่มก็โล่งใจขึ้น “ผมก็แค่แวะมาดู นึกว่าพี่โรสเป็นอะไรไปน่ะ” “หมายความยังไง??” เด็กหนุ่มที่ติดตามมาอีกคนโผล่เข้ามาขัด “ก็ปกติพี่โรสต้องไปรับถึงห้องนี่นา วันนี้ไม่มาก็เลยนึกว่าเป็นอะไรไป” “ฉันสบายดีแล้วปกติดีทุกอย่างย่ะ! แล้วจะยืนทำไม ก็เข้ามาซ้อมสิ!!” เธอยืนเท้าสะเอว อวิ๋นหลงแม้จะหนักใจแต่ก็แย้มยิ้มได้อีกครั้ง อย่างน้อยมันก็เป็นเหมือนเดิม...ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง กว่าจะซ้อมเสร็จและโดนเทศนาก็ปาไปเกือบเย็น แสงของดวงอาทิตย์ที่ส่องสว่างภายนอกเริ่มออกสีรำไร เด็กหนุ่มจ้องมองก่อนจะเหลือบไปเห็นร่างของใครบางคนที่อยู่ไกลออกไป เขาดูคุ้นตากับลักษณะท่าทางนั้นเสียเหลือเกิน “เป็นอะไรของแก??” ยูที่เห็นเพื่อนเหม่อออกไปด้านนอกจึงมองตามไปบ้าง “เปล่า....ไม่มีอะไร” คนถูกถามตอบ สายตายังคงไม่ละจากภาพตรงหน้า มันทำให้ผู้เป็นเพื่อนยิ่งรู้สึกสงสัย “ไม่มีอะไรแล้วมองทำไมว่ะ เห็นมองอยู่นาน แล้วนี่จะไม่กลับบ้านกลับช่องไง???” พอได้ยินคำร่ายยาวเป็นชุดของไอ้เพื่อนช่างพูดก็ทำเอาต้องละสายตา ส่ายศีรษะไปมาอย่างยอมจำนน เขาเก็บข้าวของและสำรวจดูให้ทั่ว ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินไปยังหน้าห้องชมรม เพื่อบอกลารุ่นพี่สาวตามทำเนียมปฏิบัติ “กลับก่อนนะครับ” อวิ๋นหลงเอ่ย “เดี๋ยว....” โรเซสร้องเรียก ดูเหมือนเธอจะมีอะไรข้องใจอยู่จริง “ครับ?” หญิงสาวอ้ำอึ้งเล็กน้อย เหมือนกำลังขบคิดว่าสิ่งที่เธอกำลังจะเอ่ยนั้นสมควรจะพูดออกไปดีหรือไม่ อวิ๋นหลงที่มองเห็นความลำบากใจก็แย้มรอยยิ้มบาง ๆ “มีอะไรก็พูดมาเถอะครับ” “คือ....เมื่อคืน....นายฝันอะไรแปลก ๆ ไหม?” คนถูกถามแอบสะดุ้ง หวังว่าที่โรเซสถามคงไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องที่เขาเป็นกังวลอยู่หรอกนะ “ไม่นี่ครับ...หลับสนิทดี” ใบหน้าหวานของหญิงสาวแต้มด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง เธอถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก “หรอ....งั้นก็ดีแล้ว ว่าแต่รีบกลับบ้านสิ! มัวยืนทำอะไรอยู่ล่ะ มันเย็นมากแล้วนะ!!” เมื่อหมดเรื่องโรเซสก็กลับมาเป็นปกติ เล่นเอายูที่ยืนฟังอยู่ถึงกับงง ส่วนอวิ๋นหลงก็ได้แต่หัวเราะแห้ง ๆ แล้วรีบเผ่นจากตรงนั้นก่อนที่จะโดนใช้งานต่อจนเขาไม่มีโอกาสได้เห็นพระอาทิตย์ในยามเย็น ทั้งสองคนเดินออกมาจากโรงเรียน เรื่อยไปตามทางจนมาถึงทางแยกซึ่งมีระยะห่างพอสมควร ในระหว่างที่เดินกลับพวกเขาทั้งคู่ก็คุยกันเรื่อยเปื่อยไม่ได้สนใจผู้คนหรือสิ่งรอบกายตนนัก จนเมื่อล่ำลากันเขาจึงเพิ่งรับรู้ได้ว่าตนเองถูกติดตามอยู่ตลอดเวลา “คุณ.....!!” บุคคลที่ปรากฏเต็มสองตาของเขาทำเอาตกใจแทบสิ้นสติ เส้นผม ดวงตา รูปร่างและท่าทางเหมือนกับในฝันราวพิมพ์เดียว “เห็นเมื่อเช้า....ไม่นึกว่าจะใช่จริง ๆ” อีกฝ่ายเอ่ยด้วยรอยยิ้มที่แต้มไปด้วยความสนุก เหมือนกับว่ากำลังเจอของเล่นถูกใจที่ตนพลาดไม่ได้เสียแบบนั้น อวิ๋นหลงพยายามตั้งสติ “คุณเป็นใคร? ต้องการอะไรจากผม??” “แน่ใจรึว่าจำฉันไม่ได้???” รู้สึกสนุก....