Re: The Legacy War ~Page 4~ The Demon Lord ตอนมามาลงแล้วเมื่อวานว่าจะเข้ามาอ่านแต่ลืม นอนไปก่อน ไม่ได้อ่านมานานฝีมือการเเต่งก็ยังคงดีเหมือนเดิม แถมรอบนี้ยังอ่านได้จุใจอีก ปล.ตอนนี้มีเซอร์วิสซีนเสี่ยงตายด้วยสินะ(ฮา)
Re: The Legacy War ~Page V~ Crystal of Fate ~History Page’s V~ ~The Crystal Of Fate~ จอมดาบกำลังรำลึก....... เหนือสุดเขตแดนอันหนาวยะเยือกของราชอาณาจักรรูบิเนเซีย ปรากฎร่างของชายสองคนท่ามกลางลมหนาวและหิมะอันรุนแรง เบื้องหน้าพวกเขานั้นเป็นกระท่อมหลังน้อยที่ไร้ผู้อาศัย แต่ตอนนี้กลับสว่างไสวด้วยกองไฟเล็กๆซึ่งเด็กสาวผู้กำลังรอคอยทั้งสองได้จุดมันขึ้น ชายทั้งสองย่างกรายเข้าไปด้านในก่อนจะทิ้งตัวลงบนพื้นไม่ผุๆที่ส่งเสียงเอียดอาดน่ารำคาญตลอดเวลา....สายตาทุกคู่ต่างจับจ้องไปที่ดวงไฟที่วูบไสวตามแรงลม เสียงถอนหายใจดึงขึ้นวูบหนึ่งพร้อมไอเย็นๆที่พวยพุ่งตามมา “สรุปแล้วเจ้านั้นคือตัวปัญหาสินะ” ชายหนุ่มผมทองเอ่ยขึ้นพลางยืนมือทั้งสองเข้าพิงกองไฟ “น่าจะเป็นแบบนั้น...” ชายอีกคนเอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบพลางเหม่อมองไปตามเงาวูบของแสงไฟ บทสนทนาถูกแทนที่ด้วยความนิ่งเงียบ เด็กสาวยืนมือเข้าผิงกองไฟบ้างพลางนั่งคู้ตัวเพราะความหนาวเย็น “ไม่ชอบที่แบบนี้เลย” เด็กสาวเอ่ยขึ้นเบาๆแต่ก็เพียงพอให้ทั้งสองคนได้ยินถนัดหู “อีกไม่นานเราก็จะไปจากที่นี่แล้วล่ะ” ชายหนุ่มผมสีเทาอ่อนจนเกือบจะขาวกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบเช่นเคย “ที่อุตส่าห์ขอร้องให้มาถึงนรกไอติมแบบนี้ คงไม่ได้แค่คุยเรื่องไร้สาระหรอกนะ” บุรุษผมทองเอ่ย พลางเขยิบตัวเข้าใกล้กองไฟมากขึ้น “ชั้นอยากให้นายช่วยดูแลคนๆนึงให้หน่อย” ชายผมเทากล่าวพลางหันหน้ามามองคู่สนทนา บุรุษในชุดขาวมองใบหน้าที่เห็นเพียงครึ่งจากเสียงไฟ พลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ “เด็กคนนั้นน่ะเหรอ” เขาเว้นจังหวะครู่นึงก่อนจะเอ่ยต่อ “แต่ได้ยินมาว่าฝีมือดีมากเลยนิ ไม่เห็นจำเป็นต้องไปดูแลให้เสียเวลา” “ถือว่าชั้นขอร้องล่ะกัน” คำกล่าวเพียงสั้นๆของสหายพลันเปลี่ยนอารมณ์เบื่อหน่ายในใจ เขาทิ้งตัวไปเบื้องหลังพลางใช้สองมือยันตัวเอาไว้ก่อนจะเงยหน้ามองเพดานเก่าๆใกล้พังด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ชั้นจัดการทุกอย่างให้แล้ว อีกสามวันนายก็ลงใต้ไปรอได้เลย” ชายผมเทาเอ่ยต่อ “ทำไมต้องเป็นข้าว่ะ” เขาเอ่ยพลางทำสีหน้าไม่สบอารมณ์ “เพราะเป็นคนเดียวที่ชั้นไว้ใจ” ชายหนุ่มผมเทาผุดยิ้มขึ้นที่มุมปาก “และเป็นการบอกให้โลกรู้ด้วยว่ายังมียอดฝีมือที่ชั้นยังไม่มั่นใจว่าจะชนะอยู่บนโลกนี้ด้วยยังไงล่ะ” “เฮ้อ สุดท้ายก็แค่ทำให้มันวุ่นวายมากขึ้นไม่ใช่หรือไง” “สถานะของชั้นตอนนี้ยังไปดูแลเธอเองไม่ได้ ไม่งั้นก็ไม่มาขอร้องหรอก” ชายหนุ่มผมทองยังคงทอดสายตาอย่างไร้จุดหมาย ลมหายใจยังคงเจือไปด้วยไอน้ำที่พวยพุ่ง เปลวไฟเบื้องหน้าวูบไสวเริงระบำราวกับจะช่วยแต่งเติมบรรยากาศอันเงียบงันนี้ “ร้อยวันพันปีแกไม่เคยขอร้องอะไรนี่นะ....... ตกลง วางใจได้เลย เพื่อน....” ……….. ……………. ………………………. ..........หลังจากการสู้รบที่พรหมแดนของฟาลาจิ พวกเบลก้าที่รอดไปได้ต่างพร้อมใจขนานนามให้กับนักดาบปีศาจในชุดขาวว่า ‘demon lord’ ซึ่งตัวชั้นเองนั้นแทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่าราชามารตนนี้ตอนอยู่ที่ฐานของพวกเรานั้นเป็นเพียงแค่จอมขี้เกียจคนนึงเท่านั้น แต่ความสามารถที่แสดงแล้วให้ทุกคนได้ประจักษ์นั้นก็เพียงพอสำหรับพวกเราทุกคน และสมญา ‘ราชามาร’ นั้นก็บ่งบอกฝีมือของเขาได้อย่างดีเกินคาด ข่าวคราวของ ‘ไอเย็นแห่งรัตติกาล’ และ ‘นภาคำราม’ นั้นก็เงียบหายไปโดยไม่รู้สาเหตุ ส่วนเร็กซ์ก็ถูกเรียกไปรวมกลุ่มกับพวกหัวหน้าอย่างกะทันหัน พวกชั้นที่เพิ่งจะรอดชีวิตกลับมาก็หลับเป็นตายเพราะความเหนื่อยอ่อน ช่างเป็นสัปดาห์ที่วุ่นวายกันเสียจริง...... ส่วนพวกอัศวินกางเขนดูจะไม่สบอารมณ์กับการที่ต้องมารวมกลุ่มกับพวกเราพอสมควร แม้แต่ตอนแยกจากยังไม่เอ่ยคำอำลากันแม้แต่น้อย มีเพียง ‘ปีศาจสีขาว’ เท่านั้นที่ยังแสดงออกพอเป็นพิธี (คงไม่อยากถูกพวกเดียวกันเพ่งเล็งล่ะนะ) แต่นั้นก็เพียงพอให้รองหัวหน้าของเรายิ้มหน้าบานแล้วล่ะ แต่ทุกคนรู้แล้ว...... ว่าศึกครั้งนี้คือการประกาศอย่างชัดแจ้ง ถึงการไล่ล่าที่จะรุนแรงขึ้นทุกลมหายใจ .......................... ........................................ ........................................................ เสียงสายลมยามค่ำคืนพริ้วไหว.... ท้องฟ้าสีดำที่ถูกแต่งแต้มด้วยดวงดาวนับร้อยพันกำลังส่องแสงระยิบระยับราวกับจะแสดงถึงความเป็นใหญ่ของตน เบื้องล่างนั้นคือพื้นหินอ่อนสีขาวสะอาดตาจนสะท้อนได้ราวกระจกเงา เสาหินถูกตั้งเรียงรายนับร้อยพันแต่ส่วนเพดานกลับเปิดโล่ง ด้านข้างทั้งสองฝั่งมืดสนิทราวรัตติกาลอันไร้ที่สิ้นสุด ส่วนหน้าสุดนั้นเป็นบังลังค์สีขาวที่ถูกตั้งบนแท่นหินอ่อน ซึ่งมีเด็กสาวผู้นึงนั่งรอการมาเยือนบนบังลังค์อย่างสบายอารมณ์..... เสียงฝีเท้าของผู้คนจำนวนนึงก้าวไปตามทางเดินหินอ่อน ผู้นำมานั้นคือหญิงสาวผมไข่มุกยาวสลวย