Gundam seed destiny parody fanfiction : SHINING STAR กระทู้1

กระทู้จากหมวด 'Fiction' โดย whitewing, 13 พฤศจิกายน 2007.

  1. whitewing

    whitewing New Member

    EXP:
    120
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    กราบสวัสดีพ่อแม่พี่น้อง ไวท์วิงเจ้าเก่าเองค่า
    ตื่นมาตอนเช้า ทำโน่นทำนี่เสร็จว่าจะเข้ามาอัพฟิคก็ต้องต๊กกะใจ กรี๊ดดด ทำไมบ้านชั้นเปลี่ยนไป???? :scare:
    จึงได้ความว่า อ้อ ย้ายบ้านใหม่ (อีกแล้ว) ฟังชั่นใหม่ยังงงๆก่งก๊ง (อิชั้นเป็นพวกเข้าใจเรื่องประมาณนี้ช้าค่ะ ช้าถึงช้ามาก) -_-; แต่ก็จะพยายาม
    อิชั้นก็เลยกะว่าจะเอาฟิคมาอัพที่บ้านใหม่ซะเลย แต่คุณJ ท่านเว็บมาสเตอร์แจ้งไว้ในทู้ฟิคหวงเฟยหงว่าอีกไม่นานลิงค์บอร์ดเก่าจะเข้าไม่ได้แล้ว และแล้ว มันก็เป็นเยี่ยงนั้น เพราะลิ้งค์สามภาคก่อนของฟิคมหากาพย์วิคตอเรียนของอิชั้นหายเกลี้ยงเลย งือๆๆ (เสียดายฟิคเก่าๆที่เคยลงอ่ะ ฮือ...อ :waaa: Moonlight Desertเอย ฟิคX'masเอย แง้ว)
    ไหนๆ ก็ไหนๆ อิชั้นก็เลยตัดสินใจ(ฆ่าตัวตาย??)ด้วยการฟื้นความทรงจำบรรดาท่านๆทั้งหลายใหม่แล้วกันนะคะ (งานนี้คนอ่านอาจสบาย แต่คนโพสต์ตายแทน) เผื่อจะลืมเนื้อเรื่อง หรือรายละเอียดเล็กๆน้อยๆกันไปแล้ว
    เรามาทบทวนกันดีกว่าว่า ตัวละครสำคัญๆในฟิคseed destiny เวอร์ชั่นยุควิคตอเรียนที่ชายกระโปรงยาวลากพื้นกันเรื่องนี้ ใครเป็นใครกันบ้าง??

    Kira Yamato: อาจารย์หนุ่มไฟแรงวัย 24 ปี จบด้านปรัชญาการเมืองจากมหาวิทยาลัยชั้นนำในกรุงปารีส เข้าบรรจุเป็นอาจารย์สอนที่คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยแห่งกรุงลอนดอน เป็นบุตรชายท่านฑูต Haruma Yamato กับท่านผู้หญิง Calida เรียนมาเยอะจริง แต่เรื่องผู้หญิงนี่ไม่เป็นเลย

    Athrun Zala : นายตำรวจยศร้อยเอกประจำหน่วยสก็อตแลนด์ยาร์ดวัย 24 ปี ฝ่ายสืบสวนสอบสวน เป็นเพื่อนสนิทกับKiraมาตั้งแต่สมัยเด็กๆ เนื่องจากแม่ของทั้งสองคนเป็นเพื่อนรักกัน เรียนจบหมอแต่ถูกบิดาซึ่งเป็นนายพลใหญ่ของกองทัพสหราชอาณาจักรบังคับให้รับราชการ เลยไม่ค่อยถูกกับพ่อของตัวเองเท่าไหร่ ตามจีบLacus Clyneมาแล้วสองปี แต่....

    Lacus Clyne : นักร้องนักแสดงสาวชื่อดังแห่งโรงละคร Rosetta วัย 19 ปี ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงรุ่งโรจน์ของชีวิตการทำงานทั้งที่เพิ่งเริ่มอาชีพนี้ได้เพียงสามปี จนได้รับการขนานนามว่า เจ้าหญิงแห่งเสียงเพลงแห่งมหานครลอนดอน ได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างดีจากบิดาคือ ดร. Siegel Clyne ซึ่งเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยเดียวกับ Kira

    Cagalli Yura Athha : นักเรียนหญิงคอนแวนต์เกรด 11สุดแสบ วัย 17 ปี เป็นบุตรสาวของคหบดีที่มณฑลเชสเตอร์ ที่่ถูกพ่อส่งมาอยู่คอนแวนต์เพื่ออบรมความเป็นกุลสตรี (ซึ่งมันคงเ็ป็้นเช่นนั้นไม่ไดหรอก) ด้วยความซนเป็นเหตุ ทำให้เธอต้องตกไปอยู่ในสถานการณ์ลำบากและได้พบกับ Athrun Zala

    Shin Asuka : นายตำรวจยศร้อยตรีประจำหน่วยสก็อตแลนด์ยาร์ดวัย 18 ปีและเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของ Athrun Zala จริงจังกับหน้าที่เสมอ แต่บางทีก็ซื่อจนเซ่อ เขาเคยช่วยเหลือ Stella เอาไว้ ก็เลยห่วงใยเธอเสมอ

    Stella Lousier : สาวน้อยเชื้อสายยิววัย 12 ปี ที่ตอนนี้อยู่ในการอุปการะของ Rosetta หลังจากShin ช่วยเธอจากการทารุณกรรมของตระกูล Zerun

    ตัวละครหลักๆ ก็ประมาณนี้ จากนี้ไป ขอเชิญเพลิดเพลินเจริญใจกับฟิคย้อนยุคหลุดโลกของไวท์วิงได้เลยค่า
  2. identity

    identity Active Member

    EXP:
    580
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    36
    โดยส่วนตัวไม่กล้าอ่านเรื่องนี้ในบอร์ดเก่าเพราะมันเยอะเอาเป็นว่าขอติดตามเรื่องอื่นดีกว่าครับ
  3. whitewing

    whitewing New Member

    EXP:
    120
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    Shining star

    PROLOGE: The Celebrity Waltz

    กลุ่มคนในสังคมชั้นสูงมากมายต่างแต่งกายด้วยชุดหรูหราเดินสนทนากัน ทักทายกันเคล้าคลอเสียงฮาล์ปและเปียโนที่เล่นคลอราวล่องลอยไปเรื่อยๆ ภายในห้องบอลรูมกว้างขวางโอ่โถงของโรงแรมที่ขึ้นชื่อว่าหรูหราที่สุดในลอนดอน แสงเทียนระยิบระยับจากแชนเดอร์เลียคริสตัลที่แขวนอยู่กลางเพดานสูงรูปโดมสะท้อนแสงภายในห้อง หากแต่ว่า...สิ่งที่ปรากฏอยู่ ณ เวลานี้ ออกจะทำให้ผมรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย

    ถึงจะขึ้นชื่อว่าเป็นงานเลี้ยงเพื่อต้อนรับ “Celebrity”คนใหม่ของวงสังคมอังกฤษ ตามที่ใครๆก็พากันเรียกผมแบบนั้นก็เถอะ....

    แต่คงเพราะไปเล่าเรียนที่ยุโรปเสียนาน....ก็เลยยิ่งทำให้ไม่ค่อยชินเท่าไหร่ล่ะมั้ง?

    คนหลายคนเดินเข้ามาทักทาย แนะนำตัวกับผมที่ยืนอยู่เคียงข้างท่านพ่อท่านแม่ สำหรับท่านทั้งสองในฐานะของเอกอัครราชฑูตและภริยามีสีหน้าปลาบปลื้มไม่น้อยที่ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคนเดียวเรียนจบ พร้อมที่จะกลับมาอยู่กับพวกท่านอีกครั้ง
    โดยเฉพาะท่านแม่ของผม Lady Calida Yamato ดูจะปลื้มมาก ซึ่งผมก็ดีใจนะที่ทำให้ท่านทั้งสองยิ้มได้เช่นนี้

    “Kiraจ๊ะ ท่านบารอนAllsterและธิดา Lady Fllay Allsterยังไงหล่ะจ๊ะ” ท่านแม่หันกลับมาบอกผมด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม หลังจากทักทายกับบุคคลตรงหน้าเรียบร้อยแล้ว
    “โอ! คุณKira โตเป็นหนุ่มเสียขนาดนี้ ลุงจำแทบไม่ได้เลย”
    ท่านบารอนAllsterกล่าวทักทายด้วยท่าทางดีใจขณะที่เราทั้งสองคนจับมือกัน
    “สวัสดีครับ ท่านบารอน”
    ท่านจับบ่าผมขณะที่หันไปกล่าวกับท่านพ่อ
    “หล่อเสียด้วย ไม่แพ้ท่านตอนหนุ่มๆเลย ท่านฑูต”
    “ไม่หรอกครับ เหมือนแม่เค้าต่างหาก”

    ผมกลั้นหัวเราะเบาๆกับบทสนทนานั้น ขณะที่สายตาเหลือบไปเห็นหญิงสาวร่างบอบบางในชุดราตรีผ้าซาตินสีเพลิงซึ่งยืนอยู่เบื้องหลังของท่านบารอน เรือนผมสีแดงมะฮอกกานียาวสลวยนั้นถูกเกล้าสูงเปิดให้เห็นดวงตาสีเทาอมฟ้าสดใสของหล่อนแจ่มชัด
    หล่อนอมยิ้มขณะที่จ้องผมกลับ ดวงตานั้นเปล่งประกายท้าทายจนผมยังอดประหม่าไม่ได้

    “ตายจริง คุณหนูคนนี้ก็คงเป็น....”
    “Fllay Allsterค่ะ ท่านฑูต ท่านผู้หญิง” หล่อนน้อมตัวลงทำความเคารพ และท่าทีที่ดูนุ่มนวลนั้นทำให้ท่านแม่พอใจไม่น้อยทีเดียว
    “Kiraจำได้มั๊ยจ๊ะ เคยเจอกันตอนเล็กๆไง”
    “ครับ เคยพบกันมาแล้วหนสองหน” ผมรับคำยิ้มๆ พยายามจะสะกดอาการประหม่านั้นไว้

    Lady Fllay Allsterยกพัดด้ามเล็กๆที่ประดับลูกไม้ขึ้นป้องปากขณะที่หัวเราะเบาๆ หากครู่ต่อมาหล่อนก็ช้อนตาขึ้นมองผมอีกครั้ง ดวงตากลมโตใต้ขนตาหนานั้นฉายประกายสดใส
    “ขอแสดงความยินดีอีกครั้งค่ะสำหรับการจบการศึกษา และขอต้อนรับกลับสู่ลอนดอนค่ะ คุณKira”
    “ขอบคุณครับ” ผมค้อมศีรษะรับนิดๆ ครู่ต่อมาขณะที่ท่านบารอนและบุตรีกำลังสนทนากับพวกเรา เสียงเพลงก็เปลี่ยนจากเสียงคลอแผ่วเบา ไปสู่เสียงเพลงในจังหวะวอลซ์ที่เป็นทางการมากยิ่งขึ้น

    “Viennese Waltzนี่จ๊ะ หนุ่มๆสาวๆออกไปเต้นรำกันเถอะไป๊” ท่านแม่ออกปาก ขณะที่กระตุกแขนผม “ไปสิ Kira พาน้องไปเต้นรำหน่อย คุยแต่กับคนแก่ เบื่อแย่แล้ว”
    ก็ไม่ได้รังเกียจหรอกนะ...แต่......
    ผมหันไปขอความช่วยเหลือจากท่านพ่อ แต่ท่านกลับเอาแต่กลั้นหัวเราะ จนผมต้องแอบทำหน้ามุ่ยหน่อยๆ

    “ถ้าเช่นนั้น...ผมขออนุญาตนะครับ ท่านบารอน” ผมหันไปขออนุญาตจากบิดาของหล่อน ท่านบารอนเหลือบมองบุตรสาวด้วยสีหน้าพึงพอใจ แล้วจึงกล่าว
    “เชิญครับ ฝากด้วยนะ”

    ริมฝีปากสีเบอร์รี่ของหล่อนแย้มนิดๆขณะที่มองผมโค้งและกล่าว “ให้เกียรติผมนะครับ Lady Allster”
    “ยินดีค่ะ”

    หล่อนวางมือลงบนท่อนแขนของผมเบาๆ ขณะที่เราทั้งสองเดินเคียงคู่กันไปยังฟลอร์เต้นรำที่ซึ่งเต็มไปด้วยคู่เต้นรำมากมาย หากครั้นเมื่อพวกเขาเหล่านั้นพบว่า “เจ้าของงาน”ควงบุตรีแสนสวยของท่านบารอนAllsterมา ก็แทบจะหยุดเต้นรำกันเสียดื้อๆแบบนั้นเลย
    ผมรู้สึกถึงสายตาหลายคู่ที่จ้องมองมายังเราสองคน แต่ก็ยากเหลือเกินที่จะตีความสายตาเหล่านั้น….
    #######################################

    “....เฮ้อ.....” Lady Calida Yamatoถอนใจด้วยสีหน้ามีความสุขเล็กๆ “เห็นแล้วก็ปลื้มใจ”
    “อะไรเหรอคุณหญิง?” ท่านฑูตYamatoเลิกคิ้วนิดๆขณะถามภริยา
    “ก็จะอะไรหล่ะคะคุณ ดูสิ KiraกับคุณหนูFllayไงหล่ะคะ เฮ้อ สมกันยังกับกิ่งทองใบหยก”

    “หืม...” ท่านฑูตมองไปยังบุตรชายคนเดียวและบุตรสาวของคหบดีผู้ร่ำรวยซึ่งกำลังเต้นรำคลอเคลียกันไปในจังหวะของViennese waltz ก่อนจะกระเซ้าภริยาเบาๆ “ลูกเพิ่งกลับมา คุณหญิงก็จะผลักไสให้ไปมีครอบครัวแล้วรึ?”
    “ตายแล้ว ดูพูดเข้า!” นางค้อนสามีวงใหญ่ “ดิชั้นแค่คิดว่า Lady Fllay Allsterเธอน่ารัก ทั้งชาติตระกูลและฐานะก็ดี ถ้าพวกเราได้ดองกัน มันก็น่ายินดีมิใช่หรือคะ?”

    ท่านเอกอัคราชฑูตหัวเราะเบาๆ “ผมไม่ว่าอะไร ถ้าคุณหญิงว่าดี ผมก็ว่าดี และดูเจ้าตัวเค้าชอบหล่อนมั๊ยเล่า? ของแบบนี้ มันต้องปลูกอู่ตามใจผู้นอนนะคุณหญิง”
    “ดิชั้นทราบหรอกค่ะ “ท่านผู้หญิงมองสามีอย่างหมั่นไส้ “ดิชั้นไม่ได้คิดจะคลุมถุงชนใครซักหน่อย คุณแหล่ะชอบมองดิชั้นในแง่ร้าย”
    ท่านฑูตโอบบ่าภรรยาแสนสวยไว้ขณะที่ยิ้มขำ แล้วจึงมองไปยังบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนซึ่งเป็นความหวังคนสำคัญของทั้งคู่
    ######################################

    “เล่าเรื่องปารีสให้ฟังบ้างได้มั๊ยคะ?”
    เจ้าของริมฝีปากสีเบอร์รี่ชวนคุยด้วยดวงตาเป็นประกาย ท่าทีสบายๆของหล่อนทำให้ผมคลายความประหม่าลงไปได้เยอะพอสมควร
    “อยากฟังเรื่องไหนหล่ะครับ?”

    หล่อนหมุนตัวกลับมาแล้วจึงวางมือลงบนฝ่ามือของผมอีกครั้ง
    “อะไรก็ได้ค่ะ ตึกรามบ้านช่อง เมือง คน ผู้หญิง”
    คำสุดท้ายหล่อนอมยิ้มนิดๆ “ดิชั้นได้ยินกิตติศัพท์เกี่ยวกับสาวๆฝรั่งเศสมาเยอะเหมือนกันนะคะ”
    ผมอดหัวเราะไม่ได้ ก่อนตอบ “ผมไม่ค่อยให้ความสนใจเรื่องนั้นสักเท่าไหร่นะครับ ส่วนใหญ่ก็จะมุ่งอยู่กับการเรียน แล้วก็ท่องเที่ยวหาความรู้ ส่วนเรื่องผู้หญิงน่ะ...จะให้อธิบายก็คงยากหน่อย”

    Fllay Allsterทำหน้าตกใจ “ตายจริง” หล่อนกล่าวเสียงสูงเชียวหล่ะ “ได้ไปเมืองนอกเมืองนาทั้งที คุณเอาแต่เรียนอย่างเดียวเลยเหรอคะ น่าเสียดายออก”
    “ก็ไม่ใช่ว่าเอาแต่เรียนอย่างเดียวหรอกครับ อันที่จริง ปารีสเป็นเมืองที่สวยงาม จะกลางวันหรือกลางคืน ก็ยังคงสวยงาม และเจิดจรัสอย่างไม่น่าเชื่อ” ผมกล่าวขณะที่นึกถึงภาพมหานครแห่งนั้นไปด้วย....
    เมืองที่...แม้ยามราตรีก็ยังสว่างไสวงดงาม

    “น่าสนใจกว่าลอนดอนรึเปล่าคะ?”
    คำถามของหล่อนทำให้ผมต้องยิ้มขำ “มิได้ครับ หากเทียบกับตอนนี้....หลายปีที่จากไป ลอนดอนเปลี่ยนไปมากทีเดียว.....” อดจะมองลึกเข้าไปในดวงตาสีเทาคู่งามหวานคมนั้นไม่ได้
    “เพราะ....ลอนดอนมีกุหลาบแดงดอกงามส่งกลิ่นหอมไปทั่วอยู่แล้วตอนนี้...”

    เมื่อผมกล่าวเช่นนั้น หล่อนก็เสมองไปทางอื่นด้วยจริตท่าทีเอียงอาย พอดีกับที่เสียงเพลงจบลง Lady Fllay Allsterจึงค้อมกายลงด้วยกิริยาแช่มช้อย
    สเน่ห์ของหล่อนนั้นเป็นดังคำร่ำลือที่เลยได้ยินมา รวมทั้งจากที่คุณแม่พยายามคะยั้นคะยอให้ผมได้ไปเยือนคฤหาสน์ของท่านบารอนด้วยเช่นกัน
    และกุหลาบแดงดอกนี้....ก็ทำให้หัวใจต้องวูบไหวไปกับความงามนั้น

    ผมพาLady Allsterไปส่งยังโต๊ะของท่านบารอนผู้เป็นบิดาของหล่อน หากยังไม่ทันที่เราจะได้สนทนากันต่อ หล่อนก็ถูกโค้งจากท่านสุภาพบุรุษท่านอื่นเพื่อให้เกียรติเต้นรำในเพลงต่อไป ดูท่านบารอนAllsterจะไม่ใคร่พอใจนัก หากก็มิได้ทัดทานว่าอย่างไร

    ผมมองตามร่างระหงในชุดสีเพลิงที่โดดเด่นกว่าใครในฟลอร์เต้นรำนั้น ไม่รู้ตัวว่านิ่งมองอยู่นานแค่ไหนจนกระทั่งมีเสียงที่คุ้นเคยเสียงหนึ่งดังขึ้น
    “ดูเหมือนว่า กุหลาบแดงแห่งกรุงลอนดอนจะทำให้นายหลงไหลจนลืมสาวปารีสหมดสิ้นเลยสินะ”
    ผมหันกลับไปมองจึงพบกับเจ้าของเสียงห้าวลึกนั้น ก่อนจะร้องออกมาด้วยความยินดี
    “Athrun!”
    เจ้าของชื่อส่งยิ้มให้ผมก่อนจะเดินตรงเข้ามาหา ชื่อของเขาคือ ร้อยเอกAthrun Zala เป็นบุตรชายคนเดียวของนายพลPatrick Zalaผู้มีอำนาจล้นเหลือในกองทัพแห่งจักรภพ ด้วยรูปร่างสูงโปร่งและใบหน้าคมเข้มด้วยดวงตาสีเขียวมรกตเจิดจรัส ทำให้เขาเป็นที่ชื่นชอบของบรรดาสาวๆทั่วกรุงลอนดอนมาตั้งแต่เราเพิ่งจะเข้าสู่วัยรุ่นทีเดียว
    เราทั้งสองคนเป็นเพื่อนรักกันมาตั้งแต่เล็กเนื่องจากท่านผู้หญิงLenore Zalaผู้เป็นมารดาของAthrunให้ความสนิทสนมกับท่านแม่ เราเรียนโรงเรียนประจำของพวกผู้ดีมาด้วยกันจนกระทั่งผมถูกส่งไปเรียนด้านการเมืองการปกครองที่ปารีส ขณะที่Athrunเข้ารับราชการที่สก็อตแลนด์ยาร์ดหลังจบแพทย์ได้ไม่เท่าไหร่

    “ไม่เจอกันเสียนาน” Athrunตบบ่าผมแล้วรั้งเข้าไปกอดเบาๆก่อนจะถอยออกมา “นึกว่ากลับมาคราวนี้ จะได้เห็นนายใส่แว่นหนาเตอะแล้วสิ!”
    “ดูพูดเข้า!”ผมขมวดคิ้วขณะที่กลั้นหัวเราะ “สบายดีนะ? ผู้กอง”
    เขาพยักหน้าให้ “อา” ก่อนจะหันไปตามเสียงทักทายใสๆของท่านแม่
    “ตายจริง! Athrun!!!”
    Athrunโค้งตัวลงทำความเคารพท่านพ่อท่านแม่ของผม “สายัณห์สวัสดิ์ครับ ท่านฑูต ท่านผู้หญิง”
    “โถ ไม่ต้องพิธีรีตองมากหรอกลูก! ไม่เจอกันนาน เดี๋ยวนี้ไม่ไปเยี่ยมป้ากับลุงบ้างเลยนะ” ท่านแม่กระเซ้าAthrunขณะที่เขายกมือของท่านขึ้นจุมพิตที่ปลายนิ้วเบาๆตามมารยาท
    “ท่านลุงท่านป้าสบายดีนะครับ ต้องขอโทษด้วยที่ไม่ค่อยมีเวลาปลีกตัวไปหาเลย”

    “ไม่เป็นไรหรอก Athrun ลุงรู้ว่างานของเธอเองก็มีเยอะ” ท่านพ่อจับบ่าของเขา แล้วกล่าวต่อยิ้มๆ “ได้เลื่อนตำแหน่งแล้วนี่นะ ท่านผู้กองZala งานคงยุ่งกว่าก่อนเยอะเลยสินะ”

    เพื่อนรักผู้มีดวงตาสีมรกตยิ้มรับนิดๆ หากแต่....อาจเพราะเรารู้จักกันมานานแล้ว ผมถึงมองเห็นความรู้สึกบางอย่างที่ซ่อนลึกอยู่ในดวงตาคู่นั้น แม้จะเพียงแค่ชั่วครู่ก็ตาม

    ...ความกังวลใจ....ความไม่มั่นคง
    “นายมีอะไรหนักใจอยู่ใช่มั๊ย?”
    “หือ...?” Athrunทำเสียงสูงพลางจุดบุหรี่จากไลทเตอร์ที่ผมส่งให้ “เรื่องอะไรเหรอ?”
    “เรื่องเลื่อนตำแหน่ง” ผมพูดเรียบๆ และนั่นทำให้Athrunต้องหยุดนิ่ง เขาเคาะขี้บุหรี่ในมือกับขอบระเบียงขณะที่ทอดสายตาออกไปไกล
    “อือฮึ” เขาทำเสียงในคอพลางยักไหล่ “ยิ่งตำแหน่งสูง ความรับผิดชอบยิ่งสูงตามคิดแบบนั้นมั๊ยหล่ะ?”

    ผมนิ่งมองAthrun อดห่วงไม่ได้หลังจากรู้มาว่า ท่านนายพลZalaคัดค้านเรื่องที่บุตรชายคนเดียวจะประกอบวิชาชีพหมอตามที่ได้ร่ำเรียนมา ตอนนั้นทะเลาะกันใหญ่โตจนถึงขนาดที่ว่าทำให้ท่านผู้หญิงล้มเจ็บทีเดียว
    เพราะอย่างนั้น...Athrunถึงจำใจรับราชการในหน่วยสก็อตแลนด์ยาร์ดตามความต้องการของบิดา และติดยศร้อยตรีทันที
    ไม่กี่ปี....ก็ได้เป็นร้อยเอก และได้เป็นถึงผู้กองหนุ่มของฝ่ายสืบสวนสอบสวน มีเกียรติยศชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือ แต่....สายตาของหมอนั่นยามที่พูดถึงเรื่องนี้กลับไม่ได้มีความรู้สึกปลาบปลื้มใดๆ

    หากแต่....ว่างเปล่า....

    “...ท่านป้าLenoreสบายดีรึเปล่า?” ผมเปลี่ยนเรื่องพูด เผื่อว่าบรรยากาศจะดีขึ้น Athrunหันมายิ้ม
    “ก็ยังเจ็บออดๆแอดๆเหมือนเดิมแหล่ะ ตอนนี้ชั้นให้ท่านไปพักผ่อนที่มณฑลChester อยู่ไกลๆจากเมืองหลวง อยู่ไกลๆจากความวุ่นวาย อาการท่านน่าจะดีขึ้น” เขาหัวเราะหึๆพลางพูดติดตลก “ที่บ้านเราตอนนี้เลยไม่ต้องมีหมอประจำบ้านแล้ว เพราะชั้นทำเองได้หมด”

    ผมยิ้มรับ อันที่จริงอยากจะถามสารทุกข์ของท่านนายพลZalaด้วยว่าเป็นอย่างไรบ้าง แต่ก็ยั้งปากเอาไว้ เพราะรู้ว่าพ่อลูกคู่นี้ไม่ลงรอยกันมา จึงเลี่ยงไปพูดเรื่องอื่นแทน
    “ดีจริง งั้นหน้าร้อนนี้ ชั้นอาจจะหาโอกาสไปเยี่ยมท่านด้วยนะ”
    “ก็เอาสิ ท่านแม่ก็คงดีใจทีเดียวเชียวหล่ะ” Athrunตอบด้วยท่าทีกระตือรือร้น

    “แต่....คงจะต้องช่วงที่มหาวิทยาลัยปิดหล่ะนะ...”
    พอผมพูดจบ Athrunก็เงยหน้าขึ้นมองผมนิ่งๆ
    “ตกลงว่า....นายจะทำแน่ๆสินะ...เป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยน่ะ”

    ผมพยักหน้ายิ้มๆ คิดว่าอีกฝ่ายก็เข้าใจความตั้งใจของผมดี หมอนั่นจึงยิ้มตอบ
    “อย่าจริงจังมากจนเกินไปหล่ะ ระวังจะถูกเพ่งเล็งอีก”
    “อื้ม ชั้นรู้...”

    เราสองคนมองผ่านเลยไปยังฟากฟ้าราตรีแห่งมหานคร ภาพวิวกลางคืนที่เปลี่ยนไปมากมายนับตั้งแต่ผมจากไป ตึกรามบ้านช่องที่ผุดขึ้นมากกว่าแต่ก่อน ผู้คนที่เปลี่ยนไป มากหน้าหลายตา แวะเวียนเข้ามา
    ยากเหลือเกินที่จะรักษาตัวตนไม่ให้ถูกดูดกลืนไปกับวิถีแห่งนครแห่งนี้ได้
    “ลอนดอน...เปลี่ยนไปนะ”
    “อื้ม” Athrunพยักหน้ารับเบาๆ ก่อนถาม “ดีขึ้นรึแย่ลงหล่ะ?”
    “ไม่รู้สิ....” ผมตอบเบาๆ ก่อนผิวปากเบาๆสองสามครั้งผ่านสายลมที่พัดผ่านเข้ามาเย็นเฉียบ ก่อนที่ร่างทะมึนของปีกคู่สีรัตติกาลจะโบยบินตรงเข้ามาเพื่อเกาะลงบนท่อนแขนที่รอรับ

    Athrunทำหน้าแปลกใจระคนดีใจ “Tory?”
    “ถ้าเป็นเจ้านี่....อาจจะตอบได้ในทันทีก็ได้นะ คิดว่างั้นมั๊ย?” ผมพูดเบาๆขณะที่เจ้าเหยี่ยวคู่ใจที่เลี้ยงมันมาแต่เล็กเป็นลูกนกไซ้หน้ากับแก้มของผมเบาๆ “สัญชาติญาณแบบสัตว์น่ะ....”
    “นั่นสินะ” เสียงที่ตอบรับแผ่วเบาราวพึมพำบอกกับตัวเอง

    เราสองคนสนทนากันต่อได้เพียงครู่เดียว ก็มีเสียงเรียกตามตัวAthrunดังขึ้นจากด้านหลัง
    “ผู้กองZala อยู่นี่เอง”

    ผู้ที่ก้าวเข้ามาเป็นเด็กหนุ่มในชุดสันติบาลสีน้ำเงินกรมท่า ท่าทางเขารีบร้อนมากทีเดียว หากAthrunกลับทำหน้าไม่สบอารมณ์เล็กๆ
    “มีอะไรรึหมวดAsuka? ตามชั้นมาถึงนี่เชียว ชั้นออกเวรแล้วนะวันนี้”
    “สารวัตรJulesเรียกประชุมด่วนครับ!” เด็กหนุ่มผู้มาใหม่เหลือบมองทางผมนิดนึงแล้วจึงกระซิบบอกบางสิ่งกับAthrun

    ดวงตาสีมรกตที่เคยเยือกเย็นคมกร้าวขึ้นเล็กน้อย เขาพยักหน้ารับผู้ใต้บังคับบัญชา แล้วจึงหันมากล่าวกับผมขณะที่ขยี้ก้นบุหรี่เพื่อดับไฟ
    “ชั้นคงต้องขอตัวก่อนล่ะนะ Kira”
    “เอ๊ะ งานเลี้ยงเพิ่งเริ่มได้ไม่เท่าไหร่เอง มีงานด่วนเข้ามารึ?”
    ผมถามอย่างแปลกใจ Athrunยิ้มนิดๆ แต่ก็ไม่ใช่ยิ้มแบบปกติ
    ยิ้มที่ดูเคร่งขรึม

    “ฝากขอโทษท่านป้าCalidaและท่านฑูตด้วยนะ” เขาจับบ่าของผมบีบเบาๆ ขณะที่เจ้าToryที่เกาะอยู่บนแขนของผมผงกหัวขึ้นลง
    “โอกาสหน้าชั้นจะพานายตระเวนเที่ยวลอนดอน กลับมาทั้งที ถ้าจะให้จมอยู่กับกองหนังสือ นายก็น่าสงสารแย่สิ” คำกล่าวนั้นทำให้ผมอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “นายแหล่ะ หาเวลาปลีกตัวออกมาให้ได้แล้วกัน”

    ผมเห็นAthrunยิ้มที่มุมปากเพียงนิดเดียว แล้วจึงหมุนตัวเดินออกไปพร้อมกับเด็กหนุ่มสันติบาลคนนั้น จากระเบียง ผมมองตามร่างสูงเพรียวในเสื้อโค้ทยาวสีดำที่ก้าวอย่างรวดเร็วไปยังรถม้าที่จอดรออยู่หน้าโรงแรม อดรู้สึกห่วงไม่ได้

    วิถีชีวิตของเราสองคนที่โตมาด้วยกัน.....ณ เวลานี้ เริ่มจะเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน
    Athrunทำใจยอมรับความฝันที่ไม่มีทางเป็นจริงนั้นได้อย่างไรกันนะ?

    Toryกระพือปีกขึ้นลงเบาๆขณะที่เปลี่ยนจากเกาะแขนขึ้นไปเกาะบนไหล่ของผมแทน ผมยิ้มให้มันนิดๆขณะที่เท้าแขนกับระเบียงหินอ่อน ทอดสายตามองผ่านทิวทัศน์ของตัวเมืองยามค่ำผ่านเลยไปบนท้องฟ้าราตรีที่มองเห็นหมู่ดาวมากมาย โดยมิได้ให้ความสนใจกับเสียงดนตรี การเต้นรำ หรือการสนทนาที่ไร้ที่สิ้นสุดของงานสังคมเท่าใดนัก แม้จะเป็นงานเลี้ยงที่จัดขึ้นเพื่อต้อนรับผมก็ตาม...

    ....งานเลี้ยงหรูหราฟุ่มเฟือย...ของคนกลุ่มหนึ่งที่จัดขึ้นเพื่อความสุขประเดี๋ยวประด๋าว ขณะที่อีกมุมหนึ่งของมหานครแห่งนี้ ไม่สิ ...อีกมุมหนึ่งของโลกใบนี้ ยังมีคนที่ไม่มีโอกาสแม้แต่จะคิดฝันถึง

    ในตอนนั้นเอง ผมก็ต้องรู้สึกแปลกใจที่เจ้าToryทำเสียงก็อกแก๊กๆขณะที่ชะเง้อชะแง้มองหาบางสิ่ง
    “มีอะไรเหรอ?”
    ผมมองตามมันไป ทันใดนั้นToryก็กระพือปีกขึ้นลงก่อนจะบินตรงไปยังเบื้องล่าง ออกจะแปลกใจกับท่าทีอยากรู้อยากเห็นของมันมากทีเดียว
    ผมเหลือบมองเข้าไปในงานเลี้ยง ท่านพ่อท่านแม่ตอนนี้อาจจะกำลังตามหาตัวเจ้าของงานอยู่ แต่...ออกไปแป๊บเดียว คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง? ผมคิดเช่นนั้นพลางปีนขึ้นไปบนต้นโอ๊คใหญ่ที่อยู่ใกล้ที่สุด ก่อนจะกะจังหวะเพื่อกระโดดลงสู่พื้นล่าง

    ด้วยความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความสงสัยนัก
    #################################
  4. whitewing

    whitewing New Member

    EXP:
    120
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    PHASE 1: The Princess of Music

    ผมเงยหน้าขึ้นมองผ่านความมืดของสวนดอกไม้ที่สลัวรางด้วยแสงจากตะเกียงไฟแก้วแกะสลักรูปนางฟ้างดงาม ขณะที่พยายามมองหาเจ้าเหยี่ยวคู่ใจ เสียงปีกกระพือขึ้นลงพึ่บพั่บนั้นก็ทำให้ผมรู้ว่ามันกำลังบินในระดับที่ต่ำๆเท่านั้น ในตอนนั้นเอง.... ลมราตรีเย็นเฉียบของเดือนมิถุนายนก็พัดมาแผ่วเบาเคล้าคลอเสียงแว่วหวานที่ลอยตามมาทำให้ผมต้องหยุดฟัง

    “...konna Ni tsumetai tobari no fukaku de….
    Anata wa hitori de nemutteru…..
    Inori no utagoe sabishii nohara wo….
    Chiisa na hikari ga terashiteta….”


    เสียงหวานใสราวระฆังแก้วกังวาน แม้เพียงแผ่วเบาตามสายลม.....กลับจับใจจนอดสงสัยไม่ได้ว่า....เป็นเสียงของใครกัน

    พึ่บ....พั่บ.....เสียงกระพือปีกของเจ้าเหยี่ยวคู่ใจดังขึ้น ผมมองเห็นปีกของมันชัดเจนขึ้นด้วยแสงสลัวของโคมไฟตะเกียงแก้วที่รายล้อมสวนดอกไม้ซึ่งยามนี้กรุ่นกลิ่นหอมจางๆ เสียงสายน้ำตกกระทบพื้นผิวสระของน้ำพุราวกับแทนเสียงเครื่องดนตรีกำกับจังหวะให้เจ้าของเสียงแว่วหวานกระนั้น


    “Anata no yume wo miteta….
    Kodomo no you ni waratteta
    Natsukashiku mada tooku….
    Sore wa mirai no yakusoku….”

    ผมก้าวเข้าไปยังจุดกำเนิดของเสียงเพลงช้าๆ แล้วก็อดที่จะนิ่งตะลึงกับภาพอันสวยงามนั้นมิได้

    ที่ริมน้ำพุนั้น หญิงสาวร่างเล็กบางในชุดราตรีพลีทต่อใต้อกสีขาวปักเลื่อมระยับงามยาวกรอมพื้น เรือนผมสีPink Blondสลวยราวเกลียวคลื่นพลิ้วไสวตามสายลมบางเบา ดวงหน้าหวานซึ้งหลับพริ้มขณะที่ริมฝีปากสีกลีบบัวอ่อนบางยังคงขยับร้องเพลงด้วยเสียงหวานใสและอ่อนโยนราวจะสามารถหลอมละลายหัวใจทุกคนที่ได้ยิน

    “Itsuka midori no asa ni
    Itsuka tadoritsukeru to
    Fuyugareta kono sora wo….
    Shinjiteiru kara…..
    Fields of hope….”

    ราวกับภาพวาดของจิตรกรเอกที่ลงมนต์สะกดดึงดูดให้ต้องนิ่งมองโดยมิอาจถอนสายตาไปที่ใดได้

    เสียงฝีเท้าของผมดูเหมือนจะทำให้เสียงขับขานบทเพลงต้องหยุดชะงัก สาวน้อยในชุดขาวหันมามองผมด้วยดวงตาสีฟ้าครามกลมโตรับกับขนตายาวชดช้อย ดวงตาคู่งามฉายความประหลาดใจไม่น้อย เราสองคนได้แต่นิ่งมองกันด้วยในความเงียบงันนั้น

    หล่อนเอียงคอนิดๆขณะที่จ้องมองใบหน้าของผม ที่ไม่รู้ว่าตอนนี้แสดงอาการ”เหวอ”ออกไปมากน้อยแค่ไหนแล้ว ถึงทำให้ครู่ต่อมาหล่อนก็หลุดเสียงหัวเราะคิกคัก และนั่นก็ทำให้ผมรู้สึกตัวจากภวังค์นั้น
    “ข....ขอประทานโทษครับ คุณผู้หญิง! เอ้อ...คือ...” ผมรู้สึกว่าใบหน้าตัวเองร้อนผ่าวขึ้นมาทันที “...ผ...ผมได้ยินเสียงเพลงก็เลย....”
    “มิได้ค่ะ ดิชั้นเองต่างหากที่ต้องกล่าวขอประทานโทษ ดิชั้นเพียงแต่คิดว่าที่นี่เงียบ จึงขอใช้ทำสมาธิก่อนขึ้นเวทีเท่านั้นเอง”

    ขึ้นเวที? ผมมองหล่อนอย่างแปลกใจ “คุณเป็นนักร้องหรือครับ?”
    “ค่ะ” หล่อนยิ้มรับ รอยยิ้มนั้นทำให้ดวงหน้าหวานตรึงใจมากขึ้นไปอีก ผมรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงหัวใจเต้นถี่แรง น้ำเสียงยามเอื้อนเอ่ยถ้อยคำพูดนั้นน่าฟังไม่แพ้เสียงเพลงเมื่อครู่สักนิด “ดิชั้นรับคำเชิญของท่านฑูตYamatoให้มาร้องเพลงในงานเลี้ยงของบุตรชายท่านน่ะค่ะ”

    คำตอบจากหล่อนทำให้ผมต้องยิ่งประหลาดใจเข้าไปใหญ่ “เอ๋?” หากไม่ทันที่ผมจะได้กล่าวอะไรกับหล่อนต่อ ก็มีเสียงเรียกตัวหล่อน
    “คุณหนูครับ ได้เวลาแล้ว”
    “ค่ะ คุณDarcosta ไปเดี๋ยวนี้หล่ะค่ะ” หล่อนตอบรับเสียงเรียก แล้วจึงค้อมตัวเป็นเชิงอำลากับผม
    “ถ้าเช่นนั้น ดิชั้นต้องขอตัวก่อนนะคะ”
    “อ๊ะ เอ้อ!” หากก่อนที่หล่อนจะจากไป ผมก็รวบรวมความกล้ากล่าวขึ้น “กรุณาบอกชื่อของคุณได้มั๊ยครับ?”

    ดวงตากลมโตคู่งามฉายความฉงน หากต่อมาก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม
    “ดิชั้นชื่อ Lacus Clyneค่ะ ท่านสุภาพบุรุษ”
    หล่อนกล่าวไว้เพียงเท่านั้น ก่อนจะปล่อยให้ผมมองตามร่างบอบบางในชุดขาวพลิ้วเดินจากไปจากสวนสวยแห่งนี้

    “...Lacus Clyne…..”
    ริมฝีปากของผมพึมพำชื่อนั้นเพียงแผ่วเบาโดยไม่รู้ตัว กลิ่นดอกไม้บางเบาเริ่มจางหายไปเมื่อหล่อนจากสถานที่แห่งนั้นไป

    ทำให้ผมอดสงสัยไม่ได้ว่า...กรุ่นกลิ่นกุหลาบเมื่อครู่ คือกลิ่นดอกไม้งามหนามคมนั้นหรือคือกลิ่นกายของหล่อนกันแน่....
    #################################

    บทเพลงหวานแว่วก้องกังวานราวสะกดให้ทุกผู้ทุกคนต้องถูกตรึงไว้ด้วยน้ำเสียงอันไพเราะงดงามของสาวน้อยนักร้องในชุดขาวราวเทพธิดา เสียงอันสดใสและอ่อนหวานของหล่อนนั้นอบอุ่นแทรกลึกเข้าไปในห้วงความรู้สึกของเหล่าผู้ได้สดับตรับฟังทั้งหลาย เสียงเปียโนที่เคล้าคลอไปกับเสียงร้องสอดประสานรวมกันเป็นหนึ่งเดียว
    หวาน....และลึกซึ้ง....


    “Natsukashiku mada tooi….
    Yakusoku no nohara …..
    Fields of hope ……
    Fields of hope…..”

    เป็นอีกครั้งที่หล่อนทำให้ผมต้องใจเต้นแรง ....Lacus Clyne

    เสียงเพลงของหล่อน....ทำให้ผมลืมหมดสิ้นทุกอย่างในช่วงเวลานั้น....

    เสียงเปียโนค่อยๆเบาลง...เบาลง จนเหลือเพียงความเงียบชั่วขณะ ก่อนที่จะตามด้วยเสียงปรบมือแสดงความชื่นชมยินดีดังก้อง
    “Bravo!!เลิศเลอเหลือเกิน!!!”
    “สมแล้วนะ...กับฉายาเจ้าหญิงแห่งเสียงเพลง ช่างไพเราะจริงๆ”

    ยังมีเสียงสรรเสริญเสียงเพลงอันงดงามของหล่อนตามมาอีกมากมาย หากผมไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก นอกจากพบว่าตัวเองร่วมตบมือไปด้วย Miss Lacus Clyneค้อมกายลงคารวะน้อมรับเสียงปรบมือด้วยกิริยาแช่มช้อย ก่อนจะยืดตัวขึ้นแล้วกล่าว เสียงหวานใสกังวานในห้องบอลรูม ดึงดูดทุกสายตาให้ต้องหยุดฟังหล่อนโดยดุษฎี
    “ท่านสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีทั้งหลายคะ ค่ำคืนนี้เป็นค่ำคืนพิเศษ ดิชั้นมีความรู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่ได้มีส่วนร่วมในการแสดงความยินดีและร่วมต้อนรับการกลับสู่ผืนแผ่นดินแม่อีกครั้ง หลังการจบการศึกษาของ Mr. Kira Yamato บุตรชายของท่านฑูตYamato ผู้เป็นที่เคารพนับถือของพวกเรา” เมื่อหล่อนกล่าวจบก็หันกายไปคารวะท่านพ่อและท่านแม่ซึ่งตอนนี้มีสีหน้าแช่มชื่นยิ่งนัก ก่อนที่หล่อนจะกล่าวต่อ
    “ณ เวลานี้ ดิชั้นจึงใคร่ขอเชิญ Mr. Kira Yamato ขึ้นกล่าวอะไรเล็กๆน้อยกับแขกผู้มีเกียรติทุกท่านด้วยค่ะ”

    เป็นคำเชิญที่ผมเองก็ไม่คาดคิดว่าจะได้ยินจากหล่อน นั่นทำให้ผมตื่นจากภวังค์เมื่อครู่ก่อนจะต้องเผชิญหน้ากับเสียงปรบมือรอบกาย จนท่านแม่สะกิดให้ผมขึ้นไปบนเวที
    “แนะ ยังช้าอยู่อีก รีบไปสิจ๊ะ”
    ผมพยายามจะสงบอาการตื่นเต้นของตัวเองเต็มที่ และเมื่อมองขึ้นไปบนเวทีนั้น เจ้าของเสียงเรียนเชิญเมื่อครู่ก็ส่งยิ้มมายังผม นั่นทำให้ยิ่งรู้สึกประหม่า....แต่ในที่สุด ผมก็ก้าวขึ้นไปบนเวทีจนได้ Miss Clyneจึงถอยไปยืนเคียงข้างนักเปียโนเพื่อเปิดโอกาสให้ผมได้โดดเด่นบนเวทีเต็มที่ ขณะที่ถูกทุกสายตาจ้องมองมา ผมค่อยๆผ่อนลมหายใจก่อนเงยหน้าขึ้นกล่าว

    “ท่านผู้มีเกียรติทุกท่าน กระผมมีความรู้สึกยินดีและซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่งในโอกาสที่พวกท่านได้สละเวลาอันมีค่ามาร่วมแสดงความยินดีกับผมครั้งนี้ หากอันที่จริงแล้ว....งานเลี้ยงครั้งนี้ กระผมกลับมิได้รู้สึกว่าทำให้ตนเองอยู่เหนือเลิศเลอกว่าผู้ใด หากในทางที่แท้จริงนั้น ผู้ที่ควรได้รับความปลาบปลื้มทั้งมวล ผู้ที่ควรได้รับเสียงชื่นชมยินดีทั้งหมดนั้น คือผู้ที่คอยให้ความสนับสนุนแก่กระผมในทุกทาง ผู้ที่มีแต่ให้ความรักและกำลังใจ เมื่อกระผมต้องอยู่ห่างบ้านของตน ไปยังแดนไกลที่ไม่คุ้นเคย....”
    คำกล่าวทุกคำนั้นกลั่นมาจากใจ ผมมองไปยังท่านพ่อท่านแม่ที่อยู่ติดเวทีเลยทีเดียว ท่านพ่อส่งยิ้มอบอุ่นให้ผมขณะที่ท่านแม่เริ่มจะน้ำตาคลอ
    “ท่านผู้มีเกียรติทุกท่านครับ กระผมใคร่เรียนขอเสียงปรบมือให้ท่านเอกอัครราชฑูตYamatoและภริยา ท่านพ่อและท่านแม่ของกระผมครับ”

    เสียงปรบมือดังขึ้นกึกก้องอีกครั้งยาวนานกว่าเดิม ผมเห็นว่าท่านพ่อโอบบ่าของท่านแม่แน่น ในดวงตาของท่านมิได้แสดงสิ่งอื่นเลยนอกจากความรักและปรารถนาดีต่อผม ผู้เป็นลูกชายเพียงคนเดียว
    “ท่านทั้งสองได้ให้ทุกสิ่งแก่ผมมามาก มากมายเหลือเกิน จนมิอาจคณานับได้ ดังนั้น...ทุกท่านครับ จากนี้กระผมขอให้สัญญาด้วยเกียรติว่า จะนำความรู้ความสามารถที่ได้ศึกษาทั้งหมดเพื่อประโยชน์แห่งสาธารณชน ให้สมกับได้กลับมายังแผ่นดินเกิดแห่งนี้ ขอบคุณมากครับ”

    ผมโค้งท่ามกลางเสียงปรบมือเกรียวกราวดังยาวนาน ท่านแม่ซับน้ำตาด้วยริมผ้าเช็ดหน้าป้อยๆ ก่อนจะปรี่เข้ามากอดผมเต็มที่ แล้วจึงตามมาด้วยท่านพ่อ
    ความยินดีของผู้อื่นก็ไม่มีค่าเท่าการได้เห็นรอยยิ้มของผู้เป็นบุพการีของเราเอง นั่นคือสิ่งที่ผมคิดเสมอมา

    ยังมีบุคคลในวงสังคมชั้นสูงอีกหลายคนเข้ามาร่วมแสดงความยินดีกับผมอย่างเป็นทางการอีกครั้ง รวมทั้งครอบครัวของท่านบารอนAllsterด้วย

    หากยังมีอยู่อีกคนหนึ่งที่ ผมเองก็ไม่เข้าใจว่าด้วยเหตุใด จึงอยากให้หล่อนอยู่ ณ จุดนี้ด้วย
    ทั้งที่เราเพิ่งพบกันเป็นครั้งแรก....

    ผมอดเหลียวกลับไปยังเจ้าของเสียงเพลงหวานตรึงใจเมื่อสักครู่มิได้ หล่อนกำลังสนทนากับนักเปียโนของตน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นประสานสายตากับผมพอดี
    หล่อนมิได้กล่าวว่ากระไร เนื่องจากอยู่ไกล จึงเพียงแต่ส่งยิ้มมาให้ผมอีกครั้ง

    ผมอดสงสัยไม่ได้ว่า หล่อนรู้จักผมอยู่แล้วหรือไม่เมื่อครั้งที่เราได้พบกันที่สวนดอกไม้ของโรงแรม
    หากจะอย่างไรก็ตาม....ผมจำต้องละสายตาจากหล่อนเสีย เมื่อผู้จัดการคณะของหล่อนเดินเข้ามากล่าวอะไรกับหล่อนสองสามคำ Miss Clyneพยักหน้ารับอย่างนุ่มนวลแล้วจึงเดินไปข้างหลังเวที
    #######################################
    หลังการสนนากับครอบครัวท่านฑูตยามาโตะ และพิจารณาแล้วว่าถึงเวลาสมควรแก่การลากลับ บารอนAllsterจึงกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าแสดงความเสียดาย
    “ต้องขอเสียมารยาทกลับก่อนแล้วหล่ะครับท่านฑูต”
    “อา...นี่ก็ดึกพอสมควรแล้วหล่ะนะ คุณหนูFllayก็คงจะเริ่มง่วงแล้วสินะเนี่ย เอาเถิดท่านบารอน เชิญตามสบายเถอะนะ ไม่ต้องเกรงใจ”

    เมื่อได้ยินอีกฝ่ายกล่าวเช่นนั้นแล้ว สองพ่อลูกก็มองหน้ากันเล็กน้อย ก่อนที่ท่านบารอนจะเอ่ยขึ้นพลางรับหมวกทรงสูงและไม้เท้าจากเด็กรับใช้
    “ถ้าเช่นนั้น เอาไว้เราพบกันที่สโมสรจะครับ ท่านฑูต ท่านผู้หญิง แล้วก็คุณคิระ แล้วก็เมื่อมีเวลาว่างจากงาน กระผมจะขออนุญาตไปเยือนท่านที่คฤหาสน์บ้าง”
    “ตายจริง ขอเรียนเชิญล่วงหน้าเลยค่ะ ดิชั้นจะรอท่าเตรียมตัวต้อนรับท่านอย่างเต็มที่เชียว” Lady Calida Yamatoผู้เป็นภริยาของท่านฑูตกล่าวด้วยความกระตือรือร้น ก่อนจะหันไปกล่าวกับLady Allsterด้วยเสียงอ่อนโยน
    “คุณหนูFllayคงไม่รังเกียจนะคะ ถ้าป้าจะส่งคนรถไปรับมาร่วมทานน้ำชายามบ่ายด้วยกันบ้าง”

    เจ้าของเรือนผมสีเพลิงสลวยกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ดิชั้นยินดีเป็นอย่างยิ่งค่ะ ท่านป้า” ก่อนจะทิ้งสายตาไปยังชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างมารดาของเขา ขณะที่ท่านผู้หญิงของท่านฑูตและบารอนAllsterแอบยิ้มอย่างพึงพอใจกับภาพของสองหนุ่มสาวที่ได้เห็นเบื้องหน้า
    Kira Yamatoยกปลายนิ้วของหล่อนขึ้นจุมพิตขณะกล่าวร่ำลา
    “หวังว่าผมจะได้มีโอกาสรับใช้คุณบ้างนะครับ Lady Allster”
    “ดิชั้นก็หวังเช่นนั้นอย่างยิ่งค่ะ” หล่อนช้อนตาขึ้นมองเขา ริมฝีปากอมยิ้มนิดๆอย่างเอียงอาย

    Kira Yamatoเดินมาส่งครอบครัวAllsterขึ้นรถม้าที่จัดเตรียมไว้ท่ามกลางสายตาที่แสดงความพอใจของท่านผู้หญิง หล่อนชื่นชมFllay Allsterให้ใครต่อใครได้ยินไม่ขาดปาก รวมทั้งเรื่องที่ว่าบุตรชายของหล่อนและธิดาสาวสวยของท่านบารอนเหมาะสมกันเพียงใดด้วย
    มีเพียงท่านฑูตที่ได้แต่ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจกับท่าทางปลาบปลื้มจนออกนอกหน้าของภริยาตน
    ################################
  5. whitewing

    whitewing New Member

    EXP:
    120
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0

    “ลูกหญิงคิดว่าพ่อKira Yamatoเป็นคนอย่างไร หือ?”
    ท่านบารอนถามบุตรีด้วยท่าทางสบายอารมณ์ “ชาติตระกูลของพวกYamatoนั้นไม่เลวทีเดียวนะ ทรัพย์สมบัติเขาก็มีออกล้นฟ้า ทั้งยังเป็นนักเรียนนอก แทบจะเป็นที่หมายปองของบ้านที่มีลูกสาวบ้านอื่นๆทั้งหมดเลยเชียว รูปสมบัติรึก็ดี ฉลาดเฉลียว...ลูกหญิงพอใจในตัวเขาหรือไม่ลูก?”

    บุตรีท่านบารอนเล่นปอยผมของตนด้วยท่าทีครุ่นคิด ก่อนตอบ “Mr. Yamatoน่ะ ก็เข้าทีดีหรอกค่ะ แต่เขาดูจริงจังซีเรียสกับชีวิตเหลือเกิน ถึงลูกจะกล้าพูดได้ว่าเขามีสเน่ห์ แต่ถ้าให้พูดตรงๆเพื่อนสนิทของเขายังดูดึงดูดใจลูกมากกว่าอีก” หล่อนพูดพลางยักไหล่ หากกลับทำให้ผู้เป็นบิดาร้องอย่างตกใจ
    “ไฮ๊!!ลูกหญิงหมายถึงบุตรชายของนายพลZalaน่ะรึ หยุดเลยเชียว!”

    “ลูกล้อเล่นหรอกค่ะ ท่านพ่อก็!” หญิงสาวกลั้นหัวเราะคิกคัก “ลูกรู้ดีว่าท่านพ่อไม่ถูกกับบ้านหลังนั้น และเหตุผลสำคัญยังเป็นเรื่องที่เขาบังอาจมาเสนอตัวเป็นคู่แข่งกับท่านพ่อในเรื่องแย่งชิงหัวใจของแม่นักร้องนั่น” พูดมาถึงเรื่องนี้ Fllay Allsterก็ปิดพัดประดับลูกไม้ดังปั่บอย่างหงุดหงิด
    “แต่พวกYamatoนั่นก็เหลือเกิน! ไปเชิญแม่นักร้องนั่นมาร่วมงานจนได้ พอนังนั่นมาถึงทุกคนก็หันไปสนใจมันกันหมด ฮึ!” หล่อนเชิดหน้าขึ้นอย่างถือดี “Mr. Yamatoยังทำท่าราวกับลืมไปเลยเชียวว่าลูกก็ยังยืนอยู่ตรงนั้นด้วย คิดแล้ว น่าเจ็บใจนัก!”

    ท่านบารอนเห็นท่าทีฉุนเฉียวของบุตรีเช่นนั้นก็รีบกล่าว “โธ่! ลูกหญิงของพ่อ อย่าโกรธขึ้งให้หน้าสวยๆของเจ้าต้องหมดงามเลย หล่อนก็เป็นแค่นักร้องที่กำลังเป็นที่กล่าวขวัญถึงคนหนึ่งเท่านั้นเอง ใครจะกล้าเอามาเปรียบเทียบกับลูกสาวพ่อได้”
    แม้คำกล่าวของบิดาจะทำให้คลายความรู้สึกคุกรุ่นภายในลง แต่Fllay Allsterก็ยังอดพูดกระทบกระเทียบบิดามิได้
    “อ๋อ แน่จริงเทียวหล่ะค่ะท่านพ่อ! บุตรของท่านพ่องามอย่างนู้นอย่างนี้ แต่ท่านพ่อก็ยังไขว่คว้าพยายามจะเอาแม่นักร้องแสนสวยนั่นมาครอบครองให้ได้”
    ถูกพูดดักคอเสียขนาดนี้ ท่านบารอนAllsterถึงกับพูดอะไรไม่ออกนอกจากยิ้มเก้อ เพราะนั่นเป็นความจริงที่ว่า นับตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาได้พบและฟังเสียงเพลงอันอ่อนหวานของMiss Lacus Clyneผู้เป็นดาวจรัสแสงแห่งโรงละคร Rosetta เขาก็หลงไหลในตัวหล่อนมากเสียจนอยากจะรับเป็นผู้อุปถัมป์โรงละครแห่งนั้นเลยทีเดียว

    ตัวเขาเองนั้นก็เป็นหม้ายมาหลายปีแล้ว อยากจะหาสตรีดีๆสักคนมาเคียงข้าง และสายตาของเขาก็ไม่พบหญิงอื่นที่เหมาะสมไปมากกว่า Lacus Clyne หล่อนมิได้เพียงแต่งดงาม หากยังฉลาดเฉลียว จากการพูดจาสนทนากันหลายครั้งที่เขาได้ไปชมการแสดงของหล่อน แม้อายุของเขาจะห่างจากหล่อนมากหลายปี เรียกได้ว่าเป็นคราวบิดาของหล่อนเลยทีเดียว หากแต่เขาก็ไม่คิดว่าจะเป็นปัญหาในความสัมพันธ์แต่อย่างใด

    ถ้าเพียงแต่ไม่มีก้างขวางคอชิ้นโตอย่างเจ้าหนุ่มคนนั้น Athrun Zala เจ้าผู้กองหนุ่มแห่งสก็อตแลนด์ยาร์ดผู้นั้นเสียแล้วหล่ะก็!!
    ####################################

    หลังการแสดงบนเวทีทั้งหมดจบสิ้นลงท่ามกลางเสียงปรบมือกึกก้อง และม่านกำมะหยี่ได้ทิ้งตัวลงมาแล้ว ก็ได้เวลาที่พวกเราเหล่านักแสดงจากโรงอุปรากร Rosettaจะเตรียมตัวกลับกันเสียที คุณDacostaผู้ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าคณะและวาทยากรตรวจดูความเรียบร้อยทุกอย่างแล้วจึงกล่าวกับทุกคน
    “คืนนี้ขอบคุณมากนะทุกคน ทางเจ้าภาพงานจะจัดรถม้าไปส่งพวกที่บ้านอยู่ไกลนะ ส่วนพวกอยู่หอ ก็คงต้องรอกลับพร้อมรถขนเครื่องดนตรีเลยนะ เดี๋ยวผมจะไปลาท่านYamatoก่อน”
    “คร้าบ/ค่า” เสียงรับคำสดใส Mr. Martin Dacostaยิ้มอย่างพอใจ แล้วเดินเข้ามาหาดิชั้นซึ่งนั่งพักอยู่ที่เก้าอี้บุนวม
    “เหนื่อยหน่อยนะครับคุณหนูLacus เดี๋ยวอีกซักพักผมจะไปส่ง ตอนนี้เชิญพักก่อนนะครับ” พูดจบเขาก็รีบหันไปตะโกน “เอ้า! ใครที่ยังว่างๆอยู่น่ะ หาน้ำหาท่ามาให้คุณหนูLacusทานซิ!”

    ท่าทีกระวีกระวาดของเขาทำให้ดิชั้นต้องกลั้นหัวเราะคิก ก่อนจะออกปาก “ไม่เป็นไรค่ะ คุณDacosta ทุกคนกำลังยุ่งๆกัน อย่ารบกวนเลย ดิชั้นไม่เป็นไรค่ะ”
    “แต่ว่า....”
    ก่อนที่เขาจะพูดอะไรต่อ คุณAliceผู้เป็นแม่นมของดิชั้นก็ก้าวเข้ามา ท่านอายุเกือบจะ70แล้วหล่ะค่ะหากยังกระฉับกระเฉงมากกว่าคนวัยเดียวกันมากทีเดียว คุณAliceดูแลดิชั้นมาตั้งแต่ยังเล็ก จนถึงบัดนี้ซึ่งดิชั้นได้เป็นนักร้องที่คณะละครแห่งมหานครลอนดอน คุณAliceก็ยังตามดิชั้นมาด้วย

    “คุณหนูLacusคะ” แม่นมผู้ใจดีของดิชั้นเดินเข้ามาหาพร้อมประคองช่อกุหลาบสีขาวอย่างที่ดิชั้นชอบช่อใหญ่มาด้วย สีขาวบริสุทธิ์ไร้มลทินตัดกับสีเขียวสดของใบยิ่งชวนให้ดูสดชื่น “จากคุณผู้กองZalaค่ะ”

    “ขอบคุณค่ะ คุณAlice”
    Athrun Zala.... เมื่อดิชั้นได้ยินชื่อของเขาแล้วก็อดคลี่ยิ้มออกมาไม่ได้ คนหนุ่มจากสก็อตแลนด์ยาร์ดผู้สุภาพอ่อนโยนผู้นั้น นานแล้วที่ไม่ค่อยได้มีโอกาสพบกันเนื่องจากตัวเขาเองก็ติดภารกิจอยู่บ่อยครั้ง ดิชั้นรับช่อกุหลาบขาวพราวช่อนั้นมาและมองอย่างชื่นชม จึงได้สังเกตเห็นการ์ดเล็กๆที่ผูกติดมาด้วย

    ด้วยรักและความปราถนาดีเช่นเสมอมา
    ลงนาม ร้อยเอก Athrun Zala

    ดิชั้นยิ้มขณะที่นึกถึงใบหน้าของเขาไปด้วย ทั้งๆที่ไม่ได้อยู่ร่วมชมการแสดงด้วย หากเขาก็ยังอุตส่าห์ฝากช่อดอกไม้ไว้ให้เป็นกำลังใจ ดิชั้นอดรู้สึกขอบคุณในน้ำใจไมตรีที่เขามอบให้ไม่ได้
    แต่ว่าสิ่งนั้น....จะใช่ความรักหรือไม่หนอ? รอยยิ้มของเขานั้นเล่าก็ช่างอ่อนโยน...แต่เหตุใดกัน ทั้งที่เขาก็เป็นผู้ที่ใจดีถึงเพียงนี้ หากก็ไม่อาจทำให้หัวใจของเราเต้นแรงได้

    “ผมไม่คิดจะเร่งรัดคุณหรอกครับ Lacus ผมทราบว่าการร้องเพลงเป็นสิ่งที่คุณรักยิ่ง แต่เพียงโปรดเปิดโอกาสให้ผมได้มีที่ในหัวใจของคุณบ้างก็เพียงพอ แล้วซักวัน ผมจะพิสูจน์ให้คุณเห็นว่า...ผมรักคุณมากกว่าใคร”

    นั่นคือสิ่งที่เขาพูดทิ้งท้ายไว้หลังจากที่ดิชั้นกล่าวปฏิเสธคำขอแต่งงานของเขาไป ดวงตาสีมรกตของเขาในตอนนั้นแสดงความมุ่งมั่นเต็มที่...หากเป็นหญิงอื่น...ได้สบตาคู่นั้นคงทำให้หวั่นไหวไม่น้อย

    แต่สำหรับดิชั้นแล้ว ดิชั้นขอน้อมรับคำขอแต่งงานนั้นไว้เพียงในใจด้วยความรู้สึกซาบซึ้งในไมตรีจิตที่เขาหยิบยื่นให้ แต่ ณ เวลานี้ ดิชั้นรู้ใจตัวเองดีว่ามิอาจนึกถึงสิ่งอื่นได้นอกจากการร้องเพลงที่ใฝ่ฝันไว้แต่ยังเล็ก
    คิดเสียว่า...ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติโดยไม่ฝืนใจตัวเองน่าจะเป็นการดีกว่า
    ดิชั้นหัวเราะเบาๆขณะที่ก้มหน้าสูดกลิ่นหอมหวานของกุหลาบขาวด้วยจิตใจปลอดโปร่ง
    #################################

    ...ผมนิ่งมองร่างเล็กบางกอดตระกองช่อดอกกุหลาบขาวในอ้อมแขนด้วยความรู้สึกที่...บอกไม่ถูกเหมือนกัน
    อย่างนั้นหรือ?....Athrunหมายปองในตัวของสาวน้อยนักร้องคนนี้อยู่อย่างนั้นสินะ
    ผมก้มหน้ามองพื้น รู้สึกละอายเสียเหลือเกินกับความรู้สึกที่เกิดขึ้น

    แต่...ก็ยังดีที่รู้ว่าคนทั้งสองมีความรักให้แก่กันเสียก่อนตั้งแต่ตอนนี้....
    Athrunเองก็ต้องฝืนทำเรื่องที่ตัวเองไม่อยากทำมานานแล้ว....ผมเองก็อยากจะเห็นเพื่อนมีความสุขเสียที

    ผมถอยออกมาจากหน้าประตูห้องเตรียมตัวของคณะละครRosettaที่ทางโรงแรมจัดไว้ให้ ยุติความตั้งใจที่อยากเข้าไปทำความรู้จักกับสาวน้อยแห่งเสียงเพลงคนนั้นเสียตั้งแต่ตอนนี้.....
    ###################################
  6. whitewing

    whitewing New Member

    EXP:
    120
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    PHASE 2: Mr.Professer

    ภายในห้องบรรยายทางวิชาการ เบื้องหน้าของผมตอนนี้รายล้อมไปด้วยบรรดาสุภาพบุรุษผู้เข้ามาแสวงหาความรู้ในระดับมหาวิทยาลัย มีตั้งแต่ท่านที่อายุเพียง17-18จนถึงระดับที่อายุราว30ปี หาก ณ สถานที่แห่งนี้ซึ่งเต็มไปด้วยบรรยากาศทางวิชาการแล้ว ย่อมไม่มีการแบ่งแยกในความต้องการศึกษาหาความรู้แต่อย่างใด ดังนั้นนั่นจึงเป็นความตั้งใจของผม ที่ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบในวิชาว่าด้วยปรัชญาการเมือง

    แต่กระนั้น การแสดงออกซึ่งการมีส่วนร่วมในห้องเรียนนั้น เป็นสิ่งที่อาจารย์ทุกคน ไม่เว้นแม้แต่อาจารย์ใหม่อย่างผมต้องการจากลูกศิษย์ ดังนั้นหลังจากได้แนะนำตัวเองก่อนหน้านี้ไปแล้ว ผมจึงได้เปิดโอกาสให้พวกเราได้รู้จักกันบ้าง หลายๆท่านมีอาการเก้อเขินบ้างในตอนแรก แต่เมื่อผมใช้วิธีจี้ให้ตอบคำถาม บรรยากาศก็เริ่มดีขึ้น

    หนึ่งในลูกศิษย์ของผมมีหลายคนที่น่าสนใจทีเดียว โดยเฉพาะกลุ่มนักศึกษาหนุ่มจากโรงเรียนประจำEtonซึ่งเป็นโรงเรียนเก่าของผมและAthrun พวกเขามีความกระตือรือร้นที่จะแสดงออกซึ่งความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา Ssigh Argyleบุตรพ่อค้าผู้มั่งคั่งของแถบHuddersfield และเพื่อนๆของเขาเช่น Tolle Kheonik และKuzzy Buskert และอีกคนที่น่าสนใจก็คือ Ray Za Barrel ผู้ซึ่งแสดงออกซึ่งความเงียบขรึมจนดูราวหยิ่งยะโส แต่เมื่อได้ตอบคำถามในห้องบรรยายหลายครั้งแล้ว ผมจึงจับได้ว่า เขาเป็นคนหนุ่มที่ฉลาดเฉลียวและมีความคิดอ่านเกินวัย18ทีเดียว

    เรื่องที่ผมได้เข้ามาสอนหนังสือที่มหาวิทยาลัยนี้เกิดขึ้น หลังจากกลับจากปารีสได้เพียงสองสามวัน ท่านพ่อก็แนะนำผมให้รู้จักกับท่านอธิการบดีของมหาวิทยาลัย ศาสตราจารย์ ดร. Rau Le Klueze ผู้เป็นที่กว้างขวางในแวดวงนักวิชาการอังกฤษ เมื่อท่านพ่อเอ่ยปากฝากฝังผมให้ ศจ.Kluezeจึงยินดีรับผมเข้าทำงานในฐานะอาจารย์ประจำและเริ่มงานได้ในทันที….

    แต่สิ่งที่ติดค้างในใจของผมยิ่งนักคือ ใบหน้าที่ซ่อนอยู่หลังแว่นตาสีชากรอบใหญ่ของศจ.....ท่านเป็นคนที่สุภาพและดูน่าเคารพเชื่อถือ หากแต่เหตุใดจึงต้องปิดบังใบหน้าของตน? ผมจึงสอบถามเรื่องนี้กับท่านพ่อ ก็ได้รับคำตอบว่า
    “ท่านอธิการบดีไม่เคยพูดเรื่องนี้กับใครด้วยสิ....พ่อคาดว่าคงเป็นปัญหาโรคทางสายตาของท่านหล่ะนะ ใครๆก็ว่ากันแบบนั้นนี่ อันที่จริงมันก็เป็นเรื่องส่วนตัวของท่านน่ะนะ เราอย่าไปถามจะดีกว่า”
    ผมรับคำ แม้จะยังรู้สึกข้องใจอยู่ก็ตาม หากนั่นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ใดที่เป็นอุปสรรคในการทำงาน ดังนั้นคิดว่า ลืมความสงสัยในข้อนี้ไป น่าจะดีกว่า

    แต่จะอย่างไรก็ตาม นี่ก็เป็นเวลาเกือบอาทิตย์แล้วที่ผมได้เข้ามาสอนหนังสือที่นี่....
    “วันนี้ผมเปิดหนังสือพิมพ์อ่าน มีคอร์ลัมน์หนึ่งวิจารณ์ Mr. Charles Darwinผู้เอ่ยอ้างทฤษฎีวิวัฒนาการโดยมีแก่นหลักของทฤษฎีว่า ธรรมชาติจะคัดสรรผู้ที่สามารถปรับตัวได้ดีที่สุดให้เป็นผู้อยู่รอด สืบพันธุ์ และสืบทอดลูกหลานต่อไปว่า ท่านเป็นคนโกง หลอกลวงและเป็นคนบาปในการอาจหาญท้าทายกับคำสอนของคริสตศาสนา...” ผมกล่าวพลางนั่งลงบนโต๊ะ ในมือยังถือหนังสือพิมพ์ที่กำลังพูดถึงให้นักศึกษาได้เห็น

    “สิ่งที่เรารับรู้ในตอนนี้ เรื่องใดกันแน่เป็นเรื่องที่เรา”ควร” เลือกที่จะเชื่อ และเรื่องใดกันที่เรา “ไม่ควร”เชื่อ? ดังนั้น ผมจึงอยากฟังทัศนะจากทุกท่านในกรณีดังที่กล่าวมานี้ เชิญครับ คุณArgyle”ผมพยักหน้าไปทางหัวหน้ากลุ่มนักศึกษารุ่นใหม่ เขาขยับแว่นสีชากรอบกลมเล็กน้อยแก้เก้อก่อนจะตอบ
    “ผมเห็นว่า ในตอนนี้สิ่งที่Mr. Darwinกล่าวยังไม่สามารถพิสูจน์หาประจักษ์พยานหลักฐานใดๆเพื่อนำมาหักล้างความน่าเชื่อถือที่ย่อมมีผู้ศรัทธามากกว่าของคริสศาสนาครับ”
    “นั่นหมายความว่า คุณหมายถึง...ทฤษฎีวิวัฒนาการเป็นสิ่งที่ไม่น่าเชื่อถือหรือเปล่า?” ผมถามจี้ต่อไป
    “มิได้ครับอาจารย์”คุณArgyleรีบตอบ “ผมเห็นว่าในความจริง ณ เวลานี้ ความเชื่อมั่นในคริสตศาสนาเป็นสิ่งที่สังคมให้ความเคารพอยู่โดยมาก ระเบียบวิธีการวิทยาศาสตร์ยังส่งเสริมบารมีของตนไม่มากพอที่จะนำข้อมูลมาหักล้างกับศาสนจักรได้”

    คำตอบนั้นทำให้ผมต้องยิ้มอย่างพอใจ “คุณArgyleตอบคำถามของผมได้ตรงประเด็นในหลายส่วน” ผมเดินไปที่กระดานก่อนใช้ชอล์คเขียนคำว่า Paradigm

    “พาราไดม์ (กระบวนทัศน์) ผมคาดว่าพวกคุณคงเคยได้ยินคำดังกล่าวมาบ้าง คำนี้ใช้ในแวดวงวิชาการ เป็นคำอธิบายของความเชื่อ ทฤษฎีที่คนในสังคมให้ความเชื่อถือร่วมกัน มีความแข็งแกร่งและมั่นคงมากกว่าทฤษฎีมากนัก ดังผมจะยกตัวอย่าง กระบวนทัศน์ในความเชื่อของคริสศาสนจักรเรื่องที่ว่าพระเจ้าสร้างมนุษย์โดยให้อดัมและอีวาเป็นบรรพบุรุษแรกของมนุษยชาติ ชาวคริสต์เชื่อมั่นและศรัทธาในเรื่องดังกล่าวอย่างเข้มข้นเป็นระยะเวลานับร้อยๆปี ดังนั้น...เมื่อมีผู้ที่คิดอาจหาญเบี่ยงเบนจากประเด็นดังกล่าวไปสู่สิ่งที่สามารถทดลองและพิสูจน์ได้เช่นวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ จึงเป็นเรื่องง่ายที่พวกเขาเหล่านั้นจะถูกตราหน้าว่าเป็นบุคคลที่มีความผิดปกติ และไม่เป็นที่ยอมรับ หรือพูดง่ายๆว่า เป็นคนบาปนั่นเอง”

    “ถ้าเช่นนั้น...”คุณZa Barrelเงยหน้าขึ้นจากการจดบรรยาย แล้วกล่าวต่อจากผม “อันที่จริง....เราก็ยังไม่สามารถกล่าวได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่าควรจะตัดสินใจเชื่อในเรื่องใดสินะครับ”
    ทั้งห้องหันไปมองที่คนหนุ่มรูปงามผมทองเป็นตาเดียว ผมรู้สึกว่าเป็นคำตอบที่น่าสนใจดีเดียว
    “ว่าต่อเลย คุณZa Barrel”

    “หมายความว่าสิ่งที่เราควรเลือกที่จะเชื่อในตอนนี้ ยังไม่ควรตัดสินใจชี้ชัดลงไป ไม่ว่าจะด้วยความเชื่อจากศาสนาหรือจากวิทยาศาสจร์ก็ตามที อันเนื่องมาจากว่า....เราปฏิเสธไม่ได้ถึงความเสื่อมของศาสนาที่กำลังเกิดขึ้น และในเมื่อวิทยาศาสตร์ซึ่งเป็นแนวคิดล่าสุดก็ยังไม่มีความหนักแน่นพอ ท้ายที่สุดในยุคสมัยของเราณ เวลานี้จึงไม่อาจเชื่อมั่นในสิ่งได้ได้เลย”เด็กหนุ่มกล่าวตอบด้วยสีหน้ามั่นคง หากในประกายตานั้นเล่าน่าสนใจนัก
    “คุณกล่าวในสิ่งที่ชัดเจนดี คุณZa Barrel” ผมพยักหน้าอย่างพอใจในคำตอบที่ได้รับนั้น “เรากำลังก้าวเดินอยู่ในยุคสมัยแห่งการเปลี่ยนผ่านความเชื่อสากลเหล่านั้น เรากำลังอยู่บนเกลียวคลื่นแห่งยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ไม่มีสิ่งในแน่นอน ไม่มีอะไรที่เชื่อได้....แล้วในเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว เรายังเชื่อมั่นในสิ่งได้ได้อีกอย่างนั้นหรือ?”

    ผมถอดแว่นลงพับและหย่อนลงในกระเป๋าเสื้อเมื่อเสียงกริ่งหมดเวลาดังขึ้น ก่อนจะกล่าวทิ้งท้ายไว้
    “อะไรที่เราควรจะเชื่อมั่นในช่วงเวลาที่เราวางใจในสิ่งใดไม่ได้เลย? ผมให้พวกคุณนำกลับไปคิดเป็นการบ้านแล้วเขียนเป็นรายงานส่งผมในคาบหน้าแล้วกันนะครับ”
    ##################################

    หลังจากการบรรยายประจำวันจบลงผมก็อยู่ตอบคำถามนักศึกษาอีกครู่ใหญ่ก่อนจะขอตัวออกมา ขณะที่เดินไปตามทางเชื่อมระหว่างอาคารซึ่งก่อด้วยบล็อคอิฐ ผ่านสวนดอกไม้ของคณะซึ่งตอนนี้ต้นสูงใหญ่ของดอกแมกโนเลียสีขาวขลิบแดงบนสะพรั่งเต็มต้น กลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วบริเวณ แสงอ่อนๆของยามบ่ายทำให้พบเห็นภาพนักศึกษาหลายคนถึงกับหลับคาเก้าอี้ยาว

    ขณะที่กำลังเพลินกับบรรยากาศรอบกาย อยู่ๆก็มีกลุ่มนักศึกษาหนุ่มๆหลายคนวิ่งผ่านผมไปอย่างเร่งรีบ
    “ถอยๆ!!อ๊ะ!!โทษทีครับอาจารย์!!”
    ผมมองตามพวกเขาไป ออกจะรู้สึกงงๆอยู่สักหน่อย โดยเฉพาะเมื่อพวกเขาวิ่งไปออกันอยู่ที่ประตูรั้วเหล็กดัด ดังนั้นด้วยความสงสัย ผมจึงอดไม่ได้ที่จะชะเง้อมองดูจากที่ไกลๆด้วยความสนอกสนใจ

    “อาจารย์Yamatoเพิ่งจะบรรจุเข้ามาใหม่ก็เลยยังไม่ทราบสินะครับ”
    “ศจ.Klueze” ผมเอ่ยทักทายอธิการบดีมหาวิทยาลัย ชายร่างสูงใหญ่ในชุดเสื้อคลุมยาวสีดำแถบห้อยสีแดงเลือดหูแบบเดียวกับหมวกใบใหญ่ที่เขาสวมอยู่ ผมสีทองมัดรวบไว้ข้างหนึ่งหลวมๆ และเป็นอีกครั้งที่ใบหน้าที่แท้จริงของเขายังคงซ่อนไว้ใต้แว่นสีเข้ม

    เขาหัวเราะหึๆ ขณะที่กล่าวบอกกับผม “ตามปกติเวลานี้จะมีดาราใหญ่มาที่มหาวิทยาลัยของเราน่ะ”
    “เอ๋?”
    “คุณเคยได้เข้าไปที่คณะนิติศาสตร์บ้างหรือยังหล่ะ? อาจารย์”
    “ยังครับ โดยความสัตย์จริง เนื่องจากผมเข้ามาใหม่ ภาระในเรื่องรายวิชาที่ต้องเตรียมสอนนักศึกษายังไม่เรียบร้อยเท่าไหร่นัก” เมื่อได้ฟังผมตอบ ผจ.ดร.ก็หัวเราะเบาๆ
    “ถ้าเช่นนั้น ก็คงยังไม่ทราบว่าคุณหนูLacus Clyne นักร้องชื่อดังของRosettaเป็นบุตรีคนเดียวของผศ.ดร.Clyne อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายการเมืองของคณะนิติศาสตร์ เธอจะเข้ามาทุกๆบ่ายวันศุกร์เช่นนี้เพื่อรับประทานมือกลางวันร่วมกับบิดาของเธอ พวกหนุ่มๆก็เลยได้โอกาสชื่นชมความงามของหล่อนในตอนนั้น”

    คำกล่าวนั้นทำให้ผมแปลกประหลาดใจนัก ยิ่งไปกว่านั้น ชื่อของเธอคนนั้น...Lacus Clyneก็สะกิดใจผมเป็นอย่างยิ่ง
    แม้จะรู้ว่าเป็นการไม่เหมาะไม่ควรที่จะนึกถึงเรือนผมสีPink Blondพลิ้วสลวยและกลิ่นหอมจากกายของหล่อนในค่ำคืนที่สวนแห่งนั้นในเวลาเช่นนี้ หากมันช่างยากเหลือเกินที่จะหักใจไม่คิดถึง

    ผมก้มหน้าลงมองพื้น เพื่อซ่อนใบหน้าจากสายตาของคู่สนทนา
    “เช่นนั้นหรือครับ”
    “ดูอาจารย์ไม่แปลกใจ?”
    “ก็ไม่ใช่แบบนั้นหรอกครับ ศจ. เพียงแต่มันไม่ใช่กงการอะไรของผมที่ต้องไปสนใจเรื่องจุกจิกเช่นนี้.....”ผมกล่าวแก้ตัวไป “เรื่องใหญ่กว่านี้ที่เราในฐานะนักวิชาการควรให้ความสนใจยังมีอีกมากมาย เรื่องของสังคมที่กำลังอยู่ระหว่างการเปลี่ยนแปลง การเมืองที่แทบจะกลายเป็นเรื่องของพวกชนชั้นผู้นำอย่างเดียว แล้วยังประเด็นทางสังคมอื่นๆอีก อย่างน้อยก็ไม่ใช่เรื่องของดารานักร้องสาวที่ไหน เรื่องพวกนี้...ให้พวกเด็กๆเค้าสนใจกันไปเถอะครับ”

    ศจ.ดร.Kluezeขยับแว่นเล็กน้อยพลางกล่าวเสียงเย็น “เด็กๆอย่างนั้นหรือ? ว่าแต่คุณน่ะอายุเท่าไหร่กันอาจารย์? พูดเสียอย่างกับตัวเองเป็นพ่อแก่ที่ไหน ผมได้ยินมาว่า คุณก็อายุเท่าๆกับผู้กองAthrun Zalaบุตรของท่านนายพลนั่นแหล่ะ “
    ผมออกจะรู้สึกเสียหน้าไม่น้อยเมื่อถูกบุคคลที่เป็นผู้ใหญ่กว่าพูดทักเรื่องอายุที่ยังน้อยอยู่เช่นนี้ ใช่ ผมเพิ่งอายุเพียง24ปี จบปริญญาโทด้านการเมืองจากปารีสแล้วก็รับราชการเป็นอาจารย์ของมหาวิทยาลัยทันที ผิดตรงไหนที่ผมเพิ่งอายุแค่24?
    คำกล่าวของศจ.ดร.ทำให้ผมขุ่นเคืองอยู่เหมือนกัน หากก็เข้าใจว่าอีกฝ่ายเป็นผู้อาวุโสมากกว่า

    “ใช้ชีวิตวัยหนุ่มให้เต็มที่หน่อยเถอะอาจารย์ เดี๋ยวจะเสียใจถายหลังนะ”
    ผมไม่ตอบว่ากระไรต่อนอกจากยิ้มรับเท่านั้น เราเดินสนทนาไปด้วยกันจนถึงอาคารห้องทำงานของท่านอธิการบดี ผมจึงค่อยขอตัวแยกไป

    ในใจนั้น...ยังคงอดครุ่นคิดถึงหล่อนไม่ได้....Lacus Clyne
    ไม่ได้....หล่อนเป็นคนรักของเพื่อนสนิทของเรา ดังนั้น...สิ่งที่เราจะหยิบยื่นให้หล่อนได้นั้น มีเพียงมิตรภาพฉันมิตรเท่านั้น
    ไม่ใช่ความรู้สึกเช่นนี้ ไม่ใช่!
    ###################################

    ไม่กี่วันต่อมาผมก็ได้รับการแนะนำให้รู้จักกับผศ.ดร.Siegel Clyneอย่างเป็นทางการ ในฐานะที่ท่านเป็นหัวหน้ากองบรรณาธิการวารสารทางสัมคมศาสตร์ ซึ่งผมได้รับการติดต่อจากท่านให้ร่วมเขียนบทความลงวารสารด้วย โดยส่วนตัวแล้วนับเป็นข่าวที่ทำให้ผมยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะได้ร่วมทำงานกับผู้ที่มีความสามารถเช่นดร.Clyne

    หากในอีกแง่หนึ่ง ในฐานะที่ท่านเป็นบิดาของ....เธอคนนั้น.... ทำให้ผมวางตัวไม่ค่อยถูกเท่าไหร่ในครั้งแรกที่พบกัน แต่ด้วยอัธยาศัยไมตรีและความเป็นกันเองที่ดร.Clyneมี ก็ทำให้ผมคลายความกังวลในเรื่องดังกล่าวไปได้มากทีเดียว
    ดังนั้นไม่นานนัก....ในเวลาต่อมาที่ได้พูดคุยกันบ่อยครั้งเข้า ผมก็ไม่ได้คำนึงในเรื่องที่เธอเป็นบิดาของMiss Lacus Clyneคนนั้นอีกต่อไป

    “อ้า อาจารย์Yamato! เจอตัวพอดีเชียว”
    “สวัสดีครับ ดร.Clyne” ผมกล่าวพลางวางแฟ้มเอกสารลงบนโต๊ะประชุม ขณะที่พวกบรณาธิการวารสารของมหาวิทยาลัยค่อยๆทยอยมาตามนัดหมายการประชุม
    ผศ.ดร.Clyneเข้ามาตบบ่าผมเบาๆพลางบอกด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “บทความเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงในอุดมการณ์ทางการเมืองของคุณที่ตีพิมพ์ลงฉบับที่แล้วเป็นที่โจษจันในหมู่ผู้อ่านทีเดียวนะ รู้ตัวรึเปล่า?”
    คำบอกเล่านั่นทำให้ผมแปลกใจไม่น้อย
    “เอ๋?”
    “ข้อวิพากษ์ของคุณน่าสนใจมากทีเดียวหล่ะ ไม่ผิดจากที่พวกเพื่อนๆผมที่ปารีสเคยเล่าให้ฟังเลย! ถึงความเอาจริงเอาจังของคุณน่ะ พอผมเขียนจดหมายไปเล่าให้ฟังเรื่องอาจารย์คนใหม่ เขาก็พากันตกอกตกใจกันใหญ่ “
    “หมายถึงพวกอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยที่ผมจบมาน่ะหรือครับ?”ผมร้องตกใจ “น่าอายจริง! ผมไปเฮี้ยวใส่พวกท่านไว้เสียเยอะ ต้องแค้นกันมากแน่ๆ”

    ดร.Clyneหัวเราะเต็มเสียงก่อนจะกล่าวต่อด้วยท่าทางสบายๆ “การได้เห็นนักเรียนที่เราสอนได้ดียิ่งกว่า เป็นสิ่งที่อาจารย์อย่างพวกเราควรยินดีมิใช่หรือ? ว่าแต่นะ ผมสนใจเรื่องที่คุณเสนอไว้ในบทความมากทีเดียว อาจารย์Yamato ไว้โอกาสหน้า ขอเชิญที่ห้องทำงานได้มั๊ย? ผมอยากพูดคุยกับคุณเรื่องนี้”
    นั่นเป็นข้อเสนอที่ผมยินดีและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง จึงตอบรับคำเชิญไปโดยทันที หลังจากนัดหมายกันแล้วก็พอดีกับการประชุมคณาจารย์บรรณาธิการเริ่มขึ้น
    ###################################

    ในเช้าวันจันทร์ที่อากาศแจ่มใส ผมหอบตำราเข้าไปในอาคารอิฐสีแดงของคณะนิติศาสตร์เพื่อพบกับผศ.ดร.Siegel Clyneตามที่ได้นัดหมายกันไว้ก่อนหน้านี้ แต่คาดว่ายังเป็นเวลาเช้าอยู่จึงยังไม่มีอาจารย์คนอื่นๆมา

    ผมแอบขำตัวเองกับท่าทีกระตือรือร้นเกินเหตุของตัวเอง นิสัยนี้ท่าจะแก้ยาก....เพราะเป็นมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
    จนAthrunเองยังเคยออกปากตอนคุยโทรศัพท์กันเมื่อไม่นานมานี้ว่า
    “นายน่ะ ทำอะไรกับนิสัยเอาจริงเอาจังเกินความจำเป็นของตัวเองซะบ้างสิ! จากตอนเล็กๆบ้าเรียน มาตอนนี้บ้างานแทนเรอะ! แล้วแบบนี้เมื่อไหร่ชั้นจะได้มีโอกาสพานายตะลอนชมลอนดอนซะทีหล่ะ??”