ใช่แล้ว เขารู้สึกสนุกเมื่อเห็นใบหน้าและท่าทีที่แสนกดดันของมนุษย์ จำได้...จำได้อย่างแม่นยำ บุคคลในความฝัน คนที่เกือบจะสังหารเขาในความฝันเมื่อคืน!! “ผมไม่เคยเจอคุณครับ หากไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวก่อน” เขาทำท่าจะเดินจากไปดื้อ ๆ “กุญแจ...มันน่าดึงดูดมากเลยใช่ไหมล่ะ??” คำพูดประโยคเดียวที่ทำเอาอวิ๋นหลงถึงกับหันขวับ แม้จะพยายามหลอกตนเองมาตลอด พยายามปัดป้องหลีกหนีภาพที่วนเวียนไปมาอยู่ในห้วงความคิด แต่สุดท้าย....สุดท้ายเขากลับถูกต้อนจนมุมด้วยความสงสัยและความหวาดกลัวของตนเอง “หนีไม่พ้นหรอก....มีแต่ความตายเท่านั้นแหละถึงจะทำให้นายหลุดพ้นจากเกมนี้ได้” ดวงตาสีดำแข็งกร้าวจ้องมอง รอยยิ้มเย็นเปรยบนใบหน้า สองขายาวสาวเท้าเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ อวิ๋นหลงรู้สึกถึงความกดดัน บรรยากาศรอบ ๆ แม้จะดูธรรมดาหากแต่ว่าจิตใจเขาตอนนี้กลับอึดอัดเสียยิ่งกว่าถูกขังในห้องคบที่แสนมืดมิด พอเห็นเด็กหนุ่มถอยหลังหนี ผู้มาเยือนยิ่งรุกไล่ “อยากรู้จริง ๆ....หากนายตายเสียตรงนี้ ฉันจะได้กุญแจนั่นไว้ครอบครองหรือเปล่า....” สถานการณ์ไม่ดี เขารับรู้ได้เพียงเท่านั้น ดวงตาของเด็กหนุ่มพยายามควานหาหนทางเพื่อหนีจากคนตรงหน้า แต่ไม่ว่าจะมองไปทางไหน เขาก็รู้สึกเหมือนเห็นกำแพงเหล็กแกร่งที่ค่อย ๆ ตีกรอบเข้ามาทุกด้าน ราวค่ายกลที่บีบอัดร่างของผู้ที่ตกหลุมพรางให้ตายเสียตรงนั้น อวิ๋นหลงยังคงมองไปรอบ ๆ และพยายามจะไม่มองหน้าที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสนุกสนานนั่น ความกลัว ความกดดัน บีบอัดเข้ามาจนหัวใจของเขาแทบหยุดเต้น หยาดเหงื่อที่ไม่น่าจะมีกลับผุดพรายขึ้นจนรู้สึกได้ถึงความเปียกชื้น “โอ๊ะโอ๋....ไม่คิดว่าจะเจอในที่แบบนี้เลยนะครับคุณเฟรม” เสียงหนึ่งดังลอดขึ้น ผู้ได้ยินหันขวับมอง เป็นอีกครั้งที่คนถูกเอ่ยนามถึงแสดงสีหน้าบ่งบอกความไม่พอใจเป็นที่สุด “คุณมาที่นี่ได้ยังไง?!” ดวงตาสีอำพันภายใต้กรอบแว่นกันแดดสีดำสนิทเหลือบมอง ใบหน้าชราแย้มยิ้มกว้าง “ผมก็แค่แวะมาหาผู้ที่ต้องการอยากร่วมเกมอันน่าตื่นเต้นเท่านั้น ไม่คิดว่าจะมาเจอคุณที่นี่” เมื่อเห็นว่าปลอดภัยเขาจึงรีบพาตัวเองหนีออกให้ห่างจากคนทั้งสองทันที ไม่รอซักถามหรือปล่อยโอกาสที่มีเพียงน้อยนิดให้หลุดรอยไปง่าย ๆ เฟรมได้แต่มองตามอย่างแค้นเคือง ตรงข้ามกับผู้มาเยือนที่มองตามไปอย่างยากจะคาดเดาได้ถึงความคิด “ถ้าคุณออกมาขัดขวางแบบนี้อีกผมจะฆ่าคุณซะ” ชายหนุ่มเอ่ยอย่างหงุดหงิด อีกฝ่ายยังคงยิ้มหน้าตายให้ “โอ้....เห็นจะแย่นะครับ พอดีผมไม่สามารถตายได้ด้วยน้ำมือของมนุษย์” เขามองจ้องไปยังร่างของชายหนุ่ม แล้วแหงนมองอะไรบางอย่างที่อยู่สูงขึ้นไป อะไรบางอย่างที่ปรากฏให้เห็นเพียงคนสองคนที่กำลังยืนสนทนากันอยู่เท่านั้น “และไม่สามารถตายได้ด้วยน้ำมือของเหล่าบริวารพวกนี้ด้วยเช่นกัน...” เฟรมยืนกำหมัดแน่น ร่างกายสั่นเทาไปด้วยความโกรธ “หึ....