ใบหน้าที่ดูไม่จริงจังกับสิ่งใดนั้นขัดกับสายตาที่มั่นคง เธอก้าวเดินกระฉับกระเฉงพร้อมกับเสียงฝีเท้าอีกสองคู่ที่ตามมาไม่ห่าง “อะไรกันเน้อ ที่ทำให้ ‘ดวงตานรกไร้ก้น’ มาถึงปราสาท ‘ดารานิรันดร์’ ของข้าได้” เสียงทักทายเจือความรู้สึกอันเหนือกว่าทักทายจากบังลังค์หินอ่อน อลิสยังมิได้กล่าวสิ่งใดนอกจากรอยยิ้มทะเล้นๆพลางมองไปที่เสาหินอ่อนต้นนึงที่อยู่เบื้องหน้า “ก่อนจะตอบคำถามนั้น คนที่หลบอยู่ตรงเสาออกมาก่อนดีกว่ามั้ง” แล้วร่างเพรียวบางราวกับจะบุบสลายของสตรีผู้นึงก็เผยออกมา ดวงตาสีเขียวมรกตจับจ้องไปที่คณะของพวกอลิสเธอก้าวเดินอย่างมั่นคงพลางสะบัดผมสีน้ำตาลยาวด้วยท่วงท่าสง่างาม นายหญิงแห่งเนเธอร์เวิร์ลเอียงคอไปด้านข้างเล็กน้อย พลางก้าวเดินอย่างสบายอารมณ์ “ไมได้เจอกันนานนะ ‘อัคคีพิโรธ’ โทโนะ อากิฮะ” “เช่นกัน...” อากิฮะ กล่าวสั้นๆ “เป็นภาพที่หาดูยากจริงๆนะ การชุมนุมแบบนี้ นี่ถ้าเจ้า “ไอเย็นแห่งรัตติกาล” มันอยู่ด้วยคงจะน่าจดจำและคงพิลึกกว่านี้เยอะ” เด็กสาวผู้มีใบหน้าอ่อนเยาว์แต่กลับสง่างามทุกกริยาพูดด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจ เธอนั่งไขว้ห้างพลางจิบแก้วไวน์ในมือ ผมสีทองที่ยาวถึงพื้นนั้นค่อยๆปลิวไสวไปตามลมยามราตรี “ข่าวพวกเธอก็ไวใช่เล่นนะ พอรู้ว่าเจ้าบอดนั้นแวะมาหาชั้นก็ตามมาถึงนี่กันเชียว” “เพราะเป็นแวมไพร์เหมือนกันล่ะมั้ง” เซราส วิคตอเรีย รองหัวหน้าของเนเธอร์เวิร์ลเอ่ยขึ้น “งั้นนี่ก็แสดงว่าพวกเบลก้าไม่มีแวมไพร์ถึงไม่ได้โผล่มานี่น่ะสิ” อากิฮะ กล่าวพร้อมหัวเราะเบาๆ “งั้น ‘ราตรีหมื่นดาว’ ผู้นี้ก็ควรต้องยินดีกับการที่มีแวมไพร์ในปราสาทนี้คาบข่าวไปบอกพวกเธอหรือไง” เด็กสาวลุกขึ้นจากบังลังค์ลักษณะภายนอกของเธอไม่ว่าจะดูจากมุมไหนก็แค่เด็กประถมเท่านั้น แต่รัศมีความน่าเกรงขามที่แผ่ออกมาอย่างเหลือเชื่อนั้นไม่ทำให้รู้สึกว่าเธอเป็นเพียงแค่เด็กคนนึงแม้แต่น้อย เธอก้าวเดินลงจากบันไดหินอ่อนช้าๆแต่ก็ยังคงยืนอยู่เหนือแขกผู้มาเยือนคนอื่นๆ พลางกวาดดวงตาสีแดงเข้มมองไปทางชายหนุ่มเพียงคนเดียวที่ยืนสั่นอยู่ “อะไรกัน ‘เทพอัสนีบาต’ ทำไมทำท่าอ่อนแอแบบนั้น” “เปล่า ผมแค่รู้สึก....หนาวๆ” เร็กซ์พูดด้วยเสียงสั่นครือซึ่งความเป็นจริงนั้นการที่เขาคนนี้ยืนสั่นไม่ใช่เพราะอากาศหนาวหรืออย่างไร แต่เพราะแรงกดดันมหาศาลจากทั้งตัวหัวหน้าของเขาและแวมไพร์สาวทั้งสาม ซึ่งตัวของเร็กซ์นั้นยังไม่เคยเจอสถานการณ์กดดันขนาดนี้มาก่อน “แล้ว เจ้าผีน้อยที่ชั้นฝากให้ดูแลล่ะอลิส” คราวนี้เด็กสาวหันไปถามอลิสบ้าง “อ้อ ฮิวโก้น่ะเหรอ หลับเป็นตายอยู่น่ะ” อลิสตอบยิ้มๆโดยรู้ความหมายของเธอทันที “เรื่องทักทายน่ะพอแค่นั้นก่อนเถอะ” อากิฮะพูดตัดบทขึ้น “ที่ชั้นอุตส่าห์ถ่อมาถึงนี้ก็เพราะเจ้าบ้านั้นบอกมีเรื่องน่าสนุก ไม่ใช่เพราะมาฟังพวกคุณสนทนากันหรอกนะ” “พอทีแบบนี้แล้วก็สนใจกันขึ้นมาเชียวนะ อากิฮะ....