    ....บ้างานเหรอ? ตัวเราเป็นคนแบบนั้นจริงๆรึเปล่า? Athrunก็พูดเกินความจริงไป เพียงแต่ว่า พอสนใจเรื่องไหนแล้วมันก็อดที่จะคิดถึงอยู่ร่ำไปโดยตลอดไม่ได้นี่

    ผมคิดอะไรเล่นๆไปเรื่อยก็มาถึงหน้าห้องทำงานของดร.Clyne และได้ยินเสียงกุกกักๆในห้องจึงคาดว่าท่านคงจะอยู่ในห้องโดยแน่
    “ดร.Clyneครับ ผมKira Yamato มาพบตามคำเชิญครับ”
    ผมกล่าวหลังจากที่เคาะประตูห้องเพื่อขออนุญาตแล้ว หากน่าแปลกนัก ไม่มีเสียงใดตอบมา ทั้งๆที่เสียงกุกกักๆในห้องยังดังออกมาอย่างต่อเนื่อง

    …แปลก?
    “ดร.Clyneครับ?” ผมเรียกอีกครั้งพลางเคาะประตู ครั้งนี้ก็ยังคงเดิม ไม่มีคำตอบรับออกมานอกจากเสียงดังกุกกักแล้วก็....พั่บๆ
    ด้วยความสงสัยถึงขีดสุดเช่นนี้ ทำให้ผมต้องกลั้นใจเสียมารยาทเปิดประตูเข้าไปพร้อมกับขออนุญาต
    “ขออนุญาตเข้าไปนะครับ ดร. เอ้อ....”
    ภาพที่อยู่ตรงหน้าทำให้ผมอึ้งเล็กๆ ด้วยแม้จะเป็นห้องที่ค่อนข้างใหญ่สำหรับอาจารย์คนเดียว แต่สิ่งที่ทำให้ห้องเล็กแคบไปถนัดตาคือกองตำราสูงท่วมหัวที่วางไว้ทั้งบนโต๊ะทำงาน บนเก้าอี้รับแขก ไม่เว้นแม้แต่บนพื้นจนแทบจะไม่มีที่เดิน ทั้งยังถูกยัดไว้เต็มตู้หนังสือไม้ขนาดสูงใหญ่จนแน่นเอี้ยด ผมเดินกระย่องกระแย่งหลบกองตำราที่เหมือนจะถล่มลงมาเมื่อไหร่ก็ได้พลางมองไปทางที่มาของเสียงกุกกักที่ได้ยินเมื่อครู่ จนพบว่าดังมาจากหลังตู้หนังสือยักษ์ที่ทำหน้าที่แบ่งครึ่งห้องไว้ในตัว

    “เอ้อ สวัสดีครับ....” ผมกล่าวขณะที่เดินอ้อมตู้ยักษ์ไปดูเจ้าของเสียงกุกกักๆนั้น
    แล้วผมก็พูดได้แค่นั้นเพราะต้องหัวใจแทบหยุดเต้นกับบุคคลที่ได้พบตรงหน้า
  7. whitewing

    whitewing New Member

    EXP:
    120
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0

    ร่างเล็กระหงในชุดกระโปรงแขนตุ๊กตายาวกรอมเท้าสีม่วงอมชมพูขลิบชายลูกไม้สีขาวรอบอกและรอบแขนเสื้อคลุมทับด้วยชุดของผ้ากันเปื้อนสีขาวซึ่งตอนนี้ขมุกขมอมด้วยฝุ่น เรือนผมสีPink blondยาวสลวยถูกรวบเป็นหางม้าสูงด้วยริบบิ้นสีเดียวกับชุดเปิดให้เห็นดวงหน้ากระจ่างใสและแก้มอมชมพูนิดๆเปล่งปลั่ง ดวงตาสีฟ้าครามกลมโตของหล่อนมองมายังผมด้วยความแปลกประหลาดใจในแขกที่มาเยือน หากไม่น่าจะเท่าผมที่... อาจจะไม่น่าแปลกใจหากหล่อนไม่ขึ้นไปนั่งทำความสะอาดอยู่บนขึ้นสูงสุดของกระไดนั่งร้านที่ใช้สำหรับปีนหาหนังสือเช่นนั้น!

    “Miss….Lacus Clyne?” ผมพึมพำได้แค่นั้น....ไม่คิดว่าจะพบหล่อนในวันนี้ ก็ไหน....ศจ.Kluezeบอกว่าหล่อนจะมาแค่บ่ายวันศุกร์ไม่ใช่หรือ?

    “อุ๊ยตายจริง!” หล่อนอุทาน ในมือยังถือไม้ปัดฝุ่นกับผ้าขี้ริ้วค้างอยู่ “มีแขกมาหรือคะเนี่ย? ต้องขออภัยด้วยค่ะที่เสียมารยาทไม่ได้ออกไปต้อนรับ! ดิชั้นกำลังเก็บกวาดห้องอยู่จึงไม่ทันได้ใส่ใจ”
    “มิ...มิได้ครับ เอ้อ! ระวังนะครับ มันสูงมากนะ” พอหายตะลึงผมก็หันไปห่วงความปลอดภัยของหล่อนแทน
    “ไม่เป็นไรค่ะ ดิชั้นปีนจนชินแล้ว รอสักครู่นะ...คะ…”
    ผมคิดว่าเสียงท้ายประโยคของหล่อนขาดหายไปตั้งแต่เห็นเจ้าหนูสีน้ำตาลตัวโตเท่าแมวไต่ดึ๊บๆอยู่บนชั้นหนังสือเฉียดหน้าของหล่อนไปไม่ถึงคืบ อึดใจต่อมาผมก็ได้ยินเสียงกรี๊ดลั่น
    “กรี๊ดดดดด!!!!!!!!!”

    หล่อนผวาสุดตัวจนเผลอเหยียบชายประโปรงตัวเองลื่นและพลัดตกลงมาจากกระไดนั่งร้านทันที!!!
    “กรี๊ดดดดดดดดดด!!!!!”
    “ระวัง!!!!”ผมวิ่งสุดฝีเท้า ก่อนจะอ้าแขนรับร่างเล็กที่ร่วงลงมาได้ทัน หากตัวผมเองก็เสียหลักล้มลงกับพื้นเช่นกัน!!

    โครม!!!!ตุบๆๆๆๆ!!!
    กองหนังสือที่ยังจัดวางไม่เรียบร้อยร่วงตามลงมา ฝุ่นผงกระจายไปทั่วเข้าหน้าเข้าตาเราสองคนจนต้องกระอักกระไอออกมาแรงๆ

    “ป...เป็นอะไรรึเปล่าครับ?” ผมถามปนเสียงไอโขลก สาวน้อยผมยาวในอ้อมแขนของผมสำลักฝุ่นจนหูตาแดง
    “ไม่เป็นไรค่ะ ต้องขออภัยจริงๆนะคะ”
    หล่อนพูดปนไอจนน้ำตาไหลแล้วเงยหน้าขึ้น ผมที่รวบเป็นหางม้าไว้เมื่อครู่หลุดร่วงตกลงมาเคลียแก้มใสของหล่อน
    ผมเพิ่งรู้สึกตัวว่า...หล่อนใกล้ผมมาก ใกล้เสียยิ่งกว่าตอนที่พบกันครั้งที่แล้วณ ค่ำคืนนั้น.....ดวงตาสีฟ้าครามใต้ขนตางอนชดช้อยนั้นระยิบระยับสดใส ผิวแก้มเนียนละเอียดอมสีเลือดฝาดแดงปลั่ง ริมฝีปากสีกลีบบัวสีชมพูจางๆเผยอนิดๆราวกับอยากจะพูดสิ่งใด

    ....และกลิ่นหอมของกุหลาบบางเบาจากผิวกายของหล่อนที่ฝังอยู่ในความทรงจำนั้น.....

    ผมรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นแรงกว่าทุกครั้ง ดวงตาสีฟ้าครามคู่งามและกลิ่นหอมนั้นราวมีมนตราตรึงให้ไม่อาจละสายตาไปจากหล่อนได้

    แต่แล้ว...ครู่ต่อมา....หล่อนก็หลบสายตาจากผมเพื่อเงยหน้าขึ้นมองไปข้างบน ก่อนจะกรีดร้องออกมาอีกครั้ง
    “ว๊ายย!!!ระวังค่ะ!!!ข้างบน!!!”
    ….หือ?
    ข้างบน??

    โป๊กกกกก!!!!!
    นั่นเป็นเสียงสุดท้ายที่ผมได้ยิน และรู้สึกเหมือนมีอะไรแข็งๆตกลงมาฟาดกลางกระหม่อมเต็มแรง!!!

    ….ถ้า....ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด....นั่นคงจะเป็นสันหนังสือ.....ละ....มั้ง.....?คุ้นๆ....
    ท่าจะเป็นหนังสือหนาซะด้วยสิ.....

    “ว๊ายย!!!คุณๆ!!ทำใจดีๆไว้นะคะ คุณพ่อคะ!!! คุณพ่อ!!!”

    ผมได้ยินเสียงนั้น...แว่วๆมาจากที่ไกลๆ...ก่อนที่ตาจะเริ่มหนักๆ.....และ...อะไรๆเบื้องหน้า...ก็เริ่มจะเบลอ.....หนักขึ้น....หนักขึ้น....ก่อนที่ผมจะ....วูบไป....
    #######################################

    ....เย็นจัง......หอมด้วย....หอมเย็นๆ....
    รู้สึก....สบายจังเลย.....

    ผมค่อยๆลืมตาขึ้นช้าๆด้วยแสงอาทิตย์จากหน้าต่างปลุกให้ต้องตื่นขึ้น ภาพข้างหน้าพร่าเลือนในตอนแรกหากก็ค่อยๆปรับสายตาให้ชัดขึ้น.....
    และภาพแรกที่เห็นก็คือดวงตาสีฟ้าครามใสจ้องแป๋วมาที่ผม ดวงหน้าหวานฉายความกังวล แต่แล้วก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มสดใส
    “อา....ตื่นแล้วค่ะคุณพ่อ”หล่อนเบือนหน้าไปบอกคนข้างๆ ผศ.ดร.Clyneจึงรีบเข้ามาสมทบ สีหน้าและแววตาของสองพ่อลูกดูจะเป็นกังวลไม่น้อย
    “อาจารย์Yamato! เป็นยังไงบ้างครับ?”

    “...เอ่อ....” ผมยังรู้สึกตื้อๆในหัวอยู่เล็กน้อย แม้จะพยายามยกหัวขึ้นจากหมอนแต่ก็ดูเหมือนจะไม่ได้ผล “...ดร.Clyne?”
    “เอ้าๆ! เฮ่!! ใจเย็น อย่าเพิ่งลุกดีกว่านะ! Lacusบอกว่าหนังสือมันตกลงมาจากชั้น แล้วสันมันก็ฟาดหัวคุณเต็มแรงเลย” ดร.Clyneพูดพลางยกเจ้าตำราเอ็นไซโคลปิเดียร์เล่มหนาบึ้กตัวก่อเหตุให้ผมดู

    “ก็คุณพ่อน่ะแหล่ะค่ะ! ลูกอุตส่าห์มาทำความสะอาดห้องนี้ให้ยังไม่ถึงอาทิตย์ดีก็รกเลอะเทอะอีกแล้ว!” สาวน้อยทำหน้างอพลางบ่นผู้เป็นบิดา พอถูกลูกสาวดุเข้าก็ทำเอาดร.Clyneพูดอะไรไม่ถูกเลยทีเดียว หล่อนผละจากการดุผู้เป็นบิดามาที่ผมแทน
    “เป็นอะไรมากรึเปล่าคะ? เอ่อ...ขอโทษนะคะ”ว่าแล้วหล่อนก็ยกมือขึ้นตรงหน้าผม “นี่กี่นิ้วคะ?”
    “เอ้อ....5นิ้วครับ”
    “นี่หล่ะคะ?” หล่อนหดนิ้วโป้งกับนิ้วก้อยลง และถามด้วยสีหน้าจริงจัง ผมก็เลยเผลอตัวตอบอย่างจริงจังไปว่า
    “3ครับ”

    “แหมดีจริง! ท่าทางสมองเค้าจะไม่เป็นไรมากค่ะคุณพ่อ” หล่อนกล่าวเสียงใสขณะที่หันไปบอกกับบิดา
    “ค่อยยังชั่วหน่อย นี่ถ้าคุณเป็นอะไรไป ผมไม่รู้จะหาที่ไหนไปชดใช้ให้ท่านฑูตหล่ะนะ” ดร.Clyneถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างโล่งอก

    ผมพยายามจะยิ้ม แต่ดูเหมือนจะเป็นยิ้มที่แห้งแล้งเต็มทน เนื่องจากอาการหนักๆหัวจากที่ถูกสันหนังสือฟาดใส่เต็มที่ แต่ครั้นแล้ว ผมก็นึกขึ้นได้ถึงข้อที่ว่า......ผมสลบไปนานเท่าไหร่แล้ว!
    “ตายหล่ะ!!!!นี่มันกี่โมงแล้วครับเนี่ย!!!ผมมีสอนตอน8โมงครึ่ง...อุ๊บ!” แล้วการทะลึ่งตัวลุกขึ้นเมื่อครู่ก็ทำให้ผมต้องงอตัวกุมหัวที่ยังปวดแปลบอยู่
    “อุ๊ย!!คุณ!!อย่าลุกพรวดพราดแบบนั้นสิคะ!!!”
    “ใจเย็นๆอาจารย์Yamato! ผมให้เด็กไปแจ้งที่คลาสคุณให้แล้วว่าคุณลาป่วย”

    ผมจำใจต้องยอมแพ้กับอาการมึนตึ้บจนต้องทิ้งหัวลงบนหมอนอีกครั้ง ปากก็ยังขยับพึมพำบอก
    “...ขอบคุณครับ ดร....”

    ครู่ต่อมาผมก็รู้สึกได้ถึงความหอมเย็นของผ้าชุดน้ำที่วางทาบบนหน้าผาก จนผมเผลอตัวสูดลมหายใจรับกลิ่นเข้าไปเต็มที่ ถึงตอนนี้ก็พอจะนึกชื่อเจ้ากลิ่นหอมๆนี่ได้ว่า....เป็นกลิ่นของเป็ปเปอร์มินท์นั่นเอง มิน่า....ถึงทำให้อาการปวดๆมึนๆคลายไปได้เยอะ ขณะที่ยังหลับตาอยู่อย่างนั้น ผมก็ได้ยินเสียงเจ้าของผ้าเย็นบอกกับผม
    “ดิชั้นต้องขอโทษจริงๆนะคะ....”เสียงนั้นแสดงความรู้สึกผิด “แล้วก็ขอบคุณที่ช่วยดิชั้นไว้ก่อนหน้านั้นด้วย”
    “เอ่อ อย่าพูดแบบนั้นเลยครับ” ผมยกหัวขึ้นเล็กน้อย “มันเป็นอุบัติเหตุ เอ้อ....แล้วผมก็ไม่ได้เป็นอะไรมากแล้ว แค่มึนๆเท่านั้นเอง”

    พูดตามตรงแล้ว....ผมเองก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดถึงไม่อยากเห็นหล่อนมีดวงหน้าเศร้าสร้อยเช่นนั้นเลย.....
    “...อย่าทำหน้าแบบนั้นเลยนะครับ”
    Miss Lacus Clyneเงยหน้าขึ้นมองผมด้วยความแปลกใจ ก่อนจะระบายยิ้มออกมาบางๆ
    “ขอบคุณสำหรับความกรุณานะคะ”

    นั่นทำให้ผมอดรู้สึกโล่งอกไม่ได้.....

    หลังจากที่เริ่มโงหัวขึ้น....ผมก็อยู่สนทนากับดร.Clyneพักใหญ่ ดูท่าจะพอใจในตัวผมมากทีเดียว Miss Clyneเองก็นั่งอยู่ข้างๆบิดาของเธอ คอยรินน้ำชาให้เราสองคนเป็นระยะๆ บางครั้งสองพ่อลูกก็พูดจาหยอกล้อกันเอง เป็นบรรยากาศของครอบครัวที่อบอุ่นทีเดียว ผมและดร.คุยกันอยู่นานจนถึงเวลาเกือบเที่ยง Miss Clyneจึงลุกขึ้นกล่าวกับผม
    “ดิชั้นต้องขอตัวกลับก่อนนะคะ อาจารย์Yamato”
    “อะ...ครับ”
    “จะกลับแล้วเหรอลูก?”
    “ค่ะ คุณพ่อ”หล่อนหยิบหมวกปีกกว้างประดับด้วยดอกไม้และริบบิ้นขึ้นสวม “ลูกมีซ้อมตอนบ่ายนี้น่ะค่ะ คุณDacostaเค้าเขียนเพลงใหม่ให้ลูกด้วย” หล่อนกล่าวเสียงใส

    ผมสังเกตเห็นดวงหน้ายามกล่าวถึงเรื่องที่คณะละครRosetta ดูหล่อนมีความสุขมากทีเดียว

    ดร.Clyneมองออกไปนอกหน้าต่าง ท้องฟ้านั้นเริ่มครึ้มๆ ท่านจึงกล่าวกับบุตรสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
    “ระวังฟ้าระวังฝนด้วยนะลูก ร่มอยู่ที่มุมห้องแน่ะ เอาไปด้วยสิ”
    “เจ้าค่า” หล่อนรับคำเสียงล้อเลียน ก่อนหันมากล่าวกับผมอีกครั้ง
    “ดิชั้นขอตัวนะคะ อาจารย์Yamato สวัสดีค่ะ” พูดจบหล่อนก็ค้อมตัวให้ผมเล็กน้อย

    เพราะอะไรไม่รู้ ผมรู้สึกใจหาย รู้สึกว่า....ตัวเองยังมีเรื่องอยากพูดคุยกับหล่อนอีก
    เวลาที่ได้เห็นรอยยิ้มนั้น....ทำให้รู้สึกสบายใจอย่างประหลาด

    ดังนั้น ผมถึงอยากจะกัดปากตัวเองแรงๆเมื่อเผลอออกตัวกับดร.Clyneไปว่า
    “เอ้อ...ดร.ครับ ผมมีสอนตอนบ่ายนี้เหมือนกัน คงต้องขอตัวเช่นกัน”
    “อ้าว เชิญเถอะอาจารย์” ท่านพูดอย่างอารมณ์ดี “ยังไง...ผมฝากช่วยไปส่งLacusขึ้นรถม้าทีนะ”
    “ครับ ยินดีครับ” ผมจึงลุกขึ้นก่อนกล่าว
    “แล้วไว้วันไหนว่างๆ ผมอยากเชิญไปทานมื้อเย็นที่บ้านเหมือนกัน เราคงมีเรื่องสนุกๆคุยกันอีกมาทีเดียวหล่ะนะ”ดร.กล่าวทิ้งท้ายอย่างอารมณ์ดี หากผมได้แต่นิ่งฟัง ไม่ตอบรับและไม่ปฏิเสธ
    “....ครับ....”

    ความสบายอกสบายใจที่ได้รับในวันนี้ ทำให้ผมเกือบจะลืมไปว่าดร.เป็นบิดาของMiss Clyneนักร้องสาวแสนสวยซึ่งเพื่อนสนิทของผมเองก็....หมายปองในตัวของหล่อนอยู่
    แม้ตัวผมจะบริสุทธิ์ใจ แต่....คิดว่าการไปเยือนหล่อนถึงบ้านนั้น คงไม่เหมาะนัก

    สาวน้อยมองผมท่าทางหล่อนประหลาดใจนิดๆ ก่อนยิ้มเมื่อเห็นผมถือร่มเดินตรงมา
    “ถ้าเช่นนั้น ดิชั้นรบกวนด้วยนะคะ อาจารย์Yamato”
    “ครับ”
    ##############################
    สายฝนเย็นฉ่ำพรั่งพรมลงมาพรำๆ ดิชั้นและอาจารย์Yamatoเดินเคียงข้างใต้ร่มคันเดียวกันไปตามทางเดินโรยกรวดภายในมหาวิทยาลัย เราพูดคุยเรื่องดินฟ้าอากาศได้รู้เบื่อ และมีความเห็นตรงกันเรื่องที่ว่า...ไม่ค่อยชอบหมอกในลอนดอนเท่าใดนัก
    “มันทำให้ทัศนวิสัยดูขมุกขมัวนะคะ พออากาศไม่เป็นใจ จิตใจคนบางทีก็พลอยหดหู่ไปด้วย”
    “นั่นสิครับ...ที่ปารีสก็ไม่ค่อยมีหมอกเย็นๆเช่นนี้เท่าใดนักเหมือนกัน” เขาพูดขณะที่ทอดสายตามองผ่านปรอยฝน ชั่วครู่ที่เราเงียบไปนั้นกลับไม่ทำให้รู้สึกอึดอัดซักนิด

    ดังนั้น...ในเวลาต่อมาเมื่อ ดิชั้นก็เผลอพูดซ้อนขึ้นมากับเขาโดยไม่ตั้งใจ
    “Miss Clyne….” “อาจารย์Yamato”

    เราต่างหันมามองหน้ากัน ดิชั้นอดขำกับเรื่องเมื่อครู่ไม่ได้ ใบหน้าคมเข้มที่อยู่ตรงหน้ามักทำให้ดิชั้นต้องกลั้นหัวเราะทุกที
    ไม่ใช่หัวเราะเยาะ...แต่เพราะอะไรนะ?
    “เชิญคุณก่อนเถอะค่ะ”
    “มะ...ไม่ครับ” ดูเขาขัดเขินและประหม่าไม่น้อย ทำให้ดิชั้นต้องนึกถึงเมื่อครั้งที่เราพบกันที่สวนยามค่ำนั้น “เชิญคุณก่อนเถอะ”

    เมื่ออีกฝ่ายเปิดโอกาสให้ ดิชั้นจึงหยุดเดินแล้วหันไปถามเขาด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่พยายามจะปั้นให้จริงจังที่สุดในชีวิต
    “อาจารย์Yamatoคะ”
    “ครับ?”
    “ผู้เขียนวรรณกรรมเรื่องLeviathanคือใครคะ?”
    “มาคิอาเวลลี่ครับ!”
    เขาตอบทันควัน คงเพราะจริงจังตอบตามคนถามด้วยกระมัง ดิชั้นจ้องตาสีแอมมิทิสต์ของเขานิ่งไปครู่หนึ่งแล้วก็ต้องหลุดเสียงหัวเราะออกมาอีกครั้ง

    ทั้งๆที่รู้ว่าเสียมายาท แต่ดิชั้นก็ขำจริงๆนี่คะ

    เขาดูเป็นผู้ชายที่ต่างจากคนอื่นๆที่ดิชั้นเคยรู้จัก ดูตรงไปตรงมา และซื่อเสียจนไม่น่าเชื่อว่าคนๆนี้เคยอยู่ต่างประเทศมาก่อน
    เพราะเรียนเอกปรัชญาการเมืองรึเปล่านะ? คนแก่เรียน... สงสัยจะเอาแต่อยู่กับหนังสือแน่ๆเลย

    “คุณแกล้งผมนี่....”เขาพูดเสียงอ่อยๆ นั่นยิ่งทำให้ดิชั้นต้องกลั้นหัวเราะจนหน้าเริ่มจะร้อนๆ
    “ขออภัยจริงๆค่ะ” ทั้งที่คุณพ่อก็เคยเตือนหลายครั้งแล้วว่าการหัวเราะคิกคักจนหน้าแดงนั้นไม่งามสำหรับสุภาพสตรี แต่ครั้งนี้มันอดไม่ได้จริงๆนี่นา
    “ก็ดิชั้นยังกังวลอยู่นี่คะว่า ตำราเล่มยักษ์เมื่อครู่จะทำให้คุณยังมึนๆอยู่รึเปล่า? ก็เลยต้องลองถามเรื่องนี้ดู ถ้าคุณยังตอบได้ ดิชั้นก็เบาใจค่ะ”

    เขาอมยิ้มนิดๆก่อนจะถามดิชั้นบ้าง “คุณรู้จักมาคิอาเวลลี่ด้วยหรือครับ?”
    “คุณพ่อดิชั้นเป็นอาจารย์ด้านกฏหมายนี่คะ ท่านก็ศึกษาวรรณกรรมการเมืองโบราณบ้างเหมือนกันนะ” ดิชั้นตอบพลางนึกถึงเรื่องเมื่อก่อน “คุณแม่ของดิชั้นเสียไปตั้งแต่ดิชั้นยังเล็กมาก คุณพ่อท่านก็ไม่สันทัดเรื่อง เทพนิยาย เวลาท่านเล่านิทานให้ดิชั้นฟัง ก็ล้วนแต่มีเรื่องวรรณกรรมการเมืองทั้งสิ้น แต่ท่านก็เอาไปปรับเล่าเสียจนกลายเป็นเรื่องเข้าใจง่ายๆสำหรับเด็กไป คุณพ่อท่านมีพรสวรรค์เรื่องนี้น่ะค่ะ”

    อาจารย์Yamatoฟังจบก็พูดด้วยท่าทางตื่นเต้น
    “นั่นก็เป็นวิธีที่ผมใช้สอนลูกศิษย์เหมือนกันครับ! เหมือนกับเราทำเรื่องที่เข้าใจยากๆให้เข้าใจง่ายขึ้น เหมือนอย่างก่อนหน้านี้ ผมได้บรรยายเรื่องประวัติของรุสโซให้พวกปี1ฟัง พวกเขาล้วนกล่าวเหมือนกันว่าถ้าตำราวิชาการเขียนให้เข้าใจง่ายเหมือนผมเล่าวันนั้นได้ก็คงดี”
    “สัญญาประชาคมสินะคะ ดิชั้นเคยอ่านมาบ้างค่ะ” เมื่อได้ยินชื่อนักปราชญ์ท่านนั้นดิชั้นก็อดรู้สึกตื่นเต้นไม่ได้ “ในหนังสือค่อนข้างเข้าใจยากเหมือนกันนะคะ บนชั้นหนังสือของคุณพ่อที่บ้านยังมีอื่นๆอีก อย่างThe Capitalตอนที่1ของมากซ์”
    “ถ้าเช่นนั้นก็ต้องมีตอนที่2ด้วยสิครับ”
    “ใช่ค่ะ ใช่! แต่น่าเสียดายนะคะ ที่ท่านยังเขียนไม่จบก็สิ้นไปเสียก่อน”
    “ครับ แต่ท่านเองเกลส์ที่เป็นเพื่อนสนิทของมากซ์รับช่วงเขียนต่อ คงพิมพ์ออกมาเป็นรูปเล่มเร็วๆนี้”
    “แต่ดิชั้นยังอดรู้สึกไม่ได้ว่า....แนวคิดของมากซ์ออกจะสุดโต่งไปนิด โดยเฉพาะการใช้ความรุนแรงในการปฏิวัติสังคม”
    “ครับ ที่ฝรั่งเศสตอนนี้ พวกนักวิชาการก็มีความพยายามที่จะหาแนวคิดอื่นมาต่อต้านอยู่เช่นกัน”
    “ตายจริง ศจ.ดร.Durkheimหรือเปล่าคะ คุณพ่อเป็นเพื่อนสนิทกับท่านที่ปารีสค่ะ”
    “ครับ นั่นก็อาจารย์ของผม”
    “แล้วก็ท่านLevi-Strauss”
    “ท่านDe Saussureที่เป็นนักภาษาศาสตร์ด้วยครับ หลังๆมานี้ก็ช่วยกันรุมทฤษฎีสังคมนิยมของมากซ์เป็นการใหญ่เชียวหล่ะ”

    ผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ที่เราคุยและหัวเราะให้กันในเรื่องต่างๆเหล่านี้ จนไม่ทันได้สังเกตว่าใกล้จะถึงประตูทางออกของมหาวิทยาลัยแล้ว อาจารย์Yamatoเรียกรถม้าให้ดิชั้นก่อนจะหันมากล่าวด้วยน้ำใจอันดีว่า
    “ถ้าคุณสนใจและชอบจริงๆ ไว้ผมจะหาวารสารที่บรรยายเรื่องคำอธิบายเกี่ยวกับการฆ่าตัวตายในสังคมไร้บรรทัดฐานของDurkheimมาให้คุณอ่านนะครับ”
    “ตายจริง ดิชั้นขอบพระคุณเป็นการล่วงหน้าเลยนะคะ”

    เขายิ้มรับ ขณะที่รถม้าขับมาเทียบ และคนรถลงมาเปิดประตูให้ ดิชั้นอดที่จะหันไปกล่าวขอบคุณอีกครั้งไม่ได้
    “ดิชั้นขอขอบพระคุณอีกครั้งในน้ำใจของคุณนะคะ อาจารย์Yamato ถ้าอย่างไร กรุณาให้ดิชั้นได้เป็นฝ่ายแสดงน้ำใจตอบแทนคุณบ้างนะคะ” กล่าวจบดิชั้นก็หยิบบัตรเล็กๆออกมาจากกระเป๋าถือก่อนส่งให้อาจารย์หนุ่ม
    “นี่เป็นบัตรVIPของดิชั้นเองค่ะ ถ้าว่าง....ดิชั้นก็ขอเชิญให้เข้าไปหาความสำราญที่โรงละครของพวกเราบ้างนะคะ เมื่อใดก็ได้ตามสะดวกของอาจารย์เลยนะคะ”

    ดูเขาจะแปลกใจไม่ได้น้อย แล้วจึงกล่าว
    “ขอบคุณมากครับ Miss Clyneเอ้อ แต่....ผมเกรงว่า จะเป็นการรบกวนเสียเปล่าๆ”
    “มิได้ค่ะ” ดิชั้นกล่าวออกตัว “ดิชั้นเชื่อเหลือเกินว่า ทุกคนจะยินดีต้อนรับสหายของดิชั้นค่ะ”
    “....ครับ”
    เขารับคำ แต่แววตานั้นดูวิตกกังวล

    ....หรือว่าอาจจะจริงที่ว่า.....พวกนักวิชาการส่วนใหญ่ก็มองเรื่องการขายงานศิลปะเช่นนี้เป็นสิ่งไร้สาระ?
    “....ดิชั้นคงยุ่งมากไปหน่อย....แล้วอีกอย่าง...สำหรับนักวิชาการเช่นคุณ....ละเม็งละครพวกนี้มันก็คงไม่เป็นสาระเสียเท่าไหร่ เอ้อ...ขอประทานโทษด้วยนะคะ”
    “มะ...ไม่ใช่อย่างนั้นครับ ผมยินดีมากต่าง หากเพียงแต่....” เขายังคงมีสีหน้าลำบากใจ ขณะที่พยายามอธิบายด้วยเสียงแสดงความรู้สึกไม่มั่นใจ “เพียงแต่...ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าเราควรจะพบกันเช่นนั้น เพราะ.....Athrun Zalaคนนั้น เขาเป็นเพื่อนรักของผม แล้วเขาเองก็มีความชื่นชมในตัวคุณอยู่เป็นพิเศษ เพราะงั้น....”

    คำกล่าวของเขา จึงทำให้ดิชั้นเริ่มเข้าใจลางๆ อดยิ้มไม่ได้
    “ดูคุณใส่ใจความรู้สึกของAthrunมากเลยนะคะ”
    “ก็เราเป็นเพื่อนรักกันนี่ครับ”
    “งั้นดิชั้นก็อยากจะกล่าวว่า ดิชั้นเองก็เป็นเพื่อนรักคนหนึ่งกับAthrun และซาบซึ้งดีว่าเขาเป็นคนมีน้ำใจกว้างขวางค่ะ”
    ดิชั้นกล่าวขณะที่ก้าวขึ้นรถม้า หากก่อนประตูรถจะปิดลง ดิชั้นก็ยังหันไปกล่าวกับเขาที่ยืนส่งอยู่ท่ามกลางฝนพรำ “หากคุณเกรงว่า การแวะเข้ามาเยี่ยมชมRosettaอาจจะทำให้ผิดใจกับเพื่อนของคุณนั้น ดิชั้นขอยืนยันได้จากการที่คบหากับร้อยเอกAthrun Zalaมาพอสมควรว่า เขามิใช่คนเช่นนั้นแน่นอนค่ะ....เว้นเสียแต่ว่า ตัวของคุณเองนั่นต่างหากที่ไม่นิยมที่จะชื่นชมกับศิลปะของพวกเรา”

    ดิชั้นส่งยิ้มให้เขาเล็กน้อย ดวงตาสีแอมมิทิสต์สวยๆคู่นั้นมองดิชั้นอย่างแปลกประหลาดใจ
    “สวัสดีค่ะ อาจารย์Yamato”
    ดิชั้นกล่าวลา ก่อนที่รถม้าจะออกตัวไป จากกระจกหลังดิชั้นเห็นเขาส่งสายตาตามมาอยู่ ก่อนจะทำท่าเหมือนกับว่าตัวเองนึกอะไรขึ้นมาได้ และอยากจะเรียกให้รถม้าของดิชั้นหยุด แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว

    เห็นแล้วดิชั้นก็ต้องหัวเราะคิกให้กับตัวเอง....แปลกคนเหลือเกิน ผู้ชายคนนี้....คนอะไร เป๋อได้อย่างไม่น่าเชื่อ
    #######################################

    ผมมัวแต่อึ้งกับคำกล่าวของหล่อน จนลืมเสียสนิทว่าผ้าเช็ดหน้าที่หล่อนใช้ประคบที่ศีรษะของผมตอนสลบไปนั้นยังอยู่ติดตัวผมอยู่เลย

    ผ้าเช็ดหน้าริมลูกไม้สีขาวสะอาด หอมกลิ่นมิ้นท์เย็นๆ
    ....ถ้าเจอกันครั้งหน้า.....จะคืนให้หล่อน ผมบอกกับตัวเองอย่างนั้น ขณะที่นึกถึงดวงหน้าหวานสดใสของหล่อน

    Miss Lacus Clyneคนนั้น...หล่อนต่างจากสาวน้อยในวัยเดียวกันหลายคนที่ผมรู้จัก
    ในดวงตาสีฟ้าคราวแจ่มจรัสคู่นั้น มีอะไรๆซ่อนอยู่มากมาย

    และสิ่งนั้นนั่นเอง...จึงทำให้หล่อนพิเศษกว่าใครอื่นในมหานครแหล่งนี้ คงอย่างนั้นหล่ะกระมัง .....
    ###################################
  8. whitewing

    whitewing New Member

    EXP:
    120
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0

    PHASE 3: The Mysterious Boy


    ณ อาคารกองบัญชาการหน่วยสก็อตแลนด์ยาร์ดที่ถนนไวท์ฮอลล์

    “ที่ชั้นเตือนนายนี่ มันครั้งที่ร้อยแล้วมั้งAthrun Zala!!!!”
    เสียงโวยวายแผดลั่นห้องทำงานของผม ไม่แน่ใจนักว่ามันลั่นออกไปถึงไหนต่อไหน แต่เท่าที่มองเห็นจากหน้าต่าง ชาวบ้านที่เดินไปเดินมาตามถนนข้างล่างพากันสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจกันสุดชีวิต

    รู้สึกผิดนิดๆแฮะที่ทำให้ชาวบ้านชาวช่องที่ไม่รู้เรื่องต้องตกอกตกใจกับอาการเม้งแตกของเจ้านายผมไปด้วย คนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าผมตอนนี้คือ เจ้านายโดยตรงของผมตอนนี้ สารวัตรYzak Julesแล้วก็นายตำรวจคนสนิทของเขา ผู้กองDearka Elthman

    ไอ้คนหลังนี่ไม่เท่าไหร่ ดูจะเก็บอาการไว้ใต้หน้าดำๆนั่นได้ดี แต่สารวัตรผมสิ โมโหโทโสเสียจนหน้าแดงก่ำเลยไปจนถึงหูทีเดียว
    “เรื่องปฏิบัติภารกิจเกินกว่าหน้าที่ของตัวเองน่ะ!!! คดีทลายแก๊งค้าของเถื่อนที่ชุมชนWhite chapel มันไม่ได้อยู่ในความรับผิดชอบของนายไม่ใช่เรอะ?? นายมีหน้าที่แค่เข้าไปสืบหาพยานหลักฐานเท่านั้นเอง!!!โอ๊ยยย!!!แล้วนี่มันหมายความว่ายังไงห๊ะ?? เล่นให้กำลังพลเข้าจู่โจมจับกุมพวกมันทั้งหมด!! นี่ถ้าหลักฐานเอาผิดพวกมันไม่พอ แล้วมันฟ้องเรากลับนายจะทำยังไง?นายรับผิดชอบไหวมั๊ย ห๊า!!!!!!!”

    แว้ดเก่งจริงๆ.....ผมคิดขณะที่เบือนหน้าหนีอย่าเบื่อๆ
    “อย่ามาทำหน้าแบบนั้นนะ!!!Athrun Zala!!!”
    เอ๊า!ทำหน้าเซ็งก็ไม่ได้อีกแน่ะ
    “หลักฐานการกระทำความผิดก็แสดงให้เห็นชัดเจนอยู่ตรงหน้าแล้วนี่ครับสารวัตร” ผมเหลือบมองหมวดAsukaซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ครั้งนั้นด้วย สีหน้าหมอนั่นซีดเผือดเหงื่อกาฬแตกพลั่กๆต่างกับผมที่ไม่ค่อยจะสะทกสะท้านเสียเท่าไหร่โดยสิ้นเชิง

    ตลกชะมัด
    “ถ้าผมรอกลับไปรายงานก่อน พวกมันก็คงลงเรือออกนอกประเทศไปในวันรุ่งขึ้นแน่ๆ และผมเองก็อาจจะโดนคาดโทษในฐานละเลยการปฏิบัติหน้าที่ได้เช่นกัน ดังนั้นผมพิจารณาเองแล้วเห็นว่าไม่มีความจำเป็นต้องรีรอในการลงมือจับกุมผู้กระทำผิด จึงได้ตัดสินใจแจ้งให้กำลังพลเข้าจู่โจมทันที นอกจากนี้....”
    ผมพูดอธิบายอย่างใจเย็น แต่ดูเหมือนว่านั่นจะยิ่งทำให้สารวัตรJulesหัวเสียมากยิ่งขึ้น
    “ผลที่ได้รับก็คือ อย่างที่คุณทราบแล้วว่า หน่วยของเราได้รับการชื่นชมอย่างมากมายจากผู้บัญชาการระดับสูงและประชาชนทั่วไป ในเมื่อตอนจบมันเป็นอย่างนี้แล้ว ยังมีอะไรที่ทำให้ไม่พอใจอีกอย่างนั้นหรือครับ?”

    “...ยะ....ยังมีหน้ามาถามอีกเรอะ!!!สายการบังคับบัญชาน่ะ!!สายการบังคับบัญชา!!!นายเคยสำเหนียกถึงคำๆนี้บ้างมั๊ยหา?? นี่ที่ชั้นตะเบ็งด่าคอแตกอยู่อย่างนี้ มันซึมเข้าหัวนายบ้างมั๊ย??กฏระเบียบเรื่องการทำงานตามสายบังคับบัญชามันก็มีอยู่ แต่นี่นายกลับละเลย นายคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน?”
    เสียงเอ็ดตะโรยิ่งดังลั่นขึ้นไปอีกจนผู้กองElthmanเริ่มหน้าเสีย สงสัยจะกลัวว่านายตัวเองจะก่อเหตุทำร้ายร่างกายคนแถวนี้กระมัง
    “ใจเย็นๆครับสารวัตร ใจเย็นๆ”

    ผมเริ่มรู้สึกว่าห้องนี้มันชักจะร้อนๆแล้วยังไงไม่รู้สิ และเมื่อยกนาฬิกาพกขึ้นดูเวลาก็ได้โอกาสที่จะหลบออกไปเสียที ผมลุกขึ้นจากเก้าอี้พลางคว้าเสื้อโค้ทมาสวม
    “หมวดAsukaได้เวลาออกตรวจการณ์แล้วหล่ะ ไปกันเถอะ”
    “อ๊ะ อ่า...ครับ!”
    “ชั้นยังไม่อนุญาตให้นายไปไหนทั้งนั้นนะ!!Athrun Zala!!”

    ถึงเสียงแผดลั่นของสารวัตรจะดังแว้ดๆอยู่เช่นนั้น แต่ก็ไม่ได้ทำให้ผมใส่ใจเสียเท่าไหร่ ประตูเปิดออกขณะที่ผมหันมากล่าวทิ้งท้ายเสียงเรียบๆ
    “สารวัตรJulesครับ ผมก็ทำตามหน้าที่ที่สมควรทำในฐานะตำรวจหล่ะนะครับ ถ้าคุณมีอะไรไม่พอใจในตัวผมแล้วหล่ะก็ กรุณานำเรื่องไปร้องเรียนที่ท่านผู้การ Gilbert Durandalซึ่งเป็นผู้รับรองการเข้ารับราชการของผมแล้วกัน แล้วตอนนี้ ผมเองก็มีงานรออยู่ ขอตัวหล่ะครับ สารวัตร”
    พูดจบผมก็ก้าวฉับๆออกไป โดยมีหมวดAsukaวิ่งหลบระเบิดไล่หลังมาแทบไม่ทัน

    “ไอ้คนอวดดี!!!!!!อย่านึกนะว่าชั้นไม่กล้าทำอะไรแก!! ไอ้...ไอ้....เว้ยยยยย!!!!”
    “ใจเย็นๆคร้าบบบ สารวัตร ใจเย็นๆ เดี๋ยวเส้นเลือดสมองแตกนะคร้าบบ!!”
    “หนวกหู!!!!”

    ขนาดก้าวพ้นอาคารออกมานอกถนนแล้ว ผมยังได้ยินเสียงว๊ากข้างบนอยู่เลย ท่าทางผมจะทำให้หมอนั่นโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงมากพอดูเชียวหล่ะ คิดแล้วอดขำไม่ได้
    “ไปท้าทายสารวัตรเค้าแบบนั้นจะดีเหรอครับ? ผู้กอง” หมวดAsukaถามด้วยน้ำเสียงกังวล แต่ผมกลับยักไหล่อย่างไม่สนใจ ขณะที่จุดบุหรี่ขึ้นสูบ
    “ใครสนหล่ะ? อันที่จริงชั้นกับหมอนั่นก็เหมือนคู่แข่งกันมาตั้งแต่สมัยเรียนอยู่Etonแล้ว คนมันอยากหาเรื่อง ถ้าไปตามเกมส์มันเราก็ปวดหัวเปล่าสิ”
    “เอ๋?” หมวดAsukaทำหน้าไม่เข้าใจ แต่ผมก็ไม่ได้พูดอธิบายอะไรต่อนอกจากคิดถึงตอนที่ “สารวัตรJules”ในตอนนี้มองหน้าหาเรื่องผมเมื่อครั้งผู้การDurandalพาผมมาแนะนำที่หน่วยในวันเข้ารับภารกิจวันแรก

    “ทำไมนาย...ทำไมคนอย่างนายถึงได้เข้าบรรจุที่สก็อตแลนด์ยาร์ดด้วยหล่ะ?? ทั้งๆที่นายน่ะไม่ได้จบโรงเรียนนายร้อยอย่างชั้นซะหน่อย!!!”
    Yzak Julesคาดคั้นเอาคำตอบจากผมในตอนนั้น “นายจบหมอมาจากOxfordไม่ใช่เรอะ? ใบประกอบโรคศิลป์นายก็มีนี่?ทำไมไม่ไปเป็นหมอซะหล่ะ??”
    ผมไม่ได้ตอบเหตุผลในตอนนั้น เพียงแต่กล่าวสั้นๆว่า
    “ไม่เกี่ยวกับนาย”
    ทำเอาหมอนั่นโกรธหน้าเขียวหน้าเหลืองเชียวหล่ะ

    “เรื่องนั้นน่ะช่างมันเถอะหมวด” ผมเลิกคิดถึงเรื่องเก่าๆก่อนจะเรียกรถม้าจากริมถนนแล้วหันไปบอกกับลูกน้องคนสนิท “วันนี้เราต้องไปตรวจการณ์แถบตอนใต้ที่Bank Siteไม่ใช่เหรอ แถวที่ตั้งของRosettaซะด้วยสิ เสร็จงานแล้วแวะเข้าไปเยี่ยมStellarกันหน่อยดีมั๊ย? ไม่เจอกันตั้งนานแล้วนี่ คงคิดถึงหมวดแย่แล้วหล่ะ”
    ท้ายประโยคผมเย้าแหย่หมวดAsukaเล่นเมื่อพูดถึงเด็กผู้หญิงผมทองตัวเล็กๆที่เขาให้ความสนิทสนมด้วย ทำเอาพ่อตำรวจใหม่ไฟแรงวัย18 ถึงกับหน้าแดงเป็นลูกตำลึงทีเดียว
    “พูดดีไปเถอะครับ ผู้กองนั่นแหล่ะ! ใจจริงแล้วคุณน่ะอยากจะไปพบMiss Clyneมากกว่า ผมพูดถูกใช่มั๊ยหล่ะ?”

    “รู้ดีจริงนะ” ผมหัวเราะหึๆขณะที่ก้าวขึ้นไปนั่งบนรถม้า ก่อนที่เราจะเปลี่ยนไปสนทนาในเรื่องคดีที่ยังค้างคาอยู่แทน
    ###############################

    ย่านBank Siteตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเทมส์ทางตอนใต้ของกรุงลอนดอน เป็นแหล่งที่เรียกได้ว่าเปรียบเสมือนศูนย์รวมงานศิลปะชั้นยอดในทุกๆแขนงแห่งยุคนี้ทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โรงละครอย่างElizabethan, Globe ซึ่งจัดแสดงละครร้องดัดแปลงจากวรรณกรรมของเช็คสเปียร์มายาวนานเป็นระยะเวลานับร้อยปีแล้ว

    แต่สำหรับผมแล้วตอนนี้...โรงละครไหนๆก็ไม่น่าสนใจเท่า Rosetta....โรงละครที่ตั้งขึ้นใหม่ด้วยเงินลงทุนของนักธุรกิจด้านการต่อเรือ Andrew Waldfeld เขาสามารถทำให้โรงละครเล็กๆแห่งนี้ให้โด่งดังได้ในเวลาเพียง2-3ปี ทั้งยังปั้นดาวจรัสแสงขึ้นอีกมากมาย และหนึ่งในนั้น...ที่โด่ดเด่นกว่าใครอื่นก็คือ Lacus Clyneนั่นเอง

    ผมและหมวดAsukaมองผ่านหน้าต่างของรถม้าไปยังอาคารสีขาวหลังใหญ่ที่สร้างขึ้นด้วยศิลปะแบบยุคElizabeth ประดับตกแต่งด้วยผ้ากำมะหยี่สีแดงและม่านคริสตัลระย้าที่ประตูทางเข้า สัญลักษณ์รูปดอกกุหลาบไขว้ด้วยตัวอักษรโรมันจารึกคำว่า Rosettaนั้นโด่ดเด่น กลบรัศมีของโรงละครอื่นแทบจะหมดสิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันนี้ซึ่งจะมีการจัดแสดงละครร้องเรื่อง Medea นำแสดงโดย Miss Lacus Clyne เจ้าของฉายา”เจ้าหญิงแห่งเสียงเพลงของกรุงลอนดอน” บรรดาแฟนๆผู้หลงไหลในเสียงเพลงและการแสดงของหล่อนนับร้อยคนล้วนมารอเข้าคิวซื้อบัตรอย่างหนาแน่น เพื่อจะได้ชมการแสดงของนักร้องในดวงใจของพวกเขาอย่างใกล้ชิด

    “โห...ผู้กอง ดูคนสิครับ จะเหยียบกันตายมั๊ยเนี่ย?” หมวดAsukaพึมพำเสียงหวั่นๆเมื่อมองเห็นภาพดังกล่าว ผมได้แต่หัวเราะหึๆ ไม่ได้ใส่ใจผู้คนเหล่านั้นมากนัก เพราะสิ่งที่ผมสนใจมากกว่าคือภาพโปสเตอร์โปรโมตละครเวทีครั้งนี้มากกว่า ภาพของLacusในชุดสีดำพลิ้ดพลิ้วประดับด้วยอัญมณีสีเลือด มือขาวเนียนนั้นถือมีดเปื้อนโลหิตหยดรินไปยังร่างที่นอนพังพาบอยู่แทบปลายเท้า ดูแปลกตาจากภาพลักษณ์ที่อ่อนหวานอยู่เสมอของหล่อน

    ผมนึกภาพสาวน้อยผมสีPink Blondคนนั้นแสดงบทของ”นางแม่มดมิเดีย”ผู้ที่ทำได้แม้กระทั่งการฆ่าบุตรของตนเพื่อบูชาความรักไม่ออกเอาเสียเลย

    นี่ถ้าไม่ติดตรวจการณ์... ผมก็คงมีเวลาได้เข้าไปดูฝีมือการแสดงของหล่อนในครั้งนี้บ้างหล่ะนะ...ผมคิดเช่นนั้น ขณะที่อดจะนึกถึงKira เพื่อนสนิทที่ตอนนี้เป็นอาจารย์สอนปรัชญาการเมืองที่มหาวิทยาลัยไม่ได้ หมอนั่นเองก็เอาแต่ขมักเขม้นกับงานสอนหนังสือจนเวลาที่จะได้ออกไปตระเวนเที่ยวลอนดอนด้วยกันนั้นยังหาไม่ได้เลย

    ถ้าว่างตรงกันเมื่อไหร่....ก็อยากจะให้หมอนั่นได้มีโอกาสมาชื่นชมความสามารถของผู้หญิงที่ผมหลงรักคนนี้บ้างเสียที
    #####################################

    นี่มัน....แย่ที่สุดเลย!!
    ชั้นคิดอย่างหงุดหงิดระคนหวาดระแวง ขณะที่เดินวนไปวนมาอยู่ท่ามกลางตึกสูงทะมึน พอเดินเข้าตรอกนี้ ก็ไปโผล่ออกตรอกโน้น พอเข้าซอยนี้กะว่าพอจะเห็นถนนใหญ่รำไรๆ ก็ดันเป็นทางตันซะอย่างนั้น!!

    หลงทาง....นี่ชั้นหลงทางแล้วแน่ๆ!!

    กลิ่นของขยะสดและกลิ่นคาวของเรือหาปลาคละคลุ้งไปทั่ว ไม่อยากเชื่อเลยว่าบรรดาเจ้าของสายตาหลายคู่ที่มองมาที่ชั้นตอนนี้ ทนอยู่ในที่แบบนี้ได้อย่างไรกัน?

    ไม่สิ! จะคิดว่าพวกเขา”ทนอยู่ได้ยังไง”ไม่ได้!! ต้องโทษคนของรัฐต่างหากที่ปล่อยปละละเลยให้ประชาชนตาดำๆต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ย่ำแย่เช่นนี้ต่างหาก!!

    แต่จะว่าไปแล้ว...ตอนนี้ คนที่ตกอยู่ในสถานการณ์ย่ำแย่น่ะมันเราต่างหากหล่ะ!! เริ่มจะกลัวๆสายตาที่มองมาพวกนั้นแล้วสิ ชั้นทำเป็นก้มหน้าก้มตาอ่านแผนที่ในมือต่อไป ทั้งที่จริงๆแล้วสมาธิไม่ได้อยู่กับเนื้อกับตัวเลย

    แหงสิ!ก็ใครคิดว่าจะต้องมาหลงทางอยู่ในย่านสลัมแบบนี้เล่า!!! อดนึกถึงเรื่องที่เป็นเหตุทำให้ต้องมาเดินต๊อกๆอยู่ในที่แบบนี้ไม่ได้ ทั้งๆที่อันที่จริงแล้ว เวลานี้...เราควรจะอยู่ร่วมมิซซากับพวกเพื่อนๆต่างหาก

    ก็ใครหล่ะการดี! ชั้นนึกเคืองไปที่แม่สามสาวเพื่อนรักตัวแสบนั่น ทั้งAsagi Mayuraแล้วก็ Juriน่แหล่ะ!! ตอนที่พวกนั้นแอบหนีออกมาเที่ยวนอกคอนแวนต์เมื่ออาทิตย์ก่อน ก็เผอิญไปได้บัตรเข้าชมละครเวทีที่เจ้าหญิงแห่งเสียงเพลงคนนั้นนำแสดงจากการชิงโชคที่ห้างPiccadillyเข้า ที่สำคัญคือ...ได้มาใบเดียว!!!
    แม่สามคนนั่นเอามาอวดชั้นตอนที่พวกเราถูกทำโทษให้ขัดพื้นโบสถ์หลังถูกSisterจับได้ เพราะพวกหล่อนน่ะรู้อยู่แล้วว่าชั้นชื่นชอบเพลงของLacus Clyneเป็นที่สุด! โอกาสดี !ของฟรี! ใครจะปล่อยให้พลาดไปหล่ะ!! พวกนั้นเลยยกบัตรที่ได้มาใบเดียวนี่ให้ แล้วก็ยุให้ชั้นเผ่นแว่บออกมาดูละครเวทีเรื่องที่นำแสดงโดยดาราในดวงใจเรื่องนี้ในช่วงพิธีมิซซาซะเลย!!

    แต่โรงละครRosettaที่จัดการแสดงอยู่ห่างจากคอนแวนต์ชั้นอีกฟากหนึ่งของแม่น้ำเทมส์ทีเดียว นั่นหล่ะ ถึงเป็นเหตุให้ชั้นต้องมาเดินหลงทางอยู่ที่นี่ ทันทีที่ขึ้นจากท่าเรือเทียบฝั่ง!

    ชั้นก้มหน้าก้มตาเดินงุดๆๆ พยายามไม่สบตากับพวกคนในชุมชนนั้น คนพวกนั้นมองชั้นแล้วก็หันกลับไปซุบซิบกันใหญ่ เอ.....แต่งตัวแบบนี้มันทำไมเหรอ?

    ก็แค่.....ยืมเสื้อผ้าจากน้องชายของMayuraมาใส่แค่นั้นเอง ก็...ก็....เห็นว่า ไอ้การที่ออกมาข้างนอกคอนแวนต์คนเดียวแบบนี้ ถ้าปลอมตัวเป็นผู้ชาย....มันก็น่าจะปลอดภัยกว่านี่นา
    อื่อ....แล้วนี่ชั้นผิดปกติตรงไหน? ทั้งเสื้อเชิ้ต เสื้อกั๊กก็ออกจะพอดีตัว รองเท้าก็สวมได้พอดี หมวกนี่ก็ใส่ได้ แล้วมันแปลกตรงไหน?

    ชั้นหยุดพักที่ริมตึกสูงหลังหนึ่งหลังจากเดินวนหาทางออกอยู่เป็นนาน อดพึมพำบ่นถึงความโง่ของตัวเองไม่ได้
    “โธ่....Cagalliเอ๊ย...Cagalli! ไม่น่าทำเก่งลงเรือข้ามฟากมาเองเล้ย!!!โบกรถม้าจากหลังคอนแวนต์มาก็จบเรื่องแล้วแท้ๆ!”

    หลังจากตีอกชกหัวตัวเองพักใหญ่ ก็ต้องสะดุ้งเฮือกสุดชีวิตเมื่อมีมือเล็กๆมาดึงขากางเกงของชั้นเข้า!หากเมื่อมองต่ำลงไป ก็พบกับดวงตาโตแป๋วแหววของเด็กผู้หญิงอายุไม่เกิน6ขวบคนหนึ่ง
    สงสัยคงจะเป็นลูกคนงานแถวนี้มั้ง?ชั้นคิดเมื่อดูจากเสื้อผ้ามอมแมมกับผมเผ้ารุงรังของแม่หนูคนนี้แล้ว

    “จะขอเงินเหรอ? ชั้นไม่มีให้หรอกนะ มีแค่พอไปกลับแค่นั้นแหล่ะ”
    แกยังจ้องชั้นเป๋งอยู่แบบนั้น อ๊า~~จะทำยังไงได้หล่ะ? ชั้นคิดอย่างอ่อนอกอ่อนใจ แล้วจึงนึกขึ้นมาได้ว่าเก็บเสบียงเล็กๆน้อยๆที่พวกเพื่อนๆให้ไว้ในกระเป๋าถือ
    “ถ้าขนมหล่ะก็...ชั้นพอมีที่พวกMayuraให้ไว้นะ รอเดี๋ยว” ชั้นพูดพลางค้นกระเป๋าหยิบห่อช็อคโกแล็ตบาร์แท่งเล็กๆส่งให้ แม่หนูท่าทางดีใจมาก แกกอดช็อดโกแล็ตแท่งเล็กๆไว้แนบอก ใบหน้ามอมแมมนั่นดูสดใสขึ้นมากจริงๆ

    ชั้นนั่งลงคุยกับแก กะว่าผูกมิตรไว้ เผื่อจะหาทางออกจากที่นี่ได้เสียที
    “เออนี่ รู้จักโรงละครชื่อ Rosettaมั๊ย?”
    “รู้”แกพยักหน้าหงึกหงัก คำตอบนั้นทำให้ชั้นต้องร้องออกมาด้วยความยินดี
    “จริงเหรอ??เยี่ยมเลย! งั้น พาชั้นไปที่นั่นได้มั๊ย?”
    แม่หนูพยักหน้ารับ ก่อนจะวิ่งนำชั้นไปอีกทางหนึ่ง
    “อ้าว นี่!!รอด้วยสิ!!”

    ชั้นวิ่งตามร่างเล็กจ้อยไปตามตรอกซอกซอยเล็กๆ จนในที่สุดก็มาถึงหน้ากำแพงใหญ่ทะมึน ยัยตัวเล็กเงยหน้าขึ้นเป็นเชิงบอก เมื่อมองเลยกำแพงสูงนั่นไปก็พอที่จะมองเห็นรูปปั้นเทพธิดาที่ยอดหลังคาสีขาวอยู่ไม่ห่างนัก ชั้นรู้ทันทีว่านั่นคือ Rosetta!
    แม่หนูน้อยวิ่งตึ๊กๆไปที่กองลังไม้ แล้วใช้มือเล็กๆคุ้ยกองลังออก เปิดให้เห็นช่องเล็กๆที่พอจะใช้ลอดออกไปได้
    “นี่ทางออก” แกกวักมือเรียกชั้นหยอยๆ ก่อนจะก้มตัวมุดช่องเล็กบนกำแพงออกไป ชั้นรีบก้มตัวมุดออกไปบ้างอย่างค่อนข้างจะทุกลักทุเล เพราะช่องเล็กนั่นน่ะ ถ้าตัวขนาดยัยหนูนี่ก็คงลอดไปได้สบายๆ แต่สำหรับผู้หญิงอายุ17อย่างชั้นอาจจะต้องใช้ความพยายามมากกว่าหน่อย

    มือเล็กจ้อยช่วยดึงชั้นอีกแรง พอหลุดออกมาได้ ชั้นก็ต้องถอนหายใจเฮือกอย่างโล่งอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมองเห็นยอดหลังคาของโรงละครได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
    “นั่นมัน!!ใช่จริงๆด้วย!!ขอบใจมากๆเลยนะจ๊ะ!!!” ชั้นคว้าแม่หนูน้อยเข้ามากอดรัดฟัดเหวี่ยงแน่นด้วยอารามดีใจสุดชีวิต “ว่าแต่ต้องไปทางไหนต่อหล่ะ?”
    แม่หนูจึงจูงมือพาชั้นวิ่งไป ตัวเล็กๆแบบนั้นแต่แรงฉุดเยอะเป็นบ้า ตัวแทบปลิวตามแน่ะ แกพาชั้นวิ่งๆลัดเลาะตรอกเล็กๆไปจนเริ่มเหนื่อย แต่แล้วอยู่ๆก็หยุดวิ่ง

    “? มีอะไรเหรอ?” ชั้นเห็นร่างเล็กๆนั่นสั่น พอเงยหน้าขึ้นก็ต้องรีบดึงแกหลบเข้ามุมตึกทันที
    เพราะภาพที่เห็นตรงหน้าคือชายฉกรรจ์4คนกำลังเจรจาบางอย่างกันอยู่ ทั้งสามคนใส่เสื้อโค้ทมิดชิด แต่ก็พอมองออกว่าคนที่ร่างผอมเพรียวนั่นมีผิวขาวจัด ผมสั้นเกรียนสีเงิน ท่าทางจะดูเป็นที่มีอำนาจมากที่สุดในกลุ่มนั้น เขารับกระเป๋าเดินทางใบใหญ่มาจากผู้ชายชุดดำอีก คนๆนั้นเองก็ตัวสูงเช่นกัน แต่ผมยาว ใบหน้าของเขาซ่อนอยู่ใต้หมวกเพราะงั้นชั้นเลยมองเห็นไม่ชัด.....ส่วนอีกสองคนนั่น ดูเหมือนลูกน้องมากกว่า

    ในที่สุดกระเป๋าก็เปิดออก พอเห็นหนึ่งในนั้นใช้นิ้วจิ้มผงสีขาวๆในกระเป๋า ชั้นก็เริ่มจะเข้าใจลางๆแล้วว่ามันคืออะไร

    ถึงชั้นจะอยู่ในคอนแวนต์มาตลอด แต่ก็อ่านหนังสือพิมพ์เหมือนกัน จึงพอเข้าใจว่า ผงขาวๆนั่นคือ.....ฝิ่นอย่างแน่นอน!

    “นี่ แม่หนู!”ชั้นกระซิบถาม “เราชื่ออะไร?”
    “…Coniel” แกตอบเสียงสั่น ชั้นถามต่อไป
    “แถวนี้มีสันติบาลมาตรวจบ้างมั๊ย?”
    “พ...พ่อบอกว่ามี”
    “งั้นรีบไปกันเถอะ! ต้องรีบไปแจ้งตำรวจก่อนที่พวกมันจะลงเรือหนีไปได้!!” ชั้นรีบบอก แม่หนูตัวจ้อยพยักหน้ารับแม้จะยังท่าทางหวาดๆอยู่

    เราสองคนค่อยๆย่องออกจากมุมตึกนั้น แต่เหมือนเทพเจ้าแห่งความโชคร้ายจะเข้าข้างชั้นเสียจริงวันนี้! หนึ่งในนั้นส่งเสียงร้องขึ้นลั่น เป็นภาษาอะไรชั้นเองก็ไม่เข้าใจ
    แต่ที่แน่ๆ คงไม่ใช่เรื่องดีนัก!!!
    “Was!!!!”
    “WHO SIND SIE!!!!??”
    “Verfangen Sie sich sie!”
    “TÖTUNG!!!!”

    “วิ่ง!!”ชั้นร้องบอกพลางผลักให้ยัยหนูตัวเล็กวิ่งนำไปข้างหน้า แล้วชั้นก็ได้ยินเสียงปืนดังไล่หลังมาไม่ไกลนัก
    พูดเป็นเล่นน่า!!!นี่ขนาดต้องฆ่าต้องแกงกันเลยเหรอ???

    “กรี๊ดดด!!!!”

    ไม่น๊า~~~!!!!ชั้นยังไม่อยากเอาชีวิตนอกคอนแวนต์มาทิ้งอย่างนี้!!!
    พระแม่มารีเจ้าขา!!ช่วยลูกด้วย!!!

    เราสองคนวิ่งหลบกระสุนสุดชีวิต แต่ดูเหมือนพี่ชุดดำสองคนที่วิ่งไล่ยิงมาจะไม่ยอมรามือเอาง่ายๆเลย แล้วความโชคร้ายครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้แล้วของวันนี้ก็ทำให้ชั้นพลัดหลงกับแม่หนูConielจนได้!!

    ที่แย่ยิ่งกว่านั้นคือ เพราะมัวแต่วิ่งเอาชีวิตรอดเนี่ยแหล่ะ ถึงไม่ทันระวังทาง วิ่งไปสะดุดเอาท่อคอนกรีตที่มันโผล่ขึ้นมาบนถนนล้มแผละ!! พอหันกลับไปก็เจ๊อะกับปากกระบอกปืนจ่อตรงมา ไม่ใช่แค่หนึ่ง แต่ถึงสอง!!!

    ชั้นถอยหลังไปจนติดกำแพง ความรู้สึกหนาวเยือกจับขั้วหัวใจ แล้วก็ได้ยินเสียงหนึ่งในนั้นพูดขึ้นมาเสียงเย็นเฉียบ
    “Wirklich, we möchten nicht Sie, Sie töten kennen Jungen? Aber, unser Geheimnis zu speichern, Sterben Sie hier. Ich verspreche es, daß Sie nicht zuviel verletzt.!!!”

    “พูดอะไรของพวกแกน่ะ ชั้นฟังไม่รู้เรื่องหรอกนะ!!!” ชั้นร้องบอกพวกมัน แต่มาพูดอะไรตอนนี้ก็คงไม่เกิดประโยชน์อะไรแล้ว เมื่อพวกมันขึ้นลำกล้องปืนพร้อมกัน เสียงแชะนั่นน่ากลัวมากจนชั้นต้องหลับตาปี๋
    ไม่รอด.....ไม่รอดแน่เรา!!!

    แต่ว่า....ในตอนนั้นเองก็มีเสียงปืนอีกนัดดังขึ้นเปรี้ยง!!
    “WER!!??”
    พอชั้นลืมตาขึ้นก็พบว่า มีผู้ชายอีกสองคนกำลังเล็งปืนอยู่เบื้องหลังเจ้าวายร้ายทั้งสองคน
    “หยุดอยู่แค่นั้นแหล่ะ!!นี่เจ้าหน้าที่ตำรวจ!!วางอาวุธลงแล้วยอมมอบตัวซะ!!!” ชายตัวสูงผมสีน้ำเงินซึ่งสวมเสื้อโค้ทสีกรมท่ากล่าวขึ้นพร้อมกับแสดงตราสัญลักษณ์ของสก็อตแลนด์ยาร์ด

    “Scheiße!”
    เหตุการณ์ตรงหน้าเริ่มชุลมุนวุ่นวาย เมื่อพวกคนร้ายผละจากชั้นไปลุยกับนายตำรวจสองคนนั่นแทน ขณะที่ชั้นได้แต่มองภาพตรงหน้าอย่างตกตะลึง ไม่คิดไม่ฝันมาก่อนว่า ชีวิตนักเรียนประจำอย่างตัวเองจะได้มาอยู่ในเหตุการณ์ระทึกขวัญเช่นนี้!!

    นายตำรวจผมสีน้ำเงินคนนั้นว่องไวน่าดูเลย เขาเบี่ยงตัวหลบกระสุนที่กราดยิงใส่ก่อนพุ่งเข้าล็อคแขนของคนร้ายแล้วบิด ทำมันร้องไม่เป็นภาษามนุษย์ทีเดียว พอปืนมันหลุดมือ เขาก็เตะทิ้งลงท่อเสีย แล้วทันใดนั้น ให้ตายสิ!!ชั้นไม่อยากเชื่อเลยว่ารูปร่างก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไร แต่หมอนั่นน่ะทุ่มมันลงไปนอนนับดาวกับพื้นเลย!!
    “Autsch!!”

    “หมวดAsuka!!!” เขาร้องเรียกตำรวจอีกคนหนึ่งที่มาด้วยกัน แต่มือเนี่ยยังกดหัวเจ้าวายร้ายให้หมอบกับพื้นอย่างแน่นหนาอยู่เลย
    “ทางนี้เรียบร้อยดีครับผู้กอง!!”นายตำรวจผมสีดำคนนั้นที่ดูเด็กกว่านิดหน่อยนั่นร้องตอบขณะที่กำลังสาละวนอยู่กับ”ท่านั่งคร่อมหลังหักนิ้ว”คนร้ายอยู่
    “Lassen Sie mich gehen!! Verdammen Sie Sie!!!(ปล่อยข้าสิวะ!!ไอ้สารเลว!!!)” ท่าทางเหมือนมันกำลังด่าอยู่นะ แต่กลับถูกตาหมวดนั่นตบหัวเอาดังผั่วะ!
    “หุบปากน่า!!พูดอะไรวะ??ฟังไม่รู้เรื่อง!!!”

    ชั้นว่า....ตัวเองกำลังสั่น ไม่รู้ว่าเพราะกลัวหรือตื่นเต้นไปด้วยกันแน่
    “ภาษาเยอรมัน...?” นายตำรวจผมสีน้ำเงินพึมพำ ดูเหมือนเขาจะเข้าใจที่คนพวกนี้พูดอยู่เหมือนกัน แล้วพอเขาสังเกตเห็นผงสีขาวที่เลอะอยู่ตรงเสื้อของคนร้าย ก็ดูเขาตกใจมากทีเดียว
    “ฝิ่น....?” ดวงตาสีมรกตของเขาลุกวาวตอนที่เขากระชากคอเสื้อหนึ่งในคนร้ายขึ้นถามเสียงเข้ม “ใครเป็นคนจ้างวานพวกแก??”

    แต่มันกลับแสยะยิ้มเหี้ยมเกรียม
    “Sie fool!!Know es in der Hölle!(ไอ้พวกโง่เอ๊ย!ไปรู้ในนรกเองแล้วกัน!!)” พูดจบมันก็ขบฟันตัวเองเสียงลั่นดังกรอด
    “เฮ้!!”
    ครู่ต่อมา....สิ่งที่ชั้นเห็นยิ่งทำให้อยากจะกรีดเสียงร้องออกมาดังๆ แต่ก็ได้แต่ปิดปากตัวเองแน่น แล้วเบือนหน้าหนีไปจากภาพนั้นซะด้วยความรู้สึกสยดสยองใจเป็นที่สุด

    ....คนร้ายทั้งสองคนที่เพิ่งจะวิ่งไล่ฆ่าชั้นกับเด็กConielเมื่อครู่นี้...หงายหน้าคอพับ ดวงตานั่นเหลือกถลน ขณะที่เลือดสีแดงสดๆไหลรินออกมาจากมุมปากหยดลงพื้น!!!

    ###############################
  9. kumi

    kumi Active Member

    EXP:
    805
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    36
    โฮ่ ตอนแรก O_O!!!

    เย้ คุมิจะได้เซฟทีเดียวค่ะ ขอบคุณพี่ไวท์วิงมาก งานนี้ไม่ตายฟรีแน่นอนค่ะ (กร๊ากกกกกกกกก)

    /me โดนพี่ไวท์วิงตื๊บติดดิน

    บอร์ดใหม่นี่รู้สึกจะโพสได้เกิน 10,000 ตัวอักษรนะคะ แต่คุมิไม่แน่ใจ limit มันเหมือนกัน = =?

    แต่ครั้นจะอ่านรวดเดียวจบคงตาลาย

    อัพให้เป็นปัจจุบันเข้านะคะ สู้ๆ * *|> แล้วจะตามอ่านให้เป็นปัจจุบันเหมือนกันค่ะ ถ้าว่างๆ TT{}TT|>
  10. whitewing

    whitewing New Member

    EXP:
    120
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0

    “ผู้กองครับ....”
    “.....”ผมวางศพของคนร้ายให้นอนลงกับพื้น แล้วจับหน้ามันหันมา ขณะที่นิ่งพิจารณาวิธีการฆ่าตัวตายและกลิ่นของสารที่ระเหยออกมาจากปากของศพ
    “...ไซยาไนท์” ผมบอกตัวเองเบาๆ
    “เอ๋??” หมวดAsukaฟังแล้วถึงกับร้องเสียงหลงกับคำพูดนั้น “ที่เคยมีข่าวลือว่าพวกทหารเยอรมันใช้กันน่ะเหรอครับ?”

    วิธีซ่อนยาพิษร้ายแรงที่ชื่อ“ไซยาไนท์”ไว้ในปาก....และกัดชิ้นยานั่นเมื่อถูกจับได้ โดยที่พิษจะแพร่กระจายพุ่งสู่หัวใจอย่างรวดเร็ว มีไว้สำหรับฆ่าตัวตายเพื่อรักษาความลับของพวกพ้อง ผมเองก็เคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาบ้างเหมือนกัน....

    แต่นึกไม่ถึงว่าแม้แต่กับแก๊งค้ายาต่างชาติก็ยังใช้วิธีการนี้

    “หมวด โทรติดต่อให้โรงพยาบาลมาเอาศพไปชันสูตรนะ ตอนนี้เลย”
    “รับทราบ”

    รับคำสั่งผมเรียบร้อย หมวดAsukaก็รีบวิ่งออกจากที่นั่นไป พอดีกับที่หางตาเหลือบไปเห็นร่างเล็กๆของเด็กหนุ่มผมทองที่นั่งแปะอยู่ติดกำแพง ดูจากใบหน้าซีดขาวยังกับกระดาษ เจ้าตัวคงจะช็อคกับเรื่องตรงหน้าไม่น้อย

    “เอ้า! ว่าไง? แข้งขาอ่อนเปลี้ยไปเลยเรอะ?ไอ้หนู”
    “....อะ...ไอ้หนู???” ดูเหมือนคำทักของผมจะปลุกให้เขาตื่นจากอาการตกใจได้เหมือนกัน

    ผมแค่นหัวเราะหึๆ ขณะที่เดินเข้าไปใกล้ร่างเล็กในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาว ผมสีทองบลอนด์น้ำผึ้งถูกซ่อนไว้ใต้หมวกหนัง พอยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ อีกฝ่ายก็รีบถอยหนี ดวงตาสีอำพันคู่นั้นฉายความหวาดระแวง
    “ไม่เคยเห็นคนตายจะๆมาก่อนสินะ? ถึงได้ช็อคอ้าปากค้างแบบนี้น่ะ”

    พอถูกพูดใส่ว่าอ้าปากค้าง เจ้าหนุ่มหน้าอ่อนก็รีบเอามือปิดปาก สีของใบหน้านั้นเปลี่ยนจากขาวซีดเป็นแดงจัด
    “พูดมาได้!!ก็คน....คนเป็นๆเมื่อกี๊มาตายตรงหน้า ใครไม่ช็อคก็ไม่ใช่คนแล้ว!!”
    น้ำเสียงแว้ดแหวนั่นทำให้ผมชักจะหงุดหงิด ทั้งที่วันนี้ก็ถูกคนแว้ดใส่มาทั้งวันแล้วแท้ๆ
    “นั่นเป็นคำพูดกับคนที่เพิ่งจะช่วยชีวิตของเธองั้นเหรอ?” ผมถอนหายใจพลางถามเสียงเรียบๆ แล้วก็ดูเหมือนจะฉุกคิดให้เจ้าเด็กนี่ได้คิดว่าทำเรื่องไม่ถูกต้องลงไป แต่....หลังจากนิ่งไปไปนาน ผมก็ลุกขึ้น โดยไม่สนใจที่จะทวงบุญทวงคุณอะไรอีก

    “เธอเป็นพยานของคดีนี้หล่ะนะ คงปล่อยให้กลับไปเฉยๆไม่ได้หล่ะ” ผมบอกเสียงเรียบขณะที่ถอดเสื้อโค้ทลงคลุมสภาพอุจาดตาของศพ
    “เอ๋????อะไรนะ เดี๋ยวๆๆ!นี่!!ถึงจะเป็นตำรวจแต่คุณก็ไม่มีสิทธิ์มาบังคับให้ชั้นต้องขึ้นโรงพักนะ!!โอ๊ยยยย!!!!” เสียงร่ายยาวเป็นชุดลงท้ายด้วยเสียงร้องลั่นเมื่อเจ้าหนุ่มหน้าอ่อนลุกพรวดขึ้นยืน แล้วก็ต้องล้มลงนั่งแผละกับพื้นอีกครั้ง
    “อูย.....เจ็บๆๆ” หมอนั่นก้มลงกุมข้อเท้าตัวเอง ใบหน้านั้นบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดไม่น้อย ดูราวกับว่าถ้าร้องไห้ตอนนี้ออกมาได้คงร้องแล้วมั้ง? ผมมองภาพนั้นแล้วส่ายหน้าอย่างระอา อดที่จะเข้าไปดูไม่ได้

    “เจ็บหล่ะสิ?” ผมถามขณะที่นั่งลงดูแผลของเจ้าหนุ่ม แล้วก็ถูกสวนทันควัน
    “มองไม่ออกรึไง??ถามได้!!”
    “เอ้า!!ไหนดูซิ” พูดจบผมก็ยกขาข้างที่เจ้านี่กำลังเจ็บขึ้นดู แต่มันกลับร้องลั่นสุดชีวิตแถมยังชักเท้าหนีผมอีกต่างหาก
    “แว๊กกก!!!ปล่อยชั้นนะ!!!”

    ผมคว้าขาข้างนั้นกลับมาพลางมองหน้าเจ้าหนูนั่นงงๆ ทำไมมันต้องทำหน้าแดงซะขนาดนั้นเนี่ย?
    “เฮ้ๆ! อย่ามาทำสะดีดสะดิ้งเป็นผู้หญิงน่า เป็นผู้ชายซะเปล่า” ผมเอ็ดเบาๆพลางเลิกขากางเกงของหมอนั่นขึ้น พอเห็นแล้วอดคิดไม่ได้ว่า ....ขาเล็กเป็นบ้าเลยแฮะ

    ไอ้หนูผมทองยังทำท่าหวาดระแวงผม ใบหน้าใต้หมวกใบโตแดงเถือก แต่ผมไม่ได้ใส่ใจเท่าใดนักเพราะมัวแต่คลำดูแผลที่ข้อเท้าเล็กๆนั่น

    “กระดูกข้อเท้าเคลื่อน คงไม่ถึงกับหักหรอก” ผมพูดเบาๆหลังจากพิจารณาบาดแผลเรียบร้อย พอเงยหน้าขึ้นก็พบว่า ทำเอาหมอนี่ทำท่าสะดุ้งเฮือก
    “แต่ถ้าไม่จับเข้าที่หล่ะก็...มันอาจจะหลุดก็ได้นะ”ผมแกล้งขู่
    “...อึ๊ย!”
    “แล้วก็อาจจะห้อยต่องแต่งก็ได้”
    “อึ๊ยยยย!!!”

    เจ้าหนุ่มน้อยทำหน้าเสียวไส้สยองขวัญสุดชีวิต สงสัยจะกำลังจินตนาการภาพกระดูกขาหลุดห้อยแหงๆ ผมกลั้นขำหึๆ แล้วแกล้งชี้ไปข้างบน
    “อ๊ะ! ดูโน่นซิ!”
    “เอ๋?”พอเจ้าตัวหันไปอีกทาง ผมก็จับกระดูกข้อเท้าที่เคลื่อนอยู่เข้าที่ เสียงดังกรึ้บ!!

    จากนั้น...อึดใจต่อมา คงไม่ต้องบอกว่า เสียงร้องนั่นดังลั่นขนาดไหน ข้ามแม่น้ำเทมส์ไปเลยมั้ง
    “โอ๊ยยยยยยย!!!!!!” คนเจ็บชักเท้าหนีพรืด ปากด่าฉอดๆไม่หยุด “ทำอะไรน่ะ!!!มันเจ็บนะ!!!”
    “ร้องซะลั่นเชียว แค่เอากระดูกที่เคลื่อนเข้าที่แค่นั้นเองแหล่ะน่า เอ๊ะ? หรือว่าเธออยากให้มันห้อยต่องแต่งกลับบ้านจริงๆ หือ?”

    ผมแอบกลั้นหัวเราะพอเห็นหน้าตาเดือดจัดเพราะเถียงไม่ออกของเจ้าเด็กตรงหน้า ก่อนเอาผ้าเช็ดหน้ามาฉีกออกเป็นแถบยาวๆเพื่อพันข้อเท้าแก้ขัดแทนผ้าพันแผลจริงๆไปก่อน แต่ก็ไม่ปล่อยให้เวลาผ่านไปแบบเสียเปล่า
    “อยากขึ้นโรงพักรึเปล่า?”
    เจอคำถามนี้เข้าไป เจ้าตัวถึงกับทำหน้าวิตกจริตก่อนสะบัดหน้าพรืดจนผมกระจาย
    “งั้นตอบคำถามชั้นดีๆ เข้าใจมั๊ย?”
    คราวนี้พยักหน้าหงึกหงักๆ ว่าง่ายทีเดียวเชียวหล่ะ

    ดังนั้น ผมจึงเริ่มสอบถามข้อมูล
    “ชื่ออะไร? เราน่ะ”
    “....”ดวงตาสีอำพันกลมโตมองผมนิดๆแล้วอุบอิบเสียงตอบ “Cagalli …Yura”
    “อายุเท่าไหร่?”
    “17”
    “17?”คำตอบนั่นทำให้ผมต้องมองคู่สนทนาเท้าจดหัวหัวจดเท้าทีเดียว “เธอควรจะดูแลเรื่องอาหารการกินให้มากกว่านี้หน่อยนะ ผอมกระหร่องแบบนี้ ไปจีบผู้หญิงที่ไหนก็ไม่มีใครเอาหรอก”
    “หนวกหูน่า!!ธุระไม่ใช่!!”เจ้าหนุ่มน้อยร่างบางสบัดหน้าหนี

    ผมมองใบหน้าด้านข้างนั้นแล้วอดรู้สึก...ว่ามันคุ้นตาไม่ได้ แต่ก็ขจัดความคิดนั้นออกไปอย่างรวดเร็ว
    จะเคยเจอมาก่อนได้ยังไงเล่า? และถึงเคยเจอ ใครจะไปสนใจมองเด็กผู้ชายแบบนี้ ?เราไม่ใช่พวกวิปริตซักหน่อย เหอะ!คิดแล้วขนลุก!!

    “ไหนเล่าเรื่องมาซิว่า เธอเห็นอะไรมาบ้าง?” ผมถามต่อขณะที่ผูกปมผ้าพันแผลที่ข้อเท้าแน่นขึ้นนิดหน่อยเพื่อกันไม่ให้กระดูกเขยื้อนไปอีก เด็กหนุ่มที่ชื่อCagalli Yuraเหลือบมองไปที่ศพสองศพที่นอนอยู่ตรงพื้น ท่าทางจะยังไม่หายกลัวเรื่องระทึกขวัญที่เกิดขึ้นเท่าใดนัก

    “ชั้นลงเรือข้ามแม่น้ำเทมส์มากจากอีกฝั่งนึง ตั้งใจจะไปที่โรงละครRosetta ทีนี้...ไม่เคยมาแถวนี้มาก่อน ก็เลยหลงทาง”
    ผมมองเครื่องแต่งกายของเขาแล้ว ก็พอจะประเมินฐานะของเจ้าตัวได้อยู่
    “แต่งตัวดีนี่ เป็นลูกผู้ลากมากดีมาจากฝั่งWest Endหล่ะสิท่า?”
    “เรื่องนั้นไม่เห็นเกี่ยวกับที่ชั้นถูกไล่ฆ่าเมื่อกี๊เลยนะ!!!” เจ้าตัวเริ่มมีน้ำโหขึ้นมาอีกเมื่อถูกพูดขัดคอ ผมทำหูทวนลมไม่รู้ไม่สนแล้วจึงปล่อยให้เขาเล่าต่อไป

    “พอดีว่าไปเจอเด็กคนนึงเลยให้ช่วยนำทางให้ เค้าก็เลยพามาหาทางออก ชั้นก็เลยมาเจอพวกของสองคนนี่...”พอพูดมาถึงจุดนี้ Cagalliก็ทำหน้าตกใจ
    “จริงสิ!!เด็กคนนั้นหล่ะ??คุณเห็นแกบ้างรึเปล่า เด็กตัวเล็กๆ อายุซัก6ขวบน่ะ แกวิ่งหนีมาพร้อมชั้น แล้วเราก็พลัดกัน!!!”
    ผมพยักหน้าแทนคำตอบ “เฮ่! ใจเย็นๆ เด็กผมสีน้ำตาลตัวเล็กๆใช่มั๊ย?”
    “ใช่ๆ!!คุณเจอแกเหรอ?? ปลอดภัยดีรึเปล่า??”
    “เด็กนั่นปลอดภัยดี พอเห็นพวกเราก็รีบเข้ามาบอกว่ามีคนพลัดกับแก แล้วมันก็มีเสียงปืนด้วย ชั้นกับลูกน้องถึงได้รีบมาที่นี่ไง”

    พอได้รับคำตอบเช่นนั้น สีหน้านั้นก็กระจ่างด้วยความรู้สึกดีใจขณะที่พึมพำ
    “...Coniel.... เฮ้อ....โชคดีจัง”

    “เล่าเรื่องต่อไปซิ ไปไงมาไงเธอถึงถูกเจ้าสองคนนี่ไล่ฆ่าเอาได้หล่ะ?”ผมถามพลางชี้ไปที่ศพคนร้ายทั้งสอง เด็กหนุ่มชื่อCagalliจึงเล่าต่อ

    “...จากที่ตรงนี้....ชั้นไม่แน่ใจว่ามันตรงไหน เพราะเด็กConielนั่นพาชั้นวิ่งหนีเข้าตรอกเล็กตรอกน้อย เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวายังไงชั้นก็ไม่รู้หรอก จำได้ว่ารอบข้างมันคล้ายๆโกดังเก็บสินค้า มีผู้ชายชุดดำสี่คนกำลังเจรจากัน....ภาษาก็อย่างที่เจ้าสองคนนี่พูดน่ะ” เขาชี้ไปที่ศพทั้งสอง

    “พอมันเห็นชั้นกับเด็ก เราก็เลยถูกไล่ยิง สองคนที่ไม่ได้ตามมานี่ ดูจะมีอำนาจมากกว่า คนนึง....ผมเงินสั้นเกรียน อีกคนไว้ผมยาวสีบรูเน็ท แต่ชั้นไม่แน่ใจหรอกนะว่าหน้าตาเป็นยังไง เพราะใส่หมวกปิดหน้าทั้งคู่ มันมาแลกของกับเงิน...ของในกระเป๋านั่น ชั้นคิดว่า...”
    “ฝิ่น” ผมพูดแทรกขึ้นในทันที Cagalliพยักหน้าก่อนพูดต่อ
    “มันไม่ได้ตามชั้นมา....เลยไม่รู้ว่าหนีไปถึงไหนแล้ว...”
    “พร้อมของในกระเป๋านั่น?”
    “ใช่”

    ผมพยายามคิดทบทวนถึงข้อมูลแก๊งก่ออาชญกรรมที่พัวพันยาเสพติดในเขตลอนดอน เครือข่ายของพวกมันโยงใยกันซับซ้อนหลายชั้น และไม่น่าเชื่อว่าจะมีแก๊งต่างชาติรวมอยู่ในวงจรนั้นด้วย

    “ถ้ามันลงเรือเพื่อออกทะเลไปแล้ว....ก็ต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของกองทัพเรือ”
    ผมกล่าวพลางลุกขึ้น “ทางสันติบาลคงทำได้แค่ส่งเรื่องไปก่อนหล่ะนะ ส่วนเธอ…” ผมหันไปพูดกับเขา “เอาเป็นว่าชั้นสอบปากคำเธอเรียบร้อยแล้ว ดังนั้น ก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องไปขึ้นโรงพักซ้ำอีก เท่านี้คงพอใจนะ? นี่ก็เริ่มจะโพล้เพล้แล้ว รีบกลับบ้านกลับช่องไปซะเถอะ เป็นเด็กเป็นเล็กมาเที่ยวดึกๆดื่นๆ พ่อแม่คงห่วงแย่”

    พอถูกร่ายยาว มันก็แอบหันไปทำหน้าแหว่ะ

    ไอ้หนูนี่....อวดดีนักเรอะ?หลายหนแล้วนะวันนี้ ผมมองหน้ามันแล้ว....เส้นเลือดที่ขมับเริ่มจะเต้นตุบๆ รู้ตัวอีกทีก็เอื้อมมือไปกระชากคอเสื้อมันดึงมาเผชิญหน้ากันตรงๆ

    มันหน้าซีดเป็นกระดาษตอนที่ถูกผมพูดใส่หน้าด้วยน้ำเสียง...ช้าๆ...เย็นๆ....

    “จริงๆแล้ว....ชั้นก็ไม่ใช่คนชอบลำเลิกบุญคุณใครหรอกนะ ไอ้หนู แต่ถ้าเธอจะช่วยลดไอ้ท่าทางอวดดีอวดเก่งกับชั้น ที่ถ้าจำไม่ผิด เป็นคนช่วยไม่ให้เธอต้องถูกยิงตายเหมือนหมาข้างถนนแล้วละก็...ชั้นจะขอบใจมากเลย”

    ไม้นี้ได้ผล มันพยักหน้ารับสุดชีวิตทีเดียว
    ผมเลยแกล้งขู่ต่อ หึๆ สนุกเป็นบ้า
    “คำขอบคุณหล่ะ?”
    “...ขอบคุณ”
    “หางเสียงหล่ะ?” ผมทำเสียงเข้มมากขึ้นไปอีก ทำเอามันรีบพูดปากคอสั่น
    “ค่...ครับ!”
    “ดีมาก” ผมยิ้มที่มุมปากนิดๆแล้วพยักหน้าอย่างพอใจ ก่อนจะปล่อยมือ เล่นเอาเจ้าหนุ่มหน้าอ่อนต้องถอยกรูดจนไปติดกำแพง
    ไม่รู้ว่าเล่นแรงเกินไปรึเปล่าสิ?

    พอดีกับที่หมวดAsukaกลับมาพร้อมกับรถขนศพของโรงพยาบาลและรถม้าอีกคัน ผมยกนาฬิกาพกขึ้นดูเวลาแล้วจึงหันไปบอกกับเด็กหนุ่ม
    “จะ6โมงแล้ว รีบกลับบ้านไปซะนะ”
    ผมพูดเรียบๆ กำลังจะเดินไปที่รถม้า แต่ก็ถูกเบรกด้วยเสียงร้องลั่น
    “อะไรนะ????6โมง!!!!!!”

    ผมต้องกลับไปมอง Cagalliทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ขณะที่หยิบบัตรอะไรซักอย่างขึ้นดู
    “แบบนี้.....ก็อดแล้วสิ!!!ไม่นะ!!!ทำไมเราถึงได้ซวยแบบนี้!!!”
    “อะไรน่ะ?”ผมฉวยบัตรในมือเจ้าหนุ่มที่กำลังตีอกชกหัวตัวเองมาดู แล้วก็เข้าใจ เพราะเป็นบัตรเข้าชมละครร้องของRosettaเรื่องMidiaที่Lacusแสดงนำนั่นเอง

    “ทั้งๆที่อุตส่าห์มีโอกาสได้ดูแล้วแท้ๆ! โธ่....”
    “....”ผมพยายามสุดชีวิตแล้วที่จะกลั้นหัวเราะ แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผล
    “ห้ามหัวเราะนะ!!!พวกตำรวจน่ะไม่เข้าใจความรู้สึกชอบศิลปะแบบนี้หรอก!!!” มันแว้ดผมลั่นๆทั้งๆที่จริงๆสงสัยอยากจะร้องไห้มากกว่า แล้วก็....ท่าทางจะลืมเรื่องที่เมื่อกี๊เพิ่งจะถูกขู่จนหงอไปแล้วด้วยมั้ง ตรงนี้แหล่ะที่....ผมอดจะต้องหัวเราะไม่ได้

    “ที่แท้ก็พวกบ้าดารา” ผมพูดขำๆ เจ้าเด็กCagalliหันมามองผมตาเขียวปั้ด มือพยายามจะไขว่คว้าเอาบัตรคืน
    “เอาคืนมาเลยนะ! อีตาตำรวจบ้า!!รังแกประชาชน!!”

    เลยกลายเป็นว่ามันต้องกระโดดเหย็งๆเป็นจิงโจ้เพื่อจะแย่งบัตรคืนจากผมที่ตัวสูงกว่ามาก เฮ่อ!ไอ้ที่ถูกขู่ไปเมื่อกี๊มันซึมเข้าสมองขังเจ้าเด็กนี่มั่งมั๊ยเนี่ย ผมนึกสงสัย
    “อยากดูจริงๆรึ?”
    “แหงสิ!!เอาคืนมานะ!!”