เดี๋ยวก็รู้ เมื่อฉันได้ครอบครองกุญแจทั้งหมด” เขาเอ่ยก่อนจะเดินจากไป ดวงตาสีอำพันคู่เดิมจ้องมอง “เห็นทีผมก็คงต้องไปบ้าง ใกล้ค่ำเต็มทีหากไม่ได้ผู้ร่วมสนุกเพิ่มเกมคงน่าเบื่อแย่” ชายสูงวัยหัวเราะแผ่ว พลางก้าวเท้าเดินตรงไปยังทางเบื้องหน้า ผ่านเสาไฟฟ้าต้นใหญ่แล้วหายลับไปในตรอกอันเงียบสงัด... อวิ๋นหลงหายใจหอบหนัก ดวงตาของเขาหันมองยังทางด้านหลัง ถนนที่ผ่านมาว่างเปล่าไร้ผู้คน ไม่มีวี่แววของสิ่งมีชีวิตอื่นใด มันทำเอาเขาโล่งใจแล้วทรุดกายลงนั่งบนพื้นอย่างเหนื่อยอ่อน “บ้า....บ้าชะมัด” ลมหายใจยังคงขาดช่วง ลำคอแห้งผาก เด็กหนุ่มสูดหายใจลึก มือหนึ่งล้วงหยิบกุญแจสีทองไว้ในมือ แล้วจ้องดูมันอีกครั้ง “แกเป็นอะไรกันแน่ แกคืออะไรกัน...” ภาพที่เห็นในความฝันกลับกลายมาเป็นความจริงแล้วปรากฏอยู่ตรงหน้า ทั้งน้ำเสียง กริยาท่าทาง หรือแม้แต่ความหมายของคำพูดที่เล็ดลอดออกมาจากปากมันบ่งบอกได้อย่างชัดเจน ทุกสิ่งทุกอย่าง เรื่องราวต่าง ๆ ความฝัน....ที่เป็นความจริง เมื่อความหวาดกลัวอย่างที่สุดบีบคั้นให้คนอ่อนแอลุกขึ้นสู้ “ความจริง....ก็คือความจริง...” ============================ คุยท้ายบท – อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!!!!!!!! ต่อแล้ววววววววววว!!!!!!!!!! ยัง....ยังไม่ล่มครับยังไม่ล่ม มันยังมีชีวิตอยู่ดี พอดีวุ่น ๆ บวกกับเรื่องมากมายหลายพันอย่าง เลยไม่ค่อยมีเวลาและอารมณ์จะต่อนัก แต่นั่งมองสักพักเห็นเขาอัพฟิคกันมากมายก็เลยมาต่อมั่ง และโชคดีที่ว่าต่อได้สำเร็จ!!! ตอนนี้ก็สั้นอีกเหมือนเดิม 5555 จะเห็นได้ว่ามีปริศนาบางเรื่องไขออกมาในตอนนี้ ส่วนตอนหน้าก็มาคอยลุ้นกันว่าใครจะตาย เอ้ย!!ใครจะออก แล้วเมื่อเฟรมเป็นราชาแห่งความฝันจะเป็นอย่างไร!!! ขอบคุณสำหรับกำลังใจและการติดตามที่ดีคร้าบ~ Happy New Year!!!
Re: [Fic รับสมัคร] Pandora : ตอนที่ 3 UP!!01/01/52 ข้าคือราชาาาาา!!!! /me โดนตบหน้าปลุกให้ตื่นจากฝัน ตอนนี้ก็ยังข้องใจบางส่วนแฮะ แต่ก็คงต้องรอดูต่อไป... เอิ๊กกก ก็สู้ๆต่อไปนะครับมี๊เจ้าเฟรมมันชอบการต่อสู้ถึงใจผมจริงๆ *-*
Re: [Fic รับสมัคร] Pandora : ตอนที่ 3 UP!!01/01/52 ว้าว หายไปนานเหมือนกันะเนี่ย ได้กลับมาอ่านก็โอเค คริคริ
Re: [Fic รับสมัคร] Pandora : ตอนที่ 3 UP!!01/01/52 /me ตบตีเฟรม ตื่นได้แล้วเอ็ง ราชาแห่งฝันคือผมต่างหาก /me หัวเราะก้องโลกก่อนโดนถีบ อวิ๋นหลงดูเหมือนคนหลุดมาอยู่ผิดที่ผิดทางมากๆ (ฮา) สมชื่อ 'หลง' ของแกจริงๆ OTL รู้สึกเหมือนความลับชวนสงสัยมันดูจะเยอะขึ้นเรื่อยๆ ไม่นึกว่าโจ๊กเกอร์จะออกมาสู่โลกความจริงได้ .......แถมแก่อีกต่างหาก /me หัวเราะสะใจ รออ่านต่อไปครับ อยากรู้จริงๆว่าเวลาคนเราโดนบีบสุดๆให้ต้องหันกลับมาสู้เอาตัวรอดเนี่ย มันจะไปได้ไกลซักแค่ไหน - -b