ดูท่าเธอจะลืมบุญคุณที่ชั้นเคยเลี้ยงดูเธอมาแล้วสินะ อีกอย่างถ้าไม่ได้ชั้นเธอเองก็คงไมได้ไปอยู่กับเจ้า ‘กางเขตเลือด’ นั้นหรอก” เด็กสาวพูดถึงหัวหน้าของอัศวินกางเขนเป็นเพียงเพื่อนเล่นของเธอ อากิฮะเบื้อนหน้าหนีพลางเดาะลิ้นไม่สบอารมณ์ ผิดกับเซราสที่หัวเราะคิกๆอย่างอารมณ์ดี “มันก็เป็นเรื่องจริงที่แวมไพร์แทบทุกคนในปัจจุบันล้วนมาจากที่นี้ ทำยังไงก็เบื้อนหน้าหนีความจริงไม่ได้หรอกนะ” เธอพูดราวกับตอกย้ำว่า ‘อัคคีพิโรธ’ นั้นทำตัวเนรคุณ “ฮะๆ เอาเถอะชั้นไมได้ใส่ใจมากนักหรอก” เด็กสาวพูดพลางย่อตัวลงนั่งลงที่ขั้นบันใดหินอ่อน “แต่จะว่าไปคนที่อายุใกล้เคียงชั้นมากที่สุดในตอนนี้ก็คงต้องเป็นเจ้า ‘กางเขนเลือด’ นั้นล่ะนะ” ตัวตนที่แท้จริงของแวมไพร์ในคราบเด็กสาวผู้นี้คือ เอวาเจลีน เอ.เค แม็กโดเวล หรือ ‘ราตรีหมื่นดาว’ ราชินีของเหล่าแวมไพร์ผู้ซึ่งอาศัยอยู่บนโลกนี้มาหลายร้อยปีทีเดียว ร่างกายของเธอที่ยังคงอยู่ในคราบเด็กน้อยนั้นเป็นความปราถนาของเธอเอง ที่สำคัญเธอคนนี้ได้เข้าร่วมสงครามเมื่อสองร้อยปีในฐานะมหาเวทย์ของราชวงศ์บัลดูลที่ปัจจุบันเป็นส่วนนึงในดินแดนของรูบิเนเซีย เด็กสาวเผยรอยยิ้มแบบเด็กๆราวกับอยากจะเล่นซน “เอาล่ะ เข้าเรื่องเลยล่ะกันนะ ไหนๆก็มากันแล้ว” “พวกเธอคงรู้กันอยู่แล้วว่าเจ้า ‘ไอเย็นแห่งรัตติกาล’ กับ ‘นภาคำราม’มาที่นี่เมื่อสี่วันก่อน” ทั้งฝ่ายอลิสและอากิฮะต่างพยักหน้าถึงข่าวคราวเรื่องนี้ “และสิ่งที่เจ้าพวกนั้นมาถามชั้นก็คือ ที่อยู่อันแน่นอนของผลึกแห่งทราน” ทุกคนถึงกับเผยสีหน้าตกตะลึงกันทันทีเว้นแต่เพียงเร็กซ์เท่านั้นที่ไม่รู้ว่าของสิ่งนี้คืออะไร “เอ่อ....ผลึกแห่งทราน มันคืออะไรเหรอครับ” เร็กซ์ถามซื่อๆ และอากิฮะก็เป็นผู้ตอบคำถามนี้ “สมบัติวิเศษที่ว่ากันว่าเป็นตัวผูกพันธสัญญาระหว่างอาวุธทั้ง 13 ชิ้นเข้าด้วยกัน” “ใช่ และพลังอำนาจของมันนั้นสามารถเรียกอาวุธทั้งหมดไปหาผู้ถือครองผลึกชิ้นนี้ได้” เซราสพูดเสริมขึ้น “งั้นก็หมายความว่าถ้าใช้พลังของผลึกนั้นก็สามารถเรียกอาวุธทั้งหมดได้โดยไม่ต้องออกไปตามล่างั้นเหรอครับ” เร็กซ์กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นครือเช่นเดิม “ถูกต้องแล้ว” อลิสพูดขึ้นบ้าง “แต่ว่าผลึกนี่ได้ถูกแยกไปเป็นสองส่วน