    แต่ก็น่าสนุกดีเหมือนกันแฮะ ผมนึกขำอยู่ในใจ
    “เอาแบบนี้ดีกว่า” ผมอดยิ้มไม่ได้เหมือนเห็นอีกฝ่ายทำหน้างงเมื่อผมเอาบัตรยัดลงมือคืนไป “ถึงไง บัตรนั่นก็คงใช้ไม่ได้อีก แล้วก็ถือว่าตอบแทนที่เธอให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับราชการ ไว้เจอกันคราวหน้า ชั้นจะพาเธอเข้าไปที่นั่นเอามั๊ยหล่ะ?”
    “เอ๋??”
    “ได้ใกล้ชิดLacus Clyneด้วยน๊า...”ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังหลอกเด็กยังไงไม่รู้สิ

    แต่...ไม่รู้ยังไง เพราะผมชักจะรู้สึกถูกชะตากับท่าทีอวดเก่งของเจ้าเด็กCagalli Yuraคนนี้เข้าแล้ว

    “เอ๋???จริงเหรอ!!!” เจ้าของดวงตาสีอำพันกลมโตคู่นั้นทำท่าดีใจจนออกนอกหน้า
    “ก็จริงสิ ชั้นน่ะรู้จักสนิทสนมกับLacus Clyneดีเชียวหล่ะ”
    อย่างน้อยนี่ก็เป็นเรื่องที่ผมรู้สึกภูมิใจมากทีเดียวที่ ได้ใกล้ชิดกับดาราแสนสวยขวัญใจชาวลอนดอนมากกว่าใคร
    และเธอเป็นคนที่ผมแน่ใจว่า....หลงรัก

    “หมาย...หมายความว่า ชั้นจะได้เจอLacus Clyneแบบตัวต่อตัวเหรอ??โอ...พระเจ้าช่วยๆๆๆ ทำไงดีๆๆ!!!”เจ้าเด็กผมทองทำท่าตื่นเต้นมือไม้สั่นจนทำอะไรไม่ถูก
    “ดีใจจนลืมเรื่องขาเดี้ยงอยู่แบบนั้นไปแล้วรึ?” ผมบ่นพลางส่ายหน้านิดๆแล้วจึงหันไปตะโกนบอกหมวดAsukaซึ่งกำลังสั่งการเรื่องขนย้ายศพคนร้าย
    “หมวด! ทิ้งรถม้าไว้คันนึงนะ เดี๋ยวชั้นจะตามไปทีหลัง”
    หมวดหนุ่มหันมามองอย่างแปลกใจ ก่อนจะรับคำ “ได้ครับผู้กอง”

    “ส่วนเราน่ะ ไปกันได้แล้ว” ไม่พูดพล่ามทำเพลงนาน ผมคว้าคนเจ็บแบกพรวดขึ้นหลัง ทำเอามันตกใจแหกปากร้องลั่นๆ
    “แว๊กกกก!!!อะไรน่ะ!!!ปล่อยเซ่!!!ไหนบอกว่าไม่ต้องขึ้นโรงพักแล้วไง!!โกหกกันนี่ ปล่อยนะ!!!บอกให้ปล๊อยย!!!”

    “เอ้า! ร้องเข้าไป!ใครบอกว่าชั้นจะพาเราไปโรงพักเล่า?”
    ผมต้องใช้ความอดทนกับเจ้าเด็กบ้านี่สูงสุดๆเลยแฮะวันนี้ ไหนจะเสียงหนวกหูนี่ ไหนจะกำปั้นมันที่ทุบลงมาอั่กๆอีก!! พอถึงรถม้าผมก็เหวี่ยงมันเข้าไปในรถโครม! เจ้าเด็กCagalliถอยกรูดไปติดมุมห้องนั่งทันที สายตามองมาอย่างไม่วางใจระคนสงสัย
    “หา???”

    “เห็นว่าเป็นคนเจ็บหรอกนะ ถึงได้จะพาไปส่งบ้าน ฟังแล้วก็รู้จักหัดขอบคุณในความมีน้ำใจของคนอื่นเค้าซะบ้างหล่ะ!!” พูดจบผมก็ควักไลท์เตอร์ขึ้นมาจุดบุหรี่สูบ
    มันนิ่งอึ้งไป หน้าตาจ๋อยเหมือนรู้สึกผิด แล้วผมก็ได้ยินเสียงพึมพำ
    “ขอบคุณ....”
    “หือ?”
    “ครับ!!!”
    หางเสียงกระแทกตอนท้ายอย่างประชดประชัน แต่แทนที่จะรู้สึกโกรธ นั่นกลับทำให้ผมขำ

    ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน ท่าทีแบบนี้....มันช่างคุ้นตาเสียเหลือเกิน...
    แต่ก็นึกไม่ออกว่า....คล้ายกับใคร....
    ################################

    ใครจะเชื่อบ้างเนี่ย?? ว่าชั้นต้องมาเจอสถานการณ์แบบนี้....ในวันแค่วันเดียว!

    ถูกโจรไล่ยิง หกล้มหกลุกจนเจ็บตัวแล้วยังไม่พอ ยัง”ถูกผู้ชาย”จับข้อเท้าขึ้นมาดู!! “ถูกผู้ชาย”แบกขึ้นมาโยนโครมใส่รถอย่างหยาบคายเป็นที่สุด!!!

    นี่นะเรอะ!!วิธีดูแล”สุภาพสตรี”ของตำรวจสก็อตแลนด์ยาร์ดน่ะ!!!!

    ….แต่จะว่าไปแล้ว...ตอนนี้....เราถูกมองว่าเป็นเด็กผู้ชายนี่นะ....
    แต่ถ้าบอกไปตอนนี้ว่า....ชั้นเป็นผู้หญิง....มันจะอันตรายกว่าเดิมมั๊ยเนี่ย?

    ที่สำคัญ.... ในดวงตาสีมรกตคู่นั้นแฝงความขี้เล่นยังไงไม่รู้….ดูยังไงก็ไม่น่าเชื่อถือ!!

    “บ้านอยู่ไหนหล่ะเราน่ะ? จะได้ไปส่งถูก”
    อีตาตำรวจตัวแสบถามชั้น ปากก็สูบบุหรี่ปุ๋ยๆแบบนั้นแหล่ะ
    “Saint Angela….อุ๊บ!!” ชั้นปิดปากตัวเองแทบไม่ทันตอนที่เผลอพูดชื่อคอนแวนต์ออกไป
    “หือ? ว่าไงนะ?”

    ถ้าขืนบอกไปว่า...เป็นเด็กคอนแวนต์...เรื่องมันจะเป็นอย่างไรต่อไปนะ?

    ….พระผู้เป็นเจ้า อภัยให้ลูกด้วย ก็มันจำเป็นอ่ะ!!(อยากจะร้องไห้จริงจรี๊ง)

    “...แถวๆ... Saint Angela Ursulineคอนแวนต์....”
    “อ้อ ถนนSt. Georgeหล่ะสินะ” เขาชะโงกหน้าออกไปบอกคนขับรถม้า “ไปถนนSt.Georgeนะ”

    ชั้นแอบมองนายตำรวจคนนี้แล้วอดคิดไม่ได้ว่า น้ำเสียง....สีผม....สีตาของคนๆนี้คุ้นตายังไงบอกไม่ถูก
    เหมือนเคยเจอ....แต่ตอนไหนนะ นึกไม่ออก

    จริงๆเขาก็มีน้ำจิตน้ำใจดีนี่แหล่ะ ถึงจะหยาบคายไปหน่อย
    “ยังเจ็บแผลอยู่เหรอ? ทำหน้ายุ่งเชียวเจ้าหนู”
    “Cagalliต่างหากเล่า!”ชั้นสะบัดหางเสียงอย่างหงุดหงิด เรียกอยู่ได้ว่าเจ้าหนูๆ น่ารำคาญ
    เขาหัวเราะหึๆแล้วจึงเปลี่ยนเรื่อง
    “หนีออกจากบ้านมาเพื่อดูละครงั้นเหรอ? ท่าทางบ้านเธอจะเฮี้ยบน่าดูเลยสิ”

    พอพูดถึงเรื่องที่บ้าน ชั้นก็อดที่จะถอนหายใจเฮือกไม่ได้
    “มันแย่ขนาดนั้นเชียว?”
    “คุณไม่เข้าใจหรอก”
    ชั้นพูดเสียงเนือยๆ ให้อยู่คอนแวนต์ชั่วชีวิตยังดีกว่าให้กลับไปเป็นนกในกรงที่บ้านเลย

    “แต่ว่า....เป็นลูกผู้ชายน่ะนะ เค้าจะห้ามเราได้ถึงเมื่อไหร่เชียว อย่ากลัวที่จะทะเลาะกับที่บ้านเชียวหล่ะ” เขาพูดพลางยิ้ม

    ....ยิ้มอ่อนโยนที่....จะว่าไปแล้ว....ไม่รู้ว่าเพราะไม่ค่อยได้เจอผู้ชายหรือยังไง
    แต่ผู้ชายคนนี้....พอยิ้มแล้ว...สวยทีเดียว

    เราไม่ได้สนทนากันมากนัก แต่ก็ไม่รู้สึกอึดอัดอะไร น่าแปลกเสียจริง...แม้ว่าเวลาจะผ่านไปจนชั้นมองเห็นพระอาทิตย์เริ่มจะลับแสง และท้องฟ้าแห่งกรุงลอนดอนเปลี่ยนจากแสงสีแดงส้มไปสู่ท้องฟ้าที่ระบายด้วยแสงสีน้ำเงินของรัตติกาล

    จนกระทั่งรถม้าวิ่งข้ามลอนดอนบริดจ์เข้าสู่ถนนเส้นที่ชั้นเริ่มคุ้นเคยมากขึ้น ชั้นชะโงกหน้าออกนอกหน้าต่างเพราะสะกดกลั้นความดีใจไว้ไม่อยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพอเห็นหลังคาสีแดงของคอนแวนต์

    เพราะเท่ากับว่า วันนี้ชั้นกลับมาได้อย่างปลอดภัย (ถึงจะเจ็บตัวมานิดหน่อยก็เถอะ)
    “จะ...จอดตรงนี้แหล่ะ! ใกล้ถึงแล้ว”
    “หือ? จะลงตรงนี้รึ?”
    “อื้ม!”

    เขาใช้ไม้เท้ากระทุ้งหลังคารถม้าเป็นสัญญาณให้จอด ชั้นก้าวลงมา ในขณะที่สมองเริ่มคิดหาหนทางเข้าไปข้างใน โดยไม่ลืมหันไปมองคนที่เหลืออยู่บนรถ
    “เข้าบ้านระวังๆ อย่าให้ถูกจับได้หล่ะ” เขากล่าวยิ้มๆ
    “รู้น่า เอ้อ...”
    “หือ?”

    ถ้าเป็นสุภาพสตรีถามแบบนี้ คงเสียมารยาทน่าดู แต่...ตอนนี้เป็นเด็กผู้ชายนี่นา คงไม่เป็นไรมั้ง
    “ชั้นจะได้เจอคุณอีกเมื่อไหร่หล่ะ?”
    “อะไรกัน?”เขาหัวเราะหึๆ “กลัวว่าชั้นจะไม่พาไปเจอLacus Clyneตามที่สัญญาเหรอ?”
    “ไม่ใช่อย่างนั้นซะหน่อย!!”
    ชั้นเถียงเสียงสูง หมอนี่กวนจริงๆ กวนมากๆด้วย ไม่น่าพูดดีด้วยเลย!!

    “ถ้าเธอกล้าหนีออกจากบ้านอีกเมื่อไหร่ ก็คงได้เจอกันมั้ง?”เขายกมือขึ้นขยับนิดๆ เป็นเชิงร่ำลา “ไปหล่ะ”
    “อ้าวแล้วกัน!!เดี๋ยวสิ ผู้กอง”พอชั้นเรียกเอาไว้ เขาก็พูดแทรกขึ้น
    “Athrun”

    Athrun?

    “Athrun Zala คำว่าผู้กองน่ะ เก็บไว้ให้พวกที่กรมเค้าเรียกชั้นดีกว่านะ” พูดจบเขาก็ยิ้มให้ชั้นอีกครั้ง ก่อนกล่าวลา “แล้วเจอกัน”

    ชั้นส่งสายตามองตาม จนกระทั่งรถม้าคันนั้นวิ่งออกไปไกลขึ้น...ไกลขึ้น จนลับไปกับกลุ่มรถที่วิ่งขวักไขว่บนถนน
    Athrun….Zala.....ชั้นจะจำชื่อของเขาเอาไว้
    ######################################
  11. whitewing

    whitewing New Member

    EXP:
    120
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    เจ๊ก็กำลังพยายามเข็นอยู่นี่ล่ะค่ะ แฮ่กๆๆ จำสีไม่ค่อยถูก แอบคล้ายๆกัน มึน

    PHASE 4: The Rosetta Roses

    “ไม่ได้เรื่อง!!ที่ครูเค้าสอนไปน่ะ จำบ้างมั๊ย?หา?Stellar!!!”
    เสียงตวาดดังลั่นนั้นทำให้ชั้นต้องหลับตาปี๋ด้วยความตกใจกลัว รู้สึกเหมือนร่างตัวเองกำลังสั่นไหวราวถูกกระชากมาเขย่า หากแท้จริงแล้วชั้นยังคงนั่งอยู่ที่เก้าอี้ไม้ตัวเล็กๆหน้าฮาล์ฟตัวเดิมที่เริ่มจะคุ้นเคยกับมันขึ้นมากแล้ว แต่พอแอบช้อนตาขึ้นมอง ก็พบกับใบหน้าที่กำลังเต็มไปด้วยอารมณ์โกรธของAuel และStingที่กำลังรั้งบ่าของAuelเอาไว้
    “พอแล้วน่าAuel! Stellarก็เล่นได้ดีพอใช้ได้แล้วนี่ ไม่เห็นต้องโกรธขนาดนั้นเลย!”
    “พอใช้ได้? นายพูดอะไรออกมาน่ะSting?? ลองยัยนี่ออกไปเล่นแบบนี้ ก็ได้ขายหน้าคณะเราพอดีสิ!!”

    คำพูดของAuelทำให้ชั้นยิ่งอยากจะห่อตัวเองให้เล็กที่สุดเท่าที่จะทำได้ คิดว่าถ้าตัวเองหายไปจากที่ตรงนั้นได้เลยก็คงดี
    Stingมองชั้นนิดนึงด้วยท่าทีไม่สบายใจ แล้วจึงเอ็ดAuelที่กำลังโกรธจัดต่อไปว่า
    “หัวหน้าคณะยังไม่เคยพูดซักคำนะAuelว่าจะให้Stellarขึ้นเล่นบนเวทีด้วยน่ะ เด็กตัวกะเปี๊ยกอายุแค่10กว่าขวบเนี่ยนายจะไปเอาอะไรด้วยนักหนาฮ๊ะ?”

    Auelชะงักไปนิดหนึ่ง แล้วหันกลับมาจ้องชั้นเขม็ง ชั้นหลบสายตาวูบ รู้สึกว่าหนาววาบไปทั้งตัวจนต้องสั่น
    “มาอยู่ที่นี่.... ก็ต้องสำนึกถึงข้าวแดงแกงร้อนที่คณะเค้าเลี้ยงดูเรา ทำตัวให้เกิดประโยชน์บ้าง ไม่ใช่มาอยู่เกะกะขวางมือขวางเท้าคนอื่นเค้า!!” เสียงที่กล่าวนั้นเน้นเข้ม ขอบตาของชั้นเริ่มร้อนผ่าว ขอบปากสั่นระริกด้วยความรู้สึกหวาดกลัวจับหัวใจ

    ...ชั้นกลัว.....
    ไม่ได้กลัวคนๆนี้ แต่กลัวว่าจะไม่ได้อยู่ที่นี่อีก
    กลัว.....

    “Auel!!!เกินไปแล้วนะ!!”
    “เสียงดังจังเลย เกิดอะไรขึ้นเหรอจ๊ะ?”
    น้ำเสียงใสๆดังขึ้นซ้อนเสียงของSting ชั้นเงยหน้าขึ้นมองแล้วก็ต้องยิ้มออกมาด้วยความโล่งอกล้นพ้น

    “คุณหนูLacus!!”
    AuelกับStingร้องขึ้นพร้อมกัน คุณหนูLacus Clyneผู้เป็นนักร้องดังและหุ้นส่วนของโรงละคร ก้าวเข้ามาพร้อมสีหน้ายิ้มแย้มในชุดกระโปรงผ้าไหมสีครีมปักลายเถากุหลาบสีแดงยาวกรอมพื้น หล่อนแขวนร่มกับที่แขวนเสื้อโค้ทพลางส่งยิ้มทักทายทุกคนที่อยู่ในห้องซ้อมดนตรี
    “สวัสดีค่ะทุกคน ขยันกันจังเลยนะ”
    ทุกคนรับคำกันพร้อมเพรียง ทั้งพวกที่กำลังซ้อมเต้น พวกที่กำลังซ้อมดนตรีและคอรัส หากยกเว้นชั้นคนเดียวที่ยังไม่กล้าจะทำเช่นนั้น

    “เอ้า! กลับไปทำงานของตัวเองต่อกันได้แล้ว เดี๋ยวคุณหนูLacusก็ต้องซ้อมร้องเพลงเหมือนกัน” ขณะที่ผู้จัดการคณะที่ชื่อคุณDacostaกล่าวบอกกับพวกเราเช่นนั้น คุณหนูLacusก็เดินมาหาพวกเราสามคน หล่อนยิ้มอ่อนโยนขณะที่เอ่ยกับSting
    “เป็นยังไงบ้างจ๊ะ? เพลงใหม่ยากมั๊ย?”
    “นิดหน่อยครับ แต่ก็เต็มที่ครับคุณหนู”
    “ดีแล้วจ้ะ StingกับAuelมีพรสวรรค์อยู่แล้ว กลุ่มเครื่องสายน่ะได้รับเสียงชื่นชมมากเลยนะในการแสดงคราวที่แล้ว โดยเฉพาะเสียงไวโอลินเพลงเศร้าในฉากที่มิเดียสำนึกผิดตอนนั้นน่ะ บาดใจคนที่ได้ฟังมากเลยรู้มั๊ย?”ท้ายประโยคหล่อนหันไปพูดกับAuel เขาทำท่ากระดากอายพูดอะไรไม่ออก ดูเหมือนจะเขินมากทีเดียว ซึ่งเป็นท่าทีที่Auelคนนี้ไม่ค่อยจะมีให้คนอื่นเห็นทำใดนัก

    เพราะทั้งAuelและStingมักจะมีความมั่นใจทุกครั้งที่จับเครื่องดนตรี ….ไม่เหมือนกับชั้น....

    “จริงจังกับสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่เป็นสิ่งดีนะจ๊ะ Auel....แต่ ดนตรีน่ะก็เหมือนสายไวโอลินของเธอนั่นแหล่ะ ถ้าสายมันตึงมากเกินไป ก็อาจจะขาดได้นะ ระวังในจุดนี้ด้วยนะจ๊ะ”
    Auelพยักหน้ารับคำ สีหน้าเขาดูผิดหวังนิดๆ แต่เพราะอะไรชั้นก็ไม่ค่อยจะเข้าใจ

    “Sting! Auel!!” เสียงผู้จัดการคณะเรียกทั้งสองคนดังขึ้น “มารวมกลุ่มซ้อมกับวงใหญ่ได้แล้ว!!!”
    StingสะกิดAuelที่กำลังมีสีเบื่อหน่ายเมื่อได้ยินคำว่า “ซ้อมกับวงใหญ่” คุณหนูLacusพยักหน้าให้นิดๆขณะที่กล่าว
    “ไปเถอะจ้ะทั้งสองคน ตั้งใจให้มากๆนะ”
    พอAuelกับStingไปแล้ว ก็เหลือชั้นที่ยังนั่งอยู่ที่เก้าอี้ตัวเดิมกับคุณหนูแค่สองคน

    “ว่าไงจ๊ะ? Stellar เกลียดฮาล์ปแล้วเหรอ?” น้ำเสียงนั้นทอดถอนอย่างอ่อนโยน ชั้นยังก้มหน้างุดขณะตอบแผ่วเบา
    “เปล่าค่ะ....”
    “อย่าโกรธAuelเค้าเลยนะ เค้าคงอยากให้Stellarได้ขึ้นเล่นบนเวทีด้วยเร็วๆถึงได้พูดแบบนั้น แสดงว่าเค้าเองก็อยากได้ยินเสียงฮาล์ปเพราะๆจากStellarเหมือนกันนะ”ฝ่ามือนุ่มและมีกลิ่นหอมอ่อนๆกุมมือของชั้นไว้เบาๆ

    “คราวหน้าถ้าหมวดAsukaมาเยี่ยม ลองเล่นเพลงนี้ให้เค้าฟังด้วยดีมั๊ยจ๊ะ? เค้าต้องชอบแน่ๆเลย”

    ถ้าไม่ได้มาอยู่ที่นี่....ก็คงไม่ได้รู้จักกับความอ่อนโยนเช่นนี้ พอคิดมาถึงตรงนี้ ขอบตาชั้นก็เริ่มจะร้อนขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้ไม่ได้เกิดจากความกลัว แต่เพราะ.....สัมผัสนี้

    “มาลองพยายามกันใหม่นะ? คราวนี้ชั้นจะร้องเพลงคลอไปด้วย นะจ๊ะ” หล่อนปล่อยมือจากชั้น แล้วเขยิบเก้าอี้มานั่งใกล้ๆ

    ชั้นรู้สึกว่า มือของตัวเองเริ่มจะมีเรี่ยวแรงพอที่จะกรีดลงบนเส้นสายของฮาล์ปอีกครั้ง
    ##################################
    ดิชั้นเฝ้ามองแม่หนูน้อยผมทองยกมือเล็กบางขึ้นกรีดเส้นเสียงบนสายฮาล์ป และบรรเลงบทเพลงออกมาอย่างตั้งอกตั้งใจ แม้เสียงจากสายพิณเหล่านั้นจะยังแฝงความรู้สึกไม่มั่นคงเมื่อแรกได้ยิน แต่แล้วก็เริ่มลื่นไหลไปตามท่วงทำนองของดนตรีที่อ่อนโยนและแฝงด้วยความรู้สึกเศร้าสร้อยลึกๆของผู้บรรเลง

    ดิชั้นเอื้อมมือไปแตะที่บ่าน้อยๆของStellarก่อนหลับตาลง แล้วจึงขยับริมฝีปากเพื่อเอื้อนเอ่ยบทเพลงคลอเสียงหวานเศร้าของเสียงพิณนั้น


    “Smile… though your heart is aching
    Smile eventhough it's breaking
    When there are clouds in the sky you'll get by
    If you smile through your fear and sorrows
    Smile and maybe tomorrow
    You'll see the sun come shining through for you

    Light your face with gladness
    Hide every trace of sadness
    Although a tear maybe ever so near

    That's the time you must keep on trying
    Smile what's the use of crying
    You'll find that life is still worthwhile
    If you just smile

    That's the time you must keep on trying
    Smile what's the use of crying
    You'll find that life is still worthwhile
    If you just smile......”
    [Special Credit for ‘Smile’ Original by Frank Sinatra]

    นิ้วเล็กๆกรีดลงบนสายพิณแผ่วลงๆ จนนิ่งลงในที่สุด แม่สาวน้อยเจ้าของฮาล์ปเงยหน้าขึ้นมาสบตากับดิชั้น ดวงตาสีลูกหว้าฉายประกายสดใสมากขึ้นกว่าก่อน ดิชั้นยิ้มให้ขณะที่ลูบศีรษะของหล่อนเบาๆ
    “เก่งขึ้นมากแล้วนี่จ๊ะStellar หือ?”

    รอยยิ้มบนแก้มแดงปลั่งของแม่หนูปรากฏขึ้น แกรีบหันไปหาAuleกับStingที่กำลังจะเริ่มซ้อมไวโอลินกับเชลโล่ Stingยิ้มแล้วพยักหน้าให้จากที่ไกลๆ ส่วนAuelถึงจะทำไม่รู้ไม่ชี้ แต่ก็ดูจะทำให้Stellarดีใจมากทีเดียว ดิชั้นอดยิ้มตามไม่ได้ ขณะนั้นเองก็มีเสียงตบมือดังขึ้นจากข้างหลัง พร้อมกับเสียงใหญ่ห้าวแฝงความอารมณ์ดี

    “ไพเราะมาก ไพเราะจริงๆ”
    “Mr. Walfeld”

    ดิชั้นเรียกชื่อของเขาอย่างคุ้นเคย เนื่องจากคนๆนี้เป็นสหายเก่าของคุณพ่อ Mr. Andrew Walfeldเป็นชายวัย30ตอนปลายร่างสูงใหญ่ ผิวคล้ำเข้มอย่างคนทำงานกลางแจ้ง บนใบหน้าคมสันของเขานั้นมีรอยแผลเป็นเป็นรอยยาวพาดจากเหนือคิ้วซ้ายลงไปถึงกลางแก้มจากอุบัติเหตุสมัยทำงานให้กองทัพของเครือจักรภพก่อนจะเกษียณตัวเองมาทำธุรกิจเกี่ยวกับเรือเดินสมุทร
    เป็นคนที่ดูจากภายนอกแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะมีความสนใจในเรื่องละเอียดอ่อนเช่นศิลปะการแสดง หรือเสียงเพลงใดๆ หากเขาก็เป็นผู้ก่อตั้งโรงละครของพวกเรา ทั้งยังสนอกสนใจปลีกตัวมาดูแลบรรดาเด็กๆในคณะบ่อยๆด้วย ทั้งที่งานหลักของเขาก็ออกจะยุ่ง

    เขาส่งยิ้มให้Stellar ดวงตาสีเหล็กนั้นเหลือเพียงดวงเดียวหากก็ฉายความอารียิ่งนัก มือใหญ่หยาบกร้านวางลงบนศีรษะของสาวน้อยโยกไปมาเบาๆ
    “อีกหน่อยต้องเก่งกว่านี้แน่ๆ ขยันๆเข้าหล่ะแม่หนู”
    Stellarหลับตาปี๋แล้ววิ่งจู๊ดมาหลบข้างหลังของดิชั้น แกคงยังไม่ค่อยคุ้นกับคุณWalfeldเท่าไรนักจึงยังกลัวอยู่ขณะที่เจ้าของโรงละครร่างใหญ่หัวเราะลั่นอย่างคนอารมณ์ดี
    “โทษทีๆ เสียมารยาทกับเลดี้น้อยๆไปแล้วสิเนี่ย”

    ดิชั้นรุนหลังStellarให้นั่งกับเก้าอี้ข้างกายเบาๆ แล้วเอียงคอถามแก
    “จำคุณWalfeldไม่ได้เหรอจ๊ะ? เจ้าของโรงละครไง”
    Stellarพยักหน้าเบาๆ ตาสีลูกหว้ายังหลบอยู่ใต้แพขนตา “จำได้ค่ะ...”
    คุณWalfeldหัวเราะหึๆ แล้วโบกมือไปมา “ไม่เป็นไรๆ ไอ้ผมมันตัวใหญ่นี่นะ เด็กมันจะกลัวก็เรื่องปกติแหล่ะ” เขานั่งลงบนเก้าอี้ติดกับดิชั้น “แต่เป็นเสียงฮาล์ปเพราะมากเลยนะ ขึ้นแสดงเดี่ยวได้เลยนี่”

    ดิชั้นคลี่ยิ้มออกมาอย่างดีใจกับคำพูดที่ได้ยิน รีบหันไปกล่าวกับแม่หนูผมทองตัวเล็กทันที
    “เห็นมั๊ยจ๊ะ? ถ้าตั้งใจก็ต้องทำได้อยู่แล้ว”
    ดวงหน้าเล็กๆแดงปลั่งขณะที่ส่ายหน้าแล้วจึงเงยหน้าขึ้นบอกกับดิชั้น
    “เพราะว่าเพลงที่ร้องเพราะ…”

    ดิชั้นรู้สึกแปลกใจที่ได้ยินคำนั้นจากแม่หนูน้อย
    “เพลงนี้เพราะ....Stellarชอบ” เสียงเล็กๆนั้นบอกกับดิชั้น

    ดิชั้นไม่ใคร่แน่ใจนักว่า นี่เป็นครั้งแรกที่แกพูดถึงความรู้สึกของตัวเองให้คนอื่นได้ฟังหรือเปล่า หากกระนั้นก็ยังรู้สึกว่าเป็นเรื่องน่ายินดียิ่งนัก
    “อยากร้องบ้างมั๊ยจ๊ะ?”
    เจ้าของเสียงฮาล์ปเมื่อครู่รีบพยักหน้ารับ ดิชั้นวางหนังสือเพลงลงบนแท่นวางโน้ตแล้วเปิดหาเนื้อเพลงเมื่อครู่
    “ถ้าเราอยากจะร้องเพลงได้เพราะ ก็ต้องทำความเข้าใจกับความหมายของเพลงเสียก่อนนะจ๊ะ นี่ไงเจอแล้ว ไหนลองอ่านออกเสียงให้ชั้นฟังหน่อยสิจ๊ะ”

    แต่เมื่อดิชั้นหันกลับไปชวนแม่หนูตัวน้อย กลับพบว่าแกมองตัวหนังสือที่เรียงรายอยู่บนหน้ากระดาษแล้วจึงหลบดวงตาสีลูกหว้าหวานแกมโศกนั้นลงต่ำ

    “Stellar?”
    ร่างเล็กๆนั่งนิ่ง แต่ก็สั่นเล็กๆเหมือนอยากจะบอกอะไรบางอย่างกับดิชั้น แต่ก็กลัวเกินไปที่จะพูด Mr. Walfeldเลิกคิ้วนิดๆ ชั้นได้ยินเสียงของเขาพึมพำว่า

    “นี่นอกจากสอนให้เล่นฮาล์ปแล้ว....ยังไม่มีใครสอนภาษาอังกฤษให้เด็กนี่เลยสิท่า?”
    #####################################

    ดิชั้นและเจ้าของโรงละครร่างใหญ่นั่งดูการซ้อมดนตรีวงใหญ่จากที่นั่งติดเวที เสียงเพลงกระหึ่มดังขึ้นอย่างองอาจ ทรนงราวราชสีห์ก่อนค่อยคลายสรรพสำเนียงให้ล่องลอยพลิ้วไหว หวานตรึงใจด้วยเสียงอันโดดเด่นของไวโอลินและเชลโล แกมเสียงแผ่วเบาหวีดหวิวของฟลูตบาดหัวใจ

    “เพลงOverture (โหมโรง) ของโอเปร่าเรื่องใหม่สินะ....”
    “La Farfalla Di Scarlet (ผีเสื้อสีเลือด) น่ะค่ะ จากนิยายในยุคของอิตาลีโบราณ เรื่องเกี่ยวกับเจ้าหญิงสูงศักดิ์ที่เข้าไปพัวพันกับการแก่งแย่งอำนาจในราชสำนักโดยที่ไม่ตั้งใจ สุดท้ายก็กลายเป็นหุ่นเชิดของผู้ชายที่ตัวเองหลงรัก”
    “ลงเอยแบบโศกนาฏกรรมเหรอ?”
    “ค่ะ ส่วนเรื่องของตัวผู้แสดงที่ถูกวางเอาไว้นั้น.....”

    ทั้งๆที่ยังอยู่ระหว่างการสนทนาในเรื่องงาน แม้กระนั้น ดิชั้นก็ยังอดที่จะทอดสายตาไปยังเด็กๆที่อยู่หลังเวทีการแสดงไม่ได้ สาวน้อยStellarวัยเพียง12ปีนั่งที่เก้าอี้ไม้ตัวเล็กมุมห้อง ฮาล์ปที่ดิชั้นมอบให้แกตั้งแต่เมื่อแรกรับมาอยู่ที่นี่ ดูจะเป็นเพื่อนเล่นอย่างเดียวที่แกสนิทสนมด้วยยามที่ไม่มีพวกของAuelและStingอยู่ด้วย

    “เพลงๆนี้....มันก็เพราะดีหรอกนะ แต่เหมือนขาดๆอะไรไปไม่รู้” Mr. Walfeldลูบคางที่สากด้วยรอยเคราจางๆอย่างใช้ความคิด ก่อนพูดขึ้น “ถ้ามีเสียงใสๆของฮาล์ปเพิ่มเข้าไปท่อนเครื่องสายด้วย มันน่าจะหวานขึ้นนะ”
    พูดจบเขาก็หันมากล่าวกับดิชั้นต่อ
    “ตั้งแต่วันที่เด็กStellarนั่นมาอยู่ที่นี่ ก็เกือบจะครบสามเดือนแล้วสินะ”
    “ค่ะ ไวจังนะคะ....”ดิชั้นกล่าว หากแท้จริงรู้สึกราวกับว่ากำลังบอกตนเองเช่นนั้นอยู่

    ภาพในวันที่ผู้หมวดShin Asukaอุ้มร่างเล็กๆที่สั่นเทานั้นมาขอพบที่โรงละครตอนกลางดึกย้อนกลับมา

    ดิชั้นไม่เคยลืมดวงตาสีลูกหว้าที่ดูว่างเปล่าเลื่อนลอยและบางครั้งก็ตื่นกลัวของแม่หนูน้อยเลย
    ....แววร้าวรานจากความทุกข์ที่ซ่อนอยู่ใต้ขนตายาวๆนั่น....ราวกับไม่ใช่ดวงตาของเด็กน้อยอายุแค่12ปี

    “เทียบกับเมื่อสามเดือนที่แล้ว คิดว่ายังไงบ้างหล่ะ?” Mr. Walfeldถามขณะที่การซ้อมดนตรีบนเวทีก็ยังดำเนินต่อไป
    “พอได้รู้จักเสียงดนตรี ดูเค้าเรียนรู้ที่จะพูดคุยมากขึ้นน่ะค่ะ” ชั้นตอบ ขณะที่มองดูStellarกำลังไล้นิ้วไปตามสายฮาล์ปอยู่คนเดียว

    “สมกับเป็นคุณหนูนะ ตาถึงจริงๆที่เลือกฮาล์ปให้เด็กนั่นเรียน เพราะปรากฏว่าเจ้าตัวเล่นได้ดีเสียด้วยสิ”
    “มิได้ค่ะ เพียงแต่....”
    คำพูดขาดหายไปเมื่อดิชั้นนึกถึงภาพมือผอมบอบบางที่เต็มไปด้วยบาดแผลของแม่หนูน้อย

    “คุณหนู?”
    “ดิชั้น...เกรงว่า แกจะฝังใจกับแผลที่มือพวกนั้นไปตลอดชีวิตเท่านั้นเอง”ดิชั้นตอบเบาๆ

    พยายามจะรักษาความทรงจำเกี่ยวกับบาดแผลที่มือน้อยๆนั้น.....เปลี่ยนมือเล็กที่เคยถูกเฆี่ยนตีอย่างทารุณไปเป็นมือที่สร้างสรรค์เสียงอันไพเราะของบทเพลง
    “ก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะว่าจะได้ผลมากแค่ไหน?” ชั้นพยายามยิ้มให้กำลังใจตัวเอง

    Mr.Walfeldจุดไปป์ขึ้นสูบ ก่อนกล่าว
    “3เดือนเทียบกับระยะเวลายาวนานเป็นสิบกว่าปีที่เด็กโตขึ้นมาในบ้านหลังนั้น ก็ถือว่ามันยังน้อยอยู่นะคุณหนู”
    ดิชั้นฟังนิ่งๆ มิได้กล่าวตอบว่าอะไร
    “ที่สำคัญ เด็กนั่นก็ต้องเข้มแข็งพอที่จะต่อสู้กับความทรงจำพวกนั้นด้วยตัวเองด้วยแหล่ะ”

    Stellarเอนศีรษะพิงกับตัวฮาล์ปขณะที่ดวงตาจ้องมองขึ้นไปบนเวที ผ่านความวุ่นวายของพวกนักเต้นที่กำลังซ้อมอยู่ใกล้ๆ ดิชั้นละสายตามาที่เจ้าของคณะละคร ก่อนจะตัดสินใจเอ่ย
    “Mr.Walfeldคะ ดิชั้นอยากจะ....”
    หากยังกล่าวไม่จบ เสียงใหญ่ห้าวก็ขัดขึ้น
    “ฮ้า....! อย่ามาอ้อนน่า ชั้นรู้นะว่าจะขออะไร คราวนี้ไม่สำเร็จหรอก”
    นั่นทำให้ดิชั้นต้องนิ่วหน้าอย่างขัดใจ
    “ดิชั้นยังไม่ได้พูดว่าอะไรเลยนะคะ”
    “ไม่ต้องพูดเลย คุณหนูก็รู้เรื่องสถานการณ์ทางการเงินของโรงละครดีไม่ใช่เหรอ? จะให้จ้างGovernessแพงๆมาสอนหนังสือเด็กนั่นอีกเนี่ย สงสัยชั้นคงจะเซ็นอนุมัติให้ผ่านไม่ได้หละนะ” เขากล่าวเสียงเครียดพลางเคาะเถ้าจากกล้องไปป์ลงบนที่เขี่ยบุหรี่

    ดิชั้นหลบตาต่ำลงมองมือตัวเองที่ประสานอยู่บนตักขณะคิดถึงสิ่งที่เจ้าของโรงละครร่างใหญ่กล่าว จริงอยู่ว่า…Rosettaนั้นมีแขกที่เข้ามาชมการแสดงเนืองแน่นในทุกรอบการแสดง ไม่ว่าจะเป็นละครร้อง โอเปร่า หรือการแสดงดนตรีก็ตามล้วนแต่ได้รับความนิยมล้นหลาม หากเมื่อเร็วๆนี้สิ่งที่เกิดขึ้นคืออัตราค่าเช่าที่ดินพุ่งสูงขึ้นหลายเท่าตามความนิยมที่โรงละครได้รับ จนแทบจะกล่าวได้ว่า.... เกือบครึ่งของรายได้ในแต่ละเดือนที่โรงละครได้รับ ต้องเสียไปกับค่าเช่าที่ดินราคาแพงมหาศาล ทั้งๆที่เรายังต้องรับผิดชอบลูกจ้างอีกหลายชีวิตแท้ๆ

    แม้ว่าจะมีการเจรจาจากผู้ประกอบกิจการหลายรายในเขตนี้กับเจ้าของที่ดินบ่อยครั้ง แต่ดูเหมือนว่า....ข้อเรียกร้องใดๆก็ตาม จะได้รับการปฏิเสธเสียทุกครั้ง

    หากมีเงื่อนไขอยู่หนึ่งข้อที่ท่านเจ้าของที่ดินเสนอไว้ระหว่างการเจรจาทางธุรกิจกับMr.Walfeld
    และเป็นเงื่อนไขที่ไม่อาจทำใจยอมรับได้

    “....นี่ถ้าดิชั้น....ยอมไปรับประทานอาหารค่ำกับท่านบารอนAllsterตามข้อเสนอเสียตั้งแต่แรก....อะไรๆก็คงง่ายขึ้นนะคะ...”
    ดิชั้นพึมพำราวกับบอกตัวเองอยู่เบาๆ พอMr.Walfeldเห็นเช่นนั้นก็ถอนใจเฮือก
    “เฮ่อ!! อย่าพูดแบบนั้นน่า คุณหนูก็รู้อยู่แล้วว่าถึงคุณจะยอมไปกับไอ้บารอนนั่น พวกเราก็จะไปตามลากตัวกลับมาจนได้อยู่ดี”
    เขาทำเสียงพูดเหมือนรำคาญ แต่แฝงความเมตตาอยู่ในน้ำเสียงนั้น
    “ถ้าไม่ติดว่าเมียผมที่ตายไปอยากให้สร้างโรงละครบนที่ดินตรงนี้ ผมจะไม่ง้อไอ้บารอนหน้าเลือดนั่นเลย! หน้าเลือดไม่พอ มันยังหัวงูอีกต่างหาก” ท้ายประโยคเขาทำเสียงบ่นงึมงำๆเหมือนหมีกินผึ้ง จนดิชั้นอดหัวเราะไม่ได้

    เสียงกระหึ่มของบทเพลงโหมโรงของโอเปร่าเรื่องใหม่จบลง เราทั้งสองคนปรบมือให้กับเหล่านักดนตรีและวาทยากรบนเวที ดิชั้นลอบมองใบหน้าเข้มขรึมด้วยรอยหนวดเคราจางๆของMr.Walfeldอย่างรู้สึกชื่นชมอยู่ในใจ

    จะมีนักธุรกิจซักกี่คนหนอที่เหมือนเขาคนนี้ คนที่พร้อมจะรักษาและสร้างสรรค์ศิลปการแสดงแขนงนี้ให้ดำรงอยู่ต่อไป ทั้งที่รู้ว่าการลงทุนกับโรงละครนั้น ไม่ใช่เงินน้อยๆ

    ดิชั้นมองไปที่ภาพเขียนสีน้ำมันที่แขวนอยู่บนผนังซีกซ้ายของโรงละคร ภาพของภริยาแสนสวยผู้ล่วงลับของคุณWalfeldนั่งอยู่บนเก้าอี้ในชุดราตรีผ้าไหมสีน้ำเงินครามดูสวยสง่า เธอคนนั้นราวกับกำลังส่งยิ้มอ่อนโยนจากริมฝีปากสีกุหลาบมายังดิชั้น
    ....ราวกับเธอกำลังบอกว่า ไม่ให้ยอมแพ้เพียงเท่านี้กระนั้น....
    ############################################
  12. whitewing

    whitewing New Member

    EXP:
    120
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0

    แต่ว่าสุดท้าย.....ก็กล่อมให้คุณWalfeldยอมจ้างGovernessมาให้สอนหนังสือStellarไม่สำเร็จอยู่ดี…

    ดิชั้นถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างเหนื่อยหน่ายขณะที่รินน้ำชาร้อนกลิ่นมะนาวลงในถ้วยชากระเบื้องเตรียมให้คุณพ่อเพื่อตบท้ายอาหารค่ำของเราสองคนพ่อลูก
    คุณพ่อเงยหน้าขึ้นจากหนังสือพิมพ์แล้วจึงถาม “ทำหน้ายุ่งเชียวLacus? มีอะไรหนักใจเหรอลูก?” ท่านอมยิ้มขำๆขณะที่แกล้งเย้าลูกสาวคนเดียว “หรือว่า....อีตาบารอนจอมตื๊อนั่นส่งของขวัญมาให้อีก? เอ๊ะ? หรือว่าผู้กองZalaมาชวนไปไหน? ”
    ดิชั้นไม่รอให้คุณพ่อล้อจนจบก็ตัดสินใจพูดขึ้นมาเสียก่อน
    “ไม่ใช่ทั้งนั้นหล่ะค่ะคุณพ่อ คุณพ่อก็ชอบล้อลูกเล่นเรื่อย....”

    ผศ.ดร.Clyne คุณพ่อของดิชั้นส่ายหน้าพลางกลั้นหัวเราะหึๆ ท่านยกชามะนาวร้อนๆขึ้นจิบขณะที่มองดิชั้นนั่งลงบนเก้าอี้บุผ้านวมตัวโปรด เจ้าHalo สุนัขพันธุ์พุดเดิ้ลสีขาวปลอดแสนน่ารักที่Athrunให้เป็นของกำนัลแก่ดิชั้นเมื่อคริสต์มาสที่แล้วทำเสียงงี๊ดง๊าดเบาๆ ขณะที่กระโดดตุบขึ้นมานอนหมอบอยู่บนตักของดิชั้น
    “แน้~~Halo!” ดิชั้นหัวเราะพลางลูบขนปุยสีขาวของมันอย่างเบามือ

    เล่นกับเจ้าหมาน้อยได้ครู่เดียว ดิชั้นก็ดึงตัวเองให้จมกับปัญหาเดิมๆอีกจนได้
    “....เรื่องเด็กStellarน่ะค่ะคุณพ่อ”
    “เรื่องที่อยากให้เรียนหนังสือน่ะเหรอ? เออ ใช่ พ่อก็ไปคุยๆกับพวกเพื่อนๆครูด้วยกันให้บ้างแล้วหล่ะนะลูก แต่....ดูเหมือนจะเป็นไปได้ยากหน่อย” คุณพ่อพับหนังสือพิมพ์ลงวางบนโต๊ะ
    “? อ้าว?ทำไมหล่ะคะ?”
    “แล้วหนูบอกพ่อว่า เรามีงบให้แค่3ปอนด์ต่อเดือนนี่มันกระจอกมากเลยนะลูก พอเทียบกับสอนที่มหาวิทยาลัยอย่างเดียวมันไม่ดีกว่าเหรอ? แถมยังเป็นเด็กผู้หญิง พ่อพูดจริงๆว่า พวกครูผู้ชายที่สนใจอยากให้ผู้หญิงมีความรู้ด้านวิชาการบ้างน่ะสมัยนี้ยังหายากอยู่มากทีเดียว ความเชื่อที่ว่า”ถึงสอนหนังสือให้ไป สุดท้าย พอแต่งงานออกเรือน พวกหล่อนก็ไม่ได้เอาวิชาความรู้ไปใช้อยู่ดี และเป็นเรื่องเสียเวลาเปล่า”นั้นมันทำลายยากนะลูก ในสังคมที่ชายเป็นใหญ่เช่นนี้น่ะ”

    คำอธิบายของคุณพ่อทำให้ดิชั้นต้องนิ่งคิดมากยิ่งขึ้น
    “ตัวลูกเอง.... ถ้าไม่ได้มีงานมากมายต้องรับผิดชอบเช่นนี้ก็อยากจะสอนหนังสือให้เค้าเองเหมือนกันค่ะ ถ้าแค่เรื่องภาษาอย่างเดียวนั้นไม่มีปัญหาหรอกค่ะ แต่แค่นั้นมันคงไม่พอใช่มั๊ยคะคุณพ่อ? ลูกเพียงแต่....ไม่คิดว่าStellarจะต้องใช้ชีวิตทั้งชีวิตอยู่ที่โรงละครไปตลอดชีวิต ซักวัน.... ถ้าเค้าต้องออกไปดำเนินชีวิตด้วยตัวเองเพียงลำพัง เค้าจะเอาตัวรอดได้อย่างไรคะ? การไม่มีความรู้เท่าทันใดๆติดตัว สุดท้ายก็ไม่อาจพ้นการตกเป็นเหยื่อของผู้ไม่หวังดีอื่นๆได้.....”
    ภาพของเด็กตัวเล็กๆไร้เดียงสาถูกทารุณทุบตีทั้งทางร่างกายและจิตใจมานับสิบปี นึกถึงมันขึ้นมาทีไร....ดิชั้นก็อดรู้สึกเจ็บใจในความไม่เท่าเทียมกันของสังคมโลกไม่ได้ทุกครั้งไป
    “ลูกไม่อยากให้.... วงจรเดิมๆนั่นเกิดขึ้นกับเด็กคนนี้หรือคนไหนอีกเลยค่ะคุณพ่อ….”

    “Lacus….”คุณพ่อวางมือลงบนศีรษะของดิชั้นเบาๆ เช่นทุกครั้งที่ต้องการปลอบโยน

    หากทำได้.....ในอนาคต ดิชั้นปรารถนาเหลือเกินที่จะให้แม่หนูน้อยผู้มีดวงตาแสนโศกคนนั้นได้รู้จักกับความอบอุ่นของหัวใจ รวมทั้ง....สามารถเป็นพลังนั้นให้ผู้อื่นได้บ้าง....: ซักวันหนึ่ง......
    #######################################

    ไม่ได้เข้ามาที่คณะนี้เสียนาน.....ผมคิดขณะที่เดินไปตามทางเดินโรยกรวดที่ทอดยาวไปถึงตึกสูง2ชั้นซึ่งก่อด้วยอิฐสีแดงของคณะนิติศาสตร์ ด้วยจุดประสงค์ที่ว่าตั้งใจจะนำต้นฉบับที่ต้องลงคอร์ลัมน์ของวารสารของมหาวิทยาลัยมาส่ง แล้วจะเลยมาเยี่ยมดร.Clyneด้วย

    และผมก็....เพิ่งจะค้นหนังสือที่อยากให้Miss Clyneได้อ่านเจอจากชั้นหนังสือที่ห้องทำงานด้วยพอดี

    แต่สงสัยจังว่า....ดร.Clyneจะตีความการกระทำของผมว่าเป็นเช่นเดียวกับบรรดาสุภาพบุรุษทั้งหลาย ต่างนำของกำนัลมามอบแก่บุตรสาวของท่านเช่นนั้นหรือไม่?

    แต่ก็ช่างมันเถอะ! ก็....ผมก็แค่....ลืมดวงตาสีฟ้าครามระยิบระยับยามเราพูดคุยกันถึงวรรณกรรมดีๆทั้งหลายนั้นไม่ได้เท่านั้นเอง

    .....คิดไปคิดมา.....ก็ชักจะสับสนกับความรู้สึกของตัวเองแล้วสิ?

    ผมทำหน้ายุ่งด้วยความคิดที่วนไปวนมาในสมองแบบนั้นนานเท่าใดไม่รู้ จนกระทั่งได้ยินเสียงทักทายของผู้สูงวัยกว่าดังขึ้น
    “อ้าว! อาจารย์Yamato!! แหม!มาก่อนเวลาอีกนะครับ ขยันจริง”

    ผศ.ดร.Siegel Clyneเดินตรงมาหาผมขณะที่มือข้างหนึ่งของท่านหอบแฟ้มเอกสารหนาปึ้กมาด้วย คาดว่าคงเป็นบรรดารายงานและการบ้านของลูกศิษย์ที่เพิ่งส่งมากระมัง ผมเลิกหมวกออกพลางโค้งทำความเคารพ
    “สวัสดีครับ ดร.Clyne”
    “เอ้าเชิญๆ! เข้ามานั่งทานน้ำท่าที่ห้องผมก่อน กว่าการประชุมจะเริ่มก็คงอีกครึ่งชั่วโมงกระมังนั่น” ไม่พูดเปล่า ดร.Clyneยังฉวยมือผมกึ่งลากกึ่งจูงไปยังห้องทำงานของท่านอีกด้วย

    ผมนึกขำอยู่ในใจ อุปนิสัยช่างเอาใจใส่คนรอบข้างเช่นนี้ ผมมองออกในทันทีว่า Miss Lacus Clyneคงจะได้รับมาจากบิดาของหล่อนเป็นแน่

    ขณะที่นั่งสนทนาเรื่องต่างๆในห้องทำงานของท่านร้อมกับชาคาโมไมล์อุ่นๆถ้วยเล็ก ผมก็สังเกตเห็นว่าชั้นหนังสือและโต๊ะทำงานเริ่มจะมีของวางรกระเกะระกะอีกแล้ว เจ้าของห้องหัวเราะเก้อๆพลางกล่าวแก้ตัวล่วงหน้าทั้งที่ผมยังไม่ทันพูดอะไร
    “ก็งานผมมันยุ่งนี่นา ทั้งสอนหนังสือ งานของมหาวิทยาลัย ของคณะ ยังมีงานข้างนอกอีก ก็ค้นหนังสืออ่านเสร็จก็วุ่นจนไม่มีเวลาเก็บเข้าที่อีกทุกที”
    “อย่างนี้Miss Clyneไม่โกรธแย่เหรอครับ? เพิ่งจะมาจัดห้องให้ไม่เท่าไหร่เอง”ผมถามขณะพยายามกลั้นหัวเราะคิก ระยะหลังนี้ผมเริ่มจะสนิทสนมกับดร.Clyneมากขึ้นด้วยความที่เป็นบรรณาธิการวารสารของมหาวิทยาลัยร่วมกัน

    ท่านยักไหล่ขณะที่ก้มๆเงยๆเก็บหนังสือที่กระจัดกระจายเข้าชั้นอย่างลวกๆ
    “มาถึงทีไรก็เอ็ดให้ทุกที แต่ก็จัดให้ใหม่ทุกทีเหมือนกันแหล่ะครับ” ท่านเลื่อนกองรายงานและการบ้านของลูกศิษย์มาวางแทนที่หนังสือที่ยังอ่านค้างอยู่ “ดีที่เค้าเก่งงานบ้านงานเรือนเหมือนแม่ของเค้า ถ้าเหมือนผมคงยุ่งแน่”

    เมื่อพูดถึงเจ้าของเรือนผมสีPink Blondแสนหวานคนนั้นขึ้นมา น่าแปลกนัก ยิ่งรู้จักหล่อนมากเท่าไหร่ ข้างในใจผมก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นทุกครั้งไป

    คงเพราะเสียงเพลงอันอ่อนหวานของหล่อนในคืนที่พบกันครั้งแรกในความทรงจำ หรือเพราะดวงตาสีฟ้าครามคู่งามนั้น...?
    หรือเพราะอะไร....?ผมเองก็ยังค้นหาคำตอบนั้นให้กับตัวเองไม่ได้อยู่เช่นนั้น

    ผมส่ายหน้าขณะที่พยายามจะขจัดความคิดเช่นนั้นออกไป น่าละอายนักที่มาคิดถึงลูกสาวของบุคคลที่กำลังนั่งอยู่เบื้องหน้าตนเช่นนี้

    “อาจารย์Yamato ไม่สบายเหรอครับ? เหงื่อแตกเชียวนั่น”
    “อ๊ะ! เอ้อ!!เปล่าครับ ไม่มีอะไรครับ ไม่มีจริงๆ”ผมรีบบอกปฏิเสธเป็นพัลวันก่อนจะรีบเปลี่ยนเรื่องคุย “พูดถึงMiss Clyne วันก่อนที่ได้พบกัน เราคุยกันในเรื่องของวรรณกรรมทางสังคมและการเมืองหลายเรื่อง ดูเธอชอบใจมาก ผมก็เลยสัญญาว่าจะหาหนังสือมาให้อ่าน เอ้อ ....นี่ครับ”
    ผมเปิดกระเป๋าหยิบเอาหนังสือเล่มหนาปกผ้าที่แม้จะเก่าพอดูแล้วแต่สภาพก็ยังดีอยู่ ก่อนเลื่อนส่งให้ดร.Clyneในที่สุด “ถ้าอย่างไร ผมรบกวนท่านฝากไปให้เธอด้วยนะครับ”

    “โอ!” ผศ.ดร.Clyneหยิบหนังสือขึ้นพิจารณาด้วยความสนอกสนใจ “Les Miserables ของVictor Hugo! นี่หายากมากนะ เพราะขายดิบขายดีทีเดียว เจ้าตัวเค้าต้องชอบมากแน่ๆ ขอบคุณอาจารย์แทนLacusด้วยนะครับ” ท้ายประโยคท่านกล่าวด้วยรอยยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดี
    “มิได้ครับ” ผมออกตัว “เพราะMiss Clyneเองเป็นถึงดาวเด่นของคณะละคร งานการของเธอย่อมมีมากมาย ถ้ายังมีความสนใจที่จะศึกษาหนังสือดีๆแล้วหล่ะก็ ผมในฐานะครูก็ยินดีที่จะสนับสนุนนะครับ เอ้อ ถึงเธอจะไม่ได้เป็นลูกศิษย์ของผมก็เถอะ” ผมหัวเราะแก้เก้อในท้ายประโยค หากแล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นดร.ผู้เป็นบิดาของหญิงสาวจ้องตรงมาที่ผมนิ่งๆ

    จนผมอดสงสัยไม่ได้ว่า ที่พูดเมื่อกี๊มีอะไรผิดไปหรือไม่?

    “เอ่อ....ผมพูดอะไรผิดไปหรือเปล่าครับเนี่ย?”
    ทันใดนั้น ดร.Clyneก็โพล่งขึ้นมาด้วยเสียงจริงจัง จนผมตกใจสะดุ้งเฮือก!

    “อาจารย์Yamatoครับ!”
    “คะ...ครับ!”
    แววตาและน้ำเสียงยามจริงจังนั้นทำให้ต้องนึกถึงหล่อนคนนั้น
    เข้าใจแล้วว่า หล่อนถอดแบบนิสัยเช่นนี้มาจากผู้เป็นบิดาแน่นอน

    แล้วผมก็ยิ่งต้องเกร็งสุดตัวเมื่ออีกฝ่ายกล่าวต่อว่า
    “ถ้าเช่นนั้น ผมก็มีเรื่องที่อยากจะขอร้องคุณในฐานะครูคนหนึ่งเหมือนกันครับ”
    “ครับ??”
    ####################################

    ผมไม่ใคร่ได้เข้ามาเยี่ยมเยือนย่านBank Siteแห่งนี้มากเท่าใดนัก ไม่ว่าจะก่อนหน้านี้หรือหลังกลับมาจากปารีสแล้วก็ตาม สถานที่แห่งนี้คราคร่ำไปด้วยโรงละครทั้งแบบที่เปิดแสดงโอเปร่า ละครเวทีธรรมดา ตลอดจนแบบที่มีธุรกิจผิดกฎหมายแอบแฝง ห้างสรรพสินค้าชั้นสูง ร้านอาหารหรูหราที่ผุดขึ้นราวดอกเห็ดตามสภาพเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วจากการปฏิวัติทางอุตสาหกรรม

    ถึงกระนั้น...สิ่งที่สะท้อนอยู่ในดวงตาของผม ณ เวลานี้ กลับมิใช่เพียงความมั่งคั่งที่ได้มาพร้อมกับเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเพียงอย่างเดียวเท่านั้น……

    ในทางตรงกันข้าม สิ่งที่ถูกสะท้อนออกมาในมิติของการพัฒนาอุตสาหกรรมด้วยเครื่องจักรแทนแรงงานมนุษย์ นอกจากความร่ำรวยที่กลุ่มตระกูลของผู้มีอำนาจและนายทุนแล้ว ยังมีภาพของกลุ่มผู้ใช้แรงงานตามการถูกว่าจ้างด้วย
    ซึ่งภาพของคนเหล่านั้น....แม้ในเขตของชนชั้นสูงและผู้มีอันจะกินเยี่ยงBank Site กลับง่ายนักที่จะเห็นพวกเขาตามซอกหลืบต่างๆ

    ดูราวกับว่า ผู้คนในเครื่องแต่งกายชั้นสูง หรูหราและสง่างามที่ล้วนเดินขวักไขว่ตามท้องถนนแห่งนี้ ต่างมีทีท่าราวกับว่า ภาพของผู้ยากไร้ที่แฝงเร้นกายตามมุมถนนและมุมตึกสูงใหญ่ เป็นร่างที่ปราศจากตัวตนใดๆ
    หรือหากแม้พวกเขาจะชายตาเห็นเพียงสักนิด.....เหล่าผู้ใช้แรงงานที่ถูกกดขี่และยากไร้เหล่านั้น ก็คงถูกมองว่าไม่ต่างอะไรกับก้อนกรวดเม็ดทรายที่มีค่าเพียงพอแค่ถูกเดินผ่าน หรือย่ำเหยียบเท่านั้นเอง.....

    ....ราวกับเป็นภาพที่ปรากฏอยู่ในนวนิยายของCharles Dickensเช่นนั้น....

    ผมมองภาพเชิงเปรียบเทียบของชนชั้น ณ ที่แห่งนั้นด้วยความรู้สึกสลดอยู่ในใจลึกๆขณะที่รถม้าแล่นไปจนถึงที่ชุมชนของโรงละคร เมื่อเงยหน้าขึ้นมาจึงพบกับอาคารหินอ่อนสีขาวสะอาดขนาดใหญ่ซึ่งโดดเด่นกว่าโรงละครใดๆในย่านเดียวกัน
    ที่แห่งนี้คือ Rosetta โรงละครที่ลือชื่อที่สุดในช่วง2ปีให้หลังมานี้ เช่นที่ผมได้รับฟังมาก่อนหน้านี้ ตราสัญลักษณ์ดอกกุหลาบงามของคณะละคร....ทำให้ผมประหวัดคิดไปถึงความหมายแฝงแห่งมัน

    Rosetta….ในภาษาอิตาลีหรือ Roseในภาษาอังกฤษ
    ดอกกุหลาบที่สูงค่าสง่างาม...เกินกว่าที่ใครจะเอื้อมมือไขว่าคว้ามาได้อย่างกระนั้นหรือ?

    ผมสวมหมวกขณะที่ก้าวลงจากรถม้า ก่อนทอดสายตามองลอดเข้าไปหลังประตูรั้วเหล็กดัดลวดลายเถากุหลายสะพรั่งอ่อนช้อยราวของจริงที่ถูกปิดสนิท Rosettaในวันนี้ดูเงียบสงบ ปราศจากผู้คนเดินเข้าออกเนื่องจากไม่ใช่วันเปิดการแสดง

    แม้จะไม่เคยมาที่แห่งนี้มาก่อนก็ตาม แต่ผมก็พอจะเอาได้จากค่ำร่ำลือเกี่ยวกับชื่อเสียงและการแสดงอันงดงามยากจะหาคณะละครใดมาเปรียบได้ของคณะละคร บรรดาผู้ชมที่ตีตั๋วเข้ามาชมการแสดงคงล้นหลามโดยแน่แท้ ผมคิดขณะที่เหลือบมองไปที่ป้ายประกาศเวลาเปิดปิดที่รั้วเหล็กดัดหน้าโรงละคร ไม่มียามหรือผู้รักษาความปลอดภัยใดๆสักคนเดียว น่าสงสัยนักว่าโรงละครแห่งนี้รักษาความปลอดภัยของตัวเองได้อย่างไร? ผมคิดขณะที่มองไปรอบๆอย่างผิดหวังที่ไม่เห็นคนในเดินผ่านออกมาเลยแม้คนเดียว

    ดังนั้นผมก็เลยตัดสินใจตะโกนถาม คิดว่าอย่างน้อยตัวเองมีนามบัตรของเธอคนนั้นให้เข้ามาในฐานะของแขกVIP ที่เข้าไปเยี่ยมชมได้ตลอดเวลา น่าจะได้รับการต้อนรับบ้างสิน่า
    “ส...สวัสดีครับ! มีใครอยู่มั๊ยครับ? เอ้อ...ผมมีธุระกับMiss Clyneครับ”

    แต่.....อะไรๆก็ยังเงียบ ไม่มีเสียงตอบใดๆลอดออกมา

    .....กระนั้น ผมก็ต้องหยุดชะงักความคิดที่จะถอยหลัง เมื่อได้ยินเสียงเปียโนและเครื่องสายดังลอดออกมาผะแผ่ว พร้อมด้วยเสียงเพลงหวานใสราวระฆังแก้วที่ไม่เคยเลือนหายไปจากความรู้สึกลึกๆของผม

    “Mizu no naka ni yoru ga yureteru….
    Kanashii hodo shizuka ni tatazumu….
    Midorina sukishibe…
    Utsukushii yoake wo
    Tada matte iraretara…..
    Kirei na kokoro de….

    Kurai umi to sora no mukou ni…..
    Arasoi no nai basho ga aruno to
    Oshiete kureta no wa dare
    Dare mo ga tadori tsukenai….
    Soretomo dareka no kokoro no naka ni

    Mizu no nagare wo shizumete
    Kureru daichi wo uruosu shirabe
    Ima wa doko nimo nakutemo
    Kitto jibun de te ni ireruno….
    Itsumo, itsuka, kitto…..

    Mizu no Akashi wo kono Te Ni
    Subete no honoo wo nomikonde nao
    Hiroku yasashiku nagareru
    Sono shizukesa ni tadoritsuku no
    Itsumo, itsuka, kitto
    ……Anata no te wo tori.......”

    เสียงเพลงที่หล่อนเอื้อนเอ่ยออกมานั้นสะกดให้ผมต้องนิ่งฟังอยู่กับที่ ทำไมกัน? เพราะอะไรกัน เสียงเพลงในวันนี้จึงดูเศร้าสร้อยเสียเหลือเกิน

    ใจหนึ่ง....ผมอยากจะหันหลังกลับไปเสียตอนนี้ เพราะเกรงจะเป็นการรบกวนการฝึกซ้อมของหล่อนและคณะละคร
    แต่เมื่อนึกถึงเรื่องที่บิดาของหล่อนได้อุตส่าห์ไหว้วานผมไว้แล้ว.....สุดท้ายผมก็พบว่าตัวเองตวัดตัวปีนขึ้นไปบนรั้วเหล็กที่คล้องสายยูพ่วงแม่กุญแจและแขวนป้าย “ปิดบริการ”ไว้ตัวใหญ่เบิ้ม หลังจากที่โยนกระเป๋าเอกสารพร้อมเสื้อโค้ทข้ามรั้วไปก่อนหน้านี้เรียบร้อยแล้ว

    แล้วทันทีที่เท้าแตะพื้นหญ้า.....และทั้งๆที่ก่อนหน้านี้มองไม่เห็นใครซักคน ตอนนี้....ผมกลับได้ยินเสียง...เอ้อ...เสียงเห่า...? ดังมาแต่ไกล
    “ฮ่งๆๆๆๆ!!!!!”
    “อื๋อ??”

    และ!!!ยังไม่ทันที่สมองผมจะสั่งการตีความว่าเจ้าของเสียงนั้นเป็นตัวอะไร ผมก็เห็นพุงของตัวอะไรซักอย่างขาวๆฟูๆลอยขึ้นมาตะปปเข้าเต็มหน้าของผมดังพลั่ก!!!!
    “อั้ก!!!”

    แรงพุ่งเข้าอัดกระแทกจากเจ้าสิ่งมีชีวิตขนฟูผลักผมจนหงายท้องหงายไส้ล้มโครมลงบนพื้นหญ้า เล่นเอามึนไปพักใหญ่เลยทีเดียว และในขณะเดียวกัน เจ้าตัวดีที่นอนทับผมอยู่ตอนนี้ก็ระดมเลียหน้าเลียตาผมจนชุ่มโชกไปหมด!!!

    “อะ...ฮะๆๆๆๆๆๆๆๆ!!!อย่าซี่!!จ...จั๊กจี๊!!!ฮะๆๆๆๆๆ”
    เจ้าหมาน้อยขนฟูระดมเลียหน้าผมอย่างเอาเป็นเอาตาย ราวกับว่าเรารู้จักกันมานานซัก10ปีอย่างนั้นแหล่ะ ที่แย่ไม่ใช่อะไรหรอก ก็มันจั๊กจี้จนหยุดหัวเราะไม่ได้นี่สิ!!!

    มันเปลี่ยนจากเห่าเมื่อครู่มาร้องครางดังงี๊ดง๊าดแทน ผมจับมันอุ้มขณะที่ยันตัวลุกขึ้นนั่ง หางเล็กปุกปุยกระดิกดุ๊กดิ๊กๆๆไม่ยอมหยุด
    “ดีอกดีใจอะไรนักหนาฮึ? เราน่ะ” ผมถามขณะที่กลั้นหัวเราะกับท่าทางดีอกดีใจของเจ้าตัวเล็กขนฟู พอผมลุกขึ้นจะยืนมันก็กระโดดลงมาวิ่งวนไปรอบๆตัวของผม บางทีก็เอาขาหน้าตะกุยตะกาย บางทีก็กระโดดขึ้นลงสองขา แต่ไม่ทันที่ผมจะก้มลงเล่นกับเจ้าเพื่อนใหม่ขนฟูอีกครั้ง มันก็ทำท่าสะดุ้งเฮือกสุดตัวก่อนวิ่งจู๊ดไปหลบที่หลังขาของผม

    “นั่นใครอยู่ตรงนั้น!!!?”
    เสียงของเด็กหนุ่มผมสีเงินที่ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับเพื่อนของเขาอีกคนที่มีผมสีMoss Greenและตัวสูงกว่าเล็กน้อยนั้นไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย

    ...ผมก็พอเข้าใจหรอกว่า ทำไม”เจ้าของบ้าน”ถึงโกรธซะขนาดนั้น
    ก็ป้ายน่ะ...ติดอยู่ทนโท่ว่าวันนี้ “ปิดบริการ” ผมก็ยังทู่ซี้เข้ามาอีก

    “เอ้อ...คือว่า....ฟังกันก่อนนะครับ คือว่าผม....”ผมกล่าวพลางปัดเศษหญ้าออกจากเสื้อและกางเกงขณะที่มือก็ควานหาหมวกมาใส่ เดาเอาว่า สภาพตัวเองตอนนี้คงดูไม่จืดเทียวหล่ะ
    “นี่เข้ามาได้ยังไงกัน??อ่านหนังสือไม่ออกรึไงว่าวันนี้น่ะ โรงละครปิด เราต้องการสมาธิในการฝึกซ้อมนะ!!” เด็กหนุ่มผมสีเงินจ้องตรงมาอย่างไม่พอใจ

    “ต้องขอประทานโทษจริงๆครับ”ผมพยายามจะอธิบายอย่างใจเย็น “ผมมีธุระกับMiss Lacus Clyneครับ คือว่าผมน่ะ....”
    แต่พูดยังไม่ทันจะจบดี คราวนี้เด็กหนุ่มที่ตัวสูงผอมกว่าก็ขมวดคิ้วมองผมอย่างไม่วางใจ
    “? คุณหนูเหรอ? นี่ท่าจะเป็นพวกบ้าดาราล่ะสิท่า!! รีบๆไสหัวไปให้พ้นเลยไป ก่อนที่เราจะแจ้งตำรวจนะ!!”

    ...เอ้อ....ไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดเลยว่า....ผมเองก็มีเพื่อนเป็นตำรวจเหมือนกันนะ แต่ดูท่าทางสองหนุ่มนี่จะไม่สนใจฟังอีร้าค่าอีรมอะไรเลยกระมังนั่น
    “Auel!!ไปเรียนเจ้าของคณะเลยนะว่ามีผู้บุกรุก ขอปืนมาด้วย!”
    “OK! ได้เลย!!”
    “อ๊ะ!!เดี๋ยวสิครับ!!ฟังผมก่อน!!”
    เฮ้!! นี่ขนาดต้องใช้ปืนผาหน้าไม้กันเลยรึ??

    ในตอนนั้นเองเจ้าลูกหมาตัวจ้อยขนฟูก็เห่าขึ้นหนึ่งครั้งก่อนวิ่งสุดชีวิตไปหาร่างบอบบางในชุดกระโปรงสีครีมสะอาดตา หล่อนก้าวเข้ามาพร้อมเสียงอุทาน
    “Halo! ตายจริง! ตื่นเต้นอะไรเหรอจ๊ะ? แล้วนี่....” ท้ายประโยคหล่อนเงยหน้าขึ้นจากการมองเจ้าตัวเล็กที่กำลังตะกุยกระโปรง แล้วจึงมองมาที่ผมอย่างแปลกใจ
    “อาจารย์Yamato??”Miss Clyneอุทานชื่อของผมอย่างแปลกใจ

    “..สะ...สวัสดีครับ” เมื่อผมค้อมศีรษะให้เล็กน้อย หล่อนก็ย่อกายลงตอบรับการทักทาย “สวัสดียามบ่ายค่ะ”
    “คุณหนูLacus? รู้จักกับหมอนี่ด้วยเหรอครับ?” เด็กหนุ่มผมเงินถามขึ้นทันที หากน้ำเสียงแข็งกระด้างนั้นอ่อนลงไปมากทีเดียว

    เธอผู้เป็นดาวจรัสแสงแห่งโรงละครแห่งนี้หันไปยิ้มให้เด็กหนุ่มทั้งสองขณะที่กล่าวอธิบาย
    “ใจเย็นๆจ้ะ Sting Auel ท่านผู้นี้คืออาจารย์Kira Yamato เป็นสหายของคุณพ่อชั้นเอง”
    ผมลอบถอนหายใจเฮือก โชคดีจริงที่หล่อนเข้ามาได้ทันเวลา เจ้าสองหนุ่มตรงหน้าผมก็ดูจะเลือดร้อนไม่เบา ถ้าหล่อนมาช้าอีกนิดเดียว ท่าจะแย่....

    ก็ผมไม่อยากมีเรื่องกับใครนี่นา
    #####################################

    “ขอประทานโทษแทนเด็กทั้งสองคนนั้นด้วยนะคะ ดิชั้นไม่ได้บอกกล่าวพวกเขาล่วงหน้าก่อนน่ะค่ะ เอ้อ...แล้วก็ไม่ทราบด้วยน่ะค่ะ ว่าคุณจะมาวันนี้”
    หญิงสาวที่ใครๆในลอนดอนต่างเรียกเธอว่าเจ้าหญิงแห่งเสียงเพลงกล่าวกับผมหลังจากที่เชื้อเชิญให้เข้ามาเยี่ยมชมภายในโรงละคร เราสองคนเดินไปตามทางที่ปูหินอ่อนเพื่อขึ้นบันไดซึ่งทอดยาวไปสู่ตัวอาคารที่ออกแบบมาในรูปแบบของศิลปะแบบกอธิคผสมผสานกับกรีกโรมัน ผ่านม่านระย้าที่เรียงร้อยด้วยลูกปัดคริสตัลหลากสีและผ้าโปร่งบางสีงาช้างเพื่อก้าวเข้าไปสู่ประตูบานใหญ่

    แดดยามบ่ายกระทบลงบนดวงหน้าของLacus Clyne คงเพราะเป็นวันซ้อมการแสดง หล่อนจึงมิได้แต่งหน้าด้วยเครื่องสำอางใดๆ นอกจากเกล้าผมยาวสลวยเป็นหางม้าต่ำๆ ปล่อยให้ลูกผมตกเคลียแก้มเนียนใสเท่านั้น หล่อนอุ้มเจ้าขนฟูตัวโปรดไว้แนบอก ดูมันนิ่งและเชื่อฟังนายสาวของมันมากทีเดียว

    และคงเพราะผมคงจะเพลินกับการพินิจพิเคราะห์หล่อนอยู่นาน จึงต้องสะดุ้งเมื่อหญิงสาวหันมาทักผมเบาๆขณะที่เลื่อนม่านร้อยลูกปัดยาวระย้าออก

    “อาจารย์Yamato?”
    “เอ้อ มิได้ครับ ผมแค่...ผ่านมาน่ะครับ ก็เลย....”
    “แหม? อย่างนั้นเองเหรอคะ?” หล่อนมองมาที่ผมแล้วหัวเราะคิกเบาๆ ผมรู้ว่าที่พูดแก้ตัวเมื่อกี๊มันดูงี่เง่า แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะพูดอะไรถึงจะดีกว่านี้

    ผมมองมือบอบบางที่ผลักประตูไม้โอ๊คขัดมันสลักลายบานใหญ่ออก แสงสลัวจากเปลวแดดจางๆจากภายนอกสาดส่องผ่านหลังคารูปโดมและหน้าต่างทรงโค้งอ่อนช้อยซึ่งล้วนประดับด้วยงานฝีมือจากกระจกหลากสีทอแสงระยับพราว โคมไฟระย้าคริสตัลดวงใหญ่ซึ่งถูกออกแบบให้มีรูปร่างของดอกกุหลาบที่กำลังเบ่งบานสะพรั่งอยู่เหนือแนวเก้าอี้ผู้ชมสะท้อนแสงหลากสีดูระยิบระยับ พรมกำมะหยี่ทอสีกุหลาบปูลาดไปตามทางเดินตั้งแต่ชั้นบนสุด ไปจนถึงชั้นล่าง เวทีการแสดงขนาดใหญ่กว้างขวางยกสูงจากพื้นที่ยังคงปิดคลุมด้วยม่านผ้าโปร่งบางมันวาวสีเดียวกับพรมซ้อนทับกันหลายชั้น

    “ขอต้อนรับสู่Rosettaของเราค่ะ”
    เจ้าหญิงแห่งเสียงเพลงกล่าวกับผมพร้อมรอยยิ้ม ผมอดที่จะมองไปรอบๆด้วยความรู้สึกตื่นตะลึงในความงดงามที่นึกหาสิ่งใดมาเปรียบมิได้ สถาปนิกผู้ออกแบบโรงละครแห่งนี้ช่างเป็นอัจฉริยะในการจัดแสงสีภายในให้ดูยิ่งใหญ่อลังการ แสงที่ตกกระทบลงบนวัตถุต่างๆนั้นช่างลงตัว ราวกับส่องแสงได้ด้วยมันเอง แม้แต่รูปปั้นทองเหลืองร่างของเทพธิดาแห่งศิลปะหรือMuseทั้ง9องค์ในตำนานกรีกโบราณที่รายล้อมรอบตัวอาคารก็ราวกับมีชีวิตจริง พร้อมที่จะโบยบินลงมายังเบื้องล่างได้ทุกเมื่อ

    ผมไม่รู้ว่าจะมาหาสิ่งใดมากล่าว....นอกจากมองไปรอบๆ
    “ว้าว....”
    นั่นเป็นคำเดียวที่หลุดออกมาเพียงแผ่วเบาราวละเมอเท่านั้น Miss Clyneอมยิ้มนิดๆขณะที่ปล่อยเจ้าลูกหมาขนฟูให้วิ่งลงบันไดไปเอง
    “คงไม่งดงามเหมือนMoulin Rougeหรือฟอร์ลีแบร์แยร์ที่ฝรั่งเศสหรอกกระมังคะ?”
    “มิได้ครับ.....ไม่เหมือนกัน....ไม่เหมือนโดยสิ้นเชิง ที่นี่.....” ผมพึมพำเบาๆราวบอกตัวเองหลังจากที่ต้องกลั้นหายใจไปพักใหญ่ “ไม่เหมือนที่ใดบนโลกจริงๆ....”
    “ดิชั้นยินดีที่ได้ฟังเช่นนั้นค่ะ และหวังว่าคงเป็นความหมายที่ดีนะคะ” หล่อนพูดปนหัวเราะเบาๆ “มาเถอะค่ะ อาจารย์Yamato ดิชั้นมีคนที่อยากแนะนำให้คุณรู้จักอยู่มากมายทีเดียว เชิญค่ะ”
    ###############################

  13. whitewing

    whitewing New Member

    EXP:
    120
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0

    ดิชั้นรู้สึกประหลาดใจกับสีหน้าที่แสดงความรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับบรรยากาศภายในโรงละครที่ถูกตกแต่งไว้อย่างวิจิตรบรรจงของอาจารย์หนุ่มผู้นี้อยู่ไม่น้อย เหล่าหนุ่มๆนักเรียนนอกที่ดิชั้นเคยรู้จักพูดคุยหลายคน มักวางท่าราวกับเป็นผู้มีประสบการณ์ในชีวิตมากมายเสียจนบางครั้งก็น่าหมั่นไส้

    แม้ความงดงามในศิลปะหรือความรื่นรมย์อื่นๆที่ถูกสร้างขึ้นณ โรงละครแห่งนี้ บางครั้งกลับถูกพวกเขามองเปรียบเทียบกับสิ่งที่ตนได้เคยพบเจอที่ต่างบ้านต่างเมืองเสมอ
    แต่Mr.Kira Yamatoผู้นี้ กลับแสดงความชื่นชมในความงามที่แตกต่างออกไป

    “? มีอะไรหรือครับ?” เขาเหลือบตามามองดิชั้นที่กำลังกลั้นยิ้ม
    “ขออภัยค่ะ ดิชั้นเพียงแต่ดีใจน่ะค่ะ ที่ไม่ได้ยินคำว่า “สวยพอๆกับ....”หรือ”สวยกว่า….”จากปากคุณน่ะค่ะ”
    “ครับ?”
    “คุณหนูLacusน่ะ เกลียดการเปรียบเทียบแบบนั้นมากที่สุดน่ะสิ ใช่มั๊ยหล่ะ?”
    เสียงทุ้มห้าวแฝงความใจดีของMr.Andrew Walfeldดังขึ้น ร่างสูงใหญ่ของเจ้าของโรงละครก้าวขึ้นมาตามขั้นบันไดปูพรมนุ่มที่ทอดยาวลงไปสู่เบื้องล่าง โดยมีMr.Darcostaผู้จัดการคณะเดินตามมาด้วย ใบหน้าที่พาดผ่านด้วยรอยแผลเป็นทางยาวดูคมกร้าวหากรอยยิ้มนั้นกลับใจดีขณะที่มองดูสีหน้าอันบ่งบอกความแปลกใจของอาคันตุกะผู้มาเยี่ยมเยือน

    “ดิชั้นขอแนะนำนะคะอาจารย์Yamato ท่านผู้นี้คือเจ้าของโรงละครผู้ก่อตั้งRosetta Mr.Andrew Walfeldค่ะ ส่วนท่านที่ยืนอยู่ข้างๆ อาจารย์Yamatoคงพอจำได้ Mr.Martin Darcostaผู้ที่เคยนำคณะของเราไปแสดงดนตรีที่งานเลี้ยงต้อนรับของคุณอย่างไรหล่ะคะ”
    รอยยิ้มจางๆปรากฏขึ้นขณะที่อาจารย์หนุ่มโค้งทำการคารวะบุคคลทั้งสองเบื้องหน้าและแนะนำตัว
    “Kira Yamatoครับ”

    Mr.Walfeldยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดีขณะโบกมือไปมา “อย่าพิธีรีตองเลยคุณ”
    “เป็นสถานที่ที่....สวยงามจริงๆครับ Mr.Walfeld”
    “ขอบคุณ เป็นเกียรติจริงๆ จะว่าไปแล้ว....มันก็น่าแปลกใจจริงๆ”ท้ายประโยคผู้ก่อตั้งโรงละครหันมายิ้มล้อเลียนดิชั้นราวกับดิชั้นเป็นเด็กๆกระนั้นแหล่ะ “นอกจากผู้กองZalaคนนั้นแล้ว คุณหนูไม่เคยเชิญใครมาเยี่ยมชมโรงละครแบบเป็นการส่วนตัวเช่นนี้มาก่อนเลยนี่นา ขนาดเจ้าของที่ดินให้ความสนิทสนมมากขนาดนั้น คุณยังไม่เคยต้อนรับแบบนี้เลยนี่ “

    ดิชั้นขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจนักขณะปรามMr.Walfeld “อย่าพูดเล่นแบบนี้อีกได้มั๊ยคะ? Mr.Walfeld ก็Athrunเค้าเป็นเพื่อนกับดิชั้น ส่วนอาจารย์Yamatoก็เป็นสหายของทั้งเขาคนนั้นและคุณพ่อดิชั้นนี่คะ แต่ท่านเจ้าของที่ดินมิได้เกี่ยวข้องเป็นสหายกับดิชั้นเสียหน่อย”
    “เจ้าของที่ดิน?”
    “Mr.Yamatoคงรู้จักท่านบารอนAllsterดีสินะครับ?”คุณDarcostaกล่าวอธิบาย “ท่านผู้นั้นเป็นเจ้าของที่ดินที่เราใช้เช่าทำกิจการโรงละครนี่เอง”

    ดิชั้นสังเกตว่าอาจารย์Yamatoฟังแล้วก็นิ่งไป เขาอาจไม่ค่อยสบายใจนักเมื่อได้ฟังเรื่องดังกล่าว ดิชั้นจึงตัดบทเปลี่ยนเรื่อง
    “อย่าพูดเรื่องธุรกิจภายในวุ่นๆที่ทำให้เสียบรรยากาศเลยนะคะอาจารย์ เชิญทางนี้ดีกว่าค่ะ พอดีว่าเป็นช่วงพักการซ้อมพอดี ดิชั้นจะพาไปรู้จักกับสมาชิกคนอื่นๆนะคะ”
    ดิชั้นย่อกายลงเป็นเชิงขอตัวจากทั้งเจ้าของโรงละครและผู้จัดการคนสนิท ยังลอบเห็นว่าMr.Walfeldกลั้นหัวเราะหึๆขณะที่ผายมือ
    “เชิญตามสบายๆ”
    ดิชั้นเดินนำอาจารย์หนุ่มมาแนะนำให้รู้จักสมาชิกคนอื่นๆของคณะ อันได้แก่เหล่านักบัลเลต์ซึ่งล้วนแต่เป็นกลุ่มหนุ่มสาวที่ร่าเริงสดใสและเต็มไปด้วยพลังในการทำงาน เหล่านักดนตรีเกือบห้าสิบคนนำโดยวาทยากรคนสำคัญคือ คีตกวีหนุ่มอายุน้อยนามNicol Armarfie ผู้ประพันธ์บทเพลงในการแสดงแต่ละครั้งของโรงละคร รวมทั้งยังแนะนำให้รู้จักสองหนุ่มน้อยเลือดร้อนที่เพิ่งจะมีเรื่องกันไปเมื่อครู่ด้วย

    StingและAuelมีท่าทีปั้นปึ่งเล็กน้อยแต่ก็ยอมทักทายแขกส่วนตัวของดิชั้นอย่างเสียมิได้ แม้จะเกรงว่าเป็นการเสียมารยาทแต่ดิชั้นก็รู้สึกโล่งใจเมื่อเห็นอาจารย์Yamatoยิ้มอย่างไม่ถือสาเด็กอายุแค่15ทั้งสองคน
    “Stingเค้าเป็นนักเชลโล่ค่ะ ส่วนAuelเป็นนักไวโอลิน ทั้งสองเป็นคนมีพรสวรรค์ จึงค่อนข้างจะเย่อหยิ่งไปเสียหน่อย แต่ก็เป็นเด็กดีทั้งคู่หล่ะค่ะ” ดิชั้นอธิบายเมื่อเด็กทั้งสองขอตัวไปซ้อมต่อ
    “ผมเข้าใจครับ” เขายิ้มบางๆขณะกล่าวเสริม “อย่างไรเสีย เขาทั้งสองก็ดูจะเกรงใจคุณเอามากๆ”
    “เช่นนั้นหรือคะ?”ดิชั้นหัวเราะคิก แต่แล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นเขากำลังนิ่งมองบางอย่าง

    เด็กหญิงตัวน้อยผมทองนั่งก้มหน้าก้มตาอ่านโน้ตเพลงสั้นๆอยู่ที่มุมห้องคนเดียว จนกระทั่งแกเงยหน้าขึ้นมา ดิชั้นโบกมือให้แกเบาๆ ขณะที่แกยิ้มตอบและตั้งท่าจะวิ่งเข้ามาหา หากพอเหลือบตาไปเห็นคนหนุ่มที่ยืนเคียงข้างดิชั้นเข้า แกก็รีบทรุดตัวลงนั่งก้มหน้าเหมือนเดิม

    ดิชั้นลดมือลงอย่างรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยที่Stellarยังคงไม่กล้าเข้าใกล้คนแปลกหน้าอื่นๆ

    “นั่นหรือครับ? เด็กคนที่....”
    ดิชั้นได้ยินเสียงอาจารย์Yamatoกล่าวขึ้นเป็นเชิงถาม ทำให้ดิชั้นแปลกใจไม่น้อย
    “คุณพ่อเล่าให้คุณฟังแล้วเหรอคะ?”
    “ครับ...”
    “เล่าแค่ไหนคะ?”
    “ดร.Clyneบอกผมว่า เป็นเด็กกำพร้าที่ทางคณะอุปการะเอาไว้เมื่อ3เดือนก่อน...และคุณก็อยากให้แกอ่านออกเขียนได้ เท่านั้นเองครับ”

    เมื่อได้ฟังคำตอบ ดิชั้นก็ยืดกายขึ้นเพื่อกล่าวกับเขา
    “อาจารย์Yamatoคะ ไปเดินเล่นที่สวนกันมั๊ยคะ? เห็นที เราคงมีเรื่องต้องหารือกันไม่น้อยทีเดียว”

    ดวงตาสีแอมมิทิสต์คู่สวยใต้แว่นตากรอบทองฉายความสงสัย หากแล้วเขาก็เดินตามดิชั้นไปยังประตูทางออกสู่สวนเล็กๆข้างหลังโรงละครซึ่งถูกจัดให้เป็นสวนหย่อมรายล้อมด้วยพุ่มกุหลาบขนาดเล็กหลากสีที่ออกดอกชูช่อไสว ประชันกับสีสันของดอกฟรีเซียที่ส่งกลิ่นหอมจรุงใจ ดิชั้นเดินไปหยุดนั่งลงบนเก้าอี้ม้านั่งยาวเหล็กดัดสีขาวที่ถูกตั้งไว้ไม่ไกลจากบ่อน้ำเล็กๆกลางสวน พรายฟองของน้ำพุกระเซ็นมาเล็กน้อยจนเราทั้งสองรู้สึกเย็นฉ่ำสดชื่น

    “เชิญนั่งค่ะ” ดิชั้นเชิญให้อาจารย์Yamatoนั่งลงบนเก้าอี้ยาวตัวเดียวกัน เขาจึงนั่งห่างจากดิชั้นไปเล็กน้อยเพื่อรักษามารยาท
    “เมื่อสามเดือนก่อน....ในคืนที่ฝนตกไม่หนักนัก ดิชั้นกำลังรอให้รถม้าเจ้าประจำมารับกลับบ้านหลังจากเสร็จสิ้นการซ้อมดังเช่นทุกๆวัน....”
    ดิชั้นเริ่มบทสนทนาขึ้นขณะที่รำลึกถึงเรื่องราวในวันนั้น
    “แล้วดิชั้นและคุณAliceซึ่งเป็นผู้ดูแลก็ต้องประหลาดใจเมื่อมีรถม้าที่ไม่คุ้นเคยมาจอดเทียบประตูโรงละคร และคนที่ก้าวลงมาก็คือผู้หมวดAsuka” ดิชั้นหยุดเล่าเพื่อหันไปถามอาจารย์หนุ่ม “คุณคงจำผู้หมวดShin Asukaซึ่งเป็นลูกน้องคนสนิทของAthrunได้สินะคะ?”
    “ครับ....ผมจำได้” เขาตอบเช่นนั้น ดิชั้นจึงเล่าต่อไป

    “ที่น่าตกใจกว่าอะไรทั้งหมด คือในอ้อมแขนของหมวดAsukaมีเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่งกำลังหนาวสั่นด้วยพิษไข้ พวกเราเกรงว่าเด็กอาจจะเป็นปอดบวมได้จึงรีบเชิญให้เข้ามาภายในห้องพักของโรงละคร เนื้อตัวของแกแดงช้ำไปหมดจากบาดแผลของการถูกทุบตีค่ะ...พอดิชั้นสอบถามดู หมวดAsukaก็เล่าให้ฟังว่า แกเป็นเด็กรับใช้ที่ถูกพ่อแม่ขายให้ตระกูลพ่อค้าใหญ่ตระกูลหนึ่งในลอนดอน ....อย่าไปเอ่ยชื่อตระกูลนั้นเลยนะคะ.... หมวดเธอไปพบและรู้จักเข้าโดยบังเอิญ ที่น่าเศร้าคือทุกๆครั้งที่ได้พบกัน เด็กคนนั้นจะมีบาดแผลเพิ่มมากขึ้นทุกครั้งไป จนในที่สุด ผู้หมวดเธอทนไม่ไหวจึงยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือเด็กคนนั้นออกมา....”

    ดิชั้นบีบมือที่ประสานกันบนตักแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว ก่อนกล่าว
    “เด็กคนนั้นก็คือ Stellarค่ะ”

    “เธอคงไม่ใช่เด็กยากจนธรรมดาที่ถูกขายเท่านั้นหรอกใช่มั๊ยครับ?” อาจารย์Yamatoเอ่ยถาม ทำให้ดิชั้นรู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อยที่จะตอบ จึงได้แต่ถามกลับไปว่า
    “คุณทราบหรือคะ?”
    “ผมเองก็ไม่แน่ใจนักหรอกครับ แต่ดูจากโครงหน้าแกแล้ว....เหมือนกับ.....”
    เขายังพูดไม่ทันจบ ดิชั้นก็กล่าวขึ้นเบาๆ
    “ค่ะ....พวกยิวค่ะ....”
    “นึกแล้วเชียว.....”
    “คาดว่าครอบครัวของแกก็คงอพยพมาจากทางเยอรมนีน่ะค่ะ”

    อาจารย์หนุ่มผู้เป็นสหายของคุณพ่อนิ่งไปจนดิชั้นไม่อาจคาดเดาได้ว่า เจ้าตัวกำลังคิดเห็นอย่างไรอยู่
    “ยิ่งเป็นเด็กยิว....พวกนายจ้างก็ยิ่งใช้งานหนักและทารุณกว่าเด็กรับใช้คนอื่นๆ ดิชั้นไม่ทราบแน่ชัดว่าแกอยู่ที่บ้านหลังนั้นมาเนิ่นนานเท่าไหร่แล้ว แต่คิดว่า....คงตั้งแต่ช่วงที่แกยังเด็กกว่านี้มาก”
    เรื่องราวที่ดิชั้นเอ่ยเล่าให้คนๆนี้ฟังนั้น ทำให้ต้องถอนใจเฮือกใหญ่อย่างหนักใจไม่น้อย
    “คนเรานี่ก็เหลือเกินนะคะ...กับเด็กกับเล็กยังทำร้ายกันได้มากขนาดนี้.....”

    อาจารย์Yamatoเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ขณะที่เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ายามบ่าย
    “เพราะอคติครับ....เพราะความเชื่อที่ถูกปลูกฝังกันมาแต่โบราณว่าชาวยิงเป็นผู้สังหารพระคริสต์ ยิวจึงถูกรังเกียจเรื่อยมา.....”
    “แต่ก็ไม่น่าจะทำกับเด็กแบบนี้มิใช่หรือคะ?” ดิชั้นค้านด้วยเสียงที่สูงขึ้นเล็กน้อย แต่พอฟังคำกล่าวของเขา ดิชั้นก็ต้องเป็นฝ่ายนิ่งไปบ้าง
    “ถ้าทุกคนคิดเหมือนคุณหมด.....เรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้นหรอกครับ”

    เราทั้งสองนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ ได้ยินเพียงเสียงลมพัดจนผิวน้ำสั่นไหว และเสียงน้ำพุพวยพุ่งลงสู่สระน้ำ ในที่สุด อาจารย์Yamatoก็เอ่ยถามดิชั้นต่อ
    “ตอนมาอยู่ที่นี่ช่วงแรก คุณดูแลแกยังไงหรือครับ?”
    “แกแทบไม่ยอมพูดอะไรเลยค่ะ เป็นเดือนกว่าจะเลิกกลัว คงเพราะอายสำเนียงเยอรมันที่บ่งบอกว่าตัวเองไม่ใช่คนอังกฤษน่ะค่ะ” ดิชั้นอธิบาย “และก่อนหน้านั้น แกติดผู้หมวดAsukaมาก ทุกๆเย็นได้แต่เฝ้ารอให้หมวดเธอมาเยี่ยม ก็พอมองออกน่ะค่ะว่า ทุกครั้งที่ได้เจอกันแกดีใจมากแค่ไหน แต่ถ้ามองให้ไกล...Stellarก็ต้องมีเพื่อนคนอื่นๆนอกจากหมวดAsukaด้วย ดิชั้นจึงโน้มน้าวให้แกเล่นฮาล์ป เล่นดนตรี พอดีกับว่ามือฮาล์ปของวงอายุมากแล้ว กำลังคิดจะปลดระวางตัวเองเสียที ท่านจึงอาสาเป็นครูให้ แล้วก็ยังมีAuelกับStingที่คอยดูแลเอาใจใส่อยู่ใกล้ๆ แกก็เลยเริ่มมีเพื่อนบ้างแล้ว.....”

    เล่ามาถึงจุดนี้ อาจารย์Yamatoก็ถึงกับออกปากอย่างตกใจ “เอ๋? เด็กหนุ่มสองคนนั่นน่ะเหรอครับ?ไม่น่าเชื่อ...”
    พอได้เห็นใบหน้าแสดงความรู้สึกตกใจของเขา ดิชั้นก็หัวเราะกิ๊ก “จริงๆแล้ว สองคนนั่นเค้าเป็นคนอ่อนโยนมากนะคะ”

    เมื่อได้ฟังดิชั้นกล่าว ที่มุมปากของเขาก็มีรอยยิ้มผุดขึ้นจางๆ “แล้วตอนนี้แกอยู่กับใครครับ? ผมหมายถึง ที่พักที่อาศัยของแกน่ะครับ”
    “อยู่กับครูสอนฮาล์ปที่หอพักสตรีของคณะน่ะค่ะ”ดิชั้นตอบพลางชี้ไปที่ตึกแถวสามชั้นซึ่งอยู่ห่างจากโรงละครไปเพียงข้ามถนน “บางครั้งอย่างเสาร์อาทิตย์ ดิชั้นกับคุณAliceก็จะมารับแกไปนอนค้างที่บ้านบ้าง เพราะคุณAliceเธอชอบเด็กผู้หญิงน่ะค่ะ”

    “แล้วตอนนี้....ยังได้พบกับหมวดAsukaอยู่หรือเปล่าครับ?” เขาหยุดกระแอมเบาๆก่อนอธิบายต่อด้วยท่าทีเก้อๆ “ขออภัยที่ต้องเสียมารยาทถามเรื่องนี้....เพราะตัวผมเองได้ข่าวจากAthrunว่างานการของเขายุ่งมากทีเดียว คิดว่าหมวดAsukaก็น่าจะเป็นเช่นนั้นด้วยเช่นกัน”
    “ถูกแล้วค่ะ ตอนนี้ทางโน้นเค้างานยุ่งมาก Stellarก็เลยมีทีท่าหงอยๆไป....ก็ไม่ได้เจอหมวดเลยน่ะค่ะ”
    เขาฟังแล้วก็พยักหน้ารับช้าๆ “อย่างนั้นเหรอครับ....คงเพราะว่าแกสนิทสนมกับผู้หมวดAsukaมาก”

    ในที่สุดดิชั้นก็เงยหน้าขึ้นสบตากับเขาเพื่อกล่าวอย่างจริงจัง “อาจารย์Yamatoคะ ที่ดิชั้นเล่าให้ฟังทั้งหมดนี้ เพราะอยากจะขอร้องคุณในเรื่องการศึกษาของStellarค่ะ ดิชั้นน่ะ....ไม่ได้คิดว่าตนเลิศเลอกว่าชาวคริสต์อื่นๆที่รังเกียจยิวหรอกนะคะ ดิชั้นเพียงแต่....”
    อยากจะเชื่อใจคนๆนี้....ดิชั้นบอกกับตนเองเช่นนั้น
    “อยากให้เด็กคนนี้ได้มีชีวิตที่ดี ให้แกเข้มแข็งพอที่จะอยู่ได้เมื่อต้องไปจากสถานที่แห่งนี้....เมื่อถึงวันนั้น วันที่พวกเราที่โรงละครแห่งนี้จะไม่สามารถดูแลปกป้องแกได้อีก....”
    “Miss Clyne….”

    ดิชั้นกล่าวต่อโดยไม่รั้งรอให้เกิดความลังเลใดอีกในใจ “การที่คุณพ่อเล่าเรื่องของStellarให้คุณฟังมาบ้างแล้วก่อนหน้านี้....ท่านก็คงอยากจะให้คุณช่วยเหลือในข้อนี้เช่นเดียวกับดิชั้นอย่างแน่นอน กรุณาเถอะนะคะอาจารย์ ถือเสียว่าเป็นคำขอร้องจากครอบครัวของเรา”
    เขานิ่งฟังอย่างสงบ ดวงตาสีพลอยแอมมิทิสต์คู่นั้นฉายความตั้งใจ จนดิชั้นต้องบอกตัวเองซ้ำๆว่า อยากจะเชื่อใจเขาเหลือเกิน

    “เรื่องค่าจ้างนั้นถ้าคุณเห็นว่ามันยังต่ำเกินไป ดิชั้นก็ยินดีที่จะสนับสนุนเพิ่มเติมแน่นอนค่ะ ขอเพียง....” ดิชั้นยังกล่าวไม่ทันจบ เขาก็กล่าวขึ้นอย่างนุ่มนวล
    “Miss Clyneครับ”
    รอยยิ้มของเขาขณะที่กล่าวกับดิชั้นนั้นอ่อนโยน และเต็มไปด้วยความรู้สึกเข้าใจ
    “หากเรื่องของเด็กคนนั้นที่ได้ฟังมา ทำให้ผมรู้สึกกังวลใจแม้เพียงนิด ผมก็คงไม่มาที่นี่ในวันนี้...”

    สิ่งที่เขากล่าวครั้งนี้ ทำให้ดิชั้นต้องนิ่งไปบ้าง
    “นอกจากนั่นจะเป็นคำขอร้องจากสหายเช่นดร.Clyneและคุณแล้ว มันยังเป็นสิ่งที่ผมในฐานะของ “คนที่เป็นครู” ควรจะทำ คือการให้ความรู้แก่ผู้คนโดยไม่แบ่งแยก เพียงเพื่อให้เขาได้สามารถนำไปใช้ดูแลตัวเองให้รอดพ้นจากสังคมอันยุ่งเหยิงมากขึ้นทุกวันๆเช่นนี้....Miss Clyneครับ อย่าได้กังวลในเรื่องค่าใช้จ่ายใดๆเลยนะครับ เก็บไว้เป็นค่าขนมให้Stellarและเด็กๆในคณะคนอื่นๆดีกว่า ส่วนหนังสือหนังหาตำราเรียนนั้น ผมจะไปขอความช่วยเหลือจากพวกลูกศิษย์ที่มหาวิทยาลัยเอง อย่าห่วงเลยครับ”

    สิ่งที่เขาเสนอให้นั้น แม้จะเป็นความกรุณา หากก็ทำให้ดิชั้นต้องค้าน
    “ตายจริง! ดิชั้นทำเช่นนั้นไม่ได้หรอกค่ะ!มันเป็นการเสียมารยาทมากเกินไป การที่คุณไม่ขอรับค่าตอบแทนจะทำให้ทางเราไม่สบายใจนะคะ มันเหมือนเราเอาเปรียบคุณมากเกินไป กรุณารับไว้เถอะนะคะ อย่าเกรงใจด้วยถือว่าเราเป็นสหายกันเลย”

    “Miss Clyneครับ แต่ว่า.....”
    เขาทำท่าจะคัดค้าน แต่คราวนี้ดิชั้นจึงเป็นฝ่ายกล่าวแทรกขึ้นบ้าง
    “จะได้เป็นข้อตกลงกันไงคะ เผื่อวันไหนคุณขี้เกียจมาสอน ดิชั้นจะได้หักเงินเดือนได้ถูก”
    ดิชั้นกล่าวติดตลกในตอนท้าย ทำให้อาจารย์หนุ่มคนใจดีต้องอมยิ้มแล้วส่ายหน้าเบาๆ

    “ถ้าเช่นนั้น...เป็นอันตกลงว่า ผมรับข้อเสนอครับ Miss Clyne”
    “ดิชั้นขอบพระคุณเหลือเกินค่ะ อาจารย์Yamato”

    เราทั้งสองคนยิ้มให้แก่กัน ความรู้สึกดีๆ....อบอุ่นในใจก่อตัวมากขึ้นทีละนิดๆ
    .....นับจากวันที่ได้พบกันครั้งแรก
    #######################################
    “Stellarจ๊ะ”
    เจ้าของเรือนผมสีPink Blondเปิดประตูห้องฝึกซ้อมหลังเวทีการแสดงขณะกล่าวเรียกชื่อ”ว่าที่ลูกศิษย์”ตัวน้อยของผมเบาๆ แม่หนูน้อยเงยหน้าขึ้นจากสมุดโน้ตเพลง แล้วก็คลี่ยิ้มออกมาอย่างยินดีเมื่อพบว่าเจ้าของเสียงเรียกนั้นคือใคร
    “คุณหนู” แต่แล้วแกก็หน้าเสียวูบเมื่อพบว่ามีคนแปลกหน้าที่ไม่คุ้นเคยตามเข้ามาในห้องด้วย ผมจึงได้แต่ส่งยิ้มให้แก แม้จะไม่ได้รับรอยยิ้มตอบกลับมาก็ตาม
    เมื่อMiss Clyneก้าวเข้าไปใกล้แกก็อาศัยจังหวะนั้นรีบหลบไปอยู่ข้างหลังของหล่อนเสีย เด็กหญิงผมทองตัวน้อยยังคงไม่กล้ามองผมเต็มตา ดวงตาสีลูกหว้าคู่นั้นฉายความหวาดหวั่นใจ Miss Clyneมองผมนิดๆอย่างหนักใจ แล้วจึงค่อยๆจูงเด็กน้อยออกมาจากที่หลบ
    “Stellarจ๊ะ ไม่ต้องกลัวหรอก หนูมองคุณคนนี้ได้”

    แต่แกยังคงก้มหน้าหลบ ผมจึงค่อยๆก้าวเข้าไปหาอย่างระมัดระวังก่อนทรุดตัวลงเพื่อให้ใบหน้าของเราอยู่ในระดับที่เท่ากัน
    “สวัสดี Stellar”ผมยิ้มให้แกอย่างเป็นมิตร เด็กหญิงตัวน้อยเหลือบตาขึ้นมองผมชั่วอึดใจแล้วก็ก้มหน้าพึมพำตอบเสียงแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน “สวัสดีค่ะ....”
    “ชั้นเห็นหนูอ่านโน้ตเพลงอยู่เมื่อกี๊ คล่องหรือยังจ๊ะ?”
    “…ถ้าเป็นเพลงสั้นๆ ก็อ่านได้ค่ะ”
    “ดีจริง” ผมพยักหน้ารับขณะที่กล่าวชื่นชม “งั้นถ้าหนูอ่านโน้ตเพลงได้แล้ว ต่อไปก็น่าจะอ่านเนื้อเพลงที่ประกอบเสียงฮาล์ปได้”

    ดวงตากลมโตสีลูกหว้าใต้ขนตาหนากระพริบปริบๆอย่างไม่เข้าใจ ผมเงยหน้าขึ้นมองMiss Clyneที่ยืนลุ้นอยู่ข้างๆ ก่อนกล่าวถามเด็กน้อยต่อ
    “คิดว่ายังไงหือ?”
    “อ่านเนื้อเพลง...เพลงที่คุณหนูร้องน่ะเหรอคะ...?”แกเงยหน้าขึ้นถามMiss Clyne หล่อนจึงทรุดตัวลงขณะจับสองบ่าเล็กๆของเด็กน้อย พลางตอบเสียงอ่อนโยนดุจแม่พระ
    “ใช่จ้ะ Mr.Kira Yamatoจะมาสอนหนังสือให้Stellarยังไงหล่ะจ๊ะ อีกหน่อยพอหนูอ่านบทกวี หรือบทประพันธ์เพลงเพราะๆได้คล่อง หนูก็ร้องเพลงอย่างชั้นได้เหมือนกัน”

    เมื่อได้รับฟังเช่นนั้น ดวงตาสีลูกหว้าก็เปล่งประกายตื่นเต้นยินดี
    “จริงเหรอคะ....?” เสียงเล็กเบาพึมพำ หญิงสาวพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มที่ระบายริมฝีปากอย่างอ่อนโยน

    ในที่สุดStellarจึงกล้าที่จะประสานสายตากับผม แม้จะยังมีร่องรอยของความรู้สึกหวาดหวั่นบ้างก็ตาม
    แต่นั่นก็ทำให้ผมรู้สึกมั่นใจว่า เด็กน้อยคนนี้จะก้าวข้ามความรู้สึกหวาดกลัวที่อยู่ก้นบึ้งของจิตใจได้
    “ครูชื่อKira Yamato เรียกครูKiraก็ได้นะครับ จากนี้ไป ขอครูเป็นเพื่อนกับหนูด้วยคนนะ”
    แม่หนูน้อยผมทองพยักหน้ารับเบาๆ แล้วจึงก้มหน้าหลบงุดอย่างเก้อเขิน
    “ค่ะ ครู...Kira...”

    ผมสบตากับดวงตาสีฟ้าครามที่เต็มไปด้วยประกายแห่งความรู้สึกยินดีและโล่งใจล้นเหลือ หล่อนโอบบ่าของStellarไว้เพียงหลวมๆ ในดวงตาคู่งามนั้น ผมคิดว่า....มองเห็นความหวังที่มีอยู่เต็มเปี่ยม
    ##################################

    “ถ้าเช่นนั้น...ทุกๆเย็นหลังเลิกงาน ผมจะแวะมานะครับ” ผมกล่าวขณะที่ก้าวออกพ้นจากประตูรั้วเหล็กของโรงละคร โดยที่มี Lacus Clyne เจ้าหญิงแห่งเสียงเพลงของโรงละครเดินตามมาส่งถึงริมถนน
    “ค่ะ ดิชั้นจะให้คนงานจัดเตรียมห้องเอาไว้สำหรับการเรียนการสอนนะคะ”
    “ไม่ต้องหรอกครับ”ผมรีบกล่าวปฏิเสธ “ขอแค่เคลียร์พื้นที่ในสวนให้เรียบร้อยหน่อยก็พอแล้ว”

    หล่อนมีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อยก่อนเปลี่ยนเป็นยิ้ม ผมคิดว่าหล่อนคงเข้าใจจุดประสงค์ของผมดี
    “ตามใจคนสอนก็แล้วกันค่ะ....”
    ผมหัวเราะให้กับคำตอบนั้นเบาๆ แล้วจึงสวมหมวกเพื่อเตรียมตัวลากลับ

    “ถ้าเช่นนั้น...ไว้เจอกันนะครับ อ๊ะ....!” แต่แล้วผมก็นึกขึ้นมาได้ว่า มีอีกเรื่องที่ยังไม่ได้ทำ หญิงสาวมีสีหน้าแปลกใจเมื่อผมยื่นหนังสือปกผ้าเล่มหนาให้ “นี่ครับ Miss Clyne”
    หล่อนรับมาพลิกหน้าปกแล้วจึงอ่านเบาๆ
    “? Les Miserables…? Victor Hugo!” น้ำเสียงท้ายประโยคนั้นเจือความตื่นเต้น “ตายจริง...! นี่....”
    “ผมเพิ่งหาเจอ ตอนแรกคิดว่าจะฝากคุณพ่อคุณมาให้ แต่คิดไปคิดมายังไงวันนี้ก็ต้องมาหาคุณอยู่แล้ว ก็เลย....”

    ผมแปลกใจเมื่อพบว่าดวงตาสีฟ้าครามกลมโตใต้ขนตาหนาระยับของหล่อนกระพริบปริบๆอย่างประหลาดใจ ก่อนหล่อนแปรสีหน้าเป็นอมยิ้มหวานพลางกล่าว
    “แน้ ....ไหนคุณว่าแค่ผ่านมาเท่านั้นไงคะ?”

    พอได้ยินเท่านั้นก็ทำเอาผมผงะไปเลย! รู้สึกว่าตัวเองพลาดมหันต์!!!เพราะก่อนหน้านี้ ผมอธิบายเรื่องที่แวะมาต่างออกไปจากนี้!!!
    ว่าแล้วก็ได้แต่ก้มหน้าที่แดงจัดด้วยความรู้สึกละอายใจไว้ใต้หมวก พยายามจะหาข้อแก้ตัวดีๆแต่ก็ทำได้เพียงอ้ำๆอึ้งๆ จนอีกฝ่ายกลั้นหัวเราะกิ๊ก
    “โกหกไม่เก่งเลยนะคะ อาจารย์Yamatoน่ะ”

    ผมลอบมองดวงหน้าสวยหวานของหล่อน พวงแก้มเนียนปลั่งนั้นอมสีชมพูจางๆ หล่อนประคองหนังสือเล่มหนาที่ผมนำมาฝากไว้แนบอก
    “ขอบพระคุณมากนะคะ...สำหรับเรื่องของStellarแล้วก็....สิ่งนี้ด้วย”
    “อย่าเกรงใจเลยครับ Miss Clyne เราเป็นสหายกันนี่ครับ....”
    ผมพยายามหาคำอธิบายที่น่าจะเข้าท่าที่สุดในเวลาเช่นนี้ เพียงแต่อยากให้หล่อนเข้าใจเจตนาบริสุทธิ์ของผมเท่านั้นเอง ครั้นแล้วMiss Clyneก็กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงสดใส
    “Lacusค่ะ”
    “ครับ?”
    “เพื่อนๆของดิชั้น....ล้วนเรียกดิชั้นด้วยชื่อทั้งสิ้นค่ะ อาจารย์Yamato”

    เราสองคนประสานดวงตากันนิ่งไปชั่วขณะ....
    “...Kiraครับ.....Lacus”
    เราต่างยิ้มให้แก่กัน ด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยมิตรภาพ
    และ....ความรู้สึกใหม่....ที่หลบซ่อนอยู่ลึกๆในหัวใจของผม
  14. whitewing

    whitewing New Member

    EXP:
    120
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    PHASE 5: FRIENDS….

    “วันนี้ก็กลับค่ำอีกเหรอจ๊ะ? Kira”
    ท่านแม่เอ่ยถามผมด้วยน้ำเสียงเป็นกังวลขณะที่พวกเราสามคนพ่อแม่ลูกกำลังรับประทานอาหารเช้ากันที่สวน แดดอ่อนๆแตะลงบนเรือนผมสีดำสนิทของท่าน ยิ่งมองยิ่งทำให้รู้สึกว่า ท่านแม่ดูเยาว์กว่าหญิงวัยเดียวกันมากมายเช่นนี้เอง ท่านพ่อถึงไม่กล้าเฉไฉไปไหน
    ผมยุติความคิดนั้นขณะที่วางถ้วยชาBreakfast Teaลง พลางกล่าวยิ้มๆ
    “ขออภัยครับท่านแม่ แต่ระยะนี้ ผมคงไม่มีโอกาสได้กลับมาทันรับประทานมื้อค่ำด้วยแน่ๆ”

    Lady Calida Yamato ท่านแม่ของผมได้ฟังเช่นนั้นก็ถึงกับถอนใจเฮือกพลางตัดพ้อ
    “แหม! นี่แม่ได้เห็นหน้าลูกชายแค่ตอนเช้ากับก่อนนอนเท่านั้นเองนะ ตั้งหลายอาทิตย์แล้วเนี่ย
    “งานของผม....ช่วงนี้ค่อนข้างจะมีหลายเรื่องอยู่น่ะครับ แล้วก็เป็นช่วงที่ผมต้องใส่ใจกับมันให้มากทีเดียว...” ผมอธิบายขณะที่นึกถึงสาเหตุของการกลับบ้านค่ำมืดเช่นนั้น

    เพราะทุกๆเย็น ผมจะมีลูกศิษย์ตัวน้อยๆรอคอยอยู่ที่โรงละครแห่งนั้น

    ท่านแม่ฟังผมอธิบายแล้วก็เชิดหน้าขึ้นพลางประชดเบาๆ “จ้าๆ อาจารย์” ทำเอาผมกับท่านพ่อต้องมองหน้ากันแล้วกลั้นหัวเราะสุดตัว พอดีกับว่าสายตาผมเหลือบไปเห็นนาฬิกาพกที่บ่งบอกว่าใกล้จะได้เวลาไปทำงานแล้ว ผมจึงรีบดื่มชาที่เหลือจนหมดก่อนลุกขึ้นคว้าเสื้อโค้ทผ้าสักหลาดสีน้ำเงินเข้มที่พาดอยู่บนเก้าอี้ขึ้นมาสวม
    “คงต้องขอตัวแล้วหล่ะครับ ท่านพ่อ ท่านแม่”
    “จะไปแล้วเหรอจ๊ะ? ยังทานแซนด์วิชไม่หมดเลยนะ”
    แม้ท่านแม่จะทักท้วงเช่นนั้น หากผมทำได้เพียงกล่าวอธิบาย
    “ขออภัยจริงๆครับ แต่ผมมีสอนตอนเช้า”
    “รถม้าหล่ะ? ให้คนไปเตรียมซิ!!” ท่านแม่ลุกขึ้นสั่งคนรับใช้ หากผมแตะแขนท่านไว้เพียงแผ่วเบาแล้วบอกยิ้มๆ
    “ไม่ต้องหรอกครับ วันนี้อากาศดี ที่ทำงานผมก็ไม่ได้อยู่ไกล อยากเดินไปเรื่อยๆมากกว่า”

    ท่านแม่หันไปสบตากับท่านพ่อที่กำลังยิ้มขำ แล้วท่าก็ถอนใจ
    “งั้นก็ตามใจลูกแล้วกันจ้ะ”

    ผมโน้มตัวลงโอบท่านแล้วแนบใบหน้ากับแก้มนิ่มนวลของท่านทั้งสองด้านขณะที่รู้สึกว่าวงแขนของท่านที่รัดตัวผมไว้นั้นแนบแน่นยิ่งนัก “ไปนะครับท่านแม่”
    “จ้ะๆ เดินทางดีๆนะพ่อคุณ”

    ท่านพ่อพับหนังสือพิมพ์ลงพลางกล่าวกับผม ดวงตาของท่านเองก็ฉายความรู้สึกห่วงใยไม่แพ้ท่านแม่ทีเดียว
    “ขยันทำงานก็เป็นเรื่องที่ดีนะKira เพราะการที่ลูกใช้ความรู้ที่อุตส่าห์ไปร่ำเรียนถึงต่างบ้านต่างเมืองอย่างเต็มที่ มันก็เท่ากับเป็นการตอบแทนสังคมรอบข้างที่ให้โอกาสเรา แต่ถึงยังไง....”
    ผมนิ่งคำนั้นฟังอย่างตั้งใจ
    “ก็อย่าจริงจังมากเสียจนเกิดผลเสียกับตัวเราเองนะลูก”
    “ขอบพระคุณที่เป็นห่วงครับท่านพ่อ ผมจะจำเอาไว้”
    #####################################

    ที่โต๊ะอาหารเช้ากลางสวนสวย หลังจากที่บุตรชายคล้อยหลังไปแล้ว Lady Calida Yamatoและท่านฑูตผู้เป็นสามีก็ยังคงสนทนากันต่อไป
    และหัวข้อการสนทนาของเลดี้Yamatoก็ยังไม่พ้นเรื่องของบุตรชายอยู่นั่นเอง
    “Kiraน่ะ ไปทำงานแต่เช้า กว่าจะเลิกก็ค่ำมืด ดิชั้นหล่ะเป็นห่วงความปลอดภัยของลูกเหลือเกิน”

    เมื่อได้ยินภรรยาบ่นเช่นนั้น ผู้นำตระกูลYamatoก็ได้แต่อมยิ้มขำๆ และแกล้งกระเซ้านาง
    “รู้สึกว่ายิ่งลูกกลับมาอยู่ใกล้ๆเช่นนี้ คุณหญิงจะยิ่งเป็นห่วงนะ”
    Lady Calidaเชิดหน้าขึ้นพลางค้อนสามีตนเสียวงใหญ่
    “ก็ดิชั้นเป็นแม่นี่คะ จะอยู่ใกล้หรือไกลตา ดิชั้นก็เป็นห่วงทั้งสิ้นแหล่ะ!”

    “คุณหญิงน่าจะภูมิใจนะ สมัยนี้มันยุคของคนทำงาน คนหนุ่มที่มีพลังก็ควรนำความสามารถมาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม หมดยุคของพวกคนรวยที่เอาแต่กินบุญเก่าที่บรรพบุรุษสร้างแล้วหล่ะคุณ”ท่านฑูตYamatoอธิบายขณะที่จิบชาร้อนตบท้ายมื้ออาหารอย่างสบายอกสบายใจ ตรงข้ามกับผู้เป็นศรีภรรยาสิ้นเชิง
    “ที่ท่านฑูตพูดมามันก็ถูกอยู่หรอกค่ะ แต่แหม.... ดิชั้นน่ะเกรงว่า....”
    ครั้นนางกำลังจะกล่าวให้จบ ก็ถูกสามีพูดขัดขึ้นอย่างรู้ทันเสียก่อน
    “คุณหญิงเกรงว่า ลูกชายจะเอาแต่ทำงานจนไม่มีเวลาหาคู่ครองล่ะสิ?”

    นั่นทำให้Lady Calidaต้องร้อง
    “คุณหล่ะก็! รู้ทันดิชั้นเสียเรื่อย!!”
    ท่านฑูตหัวเราะเบาๆอย่างอารมณ์ดีขณะที่ลุกขึ้นไปโอบบ่าภริยาเอาไว้
    “ปล่อยไปตามธรรมชาติเถอะคุณหญิง แม้KiraถูกใจชอบพอกับLady Fllay Allsterจริงอย่างที่คุณหญิงหวัง มันก็เป็นเรื่องของคนสองคนที่ต้องจัดการกันต่อไปเองนะ”

    “แต่แหม.... Kiraเอาแต่ทุ่มเทเวลาให้งานการเช่นนี้ จะมีเวลาที่ไหนไปสานความสัมพันธ์กับฝ่ายโน้นเค้าต่อหล่ะคะ? นี่ได้เจอและพูดคุยกันเพียงครั้งสองครั้งจากการมาทานมื้อค่ำกับเลี้ยงชายามบ่ายเท่านั้นเอง ซ้ำยังไม่มีโอกาสได้ใกล้ชิดกันตามลำพังอีก”
    “น่าๆ อย่ากังวลไปเลยน่า คุณหญิง” ท่านฑูตYamatoตัดบทหลังจากฟังภรรยาบ่นเสียยืดยาว “คนจะรักกันชอบกัน มีแต่พระเจ้านะที่ลิขิตได้”

    ได้ฟังเช่นนั้น ท่านผู้หญิงของท่านฑูตก็ทำเสียงฮึดฮัดไม่พอใจพลางประชดเล็กๆ
    “เจ้าค่ะ! ดิชั้นก็หวังเช่นนั้นหล่ะค่ะ ได้แต่หวังว่าพระผู้เป็นเจ้าจะช่วยบันดาลไม่ให้Kiraมัวเอาเวลาไปทำอย่างอื่นหมดเสียก่อน ไม่งั้น ดิชั้นคงหมดโอกาสได้เป็นแม่ยายของตระกูลAllsterแน่ๆ”

    ท่านฑูตYamatoได้แต่ส่ายหน้าและยิ้มขำกับความดื้อรั้นของภริยา ขณะที่คิดถึงเหตุผลของการกลับบ้านค่ำมืดของบุตรชาย ทั้งๆที่เลยเวลางานไปมากแล้ว

    เนื่องจาก บุตรชายได้ขอร้องให้เขาเก็บไว้เป็นความลับต่อมารดา ในเรื่องที่....
    เขาได้ไปช่วยสอนหนังสือเด็กยิวคนนั้น

    แม้จะทำให้ผู้เป็นบิดาตกใจในครั้งแรกที่ได้ฟังเรื่องราว แต่เมื่อคิดพิเคราะห์ดูถี่ถ้วนแล้ว ท่านฑูตเองก็อดที่จะเห็นด้วยไม่ได้ว่า เป็นเรื่องที่ประเสริฐยิ่งที่บุตรชายได้ตัดสินใจทำตามปณิธานที่จะ “ให้ความรู้ในฐานะครูแก่ทุกคนโดยไม่แบ่งแยก”ดังเช่นเมื่อแรกที่เขาตั้งใจจะเป็น”ครู”

    เป็นเรื่องที่....แม้จะดูเล็กน้อยในสายตาของผู้อื่น หากสำหรับเอกอัคราชฑูตYamatoแล้ว.... เรื่องนี้กลับทำให้เขารู้สึกภาคภูมิใจในตัวบุตรชายคนเดียวยิ่งนัก
    ######################################

    “อาจารย์Yamatoครับ มีโทรศัพท์ถึงคุณครับ”
    “?” ผมเลิกคิ้วอย่างแปลกใจขณะที่วางเอกสารประกอบการสอนลงกับโต๊ะทำงานหลังจากเสร็จสิ้นการบรรยายวิชาที่ตนรับผิดชอบ “จากใครครับ?”
    “ปลายสายบอกว่า เป็นท่านที่ชื่อAthrun Zalaครับ”

    ชื่อที่ถูกกล่าวออกมานั้นทำให้ผมต้องยิ้มออกมาด้วยความรู้สึกดีใจระคนแปลกใจ ก่อนจะตรงไปรับสาย
    “ว่าไง?”
    “ไง หายไปเลยนะ อาจารย์”
    น้ำเสียงสบายๆของปลายสายทำให้ผมต้องหัวเราะ “นายก็เหมือนกันแหล่ะ Athrun”
    “ใช่ ตอนนี้ต้องทำคดีใหญ่ มันเลยวุ่นๆ แทบไม่มีเวลาส่วนตัวเลย”

    “ไม่กลับบ้านเลยสิท่า....?”
    “ก็มันยุ่งนี่” เขาแค่นหัวเราะเมื่อถูกสะกิดถึงเรื่องดังกล่าว แต่แล้วก็เปลี่ยนเรื่องคุยเสีย “นายหล่ะ? เห็นท่านป้าเขียนจดหมายไปบ่นกับท่านแม่ของชั้นว่า นายมัวแต่คร่ำเคร่งกับงานจนไม่มีเวลาไปสานสัมพันธ์กับLady Fllay Allsterต่อเลย ระวังเถอะ ฝ่ายโน้นก็มีคนหมายปองอยู่เยอะ อย่าประมาทเชียวหล่ะ”

    ผมรู้ว่าAthrunแค่พูดล้อเล่นกันประสาเพื่อนสนิท หากแล้วชื่อของหล่อนคนนั้นก็ทำให้ผมต้องหยุดนิ่งคิดถึงเรื่องดังกล่าว
    หากครั้งนี้....มิใช่ความคิดคำนึงถึงด้วยใจเสน่หาเหมือนเมื่อแรกพบกันที่งานเลี้ยงเต้นรำ แต่เพราะชื่อตระกูลของหล่อนต่างหากเล่าที่ทำให้ผมหวนคิดถึงปัญหาที่โรงละครRosettaต้องเผชิญอยู่ตอนนี้.....

    แม้Lacusจะพยายามไม่เอ่ยถึงปัญหาภายในโรงละคร เกี่ยวกับการถูกเอารัดเอาเปรียบจากเจ้าของที่ดินเช่นตระกูลAllsterก็ตามทีเถอะ.....แต่บ่อยครั้งผมมักจะได้ยินบรรดาชาวคณะอื่นๆจับกลุ่มกันหารือในกรณีดังกล่าวอยู่เป็นประจำ

    ทำให้รู้สึกลำบากใจไม่น้อยทีเดียว....

    ผมไม่ตอบสิ่งใดนอกจากพยายามหัวเราะตามน้ำไป
    “อะ...ฮะๆๆ”
    ผมสงสัยจังว่า.....Athrunเคยรับรู้เรื่องเหล่านี้จากปากของนักร้องสาวที่เขานึกรักอยู่บ้างหรือไม่?

    แต่จากที่ฟังน้ำเสียงของเขาแล้ว....ผมคิดว่า คงไม่.....

    “จริงสิ Kira นายเลิกงานสี่โมงเย็นสินะ?”
    “อื้อฮึ...ก็ใช่นะ แต่...”
    “วันนี้ชั้นไม่มีตรวจการณ์ตอนเย็น จะพานายไปเปิดหูเปิดตาหน่อย คิดว่ายังไงหล่ะ?”
    เมื่ออีกฝ่ายออกปากชวนเช่นนั้น ผมก็ต้องอึกอักเมื่อพยายามคิดหาทางอธิบาย
    “อ๊ะ....เอ้อ....แต่ว่า....”
    “ติดธุระรึ?”
    “ก็ทำนองนั้นหล่ะ....คือว่า...แบบนี้นะAthrun....”

    ขณะที่ผมกำลังจะเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ฟัง ก็มีเสียงแทรกเข้ามาไกลๆจากปลายสาย ทำให้การสนทนาถูกขัดจังหวะลงชั่วครู่ ก่อนที่Athrunจะพูดตัดบท
    “ถ้าไม่ว่างก็ไม่เป็นไร โอกาสหน้าก็ได้ แต่ตอนนี้ขอโทษทีนะKira ชั้นถูกเจ้านายตามตัวพอดี ไว้จะโทรไปใหม่ เท่านี้แล้วกันนะ”
    “อ๊ะ....เอ้อ....Athrun ....เอ้อ....”
    “หือ?”
    “เออๆ ไม่เป็นไร” ผมนึกอยากจะกัดปากตัวเองที่พูดไม่ออก “ไว้ค่อยคุยกัน”

    ผมวางโทรศัพท์ลงบนแป้นเงียบกริบ รู้สึกเกลียดตัวเองพิกล ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทำตัวเหมือนเป็นคนมีความลับเช่นนี้ แม้แต่กับเพื่อนรักเช่นAthrun
    ผมรู้ว่า....ลึกๆแล้ว ไม่ควรทำเช่นนี้
    ไม่อยากปิดบังเพื่อน
    แต่ไม่รู้ว่าทำไม มันถึงพูดไม่ออก

    ไม่รู้จะอธิบายยังไงให้หมอนั่นเข้าใจ....

    ความคิดเรื่องดังกล่าววนเวียนอยู่ในสมองเช่นนั้นจนแทบไม่มีสมาธิ กระทั่งเวลาล่วงเลยผ่านไป....สิ่งแวดล้อมแปรเปลี่ยนจากสถาบันการศึกษาที่ผมทำงานอยู่ไปสู่ริมถนนทางเดินในย่านBank Siteที่คราคร่ำไปด้วยความวุ่นวายของกลุ่มคนและรถม้าวิ่งขวักไขว่ ภาพที่ผมมองไปรอบๆและเริ่มจะชินตาคุ้นเคยกับมัน....

    ผมเดินผ่านเลยประตูเหล็กดัดบานยักษ์หน้าโรงละครไป5-6เมตร ก็พบกับประตูอีกบานที่ถูกใช้สำหรับทีมงานของโรงละครเท่านั้น ประตูไม้สลักลงยาสีน้ำตาลเข้มตัดกับสีของกำแพงอิฐขาว ด้านหน้าประตูห้อยป้าย “เฉพาะเจ้าหน้าที่โรงละครเท่านั้น” ผมอ่านมันแล้วก็ต้องยิ้ม

    ทั้งๆที่ไม่เคยสนใจเรื่องโรงละครเลยสักนิด แม้แต่ตอนอยู่ที่ปารีสก็ตาม หากตอนนี้...จะเรียกว่า ผมเองก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่ไปแล้วกระมัง

    หลังบานประตูผมได้ยินเสียงแผ่วพลิ้วของเส้นสายพิณลอยตามลมมา เพลงสั้นๆที่มีท่วงทำนองสดใส แม้จะยังไม่คล่องแคล่วนัก แต่ผมรู้ดีว่า...คนเล่นคงตั้งใจมากทีเดียว
    ผมผลักประตูเข้าไปภายใน เดินผ่านสวนหย่อมเล็กๆไปจนถึงหน้าห้องฝึกซ้อมดนตรีของลูกศิษย์ตัวน้อย พอชะโงกหน้าแอบดูภายใน ก็พบว่าแกกำลังตั้งอกตั้งใจบรรจงบรรเลงเส้นเสียงบนฮาร์ปตัวใหญ่นั้นอย่างเต็มที่ ดวงตาสีลูกหว้ากลมโตนั้นฉายประกายสดใส

    ผมนึกชมหล่อน.....คนที่เลือกให้Stellarเล่นดนตรี ในการบำบัดจิตใจที่บอบช้ำของวัยเด็กเช่นนั้น

    “Kiraคะ”
    “อุ๊บ!!!”
    เสียงใสๆที่ทำให้ผมต้องตกใจสะดุ้ง เรือนผมสีPink Blondตกเคลียแก้มยามหล่อนเอียงคอทักทายผม ดวงตาสีฟ้าครามสวยใสราวท้องทะเลวันนี้.... ยังคงแจ่มจรัสเช่นทุกวัน

    “Lacus…. มาเงียบๆนะครับ”
    ผมทักตอบพลางถอนใจโล่งอกเฮือกใหญ่ หากหล่อนกลับหัวเราะคิกล้อเล่น
    “ขวัญอ่อนจังนะคะ วันนี้มาเร็วจริง Stellarยังอยู่ในชั่วโมงเรียนฮาร์ปอยู่เลยค่ะ เข้ามาข้างในก่อนสิคะ” หล่อนกล่าวเชื้อเชิญผมให้เข้าไปด้านหลังโรงละคร ส่วนที่เป็นห้องพักนักแสดง
    “รบกวน....”
    ผมพูดยังไม่ทันจบ Lacus...ก็กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเจือขัน
    “ขี้เกรงใจจังเลยนะคะ คุณน่ะ.... ทั้งที่มาสอนหนังสือStellarที่นี่ตั้งหลายหนแล้ว เนี่ย ใครๆเค้าก็จำคุณได้แล้วค่ะ ไม่เห็นต้องเขินเลย มาเถอะค่ะ”

    เจ้าลูกหมาขนขาวฟูที่ชื่อHaloวิ่งปริ๋อมาสมทบกับเจ้านายของมันหลังจากที่ทั้งผมและหล่อนก้าวเข้าไปข้างในอาคาร พอทักทายผมด้วยการตะกุยตะกายขาแข้งพอเป็นพิธีแล้ว นายสาวของมันก็อุ้มมันขึ้นมาแนบอก
    “จำHaloได้ใช่มั๊ยคะ? Kira มันเป็นเพื่อนของชั้นเองค่ะ”
    “ครับ” ผมพยักหน้าพลางยิ้มรับขำๆ เจ้าตัวเล็กขนฟูทำหน้าตาใสซื่อน่าเอ็นดูเสียจนผมอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปลูบหัวกลมๆฟูๆนุ่มๆของมัน “เจ้าบ้านคนแรกที่ออกมาต้อนรับผม”
    “เจ้านี่รู้ดีไปทุกเรื่องเลยค่ะ Athrunเค้าเอามาให้ชั้นเมื่อคริสมาสต์ปีที่แล้วน่ะค่ะ มันน่ารักมากจนใครๆก็รุมรัก ต่อให้ซนแค่ไหนก็ไม่มีใครโกรธมันลงเลย” นักร้องสาวอุ้มสุนัขตัวโปรดขึ้นกอดอย่างแสนรัก “เนอะ Halo”

    ผมพยักหน้ายิ้มรับ หากแท้จริง....ตนเองกลับรู้สึกใจหายไม่น้อยเมื่อได้ฟังสิ่งที่หล่อนได้เล่าให้ฟังด้วยสีหน้าเปี่ยมความสุขเช่นนั้น

    เราหยุดนั่งลงที่โต๊ะหินอ่อนในสวน หลังจากปล่อยให้เจ้าHaloลงไปวิ่งเล่นที่สนามหญ้าแล้ว Lacusก็หันไปรินชากลิ่นมะลิหอมๆลงในถ้วย แล้วจึงเลื่อนส่งให้ผม

    ครั้นแล้ว หล่อนก็มีสีหน้าราวนึกบางอย่างออก จึงบอกผม
    “อา.... จริงสิคะ วันนี้Athrunติดต่อมาหาดิชั้นเมื่อเช้าว่า จะแวะมาเยี่ยม คิดว่าหมวดAsukaเองก็คงมาเยี่ยมStellarด้วยเช่นกันหล่ะค่ะ “
    และสิ่งที่หล่อนบอกให้รู้ ก็แทบทำให้ผมเกือบทำชาร้อนกระฉอกลวกมือตัวเอง!!
    “Kiraคะ?”
    “ขะ...ขออภัยครับ!! ชามันร้อนน่ะครับ”

    ริมฝีปากอ่อนบางสีกุหลาบเรื่อแย้มยิ้มขณะที่กล่าวขึ้นตรงไปตรงมา
    “ดูท่า.... คุณคงกำลังลำบากใจอยู่สินะคะ....?”
    “อ๊ะ.... เอ้อ....”ดวงตาสีฟ้าครามกลมโตคู่นั้นจ้องเป๋งมาเสียจนทำให้ผมต้องยอมรับแต่โดยดี “...ครับ...ผม...ยังไม่ได้บอกหมอนั่นเลยว่า.... มาสอนหนังสือให้Stellarที่นี่.....”

    น้ำเสียงของผมคงจะอ่อนอ่อยเสียเต็มกำลัง จนทำให้สาวน้อยตรงหน้าอมยิ้มขำ
    “คุณนี่ รักเพื่อนจังเลยนะคะ น่าอิจฉาAthrunจัง” หล่อนลดมือที่ป้องเสียงหัวเราะคิกลง ก่อนกล่าวกับผมต่อ “ดิชั้นแน่ใจว่า Athrunต้องยินดีมากแน่ๆค่ะ”
    “เอ๋?”
    “เรื่องที่คุณอุทิศเวลาจากภารกิจหลายอย่าง มาเพื่อสอนหนังสือStellarที่นี่น่ะสิคะ”

    ดวงตาสีฟ้าครามสวยสดใสฉายความเชื่อมั่นจริงจังยามแย้มริมฝีปากกล่าว
    “อย่าห่วงเลยค่ะ Athrunเค้าทราบเรื่องของStellarดีทุกอย่าง รวมทั้ง ในฐานะที่เขาเป็นเพื่อนรักของคุณ เขาย่อมรู้จักคุณดี มิใช่หรือคะ?”

    สิ่งที่หล่อนพูดมานั้น....ถูกต้องแน่นอน...แต่ตอนนี้ผมกลับวางสีหน้าไม่ถูก เพราะสิ่งที่ผมกังวลในตอนนี้...ไม่เกี่ยวกับแม่หนูลูกศิษย์ของผมเลย
    แต่เกี่ยวกับ....หล่อนที่นั่งอยู่ตรงหน้าของผมเช่นนี้....เพียงคนเดียว
    ######################################

    ล่วงเข้าสู่ช่วงบ่ายจัดๆ ณ อาคารกองบัญชาการหน่วยสก็อตแลนด์ยาร์ดที่ถนนไวท์ฮอลล์ หลังการประชุมสรุปผลงานของหน่วยประจำสัปดาห์จบสิ้นลง

    “ผู้กองZala”
    เสียงเรียกทุ้มนุ่มหากแฝงด้วยความสุขุมของผู้บัญชาการหน่วยดังขึ้น ทำให้ทั้งผมและหมวดAsukaต้องหันกลับไปยืนตรงและยกมือขึ้นทำความเคารพ
    “ท่านผู้การDurandal”

    พลตรีGilbert Durandal ผู้บัญชาการสูงสุดของหน่วยสก็อตแลนด์ยาร์ดยกมือขึ้นเป็นเชิงรับความเคารพจากผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งสอง แล้วเขาจึงกล่าวด้วยรอยยิ้มที่มุมปาก
    “เมื่อครู่ ผมได้ฟังสรุปสถานการณ์คดีกลุ่มโจรค้ายาเสพติดข้ามชาติของคุณแล้ว ละเอียดถี่ถ้วนดีมากทีเดียว”
    “ขอบพระคุณครับท่าน” ผมตอบรับคำชื่นชมนั้นตามมารยาท ขณะที่ฝ่ายผู้หมวดรุ่นน้องดูจะเกร็งกับการสนทนากับผบ.สูงสุดของกรมครั้งนี้มากทีเดียว นี่ถ้าไม่ได้อยู่ต่อหน้าเจ้านาย ผมคงหาอะไรมาซับเหงื่อที่แตกพลั่กๆเต็มหน้าของเจ้าหนุ่มนี่เป็นแน่

    “ผลงานของคุณเป็นที่น่าพอใจมากทีเดียวเลย ผู้กองZala โดยเฉพาะช่วง2-3เดือนให้หลังมานี้ หลายคดีปิดลงได้อย่างรวดเร็ว จากที่ผมได้อ่านคำวิจารณ์เชิงบวกเกี่ยวกับสก็อตแลนด์ยาร์ดตามหน้าหนังสือพิมพ์หัวต่างๆ เป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่น่าชื่นชมแก่หน่วยเราเป็นอันมาก”
    ผู้การหนุ่มใหญ่กล่าวด้วยสีหน้าพึงพอใจ ขณะที่ผมคิดว่า....หางตาตัวเองเหลือบไปเห็นสีหน้าเดือดจัดจนอยากจะเต้นเร่าๆของสารวัตรJules ซึ่งทำให้ผมต้องพยายามสำรวมสุดชีวิตที่จะไม่หลุดเสียงหัวเราะขันออกมาต่อหน้าเจ้านายใหญ่

    “เป็นเพราะ...ทางสารวัตรJulesมอบโอกาสในการสร้างผลงานแก่ผมน่ะครับ ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ การที่ท่านผู้การให้อิสระในการตัดสินใจขั้นสุดท้ายของคดีดังกล่าวแก่ผมโดยตรงด้วย ผลงานของพวกเราที่เหน็ดเหนื่อยกันมาจึงน่าชื่นชมเช่นนี้ และทั้งหมดก็ไม่ใช่เพราะผมเพียงผู้เดียว แต่ยังมีบรรดาตำรวจนายอื่นๆด้วยที่ทุ่มเทให้กับคดีต่างๆเหล่านั้นด้วย” ผมรายงานตอบไปตามน้ำด้วยเสียงราบเรียบ และดูเหมือนจะทำให้อีกฝ่ายพอใจไม่น้อยกับคำตอบที่ได้รับ

    “นั่นเป็นเรื่องจริงแท้แน่นอนที่คุณกล่าว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เพราะผมยังเชื่อในศักยภาพของคุณด้วยไงหล่ะ ผู้กองZala โดยเฉพาะสายเลือดความเป็นอัจริยบุคคลที่คุณได้รับมาจากท่านนายพล นั่นยิ่งทำให้ผมมั่นใจว่า คุณจะไม่ทำให้ผมผิดหวัง”

    เขากล่าวชื่นชมผมด้วยรอยยิ้มที่มุมปากเพียงบางๆ โดยทั่วไป การได้รับคำสรรเสริญเช่นนั้นจากผู้บังคับบัญชาน่าจะทำให้รู้สึกภาคภูมิใจ....
    หากสำหรับผม....มันกลับเป็นประโยคที่ชวนทำให้รู้สึกอึดอัดใจนัก

    ผมยิ้มรับอย่างสุภาพ พยายามสงบใจลงเมื่อผู้การDurandalก้าวเข้าใกล้มากขึ้น
    “ผมจะพิจารณาการเลื่อนตำแหน่งให้คุณเร็วๆนี้ บางที...ก่อนหน้านั้น อาจจะขอให้คุณไปช่วยงานที่หน้าห้องบ้าง” ท่านวางมือลงบนบ่าของผมเบาๆ “อย่างไรก็ตาม จากนี้ไปก็ตั้งใจให้เต็มที่แล้วกันนะผู้กอง”

    “.....ครับ....” เสียงรับคำของผมนั้นเพียงแผ่วเบาราวพึมพำ

    ผู้การDurandalผละจากการสนทนากับผม เพื่อตามไปสมทบกับคณะของนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ท่านอื่นๆต่อไป ผมจ้องมองภาพเบื้องหลังของผู้บัญชาการสูงสุดด้วยความรู้สึกกระอักกระอ่วนใจข้างในพิกล ชายผู้นั้น....Gilbert Durandal….บุรุษผู้กุมอำนาจสูงสุดของหน่วยสก็อตแลนด์ยาร์ด ไต่เต้ามาจากการเป็นนายตำรวจชั้นผู้น้อย แต่ด้วยสติปัญญา ความสามารถ รูปสมบัติและคุณสมบัติซึ่งเป็นที่ถูกใจของทั้งนายและลูกน้อง ทำให้เมื่อไม่กี่ปีมานี้....เขาจึงได้เข้ารับตำแหน่งผู้บังคับการสูงสุดของหน่วยเราในที่สุด

    ความนิยมในตัวของนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ท่านนี้....มิใช่จำกัดอยู่เฉพาะวงการข้าราชการเท่านั้น แต่รวมถึงเหล่าพลเรือนธรรมดา และ...ถ้าข่าวลือเป็นความจริง....แม้ราชสำนักยังถูกใจเขา

    แต่....ผมไม่แน่ใจว่าคิดไปเองหรือไม่....หากทุกครั้งที่ต้องเผชิญหน้ากับชายผู้นี้ ภายใต้ใบหน้าที่อ่อนโยน คำพูดคำจาที่สุภาพหวานหูผู้ฟัง....ดวงตาเรียวคู่นั้นกลับคมกริบราวดวงตาของพญางูพิษ

    เต็มไปด้วยเล่ห์กล และพิษร้ายกระนั้น

    นั่นคือความรู้สึกของผมที่มองเขา ตั้งแต่เมื่อได้พบกัน ด้วยการแนะนำของท่านพ่อ....ตอนที่ท่านฝากฝังให้ผมเข้ารับราชการที่หน่วยแห่งนี้
    พลตรีDurandal....ไม่ใช่บุคคลที่น่าไว้วางใจนัก
    ผมได้แต่เก็บความคิดเช่นนี้ไว้ในใจเงียบๆ ท่ามกลางคะแนนนิยมในตัวของบุคคลท่านนั้นที่พุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ

    แม้แต่ท่านพ่อของผมเองก็ยังมักแสดงทีท่าชื่นชมบุรุษผู้นี้บ่อยครั้ง....ทั้งที่ปกติ ท่านพ่อไม่ใช่คนที่ชอบพูดถึงผู้อื่นในแง่ดีเท่าใดนัก ……

    “ผู้กองครับ.... จะย้ายไปหน้าห้องผู้การDurandalจริงๆเหรอครับ?”
    เสียงคำถามของหมวดAsukaปลุกผมจากความคิดเมื่อครู่ ผมยืดตัวขึ้นสบัดเสื้อโค้ทสีกรมท่าตัวยาวขึ้นสวม
    “ไม่รู้เรอะ?”ผมตอบด้วยน้ำเสียงไม่ใส่ใจ “เรื่องแบบนี้ มันก็ต้องแล้วแต่เจ้านายจะมีคำสั่งมานี่”

    หมวดShin Asukaทำหน้าไม่เข้าใจ จนผมต้องกลั้นยิ้ม
    “เอ๋? แล้วคดีแก๊งค์ค้ายาข้ามชาติที่Bank site….”
    “ถ้าได้ย้ายไปหน้าห้องของเจ้านาย นอกจากจะไม่ต้องเปลืองแรงวิ่งไล่จับคนร้ายแล้ว.... ยังไม่เปลืองสมองให้คิดหาทางคลี่คลายคดีด้วยนะหมวด เงินเดือนรึ ก็ดีกว่าตรงนี้หลายเท่า แถมยังมีเบี้ยเลี้ยงพิเศษอีก ถ้ามีคำสั่งลงมา ชั้นไม่คว้าไว้ ก็โง่มั๊ยหล่ะ?” ผมพูดติดตลกขณะที่เดินนำหน้าผู้หมวดรุ่นน้องไปก่อน แต่ดูท่าอีกฝ่ายจะไม่ตลกด้วย
    “ผู้กอง??”
    “ถ้าจะต้องย้าย มันก็ยังไม่ใช่ตอนนี้หรอกน่า คิดมากไปได้.....เอ้า! ไปกันเถอะหมวดAsuka เดี๋ยวStellarจะรอนาน อ้อ...ก่อนเข้าไป เราแวะซื้ออะไรติดไม้ติดมือไปฝากแกด้วยดีกว่านะ”

    “จะไปที่Rosettaเหรอครับ??เอ๋?? ตะ...แต่ผมได้ยินมาว่า เย็นนี้ ท่านนายพลZalaจะจัดเลี้ยงดินเนอร์ดูตัวให้ผู้กอง.....”
    ผมหยุดเดินทันทีเมื่อได้ยินเรื่องดังกล่าว....ชักจะไม่สบอารมณ์ขึ้นมาซะแล้วสิ.... ถูกต้อง! ท่านนายพลPatrick Zalaผู้มีอำนาจล้นกองทัพคงกลัวว่าบุตรชายจะขายไม่ออก เมื่อเช้าถึงกับให้คนเดินสาส์นมาหาถึงที่ทำงาน และแจ้งเรื่องดังกล่าวให้ผมทราบ

    ช่างเป็นบิดาที่ประเสริฐเสียจริง!

    แต่.....
    “ใครสนหล่ะ?” ผมเหลียวกลับไปมองหมวดAsukaด้วยหางตา แล้วหลังจากนั้นก็ก้าวยาวๆออกจากOfficeไป โดยได้ยินเสียงหมวดAsukaร้องไล่หลังมาว่า
    “อ้าว!!แล้วกัน!!!รอผมด้วยสิครับผู้กอง!!!”
    ###########################################

    Saint Angela Ursulineคอนแวนต์ ที่ถนนSt.George

    หากมองจากสายตาของบุคคลภายนอกแล้ว กลุ่มตึกสีขาวสูงตระหง่านหลังกำแพงและกลุ่มแมกไม้ที่รายล้อม บดบังสายตาแห่งความสงสัยนั้น เป็นดินแดนลึกลับและเงียบสงบของเหล่านางชีแห่งคริสตศาสนาผู้อุทิศตนแก่การถือศีลและรักษาพรหมจรรย์อย่างเคร่งครัด ทั้งยังเป็นสถาบันให้การศึกษา อบรมกิริยามารยาทแก่บรรดาบุตรีของเหล่าชนชั้นสูงตระกูลต่างๆที่ถูกส่งมาจากทั่วเกาะอังกฤษ เพื่อให้หล่อนเหล่านั้นได้เติบใหญ่กลายเป็น “เลดี้”ผู้งามสง่า งดงามและเพียบพร้อมในคุณสมบัติแห่งกุลสตรี

    ย้ำอีกครั้งว่า....นั่นเป็นมโนภาพของบุคคลภายนอก

    ไม่มีใครรู้หรอกว่า....ในความเป็นจริงแล้ว.....คอนแวนต์แห่งนี้….
    มีเรื่องยุ่งวุ่นวายอึกทึกครึกโครมเกิดขึ้นเป็นประจำแหล่ะ!

    เสียงชายกระโปรงผ้าสักลาดสีดำดังพึ่บพั่บๆเป็นจังหวะราวเสียงย่ำเท้าของขบวนทหารราชองครักษ์รักษาพระองค์ที่ชั้นเคยเห็นการแปรขบวนหน้าพระราชวังบักกิ้งแฮมก็ไม่ปาน ใบหน้าขมึงเข้มด้วยความดุดันของแม่ชีสาวผู้นำกลุ่ม “อาจารย์ฝ่ายปกครอง”นั้น ทำให้บรรดาเด็กนักเรียนสาวที่กำลังอยู่ในชั่วโมงพักผ่อนขวัญกระเจิงไปตามๆกัน หลายคนห่อไหล่ด้วยความตระหนก ด้วยไม่เข้าใจว่า เหตุใด “นางสิงห์” เช่นMadame St. Natale จึงนำคณาจารย์ฝ่ายปกครองและระเบียบวินัยของคอนแวนต์มาออกเดินตรวจการณ์ในเวลาเช่นนี้

    ยิ่งมากันเป็นขบวนใหญ่เช่นนี้ แสดงว่า....ไม่ใช่เรื่องธรรมดา!!!

    “หาจนทั่วชั้นสองแล้วค่ะ Madame “
    “ดูในห้องน้ำหรือยัง?”
    “ให้Madame St. Audreyไปดูแล้วค่ะ “

    นางสิงห์พยักหน้า แต่ก็มิได้รู้สึกพออกพอใจ หล่อนออกคำสั่งด้วยเสียงทรงอำนาจ
    “ตามหาต่อไป!!คราวนี้ต้องจับให้ได้คาหนังคาเขา!!ให้ตายสิ!!ลงโทษเท่าไหร่ก็ไม่หลาบไม่จำเสียที!!!” ท้ายประโยคหล่อนเบาเสียงลงเพียงในลำคอ ก่อนจะนำขบวนเหล่าSisterนางชีฝ่ายปกครองก้าวผ่านระเบียงอาคารเรียนไปรวดเร็วปานพายุไต้ฝุ่น

    “นั่นมันเรื่องอะไรกันน่ะค่ะพี่Lunar? ทำไมพวกMadame St. Nataleถึง.....”เด็กนักเรียนสาวผมแดงที่ดูจากสีฟ้าของริบบิ้นผูกผมแกละทั้งสองข้างแล้ว คงเป็นรุ่นน้องเกรด8กระซิบถามพี่สาวซึ่งยืนอยู่เคียงข้าง
    “ก็มีอยู่เหตุเดียวแหล่ะ” Lady Lunarmaria Hawk ดาวเด่นประจำเกรด11เอียงหน้าตอบผู้เป็นน้องสาว “กลุ่มเซี้ยวๆของคุณหนูตระกูลAthhaก่อเรื่องอีกแหงๆ”

    ในที่สุดเสียงระฆังสัญญาณการเข้าเตรียมเข้าสู่พิธีสวดมนต์ประจำสัปดาห์ก็ดังขึ้นเหง่งหง่าง ทำให้เหล่าเด็กสาวนักเรียนคอนแวนต์ทุกระดับชั้นต้องรีบยุติกิจกรรมที่ตนกำลังทำอยู่ในทันที เพราะเกรงว่าหากมัวชักช้า นอกจากจะไปไม่ทันการพิธีเริ่มแล้ว อาจมีบทลงโทษอื่นๆรออยู่ก็ได้
    “เอ้า! เด็กๆ!!อย่ามัวแต่เล่นกันเพลินนะจ๊ะ รีบไปเข้าแถวที่หน้าโบสถ์เร็วเข้าเชียว!! ครูให้เวลาพวกคุณอีก5นาทีนะ อย่าให้ช้ากว่านี้นะ”
    สาวๆในชุดเครื่องแบบนักเรียนคอนแวนต์ต่างทยอยกันวิ่งกันลงบันไดของอาคารตึกเรียนอย่างรีบร้อนขณะที่Sisterผู้ดูแลตึกตบมือเร่ง ไม่ถึง3นาทีกระมัง เสียงฝีเท้านับร้อยที่วิ่งดังก้องไปทั่วตึกก็ค่อยๆจางหายไป เหลือแต่ความเงียบของอาคารเรียนแห่งนี้เท่านั้น

    และแล้ว....ในที่สุดก็เป็นโอกาสที่พวกเราสี่คนจะได้หายใจทั่วท้องเสียที เฮ้อ!

    “ไปแล้วๆ” Mayuraกระซิบกระซาบหลังจากชะโงกหน้าออกไปดูอย่างระมัดระวัง
    “แน่นะ?” Juriถามเพื่อความแน่ใจ “ไม่ใช่ว่าโผล่มาแบบคราวที่แล้วอีกนะ?”
    “เออน่าตัวเอง คราวนี้ ชัวร์ไม่มั่วนิ่มแน่ๆ”Mayuraสวนกลับอย่างเชื่อมั่น ก่อนหันมาพยักหน้ากับเพื่อนอีกสองคนที่เหลือ พวกหล่อนค่อยๆยันตัวลุกขึ้นจากใต้ถุนอาคารที่ยกพื้นขึ้นมาเพียงแคบๆ แต่เพราะซุกตัวซ่อนอยู่กับพื้นดินเสียนาน เครื่องแบบของพวกเราที่ประกอบด้วยเสื้อเชิ้ตปกบัวสีขาวแขนยาวและกระโปรงสีน้ำเงินกรมท่ากรอมเท้า รองเท้าหนังสีดำและถุงเท้าขาว.... ถึงได้เลอะเทอะดินโคลนสีน้ำตาลจนมอมแมมไปหมด

    “Cagalli ออกมาได้แล้ว มาเร็ว” Asagiยื่นมือให้ชั้นจับหลังจากเหลียวมองซ้ายขาวหน้าหลังจนแน่ใจแล้ว ชั้นยื่นมือไปจับแล้วหล่อนก็ออกแรงดึงให้ชั้นหลุดออกมาจากที่ซ่อนแคบๆนั้นเสียที!!!

    “ฟู่...!” พอหลุดออกมาได้ ชั้นก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกโล่งใจ ก็ใต้ถุนอาคารเรียนน่ะ ทั้งเล็ก ทั้งแคบแบนแทบติดดิน จริงๆเป็นที่อยู่ของพวกเป็ดไก่ที่โบสถ์เลี้ยงไว้ด้วยซ้ำ หากตอนนี้ มันคือสถานที่ซ่อนตัวชั้นเยี่ยม

    พวก Sister คงคาดไม่ถึงแน่ๆว่า....พวกคุณหนูตระกูลผู้ดี....จะกล้าลงไปเล่นคลุกโคลนเช่นนี้

    แม้ว่าจะขลุกขลักไปนิด แต่ในที่สุดพวกเราสี่คนก็อาศัยลำต้นหนาของเหล่าทิวต้นแมกโนเลียสูงใหญ่แผ่กิ่งก้านอยู่รอบคอนแวนต์เป็นที่กำบัง และพาตัวเองไปถึงจุดหมายปลายทางที่หมายมั่นเอาไว้จนได้

    ก็กำแพงทางทิศตะวันตกของคอนแวนต์ยังไงหล่ะ!

    “มองแบบนี้แล้ว ตัวเองเหมือนหนุ่มน้อยมากๆเลยนะCagalli” Asagiออกปากชมขณะมองชั้นที่กำลังตั้งท่าจะปีนขึ้นต้นไม้ อีกสองคนพยักหน้าเห็นด้วย “นั่นสิ ก็ไม่แปลกหรอกนะ ที่จะถูกเข้าใจผิดซะแบบนั้นน่ะ”
    “พวกเธอนี่! รู้ก็รู้นะว่ามันจำเป็น ยังจะมาแซวกันอีก!”
    ชั้นทำหน้ายุ่งอย่างไม่รู้สึกสบอารมณ์นัก ก็ใช่ว่าชั้นจะชอบใจนักหนาหรอกที่ต้องมาปลอมตัวเป็นเด็กผู้ชายแบบนี้ซักหน่อย
    แต่บรรดาแม่เพื่อนสาวตัวดีทั้งสามคน ก็ยังเซ้าซี้ต่ออย่างอยากรู้อยากเห็น
    “นี่ๆ แล้วอีตาผู้กองคนนั้นน่ะ เธอจะไปพบเค้าอีกรึเปล่า?”
    “หล่อมั๊ยเธอ?”
    “ตกลงเค้าชื่ออะไร ไม่เห็นตัวยอมบอกซะที”
    ไม่รู้เพราะอะไร พอพวกหล่อนยกเรื่องนี้มาพูดทีไร ชั้นถึงรู้สึกว่าใจเต้นโครมครามจนต้องแหวขึ้น
    “นี่ๆ พอทีเถอะ!!มันเรื่องอะไรที่ชั้นต้องไปเจอหมอนั่นอีกด้วยหล่ะ? แล้วก็เลิกพูดถึงซะทีเถอะ! รู้งี้คนเค้าไม่เล่าให้ฟังซะก็ดีหรอก!!”
    “แล้วกัน Cagalli!! เรื่องเด็ดขนาดนี้ ไม่เล่าให้ฟังนะมีโกรธตายเลย อ่ะๆ! ไม่พูดแล้วก็ได้ ดูสิ โกรธจนหูตาแดงไปหมดแล้วนั่น” Juriตัดบทเพราะเห็นว่าชั้นเริ่มจะยัวะ

    แต่....ที่หน้ามันร้อนวูบวาบ...ที่ใจมันเต้นโครมๆแบบนี้ ชั้นไม่คิดว่าเพราะฉุนเพื่อนหรอก...แต่เพราะ....
    เพราะอะไร....พอคิดถึงดวงตาสีเขียวมรกตคู่นั้นแล้ว....

    “เอาเป็นว่า Cagalliอย่าลืมที่พวกเพื่อนๆฝากซื้อแล้วกันนะ”
    “จ้าๆไม่ลืมหรอก เกาลัดอบน้ำผึ้งของMayuraกับAsagi ส่วนJuriเป็นอินทผลัมแห้ง แล้วก็ขนมอื่นๆของพวกเพื่อนๆที่หอด้วย”
    “เอามาการอนกับลูกฟิกซ์นะCagalli”
    “ฝากดูผ้าลูกไม้สวยๆให้ด้วยนะ ถ้าสวยซื้อมาเลย”
    “ได้ๆ รับทราบภารกิจ”

    พวกเรายิ้มและหัวเราะให้กันคิกคักๆ หากไม่กล้าเสียงดังมาก เพราะกลัวว่าจะมีพวกนักการหรือSisterคนไหนได้ยินเข้า ทีนี้หล่ะ จบเห่กันพอดี

    ....และ...ก็เหมือน...จะจบเห่แล้วจริงๆ
    “มาทำอะไรกันแถวนี้จ๊ะ? สาวๆ”
    พวกเราสี่คนสะดุ้งเฮือกกันสุดชีวิตเมื่อเสียงหวานๆที่คุ้นเคยนั้นดังขึ้นจากเบื้องหลัง พอหันหลังกลับไปก็คิดว่าจะได้พบกับหายนะแล้วจริงๆ
    “Madame St.Erica!!!!”

    เธอคนนี้เป็นSisterผู้ดูแลห้องพยาบาลประจำหอพัก จึงมีความสนิทชิดเชื้อกับบรรดาลูกลิงลูกค่างอย่างพวกเราเป็นพิเศษ แต่ถึงกระนั้น...
    ท่านก็เป็นครูคนหนึ่ง และยิ่งมาจับพวกเราได้คาหนังคาเขาในสภาพแบบนี้….

    “ชุดแบบนั้น....” Madame Sister St. Ericaมองชุดเด็กผู้ชายที่ชั้นสวมอยู่ด้วยสีหน้าประหลาดใจ แต่แล้วก็เปลี่ยนเป็นยิ้มขัน “นี่คิดจะแอบแว่บออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกอีกแล้วใช่มั๊ยคะ? Miss Cagalli”
    พวกเราสี่คนกอดกันกลมดิกแล้วก็มองหน้ากันเองเลิ่กลั่กๆ ต่างคิดเป็นอย่างเดียวว่า

    ไม่.....รอด....แหง!!!

    สารพัดวิธีการลงโทษของคอนแวนต์ตั้งแต่ถูกจับยืนหน้าเสาธงตลอดเช้า ฟังบทเทศนาจากบรรดาSisterฝ่ายปกครองตลอดสองชั่วโมงไม่มีพัก ตามด้วยนั่งคุกเข่าสำนึกผิดที่หน้ารูปปั้นพระแม่ในโบสถ์3วัน3คืน ขัดพื้นโบสถ์ตลอดอาทิตย์ ซักผ้ารีดผ้าบรรดาชุดเครื่องแบบของนักเรียนทั้งหอไปจนถึงถูกกักบริเวณอยู่ในห้องสวดมนต์ ฯลฯ.....แค่คิดถึง....ก็อยากจะร้องไห้แล้ว!!!

    แต่ว่า เมื่อชีวิตไม่สิ้นก็ต้องดิ้นกันไปสิ!! เพราะงั้นชั้นถึงตัดสินใจงัดไม้ตายขั้นสุดท้ายออกมาใช้มันซะเลย!!!
    “โธ่!!!Madame St. Ericaขา.....”ชั้นร้องขึ้นขณะที่แทบจะเดินเข่ากราดเข้าไปกอดเอวอาจารย์แม่ชีสาวสวยผู้ใจดี พยายามทำเสียงอ่อนเสียงหวานสุดชีวิต หวังเอามารยาสาไถเข้าต่อกรเต็มที่!!

    “หนูเป็นแค่ตัวแทนของเพื่อนที่หอออกไปซื้อของที่พวกเธออยากจะได้กันม๊ากมากจากตลาดนัดCovent Gardentเท่านั้นเอง ก็ตลาดนัดนั่นน่ะมีชื่อเสียงมากเลยนะคะ อาทิตย์นึงก็มีแค่หนเดียวด้วย ทั้งไม่เปิดในวันหยุดที่พวกเราได้รับอนุญาตให้ออกไปภายนอกได้ด้วย แล้วมันก็ไม่ได้ไกลจากคอนแวนต์มากมายนักเลยนะคะ นะคะMadame หนูสัญญาด้วยเกียรติเลยว่าซื้อของให้เพื่อนๆเสร็จ หนูจะรีบกลับมาทันที จะกลับมาให้ทันช่วงมื้อค่ำด้วย! ไม่เถลไถลที่ไหนแน่นอนค่ะ นะคะๆๆๆๆ”

    พวกAsagiที่เหลือเห็นชั้นเริ่มใช้ไม้ตายออดอ้อนเช่นนั้น พวกหล่อนก็เข้ามาสมทบกอดMadame St. Ericaกันจน.... เอ้อ.... ดูเหมือนMadameท่านจะอึดอัดไม่น้อยที่ถูกรุม
    “Madameขา นะคะๆๆๆ กรุณาอย่าบอกเรื่องนี้กับMadame St. Nataleนะคะ”
    “นะคะ.....ได้โปรดเถอะค่ะ ไม่งั้นพวกหนู ไม่สิ พวกเราทั้งหอ ถูกเอาถึงตายแน่ๆเลยค่ะ”
    “ได้โปรดเถอะนะคะ คิดซะว่าสงสารเด็กผู้หญิงที่ต้องจากอกพ่ออกแม่มาพึ่งพาMadameที่คอนแวนต์แห่งนี้เถอะนะคะ”

    เสียงกระจองงองแงครางงี๊ดๆหงิงๆของพวกเรา คงทำเอา Madame St. Ericaอ่อนอกอ่อนใจไม่น้อย แล้วพวกเราก็แทบจะลิงโลดเมื่อMadameออกปากตัดรำคาญว่า
    “เอ้าๆ!!อยากไปก็ไป พวกเธอนี่จริงๆเลยนะ ทำให้ชั้นต้องผิดศีลอีกแล้วสิเนี่ย! ชั้นจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นแล้วกัน แล้วถ้าMadame St. Nataleกับบรรดาฝ่ายปกครองมาถามหา ชั้นจะบอกว่า ให้พวกเธฮไปอ่านหนังสือที่เรือนนอนของชั้นแล้วกัน”

    เพียงคำกล่าวของแม่ชีสาวผู้แสนจะใจดีน่ารักเท่านั้น ก็ทำให้พวกเราแทบอยากร้องกรี๊ดกร๊าดออกมาด้วยความดีอกดีใจ
    “แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ชั้นอนุญาตให้Miss Cagalliออกไปได้คนเดียวเท่านั้นนะจ๊ะ อีกสามคนที่เหลือต้องไปสวดมนต์ แล้วก็สารภาพบาปต่อพระแม่มารีกับชั้นที่โบสถ์เล็กนะ ตกลงมั๊ย?”

    แม้จะมีข้อจำกัด แต่พวกเราก็ตื่นเต้นดีใจมากที่ได้รับโอกาส จนอดไม่ได้ที่จะโถมตัวเข้ากอดMadameเต็มแรง
    “ค่ะ!!ขอบพระคุณมากค่ะ Madame!!!”

    Madame St. Ericaหัวเราะเบาๆ ชั้นคิดว่าใจจริงท่านเองก็คงเอ็นดูพวกเราทั้งสี่คนไม่น้อย ถึงจะแก่น จะเซี้ยวแล้วก็...ดื้อไปบ้างก็เถอะนะ ท่านรุนหลังชั้นเบาๆเป็นเชิงไล่ให้ไป
    “เอ้า! เร็วเข้าสิจ๊ะ ประเดี๋ยวความแตก พวกเราก็แย่กันหมดพอดี ยังไงก็ระวังเนื้อระวังตัวและกลับมาให้ทันมื้อค่ำตอนทุ่มครึ่งด้วยนะ เฮ้อ....จริงๆเล้ย....อีกหน่อยคงต้องให้คนงานมาตัดกิ่งก้านต้นไม้รอบกำแพงออกบ้างแล้วสิเนี่ย ไม่งั้นพวกเธอก็คงทำให้ชั้นต้องผิดบาปต่อพระเจ้าเรื่อยไปแน่ๆ”
    “อย่าห่วงเลยค่ะ Madame” ชั้นหัวเราะกิ๊กกั๊กแล้วหลิ่วตาให้เพื่อนสาว3คนก่อนจะตวัดตัวปีนขึ้นไปบนต้นไม้อย่างคล่องแคล่ว
    “ต้นไม้พวกนี้น่ะ มันโตไว ฝนตกลงมาแพล็บๆก็แตกกิ่งก้านใหม่จนได้ล่ะค่ะ”
    ################################################
  15. whitewing

    whitewing New Member

    EXP:
    120
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0

    แสงแดดอ่อนจางและอากาศภายนอกตอนเกือบๆจะ4โมงเย็นเช่นนี้ ทำให้รู้สึกสดชื่นเหลือเกิน ชั้นนึกขอบคุณฟ้าฝนที่ไม่ตกลงมาวันนี้ ไม่งั้นคงหมดสนุกไปไม่น้อย เหล่าผู้คนจากหลายชั้นวรรณะเดินกันขวักไขว่ปะปนไหล่ชนไหล่อยู่ภายในตลาดนัดCovent Gardentอันแสนโด่งดัง บรรดาแผงลอยค้าสินค้านานาชนิดทั้งของใช้กระจุกกระจิกของสุภาพสตรี เครื่องหอม ผ้าลูกไม้สวยๆที่นำมาขายในราคาถูกตลอดจนอาหารการกินทุกประเภทถูกจัดวางไว้แยกประเภทจากกันเพื่อสะดวกแก่การเลือกจับจ่าย ชั้นแวะเวียนเข้าออกแผงโน้นแผงนี้อย่างรู้สึกเบิกบานใจ แต่ก็ไม่ลืมที่จะรีบซื้อของที่เหล่าสหายฝากมาจนครบเสียก่อน

    ดีว่าพวกนั้นไม่ได้ฝากซื้ออะไรที่มันหนักมากนัก ชั้นถึงหิ้วถุงข้าวของได้อย่างสบายๆหลังทำภารกิจเบื้องต้นได้เรียบร้อย ทีนี้ก็เป็นคราวที่จะได้หาซื้ออะไรๆให้ตัวเองบ้างเสียทีเนอะ ชั้นคิดแล้วก็ยิ้มแช่มชื่นอยู่คนเดียว

    แต่ว่า....ถ้าจำไม่ผิด....เรื่องที่มาเดินซื้อของอยู่คนเดียวแบบนี้ เหมือนจะเคยเกิดขึ้นมาก่อน....ตอนช่วงวาเลนไทน์เมื่อปีที่แล้วกระมัง

    เมื่อความคิดมาถึงเรื่องนี้ ชั้นก็หยุดเดิน ด้วยเพราะคิดถึงเหตุการณ์ในวันนั้น
    มีบางเรื่องที่ติดค้างอยู่ในใจ ....แต่นึกยังไงก็นึกไม่ออก

    ชั้นสะบัดหน้าพรืด พยายามสลัดความคิดไร้สาระเช่นนั้นไป อุตส่าห์ได้ออกมาเที่ยวข้างนอกคอนแวนต์แล้วแท้ๆ ชั้นจะทำตามใจตัวเองซะที!
    “แอปเปิ้ลจ้า แอปเปิ้ลหวานๆจ้า”
    เสียงเรียกแจ๋วๆของแม่ค้าผลไม้ซึ่งกำลังนั่งอยู่หลังแผงผลไม้สดนานาชนิดทำให้ชั้นต้องแวะเข้าไปอย่างสนอกสนใจ กองลูกพีช ลูกแพร์ ผลส้มวางแบ่งแยกจากกัน แต่ที่ดึงดูดสายตาจากลูกค้ามากที่สุดเห็นจะเป็นกองแอปเปิ้ลสีแดงสดผิวเกลี้ยงมันวาว

    หน้าแผงผลไม้นั้นมีลูกค้าอออยู่บ้างเหมือนกัน กว่าจะแทรกตัวเข้าไปได้ก็เกือบแย่
    “ลองชิมซักผลก่อนสิจ๊ะ แอปเปิ้ลสดๆจากสวนทางใต้เชียวนะ หวาน กรอบ ชื่นใจจ้า”
    ได้ยินแม่ค้าโฆษณาไว้เช่นนั้น ชั้นก็เอื้อมมือไปที่แผงผลไม้ตรงหน้า ตั้งใจจะหยิบมาชิมซักลูกเหมือนกัน

    “งั้น ไม่เกรงใจหล่ะนะ”

    เสียงพูดของชั้นมีเสียงที่ห้าวและทุ้มกว่าดังซ้อนขึ้นในประโยคเดียวกัน แต่นั่นยังไม่น่าตกใจเท่าเมื่อเงยหน้าขึ้นมองร่างสูงกว่าที่ยืนอยู่ใต้ชายคาแผงผลไม้เดียวกัน และต้องพบกับดวงตาสีมรกตที่ฉายความประหลาดใจเต็มที่บนใบหน้าคมเข้มซึ่งล้อมกรอบด้วยเรือนผมสีน้ำเงินเกือบดำเป็นมัน

    ชั้นได้แต่ตกใจช็อคตาค้าง พูดไม่ออก
    “ค....คุณ...!!!!”
    “เธอ.....”เขามองชั้นด้วยความแปลกใจครู่เดียวก็เปลี่ยนเป็นยิ้ม ชั้นนึกแว้ดอยู่ในใจว่าอย่ามายิ้มแบบนั้นนะ!แต่สิ่งที่พูดออกไปกลับเป็นอย่างอื่น
    “นี่คุณมาทำอะไรแถวนี้?? งานการมีไม่ทำเรอะ??”
    “พูดจาเสียมารยาทจริง ชั้นออกเวรแล้วจะมาเที่ยวมั่งไม่ได้รึไง?”
    “ออกเวร...?”
    จริงสิ....อีตาคนนี้ เป็นตำรวจของสก็อตแลนด์ยาร์ดนี่นะ...
    เขามองชั้นทำหน้าอึ้งๆงงๆแล้วก็ยิ้มขำ

    ยิ้มอีกแล้ว....ชั้นไม่ชอบให้ใครมายิ้มแบบนี้ให้เลย
    มันเหมือนยิ้มแบบที่ผู้ใหญ่ยิ้มให้เด็กเล็กๆไม่มีผิด

    “หนีมาเที่ยวอีกแล้วสิท่า? คราวที่แล้วเป็นไงบ้างหล่ะ? โดนดีอะไรไปบ้าง?”
    คำถามนั้น ทำให้ชั้นต้องหวนนึกถึงเรื่องที่ตัวเองกับสามสาวเพื่อนรักถูกทำโทษให้ขัดโบสถ์ใหญ่ทุกวันหลังเลิกเรียนทั้งอาทิตย์ โอ้.....แค่คิดถึงมันก็น่าอับอายขายหน้าจะแย่แล้ว!!!ยังจะมาถามซ้ำเติมกันอีก!

    “ธุระไม่ใช่!!!”
    หมอนี่หน้าทำด้วยอะไรน๊า?ทั้งที่ถูกแหวเข้าแบบนั้น กลับยังหัวเราะก๊ากได้เนี่ย!!
    “ขี้โมโหจริงนะ เจ้าหนุ่มเลือดร้อน ท่าจะโดนหนักเอาการเลยสิ?” ไม่พูดเปล่า เขายังเอามือวางลงบนหัวชั้นแถมโยกไปโยกมาอีกต่างหาก! ทำเอาหมวกหนังที่สวมมายับยู่ยี่หมด ชั้นสะบัดมือของเขาออก รู้สึกว่าตัวเองยัวะสุดขีดจนหน้าร้อนจัด
    “เอ๊ะ!!อย่ามาเล่นหัวคนอื่นเค้านะ!!!!”

    อีตานายตำรวจจอมกวนมองชั้นแล้วพูดปนหัวเราะหึๆ
    “แต่อันที่จริงแล้ว....เราก็หนีมาเหมือนกันเลยนะ”
    “? เอ๋? หนี?”
    สิ่งที่เขาเปรยให้ฟังเมื่อครู่ทำให้ชั้นต้องนึกสงสัย หากไม่ทันจะถามต่อเขาก็หันไปจ่ายเงินให้แม่ค้าก่อนจะโยนแอปเปิ้ลสีแดงสดผิววาววับให้ชั้น
    “เอ้า!”
    ชั้นประกบมือรับมันไว้อย่างไม่ค่อยเข้าใจ จนเขาบอกเบาๆว่า
    “ชั้นเลี้ยง”

    คงเพราะ....กลิ่นหอมสดชื่นของผิวแอปเปิ้ลสดที่เขาโยนให้เมื่อครู่ ชั้นถึงรู้สึกสบายใจขึ้นมาก หรือเพราะ...ดวงตาสีเขียวแกมเศร้านิดๆในวันนี้กัน?
    ชั้นเองก็ไม่ค่อยเข้าใจ.... แต่จะเพราะอะไรก็แล้วแต่... จากเดินเที่ยวเล่นอยู่คนเดียว พอรู้ตัว ก็มีคนๆนี้มาอยู่ข้างๆเสียแล้ว

    ชั้นเดินตามเขาผ่านกลุ่มคนที่เข้ามาเลือกซื้อของภายในตลาดนัด ยิ่งเย็น ก็รู้สึกว่าคนจะยิ่งแออัดมากขึ้นไปอีก และก่อนที่จะพลัดหลงกัน เขาก็จับแขนชั้นดึงตามไปหลุนๆ แถมมีการหันมาบ่นด้วยว่าชั้นขาสั้น ถ้าเดินชักช้าก็ตามไม่ทันจนได้ ฮึ!!! ชั้นงี้อยากจะทุบหมอนี่ซักอั้กแรงๆ!!!

    แต่เมื่อมองใบหน้าด้านข้างของเขาที่สูงกว่าแล้ว....ดวงตาคู่นั้นที่จ้องมองไปข้างหน้า กลับทำให้ชั้น....
    อ่อนใจ…..

    ###################################

    นายตำรวจที่ชื่อว่า...Athrun Zala...คนนี้ ค่อนข้างจะประหลาดอยู่ไม่น้อย หรือเพราะ เขาเชื่อสนิทใจเลยว่าชั้นเป็นเด็กผู้ชาย จึงวางท่าสบายๆและดูไม่ระวังตัวเท่าใดนักเช่นนี้ได้?

    ชั้นคิดเอาเองว่าคงเพราะเหตุผลนั้น….

    หลังจากเดินเล่นอยู่ในCovent Gardenพักใหญ่ แดดร่มลมตกมากแล้ว ชั้นกับเขาก็เดินสนทนากันไปเรื่อยๆ (เรียกว่าพูดไปทะเลาะกันไปจะถูกกว่า) จนไปหยุดพักเหนื่อยที่สะพานข้ามคลองเล็กๆ
    และจากการสนทนากันในเรื่องที่เขาเพิ่งเล่าให้ฟังเมื่อครู่ ก็ทำให้ชั้นต้องร้องตกใจ
    “??ดูตัว??”
    “ตลกมากรึไง?” เขาทำหน้าจะยิ้มก็ไม่ใช่จะบึ้งก็ไม่เชิง บุหรี่ที่คีบอยู่ในมือใกล้หมดมวนแล้ว เขาเคาะบุหรี่กับขอบสะพาน ปล่อยให้เศษเถ้าของมันปลิวตามลมไป

    “คุณหมายความว่า พ่อคุณจะหามะ....” ชั้นกำลังจะหลุดปากพูดว่า....”เมีย”ออกไปแล้วเชียว! ดีว่านึกคำอื่นที่ฟังแล้วดูดีกว่านั้นทัน “คู่ครองให้คุณเหรอ?”
    เขายักไหล่ แล้วพูดเสียงเนิบๆ ท่าทางไม่ยินดียินร้ายเท่าไหร่
    “ก็ทำนองนั้นมั้ง ปีนี้ชั้นจะ24แล้ว ท่านพ่อคงกลัวว่าชั้นจะไปคว้าผู้หญิงที่ไหนเข้า ก็เลยต้องรีบหาทางป้องกันไว้ก่อน”
    ชั้นมองเขาอย่างทึ่งๆ พลางถาม
    “แล้วนี่.....คุณหนีมาอย่างนี้...พ่อคุณไม่โกรธแย่แล้วเหรอ?”
    “ชั้นกับพ่อชั้นน่ะ ขัดใจกันซะจนชินแล้วหล่ะ พูดดีด้วยกันได้ไม่กี่คำหรอก”
    น้ำเสียงของเขาราบเรียบเสียจนเหมือนมันเจือความขันลงไปในนั้นด้วย

    แต่....ยิ่งพูดถึง....พ่อ.....ชั้นก็ยิ่งคิดถึงเรื่องของ....ท่านพ่อของตัวเอง
    ป่านนี้ ท่านจะเป็นอย่างไรบ้างนะ?
    ชั้นจะได้กลับบ้านไปพบกับท่าน ไปอยู่ด้วยกันก็เพียงตอนคริสต์มาสกับปิดเทอรมใหญ่เท่านั้น....
    ตั้งแต่ถูกส่งมาอยู่คอนแวนต์ในลอนดอนเมื่อ5ปีก่อน....หลังจากที่อะไรๆเปลี่ยนแปลงไป

    “Cagalli?” เสียงห้าวทักชั้นเบาๆหลังจากที่เงียบไปนาน
    “พวกผู้ใหญ่น่ะ ที่ไหนๆก็เหมือนกันไปหมด......เอาแต่ใช้ความคิดของตัวเองเป็นใหญ่ ไม่เคยเชื่อใจเรา แล้วยังมาบังคับให้เราทำโน่นทำนี่!” ชั้นคิดว่าตัวเองพึมพำออกมาเสียงแผ่วๆ

    เขานิ่งไป ก่อนจะพูดยิ้มๆ “ไม่ถูกกับพ่อเหมือนกันเหรอเรา?”
    “ไม่ใช่อย่างนั้นซะหน่อย!!!”ชั้นเถียงลั่น ความคิดที่จะเกลียดท่านไม่เคยอยู่ในสมองชั้นเลย! “ชั้นเพียงแต่ไม่ชอบใจที่.... ทั้งๆที่ชั้นเป็นลูกคนเดียวของท่าน ท่านยังจับชั้นโยนไปโน่นไปนี่ อยากจะขับไล่ไสส่งไปไหนก็ได้ ยังกับชั้นไม่มีชีวิตจิตใจอย่างนั้นแหล่ะ!! อย่างที่คอนแวนต์....”
    รู้สึกว่าตัวเองจะพูดมากเกินไปแล้วสิ!!ชั้นรีบหุบปากทันควันก่อนที่จะแพลมอะไรออกไปมากกว่านี้ แต่ดูเหมือนจะไปสะกิดให้อีตาตำรวจตรงหน้าสงสัยเข้า
    “หือ?”
    ดังนั้น....พอจวนตัว ชั้นก็เลยเอาเสียงดังเข้าสู้
    “แล้วนี่มันเรื่องอะไรที่ชั้นจะต้องเล่าให้คุณฟังด้วยหล่ะ!!!”
    “อ้าว! แล้วมาโมโหชั้นเรื่องอะไรล่ะ?”