ส่วนนึงผู้สืบสายเลือดแห่งความมืด‘เฮฟทิก’ ได้เป็นผู้ครอบครองไว้ อีกส่วนนั้นสายเลือดอันยิ่งใหญ่ในอดีต ราชวงศ์ ‘อัลคาเดีย’ ได้เก็บรักษาเอาไว้” “ก็จริงอย่างนั้น แต่จะมีอาวุธเพียงสองชิ้นเท่านั้นที่จะไม่ไปตามพันธสัญญาของผลึกแห่งทราน” เอวาอธิบายเพิ่มขึ้น “นั้นก็คือ ดาบลิขิตสวรรค์ ‘แลงกริซเซอร์’ และดาบจ้าวนรก ‘อัลฮาซาร์ด’” “อย่างงี้นอกจากดาบสองเล่มนั้นแล้วอาวุธชิ้นอื่นๆก็” เร็กซ์กล่าวด้วยความลนลานเมื่อรู้ว่าศาสตราของเขาอาจโดนชิงไปเมื่อไรก็ได้ “แหมๆ ‘เทพอัสนีบาต’ ไม่ต้องกังวลขนาดนั้นก็ได้ เงื่อนไขการทำงานของผลึกนี้มันค่อนข้างยุ่งยากอยู่เพื่อป้องกันเหตุแบบนี้น่ะนะ” เอวาเอ่ยอารมณ์ดีพลางยืนขึ้นจากขั้นบันใดหินอ่อน “การที่ผลึกจะทำงานนั้นจำเป็นต้องมีศาสตราในครอบครองห้าชิ้นจาก 13 ชิ้นเพื่อทำให้กลไกที่ถูกวางไว้ทำงานอีกอย่างตัวผลึกทั้งสองส่วนนั้นก็ต้องถูกประกอบเข้าด้วยกันด้วย” เอวาอธิบายยาวเหยียด แต่เร็กซ์เองก็เข้าใจได้ในระดับนึง “แล้วคุณได้บอก ‘ไอเย็นแห่งรัตติกาล’ ไปหรือเปล่าว่าผลึกทั้งสองส่วนนั้นตอนนี้ใครถืออยู่” อากิฮะยิงคำถามทันที เพราะเธอเรื่มเบื่อกับคำอธิบายที่รู้ดีอยู่แล้ว “ชั้นบอกเป็นเพียงว่า มาถามคำถามที่รู้อยู่แล้วทำไม” เอวา ตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยผิดกับเมื่อครู่ “และการที่เจ้านั้นมาถามก็เพียงเพื่อตอกย้ำความมั่นใจเท่านั้นแหละ” “แต่มีเรื่องนึงที่ชั้นสงสัยมาตลอด” อลิส ที่นิ่งเงียบอยู่เอ่ยปากขึ้น “ทำไม ‘ไอเย็นแห่งรัตติกาล’ ถึงถูกไล่ล่าขนาดนั้น มันต้องมีเหตุผลใช่ไหมคุณ ราตรีหมื่นดาว” เอวา นิ่งไปชั่วครู่ก่อนเผยรอยยิ้มที่มุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ “ก็อย่างที่พวกเธอเดาๆกันนั้นแหละ ว่าไอ้บอดนั้นมันคงถือของดีอะไรสักอย่าง” “และของชิ้นนั้นก็คือ ดาบจ้าวนรก ‘อัลฮาซาร์ด’ หนึ่งในศาสตราที่ไม่ได้ผูกพันธสัญญาโดยสมบูรณ์ของผลึกแห่งทราน” ทุกคนอึ่งไปกับคำตอบนี้ชั่วครู่พลางนึกไปถึงอาวุธสำคัญอีกชิ้น เซราสจึงเอ่ยปากถามทันที “แล้วดาบลิขิตสวรรค์ล่ะ” “ขอโทษด้วยนะถึงเป็นพวกเธอชั้นก็คงบอกไม่ได้” เมื่อเอวาตอบแบบนี้ทุกคนก็ได้แต่นิ่งเงียบเพราะไม่ว่าจะเค้นอย่างไรถ้าแวมไพร์สาวพูดนี้ไม่ตอบก็ไม่มีวันจะตอบแน่ “เอ่อ....