    ชั้นสะบัดหน้าเชิดไปทางอื่น ลึกๆก็รู้สึกผิดอยู่เหมือนกัน....ที่ต้องปิดบังเรื่องนี้เอาไว้....

    “อ้าว หมวดAsuka มาพอดี!”
    เขาร้องเรียกนายตำรวจหนุ่มรุ่นน้องอีกคน ชั้นรู้สึกคุ้นหน้า คงเพราะว่าเคยเจอกันมาแล้วเมื่อคราวก่อนที่ตรอกหลังโรงละครตอนนั้น แต่คราวนี้นายหมวดAsukaอะไรเนี่ย สวมเครื่องแบบตำรวจสก็อตแลนด์ยาร์ดสีน้ำเงินเข้ม ต่างจากอีตาหัวหน้าของเขาที่สวมสูทผูกไทหลวมๆคลุมทับด้วยโค้ทยาวเท่านั้น

    นายหมวดรุ่นน้องไม่ได้สวมหมวกของเครื่องแบบ คงเพราะอยู่นอกเวลาราชการ หัวหูยุ่งเชียว สงสัยเข้าไปแย่งซื้ออะไรกับพวกคนในCovent Gardenมาแหง

    “ครับ ผู้กอง เรียบร้อยแล้วครับ อ้าว....เจ้าเด็กคนนั้นนี่....”
    ชั้นคงไม่โกรธ ถ้าไม่ถูกจิกหัวเรียกแบบเมื่อกี๊
    “ชั้นชื่อCagalliตะหาก”
    “เจอกับเด็กนี่โดยบังเอิญน่ะหมวด” อีตาผู้กองอธิบาย “ว่าแต่ ได้ของฝากให้สาวแล้วเหรอ? ดูสิหัวหูกระเซิงมายังกับไปผ่านสมรภูมิอะไรมาซักอย่างแน่ะ แต่งตัวให้เรียบร้อยหน่อยเรา เดี๋ยวStellarตกใจหมดพอดี”

    พอถูกเจ้านายแซวแบบนั้น นายหมวดรุ่นน้องก็ร้องขึ้น
    “ขอร้องหล่ะครับผู้กองZala!”
    ผู้กองหนุ่มหัวเราะ แล้วจึงหันมาถามชั้น
    “แล้วเราหล่ะว่าไง? จะไปด้วยกันวันนี้เลยรึเปล่า?”
    “เอ๋?”

    ชั้นได้แต่ทำหน้าสงสัยกับคำถามที่ถูกถามเมื่อครู่ เจ้าของดวงตาสีมรกตคู่สวยมองชั้นยิ้มๆ ก่อนจะหันไปสนทนากับหมวดรุ่นน้องอีกครั้ง
    #####################################

    ภาพที่ปรากฏตรงหน้าชั้นตอนนี้....ไม่รู้จะอธิบายด้วยสิ่งใดดี

    เพราะมันช่าง....เจิดจ้า.....งดงาม.....สว่างไสว....ไพเราะ.....

    ภายในโรงละครที่มืดสลัว แสงส่องสว่างระยิบระยับฉายฉานไปยังหญิงสาวร่างระหงบอบบางที่ยืนโดดเด่นอยู่เพียงผู้เดียวบนเวทีกว้างขวาง เสียงไวโอลินและเปียโนเพียงสองอย่างก็เพียงพอที่จะสนับสนุนให้น้ำเสียงหวานใสราวเสียงร้องของนกไนติงเกลแห่งฤดูใบไม้ผลินั้นสะกดให้ผู้ได้ฟังต้องเคลิบเคลิ้มไป
    ....จนน้ำตาแทบจะไหลออกมา


    “Think of me…
    Think of me fondly when we've said goodbye…
    Remember me….
    Once in a while; please promise me you'll try…
    When you find that once again you long to take your heart back and be free…
    If you ever find a moment… Spare a thought for me…

    We never said our love was evergreen or as unchanging as the sea…
    But if you can still remember ……Stop and think of me…
    Think of all the things we've shared and seen.
    Don't think about the way things might have been…

    Think of me…
    Think of me waking, silent and resigned.
    Imagine me…
    Trying too hard to put you from my mind…
    Recall those days, Look back on all those times, Think of the things we'll never do.
    There will never be a day when I won't think of you…”
    (Special Credit to “Think of me” from original soundtrack The Phantom of the opera)

    ภาพของ....การฝึกซ้อมแบบที่เรียกว่า....เป็นเบื้องหลังการทำงานของ “เจ้าหญิงแห่งเสียงเพลง” ผู้ที่บรรดาสาวๆชาวคอนแวนต์แอบคลั่งไคล้หลงไหล จินตนาการถึงความงดงามในชีวิตที่ห้อมล้อมด้วยเสียงเพลง เสียงดนตรี แสงสว่างไสวแห่งโรงละคร การแสดงอันตื่นตา เครื่องแต่งกายหรูหรา และตอนนี้หญิงสาวเจ้าของเสียงสวยอ่อนหวานยิ่งกว่านักร้องผู้ใดในลอนดอนผู้นั้น...กำลังร้องเพลงอยู่ตรงหน้าชั้น!!!

    ชั้นลืมหมด.....ลืมหมดจริงๆว่ามีใครนั่งอยู่ข้างๆ สิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้านั้น แม้เป็นแค่การซ้อม ไม่มีการจัดแสงสีใดๆ ไม่มีเครื่องแต่งกายหรูหราตามบทละคร แต่เสียงอันไพเราะงดงามของLacus Clyneดึงชั้นเข้าไปสู่โลกของเธอ

    ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ทำไมตัวเองถึงซาบซึ้งไปกับการแสดงของหล่อนมากขนาดนั้น

    แม้กระทั่งเสียงกลั้นหัวเราะดังพรืดจากคนที่นั่งอยู่ข้างๆก็ไม่ได้ทำให้ชั้นรู้สึกฉุนขึ้นเลยแม้แต่น้อย
    “เป็นเอามากแฮะ”

    อยากพูดอะไรก็พูดไปย่ะ! แต่ตอนนี้...ขออยู่ในโลกแห่งความฝันบรรเจิดหน่อยเถอะ!!!

    Miss Lacus Clyneก้าวมาจนเกือบหน้าสุดเวทีเพื่อก้มลงฟังคำอธิบายของวาทยากรของวงดนตรีที่ยืนกำกับเพลงอยู่เบื้องล่าง หล่อนสวมเสื้อผ้าฝ้ายคอตั้งสีขาวแต่งโบว์ลายสก็อตโทนน้ำเงิน เข้าชุดกับกระโปรงยาวกรอมเท้าสีกรมท่าแต่งริบบิ้นใหญ่ที่สะโพก ไม่แต่งหน้า ไม่มีเครื่องประดับ ดูเผินๆก็เป็นหญิงสาวธรรมดา

    แต่คนอะไรน๊า???ขนาดหล่อนไม่ได้อยู่ในการแสดง แต่ยังสวยได้ขนาดนั้น!! สมแล้วที่บรรดาสาวๆชาวคอนแวนต์ หรือแม้แต่สาวๆทั่วไปจะอยากเป็นดังเช่นหล่อน!!
    #########################################

    แปะๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
    แปะๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
    เมื่อเสียงเพลงอ่อนหวานจากน้ำเสียงของเจ้าหญิงแห่งเสียงเพลงจบลง ความเงียบงันของโรงละครแค่เพียงอึดใจเดียวก็ถูกแทนที่ด้วยเสียงตบมือรัวแบบไม่ยั้ง และที่ทำเอาบรรดานักดนตรี นักร้องที่ยังอยู่ซ้อมบนเวทีต้องแปลกประหลาดใจนั้นก็เป็นเพราะ....เสียงตบมือนั้นมาจากเจ้าหนุ่มน้อยผมทองจอมเป๋อที่ผมพามาด้วยนี่แหล่ะ

    ดูสีหน้าสีตาประทับใจปนทึ่งสุดขีดของเด็กนี่แล้วผมยังต้องแอบขำ เพิ่งเคยเจอคนที่จริงจังแม้กระทั่งดูการซ้อมของLacusก็คราวนี้แหล่ะ หล่อนมองตรงมายังกลุ่มเราสามคน (ผม เจ้าเด็กCagalli แล้วก็หมวดAsuka) แม้ดวงหน้าหวานซึ้งนั้นจะฉายความประหลาดใจในครั้งแรก หากแล้วก็เปลี่ยนเป็นยิ้มแย้มยินดี Lacusโบกมือให้ผมเบาๆ ก่อนจะหมุนตัวก้าวลงบันไดเวทีเพื่อลงมาพบพวกเราที่ข้างเวที

    “เอ้า! ลุกเร็ว!!!”
    ผมฉุดแขนเด็กCagalliที่ยังนิ่งอึ้งด้วยความประทับใจจนออกนอกหน้าอยู่แบบนั้นให้ลุกขึ้น คิดว่าไม่ต่างอะไรกับการลากราวแขวนเสื้อโค้ทซักนิด เพราะนอกจากจะตามมาแต่โดยดีไม่มีอิดออดแล้ว ยังไม่มีเสียงบ่นสะบัดสะบิ้งเหมือนปกติด้วย

    แต่เจ้าตัวก็ยังอ้าปากค้างอยู่แบบนั้นแหล่ะ ผมคิดในใจอย่างทั้งรำคาญทั้งขำ

    “สวัสดีค่ะ Athrun” หล่อนย่อกายลงขณะกล่าวทักทาย ยังคงสดใสเช่นทุกครั้งที่เราพบกัน
    “สวัสดีครับ Lacus” ผมโค้งรับการทักทายจากหล่อน แล้วดวงตาสีฟ้าครามคู่สวยก็ฉายความแปลกใจระคนยินดีเมื่อผมส่งกุหลาบงามสีขาว1ดอกแต่งริบบิ้นแดงที่ก้านให้
    “สำหรับคุณครับ”
    “ตายจริง! แหม... สวยจังเลย” หล่อนอุทานพลางรับดอกกุหลาบที่ผมนำมากำนัลมาเพ่งพิศรูปลักษณ์หวานพิสุทธิ์และกลิ่นหอมแผ่วพลิ้วของมันอย่างชื่นชม ก่อนเงยหน้าขึ้นกล่าวด้วยรอยยิ้มหวานไม่แพ้ความงามของกุหลาบขาวดอกนั้นเลยสักนิด
    “ขอบพระคุณมากนะคะ Athrun”

    Lacusมองผ่านผมไปทางหมวดAsuka และกล่าวทักทายเสียงใส “สวัสดีค่ะ หมวดAsuka”
    “สะ...สวัสดีครับ” เขารีบโค้งตอบ แม้จะคุ้นเคยกับการพบปะกับหล่อนมาบ้างแล้ว แต่ผู้หมวดรุ่นน้องก็ยังมีท่าทีเกร็งทุกครั้งที่ต้องสนทนากับดาวเด่นของโรงละครแห่งนี้ ขณะที่อีกฝ่ายวางตัวสบายๆพลางกล่าวบอก
    “Stellarกำลังเรียนหนังสืออยู่กับคุณครูที่สวนหลังโรงละครแน่ะค่ะ หมวดจะเข้าไปตอนนี้เลยก็ได้นะคะ”
    “เอ้อ...” ผู้หมวดวัยรุ่นมองมาที่ผมนิดๆอย่างเกรงใจ จนผมพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต “ถ้าเช่นนั้น.... ผมขอตัวก่อนนะครับ ผู้กอง คุณหนูLacus”

    เรามองตามร่างในชุดเครื่องแบบสีน้ำเงินที่รีบสาวเท้าจ้ำพรวดๆจนแทบเรียกว่าวิ่งไปที่ประตูด้านหลังของโรงละคร แล้วอดหัวเราะออกมาเบาๆไม่ได้
    “ไม่ได้พบกันมานานแล้วนี่คะ”
    “นั่นสิครับ ดูหมวดAsukaจะตื่นเต้นมากทีเดียว เห็นวันนี้ จะทำอะไรก็ดูเลิ่กลั่กๆแต่เช้าเชียว” ผมรับคำอย่างเห็นด้วย

    Lacusหันกลับมากำลังจะเอ่ยอะไรบางอย่างกับผม ก็พอดีคงจะไปสะดุดตาเจ้าหนุ่มผมทองตัวเล็กที่ยืนอยู่ด้านหลังผมเข้า
    “แล้วท่านผู้นี้คือ....?”
    ผมเหลือบมองใบหน้าแสดงความอึ้งผสมเอ๋อจนพูดอะไรไม่ออกนอกจากอ้าปากค้างของเด็กนี่แล้ว อดหมั่นไส้ไม่ได้ ดูมันทำสิ จ้องLacusเสียตาไม่กระพริบเชียว

    อ๊า ให้ตายสิ! ปกติก็ตาโตอยู่แล้วแท้ๆ ผมคิดอย่างนึกรำคาญระคนขัน

    “ขะ.... ขะ.... ขะ...”
    ดูเข้าสินั่น อ้าปากจนขากรรไกรค้างไปแล้วมั้งเนี่ย? ท่าทางเหมือนเจ้าตัวอยากจะบอกอะไรกับนักร้องสาวในดวงใจ แต่พอหล่อนมาอยู่ตรงหน้าจริงๆ ก็ได้แต่ปอดเสียจนปากคอสั่นไปหมดแบบนั้น
    “คะ?” Lacusเอียงคออย่างไม่เข้าใจท่าทีเช่นนั้น
    “ขอ....ขอ....ละ....ลาย....” พูดยังไม่ทันจะจบดี ยังไม่ทันจะเข้าใจเลยว่า มันอยากจะพูดอะไรของมันกันแน่ เจ้าหนุ่มน้อยจอมยุ่งก็ยื่นห่อถุงกระดาษสีน้ำตาลที่บรรจุบรรดาขนมที่มันซื้อแหลกมาจากตลาดนัดเมื่อบ่ายๆนี้ส่งพรวดให้Lacus

    และนั่น ก็ทำให้นักร้องสาวเสียงสวยก็เข้าใจทันทีว่า
    “อ๋อ.....จะขอลายเซ็นเหรอคะ? “หล่อนหัวเราะกิ๊กกั๊กพลางรับถุงกระดาษเยินๆ(แถมมีแต่ขนมเต็มไปหมด)มา “ได้สิคะ ยินดีค่ะ”

    ไม่ไหวแล้ว..... ใครจะว่าอะไรก็ช่างเถอะ แต่ใบหน้าเคลิบเคลิ้มปลาบปลื้มดารานักร้องของเด็กคนนี้ ทำให้ผมต้อง.....ลงไปนั่งกลั้นหัวเราะจนตัวงอ ปวดท้องไปหมด!!!

    Lacusบรรจงเซ็นชื่อลงบนถุงกระดาษซอมซ่อ (และย้ำอีกครั้งว่า มีแต่ขนมเต็มไปหมด!)ด้วยปากกาจุ่มหมึกอย่างตั้งใจ ก่อนส่งคืนเจ้าของถุงที่ยังมีอาการมึนๆเบลอๆอยู่เช่นนั้น

    “ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ ดิชั้นLacus Clyneค่ะ” หล่อนแนะนำตัวพร้อมรอยยิ้มสดใส อย่างที่ผมหลงรักนั่นแหล่ะ เจ้าหนุ่มน้อยผมทองเลยทำท่าเหมือนพยายามจะดึงตัวเองกลับสู่โลกแห่งความจริงด้วยการตอบรับการแนะนำตัวอย่างติดๆขัดๆ
    “คะ.... Cagalli Yuraค่ะ...ครับ!”

    ถึงกระนั้น ท่าทางที่เป็นกันเอง ดูผ่อนคลายของนักร้องสาว ก็ดูจะทำให้หนุ่มน้อยCagalli Yuraยิ่งปลื้มอกปลื้มใจในตัวดาราในฝันของตนมากขึ้นไปอีก
    “ดิชั้นยินดีค่ะ ที่ได้มีโอกาสรู้จักกับเพื่อนใหม่” แล้วหล่อนก็แกล้งหันมาตัดพ้อผมด้วยเสียงงอนๆ
    “แต่แหม....Athrunนี่ก็เหลือเกินนะคะ ไม่เห็นคุณเคยบอกชั้นเลยว่า มีสหายน่ารักเช่นนี้ด้วย”

    ผมได้แต่ทำหน้าครึ่งบึ้งครึ่งยิ้มขณะที่เหล่เจ้าตัวแสบข้างๆ

    ….นี่เรอะ? น่ารัก??

    ....เหอะ!ตรงไหนกัน?

    “ไม่ใช่หรอกครับ” ผมแค่นยิ้มเยาะๆแล้วกล่าวต่อ “แค่เด็กส่งหนังสือพิมพ์แถวบ้านน่ะครับ”

    และ...ดูเหมือนว่าในที่สุดคำพูดของผมก็จะได้ผล เมื่อเจ้าหนุ่มน้อยจอมยุ่งหันขวับมามองผมด้วยสายตาอยากจะกินเลือดกินเนื้อสุดชีวิต ผมทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เสียตามเรื่องโดยเสไปคุยกับหญิงสาวตรงหน้าแทน
    “คุณสบายดีนะครับ? เราไม่เจอกันเสียนาน”
    “ค่ะ ดิชั้นสบายดี ไม่เจ็บไม่ไข้ และไม่มีเรื่องทุกข์ร้อนใจใดค่ะ”

    เห็นหล่อนตอบเสียงใสแจ๋วเช่นนั้น ผมก็พยักหน้ารับอย่างเบาใจ
    “ดีครับ เพราะช่วงนี้.... แถบชุมชนแออัดด้านหลังย่านโรงละครเริ่มจะมีปัญหาทั้งเรื่องผู้อพยพต่างชาติ แล้วก็ยังเรื่องของยาเสพติดอีกด้วย ผมเองก็ห่วงว่าทางคณะละครซึ่งส่วนใหญ่ก็อาศัยอยู่แถบนี้จะพลอยเดือดร้อนกันไปด้วย”
    “ตายจริง!” หล่อนอุทาน “ร้ายแรงมากหรือคะ?”

    ผมนิ่งนึกหาคำอธิบายที่ดีที่สุดที่จะทำให้อีกฝ่ายสบายใจได้ ทั้งๆที่ยังคงคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้นตลอดมา คดีที่ยังสรุปไม่ลงตัว เรื่องของคนร้ายแก๊งค์ต่างชาตินั้น...อาจจะเยอรมัน.....ผมยังจำได้ดีถึงวิธีอัตวินิบาตกรรมที่เรียกได้ว่าวิปริตพิศดารด้วยการใช้สารไซยาไนท์ซึ่งฝังอยู่ในฟันของคนพวกนั้น

    “อย่ากังวลให้มากเกินไปเลยนะครับ ผมเพียงอยากฝากให้บอกกล่าวชาวคณะทุกคนระวังตัวกันไว้ก่อนเท่านั้น เพราะทางตำรวจเองก็จะช่วยดูแลให้เข้มงวดมากขึ้นโดยเฉพาะยามค่ำคืน แต่ก็อยากให้ดำเนินชีวิตตามปกตินี่หล่ะครับ”
    “ค่ะ ดิชั้นจะนำไปแจ้งให้ทุกคนในคณะได้รับทราบโดยถ้วนกันแน่นอน”
    คำตอบนั้นทำให้ผมต้องยิ้มอย่างพอใจ
    “ดีครับ ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับความร่วมมือนะครับ”

    หล่อนยิ้มรับก่อนจะหันไปพูดกับCagalliซึ่งยืนอยู่ข้างๆผม
    “จะให้เกียรตินั่งชมการฝึกซ้อมของพวกเราได้มั๊ยคะ? คุณCagalli”
    เท่านั้นแหล่ะ มันก็ทำตาโตเท่าไข่ห่านอีกรอบ
    “เอ๋!!!ได้จริงอ่ะ!!!”
    ผมกระแอมขึ้นดังๆ ชักจะหงุดหงิดแล้วที่Lacusเปิดโอกาสให้หมอนี่มากขนาดนี้

    “ได้จริงๆสิคะ ทางนี้ค่ะ เชิญเลือกที่นั่งตามสบายเลยนะคะ”
    เจ้าหนุ่มผมทองทำท่าลิงโลดใจสุดขีด นี่ถ้าเป็นสาวๆคงเรียกได้ว่าแทบจะกรี๊ดเลยหล่ะมั้ง? มันผลักผมให้พ้นทางดังพลั่ก! ขณะที่กระวีกระวาดพุ่งตัวเผ่นไปเลือกหาที่นั่งมุมดีๆ คงหวังจะชื่นชมการแสดงแบบให้ชัดเจนเห็นมันทุกอณูเลยมั้งนั่น!

    “เฮ่ๆ!!เหยียบหัวชั้นไปเลยสิ!!” ผมตะโกนไล่หลัง หากเจ้าตัวกลับทำลอยหน้าลอยตาไม่รู้ไม่สนเป็นทองไม่รู้ร้อน ผมเลยได้แต่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่คนเดียว จนได้ยินเสียงหวานๆเรียก

    “Athrunคะ”
    “ครับ?”
    ผมมองหล่อนอย่างแปลกใจ และก็ยิ่งแปลกใจมากยิ่งขึ้นเมื่อหล่อนกล่าว
    “ดิชั้นมีเรื่องอยากเรียนให้ทราบค่ะ เพราะถ้าไม่บอกกล่าวกันเสียตอนนี้ คงมีคนกลัดกลุ้มจนกินไม่ได้นอนไม่หลับแน่แท้เชียว”
    “? ครับ??”
    #####################################
  16. whitewing

    whitewing New Member

    EXP:
    120
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    PHASE 6: The Hardest thing

    ผมเดินผ่านประตูไม้บ้านเล็กด้านหลังเวทีเพื่อเข้าไปสู่ห้องพักนักแสดง ห้องสีขาวครีมกว้างๆเต็มไปด้วยบรรดานักแสดงรุ่นเยาว์ที่บ้างก็นั่งเล่นนั่งคุย บ้างก็วิ่งเล่นตามประสาเด็ก หากแล้วหลายคนก็หยุดเพื่อวิ่งกรูเข้ามาทักทายผม
    “Shin!”
    “Shinมาแล้ว!!”
    “หายไปตั้งนานแน่ะ! มาเล่นกันเถอะๆ! แล้วAthrunไม่มาด้วยเหรอ?”

    “เฮ้! ใจเย็นๆ”ผมหัวเราะขณะที่พยายามเบียดตัวฝ่าวงล้อมเด็กๆ “ผู้กองZalaคุยกับคุณหนูLacusอยู่ข้างนอกแน่ะ เดี๋ยวคงตามเข้ามา ว่าแต่....”
    ผมทิ้งจังหวะการพูดเพื่อกวาดสายตามองหาบางอย่าง แล้วเสียงเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น แม้หางเสียงจะห้วนและกระด้างขาดความเป็นมิตรต่างจากเด็กคนอื่นๆ แต่ผมก็ไม่คิดจะถือสาแต่อย่างใด
    “Stellarกำลังเรียนหนังสืออยู่กับครูที่สวน”

    เมื่อเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียงก็พบว่าAuelกำลังก้มหน้าก้มตาเช็ดไวโอลินตัวเก่งของตัวเองจนมันวับ ขณะที่พูดต่อไปโดยไม่ปรายตามองผมสักนิด
    “จะไปหาก็รีบไปซะ แต่ถ้าครูยังสอนหนังสืออยู่ก็อย่าไปกวนหล่ะ”
    Stingซึ่งถือได้ว่าเป็นพี่ใหญ่สุดของกลุ่มนักแสดงรุ่นเยาว์เหลือบตามองผมนิดๆ ก่อนจะก้มหน้าก้มตาเช็คเส้นเสียงของเชลโลต่อไป แม้เขาจะไม่ได้กล่าวว่าอย่างไร แต่ผมก็เข้าใจสิ่งที่อยู่ในสายตานั้น

    ความไว้วางใจที่เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม

    ผมพยักหน้าให้แล้วจึงเดินผ่านทั้งสองไปที่ประตูทางออกสู่สวนหย่อมเล็กๆหลังโรงละคร เมื่อบานไม้โอ๊คถูกเปิดออก แสงยามเย็นก็สาดมาปะทะหน้าผมเบาๆจนต้องหรี่ตาลง เงาของร่มไม้ทาบลงบนสองร่างซึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะหินอ่อนกลางสวน และสิ่งที่ตรึงสายตาของผมไว้ให้มองอย่างรู้สึกชื่นใจ คือร่างเล็กผอมบางราวตุ๊กตาพอร์ซเลนในชุดแขนพองสีขาวขลิบลูกไม้ กระโปรงบานคลุมข้อเท้าสีแดงเชอร์รี่เป็นมัน เรือนผมสีทองพองสวยเคลียนวลแก้มอมสีชมพูจางๆบ่งบอกถึงสุขภาพร่างกายที่ดี

    ผมมองหล่อนอยู่เงียบๆ ด้วยความรู้สึกแปลกใจระคนดีใจกับความเปลี่ยนแปลงนั้น

    Stellarในวันนี้....แม้เพียงได้เฝ้ามองอยู่ไกลๆ ก็ยังเห็น”ความสุข”ทั้งกายและใจที่ฉายออกมา

    ชายร่างสูงโปร่งที่ผมคิดว่าคงเป็นครูที่คุณหนูLacusจ้างวานให้มาสอนหนังสือเพิ่มเติมแก่Stellarเงยหน้าขึ้นหลังจากสังเกตเห็นผมหน้าประตู เขาดูแปลกใจก่อนที่จะเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มน้อยๆ แล้วจึงพยักหน้าให้ผมเบาๆ กระนั้นผมกลับยังรู้สึกขัดๆเขินๆที่จะเข้าไป ครั้น “คุณครู”กลั้นหัวเราะหึๆ ลูกศิษย์ตัวน้อยก็หันมามองด้านหลังอย่างสงสัย

    แล้วริมฝีปากจิ้มลิ้มก็คลี่ยิ้มออกมาเต็มที่ด้วยความดีใจ
    “Shin!!!” หล่อนร้องเรียกชื่อของผมก่อนผละจากเก้าอี้กลางสวนเพื่อวิ่งตรงมาสุดฝีเท้าแล้วจึงโถมตัวเข้ากอดเอวผมเต็มแรง จนต้องเซแซ่ดๆไปอีกทางกว่าจะทรงตัวรับร่างน้อยเอาไว้มั่น “อุ๊บ!!”

    ผมหัวเราะเต็มเสียงอย่างมีความสุขอย่างที่ตัวเองไม่ได้ทำมานานแล้ว....แล้วจึงกอบแขนรวบร่างเล็กบางขึ้นให้วงแขนเล็กๆรัดรอบคอ
    “สบายดีนะStellar?”ผมถามเบาๆ
    “อื้ม!” หล่อนพยักหน้ารับ กลิ่นของเรือนผมสีทองสลวยหอมกรุ่น “อยากเจอShinที่สุด Stellarดีใจ”

    คำกล่าวของหล่อนทำให้ผมสะท้อนใจอยู่ลึกๆ
    “ขอโทษนะ.... ที่ทิ้งไว้คนเดียวตั้งนาน...”
    ผมพึมพำเสียงแผ่ว หากเมื่อวงแขนเล็กคลายลง ดวงหน้าพริ้มเพรากลับฉายความแปลกใจ
    “Shinขอโทษทำไม? Stellarสบายดี ทุกคนดีกับStellarมาก ทั้งAuel Sting คุณหนูแล้วก็ครูKiraด้วย”
    “จริงเหรอ?”
    “อื้ม”
    “ดีกว่าShinเหรอ?” ผมแกล้งถาม เจ้าของดวงตากลมโตคู่สวยอมเศร้าจึงรีบร้อง
    “ไม่ใช่อย่างนั้นเสียหน่อย ไม่ใช่” มือเล็กๆกำเสื้อเชิ้ตของผมแน่น ผมหัวเราะเบาๆก่อนรั้งศีรษะของหล่อนให้วางลงบนบ่า “ชั้นล้อเล่นน่า อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ”

    Stellarกอดผมนิ่งๆอยู่เช่นนั้นจนผมวางลง หล่อนจึงถอยออกมาสองสามก้าวเพื่อน้อมตัวลงเพื่อทำความเคารพผมอย่างนิ่มนวล
    “สวัสดีค่ะ.... ผู้หมวดAsuka”
    ผมยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัวก่อนจะวางมือไว้ที่อกซ้ายและโค้งรับ
    “สวัสดีครับ Miss Loussier”
    ######################################

    ผมมองภาพของผู้หมวดหนุ่มและลูกศิษย์ตัวน้อยสนทนากันอย่างสนิทสนมแล้วอดที่จะยิ้มไม่ได้ สองสามอาทิตย์ที่ผ่านมากับการใช้เวลาช่วงเย็นมาสอนหนังสือให้กับStellarมีความเปลี่ยนแปลงที่สังเกตเห็นได้ในตัวของเด็กคนนั้นมากขึ้นทุกที

    สายตาที่หลบต่ำน้อยลง รอยยิ้มใสๆที่ปรากฏให้เห็นมากขึ้น
    แรกทีเดียวแกแทบไม่กล้าที่จะอ่านออกเสียงด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้....ผมคิดว่าแกคลายความกังวลเกี่ยวกับสำเนียงเยอรมันของตนลงมากแล้ว

    และ...อีกอย่างที่ยังต้องนึกชื่นชมด้วยก็คือ....ตัวของMiss Lacus Clyne ซึ่งเป็นผู้ที่มองการณ์ไกลกว่าคนอื่นๆ ทั้งมารยาททางสังคม แล้วก็.... ยังเรื่องวิชาความรู้ด้วย

    สำหรับคนที่มีแผลเป็นในใจมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย...พัฒนาการเช่นนี้.....ผมคิดว่าเป็นเรื่องน่าพอใจยิ่ง

    ขณะที่กำลังคิดอะไรเพลินๆอยู่ ผู้หมวดShin Asukaก็เดินจูงมือกับเลดี้น้อยของตนมาหาผม
    “ครูKiraคะ Shinค่ะ” แม่หนูตัวน้อยเงยหน้าขึ้นบอกผมอย่างกระตือรือร้น ผมส่งยิ้มให้ผู้มาเยือนคนใหม่ ขณะที่เขาเพ่งมองหน้าผมอย่างใช้ความคิด

    “สวัสดีครับ คุณคงเป็น....”
    เขาคงคลับคล้ายว่าเคยเจอผมมาก่อน ผมจึงชิงแนะนำตัวขึ้นเสียก่อนขณะส่งมือให้อย่างเป็นมิตร
    “Kira Yamatoครับ ผมเป็นครูของStellar ยินดีที่ได้พบอีกครั้งครับผู้หมวดAsuka”

    เมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาก็ทำหน้าประหลาดใจเต็มที่ “คุณ.... คุณใช่เพื่อนของผู้กองZalaที่งานเลี้ยงวันนั้นรึเปล่าครับ?”

    ผู้กองZala.... ผมนึกสะท้อนในใจ
    “ครับ” ผมพยักหน้ารับเบาๆ

    ผู้หมวดShin Asukaยังทำหน้าแปลกใจไม่เลิก ผมนึกขัน ก็น่าอยู่หรอก เพราะงานเลี้ยงต้อนรับวันนั้นก็ไม่ใช่งานเล็กๆ ผู้หมวดAsukaคงรู้มาบ้างว่า ผมเป็นบุตรชายคนเดียวของท่านเอกอัคราชฑูต
    และคงเป็นเรื่องปกติ ถ้าเขาจะสงสัยว่าทำไมCelebrityถึงมาสอนหนังสือให้เด็กเชื้อสายยิว โดยเฉพาะในสถานที่เช่นนี้

    ผมตัดสินใจเปลี่ยนเรื่องคุยหลังจากสังเกตเห็นดวงตาสีลูกหว้าแป๋วแหววของลูกศิษย์ตัวน้อย
    “Stellarเล่าเรื่องคุณให้ผมฟังมากมายทีเดียว” ผมถามยิ้มๆ “ดูแกจะติดคุณมากเลยสินะครับ”
    ผู้หมวดหนุ่มแห่งหน่วยสอบสวนทำหน้าประหม่าขัดเขินพูดอะไรไม่ถูก แต่ดูเหมือนสาวน้อยตัวเล็กของเขาจะไม่เข้าใจท่าทีเช่นนั้นนัก

    ผมยิ้มอย่างพอใจพลางกล่าว “ดีแล้วหล่ะ ผมว่าเป็นเรื่องดีนะหมวด อย่างน้อยมีคุณคนหนึ่งหล่ะที่Stellarจะไว้ใจเชื่อใจได้”
    “ครูกับคุณหนูด้วยค่ะ” ลูกศิษย์ตัวเล็กช้อนตาขึ้นมองผม ปากจิ้มลิ้มกล่าวเบาๆ “Stellarเชื่อครูกับคุณหนู”

    ผมวางมือลงบนศีรษะของแม่หนูเบาๆ”อย่ามาพูดให้ครูดีใจหน่อยเลย ไปเถอะ ครูให้การบ้านแล้วนะจ๊ะ” ผมพูดพลางหันไปทางผู้หมวดหนุ่ม “ยังไงรบกวนหมวดAsukaช่วยดูแลการบ้านของแกต่อด้วยนะครับ คงไม่รบกวนนะ”
    “โอ! ไม่เลยครับ” หมวดหนุ่มรีบรับคำพลางกุมมือเล็กบางของสาวน้อย

    “ถ้าเช่นนั้น เชิญตามสบายนะทั้งสองคน”
    ผมกล่าวเปิดโอกาส Stellarย่อตัวลงทำความเคารพผมพร้อมๆกับที่หมวดAsukaโค้งลา ผมพยักหน้ารับก่อนจะทำเป็นก้มหน้าก้มตาเก็บหนังสือลงกระเป๋า โดยไม่ลืมที่จะชำเลืองมองหมวดหนุ่มน้อยกับStellarที่เกี่ยวก้อยกันเดินห่างออกไป

    ผมซ่อนยิ้มบางๆก่อนเงยหน้าขึ้นเพื่อพบกับผู้มาเยือนคนใหม่ที่เพิ่งก้าวมาถึง
    “…. Athrun?”
    ผมพึมพำเบาๆ ขณะที่เจ้าของนามนั้นยิ้มและทักทาย
    “ว่าไง คุณครู”
    ################################

    “น่าน้อยใจเป็นบ้า”
    เสียงห้าวนั้นบ่นขึ้นลอยๆขณะที่เราทั้งสองนั่งอยู่ที่ขอบบ่อน้ำพุ
    “เห?”
    “ยังจะมาทำงงอีก? อย่าทำเป็นไม่เข้าใจหน่อยเลยน่า” Athrunเสียงสูงขึ้นกว่าปกติเล็กน้อย ผมเลยได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ

    “ขอโทษ”
    ผมขมุบขมิบปาก เมื่อรู้จะวางมือไม้ที่ไหนเลยได้แต่เกาต้นคอตัวเองแก้เก้อ และแทบจะทันทีที่กล่าวคำนั้นออกไป อีกฝ่ายก็สวนขึ้น
    “ไม่เข้าเรื่องอีกแล้ว! ไหนบอกมาซิ นายจะมาขอโทษชั้นทำไมกัน?” เขาถามเสียงเรียบขณะปล่อยควันบุหรี่ที่คีบอยู่ในมือออกมาเบาๆ ผมมองเพื่อนอย่างรู้สึกอึดอัดในใจ

    ถ้าพูดแล้ว....มันจะโกรธเรามั๊ยเนี่ย? ผมนึกสงสัย
    “ก็นาย...วันก่อนชั้นว่าชั้นเห็น...เอ้อ ตอนงานเลี้ยงต้อนรับชั้น...”
    “หือ?”
    “นายฝากดอกไม้ไว้ให้หล่อน เอ้อ...Miss Clyneนี่....”ผมไม่กล้าเรียกชื่อเธอคนนั้นต่อหน้าAthrun
    หงุดหงิดตัวเองชะมัด นี่ผมคงบ้าไปแล้วกระมัง….

    “อ้อ....”Athrunทำเสียงสูง”แล้ว....?”
    “แล้ว? ยังไม่เข้าใจอีกเหรอ???” ผมชักจะฉุนเจ้าหมอนี่แล้วสิ มาทำไม่เข้าใจอยู่ได้ ทั้งๆที่เข้าใจอยู่เต็มอกว่าผมกลัวว่า....
    “นายกลัวว่าชั้นจะเข้าใจผิด คิดว่านายเอาเรื่องสอนหนังสือStellarมาบังหน้าเพื่อจีบLacusแข่งกับชั้นเหรอ?”
    ก็นั่นแหล่ะ! ผมไม่รู้จะทำหน้ายังไง
    ยิ่งถูกกระแทกเสียงใส่ว่า “ไอ้...บ้า!”ด้วยแล้ว

    “จำที่นายเขียนในจดหมายได้มั๊ย? ตอนที่นายบอกชั้นว่าตัดสินใจที่จะกลับมาสอนหนังสือแทนเข้ารับราชการน่ะ” Athrunถามย้อนไปถึงอดีตก่อนหน้านี้ ทำให้ผมต้องนิ่งเงียบไป
    …เมื่อนึกถึงสาเหตุที่ทำให้ตนตัดสินใจเช่นนั้น ทั้งๆที่ในความเป็นจริง ท่านพ่อก็เตรียมที่ทางในกระทรวงการต่างประเทศไว้ให้ผมแล้ว
    “ชั้นจะลืมได้ไงเล่า...”

    ภาพของการต้องสูญเสียอาจารย์ผู้ซึ่งเคารพรักดั่งพี่ชายในตอนนั้นย้อนกลับมาสู่ความทรงจำ ทั้งๆที่ผมเคยพร่ำบอกตัวเองเสมอว่า ต้องก้าวผ่านมันไปให้ได้

    แต่กระนั้น....ปณิธานที่ตั้งไว้นับแต่ครั้งนั้น ก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
    “ตอนนี้นายได้ทำแล้วไงหล่ะ”
    คำกล่าวนั้นทำให้ผมต้องนิ่งฟัง Athrunยิ้มให้แล้วกล่าวต่อ “ยินดีด้วยนะ”

    “Athrun...”
    “แล้วก็เลิกคิดเล็กคิดน้อยเรื่องของชั้นซะทีเถอะ” เขามองผมอย่างรู้ทัน “ชีวิตชั้นกับนายมันไม่เหมือนกัน เราก็โตๆกันแล้ว ไม่ใช่วัยรุ่นเหมือนเมื่อก่อนแล้ว...สำหรับชั้น...ชั้นเลือกที่จะยอมรับมัน ก็เท่านั้นเอง แต่สำหรับนาย นายมีทางเลือก Kira”
    ผมนิ่งฟังสิ่งที่สหายรักกล่าว เราสองคนยิ้มให้กันเบาๆ “ขอบใจ” ผมพูดได้เท่านั้น
    “คิดว่าท่านฑูตคงทราบแล้วสินะ”
    “อื้อ ดูท่านจะพอใจ...”
    “แล้วท่านป้าCalidaหล่ะ?”
    “เอ้อ....”
    พอพูดถึงท่านแม่ ผมก็ตอบไม่ถูกขึ้นมา Athrunกลั้นหัวเราะหึๆพลางกล่าว “ไว้ชั้นช่วยอธิบายวันหลังแล้วกัน”

    รอยยิ้มคลายลง ผมตัดสินใจกล่าวต่อ
    “แต่ประเด็นคือ...ชั้นกลัวว่านายจะไม่เข้าใจเท่านั้นเอง”
    “เรื่องLacusเหรอ? ชั้นรู้น่า นายไม่จีบหล่อนหรอก ก็นายกำลังหลงเสน่ห์Lady Allsterอยู่ไม่ใช่เรอะ?” เสียงห้าวนั้นกล่าวอย่างอารมณ์ดี

    แต่ก็....ทำเอาผมพูดอะไรไม่ออกนอกจากแสร้งยิ้มรับ “อ๋อ...ฮะๆๆ”
    “เสป็คผู้หญิงของนายมันไม่ใช่แบบนั้นซะหน่อย”
    ยังจะพูดต่ออีก....หยุดทีเถอะ ผมรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกยังไงไม่รู้สิ

    ก็ถ้า...ความรู้สึกนี้....มันหักห้ามได้ง่ายๆก็คงไม่เป็นแบบนี้ล่ะมั้ง
    “...ถามอะไรอย่างสิ”
    “หือ?”
    “นายจริงจังกับหล่อนเหรอ? Miss Clyneน่ะ...” ผมพยายามถามด้วยน้ำเสียงปกติ อย่างน้อย...ถ้าได้ฟังคำตอบจากปากของAthrunเอง....

    Athrunเลิกคิ้วขึ้นมองผมอย่างแปลกใจ ก่อนจะยิ้มขัน “ทำไมถามอะไรแปลกๆแบบนั้นหล่ะ? มันก็ต้องแน่นอนอยู่แล้วสิ”
    น้ำเสียงและใบหน้าที่จริงจังเช่นนั้น ช่างเต็มไปด้วยความมั่นใจ และไม่หวั่นเกรง
    “เราไม่ใช่เด็กๆที่จะมามัวเล่นสนุกกับความรักได้แล้วนี่Kira”

    แค่คำตอบนี้ก็คงพอเพียงแล้ว ผมคิดในใจอยู่เงียบๆ
    “นั่นสินะ....”
    “นายนี่แปลกจริงนะKira”
    “ขอโทษๆ ชั้นแค่...สงสัยเพราะMiss Clyneหล่อนเป็น....”พูดยังไม่ทันจบดีAthrunก็กล่าวต่อ
    “ลูกสาวของเพื่อนอาจารย์ด้วยกันสินะ ชั้นเข้าใจหรอกถ้านายจะเป็นห่วงหล่อน” พูดจบเขาก็กลั้นหัวเราะ ผม...ก็เลยได้แต่เออออตามไป
    เหมือนคนน้ำท่วมปากยังไงบอกไม่ถูก....

    “ท่านนายพลจะไม่โกรธเอาเหรอ? ถ้ารู้ว่านายมารักมาชอบผู้หญิงเอง โดยไม่ผ่านท่านก่อนน่ะ”ผมเสเปลี่ยนเรื่อง พยายามปรับท่าทีของตัวเองให้สงบที่สุด แม้ข้างในใจจะยังรู้สึกอึดอัดยิ่งนัก
    Athrunโคลงศีรษะเบาๆ ท่าทางไม่อยากพูดถึงท่านผู้นั้นเสียเท่าไหร่
    “ชั้นจะไม่ให้มาบงการชั้นกระทั่งเรื่องนี้หรอก”
    น้ำเสียงนั้นหงุดหงิดอยู่ในที ผมจึงพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ และตัดสินใจที่จะไม่เซ้าซี้เรื่องดังกล่าวอีกต่อไป

    เพราะเพียงเท่านี้....ผมก็พอจะเข้าใจความรู้สึกของAthrunที่มีต่อเธอคนนั้นแล้ว

    “เป็นอะไรไปKira? เงียบเชียว”
    “อ๊ะ เอ้อ เปล่า...”ผมรีบบอกปัดปฏิเสธ ก่อนจะทำยกนาฬิกาพกขึ้นดูเวลา “นี่ก็จะมืดค่ำแล้ว...ชั้นคิดว่าจะกลับซะที” พูดจบผมก็คว้ากระเป๋าลุกขึ้นยืน
    “จะไปแล้วเหรอ? ไม่เข้าไปลาLacusก่อนรึ?”
    “...ไม่หล่ะ ชั้น...” ผมคิดหาข้ออ้าง “ชั้นต้องแวะไปหาท่านพ่อที่กระทรวงก่อน นี่ก็สายมากแล้ว”
    “อ้อ...”
    “ฝากกล่าวสวัสดีหล่อนด้วยแล้วกัน” ผมพยายามทำสีหน้าให้สดใสที่สุด แม้ข้างในใจจะแห้งแล้งเต็มทน
    “ได้สิ งั้นไว้เจอกัน”

    “ครูคะ” Stellarเห็นผมทำท่าจะกลับก็รีบวิ่งมาลา ผมพยักหน้ารับเบาๆก่อนจะเดินออกจากสวนไป

    ขณะที่เดินผ่านประตู ยังได้ยินเสียงดนตรีแว่วมาพร้อมกับเสียงเพลงแสนอ่อนหวานเพลงนั้น....

    ...เรามันบ้าไปเอง.....
    คงทำอะไรกับความรู้สึกลึกๆข้างในเช่นนี้ไม่ได้....นอกจาก เตือนตัวเองให้รีบยับยั้งใจ ไม่ให้คิดกับหล่อนเกินเลยมากเกินไปกว่านี้

    ผมยิ้มให้ตัวเองเศร้าๆ ...เสียงเพลงหวานใสลอยตามลมแผ่วลงๆ
    ถ้าไม่ต้องคิดถึงเสียงนั้นอีก ไม่ต้องคิดถึงรอยยิ้มนั้นอีก ถ้าทำแบบนั้นได้ง่ายๆ ก็คงดีไม่น้อย
    #############################################

    นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายๆเดือนที่ชั้นรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่โชคดีที่สุดในโลก
    ได้พูดคุยกับLacus Clyneตัวจริงเสียงจริง ทั้งยังได้รับเชิญให้นั่งดูการฝึกซ้อมของละครเพลงเรื่องใหม่อีกด้วย!!
    เจ้าหล่อนตัวจริง ซึ่งเป็นขวัญใจของสาวๆชาวคอนแวนต์ก็ช่างอ่อนหวานน่ารัก สมกับที่เราปลาบปลื้มกันมานานแสนนาน

    ชั้นนั่งอมยิ้มเหมือนคนบ้าอยู่คนเดียวหลังจากที่ตั้งอกตั้งใจนั่งฟังบทเพลงสุดท้ายของละครเพลงเรื่องล่าสุดของRosettaจนจบสมบูรณ์ เมื่อเจ้าของเสียงร้องนำเงยหน้าขึ้นชั้นก็รีบรัวตบมือไม่ยั้งด้วยความประทับใจเกินบรรยาย
    “สุดยอดจริงๆเลย! เป็นการแสดงที่ยอดเยี่ยมที่สุดเลย!!”
    Miss Lacus Clyneหันไปส่งยิ้มให้บรรดานักดนตรีและผู้ร่วมแสดง ก่อนจะกล่าวตอบชั้น
    “ขอบพระคุณมากค่ะ คุณCagalli ดีใจจังที่รู้ว่ามีคนที่ชื่นชมการแสดงของพวกเรามากเช่นนี้อยู่”

    “ไม่ใช่แค่ชั้นหรอก!” ชั้นรีบกล่าวต่ออย่างกระตือรือร้น “เพื่อนๆของชั้นล้วนชอบการแสดงและเสียงเพลงของคุณทั้งสิ้น”
    ดาวเด่นแห่งRosettaได้ฟังแล้ว ดวงตาสีฟ้าครามก็เป็นประกาย “จริงหรือคะ? แหม น่าเสียดายจังนะคะ ที่ครั้งนี้พวกเขาไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย”
    “นั่นสิ...งั้นคุณจะว่าอะไรมั๊ย? ถ้าคราวหน้าชั้นจะ.....”ชั้นรีบเอามือปิดปากตัวเองดังปั้บ! หลังจากที่เกือบจะหลุดปากพูดขออะไรออกไป เพราะนึกขึ้นมาได้ว่า ขืนพาพวกAsagiมาจริงๆ มีหวัง ความได้แตกกันพอดี!!!

    หล่อนมองชั้นอย่างแปลกใจ คงกำลังสงสัยว่าทำไมถึงไม่พูดต่อให้จบ และพอดีกับที่ว่า สายตาเหลือบไปเห็นนาฬิกาเรือนใหญ่ตรงมุมห้อง

    แล้วก็แทบจะต้องกรี๊ดออกมาด้วยอาการตกใจแทบสิ้นสติ!
    “จะทุ่มนึงแล้ว!!!!”
    “??มีอะไรเหรอคะ??”
    ก็จะอะไรเล่า!! โธ่! Madame St.Ericaอุตส่าห์กำชับไว้แล้วว่าให้กลับไปให้ทันเวลามื้อค่ำตอนทุ่มครึ่ง!! ตายๆๆๆ!!!!งานนี้ชั้นต้องตายแน่ๆ แถมไม่ตายคนเดียว! จะตายยกหอกันก็งานนี้แหล่ะ!!!

    “ชั้น...ชั้นอยู่ต่อไม่ได้แล้วหล่ะ!!” ชั้นละล่ำละลักพลางคว้าข้าวของที่ซื้อมาตั้งแต่เมื่อบ่ายและทำท่าจะเผ่นออกไปโดยไม่รอช้า
    “ตายจริง! รีบมากหรือคะ?? ให้ดิชั้นเรียกรถม้าให้ดีมั๊ยคะ?”
    “มะ...ไม่ๆ ไม่เป็นไร ชั้นไปหาเอาดาบหน้าได้!” ชั้นรีบส่ายหน้าจนผมเผ้ากระจาย แต่ขณะที่รีบๆเลิ่กลั่กจนทำอะไรไม่ถูก ก็ยังมีสติพอที่จะหันกลับไปกล่าวกับสาวน้อยเจ้าของเสียงเพลงสุดโปรดก่อน

    “อ๊ะ! Miss Lacus Clyne วันนี้ ขอบคุณมากนะ”
    “ค่ะ ยินดีค่ะ ขอให้กลับไปทันเวลานะคะ”
    หล่อนกล่าวอวยพรชั้นด้วยรอยยิ้ม ชั้นยิ้มตอบก่อนจะรีบวิ่งหอบข้าวของขึ้นบันไดแล้วโกยอ้าวออกนอกประตูอย่างไม่คิดชีวิต

    แต่ยังรู้สึกผิดไม่ได้แฮะ ที่ยังไม่มีโอกาสได้กล่าว “ขอบคุณ” อีตาผู้กองAthrun Zalaคนนั้นเลย
    .....อุตส่าห์พาเรามาพบนักร้องในดวงใจตัวจริงตามสัญญาแท้ๆ ชั้นคิดขณะที่โบกรถม้า

    พอรถม้าจอดดี ชั้นก็โยนข้าวของทุกอย่างขึ้นไปก่อนกระโดดพรวดเข้าไปนั่ง
    “ไปถนนSt.Georgeนะ ซิ่งสุดตัวเลยเพ่!!”

    คนขับซึ่งเป็นลุงหนวดเฟิ้มพยักหน้ารับ ก่อนแกจะกระตุ้นม้าเทียมทั้งสองตัวให้ออกตัวควบออกไป รถม้ากระชากตัวออกไปจนชั้นกระเด็นไปติดมุมรถ
    “โอ้ย!” ชั้นร้องพลางคลำหน้าผากป้อยๆ ถ้าเป็นตามปกติชั้นคงขมุบขมิบปากด่าคนขับไปตามเรื่อง
    แต่ครั้งนี้...กลับห่วงแต่ว่า เขาคนนั้นจะโกรธหรือเปล่าที่อยู่ๆเราก็ออกมาก่อนโดนไม่ลา

    คิดวนเวียนอยู่เพียงเท่านั้น....
    ########################################

    ดิชั้นแปลกใจไม่น้อยที่อยู่ๆคุณCagalliก็วิ่งปรู๊ดออกนอกประตูไปแบบนั้น จนเมื่อMr.Armafieเดินขึ้นมาจากห้องควบคุมดนตรีแล้วส่งเสียงถามดิชั้น
    “วันนี้...พอเท่านี้ก่อนดีมั๊ยครับคุณหนู อยากให้พวกนักดนตรีออมแรงกันไว้เยอะๆน่ะครับ แล้วอีกอย่าง ผมจะเรียกประชุมฝ่ายเวทีหน่อย”
    “เป็นความคิดที่ดีค่ะ” ดิชั้นยิ้มรับเมื่อคีตกวีหนุ่มโค้งกายเป็นเชิงขอตัว ก่อนหันไปบอกกลุ่มนักดนตรี “ไว้พบกันพรุ่งนี้ครับทุกคน”

    ดิชั้นละสายตามามองเจ้าHaloที่พาร่างขนฟูป้อมๆวิ่งตึ๊กๆขึ้นบันไดตรงมาหา แล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่ามันคาบอะไรบางอย่างไว้ในปากมาให้
    “อุ๊ย คาบอะไรมาจ๊ะ? Halo” พอดิชั้นทรุดตัวลงมันก็คายของที่คาบมาลงกับพื้น หางฟูเล็กๆกระดิกไม่หยุดราวกับกำลังปลื้มใจที่ตัวเองเอาของขวัญมาให้

    ดิชั้นหยิบมันขึ้นเพ่งพิศอย่างสนใจ ....หินสีแดงปลั่งทรงหยดน้ำชิ้นเล็กๆที่ร้อยติดกับสร้อยหนังสีน้ำตาล....สงสัยจังว่ามันเป็นของใคร
    และเมื่อนึกถึงบุคคลที่เพิ่งวิ่งหน้าตาตื่นออกนอกประตูไปเมื่อซักครู่ ดิชั้นก็พอจะเดาได้ลางๆ

    “Lacusครับ?”
    เสียงห้าวดังมาจากด้านหลัง ดิชั้นจึงลุกขึ้นยืนโดยอุ้มเจ้าขนฟูตัวโปรดไว้ด้วย
    “Athrun”ดิชั้นทัก แล้วเมื่อมองเลยไปด้านหลังของเขาก็ต้องถามอย่างสงสัย “Kiraหล่ะคะ?”
    “กลับไปแล้วหล่ะครับ” เขาตอบ ซึ่งทำให้ดิชั้นแปลกใจไม่น้อยทีเดียว

    เหตุใดจึงรีบกลับนัก?
    “เห็นว่ามีธุระน่ะครับ ฝากกล่าวลาคุณด้วย”
    “เช่นนั้นหรือคะ?” ดิชั้นพยายามปรับสีหน้าให้ยิ้มแย้มเป็นปกติ “ได้คุยกันแล้วสินะคะ?”
    “ครับ เราเข้าใจกันดี ไม่มีปัญหาอะไรหรอกครับ Kiraมันคิดมากไปเองน่ะครับ อย่าห่วงเลย” เขาตอบด้วยท่าทางสบายๆ

    ดิชั้นยิ้มรับ “ดีจังนะคะ”
    ทั้งๆที่แท้จริง....กลับรู้สึกหวิวๆในใจพิกล
    #########################################

    ผมยื่นมือไปลูบหัวลูกหมาขนฟูชื่อHaloที่ดาวเด่นแสนสวยแห่งโรงละครRosettaกำลังอุ้มอยู่และทักทายมันอย่างอารมณ์ดี
    “ไง? Halo ไม่เจอกันนาน ซนรึเปล่าเรา?”
    ท่าทางมันชอบใจมากทีเดียว ระดมเลียมือผมวุ่นวายไปหมด
    “เอ้าๆ!!”ผมหัวเราะ”มันประจบคุณแบบนี้เรื่อยเลยรึเปล่าครับ? Lacus”
    ผมเงยหน้าขึ้นถาม จึงต้องแปลกใจเมื่อพบว่าหล่อนนิ่งไป

    เหมือนคิดอะไรอยู่
    “Lacus?”
    หล่อนสะดุ้งเบาๆเมื่อผมเรียก “คะ? ขอประทานโทษนะคะ เผอิญว่ากำลังคิดอะไรอยู่นิดหน่อย”
    “คิดเรื่องงานเหรอครับ?”ผมถามยิ้มๆ อดคิดไม่ได้ว่า ยามหล่อนครุ่นคิดสิ่งใดเพลินๆ ก็ดูมีเสน่ห์น่ารักดี

    แล้วในที่สุดผมก็ตระหนักขึ้นมาได้ว่า มีบางอย่างหายไป
    “อ้าว...? เจ้านั่นหล่ะครับ?” ผมมองหาเจ้าตัวยุ่งผมทองที่พามาด้วย หากแล้วLacusก็ร้องอุทานตกใจ
    “ตายจริง! Athrun! พูดจาไม่เพราะเลยนะคะ ไปเรียกเค้าแบบนั้นได้ยังไงกัน?”

    มองผมลอบหัวเราะแล้ว Lacusก็ส่ายหน้าเบาๆอย่างอ่อนใจ ก่อนกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
    “คุณCagalliกลับไปแล้วหล่ะค่ะ ท่าทางรีบร้อนทีเดียว”
    ได้ฟังคำตอบแล้วผมก็กล่าวตอบ “ผมคิดไว้แล้วล่ะครับ” อดจะถอนใจเฮือกไม่ได้ “ไม่มีมารยาทเอาซะเลยน๊า...ไม่ลากันก่อนซักคำ”
    “คิดว่าเธอคงมีธุระสำคัญน่ะค่ะ”หล่อนกล่าวเสริมพลางส่งบางอย่างให้ผม “ถึงได้ทำสิ่งนี้หล่นไว้ด้วย”

    ผมรับมันมาพิเคราะห์อย่างประหลาดใจเมื่อพบว่าเป็นหินห้อยคอทรงหยดน้ำสีแดง ของหมอนั่นหรือ? ผมไม่ยักเคยเห็นมาก่อน...
    “ของเขาหรือครับ”
    “คิดว่านะคะ...”Lacusตอบ หล่อนนั่งลงปล่อยเจ้าHaloให้ลงไปวิ่งเล่น “ถ้ายังไง คุณคงพบกับเธอบ่อย ฝากให้เธอด้วยแล้วกันนะคะ”

    บ่อยรึ? มีแต่ความบังเอิญทั้งนั้นแหล่ะ ผมแย้งอยู่ในใจ ถ้าสร้อยเส้นนี้เป็นของสำคัญของเด็กนั่น ป่านนี้สติแตกไปถึงไหนแล้วมั้ง?
    “ไว้ผมเป็นธุระให้เองครับ” ผมรับคำพลางหย่อนมันลงในกระเป๋าเสื้อโค้ท

    Lacusมองผมแล้วจึงยิ้มออกมาบางๆ
    “รีบร้อนกลับไปจนลืมของทิ้งไว้แบบนี้...เหมือนซินเดอเรลล่าเลยนะคะ”

    ซินเดอเรลล่า? แปลกไปหน่อยมั้งสำหรับคำเปรียบเทียบนั้น

    ผมยิ้มขำพลางนึกถึงใบหน้าของเจ้าหนุ่มน้อยคนนั้น
    “คงอย่างนั้นหล่ะมั้งครับ”
    #####################################

    “สาขาของพวกเราที่อยู่ย่านไวท์แชปเปลกำลังถูกพวกสายลับจากสก็อตแลนด์ยาร์ดสงสัย” มือขาวซีดจนเห็นเส้นเลือดเคาะบุหรี่ลงกับที่เขี่ยเถ้าซึ่งหลอมจากแก้วเจียระไนใส หากควันจากเขม่าสีเทาเวลานี้กลับเข้าครอบคลุมความกระจ่างใสนั้น มีเพียงความทะมึนตึง เช่นเดียวกับบทสนทนาของชายทั้งสองคน

    ร่างใหญ่สูงสง่าของอีกฝ่ายขยับกายเท้าคางกับพนักเก้าอี้ ดวงหน้านั้นไม่สามารถเห็นได้แจ่มชัดภายใต้แสงสลัววับแวมของผับชั้นสูง มีเพียงรอยยิ้มอันปรากฏที่มุมปากหลังฟังคำกล่าวจากอีกฝ่ายเหยียดออกเบาๆ
    “ท่านลอร์ดหมายถึงหนอนบ่อนไส้?”
    “มิได้” เจ้าของมือขาวซีดเลื่อนแก้วบรั่นดีไปเบื้องหน้า คู่สนทนาในชุดดำจึงบรรจงรินน้ำสีอำพันส่งให้ “ผมมิได้มีเจตนาจะกล่าวว่าเคลือบแคลงใจในการทำงานของทางคุณแต่อย่างใดหรอกนะ เพียงแต่....”

    เขาหยุดเพื่อถอนใจแผ่วเบาก่อนกล่าว “อยากให้คุณช่วยดูแลในส่วนนี้ให้หน่อย อย่าให้ธุรกิจที่พวกเราอุตส่าห์ลงทุนลงแรงไปมากเช่นนี้ต้องสูญเปล่า”

    เสียงหัวเราะเคร่งขรึมจากลำคอคู่สนทนาในชุดสีดำแผ่วแทบไม่ได้ยิน “อย่ากังวลเลยท่านลอร์ด สิ่งที่รำคาญใจของท่านตอนนี้มันเป็นเพียงส่วนเล็กๆ แค่ปลวกแมลงที่จะเขี่ยทิ้งให้พ้นทางเมื่อไหร่ก็ย่อมได้ กระนั้น.... หากมันทำให้ท่านไม่สบายใจ….”
    ดวงตาเรียวยาวฉายความเฉียบคม “ทางกระผมก็ยินดีที่จะเข้าไปควบคุมให้”
    “ดี” เขากล่าวอย่างพอใจ “ได้ฟังคุณรับปากเช่นนี้ผมก็เบาใจ”

    “ท่านลอร์ด” ยกบุหรี่ขึ้นสูบแล้วปล่อยควันออกมาจางๆ ท่าทีสูงศักดิ์และเย่อหยิ่งนั้นทำให้คู่สนทนารู้สึกหยามหยันอยู่ลึกๆ หากเขากลับซ่อนความรู้สึกนั้นไว้ใต้ใบหน้ายิ้มแย้มและเปี่ยมไปด้วยความเป็นมิตรของคู่หูทางธุรกิจได้โดยสิ้นเชิง
    “แล้วทางสองพ่อลูกนั้นว่าอย่างไร? ผมได้ข่าวมาว่า เราสูญเสียสมุนฝีมือดีชาวยุโรปไปถึงสองคนระหว่างการเจรจาธุรกิจที่ชุมชนแออัดBank Site” คำถามนั้นแสดงความเย้ยหยันมากกว่าจะถามเพื่อรับฟังคำตอบโดยแท้จริง “คงจะเต้นเป็นเจ้าเข้าเลยสิ?”

    คู่สนทนาในชุดดำกลั้นหัวเราะหึๆ แล้วจึงยกแก้วบรั่นดีขึ้นจิบ “โกรธกริ้วมากทีเดียวหล่ะครับ แต่ก็ยังถือว่าโชคช่วยอยู่มากที่เรือสามารถผ่านด่านออกทะเลไปได้”
    “แค่ให้สินค้าไปถึงฝั่งตะวันตกได้ ก็น่าจะพอใจแล้ว ทั้งที่คุณก็อุตส่าห์เสี่ยงไปส่งของด้วยตัวเองแท้ๆ”
    “ช่างเขาเถอะครับ เพราะคราวนี้ หมายถึงการได้รับผลตอบแทนที่ประมาณค่ามิได้นับล้านปอนด์ ถ้าจะสูญเสียอะไรไปบ้าง มันก็ย่อมคุ้มค่ามิใช่หรือครับ?”

    ชายสูงศักดิ์ในชุดขาว เฉกเช่นเดียวกับผิวสีขาวซีดของเขาหัวเราะหยัน “หึ! เสียน้อยเสียมาก เสียยากเสียง่ายสินะ...เข้าใจคิดนี่.....”
    เขายกแก้วบรั่นดีขึ้นเบื้องหน้าพร้อมรอยยิ้มร้ายกาจที่เรียวปาก
    “ผู้การ”

    แก้วใสบรรจุน้ำสีอำพันกะทบกันกริ๊ก....เป็นสัญญาณของการลงเอยด้วยดีของพันธสัญญาทางธุรกิจครั้งนี้
    ##################################
  17. whitewing

    whitewing New Member

    EXP:
    120
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    PHASE 7: Mystic heart

    เช้าแล้ว.....

    แดดอุ่นๆยามเช้าสาดผ่านม่านเข้ามาในห้อง กระทบใบหน้าที่ไร้ความรู้สึกของผม ว่างเปล่าพอๆกับสายตาผมที่มองไปรอบตัวตอนนี้

    ต้องสารภาพตามตรงว่า....คำกล่าวที่ได้ฟังจากปากของเพื่อนรักเมื่อเย็นวาน ทำให้ผมหลับไม่ลง
    ...นอน...ไม่หลับ....

    ผมเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมยังต้องวนเวียนคิดเรื่องของหล่อนกับ....หมอนั่น.... ทั้งๆที่รู้ดีว่า ไม่ควรไปคิด ไปรับมาใส่ใจให้รกสมอง
    ไม่เข้าใจตัวเองจริงๆ ว่าทำไม...ทั้งๆที่รู้ดี แต่ยังรู้สึกหงุดหงิดทุกครั้ง

    ผมสะบัดผ้าห่มออกพ้นตัว พยายามจะเอาน้ำเย็นล้างหน้า เผื่อว่าตาจะสว่างขึ้นบ้าง ซึ่งมันก็ช่วยได้นิดหน่อย พอแต่งเนื้อแต่งตัวเรียบร้อย ผมก็สูดหายใจเข้าปอดลึกๆ

    และย้ำกับตัวเองอีกครั้งว่า จะไม่คิดถึง.....เธอคนนั้น

    ที่โต๊ะอาหารเช้า ผมกับท่านพ่อนั่งรับประทานอาหารเช้าและสนทนาหัวข้อในเรื่องเหตุบ้านการเมืองเป็นปกติ แต่ว่า...ให้ตายสิ สมกับเป็นท่านฑูตYamato.... ไม่สิ สมเป็นพ่อของเรา ผมคิด ถึงได้มองออกว่า...ตัวผมตอนนี้ มีบางอย่างไม่ปกติ

    “ตาแดงเชียวKira นอนไม่หลับหรือลูก?” ท่านเปรยถามโดยไม่ละสายตาจากตัวบทความในหนังสือพิมพ์การเมือง ผมเงยหน้าขึ้นและปรับสีหน้าให้เป็นปกติ
    “อ๋อ...เอ้อ เมื่อคืน อยู่ทำงานจนดึกน่ะครับท่านพ่อ เตรียมการสอนของวันนี้”
    ท่านพ่อพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ “งั้นหรือ?” ท่านถอดแว่นลงเก็บใส่กระเป๋า “มิน่าพ่อเห็นตะเกียงเปิดไว้ในห้องลูกเกือบจะตลอดทั้งคืน”
    ผมยิ้มรับจางๆ “ขออภัยที่ทำให้เป็นห่วงครับท่านพ่อ”
    “เด็กยิวนั่น...สอนหนังสือไปถึงไหนแล้วหล่ะลูก?” ท่านเอ่ยถามเรื่องอื่นต่อ ผมจึงตอบไปตามจริง
    “ตอนนี้อ่านหนังสือนิทานง่ายๆได้แล้วหล่ะครับ พอดีว่าLacus....” ผมค้างคำนั้นไว้เมื่อจิตคิดไปถึงเจ้าของชื่อ

    ความคิดคำนึงถึงที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น

    “ผู้ปกครองของเด็กคนนั้นน่ะครับ เธอก็ช่วยหาหนังสือดีๆมาให้Stellarอ่านเรื่อย เพราะงั้น....”
    “เมื่อไหร่Kiraจะพูดความจริงกับพ่อซะที?”
    ท่านพ่อถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆสวนขึ้นมาขณะที่ผมกำลังพยายามเล่าด้วยท่าทางปกติ
    “ครับ?”
    “เรื่องที่เรากำลังกังวลตอนนี้ไง พ่อเป็นพ่อของเรา ทำไมพ่อจะดูไม่ออก”
    เพียงคำกล่าวนั้น ผมก็พูดอะไรไม่ออก รู้สึกกระอักกระอ่วนใจที่จะเอ่ยความจริงที่วนเวียนคิดอยู่ในใจตอนนี้

    “เอ้อ....ผม....”
    และแล้วรอยยิ้มก็ปรากฏที่มุมปากของท่าน “Miss Lacusคนนั้น....?”
    ท่านกล่าวออกมาอย่างรู้ทัน แทงใจดังฉึก! แม้จะตกใจ แต่ผมก็ยังมีสติพอที่จะร้องแก้ตัวลั่น
    “มะ...ไม่ใช่นะครับ!!!”

    แต่ไม่ทันที่ผมจะได้อธิบายสิ่งใด เราก็ต้องตกใจกับเสียงวิ่งตึ้กๆๆๆที่ตรงเข้ามาในห้อง ท่านแม่นั่นเอง ดูเสียก่อน...ขนาดที่ว่า ท่านยังอยู่ในชุดเสื้อคลุมชุดนอนยาวกรุยกรายยังวิ่งเร็วเสียขนาดนั้น
    “Kira!!!!”
    ท่านร้องเรียกชื่อผมลั่นขณะที่วิ่งตรงมาหาพวกเราที่โต๊ะอาหารเช้า ในมือมีหนังสือพิมพ์ติดมาด้วย...ถ้าคาดไม่ผิด น่าจะเป็นข่าวสังคมรายสัปดาห์กระมัง
    เราสองคนพ่อลูกมองท่านอย่างแปลกใจระคนตกใจ ไม่ทันจะถามว่าเกิดอะไรขึ้นท่านถึงได้หน้าตื่นเช่นนั้น หนังสือพิมพ์ที่ท่านแม่ถือมาด้วยก็ถูกวางโครมลงกับโต๊ะอาหารเช้า

    “ดู๊!!ดูสิคะคุณ!ดูสิKira!!!”
    สีหน้าและน้ำเสียงของท่านแม่แสดงอาการ”เม้งแตก”พร้อมเอาเรื่องสุดขีด และพอผมเห็นภาพใหญ่พร้อมพาดหัวข่าวตัวเบ้ง...

    “Lady Allster สาวทรงเสน่ห์แห่งยุค หนุ่มสังคมต่างหมายปอง”

    ผมจึงค่อยพิจารณาภาพประกอบ ภาพของสุภาพสตรีผมแดงเพลิงในชุดราตรีหรูหราควงคู่กับชายหนุ่มจากวงสังคมถึงสองคน คนแรก....ผมรู้จักดีในฐานะของอาจารย์ที่สอนวิชาปรัชญาการเมือง Mr.Ssigh Argyleลูกศิษย์ของผมเอง ส่วนอีกคนนั้น....ถ้าจำไม่ผิด รู้สึกว่าจะเป็น...Yzak Jules เพื่อนร่วมรุ่นที่Eton School และคู่แข่งของAthrun ตอนนี้รู้สึกว่า....จะเป็นสารวัตรงานสืบสวนสอบสวนที่Athrunสังกัดอยู่นั่นเอง

    แต่กระนั้น...ที่น่าตกใจมากกว่า กลับเป็นพาดหัวย่อยลงมาข้างใต้ภาพที่เขียนว่า
    “บุตรชายท่านฑูตถูกเขี่ยทิ้งไม่ใยดี”

    ทั้งผมทั้งท่านพ่อ อ่านมาถึงประโยคนี้แล้ว....ถึงกับอึ้ง
    “หือ???”

    นี่สิ...ถึงทำเอาท่านแม่ต้องเต้นผางขนาดนี้
    #################################

    ผมรีบวางถ้วยชาลงกับโต๊ะทำงาน เมื่อไม่แน่ใจนักว่าคิดถูกรึคิดผิดที่เช้านี้หยิบหนังสือข่าวสังคมมาอ่านแทนหนังสือพิมพ์การเมืองดังเช่นทุกวัน

    พาดหัวข่าวพร้อมภาพประกอบเต็มหน้ากระดาษเสียขนาดนี้. ทำให้ผมต้องหน้านิ่วคิ้วขมวดนิ่งมองด้วยความฉงนสนเท่ห์...ภาพของหญิงสาวสูงศักดิ์แห่งตระกูลAllsterผู้ซึ่ง...ผมคิดว่าเป็นที่หมายปองของKira ควงคู่กับหนุ่มอื่นออกงานสังคม แถมหนึ่งในสองนั่น...ก็เป็น....

    ผู้บังคับบัญชาสายตรงของผม พันตรีYzak Jules

    “หือ????”
    ################################

    “ทำแบบนี้มันหยามเกียรติของตระกูลเราชัดๆเลยนะคะ!”
    ท่านแม่บ่นเสียงสูงปรี๊ดขณะที่เดินมาส่งเราสองคนพ่อลูกเพื่อไปขึ้นรถม้าที่จอดรออยู่หน้าบ้าน ท่านพ่อพยักหน้าเออออห่อหมกไปอย่างนั้น ก่อนจะถอนใจพลางถาม
    “เช่นนั้นแล้ว คุณหญิงจะให้ผมทำอย่างไรหล่ะ ในเมื่อสื่อลงข่าวแบบนี้ไปแล้ว”
    “ต๊าย! ยังจะมาย้อนถามดิชั้นอีกหรือคะ?? นี่มันเกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของKiraด้วยนะคะ ใช้มาได้คำว่าเขี่ยทิ้ง! เขี่ยทิ้งอะไรกัน!! แบบนี้วงสังคมเค้าจะมองลูกเราว่ายังไงคะ?? เป็นอาจารย์มีตำแหน่งการงานดี แต่ถูกผู้หญิงทิ้ง มันแปลว่าแบบนี้นะคะคุณ”

    ผมสวมเสื้อเทร้นต์โค้ตสีน้ำเงินเข้มตัวเก่งพลางแอบกลั้นหัวเราะกับท่าทีเกรี้ยวกราดเช่นนั้น ถ้าเป็นตอนที่ผมยังเล็กกว่านี้ คงวิ่งหนีไม่ทันแน่ๆ
    “เมื่อแวดวงสังคมย่อมรู้ดีว่าทางเรากับท่านบารอนตั้งใจจะเกี่ยวดองกัน ยิ่งไปกว่านั้นนะคะ ทางโน้น อ้อ! ดิชั้นหมายถึงทางท่านบารอนน่ะแหล่ะค่ะ ท่านก็เหลือเกิน! ทั้งๆที่คุยกันจ๊ะจ๋าดีว่าจะสนับสนุนให้KiraและคุณหนูFllayได้สนิทสนมกัน แต่ทำไมยังปล่อยปละให้บุตรสาวออกงานสังคมกับชายหนุ่มคนโน้นคนนี้ได้อยู่อีก โอ๊ย! ดิชั้นหล่ะไม่เข้าใจเล้ย!”

    ท่านพ่อและผมมองหน้ากันอย่างเหนื่อยใจ ในที่สุดท่านเอกอัคราชฑูตYamatoก็ตัดสินใจเข้าไปโอบไหล่ภริยา
    “ใจเย็นๆสิคุณหญิง ไม่ใช่ว่าผมจะเฉยได้ ไม่รู้สึกอะไร ผมเองก็ไม่ชอบใจเหมือนกับคุณหญิงแหล่ะ ที่ข่าวมันลงเรื่องพาดพิงไปถึงKiraแบบนั้น”
    “เช่นนั้นแล้วทำไม...!”
    “คุณหญิงฟังนะ ข่าวที่ตีลงตอนนี้มันเหมือนตีขนมให้แป้งขึ้นฟูแหล่ะ ปล่อยทิ้งไว้ ไม่ตอบโต้ เดี๋ยวมันก็ค่อยๆจางหายไปเอง เพราะข้อเท็จจริงคืออย่างนี้นะ เราแค่พูดคุย ยังไม่ได้ทาบทามอย่างเป็นทางการ ยังไม่มีการหมั้นหมายใดๆเกิดขึ้น อีกอย่าง ฝ่ายLady Allsterเธอก็เป็นสาวสมัยใหม่ ทั้งสวยทั้งฉลาด ก็ย่อมมีสิทธิที่จะมองชายอื่นบ้างมิใช่รึ?”
    “แต่แหม....!”
    ท่านแม่ทำท่าจะค้าน ผมจึงเอ่ยขึ้นบ้าง
    “ถ้ากังวลถึงผมหล่ะก็ ขอให้ท่านแม่สบายใจได้ว่าผมไม่รู้สึกอะไรกับข่าวพวกนี้เลยครับ และไม่คิดอะไรกับมันเลยด้วย”
    “นั่น! ดูลูกเราเสียก่อนคุณหญิง สมเป็นครูบาอาจารย์ มีความคิดความอ่านโตเป็นผู้ใหญ่พอที่จะปล่อยวางเรื่องไร้สาระ...”

    ท่านพ่อพูดยังไม่จบดี ท่านแม่ก็วี๊ดขึ้นมาว่า
    “อ๊อ!!นี่ท่านฑูตหมายความว่า ดิชั้นหัวคิดหัวอ่านไร้สาระเยี่ยงนั้นรึคะ??”
    “โอ๊ย! ไม่ใช่คุณหญิง โธ่!!ไปกันใหญ่แล้ว!!!”

    ผมกลั้นหัวเราะ นี่ถ้าปล่อยไว้แบบนี้ ท่านพ่อคงไม่ต้องไปทำงานเพราะมัวแต่ปลอบท่านแม่ตลอดเช้านี้แน่ๆ ผมกระตุกแขนเสื้อท่านแล้วพยักหน้าเป็นเชิงบอกให้ไปกันเสียที
    “เอ้า ได้เวลาไปเสียที รถม้ารอนานมากแล้ว ผมไปนะคุณหญิง ไว้ค่อยคุยกันแล้วกัน” ท่านพูดพลางหอมแก้มภริยาแบบรวดเร็ว “ไปเร็วKira จะแวะที่ทำงานพ่อใช่มั๊ย?”
    “ครับท่านพ่อ”ผมเออออรับคำโดยไม่ลืมหันไปจุ๊บท่านแม่แบบรวดเร็วเป็นเชิงตัดบทด้วย “ไปนะครับท่านแม่”

    ว่าแล้วเราสองคนพ่อลูกก็รีบวิ่งตื๋อไปที่รถม้า ผมว่า...ตัวเองได้ยินเสียงท่านแม่ร้องอยู่เบื้องหลัง
    “จริงๆเล้ย! พ่อลูกสองคนนี้นี่!!”

    และเมื่อหลบขึ้นรถม้ามาได้ ความสงบก็มาเยือนเสียที เราหัวเราะหึๆให้กับอาการมีน้ำโหของท่านแม่ ก่อนที่ท่านพ่อจะกล่าว
    “แม่ของลูกดูท่าจะฉุนท่านบารอนAllsterน่าดูชม แล้วเราหล่ะจะว่าไง?”
    “ยืนยันคำเดิมครับท่านพ่อ” ผมยิ้มจางๆ “ถ้าทางLady Allsterเธอพบชายหนุ่มที่เหมาะสมกว่า ก็ย่อมเป็นเรื่องน่ายินดี”
    “พ่อนึกว่าลูกจะนิยมชมชอบในตัวหล่อน”
    ผมได้แต่ยิ้ม แต่คิดว่าท่านพ่อคงเข้าใจ ความหมายในรอยยิ้มนั้น

    ผมยอมรับว่า....Lady Fllay Allsterเป็นสาวสวยทรงเสน่ห์ แต่...หล่อนหาได้อยู่ในความคิดคำนึงของผมไม่

    ในความรู้สึกของผมตอนนี้ ไม่มีใคร....
    ผมบอกตัวเองแบบนั้นว่า ไม่มี....แต่กลับหวนคิดถึงเสียงๆนั้นร่ำไป แม้กระทั่งเมื่อคืนนี้

    เสียงเพลงนั้น....
    #########################################

    Saint Angela Ursulineคอนแวนต์ ที่ถนนSt.George

    ช่วงพักรับประทานอาหารกลางวันของโรงเรียน บรรดาเหล่านักเรียนสาวชาวคอนแวนต์พากันเกี่ยวก้อยมารวมตัวกันที่โรงอาหารใหญ่ บรรยาการครึกครื้นเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยคิกคักเจื้อยแจ้ว เป็นช่วงพักผ่อนสบายๆของเหล่านักเรียนประจำที่ต้องอยู่ในกฏระเบียบอันเคร่งครัดเสมอมา

    แต่...ขณะที่ใครๆก็เฮฮากัน

    กลับมีแต่ชั้นคนเดียวที่ต้องนั่งหน้าหงิก!

    เปล่า! นี่กำลังคิดกันหล่ะสิว่า ที่หน้าหงิกแบบนี้มันเพราะถูกจับได้คาหนังคาเขาว่าเมื่อวันก่อนแอบหนีออกไปเที่ยวข้างนอกคอนแวนต์จนต้องถูกลงโทษ ก็เกือบไปแหล่ะ แต่โชคช่วยที่คุณลุงคนขับรถม้าแกเชี่ยวชาญตรอกซอกซอยในลอนดอนดี ก็เลยกลับมาทันอย่างชนิดหวุดหวิดเทียว

    เลยรอดตัวจากสารพัดมาตรการลงโทษจนได้!

    แต่ที่ต้องมานั่งหน้าหงิก เซ็งชีวิตอยู่ตอนนี้น่ะ ก็เพราะ....

    “น่า ใจเย็นน่าCagalli อย่ามัวแต่ทำท่าหดหู่แบบนั้นซี่ตัวเอง มันอาจจะไม่ได้แย่ขนาดนั้นก็ได้นี่นา” Juriวางมือนวดไหล่ชั้นอย่างเอาอกเอาใจ ขณะที่Mayuraก็ช่วยพูด
    “บางทีอาจจะหล่นอยู่ในโรงละคร และมีคนเก็บไว้ให้ก็ได้นี่นา”
    แต่ยัยAsagiสิ ดันพูดขึ้นมาว่า
    “จะมีเร้อ….? สร้อยนั่นมันเส้นเล็กนิดเดียว แถมไม่ใช่เพชรไม่ใช่ทอง ราคาค่างวดอะไรก็ไม่มี ใครจะเก็บไว้”
    เท่านั้นแหล่ะ อีกสองคนที่เหลือก็เอ็ดตะโรลั่น “ยัยAsagi!!!”
    “อุ๊บ! โทษทีๆ”

    ฟังที่Asagiพูดน่ะ มันก็ถูก เพราะมันก็แค่สร้อยหนังร้อยจี้หินปะการังสีแดงธรรมดา แต่สำหรับชั้น....
    มันเป็นของสำคัญ....สำคัญมาก
    เพราะท่านแม่ที่จากไปตั้งแต่ชั้นยังเล็กมอบไว้ให้เป็นตัวแทนของท่าน เพราะงั้น ชั้นถึงสวมมันติดตัวไว้เสมอมา

    แต่วันนี้ มันก็มาหายไป เพราะความคึกคะนองของชั้นแท้ๆเลย

    พอคิดแบบนี้แล้ว....มันก็เริ่มจะจุกๆในอก น้ำตาก็เริ่มจะรื้นที่ขอบตา
    “ท่านแม่ต้องโกรธชั้นแน่ๆเลย....”
    ชั้นพึมพำเบาๆขณะที่ซบหน้าลงกับท่อนแขน เพื่อนๆมองหน้ากันเอง คงไม่รู้จะปลอบชั้นยังไง ในที่สุดJuriก็เขยิบเข้ามากอดชั้นเต็มแขน

    “ไม่เอาน่า อย่าร้องๆ เราบอกแล้วไงว่าสร้อยมันเก่าแล้ว อาจจะขาดตอนที่ตัวเองรีบล่กๆกลับมาก็ได้ เราว่าตกอยู่ในโรงละครแหล่ะ ไม่ไปไหนหรอก Cagalliก็เล่าให้เราฟังเองนี่ว่าคนที่โน่นใจดี เพราะงั้นนะ ต้องมีคนเก็บไว้ให้แน่ๆเลย นะจ๊ะ”
    MayuraกับJuriจึงกล่าวเสริม
    “ใช่ๆ เอางี้ดีมั๊ย คราวหน้า...” Asagiป้องปากกระซิบเบาๆอย่างขี้เล่น “ตอนพวกเราแอบแว่บออกไปข้างนอกกัน ไปช่วยกันพลิกโรงละครนั่นหากันเลย! ตั้งชื่อว่า ภารกิจป่วนRosettaดีมั๊ย?”

    ลองยัยAsagiพูดแบบนี้ ก็แปลว่า คงได้ทำอะไรสนุกๆด้วยกันอีกแน่ๆถ้าพวกเราได้ไปที่โรงละครนั่นด้วยกัน พอชั้นฟังจบ ในที่สุดก็หลุดหัวเราะกิ๊กออกมา
    เมื่อบรรยากาศดีขึ้น พวกเราสี่คนก็หัวเราะให้กันได้

    “คุยกันท่าทางสนุกจังนะ หัวเราะคิกคักเชียว”
    เสียงของคนที่คุ้นเคยดังขึ้น พวกเราหันไปมองเจ้าของเสียงแล้วก็ต้องยิ้มหน้าบาน รุ่นพี่สาวผู้สง่างามและเป็นที่รักใคร่ของทุกคนในคอนแวนต์ ประธานสภานักเรียนLady Chiho Hanefousวันนี้ก็ยังอ่อนโยนน่ารักกับพวกเราเหมือนเคย
    “สวัสดีค่ะ Lady Hanefous” พวกเราลุกขึ้นทำความเคารพหล่อน Lady Hanefousยิ้มรับแล้วขยับเข้ามาใกล้พวกเรา
    “ขนมที่เอามาฝากอร่อยดีนะคุณAthha”
    ชั้นหัวเราะ อารมณ์ที่ขุ่นมัวมาตั้งแต่เมื่อคืนหายวับไปในพริบตา “ค่ะ ดีใจจังที่ชอบ”

    “ไว้คราวหน้า” รุ่นพี่สาวหันซ้ายหันขวา มองไปจนแน่ใจว่าไม่มีMadameคนไหนอยู่แถวนั้น แล้วจึงกระซิบกับพวกเรา
    “จะออกไปข้างนอก ก็ชวนกันบ้างนะ”
    พวกเราฟังแล้วก็ได้แต่กิ๊กกั๊กอย่างนึกสนุก จนเมื่อรุ่นพี่สาวสวยออกปากขอตัวไปรวมกลุ่มกับเพื่อนๆของหล่อน ชั้นและสามสหายก็ยังคงมองตามหล่อนไปด้วยสายตาชื่นชม ร่างสูงระหงบอบบางในชุดเครื่องแบบนักเรียนสีดำแกมน้ำเงินของเกรด12 เรือนผมสีเกาลัดมันเงางามทอดตัวตรงยาวสยายจดบั้นเอวถูกรวบไว้ด้วยริบบิ้นซาตินสีน้ำเงินเข้มพลิ้ว

    เหลืออีกแค่เทอรมเดียว หล่อนก็จะจบการศึกษาจากคอนแวนต์แห่งนี้ และเป็นLadyเต็มตัว ชั้นเชื่อมั่นว่า ด้วยสติปัญญาเฉลียวฉลาดและน้ำใจอันดีงามเช่นนั้น หล่อนต้องเป็น สุภาพสตรีสมบูรณ์แบบที่ใครๆก็หมายปองแน่นอน

    แหม....เทียบกับชั้นแล้ว หนทางแบบนั้นคงไม่มีวันไปถึงแน่ๆ คิดแล้วได้แต่ถอนใจ
    แต่ก็ช่างเถอะ เพราะความฝันของชั้นน่ะ ไม่ใช่การเป็นLadyผู้สง่างามอะไรแบบนั้นซะหน่อย
    ก็ความฝันของชั้นน่ะ.....

    “แย่แล้วพวกเรา!!!เรื่องใหญ่แล้วๆ!!!”
    Miss Milliaria Halwเจ้ากรมข่าวประจำคอนแวนต์วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาในโรงอาหาร ทำให้ทุกๆคนต้องหันไปสนใจเป็นตาเดียว
    “มีอะไรเหรอ??” Lady Hawkผู้พี่ออกปากถาม เจ้าของเสียงโวยวายเมื่อครู่ย่อตัวลงทำความเคารพรุ่นพี่อย่างรวดเร็ว ก่อนจะละล่ำละลักพูดด้วยสีหน้าตื่นกลัว
    “พะ...พวกสะ...สก็อตแลนด์ยาร์ดค่ะ พวกนั้นยกกันมาเต็มคอนแวนต์เลยค่ะ”

    พอได้ยินคำว่า “สก็อตแลนด์ยาร์ด”เท่านั้น ชั้นก็สำลักน้ำชาพรวด!
    เอ๋....เอ๋?????เอ๋??????!!
    ส....สก็อตแลนด์ยาร์ด!!!!!

    ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ฮือฮาเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว บรรดาสามสาวเพื่อนรักก็รีบรุมกันบอกชั้น
    “อึ๊ย!!ได้ยินมั๊ยCagalli!!!สก็อตแลนด์ยาร์ดหล่ะ!!!”
    “ยกกันมา....หรือว่า....จะเป็นอีตาผู้กองของเธอคนนั้น??”
    “แบบนี้ก็แปลว่า....คะ.... ความใกล้แตกแล้วสิ!!! บางที คนๆนั้นอาจจะมาตามหาตัวเองที่นี่ แล้ว....”

    โอ๊ยยยย!!!ทนไม่ไหวแล้ว เลิกพูดซะทีเถอะ!!!
    “ปัดโธ่!!!!หยุดซะทีเถอะน่า ทั้งสามคนน่ะแหล่ะ!!! สก็อตแลนด์ยาร์ดน่ะมีเป็นร้อย!!แล้วมันเรื่องอะไรที่หมอนั่นจะต้อง....”
    ยังโวยกลับไม่ทันจบ Madame St.Nataleก็ก้าวเข้ามาในโรงอาหาร เท่านั้นแหล่ะ เสียงจ้อกแจ้กเป็นนกกระจอกแตกรังก็เงียบกริบลงในบัดดล

    สงสัยเพราะรังสีอำมหิตของเจ๊แน่ๆเลย อึ๊ยยย !!!ได้โปรดเถอะ อย่าเรียกชื่อหนูเลยนะคะMadame ขอร้องหล่ะค่ะ!!! ขอร้อง!!!
  18. whitewing

    whitewing New Member

    EXP:
    120
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    “Lady Hanefous อยู่รึเปล่า?”
    หือ....?
    เอ๊ะ?? นั่นมัน....ไม่ใช่ชื่อเรานี่?

    ชั้นรีบหันไปมองทางรุ่นพี่สาว เจ้าของชื่อเมื่อครู่ หล่อนลุกขึ้นยืน ดูเหมือนเจ้าตัวก็ยังงงๆอยู่ที่ถูกเรียกตัวเช่นนั้น
    “ดิชั้นอยู่นี่ค่ะ Madame”
    Madame St. Nataleมองแล้วพยักหน้าอย่างพอใจ ก่อนกล่าวบอก
    “คู่หมั้นของคุณ สารวัตร Yzak Julesมารอพบที่ห้องรับรองแน่ะ”

    คำกล่าวนั้น ทำให้เกิดเสียงฮือฮาตามมาระงม
    ตรงกันข้าม...Lady Hanefousกลับมีสีหน้าสงบ
    “ค่ะ ดิชั้นจะไปเดี๋ยวนี้ค่ะ Madame”

    หล่อนเดินออกจากโต๊ะรับประทานอาหารเพื่อไปหาMadameฝ่ายปกครอง ท่ามกลางสายตาที่จ้องมองอย่างสงสัยใคร่รู้

    เอ้อ....โดยเฉพาะ....พวกเราน่ะ
    #################################

    “มันเรื่องอะไรที่เราจะต้องมาแอบดูLady Hanefousอย่างนี้ด้วยเล่า??” ชั้นบ่นด้วยน้ำเสียงรำคาญระคนหงุดหงิด ก็ดู๊....ดูสิ! ยัยตัวแสบสามคนนั่น ส่งชั้นเป็นหน่วยกล้าตายปีนขึ้นไปบนต้นไม้เพื่อลอบเข้าไปสืบข่าวบนอาคารรับรอง

    พูดง่ายๆคือ จะให้ชั้นช่วยแอบฟัง(และแอบดู)เรื่องที่Lady Hanefousกับคู่หมั้นจะพูดคุยกันนั่นแหล่ะ
    “เรื่องของรุ่นพี่ก็คือเรื่องของพวกเราแหล่ะCagalli อย่าบ่นมากไปหน่อยเลยน่า”
    “ในฐานะรุ่นน้องที่มีหน้าที่ปกป้องรุ่นพี่ เราก็ต้องรับรู้ด้วยสิ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ร้อยวันพันปี ชั้นไม่เคยเห็นอีตาสารวัตรคู่หมั้นของLady Hanefousจะโผล่มาซะที”

    เออๆ ยกเหตุผลสารพัดกันไปร้อยแปด เรื่องของเรื่องก็คือ พวกหล่อนน่ะ อยากรู้เรื่องชาวบ้านนั่นแหล่ะ ชั้นค่อนอยู่ในใจ ก่อนจะค่อยๆถลกกระโปรงยาวกรอมพื้นขึ้นขมวดเป็นปมที่ต้นขา

    นี่ภาพนี้ ถ้าคนอื่นที่ไม่ใช่พวกเรามาเห็นคงดูไม่จืดเชียวหล่ะ
    ชั้นค่อยๆปีนขึ้นไปบนลำต้นแข็งแรงของต้นแมกโนเลีย เมื่อไปถึงกิ่งก้านใหญ่ที่อยู่ใกล้ระเบียงตึกรับรองมากที่สุดแล้ว ก็ยืดแขนทั้งสองเกาะกิ่งใหญ่ของมันแล้วอาศัยแรงเหวี่ยงพลุบเดียวเพื่อกระโดดข้ามระเบียงเข้าไปในตัวตึก ท่ามกลางสายตาคอยเอาใจช่วยของสามสาวข้างล่าง
    “ระวังตัวนะCagalli”

    ชั้นแอบตัวอยู่หลังมุมตึก ใจเต้นตุ้มๆต่อมๆก่อนค่อยๆมองออกไปตามทางเดิน พอเห็นว่า ทางสะดวก ไม่มีคนผ่านแน่แล้ว ก็รีบอาศัยความไวหลบพลุ่บเข้าในห้องรับรองทันที

    ตอนนั้นเองที่ชั้นได้ยินเสียงสนทนาของLady Hanefousดังมาจากระเบียงทางเดิน ขณะที่เสียงของอีกคน คงจะเป็น....”นางสิงห์” Madame St.Nataleเป็นแน่แท้!!! ชั้นหันซ้ายหันขวาไปเจ๊อะตู้โชว์ใบใหญ่ขวางอยู่มุมห้องเลยได้ไอเดียความคิดดีๆในบัดดล

    แต่ไอเดียนี้ อาจจะต้องเปลืองแรงนิดนึง ชั้นออกแรงดันตู้ใบยักษ์ให้ห่างออกจากผนัง ก่อนสอดตัวหลบอยู่ข้างหลัง ชักสนุกแฮะ รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นสายลับยังไงไม่รู้

    พอดีกับที่ประตูเปิดออก ชั้นแอบมองผ่านช่องเล็กๆก็พบว่าMadame St.Nataleเดินมาส่งรุ่นพี่สาวและ...อีกคนที่ก้าวเข้ามาในห้องด้วย เป็นสุภาพบุรุษหนุ่มร่างสูงโปร่งผิวขาวจัดในชุดสูทสีขาวครีมดูสง่างาม เรือนผมสีเงินนั้นรวบไว้หลวมๆที่ต้นคอ สีหน้าเขาดูเคร่งเครียด ตรงกันข้ามกับLady Hanefousที่ดูสงบมาก

    “เชิญตามสบายนะคะท่านสารวัตร”Madameหัวหน้าฝ่ายปกครองกล่าวกับบุรุษผู้นั้น “แต่ยังไงก็ กรุณารักษาเวลาด้วยนะคะ”
    “ขอบคุณครับMadame” เขาตอบรับ และเมื่อMadame St.Nataleเลี่ยงออกจากห้องรับรองไป ความเงียบงันก็เข้าครอบงำห้องทั้งห้อง

    ชั้นสัมผัสได้ถึงความตึงเครียด
    และในที่สุด Lady Chiho Hanefousก็ย่อกายลงทำความเคารพชายที่ได้ชื่อว่า “เป็นคู่หมั้น”
    “สวัสดีค่ะ ท่านสารวัตรJule”
    “สวัสดี Lady Hanefousไม่เจอกันนาน สบายดีหรือไม่?” เขาโค้งตอบ แล้วกล่าวถาม
    “ค่ะ ดิชั้นสบายดีทั้งกายและใจ ไม่เจ็บไม่ร้อนต่อสิ่งใดค่ะ”
    ฝ่ายหญิงสาวตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ จนอีกฝ่ายดูท่าจะหงุดหงิดไม่น้อย

    “ก็ดี” เขาพูดแค่นั้น “ท่านแม่อยากให้ชั้นมาเยี่ยมเยียนเธอบ้าง เพราะเราไม่ใคร่ได้พบกัน”
    “ขอบพระคุณค่ะ ที่อุตส่าห์สละเวลามา แต่ครั้งหน้า...”ดวงตาสีแอมมิทิสต์คู่งามฉายความหยามหยัน “ขอความกรุณาอย่านำบรรดาผู้ใต้บังคับบัญชาของคุณมามากมายเช่นนี้เลยนะคะ เพราะมันทำให้นักเรียนคนอื่นๆเค้าตกใจกลัวกัน ที่นี่มีแต่ผู้หญิงกับเด็ก และอยู่ใต้ความคุ้มครองของพระเจ้าอยู่แล้ว”

    อุ้ย....แอบสะใจอ่ะ ชั้นอมยิ้มกลั้นขำอยู่คนเดียว ดูท่านายสารวัตรนั่นจะรู้สึกอับอายไม่น้อย สงสัยไม่เคยถูกสาวไหนพูดตอกหน้าแบบนี้เด็ด

    “ขอโทษด้วย” เขาแก้ตัว “ครั้งหน้า...ชั้นจะระวัง”
    “ขอบพระคุณค่ะ”

    ความเงียบเข้าครอบงำอีกครั้ง การสนทนาของทั้งสองดูเหมือนเต็มไปด้วยความอึดอัด เหมือนไม่รู้จะพูดจะคุยอะไรกันดีกระนั้น

    ในที่สุด ฝ่ายชายก็ยื่นหนังสือพิมพ์หัวสังคมฉบับหนึ่งส่งให้ Lady Hanefousมองมันอย่างเฉยชาพลางกล่าว
    “ที่นี่มีหนังสือพิมพ์ให้อ่านค่ะ ขอบพระคุณที่นำมาฝาก แต่ดิชั้นไม่ชอบอ่านข่าวสังคม”
    “อย่าเฉไฉได้มั๊ยChiho! เธอก็รู้ว่าที่ชั้นมาวันนี้ชั้นจะพูดเรื่องอะไร!!” สารวัตรหนุ่มผมเงินขึ้นเสียงสูงกร้าว ท่าทางเขาหงุดหงิดมากทีเดียว

    เอ้อ...ชั้นก็ไม่รู้หรอกว่ามันเรื่องอะไร แต่ดูเหมือน...จะไม่ใช่เรื่องเล็กๆ

    ฝ่ายหญิงนิ่งมองลึกเข้าไปในดวงตาสีฟ้าจัดของคู่หมั้นหนุ่มผมเงิน แล้วถามขึ้น ช้า ชัด
    “ถ้าเช่นนั้น คุณจะให้ดิชั้นทำอย่างไรคะ?”
    ทำให้เขานิ่งอึ้งไป ดวงตาสีฟ้าจัดคู่นั้นฉายความหวาดหวั่น จนเมื่ออีกฝ่ายรุกถามต่อไป
    “หรือคุณอยากจะให้ดิชั้นลุกขึ้นมาฟูมฟายบอกคนโน้นคนนี้ว่า คู่หมั้นของดิชั้นนอกใจไปควงหญิงอื่นออกงานสังคม?” หล่อนส่ายหน้าช้าๆ “ดิชั้นไม่ทำแบบนั้นหรอกค่ะ”

    ในดวงตาสีแอมมิทิสต์คู่สวยฉายความเด็ดเดี่ยว ไม่หวั่นเกรงคนตัวสูงสง่าตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย ด้วยท่าทีแบบนั้น แม้แต่บุคคลที่ได้ชื่อว่ามีตำแหน่งเป็นสารวัตรจากสก็อตแลนด์ยาร์ดยังต้องเสียงอ่อนลง
    “มันไม่ใช่แบบนั้นซะหน่อย....Chiho”
    ใบหน้าคมดุนั้นอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด แหม...ไอ้ความรู้สึกที่เห็นหน้าเก็กๆดุๆนั่นจ๋อยไปเสียแบบนั้น ใจหนึ่งมันก็สะใจนะ แต่อีกใจหนึ่งก็อดสงสารไม่ได้เหมือนกัน
    เพราะ...ดูจากท่าทางหยิ่งยะโสตอนก้าวเข้ามาในห้องรับรองครั้งแรกแล้ว หมอนี่คงไม่เคยต้องมาง้องอนสาวที่ไหนแน่ๆเลย

    “ท่านแม่โกรธมากนะตอนที่เห็นข่าวนี่ ชั้นเลยถูกท่านเอ็ดเสียแทบแย่ เพราะท่านรักเธอมาก กลัวเธอจะไม่เข้าใจ ชั้นถึงต้องรีบตาหูเหลือกมาที่นี่ไง”

    กรี๊ดดด!!! พอมาถึงฉากนี้ ชั้นแทบร้องกรี๊ดออกมา ดีว่ามีสติพอจะเอามืออุดปากตัวเองไว้ก่อน กรี๊ดดๆๆๆ !!!ยังกับภาพในนิยายโรแมนติกSense and Sensibilityแน่ะ!! พระเอกจับมือนางเอกขึ้นมากุมด้วยมือทั้งสอง ขณะที่อีกฝ่ายดูเหมือนจะยังโกรธขึ้งอยู่ไม่น้อยเทียว

    “Lady Allsterออกงานสังคมมากมาย ชั้นเองก็ด้วย เพราะงั้นเราจึงมีโอกาสได้พบปะกันบ่อยตามหน้าที่ อีกทั้งชั้นกับหล่อนก็ไม่ได้มีเรื่องโกรธเกลียด จะพบปะและเต้นรำกันบ้างมันก็....”
    “ก็ปกติ?”
    “ก็แค่คนรู้จัก”หางเสียงนั้นหนักแน่น แต่...
    “คนรู้จักที่....ไม่ว่าจะพบกันที่งานไหน ก็ต้องเต้นรำด้วยกัน และพองานเลิก คุณก็ไปส่งเธอถึงคฤหาสน์ทุกครั้ง?”

    ได้ฟังเท่านั้นแหล่ะ นายสารวัตรหนุ่มผมเงินก็ร้องเสียงหลง
    “Chiho!!!ไปเอาที่ไหนมาพูด??”
    Lady Hanefousจึงย้อนถามกลับเสียงเย็นชา
    “หรือไม่จริงคะ?”

    คราวนี้หน้าสีขาวของนายสารวัตรยิ่งซีดเข้าไปใหญ่ ดูท่าทางเหมือนไม่รู้จะอธิบายยังไงดีแล้ว
    “เอ้อ....มันก็....แค่หนสองหนเอง...แล้วตอนนั้นมันก็เพราะบิดาของหล่อนไม่ได้ไปด้วย รถม้าก็หายากเพราะมืดค่ำแล้ว เอ่อ...”
    “พอเถอะค่ะ ดิชั้นเข้าใจ”
    มือเล็กกว่าปลดมือที่เกาะกุมออกและถอยห่างออก ในแววตานั้นมีเพียงความเฉยเมยจนน่าตกใจ
    “และคุณไม่ต้องห่วงหรอกนะคะว่าดิชั้นจะคิดมาก เพราะในฐานะคู่หมั้น ดิชั้นตั้งใจไว้แล้วว่าจะต้องอดทน เข้าใจและไม่ก้าวก่ายกิจการของว่าที่สามีในอนาคต”

    เข้าใจ?
    อดทน?
    ไม่ก้าวก่าย??

    นั่นน่ะ....ฟังเผินๆก็เหมือนว่าจะดีหรอกนะ ดูสงบเสงี่ยมเจียมตนดี... แต่ในน้ำเสียงนั้น มันเหมือนประชดประชันมากกว่าน่ะสิ
    “Chiho…”

    “และดิชั้นฝากเรียนคุณหญิงป้าEzariaด้วยนะคะว่า ให้ท่านสบายใจได้ เพราะดิชั้นไม่มีสิทธิที่จะโกรธขึ้งหรือไม่พอใจคนที่ยังไม่ได้เป็นสามีของตนอยู่แล้ว”
    กล่าวจบ มือบอบบางก็ผายไปทางประตู
    “เชิญค่ะ กรุณากลับไปทำงานที่คั่งค้างอยู่มากมายของคุณเสียเถอะนะคะ”

    ชั้นว่าตัวเองก็ตะลึงพอๆกับนายคู่หมั้นของLady Hanefousนั่นแหล่ะ โดยปกติหล่อนมักจะอ่อนหวานใจดี แต่ครั้งนี้ กลับดูแข็งกร้าวและเด็ดขาดนัก

    จนเรียกได้ว่า...น่าเกรงขามทีเดียว

    “แปลว่า...เธอไม่เชื่อชั้น....?”เสียงที่หลุดออกมานั้นเบาหวิวราวไม่เชื่อ
    “....”หล่อนนิ่งไปก่อนเชิดหน้าขึ้นและกล่าวอีกครั้ง “เชิญค่ะ”

    สารวัตรหนุ่มผมเงินนิ่งงันไป ดวงตาสีฟ้าจัดฉายความเจ็บร้าวก่อนแปรเป็นหยามหยัน เขาเชิดหน้าขึ้นกล่าวพลางสะบัดเทร้นท์โค้ตสีกรมท่าขึ้นสวม
    “ถ้าเช่นนั้น...ชั้นก็ไม่มีสิ่งใดที่จะพูดมากไปกว่านี้อีกแล้ว”
    เขาสวมหมวกแล้วก้มศีรษะให้เล็กน้อย เสียงต่อมานั้นกระแทกกระทั้นจนทำให้รู้สึก
    “สวัสดี และลาก่อนLady Hanefous…!”

    แล้วจึงเดินปึงปังออกจากห้องแห่งนี้ไป ทิ้งให้คู่หมั้นสาวยืนนิ่งอยู่เพียงผู้เดียว ชั้นลอบมองดวงหน้านั้น....สงบและเรียบเฉย หากในแววตานั้น....ชั้นว่า หล่อนคงสับสนมากทีเดียว

    หล่อนระบายลมหายใจผะแผ่วเมื่อได้ยินเสียงตวาดลั่นมาจากข้างนอก นายสารวัตรนั่นคงพาลเอ็ดตะโรประดาลูกน้องที่ยกพวกตามมาด้วยแหง เสียงดังลั่นๆจนชั้นยังตกใจสะดุ้งเฮือกเลย

    แล้วจู่ๆ Lady Chiho Hanefousก็เอ่ยขึ้น
    “ออกมาเถอะคุณAthha ได้ยินหมดแล้วสินะ?”

    เท่านั้นแหล่ะ หัวใจแทบจะหลุดออกมาข้างนอก ตกใจหมดเลย!!นึกว่าซ่อนตัวได้แนบเนียนแล้วเชียวนะ!!
    ชั้นก็เลยได้แต่....ค่อยๆขยับตัวออกจากที่ซ่อน ฝุ่นติดกระโปรงและเสื้อขาวเป็นดวงหากไม่ได้สนใจ
    “ตกใจหมดเลย.... รู้ได้ยังไงกัน?” ชั้นพึมพำแก้เก้อเสียงอ่อยๆ ไม่ชอบความรู้สึกที่ถูกจับได้แบบนี้เลยจริงๆ Lady Hanefousป้องปากหัวเราะเบาๆ
    “ก็คุณหลุดเสียงอุทานตกใจออกมาเมื่อครู่นี่”

    อาย....อาย.....หน้าแตกเสียไม่มีดี อยากจะเอาหน้าแทรกแผ่นดินหนีจริงๆ!

    รุ่นพี่สาวกล่าวยิ้มๆ
    “ให้คุณมาเห็นมุมที่ไม่น่าดูของชั้นเข้าซะแล้ว”
    หล่อนมองออกไปข้างนอกหน้าต่าง ที่เบื้องล่าง ร่างสูงสง่าของชายผมเงินเมื่อซักครู่ก้าวรวดเร็วราวพายุไปยังรถม้าที่จอดอยู่ข้างนอก

    เราเงียบไปนาน ก่อนที่ชั้นจะอดรนทนไม่ไหวถามขึ้น ทั้งๆที่รู้ว่าอาจเป็นการเสียมารยาท
    “มีปัญหาอะไรกันหรือ?”
    “ตรงไปตรงมาสมเป็นคุณAthhaเลยนะ”ฟังชั้นถามแล้วหล่อนก็หัวเราะ “คุณก็ได้ยินได้ฟังหมดแล้วนี่นา ชั้นไม่ชอบพูดซ้ำหรอกนะ”
    “คุณจะ.... ถอนหมั้นเขามั๊ย?”
    คำถามนี้ ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้านั้นจางลง หล่อนหลบสายตาจากชั้นและพูดเบาๆ
    “.... ไม่ทราบเหมือนกัน ตั้งแต่แรก การตัดสินใจทุกอย่างก็ไม่ได้อยู่ที่ชั้นอยู่แล้ว ผู้ใหญ่ท่านจัดให้ทั้งสิ้น”

    ชั้นอดร้องขึ้นไม่ได้
    “แต่คนๆนั้น ถึงขนาดควงผู้หญิงอื่นออกงาน ทั้งที่คู่หมั้นตัวเองกำลังอยู่ระหว่างการตั้งใจเรียนเพื่อจะเป็นภรรยาที่ดีในคอนแวนต์สุดเฮี้ยบแห่งนี้!!เป็นชั้นนะ....เหอะ!!”
    รู้สึกเป็นแค้นใจแทนเหลือเกิน
    “ยังไงชั้นก็จะถอนหมั้นไปให้รู้แล้วรู้รอดเสียเลย!!”

    “ขอบคุณที่เป็นเดือดเป็นร้อนแทนนะ”หล่อนยิ้มละไม “แต่สำหรับชั้น...มันเป็นเรื่องยากที่จะตัดสินใจด้วยตัวเองนะ...”
    “ทำไมหล่ะ?? เพราะเป็นคนที่บิดามารดาคุณหาให้งั้นหรือ? เฮ้อ!ชั้นไม่เข้าใจพวกผู้ใหญ่เลย ทั้งที่ก็ไม่ได้มาแต่งงานกับเราเสียหน่อย ทำไมถึงต้องยัดเยียดเราให้คนโน้นคนนี้ด้วยนะ??”
    “เพราะเขาเป็นสามีในอนาคตที่ทางผู้ใหญ่หาให้ ...นั่นก็จริงนะ แต่มันยังมีเหตุผลอื่นร่วมด้วย ที่ชั้นไม่อาจตัดสินใจได้เด็ดขาด”
    “คุณน่ะเป็นถึงบุตรีคหบดีผู้ร่ำรวย เกียรติยศใดๆก็ล้นเหลือ แค่ถอนหมั้นอีตาสารวัตรหน้าสวยนั่นคนเดียว ขี้คร้านหนุ่มๆทั่วลอนดอนจะพร้อมใจกันเสนอตัวดูแลคุณแทน!”

    หล่อนส่ายหน้าช้าๆ ดวงตาหม่นลง
    “ชั้นทำแบบนั้นไม่ได้”
    “? ทำไมกัน?”

    แล้วชั้นจึงได้เข้าใจจากคำตอบนั้น
    “เพราะชั้นรักเขา...”
    #######################################

    ชั้นทิ้งตัวลงบนเตียงนอนที่หอพักหลังกลับจากการสวดมนต์ในช่วงเย็น เรื่องราวที่Lady Chiho Hanefousพูดให้ฟังเมื่อบ่ายยังคงวนเวียน

    เพราะรักคนๆนั้น...
    คนเราจะรักใครซักคนได้มากขนาดยอมทิ้งความฝันของตน ยอมทิ้งความตั้งใจทุกๆอย่าง แม้กระทั่งยอมให้ตัวเองเจ็บปวดเช่นนั้นเชียว?
    ใจหนึ่ง....ชั้นก็ไม่อยากเชื่อ

    “ระหว่างเราสองคน มันช่างยากเหลือเกินที่จะแสดงความรู้สึกที่แท้จริงนั้นออกไป และถึงตอนนี้....มันก็สายเกินไปแล้ว เพราะชั้นเพิ่งจะทำลายความรู้สึกของเขาไป....”
    หล่อนกล่าวน้ำเสียงราบเรียบ หากดวงตานั้น....ปวดร้าวนัก
    “เขาคงไม่มาพบชั้นอีกแล้ว....”

    ในสถานการณ์เช่นนั้น ชั้นได้แต่มองนิ่งๆ เพราะไม่รู้ว่าจะกล่าวสิ่งใดดี Lady Hanefousเสียอีกที่หันมาพูดกับชั้นด้วยรอยยิ้มแสนเศร้า
    “ผู้หญิงอย่างเรา...เมื่อมีความรักแล้ว....ยังมีทางเลือกอื่นอีกหรือ?”
    หล่อนจับมือของชั้นบีบเบาๆ
    “แต่ถ้าเป็นคุณ....คนเข้มแข็ง ความฝัน ความตั้งใจของคุณ คุณต้องทำมันได้แน่”

    ชั้นได้แต่นิ่งมองหล่อน เสียงนั้น....กล่าวเศร้าสร้อย

    “ชั้นเชื่อในตัวคุณนะ คุณAthha”

    คำๆนั้น วนเวียนอยู่ในความรู้สึก
    สิ่งที่หล่อนพูดกับเรา....

    ชั้นหลับตาลง ยังไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจเลยว่า “ความรัก”จะทำให้คนเข้มแข็งอ่อนแอลงได้มากเพียงนี้เชียวหรือ?

    ที่ยิ่งไปกว่านั้น....ยิ่งกว่าคำว่า”รัก”นั้น เพราะเหตุใด ผู้หญิงอย่างเราๆ จึงมีคุณค่าเพียงแค่เติบโต ออกเรือนไปและใช้ชีวิตที่เหลือฐานะภรรยาและแม่เท่านั้น?

    เราจะเป็นได้มากกว่านั้นมั๊ยนะ?

    สิ่งที่พันธนาการLady Hanefous และผู้หญิงในทุกชนชั้นในสังคมนี้ คือหัวใจและหน้าที่ๆครอบครัวยัดเยียดให้แม้ใจไม่ปรารถนาเลย

    แล้ว....ถ้าเป็นเราบ้างเล่า?
    เมื่อถึงเวลานั้น จะทำอย่างไร?
    จะหนีไปให้ไกล หรือสู้ให้ถึงที่สุด

    หรือจะยอมพ่ายแพ้ ....โดยไม่มีโอกาสได้ทำฝันของตน
    ################################
  19. windbell

    windbell New Member

    EXP:
    16
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    เราจะเป็นกำลังในการอัพของพี่ไวท์วิงแล้วกันนะงับ เพราะยังไงเราก็เคยอ่านที่บอร์ดเก่าแล้ว เลยคิดว่า เดี๋ยวจะรอตอนใหม่คลอดแล้วกันอ่ะพยายามเข้านะคะ

    ปล. ตัวอักษรสีเหลืองของหนูคางะ มันอ่านยากไปนิดหรือเปล่าอ่ะ รู้สึกปวดตาพิกล
  20. whitewing

    whitewing New Member

    EXP:
    120
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    รับทราบค่า เดี๋ยวจะใช้สีเข้มขึ้นมาหน่อยนะคะ จะได้อ่านง่ายขึ้นหน่อยนึง

    PHASE 8: All that’s Jazz life

    ดิชั้นวางหนังสือเล่มหนาปกหนังสีดำเข้มปักลายทองคำว่า Les Miserablesลงบนโต๊ะเหล็กดัดสีขาวภายในสวนหลังจากอ่านหน้าสุดท้ายจบลง แดดอ่อนๆแต้มลงบนปกหนังสือเบาๆ ดิชั้นยิ้มให้ตัวเองอย่างอิ่มเอมใจ
    วรรณกรรมทรงคุณค่าเรื่องนี้ ตั้งแต่บรรทัดแรก จนถึงบรรทัดสุดท้าย Victor Hugoผู้ประพันธ์ ไม่ทำให้ผู้อ่านผิดหวังเลยแม้เพียงนิด ทั้งสำนวนของวรรณกรรมที่ลื่นไหล ซาบซึ้ง และเนื้อหาเข้มข้น เปี่ยมไปด้วยบทสะท้อนแห่งชีวิต ทำให้ดิชั้นอดรู้สึกสะเทือนใจไปด้วยไม่ได้

    และเมื่อคิดถึงเจ้าของหนังสือ “คนแก่เรียน”คนนั้น
    คนที่มีดวงตาสีแอมมิทิสต์ฉายความอ่อนโยน จริงจัง และจิตใจที่ดีงาม
    เมื่อคิดถึงเขา....รอยยิ้มก็ผุดขึ้นที่ริมฝีปากโดยไม่รู้ตัว

    บางครั้ง ยังแปลกใจตัวเองเหลือเกินที่ มักจะนึกถึงเรื่องของเขาคนนั้นอยู่เรื่อยไป

    ดิชั้นยกชาร้อนขึ้นจิบขณะที่ได้ยินเสียงฮาล์ปบรรเลงเพลงหวานใสคลอระเรื่อยไปกับเสียงกรีดเส้นสายไวโอลินและเชลโล สอดประสานสำเนียงหวานปนโศกลอยตามลม

    ดิชั้นลุกขึ้นเดินผ่านแนวต้นไม้ไปยังส่วนของห้องซ้อมดนตรี มองดูเด็กๆสามคนกำลังบรรเลงบทเพลงเดียวกันด้วยความรู้สึกปลื้มใจ โดยเฉพาะStellar เด็กน้อยชาวยิวที่ส่วนตัวแล้ว ดิชั้นให้ความห่วงใยเป็นพิเศษ
    ดวงหน้าพริ้มเพรานั้น แม้ไม่ได้แย้มยิ้ม หากก็เปี่ยมไปด้วยความสุข
    บนใบหน้าของStingและAuelก็เช่นกัน

    “เพราะนะครับคุณหนู”
    ดิชั้นหันกลับไปยิ้มรับเจ้าของเสียง คุณDacostaก้าวตามมาสมทบ
    “ค่ะ ไพเราะมาก เด็กๆเก่งกันมากเลยค่ะ”
    “ครับ” เขายิ้มพอใจ “ช่วงหลังๆมานี่ ดูเด็กสามคนนั่นดูจะเข้ากันได้ดีมากทีเดียว”

    คำกล่าวของคุณDacostaทำให้ดิชั้นต้องหยุดนิ่งคิดเรื่องๆหนึ่ง หลังนิ่งไปนานจนคุณDacostaสงสัย ดิชั้นก็หันไปยิ้มหวานสุดชีวิตให้คุณผู้จัดการคณะ
    “คุณDacostaคะ ช่วยฟังดิชั้นเรื่องนึงหน่อยได้มั๊ยคะ?”
    “??ครับ??”
    ##################################

    “อาจารย์ครับ!”
    ผมหอบแฟ้มเอกสารออกจากห้องบรรยายตามปกติหลังจากหมดชั่วโมงเรียนลง แต่ก็ต้องชะงักฝีเท้า หลังจากได้ยินเสียงทักมาจากด้านหลัง
    “ว่าไงคุณ Kheonik”
    ผมทักเพียงเท่านั้น นักศึกษาหนุ่มก็ก้าวเข้ามาประชิดตัว และก้มลงกระซิบ
    “อ่า...ผมอ่านหนังสือพิมพ์สังคมเมื่อวันก่อน...”
    เขาหยุดเหลียวซ้ายและขวาไปรอบๆอย่างหวาดระแหวงจนผมนึกขัน “เรื่องที่คุณArgyleกับLady Allster…”
    “และมีเรื่องของผมด้วยสินะ?”ผมกล่าวอย่างรู้ทัน

    “อย่าว่าอย่างโน้นอย่างนี้เลยนะครับอาจารย์ เจ้าSsighมันก็เพิ่งรู้มาจากทางหนังสือพิมพ์ว่า อาจารย์ก็....”
    “ว่ามาตรงๆเลยก็ได้ คุณKheonik”ผมอดหัวเราะไม่ได้ “คุณArgyleให้คุณมาสืบใช่มั๊ยว่าผมจะว่าอย่างไร? มิน่า วันนี้ถึงได้ขาดเรียน”
    “อาจารย์....นี่ดูออกหรือครับ?” เขาถอนหายใจ ท่าทางประหม่าไม่น้อยที่ต้องเอ่ยเรื่องนี้แทนเพื่อน “จริงๆSsighหมายปองLady Allsterมานานแล้วหล่ะครับ ทางพ่อแม่ของเจ้านั่นจัดให้พบกัน”
    “ถ้าเช่นนั้นก็....เอาอย่างนี้นะ ผมฝากไปบอกคุณArgyleแบบนี้” ผมอมยิ้มอย่างนึกสนุก “ว่าผมมิได้ใส่ใจในประเด็นดังกล่าวหรอกนะ เพราะฉะนั้นให้วางใจได้ว่า คุณArgyleจะไม่ถูกปรับตกแน่ๆ”
    ได้ฟังเช่นนั้น ใบหน้าของนักศึกษาหนุ่มสดใสขึ้น “โอ ขอบคุณครับอาจารย์”
    หากแล้ว สีหน้านั้นก็เปลี่ยนไปเมื่อผมพูดคำว่า “แต่”
    “แต่?”

    ผมกลั้นหัวเราะขัน ขณะที่กล่าวบอกกับใบหน้าเป๋อเหลอของนักศึกษาหนุ่ม
    “ถ้าไม่มาเรียน ถึงตอนนั้นแหล่ะ ผมจะให้เขาตก”
    #################################

    เมื่อเสร็จสิ้นจากภารกิจงานสอนประจำวันไปแล้ว ตามปกติผมจะไปรวมกลุ่มกับบรรดาอาจารย์ที่ภาควิชาเพื่อสนทนาในเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้น หากครั้งนี้เพราะติดประชุมกับฝ่ายงานวารสารที่เป็นบรรณาธิการอยู่ กว่าจะได้ออกไปหามื้อเที่ยงทานก็ล่วงเข้ายามบ่าย
    และก็เป็นไปดังคาด ประดาอาจารย์รุ่นเดียวกันต่างรุมซักถามผมเกี่ยวกับ”ข่าวใหญ่บนหน้าหนังสือพิมพ์”กันหน้าดำคร่ำเครียด ก็เป็นแน่แท้หล่ะ เพราะสำหรับ”กุหลาบลอนดอน”หอมหวานเช่นLady Fllay Allster ใครๆต่างก็พากันหมายปอง ผมเองยังอดที่จะหวั่นไหวไปกับเสน่ห์นั้นไม่ได้

    แต่มาวันนี้.....
    อาจจะเพราะไม่ใคร่ได้พบเจอกัน หรือเป็นเพราะ.....
    จิตใจผมเฝ้าวนเวียนคิดถึงแต่ใครคนอื่นนะ?

    “ดร.Clyneสวัสดีครับ” ผมผละจากกลุ่มเพื่อนอาจารย์เพื่อวิ่งไปหาเจ้าของชื่อ ท่านเดินมาพร้อมกับแบกทั้งกระเป๋าเอกสารทั้งกองหนังสือมาด้วย พอได้ยินผมเรียก ท่านก็ทักทายตอบด้วยน้ำเสียงแจ่มใส
    “อ้าว! อาจารย์Yamato!!”
    “ให้ผมช่วยเถอะครับ” ผมอาสาช่วยพร้อมกับรับกองหนังสือมาไว้เอง
    “โอ้ ขอบคุณมากๆ เล่นเอาไหล่ล้าเชียวหล่ะ” ท่านหัวเราะ
    “ลมอะไรหอบมาถึงคณะนี้ครับ?” ผมถามแปลกใจ เพราะโดยปกติศาสตราจารย์ ดร. Seigel Clyneจะอยู่ที่คณะนิติศาสตร์ ต้นสังกัดของท่านมากกว่า

    แล้วผมจึงได้รับคำตอบ
    “พอดีว่า.... ผมได้รับเชิญจากท่านอธิการบดีKluezeให้มาคุยธุระนิดหน่อยน่ะ” กล่าวถึงเรื่องนี้ ดร.Clyneก็มีสีหน้าเคร่งขรึมลงเล็กน้อย
    “เช่นนั้นหรือครับ”
    ตอนนั้น...ผมไม่ได้เอะใจใดๆ ถึงสีหน้าของดร.ในตอนนั้น
    “ท่านอธิการบดีเป็นลูกศิษย์เก่าของผมน่ะ สอนกันมา” ท่านหันมาเล่าด้วยรอยยิ้มขณะที่ผมเดินไปส่งขึ้นตึก “เป็นคนหนุ่มที่มีความสามารถนะ เป็นอีกคนที่ผมภูมิใจ”
    ผมพยักหน้ารับทราบ ดร.Clyneเองก็อายุล่วงเข้าเกือบจะ60ปีแล้ว คงไม่แปลกหากจะมีลูกศิษย์ลูกหามากมาย
    “เป็นศิษย์คนโปรดสินะครับ?”

    ดร.กลับไม่ตอบคำถามนั้น ท่านยิ้มเพียงเล็กน้อย ก็พอดีผมมาส่งท่านถึงห้องประชุม จึงจะลากลับ แต่ดร.Clyneก็เรียกผมไว้ก่อน
    “อาจารย์Yamato ได้รับโทรศัพท์จากRosettaรึไม่ครับ?”
    “เอ๋?”
    “Lacusไม่ได้โทรหาคุณหรือครับ?”

    ชื่อนั้นทำให้ต้องหยุดนึกถึง....
    “เอ้อ...ไม่ครับ อ้อ...อาจจะโทรมากระมังครับ แต่ผมมีสอนตลอดช่วงเช้า เพิ่งจะว่าง ก็ยังไม่ได้กลับไปที่ออฟฟิศเลยครับ”
    ดร.พยักหน้ารับเบาๆ ขณะที่กำลังจะกล่าวบอกอะไรกับผมต่อ ก็มีเสียงเอะอะโวกเวกดังมาจากด้านล่าง
    “อาจารย์!!!!!!อาจารย์Yamato!!!!!อยู่รึเปล่าครับ!!!”
    ผมว่าเสียงนั่นมันของTolle Kheonikรวมกับเสียงของเอะอะของนักศึกษาที่ผมสอนอยู่อีกประมาณ5-6คน ผมกับดร.Clyneมองหน้ากันงงๆ ก่อนจะพบว่าพวกนักศึกษาวิ่งขึ้นตึกมากันหอบแฮ่กๆ

    “อาจารย์ อยู่นี่เอง หาแทบแย่!”
    Mr.Kheonikพูดปนหอบเหนื่อย เด็กๆคนอื่นก็ไม่แพ้กัน
    “นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย?”
    “อาจารย์มาดูนี่เลยฮะ!!” ไม่พูดเปล่า มาฉุดกระชากลากผมให้ไปที่หน้าต่างด้วย แล้วพอมองออกไปข้างนอกเท่านั้นแหล่ะ.....

    สิ่งที่ผมเห็น เป็นอะไรที่...ส่วนตัวแล้ว ไม่ชิน...เลยรู้สึกว่ามันสยองพิกล จะอะไร? ก็กลุ่มคนนับสิบมาออกันอยู่หน้ารั้วโปร่งของมหาวิทยาลัยเต็มไปหมด

    มองจากชุดเครื่องแต่งกายแล้ว...นั่นมันพวกทำงานสื่อสารมวลชน
    เอ่อ....พูดง่ายๆ ก็”นักข่าวหนังสือพิมพ์”นั่นแหล่ะ!!

    “พวกนั้นมาทำไมน่ะ??” ดร.Clyneหันไปถามพวกลูกศิษย์
    “ถามอาจารย์Yamatoดูสิครับ!”
    “อ้าว!!ทำไม ไหงมาโยนให้ผมแบบนี้หล่ะ!!” ผมหันขวับไปย้อนถามทันที
    “พวกนั้นมารอพบอาจารย์ครับ ก่อนหน้านี้ก็มาหลอกถามโน่นถามนี่พวกเราด้วย” Kuzzy Buskert ลูกศิษย์อีกคนของผมรีบรายงาน

    นี่มันอะไรเนี่ย?? ผมอดงงไม่ได้ ไม่นึกว่า มันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่โตขนาดนี้
    “อาจารย์คงไม่ทราบกระมังครับว่า เรื่องราวประเภทLove Affair โดยเฉพาะของคนดังในวงสังคมน่ะ ขายได้เสมอแหล่ะ” Mr.Rey Za Barrelพูดเสริมขณะที่เหล่มองผม สายตาจิกกัดราวกับกำลังบอกว่า....

    “เพราะคุณน่ะแหล่ะ ทำให้ทั้งมหาวิทยาลัยวุ่นวายไปหมด!”

    ผมพูดอะไรไม่ออก ดร.Clyneมองผมอย่างเห็นใจ ก่อนกล่าวคำพูดชวนตะลึงออกมาในที่สุด
    “อาจารย์Yamato!!มาแลกเสื้อโค้ทกัน”
    “เอ๋???”
    “หมวกคุณด้วย!”
    ช็อคสิครับ!! ก็ท่านเล่นไม่พูดเปล่า แต่เอื้อมมือมาคว้าทั้งเสื้อโค้ท ทั้งหมวกของผมไปเลย
    “ด...ดร.ครับ?? อะไรครับเนี่ย??”
    ไม่มีคำอธิบายใดๆจากท่าน นอกจากยัดเยียดเสื้อโค้ทพร้อมหมวกของตัวเองใส่มือผม

    “แลกกัน” ท่านพูดหน้าตาขึงขัง “รถม้าของผมรออยู่ประตูด้านทิศตะวันตกนะ”
    เพียงเท่านั้น ผมก็เข้าใจปรารถนาดีของท่านแล้ว

    “ตะ...ต้องขออภัยด้วยนะครับ ที่ทำให้ต้อง...”
    “เอาน่า ไม่ต้องพูดหรอก ตอนออกไปข้างนอกก็ใส่หมวกแล้วก้มหน้าต่ำๆไว้แล้วกัน”ดร.Clyneรุนหลังผม พร้อมกับต้อนพวกนักศึกษาลงบันไดไปด้วย “เอ้าๆ พวกเธอด้วย ไม่มีเรียนรึไง มาโต๋เต๋กันอยู่ได้”

    ผมหันกลับไปมองดร.อีกครั้ง ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำขอบคุณ ท่านยิ้มให้ผมโดยไม่ลืมกระซิบ
    “ถ้ายังไง ฝากรับLacusที่ห้างHarrodsแทนผมด้วยแล้วกันนะ เค้าไปซื้อของอยู่ตอนนี้ ถ้าไปไม่ทันนัด เดี๋ยวจะงอนเอา”
    อะ...อ้าว??? อ้าว? แล้วมันเรื่อง....???
    ตกใจนะเนี่ย!
    “รีบไปสิคุณ!”
    #########################################

    “ชุดนี้น่ารักมากเทียวค่ะ คุณหนูLacus”
    คุณพนักงานขายสาวสวยบรรจงเลือกชุดกระโปรงผ้าไหมซาตินสีน้ำทะเลจับจีบและระบายลูกไม้สีขาวรอบอกและชายแขนเสื้อส่งให้ดิชั้นรับมาทาบตัวสาวน้อยตัวเล็ก
    “สีน้ำเงินเข้มช่วยขับให้ผมทองของคุณหนูคนนี้โดดเด่นขึ้นนะคะ เหมาะมากเลยค่ะ”
    “ชอบมั๊ยจ๊ะ Stellar?” ชั้นถาม แกดูประหม่าขณะที่อุบอิบเสียงตอบ
    “ถ้าคุณหนูชอบ Stellarก็ชอบค่ะ”

    “แน้ ไม่ได้นะจ๊ะ”ชั้นร้อง “หนูเป็นคนสวมเองนี่นา เอาแบบนี้ดีกว่านะ....
    ดิชั้นหันไปคุยกับคุณคนขาย “จะว่าอะไรมั๊ยคะ ถ้าจะให้น้องเค้าลองก่อน”
    “แหม ยินดีค่ะ ถ้าคุณหนูLacusเอ่ยปากขอแล้ว” หล่อนรีบตอบเสียงใส
    “ขอบพระคุณมากเลยนะคะ คุณใจดีจริง” ดิชั้นบีบมือStellarเบาๆ “มาจ้ะ stellar เรามาเลือกชุดกันดีกว่าเนอะ”

    ดิชั้นจูงแม่หนูน้อยให้เดินตามคุณคนขายไปด้วยกัน เพื่อเลือกชุดสวยๆเตรียมไว้สำหรับ “คอนเสิร์ตครั้งแรก”ของเจ้าของเสียงฮาล์ป
    ดิชั้นสังเกตเห็นประกายตาของความตื่นเต้นยามจ้องมองประดาเสื้อผ้า หมวกผ้าไหม และเครื่องประดับสวยๆละลานตาภายในห้างสรรพสินค้าHarrodsแห่งนี้ สถานที่ซึ่งเป็นแหล่งรวมสินค้าแห่งใหม่ล่าสุดซึ่งเป็นที่กล่าวขานว่าเป็นศูนย์รวมความหรูหราและทันสมัยแห่งยุควิคตอเรียนนี้ทีเดียว

    “เราเป็นเด็กผู้หญิงนี่นา ก็ต้องน่ารักไว้ก่อนสิจ๊ะ”
    ดิชั้นพูดปลื้มๆขณะที่วางหมวกผ้าไหมปักดอกไม้ประดิษฐ์กระจุ๋มกระจิ๋มลงบนศีรษะของStellar แล้วจับร่างเล็กหันไปส่องกระจกเต็มตัว พอมองตัวเองเต็มตา แกก็เงยหน้าขึ้นมายิ้มให้ชั้นอย่างเขินๆ เราสองคนจูงมือกันเลือกดูสิ่งต่างๆอย่างรู้สึกมีความสุขและสบายใจ พากันกิ๊กกั๊กไปกับชุดกระโปรงผ้าไหมปักผ้าลูกไม้ขาวถักละเอียด สร้อยคอมุกสีชมพูนวลละออเส้นเล็กๆที่ชั้นเลือกให้ เข้าชุดกับต่างหูแบบเดียวกันรวมทั้ง กระเป๋า รองเท้าปักเลื่อมและพลอยเม็ดละเอียด

    มือน้อยๆที่บีบดิชั้นแน่น อย่างวางใจ พร้อมรอยยิ้มกว้าง
    “นี่ถ้าหมวดShin Asukaมาอยู่ด้วยตรงนี้ ก็คงดีเนอะ?” ดิชั้นชวนคุย
    แกไม่ตอบ นอกจากก้มหน้าซ่อนยิ้มเขิน
    “เคยเล่นฮาล์ปให้หมวดเธอฟังรึยังจ๊ะ?”
    “ยังค่ะ.... เพราะShinไม่ค่อยว่างมาหา” ดวงตาสีลูกหว้านั้นเหงาลงเล็กน้อย

    “เหรอจ๊ะ....” ดิชั้นเพิ่งตระหนักได้ เพราะงานของตำรวจหน่วยสก็อตแลนด์ยาร์ดนั้นมีอยู่มากมายนัก เวลาเป็นของตัวเองยังแทบไม่ค่อยมี Athrunเคยเปรยๆให้ดิชั้นฟังอยู่บ้างเหมือนกัน
    “แต่ยังไง ในวันแสดงคอนเสิร์ตของหนู ถึงยังไงชั้นจะพยายามดึงตัวเขามาให้ได้เลยจ้ะ ไม่ต้องห่วงนะ”
    แต่พอดิชั้นบอกไปอย่างนั้น ใบหน้าน้อยๆนั้นก็ยิ่งจ๋อยลง
    “Stellar?”
    “คุณหนูคะ เรื่องคอนเสิร์ต....”
    “จ๊ะ?”
    “Stellar... กลัว....”

    เพียงคำว่า “กลัว”ที่ออกมาจากปากของเด็กคนนั้น ดิชั้นก็พอจะเข้าใจ
    เพราะเด็กคนนี้ผ่านประสบการณ์เลวร้ายมามาก
    หรือว่าเราจะรีบร้อนมากเกินไป

    “ขอโทษนะจ๊ะ” ดิชั้นวางมือทั้งสองลงบนบ่าเล็กนั้น “ชั้นเอง ตอนขึ้นแสดงครั้งแรก ชั้นก็กลัวเหมือนกัน กลัวมากๆด้วย เหมือนหนูแหล่ะ”
    Stellarช้อนตาขึ้นมองชั้น
    “แต่ถ้าเราไม่ลองดูสักครั้ง เราก็จะไม่สามารถจะก้าวไปข้างหน้าได้เลยนะจ๊ะ”
    ดิชั้นได้แต่หวังว่า เด็กคนนี้จะเข้าใจ
    “ถ้ากลัว ก็จับมือSting กับAuelเอาไว้ เชื่อสิ ทั้งสองคนจะไม่มีทางปล่อยให้หนูต้องกลัวอยู่คนเดียวแน่”

    Stellarสบตากับดิชั้น มือเล็กทั้งสองจับตอบอย่างคนหาที่พึ่ง ดิชั้นลุกขึ้นจูงมือแก
    “ไปกันเถอะจ้ะ ชั้นนัดให้ท่านพ่อมารับตอนสี่โมงเย็น เราจะได้กลับไปทันชั่วโมงเรียนกับครูKiraกัน”
    พอแม่หนูน้อยได้ยินชื่อ”คุณครูคนโปรด” ใบหน้านั้นก็แจ่มใสขึ้น

    ดิชั้นเอง....เมื่อนึกถึง....เขา....เริ่มตระหนักได้ว่าตัวเองเปลี่ยนไป

    เฝ้ารอ....อยากพบ แม้เพียงพูดคุยทักทายเท่านั้น....

    “ลงบัญชีไว้นะคะคุณหนู” คุณพนักงานขายเดินมาพร้อมสมุดเซ็น ดิชั้นจรดปากกาลงในช่องเซ็น
    “สั่งจ่ายในนามของโรงละครRosettaนะคะ แล้วก็กรุณาส่งของที่ดิชั้นซื้อวันนี้ไปยังที่อยู่ตรงนี้ด้วยนะคะ” ดิชั้นยื่นที่อยู่ให้พนักงานขาย หล่อนรับมาพร้อมรับคำ “เข้าใจแล้วค่ะ”

    ขณะที่กำลังสนทนากับคนขายอยู่นั้น จู่ๆStellarก็ทำท่าสะดุ้งเฮือก ก่อนรีบวิ่งไปหลบหลังดิชั้น
    “Stellar?”

    และเสียงหวานเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
    หวานแต่เต็มไปด้วยความเย้ยหยัน
    “ต๊ายตาย ดูเสียก่อน ว่าใครมาอยู่ที่นี่”
    ดิชั้นเงยหน้าขึ้นมองอย่างงงๆ หญิงสาวร่างระหงในชุดกระโปรงยาวกรอมพื้นสีชมพูอมม่วงคอปาดขลิบชายลูกไม้ละเอียดสีดำขลับ เรือนผมสีแดงมะฮอกกานีตลบม้วนไว้ข้างหลังเผยให้เห็นลำคอระหงประดับด้วยสร้อยมุกชมพูระย้า

    ดิชั้นนิ่งมองอยู่นาน เอ...คุ้นๆ แต่นึกไม่ใคร่ออกว่าใคร จนอีกฝ่ายเหลือบตาลงมอง ดิชั้นจึงนึกออก
    “ตายจริง สวัสดียามบ่ายค่ะ Lady Allster”
    ####################################

    เซ็ง.....
    เบื่อ.....
    เบื่ออย่างถึงที่สุด!!
    ไม่เข้าใจว่า ทำไม๊ทำไมน๊า??? ชั้นถึงต้องมาอยู่ในสถานที่แบบนี้ด้วย

    “คุณหนูขา ต๊ายย อย่าทำหน้าหงิกหน้างอแบบนั้นสิคะ ไม่ส๊วยไม่สวยค่ะ เอ้า! หล่อนน่ะ ส่งแบบผ้าผืนไหมผืนนั้นมาให้ชั้นดูซิ! อย่าชักช้า คุณหนูของชั้นต้องกลับคอนแวนต์ตอน 6 โมงเย็นนะยะ!”
    “ค่ะๆ คุณMana”

    ชั้นนั่งมองManaกระวีกระวาดทำโน่นทำนี่แล้วไม่รู้ว่าควรจะขำ หรือควรจะร้องไห้ให้ตัวเองดี ก็แหม.... ที่Manaเป็นห่วงกลัวว่าชั้นจะไม่มีชุดสวยหรูหราหรูเริ่ดอลังการใส่ไปงานราตรีปิดเทอรมฤดูร้อนจนถึงกับต้องบึ่งรถม้าไปรับถึงที่คอนแวนต์เพื่อจะมาช็อปปิ้งกันที่ห้างHarrodsแห่งนี้ ชั้นก็เข้าใจมันอยู่หรอก
    เพราะManaน่ะเลี้ยงชั้นมาตั้งแต่ยังแบเบาะ ทั้งยังตั้งความหวัง (ลมๆแล้งๆที่คงไม่มีวันเป็นจริง) ไว้เสียมากมายว่า ชั้นจะกลายเป็น”Lady”แสนสง่างาม เหมือนอย่างที่ท่านแม่เป็น....

    โอ....ไม่มีวันนั้นเสียหรอก ชั้นอยากจะร้องกรี๊ดออกมาให้มันรู้แล้วรู้รอด อย่ามาฝากความหวังแบบนั้นไว้กับชั้นนะ!!

    ยิ่งไปกว่านั้น! งานเลี้ยงปิดเทอรมครั้งนี้ อาจจะเป็นที่น่าตื่นเต้นของสาวๆคอนแวนต์ที่จะได้พบหนุ่มๆ พวกเธอจะได้แต่งตัวให้สมกับเป็นสาวสะพรั่ง ให้หนุ่มในฝันได้ประทับใจ....
    แต่สำหรับชั้นน่ะ ไม่อยากเลยแม้แต่กระผีกเดียว นิดเดียวก็ไม่อยาก ให้ตายเถอะ!!!
    เพราะมันหมายความถึง การที่ชั้นต้องไปใส่หน้ากากเข้างานสังคมพบหน้าอีตาคู่หมั้น คนที่ชั้นสุดแสนจะ “ไม่อยากพบ”น่ะสิ!!!
    แถมทางโรงเรียนก็เจ้ากี้เจ้าการส่งบัตรเชิญไปให้หมอนั่นแล้วเรียบร้อย โอ้! ไม่อยากเชื่อเลย!!!

    มีใครคิดจะถามอะไรชั้นซักคำมั๊ยเนี่ย ว่าชั้นอยากเจอหมอนั่นรึเปล่า?

    เรื่องนี้แหล่ะที่ทำให้ชั้นต้องมีเรื่องขุ่นเคืองกับท่านพ่อ นอกจากเรื่องที่จับชั้นโยนมาอยู่คอนแวนต์ตั้งแต่ท่านแม่เสีย แล้วก็ยังเรื่องที่จะเกี่ยวดองกับพวกตระกูลZerunอีก
    เจ้าพวกพ่อค้าหน้าเลือดพวกนั้น ชั้นล่ะเกลียดเข้าไส้ แต่ไม่ว่าพยายามจะพูดอธิบายให้ท่านพ่อเข้าใจเท่าไหร่ ก็ดูเหมือนจะไร้ผล เพราะท่านไว้ใจพวกนั้นมากเหลือเกิน โดยเฉพาะช่วงหลังๆมานี่ จากที่Manaเล่าให้ฟัง...

    เออ!!ช่างมันเถอะ!!!เฮ่อ! ชั้นไม่อยากคิดถึงมันแล้ว!!ปวดหัว!

    “คุณหนูขา อย่าทำหน้าแบบนั้นสิคะ”Manaร้องพลางปราดเข้ามาจับมือชั้น “Manaรู้นะคะว่าคุณหนูไม่อยากพบเจ้าคนตระกูลZerunนั่น แต่อยากให้คุณหนูคิดซะว่า เราไม่ได้ทำเพื่อคนพวกนั้น แต่...”
    “จ๊ะ?”
    “ในงานเลี้ยงนั้นน่ะ!!!”คุณแม่นมทำหน้าตาขึงขังสุดชีวิต “อาจจะมีท่านสุภาพบุรุษหนุ่มที่เพียบพร้อมปะปนมาด้วยก็ได้ค่ะ!!!แล้วถ้าท่านผู้นั้นมาหลงรักคุณหนูของManaหล่ะก็...!”

    ฟังแล้วชั้นก็ได้แต่ทำหน้าเหมือนอยากร้องไห้
    ManaนะMana......เวลาผ่านไปเท่าไหร่ Manaก็ยังเหมื๊อนเดิม ไม่มีเปลี่ยนเลย!!!

    “คุณManaขา ดิชั้นแนะนำผ้าไหมสีหยกผืนนี้ด้วยดีมั๊ยคะ?”คุณพนักงานร้านขายของเดินมาพร้อมผ้าหอบใหญ่ Manaเลยผละไปเลือกอย่างสนอกสนใจต่อไป
    “โอ! ผืนนี้ก็น่ารัก สีขับผิวคุณหนูของชั้นมากเลย ตาหล่อนนี่ถึงนะยะ!!”

    น่า...หงุด...หงิด!!!

    ชั้นถอนหายใจเฮือกใหญ่ ถ้ามากับพวกMayuraแบบนั้นก็ยังพอว่า คงสนุกกว่านี้เยอะ ถึงจะรู้ว่าManaหวังดีก็เถอะนะ.... แต่แบบนี้ ไม่เอาได้มั๊ย??
    ชั้นพาตัวเองเดินออกจากความวุ่นวายของบูติคมายังระเบียงชั้นลอยซึ่งจัดเป็นมุมพักดื่มน้ำชา พอหย่อนตัวเองลงบนเก้าอี้เหล็กดัดสีขาวได้ ชั้นก็เท้าแขนกับรั้วกั้นระเบียง สายตาเหม่อมองลงไปที่ห้องโถงชั้นล่าง มองดูเหล่าผู้คนชั้นสูงที่เดินขวักไขว่ไปมา เลือกซื้อสินค้าราคาแพง ใบหน้าสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสุข

    ขณะที่ ผู้คนข้างนอกที่ยังต้องทุกข์ทนกับความยากแค้นนั้น ยังมีอยู่อีกมากนัก

    กำลังคิดอะไรเพลินๆ ก็พอดีว่าเหลือบไปเห็นกลุ่มสุภาพสตรีที่กำลังสนทนากันอยู่บริเวณห้องโถงของห้างสรรพสินค้า ชั้นคงจะไม่สนใจหรอก ถ้าไม่เผอิญว่าคนที่อยู่ร่วมวงสนทนานั้นจะมี Miss Lacus Clyneนักร้องคนโปรดของชั้นรวมอยู่ด้วย!!! พอเห็นหล่อนเท่านั้น ชั้นก็หลบเข้าข้างเสาวูบ! ใจเต้นโครมครามด้วยความตื่นเต้นตกใจ

    หล่อนมาทำอะไรที่นี่น่ะ??? ชั้นคิดขณะที่ค่อยๆชะโงกหน้าออกมาดูจากหลังเสา ถึงจะรู้ว่าต้องมีคนมองว่าทำอะไรแปลกๆอยู่คนเดียวก็เถอะ!

    ทำไมต้องหลบน่ะเรอะ?? ก็เพราะวันนี้ มันไม่เหมือนคราวที่แล้วที่เจอกันนี่นา
    คราวที่แล้ว ชั้นพบกับหล่อนในฐานะ”หนุ่มน้อย” แต่คราวนี้.... ชั้นก้มลงมองตัวเองในชุดนักเรียนหญิงคอนแวนต์เต็มรูปแบบแล้วก็ได้แต่เศร้า

    ก็ออกไปให้นักร้องในดวงใจเห็นไม่ได้แบบนี้น่ะ มันแย่สุดๆเลย (แบบนี้รึเปล่านะ ที่เค้าเรียกว่า ทำยังไงได้อย่างนั้นน่ะ)

    ขณะที่กำลังแอบมองหล่อนจากข้างหลังเสา ชั้นก็ไปสะดุดตาเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆในชุดเสื้อแขนพอง ผิวขาวผมทองดูเผินๆแล้วเหมือนตุ๊กตาพอร์ซเลนก็ไม่ปาน แกหลบอยู่ข้างหลังMiss Clyneด้วยท่าทีตื่นกลัว

    เด็กคนนั้น....แลดูคุ้นตายังไงบอกไม่ถูก
    ชั้นว่า....ชั้นเคยเห็นเด็กคนนั้นมาก่อนแน่ๆ

    แต่ขณะที่กำลังเค้นสมองคิดอยู่ว่าเคยเห็นแกที่ไหน เสียงแหลมหวานเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
    “ชั้นไม่ยักรู้ว่า ห้างHarrodsอนุญาตให้คนอย่างพวกหล่อนเข้ามาลอยหน้าลอยตาปะปนกับพวกเราได้ด้วย”
    “คนอย่างพวกดิชั้น? เอ้อ ไม่ทราบว่าเป็นอย่างไรหรือคะ?” Miss Clyneเอียงคอถามอย่างไม่เข้าใจ คุณผู้หญิงผมแดงจึงเชิดหน้าขึ้นตอบเสียงเหยียดหยัน
    “พวกคนยาก!” หล่อนทำเสียงขึ้นจมูก “ไม่ยักรู้ว่ามีปัญญาเข้ามาเดินซื้อของในนี้ด้วย”

    เอ๊ะ....ฟังดูแล้ว.....ทั้งสายตาของหล่อนและน้ำเสียงที่พูดกับMiss Clyne ท่าทางคุณสุภาพสตรีผมแดงคนนั้นจะไม่ชอบนักร้องสาวขวัญใจของชั้นเท่าไหร่มั้งเนี่ย?

    “ดิชั้นมาที่นี่ไม่บ่อยนักหรอกค่ะ นอกจากเสียว่าเป็นเหตุจำเป็น” Miss Lacus Clyneยิ้มหวานเหมือนที่ยิ้มเป็นประจำ “เผอิญว่าจะมีคอนเสิร์ตครั้งแรกของศิลปินฮาล์ปตัวน้อยคนนี้ ก็เลยอยากให้เป็นพิเศษสำหรับแก” หล่อนกล่าวพลางลูบศีรษะแม่หนูตุ๊กตาพอร์ซเลนเบาๆ
    “อ๊อ....”คุณผู้หญิงผมแดงทำเสียงสูง “ใจบุญจริงนะ ใจบุญจนน่าสงสัย”
    “เอ๊ะ?”
    “ทั้งๆที่โรงละครของพวกหล่อนน่ะ ยังต้องจ่ายค่าเช่าที่ดินจากท่านพ่อของชั้นอยู่ทุกเดือน แต่ก็ยังพาเด็กเล็กๆมาซื้อของในห้างสรรพสินค้าสุดแพงแห่งนี้เพื่อจะขึ้นคอนเสิร์ต” หล่อนทำปรายตาจิกจนชั้นนึกหมั่นไส้ขึ้นมาตะหงิดๆ “มันก็อดจะคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้ โดยเฉพาะหญิงสาวตัวคนเดียวที่พาเด็กไปไหนมาไหนด้วยแบบนี้แล้ว....”

    “ดิชั้นไม่เข้าใจที่คุณพูดค่ะ”
    นักร้องสาวแห่งRosettaกล่าว แต่ก็ถูกพูดประชดประชันสวนขึ้นมา
    “ทำเป็นไร้เดียงสา!” คุณผู้หญิงผมแดงหันกลับไปพูดกับกลุ่มเพื่อนสาวของตน “นี่พวกเราคิดบ้างมั๊ยว่า บางทีอันที่จริงแล้ว ดาวเด่นของโรงละครRosettaอาจจะแอบมีลูกลับๆอยู่ก่อนแล้วก็ได้นะ”

    แล้วกลุ่มสาวๆพวกนั้นก็พากันหัวเราะคิกคักๆ แต่ชั้นฟังแล้วฉุนขาด!! ให้ตายเถอะ!!ไม่มีมารยาทเอาซะเลยยัยพวกนี้ ชั้นร้องอยู่ในใจ มันเรื่องอะไรที่ต้องว่าคนอื่นเค้าแบบนั้นด้วยนะ!!!

    แต่ในตอนนั้นเองMiss Lacus Clyneกลับมิได้มีสีหน้าโกรธขึ้ง หากหล่อนเพียงทำหน้าเหมือนนึกอะไรบางอย่างออก ก่อนจะเปรยถามแม่หนูน้อยที่ยืนขนาบข้าง
    “เอ...Stellarจ๊ะ หนูอายุเท่าไหร่แล้วจ๊ะ?”
    แม่หนูตัวเล็กตอบเสียงสั่น “สะ...สิบเอ็ดค่ะ”
    “เหรอจ๊ะ? แหม....ชั้นเองก็เพิ่งจะอายุสิบเก้าปีไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมานี่เองจ้ะ”Miss Clyneยิ้มตอบเด็กหญิงขณะที่ลูบศีรษะแกเบาๆ

    แล้วหล่อนจึงเงยหน้าขึ้นสบตากับกลุ่มสาวไฮโซที่ยืนอยู่เบื้องหน้า
    “เพราะงั้นเนี่ย คนที่คิดว่า คนอายุแค่7-8ขวบจะตั้งครรถ์มีลูกได้นี่.... ท่าทางคงจะเป็นคนช่างคิด หรือไม่ก็มีเวลาว่างมากจนคิดอะไรต่อมิอะไรฟุ้งซ่านได้มากมาย”

    ตายแล้ว!!!!ชั้นรีบเอามือปิดปาก เพราะเดี๋ยวจะเผลอหลุดกรี๊ดออกไป สะใจอ่ะ!!!สะใจสุดๆ!! ยิ่งดูใบหน้าที่แดงจัดด้วยความโกรธตอนถูกตอกกลับแล้ว โอ้ว!!! เหนือบรรยายจริงๆ!!
    “ไม่ต้องมาทำตีฝีปากกับชั้นหรอกย่ะแม่นักร้อง!!!”ว่าจบหล่อนก็ก้าวเข้าไปประชิดตัวMiss Clyne อ๊า!!จะตบกันมั๊ยเนี่ย!? “อย่างหล่อนน่ะ ก็แค่พวกหากินโดยใช้ความสวยกับเสียงร้องเพลงเป็นเครื่องมือดึงดูดให้ประดาชายหนุ่มมาหลงเสน่ห์ ไม่ต่างอะไรกับนางไซเรนในนิยาย ฮึ! น่าเจ็บใจนัก แม้แต่ท่านพ่อของชั้น ก็ยังติดกับหล่อน!!”

    ผู้หญิงคนนี้ดูถูกMiss Clyneแบบนี้ได้ยังไงกัน!!! แบบนี้มั้งที่Madameในคอนแวนต์เคยสอนไว้ว่า “พวกสวยแต่รูป จูบไม่หอม” ชั้นนึกเข่นเขี้ยวอยู่ในใจ

    Miss Lacus Clyneยิ้มนิดๆ ชั้นทึ่งจริงๆ ดูหล่อนจะรักษาอารมณ์ได้ดีทีเดียว
    “ขอประทานโทษนะคะ ดิชั้นและชาวคณะละครล้วนประกอบสัมมาอาชีพ มิเคยเบียดเบียนใคร หรือเพียงคิดจะหลอกเอาเงินซักบาทซักสตางค์จากผู้ชมก็ไม่เคย เราทำงานกันด้วยความตั้งใจ ความภูมิใจ และความรักในวิชาชีพ หากคุณคิดจะดูถูก...”
    ดวงตาสีฟ้าครามนั้นเหมือนมีประกายไฟ หล่อนจ้องกลับอย่างไม่นึกเกรง “ก็ควรจะดูถูกผู้ที่ไม่เคยสร้างประโยชน์อันใดให้แก่สังคมหรือส่วนรวม นอกจากหากินบนความทุกข์ยากของผู้คน แบบนั้นจะถูกกว่า!”
    “ยะโสโอหัง!!!” เจ้าของเรือนผมสีแดงร้องเสียงสูง “นี่หล่อนกล้าดียังไงมาสั่งสอนชั้นอย่างนี้!!”
    “ตายจริง.... นี่ดิชั้นทำให้คุณรู้สึกเหมือนว่ากำลังถูกสั่งสอนกระนั้นหรือคะ” นักร้องสาวมีสีหน้าแปลกใจ “ต้องขอประทานโทษด้วยจริงๆนะคะ เพราะดิชั้นเองก็แค่กล่าวไปตาม “ความเป็นจริง”ที่เกิดขึ้นก็เท่านั้นเอง ท่านบารอนAllsterเองคงทราบในข้อนี้ดี”
  21. whitewing

    whitewing New Member

    EXP:
    120
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    รับทราบค่า เดี๋ยวจะใช้สีเข้มขึ้นมาหน่อยนะคะ จะได้อ่านง่ายขึ้นหน่อยนึง

    PHASE 8: All that’s Jazz life

    ดิชั้นวางหนังสือเล่มหนาปกหนังสีดำเข้มปักลายทองคำว่า Les Miserablesลงบนโต๊ะเหล็กดัดสีขาวภายในสวนหลังจากอ่านหน้าสุดท้ายจบลง แดดอ่อนๆแต้มลงบนปกหนังสือเบาๆ ดิชั้นยิ้มให้ตัวเองอย่างอิ่มเอมใจ
    วรรณกรรมทรงคุณค่าเรื่องนี้ ตั้งแต่บรรทัดแรก จนถึงบรรทัดสุดท้าย Victor Hugoผู้ประพันธ์ ไม่ทำให้ผู้อ่านผิดหวังเลยแม้เพียงนิด ทั้งสำนวนของวรรณกรรมที่ลื่นไหล ซาบซึ้ง และเนื้อหาเข้มข้น เปี่ยมไปด้วยบทสะท้อนแห่งชีวิต ทำให้ดิชั้นอดรู้สึกสะเทือนใจไปด้วยไม่ได้

    และเมื่อคิดถึงเจ้าของหนังสือ “คนแก่เรียน”คนนั้น
    คนที่มีดวงตาสีแอมมิทิสต์ฉายความอ่อนโยน จริงจัง และจิตใจที่ดีงาม
    เมื่อคิดถึงเขา....รอยยิ้มก็ผุดขึ้นที่ริมฝีปากโดยไม่รู้ตัว

    บางครั้ง ยังแปลกใจตัวเองเหลือเกินที่ มักจะนึกถึงเรื่องของเขาคนนั้นอยู่เรื่อยไป

    ดิชั้นยกชาร้อนขึ้นจิบขณะที่ได้ยินเสียงฮาล์ปบรรเลงเพลงหวานใสคลอระเรื่อยไปกับเสียงกรีดเส้นสายไวโอลินและเชลโล สอดประสานสำเนียงหวานปนโศกลอยตามลม

    ดิชั้นลุกขึ้นเดินผ่านแนวต้นไม้ไปยังส่วนของห้องซ้อมดนตรี มองดูเด็กๆสามคนกำลังบรรเลงบทเพลงเดียวกันด้วยความรู้สึกปลื้มใจ โดยเฉพาะStellar เด็กน้อยชาวยิวที่ส่วนตัวแล้ว ดิชั้นให้ความห่วงใยเป็นพิเศษ
    ดวงหน้าพริ้มเพรานั้น แม้ไม่ได้แย้มยิ้ม หากก็เปี่ยมไปด้วยความสุข
    บนใบหน้าของStingและAuelก็เช่นกัน

    “เพราะนะครับคุณหนู”
    ดิชั้นหันกลับไปยิ้มรับเจ้าของเสียง คุณDacostaก้าวตามมาสมทบ
    “ค่ะ ไพเราะมาก เด็กๆเก่งกันมากเลยค่ะ”
    “ครับ” เขายิ้มพอใจ “ช่วงหลังๆมานี่ ดูเด็กสามคนนั่นดูจะเข้ากันได้ดีมากทีเดียว”

    คำกล่าวของคุณDacostaทำให้ดิชั้นต้องหยุดนิ่งคิดเรื่องๆหนึ่ง หลังนิ่งไปนานจนคุณDacostaสงสัย ดิชั้นก็หันไปยิ้มหวานสุดชีวิตให้คุณผู้จัดการคณะ
    “คุณDacostaคะ ช่วยฟังดิชั้นเรื่องนึงหน่อยได้มั๊ยคะ?”
    “??ครับ??”
    ##################################

    “อาจารย์ครับ!”
    ผมหอบแฟ้มเอกสารออกจากห้องบรรยายตามปกติหลังจากหมดชั่วโมงเรียนลง แต่ก็ต้องชะงักฝีเท้า หลังจากได้ยินเสียงทักมาจากด้านหลัง
    “ว่าไงคุณ Kheonik”
    ผมทักเพียงเท่านั้น นักศึกษาหนุ่มก็ก้าวเข้ามาประชิดตัว และก้มลงกระซิบ
    “อ่า...ผมอ่านหนังสือพิมพ์สังคมเมื่อวันก่อน...”
    เขาหยุดเหลียวซ้ายและขวาไปรอบๆอย่างหวาดระแหวงจนผมนึกขัน “เรื่องที่คุณArgyleกับLady Allster…”
    “และมีเรื่องของผมด้วยสินะ?”ผมกล่าวอย่างรู้ทัน

    “อย่าว่าอย่างโน้นอย่างนี้เลยนะครับอาจารย์ เจ้าSsighมันก็เพิ่งรู้มาจากทางหนังสือพิมพ์ว่า อาจารย์ก็....”
    “ว่ามาตรงๆเลยก็ได้ คุณKheonik”ผมอดหัวเราะไม่ได้ “คุณArgyleให้คุณมาสืบใช่มั๊ยว่าผมจะว่าอย่างไร? มิน่า วันนี้ถึงได้ขาดเรียน”
    “อาจารย์....นี่ดูออกหรือครับ?” เขาถอนหายใจ ท่าทางประหม่าไม่น้อยที่ต้องเอ่ยเรื่องนี้แทนเพื่อน “จริงๆSsighหมายปองLady Allsterมานานแล้วหล่ะครับ ทางพ่อแม่ของเจ้านั่นจัดให้พบกัน”
    “ถ้าเช่นนั้นก็....เอาอย่างนี้นะ ผมฝากไปบอกคุณArgyleแบบนี้” ผมอมยิ้มอย่างนึกสนุก “ว่าผมมิได้ใส่ใจในประเด็นดังกล่าวหรอกนะ เพราะฉะนั้นให้วางใจได้ว่า คุณArgyleจะไม่ถูกปรับตกแน่ๆ”
    ได้ฟังเช่นนั้น ใบหน้าของนักศึกษาหนุ่มสดใสขึ้น “โอ ขอบคุณครับอาจารย์”
    หากแล้ว สีหน้านั้นก็เปลี่ยนไปเมื่อผมพูดคำว่า “แต่”
    “แต่?”

    ผมกลั้นหัวเราะขัน ขณะที่กล่าวบอกกับใบหน้าเป๋อเหลอของนักศึกษาหนุ่ม
    “ถ้าไม่มาเรียน ถึงตอนนั้นแหล่ะ ผมจะให้เขาตก”
    #################################

    เมื่อเสร็จสิ้นจากภารกิจงานสอนประจำวันไปแล้ว ตามปกติผมจะไปรวมกลุ่มกับบรรดาอาจารย์ที่ภาควิชาเพื่อสนทนาในเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้น หากครั้งนี้เพราะติดประชุมกับฝ่ายงานวารสารที่เป็นบรรณาธิการอยู่ กว่าจะได้ออกไปหามื้อเที่ยงทานก็ล่วงเข้ายามบ่าย
    และก็เป็นไปดังคาด ประดาอาจารย์รุ่นเดียวกันต่างรุมซักถามผมเกี่ยวกับ”ข่าวใหญ่บนหน้าหนังสือพิมพ์”กันหน้าดำคร่ำเครียด ก็เป็นแน่แท้หล่ะ เพราะสำหรับ”กุหลาบลอนดอน”หอมหวานเช่นLady Fllay Allster ใครๆต่างก็พากันหมายปอง ผมเองยังอดที่จะหวั่นไหวไปกับเสน่ห์นั้นไม่ได้

    แต่มาวันนี้.....
    อาจจะเพราะไม่ใคร่ได้พบเจอกัน หรือเป็นเพราะ.....
    จิตใจผมเฝ้าวนเวียนคิดถึงแต่ใครคนอื่นนะ?

    “ดร.Clyneสวัสดีครับ” ผมผละจากกลุ่มเพื่อนอาจารย์เพื่อวิ่งไปหาเจ้าของชื่อ ท่านเดินมาพร้อมกับแบกทั้งกระเป๋าเอกสารทั้งกองหนังสือมาด้วย พอได้ยินผมเรียก ท่านก็ทักทายตอบด้วยน้ำเสียงแจ่มใส
    “อ้าว! อาจารย์Yamato!!”
    “ให้ผมช่วยเถอะครับ” ผมอาสาช่วยพร้อมกับรับกองหนังสือมาไว้เอง
    “โอ้ ขอบคุณมากๆ เล่นเอาไหล่ล้าเชียวหล่ะ” ท่านหัวเราะ
    “ลมอะไรหอบมาถึงคณะนี้ครับ?” ผมถามแปลกใจ เพราะโดยปกติศาสตราจารย์ ดร. Seigel Clyneจะอยู่ที่คณะนิติศาสตร์ ต้นสังกัดของท่านมากกว่า

    แล้วผมจึงได้รับคำตอบ
    “พอดีว่า.... ผมได้รับเชิญจากท่านอธิการบดีKluezeให้มาคุยธุระนิดหน่อยน่ะ” กล่าวถึงเรื่องนี้ ดร.Clyneก็มีสีหน้าเคร่งขรึมลงเล็กน้อย
    “เช่นนั้นหรือครับ”
    ตอนนั้น...ผมไม่ได้เอะใจใดๆ ถึงสีหน้าของดร.ในตอนนั้น
    “ท่านอธิการบดีเป็นลูกศิษย์เก่าของผมน่ะ สอนกันมา” ท่านหันมาเล่าด้วยรอยยิ้มขณะที่ผมเดินไปส่งขึ้นตึก “เป็นคนหนุ่มที่มีความสามารถนะ เป็นอีกคนที่ผมภูมิใจ”
    ผมพยักหน้ารับทราบ ดร.Clyneเองก็อายุล่วงเข้าเกือบจะ60ปีแล้ว คงไม่แปลกหากจะมีลูกศิษย์ลูกหามากมาย
    “เป็นศิษย์คนโปรดสินะครับ?”

    ดร.กลับไม่ตอบคำถามนั้น ท่านยิ้มเพียงเล็กน้อย ก็พอดีผมมาส่งท่านถึงห้องประชุม จึงจะลากลับ แต่ดร.Clyneก็เรียกผมไว้ก่อน
    “อาจารย์Yamato ได้รับโทรศัพท์จากRosettaรึไม่ครับ?”
    “เอ๋?”
    “Lacusไม่ได้โทรหาคุณหรือครับ?”

    ชื่อนั้นทำให้ต้องหยุดนึกถึง....
    “เอ้อ...ไม่ครับ อ้อ...อาจจะโทรมากระมังครับ แต่ผมมีสอนตลอดช่วงเช้า เพิ่งจะว่าง ก็ยังไม่ได้กลับไปที่ออฟฟิศเลยครับ”
    ดร.พยักหน้ารับเบาๆ ขณะที่กำลังจะกล่าวบอกอะไรกับผมต่อ ก็มีเสียงเอะอะโวกเวกดังมาจากด้านล่าง
    “อาจารย์!!!!!!อาจารย์Yamato!!!!!อยู่รึเปล่าครับ!!!”
    ผมว่าเสียงนั่นมันของTolle Kheonikรวมกับเสียงของเอะอะของนักศึกษาที่ผมสอนอยู่อีกประมาณ5-6คน ผมกับดร.Clyneมองหน้ากันงงๆ ก่อนจะพบว่าพวกนักศึกษาวิ่งขึ้นตึกมากันหอบแฮ่กๆ

    “อาจารย์ อยู่นี่เอง หาแทบแย่!”
    Mr.Kheonikพูดปนหอบเหนื่อย เด็กๆคนอื่นก็ไม่แพ้กัน
    “นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย?”
    “อาจารย์มาดูนี่เลยฮะ!!” ไม่พูดเปล่า มาฉุดกระชากลากผมให้ไปที่หน้าต่างด้วย แล้วพอมองออกไปข้างนอกเท่านั้นแหล่ะ.....

    สิ่งที่ผมเห็น เป็นอะไรที่...ส่วนตัวแล้ว ไม่ชิน...เลยรู้สึกว่ามันสยองพิกล จะอะไร? ก็กลุ่มคนนับสิบมาออกันอยู่หน้ารั้วโปร่งของมหาวิทยาลัยเต็มไปหมด

    มองจากชุดเครื่องแต่งกายแล้ว...นั่นมันพวกทำงานสื่อสารมวลชน
    เอ่อ....พูดง่ายๆ ก็”นักข่าวหนังสือพิมพ์”นั่นแหล่ะ!!

    “พวกนั้นมาทำไมน่ะ??” ดร.Clyneหันไปถามพวกลูกศิษย์
    “ถามอาจารย์Yamatoดูสิครับ!”
    “อ้าว!!ทำไม ไหงมาโยนให้ผมแบบนี้หล่ะ!!” ผมหันขวับไปย้อนถามทันที
    “พวกนั้นมารอพบอาจารย์ครับ ก่อนหน้านี้ก็มาหลอกถามโน่นถามนี่พวกเราด้วย” Kuzzy Buskert ลูกศิษย์อีกคนของผมรีบรายงาน

    นี่มันอะไรเนี่ย?? ผมอดงงไม่ได้ ไม่นึกว่า มันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่โตขนาดนี้
    “อาจารย์คงไม่ทราบกระมังครับว่า เรื่องราวประเภทLove Affair โดยเฉพาะของคนดังในวงสังคมน่ะ ขายได้เสมอแหล่ะ” Mr.Rey Za Barrelพูดเสริมขณะที่เหล่มองผม สายตาจิกกัดราวกับกำลังบอกว่า....

    “เพราะคุณน่ะแหล่ะ ทำให้ทั้งมหาวิทยาลัยวุ่นวายไปหมด!”

    ผมพูดอะไรไม่ออก ดร.Clyneมองผมอย่างเห็นใจ ก่อนกล่าวคำพูดชวนตะลึงออกมาในที่สุด
    “อาจารย์Yamato!!มาแลกเสื้อโค้ทกัน”
    “เอ๋???”
    “หมวกคุณด้วย!”
    ช็อคสิครับ!! ก็ท่านเล่นไม่พูดเปล่า แต่เอื้อมมือมาคว้าทั้งเสื้อโค้ท ทั้งหมวกของผมไปเลย
    “ด...ดร.ครับ?? อะไรครับเนี่ย??”
    ไม่มีคำอธิบายใดๆจากท่าน นอกจากยัดเยียดเสื้อโค้ทพร้อมหมวกของตัวเองใส่มือผม

    “แลกกัน” ท่านพูดหน้าตาขึงขัง “รถม้าของผมรออยู่ประตูด้านทิศตะวันตกนะ”
    เพียงเท่านั้น ผมก็เข้าใจปรารถนาดีของท่านแล้ว

    “ตะ...ต้องขออภัยด้วยนะครับ ที่ทำให้ต้อง...”
    “เอาน่า ไม่ต้องพูดหรอก ตอนออกไปข้างนอกก็ใส่หมวกแล้วก้มหน้าต่ำๆไว้แล้วกัน”ดร.Clyneรุนหลังผม พร้อมกับต้อนพวกนักศึกษาลงบันไดไปด้วย “เอ้าๆ พวกเธอด้วย ไม่มีเรียนรึไง มาโต๋เต๋กันอยู่ได้”

    ผมหันกลับไปมองดร.อีกครั้ง ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำขอบคุณ ท่านยิ้มให้ผมโดยไม่ลืมกระซิบ
    “ถ้ายังไง ฝากรับLacusที่ห้างHarrodsแทนผมด้วยแล้วกันนะ เค้าไปซื้อของอยู่ตอนนี้ ถ้าไปไม่ทันนัด เดี๋ยวจะงอนเอา”
    อะ...อ้าว??? อ้าว? แล้วมันเรื่อง....???
    ตกใจนะเนี่ย!
    “รีบไปสิคุณ!”
    #########################################

    “ชุดนี้น่ารักมากเทียวค่ะ คุณหนูLacus”
    คุณพนักงานขายสาวสวยบรรจงเลือกชุดกระโปรงผ้าไหมซาตินสีน้ำทะเลจับจีบและระบายลูกไม้สีขาวรอบอกและชายแขนเสื้อส่งให้ดิชั้นรับมาทาบตัวสาวน้อยตัวเล็ก
    “สีน้ำเงินเข้มช่วยขับให้ผมทองของคุณหนูคนนี้โดดเด่นขึ้นนะคะ เหมาะมากเลยค่ะ”
    “ชอบมั๊ยจ๊ะ Stellar?” ชั้นถาม แกดูประหม่าขณะที่อุบอิบเสียงตอบ
    “ถ้าคุณหนูชอบ Stellarก็ชอบค่ะ”

    “แน้ ไม่ได้นะจ๊ะ”ชั้นร้อง “หนูเป็นคนสวมเองนี่นา เอาแบบนี้ดีกว่านะ....
    ดิชั้นหันไปคุยกับคุณคนขาย “จะว่าอะไรมั๊ยคะ ถ้าจะให้น้องเค้าลองก่อน”
    “แหม ยินดีค่ะ ถ้าคุณหนูLacusเอ่ยปากขอแล้ว” หล่อนรีบตอบเสียงใส
    “ขอบพระคุณมากเลยนะคะ คุณใจดีจริง” ดิชั้นบีบมือStellarเบาๆ “มาจ้ะ stellar เรามาเลือกชุดกันดีกว่าเนอะ”

    ดิชั้นจูงแม่หนูน้อยให้เดินตามคุณคนขายไปด้วยกัน เพื่อเลือกชุดสวยๆเตรียมไว้สำหรับ “คอนเสิร์ตครั้งแรก”ของเจ้าของเสียงฮาล์ป
    ดิชั้นสังเกตเห็นประกายตาของความตื่นเต้นยามจ้องมองประดาเสื้อผ้า หมวกผ้าไหม และเครื่องประดับสวยๆละลานตาภายในห้างสรรพสินค้าHarrodsแห่งนี้ สถานที่ซึ่งเป็นแหล่งรวมสินค้าแห่งใหม่ล่าสุดซึ่งเป็นที่กล่าวขานว่าเป็นศูนย์รวมความหรูหราและทันสมัยแห่งยุควิคตอเรียนนี้ทีเดียว

    “เราเป็นเด็กผู้หญิงนี่นา ก็ต้องน่ารักไว้ก่อนสิจ๊ะ”
    ดิชั้นพูดปลื้มๆขณะที่วางหมวกผ้าไหมปักดอกไม้ประดิษฐ์กระจุ๋มกระจิ๋มลงบนศีรษะของStellar แล้วจับร่างเล็กหันไปส่องกระจกเต็มตัว พอมองตัวเองเต็มตา แกก็เงยหน้าขึ้นมายิ้มให้ชั้นอย่างเขินๆ เราสองคนจูงมือกันเลือกดูสิ่งต่างๆอย่างรู้สึกมีความสุขและสบายใจ พากันกิ๊กกั๊กไปกับชุดกระโปรงผ้าไหมปักผ้าลูกไม้ขาวถักละเอียด สร้อยคอมุกสีชมพูนวลละออเส้นเล็กๆที่ชั้นเลือกให้ เข้าชุดกับต่างหูแบบเดียวกันรวมทั้ง กระเป๋า รองเท้าปักเลื่อมและพลอยเม็ดละเอียด

    มือน้อยๆที่บีบดิชั้นแน่น อย่างวางใจ พร้อมรอยยิ้มกว้าง
    “นี่ถ้าหมวดShin Asukaมาอยู่ด้วยตรงนี้ ก็คงดีเนอะ?” ดิชั้นชวนคุย
    แกไม่ตอบ นอกจากก้มหน้าซ่อนยิ้มเขิน
    “เคยเล่นฮาล์ปให้หมวดเธอฟังรึยังจ๊ะ?”
    “ยังค่ะ.... เพราะShinไม่ค่อยว่างมาหา” ดวงตาสีลูกหว้านั้นเหงาลงเล็กน้อย

    “เหรอจ๊ะ....” ดิชั้นเพิ่งตระหนักได้ เพราะงานของตำรวจหน่วยสก็อตแลนด์ยาร์ดนั้นมีอยู่มากมายนัก เวลาเป็นของตัวเองยังแทบไม่ค่อยมี Athrunเคยเปรยๆให้ดิชั้นฟังอยู่บ้างเหมือนกัน
    “แต่ยังไง ในวันแสดงคอนเสิร์ตของหนู ถึงยังไงชั้นจะพยายามดึงตัวเขามาให้ได้เลยจ้ะ ไม่ต้องห่วงนะ”
    แต่พอดิชั้นบอกไปอย่างนั้น ใบหน้าน้อยๆนั้นก็ยิ่งจ๋อยลง
    “Stellar?”
    “คุณหนูคะ เรื่องคอนเสิร์ต....”
    “จ๊ะ?”
    “Stellar... กลัว....”

    เพียงคำว่า “กลัว”ที่ออกมาจากปากของเด็กคนนั้น ดิชั้นก็พอจะเข้าใจ
    เพราะเด็กคนนี้ผ่านประสบการณ์เลวร้ายมามาก
    หรือว่าเราจะรีบร้อนมากเกินไป

    “ขอโทษนะจ๊ะ” ดิชั้นวางมือทั้งสองลงบนบ่าเล็กนั้น “ชั้นเอง ตอนขึ้นแสดงครั้งแรก ชั้นก็กลัวเหมือนกัน กลัวมากๆด้วย เหมือนหนูแหล่ะ”
    Stellarช้อนตาขึ้นมองชั้น
    “แต่ถ้าเราไม่ลองดูสักครั้ง เราก็จะไม่สามารถจะก้าวไปข้างหน้าได้เลยนะจ๊ะ”
    ดิชั้นได้แต่หวังว่า เด็กคนนี้จะเข้าใจ
    “ถ้ากลัว ก็จับมือSting กับAuelเอาไว้ เชื่อสิ ทั้งสองคนจะไม่มีทางปล่อยให้หนูต้องกลัวอยู่คนเดียวแน่”

    Stellarสบตากับดิชั้น มือเล็กทั้งสองจับตอบอย่างคนหาที่พึ่ง ดิชั้นลุกขึ้นจูงมือแก
    “ไปกันเถอะจ้ะ ชั้นนัดให้ท่านพ่อมารับตอนสี่โมงเย็น เราจะได้กลับไปทันชั่วโมงเรียนกับครูKiraกัน”
    พอแม่หนูน้อยได้ยินชื่อ”คุณครูคนโปรด” ใบหน้านั้นก็แจ่มใสขึ้น

    ดิชั้นเอง....เมื่อนึกถึง....เขา....เริ่มตระหนักได้ว่าตัวเองเปลี่ยนไป

    เฝ้ารอ....อยากพบ แม้เพียงพูดคุยทักทายเท่านั้น....

    “ลงบัญชีไว้นะคะคุณหนู” คุณพนักงานขายเดินมาพร้อมสมุดเซ็น ดิชั้นจรดปากกาลงในช่องเซ็น
    “สั่งจ่ายในนามของโรงละครRosettaนะคะ แล้วก็กรุณาส่งของที่ดิชั้นซื้อวันนี้ไปยังที่อยู่ตรงนี้ด้วยนะคะ” ดิชั้นยื่นที่อยู่ให้พนักงานขาย หล่อนรับมาพร้อมรับคำ “เข้าใจแล้วค่ะ”

    ขณะที่กำลังสนทนากับคนขายอยู่นั้น จู่ๆStellarก็ทำท่าสะดุ้งเฮือก ก่อนรีบวิ่งไปหลบหลังดิชั้น
    “Stellar?”

    และเสียงหวานเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
    หวานแต่เต็มไปด้วยความเย้ยหยัน
    “ต๊ายตาย ดูเสียก่อน ว่าใครมาอยู่ที่นี่”
    ดิชั้นเงยหน้าขึ้นมองอย่างงงๆ หญิงสาวร่างระหงในชุดกระโปรงยาวกรอมพื้นสีชมพูอมม่วงคอปาดขลิบชายลูกไม้ละเอียดสีดำขลับ เรือนผมสีแดงมะฮอกกานีตลบม้วนไว้ข้างหลังเผยให้เห็นลำคอระหงประดับด้วยสร้อยมุกชมพูระย้า

    ดิชั้นนิ่งมองอยู่นาน เอ...คุ้นๆ แต่นึกไม่ใคร่ออกว่าใคร จนอีกฝ่ายเหลือบตาลงมอง ดิชั้นจึงนึกออก
    “ตายจริง สวัสดียามบ่ายค่ะ Lady Allster”
    ####################################

    เซ็ง.....
    เบื่อ.....
    เบื่ออย่างถึงที่สุด!!
    ไม่เข้าใจว่า ทำไม๊ทำไมน๊า??? ชั้นถึงต้องมาอยู่ในสถานที่แบบนี้ด้วย

    “คุณหนูขา ต๊ายย อย่าทำหน้าหงิกหน้างอแบบนั้นสิคะ ไม่ส๊วยไม่สวยค่ะ เอ้า! หล่อนน่ะ ส่งแบบผ้าผืนไหมผืนนั้นมาให้ชั้นดูซิ! อย่าชักช้า คุณหนูของชั้นต้องกลับคอนแวนต์ตอน 6 โมงเย็นนะยะ!”
    “ค่ะๆ คุณMana”

    ชั้นนั่งมองManaกระวีกระวาดทำโน่นทำนี่แล้วไม่รู้ว่าควรจะขำ หรือควรจะร้องไห้ให้ตัวเองดี ก็แหม.... ที่Manaเป็นห่วงกลัวว่าชั้นจะไม่มีชุดสวยหรูหราหรูเริ่ดอลังการใส่ไปงานราตรีปิดเทอรมฤดูร้อนจนถึงกับต้องบึ่งรถม้าไปรับถึงที่คอนแวนต์เพื่อจะมาช็อปปิ้งกันที่ห้างHarrodsแห่งนี้ ชั้นก็เข้าใจมันอยู่หรอก
    เพราะManaน่ะเลี้ยงชั้นมาตั้งแต่ยังแบเบาะ ทั้งยังตั้งความหวัง (ลมๆแล้งๆที่คงไม่มีวันเป็นจริง) ไว้เสียมากมายว่า ชั้นจะกลายเป็น”Lady”แสนสง่างาม เหมือนอย่างที่ท่านแม่เป็น....

    โอ....ไม่มีวันนั้นเสียหรอก ชั้นอยากจะร้องกรี๊ดออกมาให้มันรู้แล้วรู้รอด อย่ามาฝากความหวังแบบนั้นไว้กับชั้นนะ!!

    ยิ่งไปกว่านั้น! งานเลี้ยงปิดเทอรมครั้งนี้ อาจจะเป็นที่น่าตื่นเต้นของสาวๆคอนแวนต์ที่จะได้พบหนุ่มๆ พวกเธอจะได้แต่งตัวให้สมกับเป็นสาวสะพรั่ง ให้หนุ่มในฝันได้ประทับใจ....
    แต่สำหรับชั้นน่ะ ไม่อยากเลยแม้แต่กระผีกเดียว นิดเดียวก็ไม่อยาก ให้ตายเถอะ!!!
    เพราะมันหมายความถึง การที่ชั้นต้องไปใส่หน้ากากเข้างานสังคมพบหน้าอีตาคู่หมั้น คนที่ชั้นสุดแสนจะ “ไม่อยากพบ”น่ะสิ!!!
    แถมทางโรงเรียนก็เจ้ากี้เจ้าการส่งบัตรเชิญไปให้หมอนั่นแล้วเรียบร้อย โอ้! ไม่อยากเชื่อเลย!!!

    มีใครคิดจะถามอะไรชั้นซักคำมั๊ยเนี่ย ว่าชั้นอยากเจอหมอนั่นรึเปล่า?

    เรื่องนี้แหล่ะที่ทำให้ชั้นต้องมีเรื่องขุ่นเคืองกับท่านพ่อ นอกจากเรื่องที่จับชั้นโยนมาอยู่คอนแวนต์ตั้งแต่ท่านแม่เสีย แล้วก็ยังเรื่องที่จะเกี่ยวดองกับพวกตระกูลZerunอีก
    เจ้าพวกพ่อค้าหน้าเลือดพวกนั้น ชั้นล่ะเกลียดเข้าไส้ แต่ไม่ว่าพยายามจะพูดอธิบายให้ท่านพ่อเข้าใจเท่าไหร่ ก็ดูเหมือนจะไร้ผล เพราะท่านไว้ใจพวกนั้นมากเหลือเกิน โดยเฉพาะช่วงหลังๆมานี่ จากที่Manaเล่าให้ฟัง...

    เออ!!ช่างมันเถอะ!!!เฮ่อ! ชั้นไม่อยากคิดถึงมันแล้ว!!ปวดหัว!

    “คุณหนูขา อย่าทำหน้าแบบนั้นสิคะ”Manaร้องพลางปราดเข้ามาจับมือชั้น “Manaรู้นะคะว่าคุณหนูไม่อยากพบเจ้าคนตระกูลZerunนั่น แต่อยากให้คุณหนูคิดซะว่า เราไม่ได้ทำเพื่อคนพวกนั้น แต่...”
    “จ๊ะ?”
    “ในงานเลี้ยงนั้นน่ะ!!!”คุณแม่นมทำหน้าตาขึงขังสุดชีวิต “อาจจะมีท่านสุภาพบุรุษหนุ่มที่เพียบพร้อมปะปนมาด้วยก็ได้ค่ะ!!!แล้วถ้าท่านผู้นั้นมาหลงรักคุณหนูของManaหล่ะก็...!”

    ฟังแล้วชั้นก็ได้แต่ทำหน้าเหมือนอยากร้องไห้
    ManaนะMana......เวลาผ่านไปเท่าไหร่ Manaก็ยังเหมื๊อนเดิม ไม่มีเปลี่ยนเลย!!!

    “คุณManaขา ดิชั้นแนะนำผ้าไหมสีหยกผืนนี้ด้วยดีมั๊ยคะ?”คุณพนักงานร้านขายของเดินมาพร้อมผ้าหอบใหญ่ Manaเลยผละไปเลือกอย่างสนอกสนใจต่อไป
    “โอ! ผืนนี้ก็น่ารัก สีขับผิวคุณหนูของชั้นมากเลย ตาหล่อนนี่ถึงนะยะ!!”

    น่า...หงุด...หงิด!!!

    ชั้นถอนหายใจเฮือกใหญ่ ถ้ามากับพวกMayuraแบบนั้นก็ยังพอว่า คงสนุกกว่านี้เยอะ ถึงจะรู้ว่าManaหวังดีก็เถอะนะ.... แต่แบบนี้ ไม่เอาได้มั๊ย??
    ชั้นพาตัวเองเดินออกจากความวุ่นวายของบูติคมายังระเบียงชั้นลอยซึ่งจัดเป็นมุมพักดื่มน้ำชา พอหย่อนตัวเองลงบนเก้าอี้เหล็กดัดสีขาวได้ ชั้นก็เท้าแขนกับรั้วกั้นระเบียง สายตาเหม่อมองลงไปที่ห้องโถงชั้นล่าง มองดูเหล่าผู้คนชั้นสูงที่เดินขวักไขว่ไปมา เลือกซื้อสินค้าราคาแพง ใบหน้าสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสุข

    ขณะที่ ผู้คนข้างนอกที่ยังต้องทุกข์ทนกับความยากแค้นนั้น ยังมีอยู่อีกมากนัก

    กำลังคิดอะไรเพลินๆ ก็พอดีว่าเหลือบไปเห็นกลุ่มสุภาพสตรีที่กำลังสนทนากันอยู่บริเวณห้องโถงของห้างสรรพสินค้า ชั้นคงจะไม่สนใจหรอก ถ้าไม่เผอิญว่าคนที่อยู่ร่วมวงสนทนานั้นจะมี Miss Lacus Clyneนักร้องคนโปรดของชั้นรวมอยู่ด้วย!!! พอเห็นหล่อนเท่านั้น ชั้นก็หลบเข้าข้างเสาวูบ! ใจเต้นโครมครามด้วยความตื่นเต้นตกใจ

    หล่อนมาทำอะไรที่นี่น่ะ??? ชั้นคิดขณะที่ค่อยๆชะโงกหน้าออกมาดูจากหลังเสา ถึงจะรู้ว่าต้องมีคนมองว่าทำอะไรแปลกๆอยู่คนเดียวก็เถอะ!

    ทำไมต้องหลบน่ะเรอะ?? ก็เพราะวันนี้ มันไม่เหมือนคราวที่แล้วที่เจอกันนี่นา
    คราวที่แล้ว ชั้นพบกับหล่อนในฐานะ”หนุ่มน้อย” แต่คราวนี้.... ชั้นก้มลงมองตัวเองในชุดนักเรียนหญิงคอนแวนต์เต็มรูปแบบแล้วก็ได้แต่เศร้า

    ก็ออกไปให้นักร้องในดวงใจเห็นไม่ได้แบบนี้น่ะ มันแย่สุดๆเลย (แบบนี้รึเปล่านะ ที่เค้าเรียกว่า ทำยังไงได้อย่างนั้นน่ะ)

    ขณะที่กำลังแอบมองหล่อนจากข้างหลังเสา ชั้นก็ไปสะดุดตาเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆในชุดเสื้อแขนพอง ผิวขาวผมทองดูเผินๆแล้วเหมือนตุ๊กตาพอร์ซเลนก็ไม่ปาน แกหลบอยู่ข้างหลังMiss Clyneด้วยท่าทีตื่นกลัว

    เด็กคนนั้น....แลดูคุ้นตายังไงบอกไม่ถูก
    ชั้นว่า....ชั้นเคยเห็นเด็กคนนั้นมาก่อนแน่ๆ

    แต่ขณะที่กำลังเค้นสมองคิดอยู่ว่าเคยเห็นแกที่ไหน เสียงแหลมหวานเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
    “ชั้นไม่ยักรู้ว่า ห้างHarrodsอนุญาตให้คนอย่างพวกหล่อนเข้ามาลอยหน้าลอยตาปะปนกับพวกเราได้ด้วย”
    “คนอย่างพวกดิชั้น? เอ้อ ไม่ทราบว่าเป็นอย่างไรหรือคะ?” Miss Clyneเอียงคอถามอย่างไม่เข้าใจ คุณผู้หญิงผมแดงจึงเชิดหน้าขึ้นตอบเสียงเหยียดหยัน
    “พวกคนยาก!” หล่อนทำเสียงขึ้นจมูก “ไม่ยักรู้ว่ามีปัญญาเข้ามาเดินซื้อของในนี้ด้วย”

    เอ๊ะ....ฟังดูแล้ว.....ทั้งสายตาของหล่อนและน้ำเสียงที่พูดกับMiss Clyne ท่าทางคุณสุภาพสตรีผมแดงคนนั้นจะไม่ชอบนักร้องสาวขวัญใจของชั้นเท่าไหร่มั้งเนี่ย?

    “ดิชั้นมาที่นี่ไม่บ่อยนักหรอกค่ะ นอกจากเสียว่าเป็นเหตุจำเป็น” Miss Lacus Clyneยิ้มหวานเหมือนที่ยิ้มเป็นประจำ “เผอิญว่าจะมีคอนเสิร์ตครั้งแรกของศิลปินฮาล์ปตัวน้อยคนนี้ ก็เลยอยากให้เป็นพิเศษสำหรับแก” หล่อนกล่าวพลางลูบศีรษะแม่หนูตุ๊กตาพอร์ซเลนเบาๆ
    “อ๊อ....”คุณผู้หญิงผมแดงทำเสียงสูง “ใจบุญจริงนะ ใจบุญจนน่าสงสัย”
    “เอ๊ะ?”
    “ทั้งๆที่โรงละครของพวกหล่อนน่ะ ยังต้องจ่ายค่าเช่าที่ดินจากท่านพ่อของชั้นอยู่ทุกเดือน แต่ก็ยังพาเด็กเล็กๆมาซื้อของในห้างสรรพสินค้าสุดแพงแห่งนี้เพื่อจะขึ้นคอนเสิร์ต” หล่อนทำปรายตาจิกจนชั้นนึกหมั่นไส้ขึ้นมาตะหงิดๆ “มันก็อดจะคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้ โดยเฉพาะหญิงสาวตัวคนเดียวที่พาเด็กไปไหนมาไหนด้วยแบบนี้แล้ว....”

    “ดิชั้นไม่เข้าใจที่คุณพูดค่ะ”
    นักร้องสาวแห่งRosettaกล่าว แต่ก็ถูกพูดประชดประชันสวนขึ้นมา
    “ทำเป็นไร้เดียงสา!” คุณผู้หญิงผมแดงหันกลับไปพูดกับกลุ่มเพื่อนสาวของตน “นี่พวกเราคิดบ้างมั๊ยว่า บางทีอันที่จริงแล้ว ดาวเด่นของโรงละครRosettaอาจจะแอบมีลูกลับๆอยู่ก่อนแล้วก็ได้นะ”

    แล้วกลุ่มสาวๆพวกนั้นก็พากันหัวเราะคิกคักๆ แต่ชั้นฟังแล้วฉุนขาด!! ให้ตายเถอะ!!ไม่มีมารยาทเอาซะเลยยัยพวกนี้ ชั้นร้องอยู่ในใจ มันเรื่องอะไรที่ต้องว่าคนอื่นเค้าแบบนั้นด้วยนะ!!!

    แต่ในตอนนั้นเองMiss Lacus Clyneกลับมิได้มีสีหน้าโกรธขึ้ง หากหล่อนเพียงทำหน้าเหมือนนึกอะไรบางอย่างออก ก่อนจะเปรยถามแม่หนูน้อยที่ยืนขนาบข้าง
    “เอ...Stellarจ๊ะ หนูอายุเท่าไหร่แล้วจ๊ะ?”
    แม่หนูตัวเล็กตอบเสียงสั่น “สะ...สิบเอ็ดค่ะ”
    “เหรอจ๊ะ? แหม....ชั้นเองก็เพิ่งจะอายุสิบเก้าปีไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมานี่เองจ้ะ”Miss Clyneยิ้มตอบเด็กหญิงขณะที่ลูบศีรษะแกเบาๆ

    แล้วหล่อนจึงเงยหน้าขึ้นสบตากับกลุ่มสาวไฮโซที่ยืนอยู่เบื้องหน้า
    “เพราะงั้นเนี่ย คนที่คิดว่า คนอายุแค่7-8ขวบจะตั้งครรถ์มีลูกได้นี่.... ท่าทางคงจะเป็นคนช่างคิด หรือไม่ก็มีเวลาว่างมากจนคิดอะไรต่อมิอะไรฟุ้งซ่านได้มากมาย”

    ตายแล้ว!!!!ชั้นรีบเอามือปิดปาก เพราะเดี๋ยวจะเผลอหลุดกรี๊ดออกไป สะใจอ่ะ!!!สะใจสุดๆ!! ยิ่งดูใบหน้าที่แดงจัดด้วยความโกรธตอนถูกตอกกลับแล้ว โอ้ว!!! เหนือบรรยายจริงๆ!!
    “ไม่ต้องมาทำตีฝีปากกับชั้นหรอกย่ะแม่นักร้อง!!!”ว่าจบหล่อนก็ก้าวเข้าไปประชิดตัวMiss Clyne อ๊า!!จะตบกันมั๊ยเนี่ย!? “อย่างหล่อนน่ะ ก็แค่พวกหากินโดยใช้ความสวยกับเสียงร้องเพลงเป็นเครื่องมือดึงดูดให้ประดาชายหนุ่มมาหลงเสน่ห์ ไม่ต่างอะไรกับนางไซเรนในนิยาย ฮึ! น่าเจ็บใจนัก แม้แต่ท่านพ่อของชั้น ก็ยังติดกับหล่อน!!”

    ผู้หญิงคนนี้ดูถูกMiss Clyneแบบนี้ได้ยังไงกัน!!! แบบนี้มั้งที่Madameในคอนแวนต์เคยสอนไว้ว่า “พวกสวยแต่รูป จูบไม่หอม” ชั้นนึกเข่นเขี้ยวอยู่ในใจ

    Miss Lacus Clyneยิ้มนิดๆ ชั้นทึ่งจริงๆ ดูหล่อนจะรักษาอารมณ์ได้ดีทีเดียว
    “ขอประทานโทษนะคะ ดิชั้นและชาวคณะละครล้วนประกอบสัมมาอาชีพ มิเคยเบียดเบียนใคร หรือเพียงคิดจะหลอกเอาเงินซักบาทซักสตางค์จากผู้ชมก็ไม่เคย เราทำงานกันด้วยความตั้งใจ ความภูมิใจ และความรักในวิชาชีพ หากคุณคิดจะดูถูก...”
    ดวงตาสีฟ้าครามนั้นเหมือนมีประกายไฟ หล่อนจ้องกลับอย่างไม่นึกเกรง “ก็ควรจะดูถูกผู้ที่ไม่เคยสร้างประโยชน์อันใดให้แก่สังคมหรือส่วนรวม นอกจากหากินบนความทุกข์ยากของผู้คน แบบนั้นจะถูกกว่า!”
    “ยะโสโอหัง!!!” เจ้าของเรือนผมสีแดงร้องเสียงสูง “นี่หล่อนกล้าดียังไงมาสั่งสอนชั้นอย่างนี้!!”
    “ตายจริง.... นี่ดิชั้นทำให้คุณรู้สึกเหมือนว่ากำลังถูกสั่งสอนกระนั้นหรือคะ” นักร้องสาวมีสีหน้าแปลกใจ
    “ต้องขอประทานโทษด้วยจริงๆนะคะ เพราะดิชั้นเองก็แค่กล่าวไปตาม “ความเป็นจริง”ที่เกิดขึ้นก็เท่านั้นเอง ท่านบารอนAllsterเองคงทราบในข้อนี้ดี”
  22. whitewing

    whitewing New Member

    EXP:
    120
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0

    ไม่ค่อยเข้าใจแฮะ ชั้นฟังแล้วก็งง แต่ดูคุณสุภาพสตรีไฮโซคนนั้นจะโกรธน่าดู ดูสิ โกรธตัวสั่นจนบรรดาสหายต้องรีบปลอบกันเลย Miss Clyneอมยิ้มนิดๆ ก่อนหันไปพูดกับแม่หนูน้อยผมทองตัวเล็ก
    “Stellarจ๊ะ เรากลับกันเถอะ หมดธุระของเราที่นี่แล้ว”
    “คะ...ค่ะคุณหนู”
    แล้วหล่อนจึงหันไปกล่าวกับเลดี้ผมแดงพร้อมกับค้อมศีรษะให้เล็กน้อย
    “ดิชั้นขอตัวล่ะค่ะ Lady Allster สวัสดีค่ะ”

    หากแล้วเสียงร้องแหลมสูงเกรี้ยวกราดก็ทำให้นักร้องสาวต้องชะงักฝีเท้า
    “อย่ามาทำเป็นพูดจามีหลักการเสียหน่อยเลย! หล่อนคิดหรือว่า ไอ้การที่เกิดมาเป็นลูกนักวิชาการ มันจะกลบเกลื่อนเรื่องชาติกำเนิดหล่อนได้ ชั้นรู้นะว่านายดร.ผู้พ่อของหล่อนน่ะ เป็นพวกหนูตกถังข้าวสาร คิดจะหาทางเจริญก้าวหน้าผ่านการแต่งงานกับบุตรีตระกูลขุนนาง!!”

    Miss Lacus Clyneยืนนิ่ง ชั้นสังเกตเห็นว่าแม่หนูตัวน้อยตัวสั่นสะท้าน คงตกใจเสียงแหลมปรี๊ดของคุณเลดี้ผมแดงท่านนี้เป็นแน่แท้ ชั้นเองยิ่งฟังถ้อยคำบริภาษที่หลุดออกมาจากริมฝีปากสวยๆนั่นแล้ว ก็ยิ่งรู้สึกว่า คนที่พูดนั่นแหล่ะ น่ารังเกียจยิ่งนัก!
    “หล่อนเองก็คงถูกเสี้ยมสอนให้ใฝ่ต่ำไม่ต่างกับแม่ของหล่อนนั่นหล่ะ ไม่งั้นตัวพ่อที่เป็นถึงอาจารย์ในมหาวิทยาลัยจะสนับสนุนให้หล่อนประกอบอาชีพเป็นพวกเต้นกินรำกินอย่างนี้หรือ?? คิดดูให้ดีๆนะยะ แม่Lacus Clyne!!”

    ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาล้วนหยุดมองและพูดกันไปต่างๆนานา มันเรื่องอะไรของยัยผู้หญิงคนนี้นะ ที่ต้องมาพูดจาประจาคนอื่นในที่สาธารณะเช่นนี้น่ะ!!!ชั้นได้แต่มองMiss Clyneที่ยืนนิ่งอยู่เช่นนั้นอย่างเห็นใจ หล่อนคงเจ็บช้ำมากที่ถูกพูดจาทำร้ายน้ำใจเช่นนั้น

    หากแล้ว หล่อนก็ค่อยๆหันกลับมามองเจ้าของถ้อยคำเจ็บแสบด้วยประกายตาเย็นเฉียบเหมือนคมน้ำแข็ง ชั้นเห็นแล้วยังขนลุกเลย และมันก็ได้ผล เพราะทำเอาคุณสุภาพสตรีผมแดงคนนั้นผงะไป หน้าซีดจนเหลือแค่สองนิ้วมั้ง!

    “กรุณาระวังคำพูดคำจาของคุณด้วยนะคะ Lady Allster เพราะคุณกำลังหมิ่นประมาทดิชั้นในที่สาธารณะ ทั้งยังมิเพียงทำให้ดิชั้นเสียชื่อเสียงเท่านั้น ยังพาดพิงไปถึงวงศ์ตระกูลและบุพการีของดิชั้นด้วย หากคุณคิดว่าดิชั้นเป็นพวกหน้าบางจนไม่กล้าขึ้นโรงขึ้นศาลล่ะก็ นั่นเป็นการคิดผิดเสียแล้วหล่ะค่ะ”

    สะ....ใจ๊!!!!!!!ชั้นแทบกรี๊ด ยิ่งตอนเห็นสีหน้าของบรรดากลุ่มสาวไฮโซกลัวสายตาพิฆาตของMiss Clyneจนทำอะไรไม่ถูกนะ มันสุดๆเลย!!

    “แต่ดิชั้นจะคิดเสียว่า คุณเพียงแค่หาทางระบายอารมณ์ไม่พอใจที่ท่านพ่อของคุณมาสนใจนักร้องอย่างดิชั้นเท่านั้น ขอให้เราเลิกแล้วต่อกันเสียวันนี้เถอะนะคะ เพราะดิชั้นก็ไม่มีเวลามากพอที่จะมาเสวนาเรื่องไร้สาระกับพวกคุณ ...สวัสดีค่ะ!”
    พูดจบ นักร้องสาวขวัญใจชาวลอนดอนก็หันกลับไปรับร่มที่พนักงานต้อนรับส่งให้ พร้อมกับจูงแม่หนูผมทองที่ติดสอยห้อยตามมาให้เดินไปด้วยกัน แต่!!มันยังไม่จบเท่านั้นค่ะท่าน มันยังไม่จบ!! เพราะLadyผมแดงที่ชื่อว่า Allsterคนนั้นถึงกับเต้นเร่าๆด้วยความโกรธแสนสาหัส
    “หล่ะ.... หล่อนคิดว่าตัวเองเป็นใคร???? ถึงกล้าต่อปากต่อคำกับชั้นเยี่ยงนี้!!!แม่นักร้อง!!!”

    เอาหล่ะ เมื่อมาถึงขั้นนี้ เมื่อคุณสุภาพสตรีผมแดงก็ไม่มีท่าทีจะเลิกราวาศอกในการระราน”คนโปรด”ของชั้นง่ายๆ ชั้นคงต้องทำอะไรซักอย่างแล้ว แปลกใจจังที่ตัวเองสงบขนาดนี้ ชั้นมองไปบนเพดาน หัวสมองคิดประมวลหาวิธีการเด็ดๆที่จะ”ปิดปากพล่อยๆ”ของสาวไฮโซท่านนี้เสียที เพราะเสียงแหลมกรี๊ดๆยังไม่จบง่ายๆน่ะสิ

    “พวกไร้สกุล!!นี่คิดว่าพวกเต้นกินรำกินอย่างหล่อน ไม่สิ! ทั้งพวกในโรงละครของหล่อนน่ะ มันจะต่างจากพวกคณะละครเร่แถบEast-Endเหรอยะ???ทำเป็นพูดว่าขายศิลปะ! ขายมากกว่านั้นด้วยสิ!!”
    เอาหล่ะ! พูดได้พูดไป ชั้นคิดขณะที่สายตาปราดไปเห็นเจ้าสัตว์เลื้อยคลานตัวขาวซีดที่เกาะอยู่บนเสา ไวเท่าความคิด ชั้นรีบคว้าหางมันไว้ในทันที!

    “ทนฟังไม่ได้เรอะ? แน่หล่ะ!!เฮอะ!!ก็มันเรื่องจริงนี่นะ!!!พวกโรงละครก็มีธุรกิจแบบนี้แอบแฝงอยู่แล้ว!!!”
    1ตัว 2ตัว 3ตัว โอ๊ะ! ตัวที่สี่แอบอยู่หลังเสานี่เอง มานี่มะ! ชั้นกำเจ้าสัตว์เลื้อยคลานตัวจ้อยไว้ในมือแน่น อ๊อ! ไม่หรอก ชั้นไม่ขยะแขยงมันซักนิด เพราะเจ้าพวกนี้ ดูๆไปแล้ว มันยังสร้างประโยชน์ให้สังคมโลกมากกว่าบรรดาเลดี้ปากเสียพวกนั้นอีก (ถึงจะมีสายตาของคนที่นั่งแถวนั้นมองชั้นอย่างแปลกๆ ชั้นก็ไม่สน!)

    “โรงละครRosettaของหล่อน ต่อให้โฆษณาว่าตัวเองต่างจากละครเร่ก็เถอะ!! จำไว้นะว่า.....”
    เอ้า! แน่จริงพูดให้จบแล้วกัน แหม... ครบสิบตัวพอดีเลย ผนังห้างHarrodsนี่ จิ้งจกเยอะดีเนอะ ชั้นคิดพลางก้าวไปประชิดระเบียงชั้นลอย กำลังหา”มุมเหมาะๆ”ที่จะปล่อย”ของขวัญ”ลงไปตอบแทนบรรดาเลดี้ไฮโซที่ช่วยสร้างเสียงดังรบกวนชาวบ้านในห้างเสียหน่อย

    “อีกหน่อยถ้าโรงละครของหล่อนต้องขาดทุนขึ้นมา!!!อย่ามาอ้อนวอนให้ท่านพ่อช่วยเหลือแล้วกัน อ้อ ไม่สิ!!ถึงตอนนั้น ชั้นจะคิดดูอีกที!!!”

    ล็อคเป้าหมาย ได้แล้ว....4… 3…2…1…ปล่อยระเบิดได้!!!!
    ชั้นแบมือทั้งสองที่กำเจ้าตัวซีดให้พวกมันหลุดร่วงลงสู่เป้าหมายโจมตีในทันที!!!

    ฟิ้ววววว

    “Lady Allster!!” Miss Lacus Clyneหันกลับมาและร้องขึ้นอย่างสุดทนต่อถ้อยคำเหล่านั้น แต่แล้วเสียงของหล่อนก็ถูกแทนที่ด้วยเสียงร้องกรี๊ดลั่นจากกลุ่มสาวไฮโซ
    “กรี๊ดดดดดดด!!!!อ๊ายยย!!!นี่มันอะไรเนี่ย อ๊าย!!!!!”
    “อี๊ยยย!!!ตัวอะไรเนี่ย!!!”
    อ๊อ.....จิ้งจกไงน้อง! ชั้นคิดอย่างสะใจ ยัยพวกนี้ท่าทางจะไม่เคยเห็นสัตว์เลื้อยคลานมาก่อนในชีวิตนี้เป็นแน่ ดูสิ เต้นกระย่องกระแย่งกรี๊ดๆยังกับถูกไฟลนแน่ะ

    สะใจ๊สะใจ ไม่ได้สนุกแบบนี้มานานแล้ว ฮิๆ

    Miss Clyneได้แต่มองดู”ท่าเต้นระบำกลางห้าง”ของพวกสุภาพสตรีปากจัดกลุ่มนั้นตาปริบๆ ยัยพวกนั้นร้องกรี๊ดๆด้วยอาการแขยง”จิ้งจกนับสิบที่ตกลงมาจากเพดาน” และแล้วจึงพากันสะบัดสะบิ้งออกจากห้างร้านไปท่ามกลางสายตาของประชาชนที่คงจะทั้งสงสารและตลกขบขันไปในราวเดียวกัน

    ใครจะสงสารก็สงสารไปเถอะ แต่ชั้นยืนยันว่าตัวเองขำสุดๆ ชั้นชะเง้อชะแง้มองดูพวกนั้นย้ายก้นออกจากห้องโถงห้างสรรพสินค้าHarrodsไปแล้วก็ได้แต่อมยิ้มกลั้นหัวเราะกิ๊กกั๊กอยู่คนเดียว นี่ถ้าพวกMayuraมาด้วย คงสนุกกว่านี้แน่ๆ
    แต่เอาเถอะ เท่านี้ก็สนุกจะแย่อยู่แล้ว

    ขณะที่ชั้นมัวแต่หัวเราะคิกคักด้วยความสะใจในผลงานของตัวเอง ก็ไม่ทันสังเกตว่า ดวงตาคู่หนึ่งมองขึ้นยังระเบียงชั้นลอยที่ชั้นกำลังยืนอยู่ตรงนี้ และพอรู้ตัวชั้นก็รีบเผ่นหลบเข้าไปในบูติคแทบไม่ทัน!!

    ตะ.....ตกใจหมดเลย!!!!ไม่คิดว่า Miss Clyneจะตาไวขนาดนี้ เอ้อ!!คงไม่ทันนึกออกกระมังว่าเราคือ “เจ้าหนุ่มน้อยCagalli”คนที่ไปชมหล่อนซ้อมการแสดงเมื่อวันก่อน หวังว่า....หล่ะนะ.... ชั้นก้มลงมองชุดที่สวมอยู่ และเลยไปสำรวจหัวหูตัวเองในกระจก ผมเผ้าผูกด้วยริบบิ้นเรียบร้อยแบบนี้แล้ว คงดูไม่ออกหรอกน่า ชั้นนึกปลอบตัวเอง

    “คุณหนูหายไปไหนมาคะ? Manaหาแทบแย่แน่ะ มาค่ะ มาดูผ้าผืนนี้หน่อย เป็นไงคะ? ซาตินฝรั่งเศสสีหยกอ่อนๆผืนนี้ สวยนะคะ ขับผิวดี๊ดี”
    Manaพาร่างอวบอ้วนพร้อมหอบผืนผ้าไหมสีเขียวมันระยับผืนสวยเดินมาหาชั้น แต่พูดจริงๆว่าตอนนี้น่ะไม่มีอารมณ์จะชื่นชมความงามใดๆหรอก
    “จ้ะ สวยจ้ะ Manaเลือกไปเลยนะ เดี๋ยวCagalliมา เอ้อ” ชั้นบอกปัดไปส่งๆ แล้วคิดหาข้อแก้ตัว “กระเป๋าร้านนั้นน่ารักดี ขอไปดูหน่อยนะ” ว่าจบชั้นก็วิ่งปร๋อออกจากบูติคไป ยังได้ยินเสียงManaร้องแจ้วๆ
    “งั้นเลือกเสร็จแล้วกลับมาเจอกันที่ตรงนี้นะคะ คุณหนู อย่าไปไกลนะค๊า”
    “จ้าๆ” ชั้นร้องตอบ

    และพอหลุดจากร้านบูติคขายผ้ามาได้ ชั้นก็รู้สึกโล่งใจอย่างถึงที่สุดจนต้องระบายลมหายใจออกมายืดยาวเชียวหล่ะ แหม..... ตอนแรกนึกว่าจะต้องทนเบื่อไปทั้งวันซะแล้ว ปรากฎว่ากลับมีเรื่องชวนตื่นเต้นให้ทำซะนี่
    ชั้นยิ้มให้ตัวเองอย่างสบายอกสบายใจ ก่อนจะแวะร้านขายไอศกรีมร้านเล็กๆข้างทาง สั่งไอศกรีมสตรอเบอร์รี่มาซะหนึ่งโคน และขณะที่กำลังจะลงมือจัดการเจ้าไอศกรีมที่ว่า ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น
    “แหม ดิชั้นเองก็ชอบไอศกรีมสตรอเบอร์รี่เหมือนคุณเลยหล่ะค่ะ”
    “อ๋อ เหรอ อื้ม ก็ร้านนี้อร่อยนะ หอมชื่นใจดีนะ...” ชั้นตอบไปตามน้ำ แต่...เอ๊ะ...

    เสียง.....เสียงคุ้นๆนิ.....

    เจ้าของรอยยิ้มหวาน เสียงใสอย่างที่ชั้นชอบ และเรือนผมสีPink blondมายืนอยู่ข้างๆชั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ชั้นตกใจจนแทบทำลูกไอติมหกจากโคน!!!
    “มะ...Miss Clyne!! มะ....มาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย??”
    หล่อนหัวเราะกิ๊ก “อ๋อ ก็ตั้งแต่เห็นคุณสั่งไอศกรีมเมื่อครู่หล่ะค่ะ”

    ชั้นไม่รู้จะเอาหน้าไปซุกที่ส่วนไหนของแผ่นดินดี เมื่อหล่อนเพ่งพิจารณาใบหน้าของชั้น เอ้า!!!จะมองให้ทะลุเลยรึไงกันเนี่ย?? แล้วเจ้าตัวก็ไม่พูดอะไร นอกจากยิ้มหวาน
    “พอดีเลย ทานไอศกรีมกันมั๊ยจ๊ะ? Stellar” หล่อนถามแม่ตัวน้อยผมทองที่เดินตามมาด้วย แม่หนูพยักหน้ารับก่อนจะเหลือบมองชั้นอย่างหวาดๆ

    ชั้นเคยเห็นเด็กคนนี้มาก่อนจริงๆด้วย ดวงตาสีลูกหว้าคู่นี้.....
    ชั้นจำได้
    #########################################

    “เมื่อซักครู่นี้ ขอบคุณนะคะ”
    ดิชั้นเอ่ยบอกสาวน้อยผมสีบลอนด์น้ำผึ้งที่นั่งอยู่ข้างๆ เจ้าตัวเหลือบมองมา ท่าทางประหม่าไม่น้อย
    “ถ้าเรื่องไอศกรีมหล่ะก็ ไม่เป็นไร เพราะชั้นก็ชอบกิน”
    “เรื่องนั้นด้วยค่ะ” ดิชั้นหัวเราะกิ๊ก ขณะที่เอาช้อนคนไอศกรีมหอมเย็นในถ้วย สายตามองเลยไปที่Stellarซึ่งกำลังทานไอศกรีมอย่างตั้งอกตั้งใจ เพราะแกไม่เคยทานมาก่อน คงจะแปลกลิ้นกับความเย็นนั้น

    บรรยากาศของถนนย่านธุรกิจนี้ ดูยังไงก็ไม่เบื่อ ผู้คนพากันออกมาเดินเล่นตอนบ่าย บ้างก็มาโปรยอาหารนกให้นกพิราบที่มักบินมาชุมนุม ณ จัตุรัสใกล้ห้างHarrodsแห่งนี้ เราสามคนจองเก้าอี้ม้านั่งไม้ยาวริมน้ำพุเพื่อนั่งสนทนากัน หลังออกจากห้างสรรพสินค้ามาแล้ว’

    “อีกเรื่องคือที่ช่วยดิชั้นจากสุภาพสตรีกลุ่มนั้นน่ะค่ะ” ดิชั้นกล่าวบอก ขณะที่เลดี้ผมบลอนด์ท่าทางแสนซนยกมือขึ้นเขี่ยจมูกแก้เก้อ
    “อย่าเกรงใจกันเลย ชั้นแค่รำคาญเสียงแว้ดแหวของพวกนั้นก็เท่านั้นเอง ก็ไม่มีมารยาทก่อนนี่นา เรื่องอะไรมาใช้ที่ห้องโถงห้างเป็นเวทีด่าทอคนอื่น”

    ดิชั้นฟังแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ เธอคนนี้ช่างใจดี เหมือนใครกันนะ?
    “ว่าแต่ว่า.... วันนี้...ดูคุณแปลกตาจังเลย”
    พอดิชั้นพูดเท่านั้น เจ้าของดวงตาสีอำพันก็หน้าแดงแป๊ดถึงใบหูเลยทีเดียว
    “อะ...เอ้อ!!!”
    “ดิชั้นก็นึกสงสัยอยู่ว่า เอ๊...? ตัวคุณCagalliเองออกจะน่ารักน่าเอ็นดู เหตุใดจึงแต่งตัวด้วยชุดเด็กชายเช่นนั้น?”

    คำพูดของดิชั้นคงทำให้เจ้าตัวตกใจน่าดู เพราะหล่อนสะดุ้งโหยงสุดตัวเชียว
    “ระ.... รู้อยู่แล้วเหรอ!!!??”
    “ค่ะ” ชั้นโอบบ่าStellarที่ทำท่าตกใจเสียงร้องของคนแปลกหน้าไว้เบาๆ “ก็เป็นผู้หญิงเหมือนกันนี่คะ”

    หน้าใสๆแดงแป๊ด คงจะอายกระมัง ดิชั้นอมยิ้มอย่างเอ็นดู ก่อนชวนคุยต่อ
    “Athrunคงไม่ทราบสินะคะ”
    “แหงหล่ะ อย่างหมอนั่นน่ะ....” คุณCagalliก้มหน้าแดงซ่านหลบสายตา “ไม่งั้นจะจิกเรียกชั้นว่าเจ้าหนูๆเรอะ?”

    ดิชั้นอุทานอย่างตกใจ
    “ตายจริง!! Athrunนี่ใช้ไม่ได้เลยนะคะ ใช้คำพูดแบบนั้นกับสุภาพสตรีได้ยังไงกัน?? เจอกันคราวหน้าต้องดุเสียหน่อยแล้ว” แต่แล้วคนที่ถูกจิกเรียกแบบนั้นกลับรีบลุกขึ้นพลางส่ายหน้าจนผมกระจาย
    “มะ.... ไม่ต้องหรอก อย่าเลย!!!ชั้นผิดเองแหล่ะเรื่องนี้ ที่ไม่บอกคนๆนั้น....เขาก็เลยเข้าใจผิดอยู่...”
    ดิชั้นมองใบหน้ากระจ่างใสของหล่อนที่ระเรื่อด้วยสีกุหลาบยามพูดถึงนายตำรวจหนุ่มแห่งสก็อตแลนด์ยาร์ดคนนั้นแล้ว ก็อมยิ้ม

    “ถ้าเช่นนั้น.... คุณจะปล่อยให้Athrunเข้าใจผิดเช่นนี้เรื่อยไปหรือคะ?”
    “อะ.... เอ้อ.... ชั้น...”หล่อนก้มหน้างุด “ชั้นก็ว่า...จะอธิบายอยู่หมือนกัน.... แต่....”
    หล่อนไม่กล้าพูดต่อ ดูเหมือนความลับในข้อนี้จะทำให้เจ้าตัวกลัดกลุ้มไม่น้อย

    “คุณกลัวว่า Athrunจะโกรธสินะคะ”
    หล่อนนิ่งเงียบไป ก่อนจะพูดเสียงเบาราวกระซิบ
    “ถ้าชั้นบอกความจริงไป อะไรๆมันคงไม่เหมือนเดิม.... คงจะออกไปเที่ยวเล่นที่ไหนๆไม่ได้อีก และ.... กับคนๆนั้นก็คง...”
    “คงจะไม่ได้พบกันอีก?” ดิชั้นเอ่ยต่ออย่างรู้ทัน
    “อ๊ะ!!เอ้อ!!!มะ...ไม่ใช่อย่างนั้นซักหน่อย!!!”

    แหม....รีบร้อนตัวปฏิเสธก่อนเลยนะ ช่างเป็นคนที่เข้าใจง่ายเหลือเกิน ดิชั้นกลั้นหัวเราะกิ๊กกั๊ก ไม่ตั้งใจจะเสียมารยาทเลย แต่มันอดไม่ได้นี่นา คุณCagalliเห็นดิชั้นแอบหัวเราะเช่นนั้นก็บ่นอุบอิบ
    “ก็ทีคุณยังดูชั้นออกเลย มันก็ไม่ใช่ความลับอีกต่อไปแล้วหล่ะ...”
    “ถูกของคุณละนะคะ แต่แหม....”ขณะที่ดิชั้นกำลังจะชวนเธอคุยต่อ Stellarก็ดึงแขนเสื้อชั้นเบาๆ

    “คุณหนูคะ.... Stellarไปให้อาหารนกตรงโน้นได้มั๊ยคะ?” แกถามพลางชี้ไปที่ลานกลางจัตุรัสซึ่งมีผู้คนคอยโปรยอาหารนกอยู่

    ดิชั้นออกจะแปลกใจอยู่ไม่น้อย ที่ได้ยินแม่หนูกล่าวขออนุญาตเช่นนั้น
    ....ถ้าเป็นเมื่อก่อน....เด็กคนนี้คงได้แต่นั่งอยู่กับที่ ไม่ก้าวออกไปที่อื่น

    ดิชั้นแตะแขนเล็กๆตอบแล้วจึงแก
    “เอาสิจ๊ะ แต่อย่าไปไกลนะ”
    Stellarพยักหน้ารับเบาๆแล้วจึงวิ่งตื๋อออกไปยังลานใกล้ๆพร้อมกับถุงเศษขนมเพื่อโปรยให้ฝูงนกพิราบ ดิชั้นอดเป็นห่วงไม่ได้ แต่ดูสีหน้าสดใสสมวัยยามได้เล่นกับหมู่นกสีขาวแล้วก็เริ่มจะเบาใจ

    คุณCagalliมองตามร่างเล็กในชุดกระโปรงแขนตุ๊กตาแล้วจึงเปรยขึ้น
    “.... ชั้นเคยเจอเด็กคนนั้น....”
    “ที่โรงละครเหรอคะ?”
    “ไม่ใช่ เมื่อซักปีที่แล้ว.... ที่คฤหาสน์ตระกูลZerun....”

    เมื่อหล่อนเอ่ยชื่อตระกูลพ่อค้าแห่งลอนดอนดังกล่าวขึ้น ดิชั้นก็ได้แต่ตอบไปว่า
    “ค่ะ...Stellarเคยอยู่ที่นั่น”
    “ใช่ๆ ชื่อนี้แหล่ะ!!” คุณCagalliร้องขึ้นเบาๆอย่างนึกออก “เด็กคนนั้นเป็นเด็กในบ้านตระกูลที่ว่านั้นแหล่ะ รู้สึกว่า.... จะเคยทำงานอยู่ในครัว”

    แล้วหล่อนก็เขยิบเข้ามาพูดเบาๆกับดิชั้น
    “ยิวใช่มั๊ย?”
    ดิชั้นพยักหน้ารับแผ่วๆแล้วกล่าวต่อ “คุณทราบแล้วนี่คะ”
    คุณCagalliจึงเล่าต่อ “ชั้นเคยถูกบังคับให้ไปร่วมงานอีสเตอร์ที่บ้านหลังนั้นเมื่อปีที่แล้ว ที่นั่นมีคนรับใช้ต่างด้าวค่อนข้างเยอะ แต่ชั้นจำเด็กคนนี้ได้ดีเพราะสะดุดตากว่าคนอื่น คงเพราะผมทอง และหน้าตาก็น่ารักน่าเอ็นดูกว่าคนอื่นๆ ติดอยู่ที่ ท่าทางแกดูหวาดกลัวตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับพวกเจ้าของบ้านน่ะ....”

    ดิชั้นเคยได้ฟังเรื่องราวมาบ้างแล้ว จึงได้แต่พยักหน้ารับ
    “ค่ะ...ถูกตีมาตลอดก็เลย....”
    “เหรอ...”แล้วคุณCagalliก็ทุบโต๊ะอย่างนึกเจ็บใจ “ไอ้พวกพ่อค้าหน้าเลือดนี่มันเลวจริง! แม้แต่กับเด็กกับเล็กก็ยัง...!”
    ดิชั้นมองดูท่าทีฉุนเฉียวของสาวน้อยแล้วจึงยิ้มบางๆ
    “เมื่อประมาณเกือบสี่เดือนก่อน.... หมวดAsukaพาออกมาจากที่นั่นน่ะค่ะ”
    “หมวดAsuka! ไม่อยากเชื่อ!!” คุณCagalliร้องอุทานด้วยความแปลกใจ ดิชั้นจึงอธิบายต่อ
    “เค้ารู้จักกับStellarมาก่อนน่ะค่ะ แต่ในฐานะชายหนุ่มตัวคนเดียว จะให้รับเด็กหญิงตัวเล็กๆมาอยู่ด้วยมันก็คงจะดูไม่ดีในสายตาคนอื่น หมวดก็เลยขอร้องให้ดิชั้นซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกับAthrunช่วยเหลือในเรื่องนี้....”

    ไอศกรีมในถ้วยเริ่มจะละลาย แต่ดิชั้นยังมิได้ใส่ใจที่จะรับประทานมันเท่าไหร่
    “แต่อีกหน่อย เมื่อถึงวันที่แกโตขึ้นก็ต้องออกไปมีชีวิตส่วนตัวของตน ทางคณะละครคงไม่สามารถปกป้องดูแลแกได้อีก ก็เลยให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูสภาพจิตใจที่บอบช้ำมานาน ดิชั้นเข้าใจว่ามันต้องใช้เวลาและความอดทนน่ะค่ะ นอกจากนี้ ทางเราก็สนับสนุนให้แกได้เรียนหนังสือและเรียนฮาล์ปไว้ติดตัวด้วย”
    “คุณมองการณ์ไกลมากเลยนะ” หล่อนมองดิชั้นอย่างทึ่งๆ ฟังคำชมแล้วอดเขินไม่ได้
    “มิได้ค่ะ มิใช่ดิชั้นเพียงคนเดียว แต่ยังมีคนอื่นๆที่โรงละครอีกที่ช่วยกัน”

    คุณCagalliฟังแล้วก็ยิ้ม “คนที่โรงละครนี่ ใจดีจังเลยนะ แล้วนี่....”หล่อนหันไปมองที่Stellar แม่หนูกำลังนั่งลงโปรยเศษขนมลงกับลานอิฐแดงเพื่อรอให้ฝูงนกพิราบขาวมาจิกกิน ดวงตาสีลูกหว้าคู่นั้นฉายประกายสดใส
    “เมื่อไหร่นักฮาล์ปตัวน้อยจะได้ออกแสดงเดี่ยวเสียทีหล่ะ?”
    “ถ้าเจ้าตัวให้ความร่วมมือ ดิชั้นคิดไว้ว่าอีกเดือน-2เดือนน่ะค่ะ อันนี้ต้องแล้วแต่เจ้าตัวเค้าด้วย”
    เมื่อฟังดิชั้นตอบ หล่อนก็ร้องดีใจ “ตายจริง! นี่ชั้นถามเล่นๆนะเนี่ย!!แม่ตัวน้อยนั่นจะได้เป็นศิลปินแล้วเหรอ?”
    ดิชั้นยิ้มขำ คุณCagalliรีบจับมือดิชั้น แววตาเป็นประกายวิ้ง
    “ชั้นจองที่นั่งแถวหน้าเลยนะ!!”
    “ค่า”ดิชั้นบีบมือเธอตอบ “ดิชั้นจะรอคุณนะคะ คุณCagalli”

    เพียงแค่รู้ว่ามีคนตั้งตารอดูการแสดงของพวกเรา แม้เพียงแค่คนเดียว ดิชั้นก็ปลาบปลื้มใจเสียเกลือเกินแล้ว

    แม้จะเป็นคนเพียงคนเดียวที่ปรบมือให้ก็ตาม....

    “ชั้นจะตั้งตารอนะ Miss Clyne”
    “กรุณาเรียกดิชั้นว่าLacusเถอะนะคะ”
    “ได้เหรอ?”
    “ค่ะ แน่นอน” ดิชั้นพยักหน้ารับ

    อดชื่นชมอยู่ในใจไม่ได้ว่า รอยยิ้มของเธอคนนี้ช่างสวยสดใสราวแสงอาทิตย์ยามเช้าเสียจริง

    “อ๊ะ!...ได้เวลาแล้ว”คุณCagalliบอกชั้นเมื่อมองดูเวลาที่หน้าปัดนาฬิกากลางจัตุรัส
    “ต้องรีบไปแล้วสินะคะ”
    หล่อนพยักหน้ารับอย่างรีบร้อน “อื้อ เพราะเดี๋ยวMana เอ้อ! แม่นมของชั้นน่ะ เดี๋ยวแกจะรอ แล้วชั้นก็ต้องรีบกลับไปให้ทันเวลาที่คอนแวนต์ด้วย”

    คอนแวนต์...?ดิชั้นฟังแล้วก็พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ พอจะเดาเรื่องออกว่ามันเป็นมาอย่างไรกัน
    “วันนั้นที่รีบร้อนกลับ ก็คงเพราะเหตุนี้สินะคะ?” ดิชั้นกลั้นหัวเราะเบาๆแล้วพูดล้อเลียน “แม่สาวคอนแวนต์”
    เจ้าตัวทำหน้าพูดไม่ออกบอกไม่ถูกก่อนจะกล่าว
    “เอ้อ...แหม.... ถ้ายังไง ขอร้องนะ อย่าเพิ่งบอกเรื่องของชั้นกับหมอนั่นได้มั๊ย?”

    “หมอนั่น”หมายถึงใคร ทำไมดิชั้นจะไม่ทราบ
    “Athrunน่ะหรือคะ?”
    “อะ.... อื้มชั้น....”หล่อนหลบสายตา ชั่งใจก่อนบอกกับดิชั้น “ชั้นอยากจะพูดอธิบายด้วยตัวเองน่ะ....”
    หล่อนเขี่ยคลื่นผมสีน้ำผึ้งของตนที่ตกเคลียแก้มเล่น ดวงตาที่หลบต่ำนั้นไม่แน่ใจ
    “เพราะนี่เป็นปัญหาที่ชั้นก่อขึ้น.... ก็อยากจะแก้ไขด้วยตัวเอง ต่อให้ถูกโกรธก็เถอะนะ....”

    ดิชั้นได้ฟังเหตุผลแล้วอดยิ้มไม่ได้ นึกชมในใจว่า ช่างเป็นเด็กดีจริง
    ติดอยู่ตรงที่ว่า แก่นแก้วไปหน่อยเท่านั้นหล่ะ
    “ดิชั้นเข้าใจแล้วค่ะ ขอให้วางใจเถอะนะคะ”

    หล่อนยิ้มให้ดิชั้น แล้วจึงกล่าวลา “ไปนะ”
    “อ๊ะ! เดี๋ยวค่ะ คุณCagalli”ดิชั้นตัดสินใจเรียกหล่อนเอาไว้ เมื่อเจ้าตัวหันกลับมา ดิชั้นจึงส่งยิ้มให้แล้วกล่าว
    “คราวหน้า เมื่อมีโอกาสมาเยือนRosettaอีก เราพบกันในลักษณะนี้ได้มั๊ยคะ?”
    “อ๊ะ เอ๋??”
    ดวงตาสีอำพันฉายความฉงน ดิชั้นส่งยิ้มให้หล่อนแล้วอธิบาย

    “ถึงตอนนั้น ชั้นจะแนะนำให้Athrunรู้จักคุณในฐานะเพื่อนของดิชั้นค่ะ” ลมพัดมาปะทะผิวเพียงเบาๆ “ดิชั้นเชื่อมั่นว่า Athrunต้องเข้าใจแน่ เพราะเขาเป็นคนใจดีนี่คะ”

    เมื่อได้ฟังเหตุผล สีหน้าของสาวน้อยก็สดชื่นขึ้นเล็กน้อย
    “อื้ม”
    หล่อนพยักหน้ารับคำ แล้วจึงวิ่งจากไป

    ดิชั้นมองตามจนร่างเล็กบางในชุดกระโปรงนักเรียนคอนแวนต์หายไปในกลุ่มชนชาวลอนดอน อดคิดไม่ได้ว่า น่าเสียดาย...ที่ไม่ได้พบกับนายตำรวจหนุ่มแห่งสก็อตแลนด์ยาร์ดคนนั้นในวันนี้ เพราะหล่อนช่างน่ารักมากเหลือเกิน

    ดิชั้นมองกลับไปที่Stellarซึ่งวิ่งตึ้กๆมาหา ต้องกลั้นยิ้มขันเมื่อแกหยุดปัดเศษดินเศษทรายออกจากชุดกระโปรงสีพลัมของตนอย่างอายๆ

    “อุ๊ย!! จริงสิ”ชั้นอุทานเบาๆเมื่อนึกบางอย่างได้ พอตั้งใจจะกลับไปตะโกนบอกสาวน้อยจอมแก่นคนเมื่อครู่ ก็ดูเหมือนจะสายเกินไปเพราะหล่อนคงวิ่งฉิวไปถึงไหนต่อไหนแล้ว

    ก็ ดิชั้นลืมบอกนี่นาว่า....สร้อยคอของหล่อนน่ะ อยู่กับAthrun....
    ##################################

    กว่าจะเอาตัวรอดมาได้ก็แทบแย่!!!
    ผมคิดอย่างหวาดๆ ขณะที่ค่อยๆแง้มม่านคลุมหน้าต่างรถม้าออกมองไปข้างนอกแล้วก็จึงระบายลมหายใจอย่างโล่งอก เมื่อวิวทิวทัศน์ภายนอกเปลี่ยนจากชุมชนการศึกษาของมหาวิทยาลัยไปสู่ถนนคอนกรีตที่เปิดกว้างออกสู่ภายนอก

    พอคิดถึงเหตุการณ์ระทึก(หน่อยๆ)เมื่อซักครู่ กว่าจะฝ่าฟันอุปสรรคของพวกนักข่าวสังคมมาได้ก็แทบแย่ เพราะดันมาถูกจับได้ตอนทำหมวกใบยักษ์ของดร.Clyneหล่น เท่านั้นแหล่ะ วงแตก

    แต่มันก็ตื่นเต้นดีเหมือนกันแฮะ ผมคิด การคิดหาวิธีหลบหลีกพวกนักข่าวสังคมที่ซ่อกแซ่กเก่งเป็นอาชีพนี่มันก็สนุกไปอีกแบบ

    ถ้านานๆทำทีหล่ะก็นะ...(เพราะถ้าบ่อยๆก็คงเหนื่อยตาย)

    “เอ้า! อาจารย์! เรามากันไกลแล้วนะครับ จะให้ขับไปไหนหล่ะครับนี่?”
    ลุงคนขับรถเอี้ยวตัวจากที่นั่งคนขับมาเคาะกระจกถาม ผมอึกอักไปพักใหญ่จนท่าทางแกจะรำคาญ เพราะนึกขึ้นมาได้ว่าดร.Clyneฝากให้ไปรับบุตรสาวของท่านที่Harrods

    “งั้น...ไปจัตุรัสหน้าห้างHarrodsนะครับ”
    ผมตอบไป รถม้าจึงเคลื่อนตัวไปข้างหน้าอีกครั้ง ผมเอนศีรษะพิงกับเบาะนั่งอย่างเหนื่อยๆ

    อดบ่นกับตัวเองไม่ได้ว่า อะไรๆมันช่างไม่เป็นใจเหลือเกิน
    ทั้งที่ตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่คิดถึง ไม่ไปพบเธอคนนั้น ถ้าไม่จำเป็น....

    แต่ดูเหมือนยิ่งพยายาม มันก็ยิ่งไม่สำเร็จ!
    ################################
  23. whitewing

    whitewing New Member

    EXP:
    120
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    PHASE 9: Every Disatisfactions

    …นานจริง …
    ดิชั้นคิดอย่างกังวลใจหลังจากยกนาฬิกาพกขึ้นดูเวลา นี่ก็ใกล้ค่ำแล้ว ท้องฟ้ายามโพล้เพล้สีแดงเข้มตัดกับเงาของเมฆสีดำก็ดูสวยดี แต่มันกลับทำให้ไม่สบายใจมากยิ่งขึ้น

    เย็นป่านนี้แล้ว ทำไมคุณพ่อยังไม่มารับตามนัดอีกนะ?
    ดิชั้นกับStellarรออยู่ตรงจุดนัดพบตามที่นัดกันไว้ และนี่ก็เลยเวลามาเกือบชั่วโมงแล้วด้วย มันน่าแปลกใจ เพราะคุณพ่อไม่เคยผิดนัดมาก่อน

    Stellarเงยขึ้นมองหน้าดิชั้น ท่าทางแกก็คงกังวลไม่น้อย
    “ขอโทษนะจ๊ะ Stellar”ชั้นบอก “ถ้าคุณพ่อมารับสาย วันนี้ก็คงกลับไม่ทันเวลาเรียนกับครูKiraแน่ๆเลย เอาไว้ชั้นจะ...”
    ขณะที่กำลังจะพูดต่อ ก็มีเสียงของชายคนหนึ่งทักขึ้น
    “สวัสดีครับ คุณหนูLacus Clyne”
    ดิชั้นหันไปมองเจ้าของเสียง ซึ่งเป็นชายแปลกหน้า ผิวขาว ผมสั้นสีดำสนิท สวมชุดเสื้อเชิ้ตขาวและสูทสีคาราเมล ที่แขนมีสายหนังรัดสัญญลักษณ์ของนักหนังสือพิมพ์ บนดวงหน้าเกลี้ยงเกลานั้นสวมแว่นสายตาข้างเดียว
    ถึงไม่รู้จัก แต่ดิชั้นก็ทักตอบตามมารยาท ขณะที่Stellarหลบไปอยู่ข้างหลังตามเคย
    “สวัสดีค่ะ คุณคือ....”
    เขายื่นนามบัตรมาด้านหน้าพร้อมแนะนำตัว
    “นักข่าวจากหนังสือพิมพ์London Society ผมชื่อArnold Neumanครับ”

    London Society…ดิชั้นเคยได้ยินมาบ้าง ในฐานะของหนังสือพิมพ์เผยแพ่ข่าวสังคมชั้นสูงของอังกฤษ
    “ค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ มีอะไรให้ดิชั้นช่วยเหลือรึเปล่าคะเนี่ย?”
    “โอ! แน่นอนครับ ถ้าจะกรุณาให้สัมภาษณ์ผมเล็กน้อยเกี่ยวกับประเด็นนี้”
    เขาพูดอย่างกระตือรือร้นพลางส่งหนังสือพิมพ์หัวดังกล่าวให้ดิชั้น

    ดิชั้นได้อ่านพาดหัวข่าวที่เขาแนะ แล้วก็ต้องขมวดคิ้ว
    ดูจะเป็นเรื่องLove Love AffairของLady Allsterกับบรรดาชายหนุ่มในวงสังคม

    แต่ที่สะดุดตาคือคำว่า...”บุตรชายท่านฑูต”
    แน่แท้เชียวหล่ะ ดิชั้นพอเข้าใจว่าหมายถึงใคร....

    “ผมได้ยินมาว่า Lady Allsterมาซื้อของที่ห้างHarrodsแห่งนี้ คุณได้พบกับเธอบ้างหรือไม่ครับ?”พ่อนักข่าวเริ่มถาม ดิชั้นจึงตอบเลี่ยงๆไป
    “ดิชั้นพบปะพูดคุยกับLady Allsterเพียงเล็กน้อยเท่านั้นหล่ะค่ะ” ดิชั้นยิ้มพลางกล่าวต่อไป “ด้วยความสัตย์จริง นี่เป็นครั้งแรกที่ดิชั้นได้ยินข่าวเช่นนี้ของเธอ”
    “เช่นนั้นหรือครับ?” Mr.Neumanมีสีหน้าผิดหวังเล็กน้อย “ผมเข้าใจครับ ก็คุณพ่อของคุณเป็นนักวิชาการชื่อดังนี่ครับ คงไม่ค่อยได้สนใจจะรับหนังสือพิมพ์ข่าวซุบซิบเช่นนี้ไปอ่านเท่าไหร่”
    ดิชั้นฟังแล้วทั้งสงสารระคนขัน “ต้องขอประทานโทษด้วยนะคะ”

    ในที่สุดเขาก็เปลี่ยนเรื่องถาม “จะช่วยแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวได้หรือไม่ครับ?”
    ดิชั้นก้มลงอ่านพาดหัวข่าวอย่างรวดเร็ว แล้วเงยหน้าขึ้นตอบ
    “ดิชั้นไม่แสดงความคิดเห็นดีกว่านะคะ เพราะเป็นเรื่องส่วนตัว เอาเป็นว่า ดิชั้นเห็นว่าความรักเป็นสิ่งดีค่ะ”
    “เท่านั้นเองหรือครับ? แหม...ทั้งที่ใครๆก็รู้กันทั่วบ้านทั่วเมืองว่าท่านบารอนAllster ซึ่งเป็นบิดาของหล่อน หมายปองในตัวคุณอยู่”

    ดิชั้นฟังอย่างอดทน พยายามข่มความไม่พอใจในคำพูดดังกล่าว
    “ดิชั้นและRosettaมีความเกี่ยวข้องกับท่านบารอนAllsterในฐานะคู่ค้าทางธุรกิจเท่านั้นค่ะ โดยส่วนตัวนั้น ดิชั้นมิได้ให้ความพิเศษใดๆกับครอบครัวของท่านค่ะ”
    “อา เช่นนั้นหรือครับ!” ดูเขาแปลกใจกับคำตอบนั้น แต่แล้วก็ถูกเบนความสนใจไปที่เสียงเรียกจากสหายร่วมงาน
    “Arnold!! สายรายงานว่าเป้าหมายมุ่งกลับไปที่คฤหาสน์!!”
    “ตอนนี้อยู่บนรถม้าที่มุ่งหน้าไปถนนDawning!!”
    “เออ เข้าใจแล้ว! งั้นเราตามไปกัน” เขาหันกลับมาบอกดิชั้น “ขอบคุณสำหรับความร่วมมือและขอลาก่อนนะครับคุณหนู ถ้าอย่างไร หนังสือพิมพ์ฉบับนั้นผมขอมอบให้เป็นสิ่งตอบแทนแล้วกันนะครับ”

    พูดจบเขาก็รีบวิ่งกลับไปสมทบกับพวกสหายของเขา Stellarค่อยๆขยับตัวออกจากหลังของดิชั้นอย่างงงๆ อันที่จริง ก็งงพอๆกับดิชั้นแหล่ะ

    “คุณหนูคะ เย็นป่านนี้แล้ว ครูKiraจะยังรออยู่รึเปล่าคะ?”
    แกถามดิชั้นซื่อๆ
    “คงไม่มั้งจ๊ะ...” ดิชั้นคิดว่าเสียงของตัวเองนั้นเบาหวิว “วันนี้ครูKiraคงไม่มาอยู่แล้ว...”
    “เอ๋?”

    ดิชั้นพยายามทำจิตใจของตนให้สงบ และนิ่งที่สุด ทั้งที่ลึกๆนั้นรู้สึกอึดอัดชอบกล
    #######################################

    “Athrun Zalaครับ Kiraอยู่รึเปล่า?”
    ผมกรอกเสียงลงในโทรศัพท์ และได้รับคำตอบจากแม่บ้านว่า เจ้าตัวไปสอน ยังไม่กลับมา

    อันที่จริง ผมร้อนใจไม่น้อยกับข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์สังคมที่ลงเมื่อวาน เพราะรู้นิสัยพวกนักข่าวดี
    มีหวังป่านนี้ โดนตามล่าตัวไม่เลิกแน่
    Kiraเอ๊ย.... เพิ่งจะกลับมาลอนดอนได้ไม่เท่าไหร่ ก็เป็นข่าวดังซะแล้ว

    “ไม่เป็นไรครับ ฝากบอกเขาด้วยแล้วกันว่าผมโทรมา”
    ผมวางหูโทรศัพท์ลงกับแป้นเสียงดังกริ๊ง แล้วจึงเอนหลังพิงเก้าอี้ทำงาน
    ตอนนี้ทาง “ท่านสารวัตรJules”เองก็ตกเป็นเป้าสนใจของสื่อมวลชนแขนงนี้เช่นกัน
    เจ้าตัวหัวเสียน่าดู เพราะชีวิตปกติวุ่นวายไปหมด ไหนจะเรื่องคดียังไม่คลี่คลาย ไหนจะถูกแม่ด่าเพราะมามีข่าวค(ร)าวเรื่องนี้ ไหนจะระหองระแหงกับคู่หมั้น ไหนจะถูกนักข่าวโทรมาซ่อกแซ่กไม่เว้นซักชั่วโมงอีก

    “เลิกโทรมาซะที!!!ที่นี่มันสถานที่ราชการนะ ถ้าอยากจะสัมภาษณ์นักหล่ะก็ ชั้นจะให้สัมภาษณ์เรื่องงานเท่านั้น รู้ไว้ด้วย!!!”
    เสียงเอ็ดตะโรดังมาจากห้องทำงานของใคร ทำไมผมจะไม่รู้

    นึกซะว่าเป็นคราวเคราะห์ก็แล้วกันนะ สารวัตรYzak Jules

    ผมมองกองเอกสารคดีใหญ่ที่รับผิดชอบอยู่ตอนนี้ คดีขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติ ซึ่งได้เบาะแสมาว่ามีสาขาใหญ่อยู่ที่Londonนี่เอง

    แต่สำหรับพวกตัวเอ้ระดับหัวหน้านั้น....อยู่ที่อีกฝั่งของทะเลทางทิศตะวันออก
    ที่เบอร์ลิน....
    หากคิดจะขุดรากถอนโคนพวกมัน ก็ต้องประสานกับตำรวจทางนั้น แต่ในสถานการณ์ที่สภาพการเมืองภายในของพวกเขาก็ยังไม่มั่นคงเช่นนี้ อาจดำเนินการใดๆร่วมกันได้ยากยิ่ง

    ตอนนี้ทำอะไรไม่ได้ ก็คงต้องเป็นฝ่ายตั้งรับไปก่อน

    ผมรู้สึกหงุดหงิดอยู่ลึกๆกับคำแนะนำดังกล่าวของผบ.ตร ผู้การGilbert Durandal แต่จะให้ทำไงได้ มันไม่มีทางเลือกอื่นมากกว่านั้นแล้วนี่
    ผมถอนใจเบาๆขณะล้วงกระเป๋าเสื้อเพื่อหยิบไลท์เตอร์ แต่แล้วก็ไปสะดุดกับบางอย่าง

    หินปะการังสีแดงรูปหยดน้ำร้อยเชือกหนัง…..

    ผมอมยิ้มเมื่อคิดถึงผู้เป็นเจ้าของมัน เจ้าเด็กผมทองขี้โมโหคนนั้น
    ตอนนี้ไปเล่นซนอยู่ที่ไหนรึเปล่านะ?
    ##################################

    “Stellarจ๊ะ ชั้นว่าเราเรียกรถม้ากลับกันเองเลยดีกว่า”
    ดิชั้นตัดสินใจบอก เมื่อเห็นว่าฟ้าเริ่มจะมืดลงๆ และเจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบสีน้ำเงินเริ่มมาจุดตะเกียงริมถนนแล้ว เนื่องจากไม่เห็นว่าคุณพ่อจะมาซะที และถ้าเรายิ่งช้ามากไปกว่านี้ จะยิ่งค่ำมืด และสำหรับผู้หญิง ก็ยิ่งเป็นการอันตราย

    Stellarพยักหน้ารับ ดิชั้นจูงแกอย่างระมัดระวังเมื่อต้องข้ามถนน แต่ในตอนนั้น ลมแรงๆก็พัดมาวูบใหญ่จนหมวกใบเล็กที่แม่หนูสวมอยู่หลุดปลิวไป
    มือเล็กหลุดจากมือของดิชั้น
    “Stellar!”

    แม่หนูวิ่งตามหมวกไปถึงกลางถนน แล้วดิชั้นก็ต้องกรีดร้องเสียงเมื่อเงาทะมึนของรถม้าคันโตพุ่งตรงมา
    “Stellar!!!!!”
    ดิชั้นวิ่งสุดฝีเท้าเพื่อคว้าตัวแกไว้ ขณะที่เจ้าม้าเทียมสองตัวร้องและเอาสองเท้าหน้าตะกุยอากาศเมื่อสารถีคนขับกระชากสายบังเหียนเพื่อบังคับให้มันหยุด

    เมื่อลืมตาขึ้น คุณสารถีซึ่งเป็นลุงแก่ๆก็กระวีกระวาดเข้ามา
    “เป็นอะไรรึเปล่าครับ??คุณผู้หญิง!!!”
    ดิชั้นเงยหน้าขึ้น ร่างเล็กในอ้อมแขนยังคงสั่นอย่างหวาดกลัว
    “ไม่ค่ะ ไม่เป็นไร.... ไม่เป็นไรนะจ๊ะStellar?”
    ตอนนั้นเอง ประตูรถม้าก็เปิดออก พร้อมร่างปราดเปรียวที่กระโดดลงมา
    เสียงที่เรียกนั้น เต็มไปด้วยความตระหนกระคนห่วงใย
    “Stellar!!Lacus!!!??”

    ดิชั้นเงยหน้าขึ้น เพื่อพบกับดวงตาสีแอมมิทิสต์เรียวสวยคู่นั้น เรือนผมสีน้ำตาลเข้มใต้หมวดใบใหญ่นั้นตอนนี้เมื่อแสงยามเย็นสาดส่องมากลับสะท้อนแสงสีดำ
    “Kira?”ดิชั้นครางชื่อเขาออกมาอย่างไม่รู้ตัว
    “ไม่เป็นไรนะครับ!!! บาดเจ็บตรงไหนรึเปล่า??” เขารีบวิ่งมาหา ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความห่วงใยนั้นซีดขาว เขาเอื้อมมือไปอุ้มStellarซึ่งกำลังตัวสั่นขึ้นอย่างปลอบโยน แม่หนูน้อยผมทองรัดแขนเล็กๆรอบคอคุณครูแน่น
    “ขอโทษนะ ครูขอโทษ”เขาลูบหัวลูบหลังปลอบเด็กน้อย ดิชั้นได้แต่นิ่งมองภาพนั้นด้วยหัวใจที่เต้นแรง จนได้ยินเสียงเรียก
    “Lacus ลุกไหวมั๊ยครับ?”
    “เอ่อ...ค่ะ...ไหวค่ะ” พอดิชั้นยันตัวจะลุกขึ้น เขาก็ยื่นมือข้างที่ว่างมาให้จับ

    มือที่ใหญ่กว่าจับมือของดิชั้นไว้ ในตอนนั้นเองที่....รู้สึกแปลก.....กับสัมผัสจากมือของกันและกัน
    เราสองคนมองตากันนิ่งนาน ราวกับว่า.... นี่เป็นครั้งแรกที่เราได้เจอะเจอ

    Kiraดึงดิชั้นให้ลุกขึ้นยืน เขายังคงมองหน้าของดิชั้น ริมฝีปากขยับเหมือนอยากพูดบางอย่าง
    “อะ...เอ้อ.... คุณ....”
    “คะ?”
    ตัวชั้นเอง...นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่รู้จักกับเขา ครั้งแรกที่ไม่รู้ว่าเราควรเอ่ยสิ่งใดต่อกัน

    “อ๊ะ!!แย่หล่ะ!!” Kiraเหลือบตาไปเห็นบางอย่างเข้า แล้วอยู่ๆเขาก็ฉุดดิชั้นให้วิ่งตามมาทันที “มาเร็วครับ!!!”
    “คะ??คะ??”
    เขาอุ้มStellarขึ้นไปนั่งบนรถม้า ก่อนจะดึงดิชั้นให้ขึ้นตามมา ตรงนี้ทุลักทุเลไม่น้อย เพราะชายกระโปรงที่ยาวของตัวดิชั้นเอง

    “เร็วครับ!”เขาเร่ง ดิชั้นแอบนิ่วหน้า นึกค่อนอยู่ในใจว่า ก็ลองมาใส่กระโปรงยาวลากพื้นแบบนี้บ้างสิคะ!

    เขายกไม้เท้ากระทุ้งเพดานรถเบาๆเป็นสัญญาณบอกสารถี ก่อนที่รถจะเคลื่อนตัวออกไป เขาแง้มม่านออกดูลาดเลาภายนอกแล้วปิดมันลงอีกครั้ง ดิชั้นกับStellarนั่งจับมือกันอย่างงงๆกับเรื่องที่เกิดขึ้น เพราะตอนนี้คุณครูคนโปรดของแม่หนูทำท่าลับๆล่อๆชอบกลอยู่
    “ให้ตายสิ! ตื๊อกันไม่เลิกเลย!!”
    “อะไรกันคะเนี่ย? ดูคุณล่กๆชอบกล?” ดิชั้นอดเอ่ยปากถามด้วยความสงสัยไม่ได้ เขากลับหัวเราะกลบเกลื่อน
    “ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอกครับ เอ้อ Stellar ไม่เจ็บตรงไหนนะจ๊ะ?”

    เขาต้องปิดบังอะไรอยู่แน่ๆ พอถูกดิชั้นจ้องเป๋งเอามากๆเข้า เขาก็เบือนหน้าแดงซ่านหนีเอาเสียดื้อๆ ดิชั้นพิจารณาเสื้อโค้ทกับหมวกของเขาแล้ว แลดูมันคุ้นๆตาอยู่

    นั่นมัน....
    “Kiraคะ เสื้อโค้ทกับหมวกนั่น....”
    เขารีบถอดหมวกใบใหญ่ออกอย่างอายๆ “เอ้อ ครับ....”เขารับคำเสียงอ่อยๆ “คือ ดร.Clyneให้ผมยืมน่ะครับ”
    “คุณพ่อ? ทำไมคะ??”
    “เรื่องมันยาวน่ะครับ.... เฮ้อ.... ผมไม่รู้เริ่มต้นยังไง”เขาถอนใจเฮือกใหญ่อย่างกลัดกลุ้ม และทันทีที่เห็นหนังสือพิมพ์ในมือของดิชั้นเขาก็รีบฉวยมันไป

    ปฏิกิริยาของเขาเมื่อสักครู่ ทำให้ดิชั้นเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด
    “อืม...ดิชั้นเข้าใจค่ะ ข่าวที่เกิดขึ้นตอนนี้ คงทำให้คุณลำบากไม่น้อยเลยสินะคะ”
    เขาทำสีหน้าเหมือนพูดอะไรไม่ออก นอกจากผงกศีรษะรับ
    “วุ่นมากเลยหล่ะครับ พวกนักข่าวตามหาตัวผมโดยตลอดเลย ตามไปถึงมหาวิทยาลัย จะทำอะไรก็ไม่สะดวก รู้สึกยังกับถูกสะกดรอยตามยังไงยังงั้นแน่ะ”

    “มิน่า....”
    “ครับ?”
    “เมื่อบ่าย ดิชั้นพบLady Allsterค่ะ”ดิชั้นอธิบายเสียงเรียบ “ดูเธอเองก็หงุดหงิดไม่น้อย ก็คงเพราะถูกตามล่าตัวจากพวกนักข่าวเหมือนกับทางคุณเช่นกัน”
    Kira Yamatoมีสีหน้าแปลกใจเมื่อดิชั้นเล่าให้ฟัง
    “Lady Allsterด้วยหรือครับ??”คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน “มาติดตามสุภาพสตรีแบบนี้ มันไม่ถูกกาละเทศะเอาเสียเลย พวกนักข่าวนี่...”
    ดิชั้นก็เข้าใจหรอกว่า....เขาเองก็คงเป็นหนึ่งในหลายๆท่านที่หมายปองในตัวกุหลาบลอนดอนดอกนั้น

    “น่าสงสารเธอนะคะ น่าจะมีใครซักคนอยู่ข้างๆเธอ....”
    “? เรื่องนั้น....ก็ต้องมีอยู่แล้วนี่ครับ”
    ยังจะมาทำหน้าไม่รู้เรื่องรู้ราวใดๆอีก ช่างไม่เข้าใจจิตใจของผู้หญิงเอาเสียเลย ดิชั้นนึกค่อนในใจอย่างหมั่นไส้
    “ก็เวลานี้ เป็นช่วงเวลาที่ดีนี่คะ ที่คุณจะเสนอตัวเข้าไปดูแลเธอ”
    “เอ๋??”

    ดิชั้นชายตาไปทางอื่น ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องรู้สึกไม่พอใจ
    “ดิชั้นได้ยินมาน่ะค่ะ ว่าคุณมีความสนใจในตัวหล่อนอยู่ น่าเสียดายนะคะ ที่ก่อนหน้านี้หล่อนมีคนดูแลอยู่แล้ว คุณจึงไม่มีโอกาส”
    เขาขมวดคิ้ว ใบหน้านั้นยิ่งแสดงความฉงนใจ
    “หมายความว่ายังไงกันครับ?”
    “ก็ดิชั้นหมายถึง ถ้ามีใครอยู่ข้างๆ คอยปลอบใจ หรือปกป้องเธอในช่วงเวลาที่ลำบากเช่นนี้ เธอก็คงไม่แสดงท่าทีหงุดหงิดใจเช่นวันนี้หรอกค่ะ....!”

    ดิชั้นพยายามควบคุมไม่ให้น้ำเสียงของตนแสดงความฉุนเฉียวออกไป หากแต่.....
    “เอ...ผมว่า คนที่อารมณ์เสียอยู่ตอนนี้ คงเป็นคุณมากกว่ากระมังครับ?” เขาอมยิ้มบางๆ ในดวงตานั้นแฝงแววขี้เล่น แต่ดิชั้นไม่สนุกด้วย

    เพราะเหมือนกำลังถูกยั่วโมโห ทำไมนะ??วันนี้ ถึงมีแต่คนทำให้ดิชั้นต้องโกรธทั้งวันเลย

    “คุณงอนที่ดร.Clyneไม่มารับด้วยตัวเองเหรอครับ? หรือว่า งอนที่รถมารับช้าจนค่ำมืด?” เขาทอดน้ำเสียงอ่อนโยน”ต้องขอโทษจริงๆนะครับ ดร.อยากจะช่วยผม แต่ก็ไม่อยากผิดนัดกับคุณ จึงให้ผมมาแทน เรื่องมันก็เป็นแบบนี้หล่ะครับ”
    “ดิชั้นเปล่างอนค่ะ!” ชักจะรู้สึกปุดๆขึ้นมาแล้วนะ
    “งอนสิครับ ทำไมผมจะดูคุณไม่ออก”
    “คุณมีสิทธิ์อะไรมาตัดสินคะ?”
    “อ้าว! Stellarยังดูออกเลย จริงมั๊ย?”เขาโยนคำถามไปให้แม่หนูผมทอง แกทำหน้างงๆ แต่ก็พยักหน้ารับไปตามเรื่อง ดิชั้นหงุดหงิดจึงสะบัดหน้าหนี ถึงจะรู้ว่าไม่งามก็เถอะ

    เขาหัวเราะหึๆ แล้วบ่นเปรยตามลม
    “ผมไม่ยักรู้ว่า ลูกสาวดร.จะมีมุมที่โมโหร้าย”
    “คุณว่าดิชั้นหรือคะ??” ดิชั้นหันขวับไปมองเขาตาขวาง แต่เจ้าตัวกลับอมยิ้มขัน
    “ไม่ได้ว่านะครับ แต่พูดไปตามที่เห็นเท่านั้นเอง”
    ดิชั้นตัดสินใจว่าจะไม่พูดต่อความยาวสาวความยืดใดๆกับเขาอีก น่าโมโหจริง!คนอะไรก็ไม่รู้!! มีสิทธิอะไรมาว่าคนอื่นเค้าว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้

    ดิชั้นเชิดหน้ามองไปทางอื่น ยังได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ
    “คุณมักทำให้ผมแปลกใจเสมอเลย” เขาพูดยิ้มๆ
    “หมายความว่ายังไงคะ?” ดิชั้นถาม อารมณ์ยังขุ่นๆอยู่เหมือนกัน แต่ดวงตาสีแอมมิทิสต์คู่นั้นกลับทำให้ใจเย็นลงอย่างไม่น่าเชื่อ
    “ไม่รู้สิ ผม....ดีใจเหมือนกันนะ....เพราะอย่างน้อย....ในขณะที่ใครอื่นๆ ล้วนแต่เห็นคุณในภาพลักษณ์ของความสงบเยือกเย็นจนคุ้นตา แต่ผม...”

    คำกล่าวของเขาต่อมานั้น ทำให้ความขุ่นเคืองในใจมลายสิ้น
    “ผมกลับได้มองดูคุณในแง่มุมที่ต่างออกไป มันก็น่าดีใจน่ะครับ”
    อาจารย์หนุ่มเสมองไปทางอื่นแก้เก้อ ดิชั้นเองก็ไม่เข้าใจบรรยากาศแบบนี้ ว่าเหตุใด เมื่อเขาพูดเช่นนั้น จึงรู้สึกประหม่าไปด้วย

    ไม่ใช่คำหวานเช่นคำพูดเกี้ยวพาของชายหนุ่มอื่นๆที่เคยได้ยิน แต่กลับ....รู้สึกประทับใจ

    “ดิชั้น.....เอ่อ.....ดิชั้นทราบค่ะว่า การแสดงกิริยาเช่นเมื่อครู่มันไม่น่าดู”
    “มะ...ไม่ใช่อย่างนั้นครับ เอ้อ ผมไม่คิดเช่นนั้น”
    เมื่อดิชั้นช้อนตามอง เขาก็รีบหันใบหน้าคมเข้มที่แดงจัดไปทางอื่น

    พอจิตใจเริ่มปลอดโปร่ง ดิชั้นก็อดหลุดหัวเราะกิ๊กออกมาไม่ได้
    “อารมณ์ดีแล้วนะครับ?”
    “ค่า คุณครู”ดิชั้นรับคำล้อเลียน บรรยากาศระหว่างเราเริ่มกระจ่างสดใสขึ้น

    รถม้าวิ่งไปด้วยความเร็วที่สม่ำเสมอ ไม่เร็วมากเกินไปนัก Stellarผล็อยหลับไปกับตักของดิชั้นด้วยความอ่อนเพลีย ขณะที่ดิชั้นและKiraสนทนากันอย่างไม่รู้เบื่อ เมื่อได้ฟังเรื่องที่เกิดขึ้นกับเขาในช่วงเช้า ดิชั้นก็ต้องหัวเราะออกมา
    “ลำบากแย่เลยนะคะ”
    “ผมเลยเข้าใจแล้วว่า ทำไมMr.Argyleถึงไม่มาเข้าชั้นเรียน จริงๆแล้วเพราะขี้เกียจออกไปรบกับพวกนักข่าวสังคมต่างหาก” เขาพูดเสียงเหนื่อยๆ
    “แหม ดูคุณเป็นห่วงลูกศิษย์จังเลยนะคะ”ดิชั้นเอียงคอถามปนหัวเราะคิก”เป็นห่วงมากกว่าLady Allsterอีกหรือคะ?”
    เขายิ้มนิดๆแล้วตอบ “ก็ห่วงเหมือนกันครับ เพราะเป็นคนรู้จักกับครอบครัว แต่สำหรับผม เรารู้จักกันผิวเผินเท่านั้น เพราะงั้นถึงอย่างไร ก็ห่วงน้อยกว่าห่วงลูกศิษย์หล่ะครับ”
    เขาหัวเราะหึๆ แล้วถามกลับ “คุณรู้จักกับLady Allsterเธอหรือครับ?”

    รู้จักสิคะ.....ดิชั้นน่ะรู้จักครอบครัวนั้นดีเทียวเชียวหล่ะ อยากจะตอบเช่นนี้เหมือนกัน

    “อ๋อ...ค่ะ เหตุเพราะทางท่านบารอนAllsterเป็นเจ้าของที่ดินที่Rosetta ดิชั้นจึงพบเธอบ้าง...”
    เขานิ่งไปครู่หนึ่ง จึงเอ่ย
    “...มีอะไรที่....ผมพอจะช่วยได้หรือไม่ครับ?”
    “คะ?”
    “เอ้อ....ผม พอได้ยินมาจากพวกคนในคณะ เกี่ยวกับเรื่องภายในของRosetta” ดูเขาลังเลที่จะถาม “ไม่ทราบว่าจะเป็นการเสียมารยาทรึเปล่าที่ถามขึ้นเช่นนี้....แต่....”
    “ขอบพระคุณในความเป็นห่วงค่ะ Kira” ดิชั้นรู้สึกซาบซึ้งกับน้ำใจของเขาจริงๆ “ทั้งที่ไม่ใช่เรื่องที่คุณต้องกังวลแท้ๆ”
    “มิได้ครับ ไม่ใช่ว่าผมไม่เกี่ยวข้อง”เขาตอบเสียงจริงจัง “แต่ผมเองก็เป็นสหายของคุณคนหนึ่งมิใช่หรือครับ?”

    ดิชั้นฟังแล้วอดที่จะยิ้มไม่ได้ แต่ก็ตอบไปด้วยความเกรงใจ
    “อย่าเดือดร้อนเลยค่ะ เพราะครอบครัวของคุณก็รู้จักกับทางนั้น จะทำให้เกิดการบาดหมางกันเปล่าๆ อีกอย่าง มันเป็นเรื่องที่ทางเราต้องแก้ปัญหากันเอง”
    ดูเขาอยากจะกล่าวสิ่งใดต่อ แต่ขณะที่รถม้าวิ่งเข้าสู่ถนนโรยกรวด เส้นทางที่จะกลับเข้าสู่บ้านพักของดิชั้นซึ่งค่อนข้างจะขรุขระ ล้อรถม้าคงไปสะดุดเข้ากับหินข้างทางก้อนใหญ่เข้า!

    ครึ่กๆๆๆ!!!พลั่ก!!!I
    “ว๊าย!”ชั้นเผลอร้องอุทานเสียงหลงขณะที่กอดร่างน้อยซึ่งสะดุ้งตื่นแน่น
    “ระวังครับ!!!”

    มือแข็งแรงทั้งสองยึดบ่าของดิชั้นเอาไว้เมื่อแรงกระแทกทำให้เสียหลักจากที่นั่ง เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง ก็พบว่าดวงตาสีม่วงครามคู่สวยนั่นอยู่ใกล้เสียเหลือเกิน

    ดวงตาที่เราจ้องมองซึ่งกันและกันนิ่งนานนั้น ทำให้ลืมตน ลืมเวลาที่หมุนไปชั่วขณะ ทุกอย่างดูจะเชื่องช้าในความรู้สึก สิ่งที่ได้ยินนั้นมีเพียงเสียงเต้นของหัวใจ

    “....S….Stellarอึดอัดค่ะครู.....”
    เสียงพูดแผ่วเบาของแม่หนูที่ติดอยู่ตรงกลางทำให้ทั้งเจ้าของดวงตาสีแอมมิทิสต์เมื่อครู่และทั้งดิชั้นเองสะดุ้งโหยงสุดตัว ใบหน้าคมของเขาแดงซ่านไปถึงลำคอขณะรีบพยุงร่างเล็กจ้อยให้ลุกขึ้นนั่งดีๆ
    “ขะ.....ครูขอโทษๆๆๆๆ”

    ดิชั้นขยับตัวลุกขึ้นนั่งบนที่ พยายามจะข่มใจให้เป็นปกติ แต่กลับทำได้เพียงเบือนหน้าไปทางหน้าต่าง ได้ยินเสียงคุณลุงสารถีตะโกนลงมาถามด้วยความตกใจ
    “ขอประทานโทษครับ ขอโทษจริงๆ!!มันมืดแล้วผมเลยมองไม่เห็นหินก้อนโตที่ขวางทางอยู่เมื่อซักครู่ เอ้อ!!ทั้งสามคนไม่เป็นไรนะครับ??”

    และเสียงตอบต่อมาที่Kiraตอบกลับไป สั่นในตอนแรก
    “สะ....สบายดีครับ! ขอบคุณ!!!”

    เราสองคนไม่ได้กล่าวคำใดต่อกันอีกเลยนอกจากคำถามแสดงความห่วงใยว่า
    “คุณไม่เป็นไรนะครับ? เมื่อครู่....”
    “....ค่ะ ไม่เป็นไร....”

    แล้วทุกอย่างก็เงียบไปหมด แม้แต่Stellarเองก็ยังทำหน้าสงสัย แต่แกก็ไม่ได้ถามอะไร จนรถม้าจอดนิ่งสนิทที่หน้าบ้านของดิชั้น และคุณลุงสารถีกุลีกุจอลงมาเปิดประตูให้........
    ######################################

    เมื่อกี๊.....มันอะไรกัน???
    ผมได้แต่ก้มหน้ามองพื้นรถม้า เมื่อนึกถึงดวงตาสีฟ้าครามราวท้องทะเลอีเจียนส์เมื่อสักครู่ ดวงตาคู่สวยที่ทำให้ผมนึกถึงเสียงใจเต้นแรงเมื่อครั้งที่เราได้พบกันครั้งแรกที่สวนของโรงแรม จนถึงดวงตาคู่เดิมนั้นที่ฉายความฉงนใจคราวเราพบกันในห้องทำงานของดร.Clyne

    ความชิดใกล้ในตอนนั้นที่ผมนึกว่าตัวเองลืมไปแล้ว.....

    ผมไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยสิ่งใดกับหล่อนอีก รู้สึกว่าเราต่างขัดเขินและ....ผมจะอธิบายอย่างไรต่อไปดีหล่ะ.....???เอ้อ....เอาเป็นว่า มันแปลกๆแปร่งๆถ้าจะสนทนากันต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนในที่สุดรถม้าก็จอดสนิท ณ ที่หมายของเรา
    บ้านพักของครอบครัวClyne สถานที่ๆผมเพิ่งเคยมาเยือนเป็นครั้งแรก แต่น่าแปลกที่มันช่างเหมือนกับที่เคยจินตนาการภาพไว้เหลือเกิน บ้านอิฐสีขาวสูงชั้นหลังเล็กๆที่โอบล้อมด้วยสวนสวยทั้งพุ่มกุหลาบขาวเด่น ฟอล์คโกลฟและบลูเบล เถาไม้เลื้อยที่ผมไม่รู้จักชื่อแต่ส่งกลิ่นหอมรวยรินจากรั้วไม้สีขาว เจ้าของบ้านคงชอบทำสวนน่าดู ผมนึกชมอยู่ในใจ

    ประตูรถม้าเปิดออก ผมก้าวลงไปก่อนแล้วหันมารับร่างเล็กผอมของStellarขึ้นอุ้มลงจากรถ แม่หนูดูจะยังไม่หายงัวเงียดี ผมจับมือแกข้างหนึ่งแล้วส่งมือให้หญิงสาวร่างบางจับไว้ เราไม่ได้มองหน้ากัน แต่ผมได้ยินเสียงพึมพำกล่าวแผ่วเบา
    “ขอบคุณค่ะ...”
    “ด้วยความยินดีครับ” ผมกล่าวตอบสั้นๆ ยังไม่อาจกล้าสบตาหล่อน ในตอนนั้นเองที่ได้ยินเสียงเห่าฮ่งๆของลูกหมาตัวเล็กจากรั้วบ้าน
    “กลับมาแล้วจ้ะ Halo” หล่อนทักเจ้าขนฟู มันกระดิกหางเล็กกลมเป็นพู่ไม่หยุด
    “คุณหนู กลับมาแล้วเหรอคะ??อ้าว Stellarก็มาด้วย”หญิงชราผู้ดูแลของLacusวิ่งมาเปิดประตูบ้านให้ คุณ Aliceที่Lacusเคยเล่าถึงเป็นสุภาพสตรีวัยเกือบเจ็ดสิบปี ร่างเล็กผอมแต่ยังแข็งแรงนัก หน้าเรียวยาวมีริ้วรอยตามวัยแฝงความใจดีอยู่ใต้แว่นสายตาร้อยสร้อยมุก หากแล้วอีกท่านที่ตามมานั้นก็คือผู้ที่ผมรู้จักเป็นอย่างดี ผศ.ดร.Seigel Clyneนั้นเอง

    “เป็นห่วงแทบแย่ ฟ้าก็มืดแล้วด้วย ทำไมถึงช้านักหละ อาจารย์Yamato?”
    ท่านถามผม ด้วยน้ำเสียงห่วงใยอย่างจริงใจ มิใช่ด้วยความสงสัยเพียงนิด
    “ผมขอประทานโทษจริงๆครับดร.”ผมถอดหมวกแล้วค้อมศีรษะอย่างรวดเร็ว ”พวกนักข่าวตื๊อไม่เลิกเสียที ผมเลยออกนอกเส้นทางที่จะไปรับคุณหนูเสียตั้งนาน”
    ดร.พยักหน้ารับแล้วหันไปทางบุตรี “แต่ปลอดภัยกันก็ดีแล้วหล่ะ” แล้วท่านจึงนั่งลงทักทายแม่หนูตัวน้อยอย่างอ่อนโยน ดูเหมือนStellarจะคุ้นเคยกับครอบครัวนี้อยู่ไม่น้อย เพราะแกไม่มีท่าทางตื่นกลัวเลย ผมคิดในใจขณะหันไปจ่ายเงินให้คนขับรถม้าและกล่าวขอบอกขอบใจแกยกใหญ่

    Lacusแนะนำให้ผมรู้จักกับคุณAlice ในฐานะ”ครูพิเศษ”ของStellar ผู้สูงวัยกว่าเล่าให้ผมฟังด้วยรอยยิ้มว่า เคยได้ฟังเรื่องของผมมามาก จากทั้งคุณหนูของเธอและจากทั้งดร.Clyneผู้เป็นนายใหญ่
    “ไม่คิดว่าจะเป็นชายหนุ่มรูปงามด้วย ถ้าStellarได้คนที่จิตใจดีงามเช่นคุณครูมาสอน ดิชั้นก็ถือว่าเป็นบุญของเด็กหล่ะค่ะ”
    “หามิได้ครับ คุณAlice” ผมปฏิเสธด้วยความรู้สึกขัดเขิน
    “คุณAliceคะ พาStellarไปอาบน้ำอาบท่าปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเถอะค่ะ ท่าทางแกเพลียมากแล้ว วิ่งไปโน่นไปนี่ทั้งวัน”นายหญิงของบ้านบอกกับหญิงชราผู้ใกล้ชิด
    “ค่ะ คุณหนู ดิชั้นเตรียมน้ำอุ่นแล้วก็อาหารเบาๆไว้เรียบร้อยแล้วนะคะ เอ้า มาจ้ะมากับยาย เหนื่อยมาทั้งวันแล้วสิ แม่คุณ”
    ท้ายประโยคนางกล่าวกับStellarพลางจูงเด็กน้อยที่กำลังเพลียจัดเดินเข้าบ้านไป

    เมื่ออยู่กันสามคนหน้าบ้าน ดร.Clyneก็เริ่มบทสนทนากับผม
    “อาจารย์Yamatoอยู่ทานข้าวเย็นด้วยกันก่อนสิครับ ผมมีเรื่องอยากหารืออยู่”
    “เอ่อ.... มืดค่ำป่านนี้แล้ว จะรบกวน แล้วอีกอย่างผมก็ไม่ได้แจ้งทางบ้านไว้ด้วยน่ะครับ”
    ผมออกตัวปฏิเสธ ดูดร.Clyneจะผิดหวังอยู่ไม่น้อย “งั้นหรือ.....? น่าเสียดาย”

    ผมเหลือบสายตามองไปที่บุตรีของดร. ดวงตาคู่นั้นฉายความแปลกใจ ในที่สุดก็กล่าว
    “ลูกเข้าบ้านก่อนดีมั๊ยคะ? Kiraกับคุณพ่อจะได้คุยกันสะดวกๆ....”
    หากดร.กลับเรียกไว้
    “ไม่ต้องหรอกลูก อยู่ตรงนี้แหล่ะ เพราะถึงยังไง พ่อก็ต้องบอกเรื่องนี้กับหนูด้วยอยู่แล้ว”

    เจ้าของเรือนผมสีPink Blondมองบิดาอย่างนึกสงสัย ดร.ผู้สูงวัยมองเราทั้งสองคนแล้วจึงกล่าว
    “พ่อมีงานที่ต้องเดินทางไกล”
    “ค่ะ....”Lacusตั้งใจฟัง
    ดร.Clyneถอนใจแล้วจึงกล่าว
    “ทางมหาวิทยาลัยจะส่งพ่อไปสำรวจและทำวิจัยทางกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของเยอรมันร่วมกับมหาวิทยาลัยแห่งกรุงเบอร์ลิน”

    “เบอร์ลิน!” ผมได้ยินเสียงตัวเองและสาวน้อยข้างกายดังขึ้นแทบพร้อมกัน ที่ต้องตกใจเพราะจากสถานการณ์ร้อนระอุทางการเมืองของประเทศทางทิศตะวันออกของเราแห่งนั้น เหล่านักวิชาการทราบกันดีว่า มันสืบเนื่องจากการปฏิวัติระบบกษัตริย์ด้วยความรุนแรง ถึงตอนนี้ ประเทศที่เพิ่งได้ใช้ประชาธิปไตย กลับต้องเผชิญหน้ากับแนวโน้มในการเข้าสู่ระบบเผด็จการทหาร

    และไม่ใช่สถานที่ๆ นักวิชาการต่างชาติควรเข้าไปในตอนนี้อย่างยิ่ง

    “ดร.....ทำไมถึงต้องเป็นคุณหล่ะครับ? ผมพูดตรงๆด้วยความสัตย์จริงนะครับ ท่านก็อายุมากแล้ว อาจารย์ท่านอื่นๆที่เชี่ยวชาญสาขาดังกล่าวมีถมไป สถานการณ์ทางนั้นก็วางใจไม่ได้ ทำไมท่านอธิการบดีถึง....”
    “นั่นสิ....ผมก็ว่างั้นแหล่ะ การที่ผมไปพบปะกับท่านอธิการบดีมหาวิทยาลัยเมื่อกลางวัน ก็เพราะอยากจะหารือกับท่านเรื่องนี้ ว่ามีทางอื่นที่จะเลี่ยงได้หรือไม่ แต่คำตอบคือเป็นความประสงค์ของมหาวิทยาลัยทางนั้นที่ต้องการอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญมือหนึ่งด้านกฎหมายรัฐธรรมนูญจากมหาวิทยาลัยเรา ผมก็เลยพูดต่อรองไม่ออก”

    “เช่นนั้นหรือครับ.....”ผมพูดอะไรไม่ถูก เพราะยังรู้สึกตกใจ แต่คงไม่เท่าบุตรสาวของดร.
    ดวงหน้าที่เคยสดใส บัดนี้หลบต่ำ ซ่อนดวงตาแสนเศร้า
    ##########################################
  24. whitewing

    whitewing New Member

    EXP:
    120
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    Phase 10: Home….

    เมื่อกลับถึงบ้าน ก็เป็นเวลาดึกมากแล้ว ท่านพ่อท่านแม่ยังรอจนผมกลับ รู้สึกผิดเหลือเกินที่ทำให้ท่านทั้งสองต้องเป็นห่วงเสียมากมาย ท่านแม่ขะยั้นขะยอให้ผมทานอะไรเบาๆมื้อดึกเสียหน่อย เพราะผมบอกกับท่านไปว่า ไม่ค่อยหิวถึงจะเลยช่วงอาหารค่ำมาแล้ว เพราะงั้นผมเลยทานซุปข้นร้อนๆกับขนมปังปิ้งที่ท่านแม่ให้เด็กไปเตรียมให้เพียงเล็กน้อย จบมื้ออาหารผมก็อาบน้ำเพื่อเตรียมตัวตรวจการบ้านของนักศึกษาและเตรียมการสอนของวันรุ่งขึ้น

    แต่....ผมไม่มีสมาธิ

    ใจมันคอยคิดสงสัยไปถึงสาเหตุที่ดร.Clyneต้องเดินทางไกลจากบ้านครั้งนี้ร่ำไป ผมตะขิดตะขวงใจว่า ทำไมอธิการบดี ศร.ดร.Rau Le Kluezeจึงต้องจำเพาะเลือกดร.Clyne

    ถ้าเพราะเหตุผลทางวิชาการอย่างที่อ้างจริง มันก็แล้วไปหรอก

    แต่....สิ่งที่ค้างคาในใจผมยิ่งกว่าคือ....ดวงหน้าหม่นหมองของเธอคนนั้นเมื่อรู้ว่า พ่อที่รักของตนต้องจากไกล
    ดวงตาสีฟ้าครามงดงามคู่นั้นซ่อนความเศร้าสร้อยไว้ใต้ขนตาหนา หลังการสนทนาที่หน้าบ้านกับดร.เล็กน้อยผมก็ขอตัวกลับ โดยไม่มีโอกาสได้ปลอบโยนหล่อนในฐานะของ....สหายคนหนึ่ง

    เมื่อนึกถึง”สหาย” ผมก็ฉุกคิดขึ้นมาว่า เรื่องนี้Athrunเองก็ควรจะรับรู้เช่นกัน หากผมโทรศัพท์ไปในยามวิกาลเช่นนี้ มันจะถูกต้องหรือไม่นะ?

    “Athrun ชั้นโทรมากวนนายรึเปล่า?”
    “ไม่เลย”เขาตอบกลับ “ชั้นเองก็โทรไปหานายเหมือนกัน เมื่อกลางวันน่ะ แต่นายไปสอน นึกว่าจะหลบพวกนักข่าวอยู่กับบ้านซะอีก”
    “เป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โตแบบนี้ชั้นไม่ชอบเอาซะเลย”
    “ชั้นเข้าใจ”เขาหัวเราะหึๆ “เพราะทำเอาเจ้านายชั้นหงุดหงิดโวยวายไปทั้งวันเหมือนกัน อ้อ!จริงสิ ชั้นเสียใจด้วยนะเรื่องLady Allster....”
    ผมขมวดคิ้วนิ่วหน้านิดๆ ไม่รู้ว่าควรจะหงุดหงิดหรือควรจะหัวเราะขำดีจึงได้แต่พูดตัดรำคาญกลับไป
    “เลิกพูดถึงมันซะทีเถอะน่า”

    พอฟังจบ Athrunก็ทำเสียงในคอเหมือนสงสัย
    “ดูนายไม่ค่อยเสียใจเสียดายเท่าไหร่เลยน๊า? ทั้งที่ทางท่านลุงท่านป้าอุตส่าห์หมายตาหล่อนไว้ให้แท้ๆ”
    ผมหัวเราะตามเบาๆเมื่อได้ยินคำกล่าวนั้น แต่ก็ไม่ใส่ใจ

    เพราะตอนนี้ มีเรื่องอื่นที่ผมคิดว่า”สำคัญ”กว่านั้น
    “มีเรื่องที่ชั้นคิดว่านายควรจะ...รู้นะ.... เรื่องทางครอบครัวClyneน่ะ”

    ปลายสายทำเสียงแปลกใจ ผมจึงเริ่มเล่าเรื่องที่ ดร.Clyneมีความจำเป็นที่จะต้องเดินทางไปทำงานที่เยอรมนีให้เขาฟังตั้งแต่ต้นจนจบ
    “ประสาท!” หมอนั่นสบถ หัวเสียไม่น้อย “อธิการบดีมหาวิทยาลัยนายมีความคิดอะไร??? ที่นั่นเป็นประเทศปิด พวกทหารที่กำลังพยายามมีอำนาจเบ็ดเสร็จน่ะไม่ยอมรับนักวิชาการต่างชาติหรอก มันอันตรายมากนะ เกิดเป็นเรื่องเป็นราวถูกตำรวจทางนั้นสอบสวนขึ้นมา มันจะกลายเป็นปัญหาระดับประเทศไปเลยนะ การฑูตของเรากับทางรัฐบาลทหารของพวกเขามันก็ไม่ใช่ว่าดีนักหรอก”
    “ชั้นรู้ แต่ดูเหมือนดร.ท่านจะหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้วหล่ะ Athrun” ผมเข้าใจเรื่องที่เพื่อนพูดดี
    “ถึงจะไปกันเป็นทีมหลายคน แต่พูดตรงๆ ชั้นห่วงความปลอดภัยของท่าน เพราะไปถึงทางโน้น ทางมหาวิทยาลัยก็ติดต่อไว้แค่ที่พักแล้วก็พวกสิ่งอำนวยความสะดวกทางวิชาการเท่านั้น มหาวิทยาลัยเบอร์ลินน่ะ ขึ้นชื่อว่ามีแต่พวกอาจารย์หัวรุนแรง ถูกตำรวจซิวไปแล้วก็เยอะ ดร.Clyneท่านก็ใช่ย่อย เรื่องสอนให้เด็กวิพากษ์วิจารณ์อำนาจรัฐ….”
    “พอได้ยินกิตติศัพท์มาบ้างเหมือนกันแหล่ะ...ชั้นยังเคยถูกเจ้านายฝากให้ไปเตือนท่านเลย” Athrunอธิบาย ดูเขาเองก็ไม่สบายใจไปด้วย จนในที่สุดก็เสนอ

    “ให้ชั้นทำเรื่องขอความอารักขาพิเศษไปก็พอได้นะ ดร.Clyneต้องเดินทางเมื่อไหร่หล่ะ?”
    “อาทิตย์หน้าน่ะ”
    ผมเริ่มใจชื้นเมื่อได้ยินAthrunออกปาก
    “สก็อตแลนด์ยาร์ดพอมีเครือข่ายอยู่ทางนั้นบ้างเหมือนกัน ชั้นติดต่อให้ส่งชุดคุ้มกันไปรับที่สถานีรถไฟเบอร์ลินเลยแล้วกัน
    เพื่อนๆกันทั้งนั้น คงไม่ยากนักหรอก”

    ผมฟังคำตอบแล้วยิ้มออกมาได้ แน่หล่ะนะ ก็นี่เป็นการทำเพื่อหญิงที่ตนรักนี่ คนอย่างAthrun Zalaจะทำน้อยกว่านี้ได้ยังไง
    “นายเคยพบปะกับดร.Clyneมาบ้างแล้วใช่มั๊ย?”
    “สองสามครั้งนะ” สหายรักตอบผม “ชั้นไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมLacusจึงเติบโตขึ้นมาเป็นหญิงสาวที่ฉลาดเฉลียวเช่นนั้น เพราะดร.ท่านมีแนวคิดกว้างไกล ชัดเจนและมีจุดยืนต่างจากอาจารย์มหาวิทยาลัยคนอื่นๆ ท่านเป็นคนที่น่าชื่นชมมาก”
    “ใช่...”ผมรับคำเบาๆ “ตั้งแต่ชั้นร่วมงานกับท่านมา.... ชั้นรู้ซึ้งถึงข้อนี้ดี”

    ผมอดใจหายไม่ได้ เมื่อตระหนักได้ว่า เรา....คือแวดวงวิชาการอังกฤษ จะต้องขาดกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนแนวคิดทางสังคมไปในชั่วระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าต้องนานเท่าไหร่
    “ท่านเป็นอาจารย์ที่ดีจริงๆนะ.....” ผมพึมพำราวกับกำลังบอกกับตัวเองเช่นนั้น
    ########################################

    ดิชั้นเคาะประตูห้องคุณพ่อเบาๆ แล้วจึงเปิดประตูออกแล้วชะโงกหน้าเข้าไปก่อน
    “คุณพ่อนอนรึยังคะ?”
    คุณพ่อของดิชั้น...ผศ.ดร.Seigel Clyneในชุดเสื้อคลุมชุดนอนผ้าไหมจีนสีน้ำเงินเข้มเงยหน้าขึ้นจากตำราที่กำลังตั้งใจอ่านอยู่ ท่านยิ้มให้ดิชั้น สว่างไสวเหมือนแสงจากตะเกียงในห้อง
    “ยังลูก พ่อยังอ่านหนังสือค้างอยู่ กะว่าพรุ่งนี้จะเอาไปเป็นหัวข้อคุยในชั่วโมงสัมนาของพวกปีสี่น่ะ” ท่านถอดแว่นสายตาลงกับโต๊ะทำงานขณะที่เขยิบให้ดิชั้นนั่งลงบนเก้าอี้บุนวมตัวเดียวกัน

    “นอนไม่หลับหรือเรา? อยากฟังนิทานหรือไง?”
    ท่านเย้าแหย่พลางลูบศีรษะของดิชั้นเบาๆ เหมือนที่ทำทุกครั้ง สัมผัสเหมือนเดิม ตั้งแต่เล็กจนโต
    มือของคุณพ่อ....มือใหญ่กร้านหากอบอุ่นนัก
    “ถ้าเป็นปกรณัมยุโรปเหนือหล่ะก็ ลูกจะตั้งใจฟังค่ะ”
    ดิชั้นตอบทีเล่นทีจริง คุณพ่อหัวเราะเสียงใสแล้วส่งหนังสือเล่มหนึ่งให้ดิชั้น

    “เบื่อปกรณัมกรีกแล้วเหรอลูก? หรือว่าติดใจเรื่องของฟริกก้ากับเทพธอร์เข้าแล้ว?”
    ดิชั้นรับมากอดแนบอก ยิ้มบางๆแล้วบอกท่าน
    “ไม่ใช่ค่ะ ลูกติดใจโลกิต่างหาก ร้ายกาจดีออก”
    ท่านพ่อฟังคำตอบซนๆของดิชั้นแล้วก็หัวเราะอีกครั้ง

    ดิชั้นคิดว่า ท่านรู้ว่าทำไมดิชั้นจึงเข้ามาพูดคุยด้วยคืนนี้
    “ทายสิคะ คุณพ่อ ว่าวันนี้ลูกไปเจอใครเข้า?” ดิชั้นเริ่มบทสนทนาของเราขึ้นก่อน
    “อาจารย์Yamatoไงจ๊ะ?”
    คุณพ่อตอบทันที นัยน์ตาวิบวับ เจ้าเล่ห์เหมือนเทพโลกิไม่ผิด ดิชั้นหยิกท่านเบาๆอย่างหมั่นไส้

    “คุณพ่อคะ วันนี้ลูกพบบุตรีตระกูลAllsterมาหล่ะค่ะ....” คำตอบของดิชั้นทำให้ท่านต้องเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ ดิชั้นยิ้มให้ท่าน ไม่กล่าวอะไรต่อ จะรอให้คุณพ่อพูดต่อก่อน
    “เค้ามาว่าอะไรเราเข้าหล่ะหือ?”
    ดิชั้นมองปลายเท้าตัวเองที่โผล่ลอดชายกระโปรงชุดนอนสีขาวตัวยาวเนื้อเนียนนุ่มที่ชอบ ไม่ตอบคำถามนั้น เพราะมีเรื่องอื่นที่อยากถามคุณพ่อมากกว่า

    โดยเฉพาะเมื่อมองไปที่กรอบรูป ภาพของพวกเรา....เราสามคนพ่อแม่ลูก ตอนนั้นดิชั้นยังเล็กมาก สัก5-6ขวบกระมัง คุณพ่อในวัยหนุ่มกว่านี้ยืนอุ้มดิชั้นขณะที่คุณแม่...คนที่ใครๆก็บอกว่าดิชั้นถอดแบบท่านมาไม่ผิดเพี้ยนนั่งบนเก้าอี้ใกล้ชิดกัน
    ภาพในกรอบโลหะเงินสลักเสลาลวดลายที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานของคุณพ่อเสมอ ไม่เคยลืมสักครั้ง

    “คุณพ่อคะ.... ทำไมคุณแม่ถึงแต่งงานกับคุณพ่อคะ?”ดิชั้นหันหน้าไปถามท่านตรงๆ ด้วยรอยยิ้ม ดิชั้นสบายใจที่จะถามคำถามนั้น
    “คุณพ่อเคยบอกลูกว่า คุณพ่อไม่มีเงิน ไม่มีบรรดาศักดิ์ใดๆ ไม่เหมือนคุณแม่ที่เป็นถึงบุตรีท่านเคานท์ ถ้าเช่นนั้นแล้ว ทำไมคุณแม่ถึงยังแต่งงานกับคุณพ่อหล่ะคะ?”
    ดร.คนเก่งทำหน้าแปลกใจก่อนถามยิ้มๆ
    “ทำไมจู่ๆถึงถามขึ้นมาล่ะจ๊ะ?”
    “ลูกแค่อยากฟังค่ะ เรื่องของคุณพ่อคุณแม่ ถ้าคุณแม่ยังอยู่ด้วย ลูกคงขอให้ท่านเล่า แต่ตอนนี้....”
    ดิชั้นมองออกไปยังท้องฟ้ายามค่ำคืนที่พราวไปด้วยแสง และไร้เมฆหมอกนอกหน้าต่างนั่น “แต่ตอนนี้ ท่านอยู่ไกลแสนไกล เกินกว่าลูกจะสามารถเอ่ยถามได้....”

    คุณพ่อยิ้มอ่อนโยน แล้วเริ่มต้นเล่า
    “แม่ของลูก.... เป็นสุภาพสตรีที่จริงจัง จริงใจ และสดใสเหมือนหนูแหล่ะ วันหนึ่งในฤดูร้อน
    พ่อได้รับเชิญไปเข้าร่วมงานอภิปรายกฎหมายที่Hyde Park แม่ของลูกนั่งอยู่บนหลังม้าสีขาวสะอาด งดงามมากเสียจนพ่อละสายตาไปไม่ได้”
    ดิชั้นเท้าคางกับโต๊ะทำงานของท่าน เรื่องเล่าโรแมนติกเรื่องนี้ ฟังเมื่อไรก็ไม่รู้เบื่อ

    เพราะมันช่างเต็มไปด้วยความรัก

    “แต่พ่อไม่รู้เลยว่า คำอภิปรายของพ่อในวันนั้นจะจับใจเธอ แม่ของหนูแวะเวียนมาดูพ่อกับอาจารย์รุ่นเดียวกันอภิปรายที่Hyde Parkเช่นนั้นเสมอ จนในที่สุด เราก็กล้าพอที่จะพูดคุยกัน”ท่านหยุดเพื่อดื่มโกโก้ร้อนที่ดิชั้นชงมาให้ แล้วจึงเล่าต่อ
    “เธอเป็นคนแปลกนะ แปลกกว่าสตรีชั้นสูงท่านอื่นๆที่มักมีดีแค่ทำสำรวยสวยกรากไปวันๆ เพราะเธอสนใจการดูแลคนชายขอบ คนยากไร้ พ่อหลงรักเธอเพราะแบบนั้น....”

    “แต่ตอนนั้น คุณแม่มีคู่หมั้นแล้วนี่คะ?”
    ฟังดิชั้นถามจบ คุณพ่อก็ถอนใจยามคิดถึงเรื่องราวที่ทำให้ลำบากใจในตอนนั้น
    “ใช่จ้ะ เขาเป็นคนหนุ่มจากชนชั้นสูง ฉลาดล้ำเลิศ อนาคตไกล มีทั้งเกียรติยศและทรัพย์สมบัติ ต่างกับพ่อลิบลับ เพราะไอ้เราก็เป็นแค่ลูกชนชั้นกลางที่พยายามแทบตายเพื่อให้ได้เล่าเรียนสูงๆ ตอนที่พ่อเจอกับแม่ ปู่กับย่าของLacusก็เสียไปหมดแล้ว ญาติพี่น้องทางพ่อก็ไม่มี สมบัติชิ้นเดียวที่พ่อมีคือบ้านหลังนี้เท่านั้น”
    ดิชั้นบีบมือของคุณพ่อเบาๆ ท่านยิ้มแล้วเล่าต่อ
    “แต่พ่อก็ยังอาจหาญจะกล่าวคำว่ารักกับเธอ ทั้งที่รู้ดีว่าในไม่ช้า เธอต้องกลายเป็นของคนอื่น แต่รู้มั๊ย? ความมหัศจรรย์มีจริง เพราะแม่เค้าก็บอกว่ารักพ่อเหมือนกัน.....”

    เล่าถึงตอนนี้ ดิชั้นรู้สึกราวกับว่า รอยยิ้มของคุณแม่ในรูปถ่ายคือรอยยิ้มที่มีชีวิตจริง
    “พ่อรักเธอมากเหลือเกิน ยังจำความรู้สึกนั้นได้ดี แม้ตอนนี้ก็ยังแจ่มชัด...”
    “แต่.... คุณแม่มีคู่หมั้นแล้ว....?”ดิชั้นถามอย่างคลางแคลงใจ คุณพ่อจึงอธิบาย
    “ใช่จ้ะ.... ตอนนั้นที่เราแต่งงานกัน ทางครอบครัวของแม่เค้าโกรธพวกเรามาก แต่ก็ไม่อยากโวยวาย
    เพราะเกรงว่าจะเสียชื่อเสียง Lacusก็เห็นใช่มั๊ยลูก? ทางโน้นเค้ารังเกียจพวกเรามากแค่ไหน
    เราเองก็ต่างคนต่างอยู่กันมานานแล้ว”
    “ค่ะ.... ลูกไม่รู้จักใครในตระกูลของคุณแม่เลย....”

    คุณพ่อหัวเราะเศร้าๆแล้วว่า
    “เค้าคงไม่อยากนับญาติกับเราเท่าไหร่หรอก เพราะทำให้หลังจากนั้น น้องสาวของแม่เค้าก็ต้องแต่งงานกับคู่หมั้นเก่าแทน ดูเหมือนจะเป็นชีวิตคู่ที่เต็มไปด้วยความขื่นขมไม่น้อย
    พ่อได้ยินมาว่า อยู่กินกันจนมีลูกสาวหนึ่งคนได้ไม่นาน ก็หย่าร้างกันไป หลังจากนั้นน้าสาวของหนูก็หายตัวไป แม่เค้าเสียใจมากจนล้มเจ็บ...ตอนนั้นLacus 5 ขวบได้มั้ง?”
    “เหมือนในรูปนี้....”ดิชั้นพึมพำ

    ปลายนิ้วมือกร้านแต่อบอุ่นของคุณพ่อลากไปบนบานกระจกกรอบรูป
    “แต่ทุกๆวัน...ที่ได้อยู่ร่วมกัน พ่อมีความสุขมากมายเหลือเกิน ยิ่งมีหนูเพิ่มเข้ามาในบ้าน ครอบครัวก็ยิ่งเติมเต็ม ไม่ต้องการอะไรมากไปกว่านี้แล้ว”

    เรื่องราวที่ถ่ายทอดมาให้ฟัง ทำให้รู้สึกเต็มตื้นอยู่ในอก แล้วน้ำตาอุ่นๆก็เริ่มจะหล่อรื้นรอบดวงตา
    “คุณพ่อคะ.....”
    “แม่เค้าสละทุกอย่างจริงๆเพื่อให้ได้แต่งงานกับพ่อที่โบสถ์เล็กๆแห่งนั้น” คุณพ่อเล่าต่อ ท่านเปิดลิ้นชักแล้วหยิบอัลบั้มรูปเก่าๆออกมาเปิดให้ดิชั้นดู
    “ดูสิจ๊ะ แม่เค้าสวมมงกฏช่อดอกยิปโซกับผ้าคลุมหน้าเจ้าสาว ชุดขาวเรียบๆ สวยน่ารัก แต่ไม่มีเครื่องประดับซักชิ้น....พ่อละอายใจเหลือเกินที่มีแต่แหวนเงินวงนี้ให้เค้า
    แต่เค้าก็รักมันมาก รักมันตลอดชีวิตของเค้าเลยเชียวหล่ะ”

    ท่านปิดอัลบั้มลง แล้วเล่าด้วยรอยยิ้มสดใสราวกับความทรงจำนั้นแจ่มชัด
    “เราไม่มีเงินทองมากมายเหลือเฟือ แต่เราอยู่กันได้ มีความสุข และไม่เบียดเบียนใคร เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว”
    “ค่ะ....มีแต่พวกเรา”
    ดิชั้นกล่าวเพียงเท่านั้น หยดน้ำตาก็ร่วงลงมา คุณพ่ออมยิ้มขำพลางลูบเรือนผมที่ถักเป็นเปียหลวมๆอย่างอารี

    ดิชั้นเช็ดรอยหยดน้ำออกจากแก้ม แล้วยิ้มตอบ “คุณแม่สวยเหลือเกินค่ะ ลูกคิดว่าทั้งสองคนเป็นคู่ที่เหมาะสมกันมาก น่าอิจฉาคุณพ่อคุณแม่จัง”
    คุณพ่อมองหน้าของดิชั้นนิ่งๆ แสงจากตะเกียงทำให้ใบหน้าเข้มนั้นอ่อนโยน
    “ซักวันลูก....ซักวันหนูจะเจอ”
    ดิชั้นฟังคำกล่าวของดร.คนเก่งแล้วก็ต้องกลั้นหัวเราะกิ๊ก
    “ใครหล่ะคะคุณพ่อ? ในเมื่อลูกยังไม่เคยรักสิ่งอื่นมากไปกว่าการร้องเพลง
    ลูกไม่กล้าสละสิ่งนั้นเพื่อให้สมหวังในรักหรอกค่ะ ไม่มีทางเลย”

    คุณพ่อยิ้มบางเบา หากอ่อนโยนยิ่ง ดวงตาสีฟ้าครามราวทะเลกว้างใหญ่คู่นั้น....
    “พ่อเชื่อ ว่าซักวันLacusจะได้พบกับคนที่....หนูพร้อมจะสูญเสียทุกอย่างที่เคยมีเพื่อจะได้อยู่ร่วมกับเขา”

    ซักวัน....
    #########################################

    หลายวันต่อมา
    “ตั้งแต่อาทิตย์หน้าเป็นต้นไป อาจารย์Kanabaจะเป็นผู้รับผิดชอบบรรยายในชั่วโมงนี้นะ อาจารย์เค้ายังใหม่อยู่ อย่าเซี้ยวกันให้มากนักหล่ะพวกคุณน่ะ”
    ผศ.ดร.Seigel Clyneกล่าวพลางเก็บตำหรับตำรา หลังจากเข้าสู่ช่วงสุดท้ายของการบรรยายประจำวิชา เหล่านักศึกษาชั้นปี 4 พากันส่งเสียงถามกันจ้อกแจ้กเหมือนนกกระจอกแตกรัง
    “แล้ว’จารย์จะกลับมาเมื่อไหร่ครับ??”
    “อาจารย์จะไปนานมั๊ยครับ?”
    “ถามทำไมเนี่ย? คิดถึงผมมากรึไง?”
    “เปล่าครับ พวกเราจะได้ช่วยดูแล Miss Lacusแทนอาจารย์ไง”
    ได้ฟังคำตอบแล้ว ทั้งห้องบรรยายก็หัวเราะกันครืน โดยเฉพาะเมื่อดร.Clyneทำหน้าบอกบุญไม่รับ
    “มากไปหน่อยมั้ง มากไปๆ”ก่อนจะทำหน้าเหมือนนึกอะไรได้
    “ตอนแรก ผมกะว่า...รายงานวิจัยก่อนจบของพวกคุณจะให้ส่งเมื่อผมกลับมาแล้วในเปิดเทอรมครั้งหน้า แต่ตอนนี้เปลี่ยนใจซะดีกว่า เป็นสัปดาห์หน้าแล้วกัน”ดร.ตอบหน้าตาย เท่านั้นแหล่ะ ทั้งห้องบรรยายก็ร้องโวยวายกันลั่น ถึงจะรู้ว่าท่านพูดเล่นก็เถอะ

    ดร.Clyneหัวเราะขำกับอาการตีโพยตีพายจะเป็นจะตายของบรรดานักศึกษา ผมอดหัวเราะไปด้วยไม่ได้ขณะที่เข้าไปนั่งดูการบรรยายของดร.ในชั่วโมงสุดท้ายของเทอรม ก่อนจะเข้าสู่การสอบเพื่อปิดภาคเรียนฤดูร้อน

    แม้จะเข้ามาสังเกตการณ์เพียงสองชั่วโมง ผมก็ดูออกว่า ในหมู่นักเรียน ดร.Clyneเป็นที่รักและเคารพมากแค่ไหน
    ##########################################

    ที่ห้องประชุมเล็กของกองบรรณาธิการวารสารสังคมศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยในช่วงบ่าย มีจัดAfter Noon Teaเพื่อเลี้ยงส่งคณาจารย์ที่จะเดินทางไปศึกษาวิจัยตามโครงการแลกเปลี่ยนกับมหาวิทยาลัยแห่งเบอร์ลิน
    บรรยากาศเต็มไปด้วยความเป็นกันเอง เสียงหัวเราะ และเรื่องตลกที่ถูกนำมาเล่าไม่เว้นแต่ละช่วง
    แต่...ไม่มีเงาของอธิการบดี ศจ.ดร.Rau Le Kluezeเลย ยิ่งทำให้ผมทวีความสงสัย แต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามสิ่งใดกับดร.Clyne
    เนื่องจากเห็นว่า บรรยากาศกำลังเป็นไปด้วยดี จนกระทั่งอาจารย์ท่านหนึ่งที่อยู่ในคณะเดินทางเอ่ยขึ้น

    “น่าเสียดายที่ท่านอธิการบดีหนุ่มของเราติดภารกิจที่กระทรวงนะ ท่านกล่าวให้ผมฟังเหมือนกันว่าอยากจะมาเลี้ยงส่งวันนี้เช่นกัน แต่สุดวิสัยเกินจะปลีกตัวมาได้จริงๆ”
    “แต่ท่านก็ได้กล่าวอวยพรพวกเราแล้วนี่ ตั้งแต่หลังการประชุมเมื่อวานแล้ว”
    “ยังพูดติดตลกอยู่เลยว่าจะขึ้นรถไฟตามไปด้วยทีหลัง ถ้าเกิดเหตุร้ายขึ้นกับพวกเรา”
    “จะได้มาแทนเรอะ? สงสัยที่ส่งพวกแก่ๆอย่างเราไปกันก่อนเนี่ย คงเพราะหวังจะขจัดเสี้ยนหนามแหงเลย”
    “แก่แล้วนี่ ไม่ดีเลยเนอะพวกเราน่ะ ขวางหูขวางตาพวกคนหนุ่มหล่ะสิ”
    แล้วเหล่าผู้อาวุโสก็หัวเราะกันสนุกสนาน ดูไม่มีใครกังวลเกี่ยวกับการเดินทางครั้งนี้เลย แต่เมื่อผมลอบมองไปที่ดร.Clyne
    แม้จะหัวเราะ หากก็ยังสังเกตเห็นแววตาสีฟ้าครามคู่นั้นต่างจากคนอื่นๆ

    ดูมีความกังวลใจแฝงอยู่...มิใช่น้อย

    “ดร.Clyneครับ”
    เมื่อผมเรียก ท่านก็หันมายิ้ม “ไง อาจารย์Yamato เบื่อมั๊ย? มาดื่มชากับพวกคนแก่ๆเนี่ย”
    ผมส่ายหน้าเบาๆ “อย่าพูดเช่นนั้นสิครับ แต่ละท่านล้วนเป็นท่านที่ผมให้ความเคารพนับถือทั้งสิ้น และยังคอยแนะแนวทางให้พวกอาจารย์รุ่นใหม่ๆอย่างเราด้วย”

    ผู้อาวุโสตบบ่าผมเบาๆ “อย่ามาทำยอ ผมไม่มีเกรดให้หรอกนะ”แล้วก็หัวเราะ ก่อนยกชาร้อนในถ้วยกระเบื้องเคลือบขึ้นจิบ ก่อนชวนผมคุยต่อ
    “คืนนี้จะให้เกียรติได้มั๊ยอาจารย์Yamato? ผมอยากเลี้ยงอาหารค่ำซักมื้อ ไหนๆก็จะเดินทางไกลไม่อยู่อีกนาน”
    ท่านออกปากเชื้อเชิญ แล้วกล่าวต่อ “ขอโทษจริงๆที่ไม่ได้ส่งบัตรเชิญมาก่อน แต่หวังว่าคงไม่ถือนะ”
    “มะ...ไม่เลยครับ ผมยินดีจะไปอย่างยิ่ง” ผมรีบออกตัว “อย่างที่ผมบอกตั้งแต่ต้นว่า ดร.เป็นอาจารย์ที่ผมให้ความเคารพ แม้จะไม่ได้สอนผมมาโดยตรงก็เถอะ แต่ผมคิดเช่นนั้นจริงๆ และ...”

    ผมพูดด้วยเสียงหนักแน่น จากใจจริง
    “เป็นเกียรติจริงๆที่ท่านเชิญผม”
    ดร.Clyneฟังแล้วก็ค่อยคลี่ยิ้มออกมาจางๆ เป็นรอยยิ้มของผู้หลักผู้ใหญ่ที่มองเด็กด้วยความพึงพอใจ

    บ่อยครั้งที่ท่านพ่อ มักยิ้มให้ผมเช่นนี้
    “ขอบใจมาก อาจารย์ เอ้อ Kira คงไม่ว่านะ ถ้าผมจะเรียกตามLacus”
    “ครับ ดร. ผมยินดีครับ....”

    ผมเดินข้าง ผศ.ดร.Seigel Clyneไปยังซุ้มของว่างขณะที่ท่านเป็นฝ่ายกล่าว
    “เสียดายนะ ผมโทรศัพท์ไปเชิญเพื่อนรักของคุณ ผู้กองAthrun Zalaน่ะ... แต่ดูเหมือนเวลาจะกระชั้นไปหน่อย เขาเลยไม่ว่างมา”
    “คงติดเข้าเวรน่ะครับ....เป็นตำรวจก็แบบนี้หล่ะครับ...”
    ผมอธิบาย รู้สึกเสียดายแทนเพื่อนอยู่เหมือนกัน
    เพราะ....ดร.คงทราบอีดว่า Athrunนั้นมีใจให้กับบุตรสาวของตน หมอนั่นเองก็เป็นคนดี...
    .”นั่นสินะ...ผมเองก็ไม่อยากทำให้เขาลำบากใจ”
    ดร.กล่าวต่อจนจบ เราจึงเปลี่ยนไปสนทนาเกี่ยวกับภารกิจทางวิชาการของท่าน เป้าหมายของการวิจัยและรายละเอียดในการทำงาน เช่นเรื่องที่ว่า ต้องประสานงานกับอาจารย์จากฝั่งยุโรปตะวันออกหลายประเทศ หรืออุปสรรคที่คาดว่าจะได้พบ

    โดยเฉพาะจาก....รัฐบาลทหารของประเทศแห่งนั้น
    ######################################

    ค่ำนั้น....ที่บ้านสีขาวหลังเล็กแสนน่ารักที่ครอบครัวClyneอาศัยอยู่
    ผมมาเยือนพร้อมกับแขกอีกสองท่านจากRosettaซึ่งพอจะรู้จักมักคุ้นดี Mr.Andrew Walfeld หนุ่มใหญ่ผู้เป็นเจ้าของโรงละคร เขามาพร้อมกับผู้จัดการคณะ Mr.Martin Darcosta ชายทั้งสองทักทายกับเจ้าของบ้านอย่างสนิทสนม

    โดยเฉพาะMr.Walfeldที่กางแขนสวมกอดดร.Clyneเต็มแรง
    “เจอแต่บุตรสาวหัวดื้อของท่านจนเบื่อแล้ว แต่ไม่ค่อยได้เจอท่านเท่าไหร่เลยดร.” เจ้าของโรงละครร่างใหญ่กล่าวอย่างอารมณ์ดี ดร.Clyneหัวเราะพลางตบหลังเพื่อนรักเบาๆแล้วหันมากล่าวกับผม
    “คุณคงทราบแล้วมั้งKira ว่าผมกับMr.Walfeldเป็นสหายรักกันมานาน”
    “ใช่ ครอบครัวของพวกเราสนิทกันมาก ผมเห็นLacusมาตั้งแต่ยังแบเบาะ จนเดี๋ยวนี้ดูซิ....”
    Mr.Walfeldทำท่าชะเง้อมองสาวน้อยร่างบอบบางที่เพิ่งเดินออกมาจากครัวในในชุดกระโปรงสีไลแล็คอมชมพูทับด้วยผ้ากันเปื้อนสีขาว แล้วเขาก็พูดหน้าตาย
    “ตอนเล็กๆก็เป็นเด็กดีว่านอนสอนง่าย ทำไมเดี๋ยวนี้ถึงได้เอาแต่ใจนักน๊า???”
    “นั่นคุณว่าดิชั้นหรือคะ? Mr.Walfeld”
    หล่อนทำหน้าครึ่งยิ้มครึ่งบึ้ง สองมือเท้าสะเอว ไม่มีกลัวซักนิด ทั้งที่ปกติคนตัวโตขนาดนี้ เด็กเห็นก็ร้องไห้จ้าแล้วแท้ๆ

    ดร.Clyneหัวเราะแล้วกล่าวปรามบุตรสาว “ไม่เอาน่าLacus วันนี้วันดีแท้ๆ”
    “ลูกล้อเล่นหรอกค่ะ คุณพ่อ แต่Mr.Walfeldน่ะไม่แน่ เพราะเธอคงยังเคืองอยู่ตอนที่ลูกซื้อหุ้นRosettaจากเธอมาตั้ง30เปอร์เซ็นต์” หล่อนทำเสียงล้อเลียน
    “ตอนนั้น ผมรู้นะว่าใครอยู่เบื้องหลัง ที่ยุให้แม่นักร้องเสียงดีคนนี้กล้าเดินมาขอร่วมหุ้นกับผม ก็บิดาคนเก่งของหล่อนนั่นแหล่ะ”
    “อ้าว! อย่ามาโยนให้ผมนา”

    คนสามคนหัวเราะให้กัน ผมกับคุณDarcostaได้แต่มองกันอยู่ห่างๆ
    แต่ในความจริง สายตาของผมกลับมองอยู่ที่เธอคนนั้นเพียงคนเดียว เรือนผมสีPink Blondยาวสลวยจดบั้นเอวบางรวบไว้เป็นหางม้าหลวมๆด้วยริบบิ้นลูกไม้สีขาว ปล่อยให้ปอยผมตกเคลียใบหน้าสดใส เสียงหัวเราะของหล่อนทำให้ผมพลอยยิ้มด้วยความสบายใจไปด้วย

    เพราะแววตาแสนเศร้าในคืนนั้น ตอนที่หล่อนทราบว่าบิดาต้องเดินทางไกลเป็นเวลานานเช่นนี้ ยังคงติดอยู่ในใจผม แต่มาตอนนี้.....

    จนกระทั่งผมได้ยินเสียงถอนหายใจจากคนที่ยืนอยู่ข้างๆ จึงต้องหันไปมองอย่างแปลกใจ
    “? เป็นอะไรรึเปล่าครับ? คุณDarcosta”
    “อ๊ะ...เอ้อ! เปล่าๆ ไม่มีอะไรครับ ช่างมันเถอะ”
    เขารีบปฏิเสธแล้วจึงเดินเข้าไปสมทบกับเจ้านายของตน ผมก้าวตามไป ดร.ทักทายผมอย่างเป็นกันเอง แล้วจึงเชื้อเชิญให้พวกเราเข้าไปข้างใน

    “เอ้า! เชิญๆ เข้ามานั่งเล่นกันก่อน พวกสาวๆเค้ากำลังเตรียมโต๊ะอยู่นะ มาเล่นบริดจ์กันซักเกมส์ก่อนมั๊ยหล่ะ? อ้าวนี่!!เจ้าHalo อย่าพันแข้งพันขาKiraเค้าอย่างนั้นน่า!!ซนจริงเรา!” ท้ายประโยคดร.Clyneหันไปดุเจ้าลูกหมาขนฟูที่วิ่งมาพันแข้งพันขาผมเป็นการใหญ่ ผมนั่งลงอุ้มมันแล้วหัวเราะ
    “ไม่เป็นไรครับดร. ผมเริ่มจะชินกับเจ้าจอมยุ่งนี่แล้วหล่ะ”
    “Haloมันคงชอบคุณน่ะค่ะ Kira จำได้มั๊ยคะ? ตั้งแต่ตอนที่มันเจอคุณครั้งแรกน่ะ” Lacusกล่าวเสียงใสแล้วจึงขอตัวกลับเข้าไปเตรียมสำรับในครัว ปล่อยให้พวกเราอยู่กับดร.Clyneที่ห้องนั่งเล่น พร้อมกับเกมส์บริดจ์ก่อนมื้อค่ำและการสนทนาที่ไม่สิ้นสุด

    ผมไม่ได้สนใจไพ่ในมือนัก เพราะมัวแต่สนใจฟังเรื่องราวที่ดร.และMr.Walfeldแย่งกันเล่าเสียมากกว่า
    “ดร.Clyneน่ะ ขึ้นชื่อในเรื่องทำอะไรไม่เหมือนชาวบ้านชาวเมืองอยู่แล้วนี่นะตั้งแต่สมัยก่อน” เจ้าของคณะละครเล่าให้ผมฟัง พลางทิ้งไพ่ลงกับโต๊ะ ปากยังคาบไปป์ยาสูบควันฉุยๆ
    “อ้าวๆ พูดให้ดีนา Walfeld” ดร.คนเก่งทักท้วง หากอีกฝ่ายกลับเอาแต่หัวเราะหึๆแล้วกล่าวต่อ
    “รู้มั๊ย อาจารย์Yamato ตอนคุณหนูLacusเล็กๆ แกเคยพาไปอยู่คอนแวนต์ตามคำแนะนำของผู้หลักผู้ใหญ่นะ เป็นคนอื่น เค้าก็ปล่อยให้ลูกอยู่กับครูบาอาจารย์ไปใช่มั๊ย? ไม่ๆ นี่เปล่าเลย ห่างลูกได้สองวัน ทนไม่ไหว ไปแอบดู ถูกพวกแม่ชีไล่แทบแย่ คนเค้านึกว่าเป็นโรคจิต”
    “ไฮ้!!!หยุดพูดเรื่องน่าอายแบบนั้นซะทีน่า!”
    ผมฟังแล้วได้แต่กลั้นขำ ถึงจะรู้ว่ามันเสียมารยาท คุณWalfeldยังไม่หยุดเล่าต่อ
    “ไม่จบแค่นั้นนะ ไปเห็นลูกถูกทำโทษเข้ามั้ง โอ๊ยยย!!!คุณเอ๊ย!ตอนนั้นแกหนุ่มกว่านี้นี่ พ่อลุยแหลกเลย คอนแวนต์งี้แทบแตก อุ้มลูกกลับบ้านแทบไม่ทันเชียวหล่ะ ดูเสียมั่งเล่นกับใคร”
    ผมนึกภาพตาม จากนิสัยของดร.ตอนนี้ พิจารณาแล้ว ผมก็พอเข้าใจอยู่

    “ก็ตอนนั้น แม่ของLacusเค้าเพิ่งเสียนี่นา ผมมีลูกอยู่คนเดียว ตีซักเพี๊ยะผมก็ไม่เคย และอีกอย่างนะ...ผมว่ามีอะไรจะสอนเด็ก ก็ค่อยๆพูดค่อยอธิบายก็ได้นี่นะ ไม่เห็นต้องลงไม้ลงมือแบบนั้นเลย ทำแบบนั้น เด็กมันยิ่งต่อต้าน ผมคิดแบบนั้นนะ” ดร.Clyneยกมือขึ้นเกาแก้มแก้เก้อ แล้วรีบหันไปหาตัวช่วย
    “ใช่มั๊ย Kira?”
    “อ๊ะ...ครับๆ” ผมรับคำ แล้วก็หัวเราะตัวงออย่างสุดกลั้น
    “อ้าว เฮ้! นี่ผมพูดอะไรที่มันขำนักรึไง??”
    “ไม่ครับๆ ไม่ใช่ ขอประทานโทษครับ” แต่ถึงจะพูดแบบนั้น ผมกลับหยุดหัวเราะไม่ได้

    ดร.Clyneถอนใจ แล้วจึงพูดต่อ ดวงตาใต้แว่นทรงกลมนั้นเหม่อมองออกไปไกล ราวกำลังระลึกเรื่องราวหนหลัง
    “ผมเข็ดจริงๆที่จะให้ลูกอยู่ห่าง ก็เลยไม่เคยส่งลูกไปเข้าโรงเรียนที่ไหนอีกเลย....โชคดีว่าได้คุณAliceนี่หล่ะเข้ามาช่วยดูแล”
    ผมฟังแล้วก็ต้องยิ้ม มิน่าเล่า พ่อลูกถึงได้เหมือนกันมากนัก ทั้งอุปนิสัยใจคอ ทั้งแนวความคิด ไหวพริบและความฉลาดเฉลียว
    Miss Lacus Clyneคงถอดแบบมาจากผู้เป็นบิดาของเธอทั้งสิ้น

    มิใช่แค่สายเลือดเท่านั้นที่ส่งผลให้สาวน้อยเสียงใสคนนั้น...เติบโตขึ้นอย่างน่าชื่นชมเช่นนี้

    ผมมองดูสายตาของสุภาพบุรุษทั้งสองท่านที่อยู่ร่วมด้วย ณ ที่นี้ ก็พอจะมองออกว่า ทั้งMr.WalfeldและMr.Darcosta ล้วนต่างชื่นชมสองพ่อลูกครอบครัวนี้อย่างจริงใจและซื่อสัตย์
    “คุณพ่อไม่ทิ้งไพ่เสียที นั่นKiraจะกินแต้มหมดแล้วนะคะ!”
    เมื่อบุตรสาวคนเดียวร้องเตือน ดร.Clyneก็รีบทิ้งไพ่ แต่สงสัยโชคจะไม่เข้าข้าง เพราะถึงอย่างไร ไพ่ของผมก็แต้มเหนือกว่า ท่านร้องออกมาด้วยความเสียดาย
    “อ้าวโธ่!!แพ้ซะแล้วเหรอเนี่ย ทำไมไม่บอกพ่อให้เร็วกว่านี้หล่ะลูก??”
    Lacusทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้พลางปลดผ้ากันเปื้อนสีขาวออกจากตัว แล้วจึงบอกกับแขกผู้มาเยือนทั้งสามด้วยน้ำเสียงสดใส
    “คุณพ่อแพ้แล้ว ทุกท่านคงเลิกเล่นเกมส์ได้เสียทีนะคะ สำรับพร้อมแล้วล่ะค่ะ เดี๋ยวจะเย็นหมดนะ”
    #########################################
  25. whitewing

    whitewing New Member

    EXP:
    120
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0

    อาหารค่ำมื้อนั้นเต็มไปด้วยบรรยากาศที่อบอวลด้วยบทสนทนาที่ร่าเริงแจ่มใส เสียงหัวเราะและรอยยิ้มแห่งความสุข จนผมอดคิดไม่ได้ว่า เหมือนตัวเองกำลังนั่งรวมอยู่ในครอบครัวขนาดใหญ่ คุณAliceได้รับเชิญให้มาร่วมโต๊ะอาหารด้วย แม้เธอจะเป็นเพียงคนเก่าคนแก่ก็ตาม
    “มานั่งทานข้าวด้วยกันเถอะ คุณAlice จะเป็นไรไปเล่า? เดี๋ยวผมไม่อยู่ก็ต้องฝากเรื่องในบ้านให้คุณช่วยดูอยู่แล้วนี่นา”
    “อุ๊ย! คุณไม่ชวนสิคะ อิชั้นจะโกรธให้”
    ผู้ดูแลสูงวัยของLacusพูดติดตลก ขณะที่ยกหม้อสตูว์ซี่โครงแกะหอมฉุยตามเข้ามา Lacusลุกขึ้นเพื่อจะเข้าไปช่วยนาง ขณะที่ท่านสุภาพบุรุษนั่งรออยู่รอบโต๊ะ ผมเผลอลุกขึ้นยื่นมือไปรับหม้อใบใหญ่มาจากคุณAlice อดจะชื่นชมนางอยู่ในใจไม่ได้ เพราะมันไม่ใช่เบาๆสำหรับหญิงสูงอายุวัย 70 กว่าเช่นนางเลย Lacusมองผมด้วยดวงตาแสดงความแปลกใจ แล้วก็ยิ้มขันเมื่อคุณAliceไล่ให้ผมกลับไปนั่งประจำที่เสีย

    “ช่วยแค่นี้หล่ะค่ะคุณKira ไปนั่งที่ไป๊ มาเป็นแขกแท้ๆ อยู่เฉยๆมั่งเถอะค่ะ”
    ผมฟังแล้วได้แต่เกาต้นคอแก้เก้อ สาวน้อยผมสีPink Blondรุนหลังผมกลับไปที่โต๊ะพลางบอกเบาๆ น้ำเสียงขี้เล่นเหมือนดวงตาระยับพราว
    “ถ้าปล่อยให้แขกต้องลำบาก คุณAliceเธอจะไม่พอใจนะคะ เวลาคุณAliceโกรธน่ะน่ากลัวน๊า”
    ผมทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ดังเดิม ได้ยินเสียงกลั้วหัวเราะของMr.Walfeldดังตามมา
    “เชื่อคุณหนูเถอะ อาจารย์Yamato เพราะพวกสาวๆน่ะอารมณ์ขึ้นๆลงๆ ไม่ถูกใจขึ้นมา แม่เก็บโต๊ะหมดซะ พวกเราจะอดกินกันเปล่าๆนา”

    เสียงฮาครืนตามมา ผมพลอยหัวเราะไปด้วย โดยเฉพาะเมื่อเห็นคุณAliceแอบมองเขม็งตรงมาที่คุณเจ้าของโรงละครร่างใหญ่ แล้วส่งเสียงกระแนะกระแหนมาตามลม
    “ระวังไว้เถอะค่ะ คุณWalfeld”

    โต๊ะอาหารขนาดย่อมที่นั่งได้พอกัน 6 คน ปูด้วยผ้าปูโต๊ะสีครีมทอลายกุหลาบสีน้ำเงินถี่ยิบ กลางโต๊ะมีแจกันเงินทรงสูงประดับด้วยช่อดอกเอสเธอร์สีม่วงครามแซมด้วยใบเขียวสดและสีขาวพราวของดอกยิปโซป่า เครื่องเงินที่รวมถึงจานชามนั้นขัดเป็นมันปลาบถูกวางไว้ตามแบบแผน ผ้าเช็ดปากสีน้ำเงินพับม้วนเป็นรูปเรือวางอยู่ตรงหน้าของแขกแต่ละคนเรียบร้อย ดร.Clyneเปิดแชมเปญรินให้พวกเราทุกคน ขณะที่คุณAliceเสิร์ฟปลาเฮคต้มมันฝรั่ง กับซุปผักโขม ตามด้วยสตูว์ซี่โครงแกะที่เจ้าตัวภูมิใจหนักหนา ทั้งเจ้าภาพและแขกต่างชมเปาะไม่ขาดปาก
    แต่สิ่งที่ผมเห็นว่าสำคัญกว่ามื้ออาหารนั้น คือบรรยากาศที่แสนจะเป็นกันเองและอบอุ่นที่ครอบครัวเล็กๆแห่งนี้มีให้ สิ่งนี้ต่างหากเล่าที่....ผมชื่นชมเหลือเกิน

    และด้วยทัศนคติที่ดีของบิดา ที่ถ่ายทอดไปถึงบุตรสาวนี่เอง ที่หล่อหลอมให้Miss Clyneเป็นสุภาพสตรีที่ไม่ว่าใครได้พบ ก็อดที่จะ....หลงรักหล่อนไม่ได้.....ผมคิดเช่นนั้นขณะที่ลอบมองไปที่สายตาของ Mr.Martin Darcostaที่นั่งเก้าอี้ติดกับเจ้านายของเขา

    เพราะเท่าที่เคยรู้จักกันมาบ้างโดยผิวเผิน ผมยังไม่เคยเห็นผู้จัดการคณะคนนี้มีสายตาที่ห่วงหาอาทรใครมากเท่าหล่อนอีกแล้ว

    “ดร.จะไปนานแค่ไหนครับ?” ผู้จัดการหนุ่มถาม ดร.Clyneยิ้มแล้วตอบด้วยท่าทางไม่แน่ใจ
    “นั่นสินะ.... ผมเองก็ยังบอกไม่ได้เหมือนกัน ต้องแล้วแต่ฝ่ายวิชาการของทางโน้นด้วย”
    Mr.Andrew Walfeldเอามือลูบคางที่สากด้วยรอยเคราอย่างใช้ความคิด
    “แสดงว่า เป็นโครงการเดินทางระยะยาวเลยเชียวนะ แหม นี่เท่ากับว่า คุณได้ใช้ชีวิตแบบหนุ่มโสดอีกรอบโดยไม่มีเรือพ่วงติดมาด้วยไปในตัวเลยนะ ดร.”
    ท้ายประโยคเขากล่าวติดตลก หากLacusมองตาเขียวปั้ด แล้วกระแนะกระแหน
    “อย่าเอาคุณพ่อไปเทียบกับตัวเองแบบนั้นสิคะ คุณWalfeld คุณพ่อน่ะ ไม่เหมือนคุณหรอกค่ะ ก็เป็นเสียแบบนี้ ถึงไม่ได้ลงล่องปล่องชิ้นกับมาดามแสนสวยคนนั้นซะที”
    “Lacus!!เสียมารยาทนะลูก!”
    “อย่าเอาความจริงมาพูดแบบนั้นสิ!!”
    สองสหายร้องขึ้นพร้อมกัน Lacusกลั้นยิ้มขันขณะที่หันมาเล่าให้ผมฟัง
    “Kiraทราบสินะคะว่า คุณWalfeldน่ะตกพุ่มม่ายมาเกือบสองปีกว่าแล้ว ดูเหมือนว่าตอนนี้เธอจะทนเหงาไม่ไหวแล้วหล่ะค่ะ เพราะกำลังตามเทียวไล้เทียวขื่อแม่ม่ายสาวสวยคนหนึ่งอยู่”

    เจ้าของโรงละครร่างใหญ่ร้องลั่นเมื่อเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยของผม
    “อย่ามามองผมแบบนั้นนะ!!! นี่!!ช่วยพูดอะไรบ้างสิ Darcosta!!ช่วยกันมั่ง อย่าเอาแต่นั่งเฉยๆ!!” ท้ายประโยคเขาร้องขอความช่วยเหลือจากลูกน้องคนสนิท แต่....
    “โฮ๊ย! ก็ผมไม่รู้จะแก้ตัวแทนยังไงนี่ครับ นาย”เจ้าตัวตอบหน้าตาย “เพราะตอนนี้ ใครๆเค้าก็รู้กันทั่วบ้านทั่วเมืองแล้วว่า คุณน่ะกำลังตามจีบ.....อุ๊บ!!!”
    ยังพูดไม่ทันจบดี เนื้อแกะชิ้นใหญ่ยักษ์จากจานสตูว์ก็ถูกยัดพรวดใส่ปากของผู้จัดการคณะละครหนุ่ม เจ้าของชิ้นเนื้อพูดงึมงำด่าขณะที่ฝ่ายถูกอุดปากได้แต่ดิ้นปั้ดๆจากอาการอึดอัดเพราะหายใจไม่ออก

    “พูดเก่งนักนะ Darcosta!!อยู่ต่อหน้าคุณหนูหล่ะพูดเอาๆ!หนอย!!!”
    มาถึงตอนนี้ ผมพบว่าตัวเองทำได้แค่การมองแขกร่วมโต๊ะคนโน้นที คนนี้ที
    “เอ๊ะ!!!คุณWalfeld นั่นมันอาหารนะคะ เอามาทำเล่นแบบนั้นได้เหรอ!!ประเดี๋ยวเถอะ!!”คุณAlice ผู้ดูแลบ้านสูงวัยเอ็ดเสียงแหลม แล้วกระวีกระวาดวี้ดว๊ายเข้าไปช่วยเหลือพ่อหนุ่มโชคร้ายที่กำลังขาดอากาศจนหน้าเขียวหน้าเหลือง “ต๊าย ตาย! คุณDarcosta!!!ทำใจดีๆไว้นะคะ!!”
    “แค่นี้ มันไม่ตายหรอกครับ”ชายร่างใหญ่พูดหน้าตาเฉย
    “คุณน่ะเฉยไปเลย! พวกคุณนี่จริงๆเลย มาทีไร ดิชั้นต้องวิ่งวุ่นทุกที!!เอ้า!!อาจารย์Yamato มัวแต่ขำอยู่นั่นหล่ะค่ะ!!มาช่วยกันหน่อยเร็ว!!!”
    ผมเลยต้องรีบตกกระไดพลอยโจน รับคำเออออไปตามเรื่อง
    “เอ้อ ครับๆๆๆ”

    ทุกคนเข้าไปรุมล้อมเอาใจช่วย Mr.Dacostaที่ต้องกระอักกระไอจนน้ำหูน้ำตาไหลเพราะอาการเนื้อชิ้นโตติดคอ แต่หลังจากดื่มไวน์แดงที่ผมส่งให้เข้าไปอึกใหญ่ อาการของเจ้าตัวก็เริ่มดีขึ้น Mr.Walfeldทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้แม้ว่าจะถูกทั้งคุณลูกน้องคนสนิททั้งคุณแม่บ้านจ้องจนตาเขียวปี๋ก็ตาม ส่วนผมได้แต่กลั้นหัวเราะจนตัวงอเพราะไม่รู้จะทำหน้ายังไงดี

    รู้ตัวอีกทีก็เมื่อเห็นปอยผมสีPink Blondยาวสลวยตกลงมาพร้อมกับใบหน้าซึ่งระบายด้วยรอยยิ้มสว่างไสว เพียงเท่านั้น....เราจ้องตากันนิ่งๆแล้วก็ต้องหัวเราะให้กันอีกครั้ง คราวนี้หัวเราะกันอย่างเต็มเสียง

    ผมไม่ได้หัวเราะพร้อมกับ...ใครบางคนแบบนี้ มานานมากแล้ว.....
    ###########################################

    เมื่อมื้ออาหารนั้นจบลง พวกเราย้ายกลับไปที่ห้องนั่งเล่นใหญ่ ผมนั่งอยู่ที่เก้าอี้ยาวตัวเดียวกับดร.Clyne ขณะที่ใกล้ๆกันนั้น แขกจากRosettaทั้งสองยืนพิงกำแพงจิบแชมเปญในแก้วทรงสูง ที่กลางห้อง ร่างเล็กบางในชุดกระโปรงยาวกรอมพื้นสีไลแล็คอมชมพูนั่งหลังตรงอยู่เบื้องหน้าเปียโนหลังเล็ก เจ้าลูกหมาขนฟูจอมซนวิ่งตึ๊กๆรี่เข้าไปหาก่อนกระโดดตุ้บขึ้นไปนั่งบนตักของนายสาว
    แล้วเรียวนิ้วก็พร่างพรมไปตามท่วงทำนองอ่อนหวาน แผ่วพลิ้ว พลันริมฝีปากเอื้อนเอ่ยขับขานบทเพลงด้วยน้ำเสียงสดใสดุจระฆังแก้ว ล่องลอย....ราวอยู่ในฝัน

    เสียงเดียวกับที่เคยสะกดให้ผมต้องหยุดมองราวเพ้อละเมอ....ที่อุทยานในโรงแรม ณ ราตรีนั้น

    “What did you say?
    I know that you are singing.
    And my ears won’t stop ringing.
    Long enough to hear those sweet words…
    What did you say….?”


    รอยยิ้มจางๆผุดขึ้นที่ริมฝีปากโดยที่ผมเองก็ไม่รู้ตัว ดวงตาสีน้ำทะเลที่กำลังจ้องมองโน้ตเพลงอย่างตั้งใจอยู่ใต้ขนตาหนาเป็นแพราวปีกผีเสื้อ
    ริมฝีปากบางใสแย้มยิ้มยามเมื่อเอ่ยบทเพลงหวานละมุน

    ผมเห็นเจ้าของโรงละครร่างใหญ่ขยับปากขมุบขมิบเนื้อเพลงตาม ขณะที่คุณDarcostaเผลอเคาะนิ้วกับแก้วทรงสูงตามจังหวะราบเรื่อยหากอ่อนโยนของบทเพลง

    ผมนึก....อยากจะเข้าไปใกล้ๆหล่อนให้มากกว่านี้....แต่ก็เกรงว่า มันจะรบกวนสมาธิเจ้าของบทเพลง ที่อุตส่าห์ตั้งใจมอบเพลงนี้เป็นสิ่งตอบแทนเหล่าผู้มาเยือนเนื่องในงานเลี้ยงส่งบิดาที่รักของตน แต่....หล่อนจะรู้บ้างหรือไม่นะ? ว่าเสียงเพลงที่ขับขานออกมานั้น แต่ละคำ แต่ละทำนอง มันอาบอุ่นหัวใจของคนที่กำลังนั่งฟังอยู่ตรงนี้ เรื่อยมา.....

    ....เป็นเช่นนั้นเรื่อยมา.....

    “Lacusเค้าชอบแต่งเพลงร้องเองเล่นๆน่ะ”
    ดร.Clyneจิบชาหลังอาหาร แล้วเปรยให้ผมฟัง
    “เช่นนั้นหรือครับ?.....”ผมจำใจละสายตาจากร่างเล็กที่เปียโน เพื่อหันมาสนทนากับผู้อาวุโสกว่า
    “ใช่....เปียโนตัวนั้นน่ะ เป็นของๆแม่Lacusเค้า มันไม่ได้ใช้มานานมาก จนกระทั่ง....Lacusเดินมาบอกกับผมว่า อยากจะร้องเพลง”

    นี่เป็นครั้งแรก.....ที่ผมได้ฟังเรื่องราวของMrs. Clyneผู้ภรรยา จากปากของดร.
    ....รอยเศร้าปนสุขแฝงอยู่ในดวงตาใต้กระจกแว่นกรอบกลมของผศ.ดร.Clyne ยามเล่าเรื่องราวหนเก่า


    “End of the day…..
    the hour hand has spun.
    But before the night is done.
    I just have to hear those sweet words…..
    Spoken like a melody.”



    “นั่น....Mrs.Clyneสินะครับ....”
    ผมถามอย่างสงสัยระคนแน่ใจอยู่ในที ขณะที่จ้องมองภาพถ่ายครอบครัวในกรอบรูปตั้งโต๊ะ ภาพของสองสามีภรรยาและทารกน้อยๆที่กำลังหลับอยู่ในอ้อมแขนของทั้งคู่ หากที่สะดุดตาของผมคือ เค้าโครงหน้างดงามได้รูปของฝ่ายภรรยา ในภาพนั้นเธอสวมชุดกระโปรงสีขาวยาวกรอมพื้นและหมวกผ้าไหมปักดอกไม้ใบเล็กๆ เรือนผมยาวสลวยม้วนเป็นมวยตลบอยู่ที่ต้นคอ
    รอยยิ้มนั้น.....บุตรสาวของเธอ ถอดแบบมาได้ไม่ผิดเพี้ยน

    “ใช่....” ดร.ตอบด้วยรอยยิ้มบางๆ
    “เหมือนกัน....มากจริงๆครับ”
    ผมมองผ่านเลยไปยังร่างเล็กที่เปียโน หล่อนเงยหน้าขึ้นร้องเพลงพร้อมไปกับแขกสองคนที่เดินเข้าไปยืนเท้าแขนกับหลังเปียโน
    ดร.Clyneนิ่งไปครู่ แล้วพูดเสียงเบาจนแทบไม่ได้ยิน
    “เหมือนกันมาก....จนผมอดห่วงไม่ได้น่ะสิ....”
    “เอ๊ะ?”
    ผศ.ดร.Clyneถอนใจหนักหน่วง เป็นอีกครั้งที่ผมเห็นร่องรอยของความเคร่งเครียดและกังวลใจฉาบบนใบหน้านั้นได้อย่างชัดเจน

    “เพราะลูกเหมือนกับเธอคนนั้นมาก....มากจนเกินไป ทั้งรูปร่างหน้าตา ทั้งอุปนิสัยใจคอ....เพราะงั้นผมจึงต้องห่วง.....ห่วงมากกว่าทุกอย่าง”
    ผมฟังด้วยความรู้สึกสงสัย ในที่สุดก็ต้องถามออกไป
    “มีสิ่งใดที่ผมจะทำเพื่อท่านได้บ้างหรือไม่ครับ?”

    ”All your love
    is a lost balloon.
    Rising up through the afternoon.
    'Til it could fit on the head of a pin…..”


    ดร.Clyneจ้องมองผมนิ่งไปครู่ ดวงตานั้นนิ่งไม่ขยับราวกำลังจะค้นหาความจริงจากอีกฝ่าย
    “ผมอยากจะเชื่อใจคุณนะ Kira”
    คำกล่าวนั้น....กล่าวออกมาด้วยความหนักใจ ผมสัมผัสได้ เขามองผ่านไปยังบุตรสาวที่กำลังร้องเพลงอยู่ที่เปียโนตัวโปรด
    “จะWalfeld หรือ Darcostaก็ตาม พวกเขาต่างก็เป็นสหายที่ผมไว้วางใจ คุณAliceเองก็เป็นเหมือนญาติผู้ใหญ่ของบ้านหลังนี้ แม้ว่าจะไม่ใช่สายเลือดเดียวกัน ผมควรจะวางใจได้ใช่มั๊ยว่า....ช่วงที่ต้องจากลูกไป ทุกอย่างจะเรียบร้อยเหมือนที่เคยเป็นมา....”
    แม้จะกล่าวเช่นนั้น แต่ในแววตานั้นไม่มีความมั่นคงอยู่เลย
    “ยิ่งโตขึ้น.... Lacusก็ยิ่งเหมือนแม่ของเค้า เหมือนเหลือเกินจนผมเกรงว่า มันจะนำภัยมาแก่ตัวลูกเอง”
    “ภัย?”
    “มันก็.... หลายเรื่องอยู่หรอกนะ....”

    ”Come on in.
    Did you have a hard time sleeping?
    Cuz the heavy moon was keeping…..
    Me awake, and all I know is…..
    I'm just glad to see you again.”


    “คุณคงพอจะรู้สถานการณ์ของRosettaอยู่สินะ เรื่องกรณีพิพาทกับเจ้าของที่ดินเช่าประกอบการ”
    ตระกูลAllster....ผมตอบอยู่ในใจลึกๆ
    “ครับ....อันที่จริง....ครอบครัวผมก็รู้จักกับทางโน้นพอสมควร”
    ดร.พิงหลังกับเก้าอี้แล้วจึงกล่าวเสียงเรียบเรื่อย
    “บารอนAllsterนั้น แสดงออกอย่างชัดเจนว่ามุ่งหมายในตัวของLacus พยายามที่จะกดดันโรงละครต่างๆนานาเพื่อจะได้เป็นผู้อุปถัมภ์Rosettaอย่างเต็มตัว”

    คำกล่าวนั้น ทำให้ผมต้องตกใจยิ่ง เพราะ....ความหมายแฝงของการได้เป็นผู้อุปถัมภ์Rosettaนั้นหมายถึง....การมีสิทธิขาดในตัวของ....ดาวเด่นของโรงละครไปในตัว!

    แต่ว่า....
    “ผมเข้าใจความรู้สึกของท่านครับ ดร. แต่บารอนAllsterเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงและเกียรติยศในวงสังคม
    การจะทำรุ่มร่ามกับหญิงสาวเช่นนั้น ผมว่า....”
    “ผมมีโอกาสได้พบปะกับบารอนAllsterมาบ้างเหมือนกัน พูดจริงๆว่าตัวเองไม่ไว้ใจแววตาของท่านผู้นั้นเอาเสียเลย สังหรณ์ใจว่าจะมีเรื่องร้ายเกิดขึ้นในช่วงที่ไม่อยู่ ก็ความกังวลของคนเป็นพ่อหล่ะนะคุณ”

    “See my love
    Like a lost balloon.
    Rising up……
    Through the afternoon……, and Then you appeared”

    ดร.วางถ้วยชาลงกับโต๊ะ สีหน้ายังคงเคร่งขรึม หนักใจ บางที....อาจยิ่งกว่าเดิม
    “ยิ่งไปกว่านั้น....ยังมี....”
    แต่ท่านก็มิได้กล่าวต่อจนจบ ดูเหมือนลำบากใจที่จะพูดต่อ ดังนั้นจึงกล่าวตัดบทเสียดื้อๆ
    “ช่างมันเถอะ...ผมคงคิดมากไปเอง”

    ท่านที่มักมีอารมณ์แจ่มใสเสมอเช่นดร.กลับมีสีหน้าหม่นหมอง แม้จะพูดไม่ได้ว่า ตนเข้าใจความรู้สึกของบิดาที่ห่วงใยบุตรของตนก็เถอะ แต่....
    “ดร. มีสิ่งใดที่ผมทำเพื่อแบ่งเบาความทุกข์ของท่านได้หรือไม่ครับ?”
    ผมตัดสินใจกล่าวขึ้น
    หลังจากทบทวนดีแล้วว่า....คงปล่อยไว้เช่นนี้ไม่ได้
    “มันคงไม่ดีใช่หรือไม่ครับ หากท่านต้องเดินทางไปทำงานถึงต่างบ้านต่างเมือง ทั้งที่ยังมีความวิตกกังวลใจอยู่เช่นนี้ ถ้ายังปล่อยไว้.... ทั้งท่านเองก็คงไม่มีสมาธิที่จะมุ่งมั่นในการทำงาน Lacusเองก็...คงรู้สึกเช่นนั้นเหมือนกัน”

    ผศ.ดร.Clyneนิ่งมองผมอย่างตรึกตรอง แล้วรอยยิ้มจางๆด้วยความไม่แน่ใจก็ผุดขึ้นที่มุมปาก

    ”What did you say?
    I know what you were singing
    But my ears won't stop ringing ….”


    “ผมสังหรณ์ใจไม่ดี.... เพราะพันธกิจครั้งนี้ คุณก็ทราบดีใช่หรือไม่ว่า รัฐบาลทหารของทางนั้นสามารถมองได้ว่าเราเข้าไปแทรกซงกิจการภายในของเขา คณะวิจัยอาจไม่ปลอดภัย...บอกตรงๆว่าผมเป็นห่วงลูกในเรื่องนี้มาก”
    น้ำเสียงที่กล่าวนั้นเบายิ่ง
    “ผมไม่รู้ว่า...จะพึ่งพาฝากฝังใครได้ในเรื่องนี้ นอกจากสหายที่ผมไว้เนื้อเชื่อใจในช่วงชีวิตที่ยังเหลืออยู่นี้เท่านั้น.... ซึ่งก็คือพวกคุณ”
    “ครับ” ผมรับคำอย่างเข้าใจ

    ดวงตาสีน้ำเงินครามใต้แว่นกรอบทองมองไปที่บุตรสาวอย่างแสนห่วง
    “เพราะฉะนั้น.... มันคงจะดี ถ้ามีคนมาช่วยรัก ช่วยห่วงใยดูแลลูกสาวผมเพิ่มขึ้นอีกซักคน”
    “!!!?”
    คำกล่าวนั้นทำเอาหัวใจของผมแทบจะหยุดเต้น!
    “และผมจะยินดีมาก ถ้าคนๆนั้นจะเป็นคุณ”

    "Long enough to hear those sweet words
    And your simple melody. “


    “อะ...เอ้อ...เอ้อ ผม....”
    ผมประหม่าจนนึกพูดสิ่งใดไม่ออก คำขอของผู้สูงวัยกว่าทำเอามึนงงไปหมด และมันคงและดูเป๋อเหลอมากจนดร.Clyneกลั้นยิ้มขัน
    “คุณคงคิดว่าผมแย่มากสินะ เป็นพ่อภาษาอะไร...”
    “มะ...ไม่ๆๆๆ ไม่ใช่ครับ ไม่ใช่อย่างนั้นเลย!!”
    ผมได้ยินตัวเองปฏิเสธเสียงรัว ยิ่งได้ยินเสียงเพลงหวานใสของเธอคนนั้น....บวกกับคำของร้องเมื่อสักครู่แล้ว...ก็ยิ่งทำอะไรไม่ถูก

    ดร.Clyneหยุดหัวเราะ แล้วเปลี่ยนเป็นจ้องมองผมด้วยแววตาตั้งมั่น
    “ผมอาจจะเป็นพ่อแย่ๆ.... ลูกสาวคนเดียวก็ไม่สามารถปกป้องได้เอง หากแต่.... ถ้าคำที่กล่าวว่า เห็นผมเป็นดั่งญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งของคุณเป็นเช่นนั้นจริง ก็ได้โปรดพิจารณาคำขอร้องของผมด้วยเถอะนะ”

    ผมรู้สึกถึง”ความหวัง”ที่ดร.มีในตัวผม แม้ไม่เข้าใจว่า.... เหตุใด ท่านจึงกล่าวขอร้องเช่นนั้นออกมา แม้ไม่รู้ว่า ตัวเองจะทำได้หรือไม่ แต่....

    ”I just have to hear those sweet words.
    Spoken like a melody. “

    “ดร.ครับ เมื่อท่านมอบความไว้เนื้อเชื่อใจให้ผมแล้ว.... ผมก็จะไม่ทำให้ท่านผิดหวังครับ”

    ผมอยากจะ....ลองพยายามดูสักครั้ง
    อยากจะ....ปกป้องเสียงเพลงที่เปี่ยมไปด้วยความสุขนี้

    “ผมให้สัญญา”

    เมื่อกล่าวคำๆนี้....มันก็เป็นดั่งการแบกรับภาระที่หนักยิ่ง ผมรู้ในข้อนี้ดี กระนั้น....
    ภายในหัวใจ ก็ยังปรารถนาเช่นนั้น

    ”I just want to hear
    those sweet words…..”

    [Special Credit for “Those sweet words” by Norah Jones]
    ##############################################

    “ดร.Clyne!!Lacus!!ขอโทษที่ผมมาช้าครับ!!!”
    ผมวิ่งกระหืดกระหอบฝ่าฝูงชนคราคร่ำไปยังจุดนัดพบที่ท่าเรือเดินสมุทร สองพ่อลูกมองผมขำๆ แล้วLacusจึงโบกมือให้ผม
    “ทางนี้ค่ะ Kira”

    ผมหยุดหอบขณะที่วางกระเป๋าเอกสารลงข้างตัวเมื่อไปถึงตัวสองพ่อลูกครอบครัวClyne ผศ.ดร.Seigel Clyneหัวเราะอย่างอารมณ์ดี แล้วกล่าว
    “ขอบคุณนะKira ทั้งที่มีสอนแท้ๆ ยังอุตส่าห์มาส่ง”
    “มิได้ครับ” ผมยืดตัวขึ้น พลางถอดแว่นออกเพื่อเช็ดละอองเหงื่อที่ติดอยู่บนกระจก ก่อนหย่อนมันลงกระเป๋าเสื้อโค้ตไป “อาจารย์ที่ภาควิชาของผมฝากความปรารถนาดีและคำอวยพรมาให้ท่านมากมายครับ ถ้าผมไม่มา พวกนั้นคงโกรธแย่”
    ดร.Clyneหัวเราะแล้วหันหน้าไปหาเหล่าคณาจารย์ที่ร่วมเดินทางไปด้วย พลางบอกกับบุตรสาว
    “Lacusไปบอกท่านๆให้พ่อหน่อยซิลูก บอกว่าให้ขึ้นเรือไปก่อนเลย เดี๋ยวพ่อจะตามไป”
    “ค่ะ คุณพ่อ”
    สาวน้อยรับคำเสียงใส หล่อนพาร่างเล็กในชุดกระโปรงยาวสีขาวปักลายทางสีน้ำเงินและหมวกปีกกว้างเดินตรงไปยังกลุ่มอาจารย์สูงวัย หล่อนสนทนากับเหล่าสุภาพบุรุษอาวุโสอย่างไม่ขัดเขิน และดูท่านเหล่านั้นจะเอ็นดูหล่อนในฐานะของ”ลูกเพื่อน”อยู่ไม่น้อย

    “หวังว่าคุณคงไม่ว่าผมบ้านะ”
    “ครับ?”
    “ถ้าผมจะขอให้คุณช่วย ย้ำสัญญาที่ให้ไว้เมื่อคืนอีกครั้ง”

    ผมมองร่างเล็กบอบบางและดวงหน้าที่ระบายรอยยิ้มใสๆนั้น แล้วหันกลับมากล่าวด้วยความตั้งใจจริง
    “ผมสัญญาครับ ดร.Clyne โปรดวางใจ”
    ท่านยิ้มอ่อนโยน และเต็มไปด้วยความหวัง ความเชื่อมั่น
    “ขอบคุณ....”

    เพียงเท่านั้น....และท่านก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใดกับผมอีกเป็นพิเศษ จนกระทั่งได้เวลาที่เรือเดินสมุทรใกล้จะออกตัวเต็มที ดวงหน้าสดใสของสาวน้อยเจ้าของเสียงเพลงอ่อนหวานเมื่อคืนก็เริ่มจะหม่นหมอง ผู้เป็นพ่อวางมือลงบนหมวกปีกกว้างของหล่อนเบาๆ ราวกำลังลูบศีรษะเด็กเล็กพลางกล่าว
    “อย่าทำหน้าแบบนั้นสิลูก โตแล้วนา”
    “ก็ลูก....เป็นห่วงนี่คะ....”
    เสียงนั้นเบา หากเต็มตื้นจนผมเองยังรู้สึก ผศ.ดร.ยิ้มเศร้านิดๆ แล้วจึงกล่าว

    “พ่อจะเขียนจดหมายมาแน่ๆ และพ่อต้องปลอดภัย เชื่อสิลูก เราไปในฐานะครู ไปเพื่อชี้แนะแนวทางทางการปกครองที่ถูกต้องแก่เขา เราไปอย่างมิตร ไม่ต้องห่วงพ่อหรอกลูก”
    “ค่ะ....” หล่อนรับคำ “ลูกเข้าใจค่ะ คุณพ่อ”
    “หนูแหล่ะ อยู่ทางนี้ ดูแลบ้าน ดูแลตัวเองดีๆ พ่อเชื่อว่าLacusทำได้”

    จบประโยค ผศ.ดร.Seigel Clyneก็โอบกอดบุตรสาวสุดรักแนบอก
    “พ่อรักและเชื่อในตัวลูก”
    ดูเหมือนหล่อนพยายามเหลือเกิน ที่จะกลั้นน้ำตาซึ่งคลออยู่เต็มดวงตาของตน
    “ค่ะ.... คุณพ่อ”

    ผมใจหายนิดๆ ดร.ผู้อาวุโสซึ่งผมให้ความเคารพ ทั้งในฐานะเพื่อนร่วมวงการวิชาการและในฐานะครู กำลังจะเดินทางไกล ผมจึงยื่นมือให้ท่าน และกล่าวออกมาด้วยใจจริง
    “กรุณาระวังตัวด้วยนะครับ ดร.Clyne ขอให้ท่านโชคดีครับ”
    “ขอบคุณ Kira” ท่านจับมือผม ก่อนจะดึงตัวผมเข้าไปตบหลังเบาๆ

    “ฝากด้วยนะ”
    ท่านพึมพำบอกผม ก่อนจะผละไปกอดบุตรสาวอีกครั้ง

    และครั้งนี้....เมื่อท่านผละไป ก็มิได้หวนกลับมาอีก

    เสียงหวูดจากปล่องควันดังก้อง จากเบื้องล่าง ผมและLacusมองเห็นบุรุษวัยกลางคนในชุดเสื้อโค้ตสีน้ำตาลเข้มยืนอยู่ริมระเบียงเรือเดินสมุทรลำใหญ่ ท่านถอดหมวกและโบกให้เรา เฉกเช่นเดียวกับผู้โดยสารอีกหลายคนที่ทำเช่นนั้นเพื่อร่ำลาเหล่าผู้คนที่ตนรัก

    .....จนกระทั่ง ภาพเรือลำยักษ์ลับสายตาไปกับน่านน้ำสีคราม ผู้คนที่ท่าเรือเดินสมุทรเริ่มทยอยกันกลับ มีเพียงร่างเล็กบางของหญิงสาวในชุดกระโปรงยาวสีขาวลายทางยืนอยู่ผู้เดียว เรือนผมสีPink Blondใต้หมวกปีกกว้างสีเดียวกับชุดประดับดอกไม้พลิดพลิ้วตามแรงลม ดวงตาสีฟ้าครามคู่งามมองออกไปไกล

    “Lacus”
    ผมเรียกหล่อนแผ่วเบา หล่อนค่อยๆหันมา ส่งยิ้มให้ผม หากมิได้กล่าวสิ่งใด
    “Athrunแจ้งสก็อตแลนด์ยาร์ดทางโน้นไว้แล้วครับ ว่าให้คอยคุ้มกันท่านเมื่อไปถึง” ผมเดินเข้าไปยืนเคียงหล่อน “ทุกอย่างต้องเรียบร้อยครับ”

    “ค่ะ.... ดิชั้นก็หวังเช่นนั้น”
    เสียงนั้นแผ่วเบาราวกำลังบอกตัวเอง เรานิ่งไปครู่ใหญ่ ผมจึงถามขึ้น
    “อยากไปที่ไหนรึเปล่าครับ?”
    “เอ๊ะ?”
    “จะได้สบายใจขึ้นไงครับ เอ้อ หรือไม่ก็ ไปหาอะไรทาน....”
    ผมพูดยังไม่ทันจบ หญิงสาวก็หัวเราะกิ๊ก
    “ขอบพระคุณค่ะ ที่ห่วงใย แต่ดิชั้นมีภาระต้องไปซ้อมบทละครที่Rosettaเย็นนี้ คงต้องไปแล้วหล่ะค่ะ”

    “ถ้าเช่นนั้น เราไปด้วยกันเถอะครับ”
    ผมกล่าว “ให้ผมไปส่งนะ”
    ดวงตาสีฟ้าครามมองผมอย่างแปลกใจ ผมคิดว่าตัวเองยิ้ม ยิ้มให้หล่อนอย่างจริงใจที่สุด
    “ผมทิ้งหนังสือดีๆไว้ที่ห้องสอนพิเศษStellarสองสามเล่ม ก่อนเวลาซ้อม.... อยากจะมีเวลาแนะนำคุณบ้าง เอ้อ หมายถึง.... ถ้าคุณสนใจจะอ่านนะ”

    Lacus Clyneหัวเราะเสียงใส ดวงตาพราวระยับ
    “ดิชั้นสารภาพว่าอ่านLes Miserablesจบนานแล้วล่ะค่ะ หากยังไม่มีโอกาสได้คืนแก่คุณเลย คุณเตือนดิชั้นด้วยนะคะ”
    “เก็บไว้ก่อนก็ได้ครับ ไม่ต้องรีบคืนผมหรอก ผมยังมีหนังสือของVictor Hugoดีๆที่อยากให้คุณอ่านอีกมาก”
    หล่อนนิ่งฟังผม รอยยิ้มบนแก้มแดงๆนั้น สว่างใสเหมือนแสงแดดอ่อนๆยามนี้
    “มาเถอะครับ เดี๋ยวรถม้าจะถูกแย่งเสียหมด” ผมเปลี่ยนเรื่อง แต่หล่อนกลับเรียกผมไว้
    “Kiraคะ บอกชั้นได้มั๊ยคะ?”
    “ครับ?”
    “แอบไปงุบงิบคุยอะไรกับคุณพ่อคะ?”
    หล่อนเอียงคอถาม ดวงตาเปล่งประกายสงสัย

    ผมนึกอยากจะหลบสายตาคู่นั้น แต่ก็ทำได้เพียงยิ้มจางๆแล้วบอกกับหล่อน
    “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกครับ”
    “แน้!” หล่อนร้อง แต่ผมชิงตัดบทด้วยการร้องเรียกรถม้าขึ้นมาเสียก่อน
    “อ๊ะ!!จอดด้วยครับ”

    คิ้วเรียวสวยขมวดมุ่นอย่างขัดใจ ผมกลั้นยิ้มขัน ขณะบอกจุดหมายกับสารถีคนขับ
    “ไปRosettaครับ”
    คนขับรถพยักหน้ารับ ผมจึงก้าวไปเปิดประตูรถม้า แล้วหันมาส่งมือให้หญิงสาวตรงหน้า
    “ไปกันเถอะ”

    หล่อนยกมือขึ้นอย่างชั่งใจ ก่อนช้อนตาขึ้นมองผม
    “ค่ะ”
    ก่อนที่....มือของเราทั้งสองจะจับกันไว้มั่น

    และ....ยิ่งมั่นคงในห้วงความรู้สึกนี้ของผม
    ############################################

Share This Page