มีคำถามอีกข้อครับ” เร็กซ์ยกมือถามอีกครั้ง ซึ่งเอวาเองก็พยักหน้าพร้อมยิ้มให้อย่างเป็นมิตร “แล้วทำไมศาสตราทั้งหมดตั้งทำสัญญาบ้าๆนี่ด้วยล่ะครับ” ราตรีหมื่นดาวไม่ได้ตอบอะไร แต่กลับเบ้ปากไปด้านข้าง “มันเป็นกุญแจสำคัญในศึกเมื่อสองร้อยไปก่อนน่ะ แต่ชั้นขี้เกียจเล่าไว้วันหน้าล่ะกัน” เธอตอบตัดบทสั้นๆ ทำเอาเร็กซ์ที่ยืนลุ้นอยู่ผิดหวังไปเลยทีเดียว “เอาล่ะ เรื่องเครียดๆก็พอแค่นั้นล่ะกันชั้นมันเป็นพวกรำคาญเรื่องรกสมองซะด้วยสิ พวกเธอก็เดินทางกันมาไกลก็พักซะที่นี่สักคืนล่ะกันนะ” เอวาเจลีน เอ่ยพลางกอดอกมองดูเหล่าแขกที่ยืนนิ่งไม่พูดไม่จา ซึ่งเธอก็ถือเอาความเงียบนั้นเป็นคำตอบทันที “ชั้นจะให้คนจัดห้องให้อยู่ล่ะกัน ตามมาทางนี้เลย” …………………. ………………………… ………………………………. ……………………………………. ยามค่ำคืนของเบลก้าในวันนี้วุ่นวายมากเป็นพิเศษข่าวกองกำลังเรือนพันถูกกำจัดภายในคืนเดียวด้วยฝีมือคนๆเดียวกลายเป็นประเด็นสำคัญ ยิ่งไปกว่านั้นความอัปยศนี่ล่วงรู้ไปทั่วทุกดินแดนยิ่งทำให้สถานการณ์ความมั่นคงของเบลก้าเริ่มสั่นคลอน สุดท้ายความรับผิดชอบทั้งหมดก็ตกไปอยู่บนบ่าของ ‘ยมฑูตแห่งเบลก้า’ อย่างช่วยไม่ได้ อเล็กซิสกำลังแผ่รังสีเกรี้ยวกราดในห้องทำงานกว้างๆของเขา เอกสารในมือทุกชิ้นผ่านสายตาโดยละเอียด กาแฟร้อนๆข้างกายทุกทิ้งจนเย็นเฉียบ “ฟังนะ ชั้นต้องรู้ให้ได้ว่าไอ้บ้าที่ทำลายกองกำลังของชั้นราบในคืนเดียวมันเป็นใครกันแน่” เสียงที่เต็มเปี่ยมด้วยโทสะทำเอาสาวน้อยที่อยู่อีกฝากของคริสตัลสื่อสารสะดุ้งไปเล็กน้อย “ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกค่ะ ชั้นจะรีบจัดการเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด” “ชั้นไม่ให้เวลาเธอนานมากนักหรอกนะ เกียรติของเบลก้าที่สูญเสียไปชั้นต้องการนำมันกลับมาให้เร็วที่สุด” “รับทราบค่ะ” อเล็กซิส ตัดสายอย่างไม่สบอารมณ์พลางจุดซิการ์ขึ้นสูบ บุรุษหนุ่มผมสีน้ำเงินยาวประบ่าอีกคนที่นั่งอยู่ในห้องถอนหายใจออกมายาวๆด้วยความเหนื่อยหนาย “ชั้นว่านายไม่น่าไปตะคอกใส่ขุนพลแบบนั้นนะ” “เพราะแผนของยัยนั้นมันล้มไม่เป็นท่า” “เอาหน่าๆ อย่าลืมสิว่าถ้าเจ้า ‘ราชามาร’ อะไรนั้นไม่โผล่ออกมาแผนของเธอก็ไปได้สวยเช่นทุกครั้งไม่ใช่เหรอ” ยมฑูตแห่งเบลก้านิ่งคิด ความโกรธที่ครอบคลุมจิตใจเริ่มสงบลง “คราวนี้ก็ขอให้มันออกมาดีๆล่ะกัน” ....................... .......................................... ...................................................... ........................................................................ เนตรอัคคีเหม่อมองไปในท้องฟ้าสีคราม..... ความสงบกลับมาเยือนพวกเขาอีกครั้ง ในขณะที่คนอื่นๆยังคงพักผ่อนจากศึกอันเหนื่อยล้า มีเพียงเธอที่ยังคงออกมาฝึกซ้อมยามเช้าเช่นทุกวัน (อาจเป็นเพราะออกแรงน้อยกว่าคนอื่นหน่อย) วงจรเปลวเพลิงเคลื่อนผ่านร่างกายเล็กๆก่อนจะออกมาเป็นรูปร่างปีกสีแดงสด เด็กสาวพยายามควบคุมรูปร่างนั้นให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ “ฮึ้บ....” ปีกสีแดงเพลิงขยายกว้างมากขึ้นตามพลังในร่างที่ถูกถ่ายทอดออกมา ก่อนจะสลายหายไปเมื่อเด็กสาวทรุดตัวลงกับพื้นหญ้าสีเขียวขจี “ฝืนมากไปหน่อยนะ” เสียงของชายหนุ่มดังขึ้นหลังต้นโพธิ์ต้นใหญ่ ชานะเปรยตามองไปในทิศทางนั้น “ไม่ต้องมายุ่งกับชั้น” เสียงเด็กสาวตอบกลับอย่างไร้เยื่อใย จนฟิโอนอสอดคิดไม่ได้ว่า ‘เกศาเพลิงเนตรอัคคี’ นี้เคยเรียนมารยาทอะไรมาบ้างหรือเปล่า “ก็แค่ให้คำแนะนำ...” เขาตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยก่อนทิ้งตัวลงนั่งบนพื้นหญ้า “เอ้า ต่อสิ” เขาไม่คิดว่าเด็กสาวอยากจะให้แนะนำ หรือ อยากจะให้เขาสอนอะไรนัก ซึ่งก็เป็นดั่งคาด ชานะไม่ได้สนใจในความปราถนาดีที่ไม่แสดงออกนั้นและยังคงตั้งหน้าตั้งตาฝึกร้อยเรียงพลังในร่างต่อไป (อายุแค่นี้แต่กลับร้อยเรียงเพลิงในร่างได้ดีเกินอายุแหะ....) ฟิโอนอสเพลิดเพลินกับกิจกรรมยามเช้าตรงนี้พอสมควร การได้นั่งเฝ้าดูเด็กอายุเพียงแค่สิบสองฝึกฝนในสิ่งที่ผู้ใหญ่ยังทำได้ยากลำบากก็เป็นความสุขอย่างนึงของเขา แม้ว่าจะเคยพูดเป็นนัยว่าจะช่วยแนะนำหรือสั่งสอนหลายต่อหลายครั้ง แต่ชานะก็ปฎิเสธด้วยท่าทางของเธอเรื่อยมา แต่ตัวฟิโอนอสก็ไม่ได้รังเกียจกริยามารยาทแบบนี้ของเธอ เสียงยานพาหนะดังขั้นในความเงียบสงบของรุ่งอรุณ... ทั้งคู่หันมองไปตามทิศทางนั้นรถเปิดประทุนคันเก่าของกลุ่มที่ขับมาโดย ‘เทพอัสนีบาต’ เช่นทุกครั้งกำลังเข้าจอด ชานะไม่รอช้ารีบวิ่งไปด้วยความไร้เดียงสาจนสิ่งที่เธอเมื่อครู่คล้ายเป็นเพียงภาพลวงตา ส่วนฟิโอนอสขยับตัวอย่างเชื่องช้าพลางเดินไปในทิศทางเดียวกัน “พี่อลิส...” เสียงเด็กสาวดังขึ้นก่อนมองหน้า ‘ดวงตานรกไร้ก้น’ ด้วยแววตาซื่อๆ “รู้แล้วๆๆ” อลิสเอ่ยพลางคว้าถุงขนมถุงนึงขึ้นมาก่อนยืนไปทางเด็กสาว มันคือ เมล่อนปัง สามชั้นโตๆ ชานะเผยรอยยิ้มอย่างยินดีก่อนจะคว้าเมล่อนปังทั้งสามชิ้นวิ่งหายไปในคฤหาสน์อิฐหลังใหญ่.... “ยังไงก็เด็กล่ะน้า” เซราสพูดพลางหยักไหล่ ส่วนอลิสนั้นก็มองตาไปด้วยรอยยิ้มอันสดใส “เป็นเด็กที่น่ารักมากด้วยครับ” ส่วนเร็กซ์ก็เคลิ้บเคลิ้มไปกับรอยยิ้มของชานะคล้ายพวกหลุดโลก “คุยกับ ‘ราตรีหมื่นดาว’ มาเป็นยังไงบ้างครับ” ฟิโอนอสเอ่ยปากถาม “เข้าไปข้างในก่อนแล้วจะเล่าให้ฟังล่ะกันนะ” ……………….. ……………………….. ……………………………… …………………………………….. พระราชวังอันงดงามของรูบิเนเซียเริ่มการเคลื่อนไหว…. เด็กสาวรูปร่างบอบบางราวตุ๊กตาแก้วใบหน้ารูปไข่ได้รูปราวกับไม่ใช่มนุษย์ ดวงตาสีเขียวมรกตเปล่งประกายสดใส ชุดกระโปรงยาวสีขาวที่ถูกประดับด้วยลูกไม้สีต่างๆ ตามลักษณะแบบโกธิคโลลิต้า พริ้วไหวไปตามการเคลื่อนไหวของเด็กสาว ในมือเล็กๆนั้นถือหนังสือเล่มโตอยู่หลายเล่ม “อ้าว แองจัง จะไปไหนเหรอ” เสียงผู้ดูแลพระราชวังรายนึงดังขึ้น เด็กสาวหันมองพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ “เผอิญมีงานต้องทำนอกพระราชวังน่ะค่ะ เลยต้องเตรียมตัวเล็กน้อย” เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงเล็กๆ “งั้นก็ขอให้โชคดีล่ะกันนะ” ผู้ดูแลอวยพร เธอก้มหัวให้ราวกับคุณหนูในงานสังคมชั้นเลิศ ผมสีทองที่ยาวสลวยเป็นลอนนั้นเคลื่อนไปตามเด็กสาว เธอค่อยๆเดินจากออกไป.... คทาสีทองที่สลักลวดลายอันวิจิตรและเต็มไปด้วยอักษรภาพ หัวคทาถูกประดับด้วยอัญมณีสึขาวขุ่นคล้ายหมอกที่ปกคลุมตลอดเวลา มันปรากฎขึ้นข้างกายเด็กสาว เธอมองมันช้าๆพลางใช้มือเล็กๆนั้นลูบไล้ไปตามด้ามคทา “ถึงเวลาแล้วสินะ ที่เราจะไปด้วยกัน....” ……………………………………………………………………………………….. Talk Talk Talk ให้ตายเหอะ คอมผมมันใกล้พังเต็มแก่แล้ว หลังจากลงตอนนี้ไปผมต้องเอามาไปนอน รพ. สักพักนึงบลูสกรีนมันเด้งสนุกสนานมากเลย บ้าเอ้ย !!!!!!! ไปๆมาๆ พอมาเขียนแบบนี้รู้สึกคนอ่านมากกว่าตอนเขียนฟิคปัญญาอ่อนแหะ 555+ เลยกลายเป็นว่าไม่อยากเขียนฟิคยำๆขึ้นมาซะงั้น เอาไว้ความบ้ากำเริบแล้วค่อยทำอีกสักรอบล่ะกันเน้อ Special Thanks 1.Evageline A.K Mcdowell (เขียนถูกไหมฟ่ะเนี่ย) From Negima! แวมไพร์น้อย ?? จอมเจ้าเล่ห์ ผู้ที่ไม่มีใครรู้ว่าในหัวสมองของเธอคิดอะไรอยู่กันแน่ จึงไม่มีบทไหนเหมาะสมกับเธอมากกว่าบทเจ้าแม่แบบนี้อีกแล้ว เอ้า เอวาจัง บอมบ่าเย่ !!! 2. สาวน้อยทรงตุ๊กตาที่จะมีบทบาทมากมายในตอนต่อๆไปให้กำลังใจสาวโกธิคคนนี้ด้วยน้า (ผมก็ชอบนะ จิ้นง่ายดี 555+) And All Friends And Fans THANKS !!!!!! ปล. เปล่าหรอกไม่ได้ไฟติดอะไรหรอก แค่เอาไอ้ที่ดองๆเอาไว้มาลงเท่านั้นเอง ก้ากๆๆๆๆๆๆ (ต้องรีบลงก่อนล้างเครื่องใหม่เดี๋ยวจะซวยเหมือนแม็กคุง) ปล.2 ของริวนะจังทันนะครับคนสุดท้ายพอดีเลยแหละ เพราะผมปิดรับหลังจากลงตอนนี้ดังนั้นไม่รับเพิ่มอีกแล้วนะครับ
Re: The Legacy War ~Page 5~ Crystal of Fate เอาวุ้ยๆ น้องตูเริ่มมีไฟซะแล้ว เหล่านิยายเริ่มถูกขุดขึ้นมาจากไหดอง ท่าทางจะอยู่เฉยไม่ได้เหมือนกันแฮะ ตอนใหม่นี่คือการโหมโรงก่อนเข้าสู่เนื้อหาหลักแล้วสินะ เป็นบทที่น่าสนใจมาก ทำได้เยี่ยมมาก โย
Re: The Legacy War ~Page 5~ Crystal of Fate เอ้า เอวาจัง บอมบ่าเย่ !!! เอวาได้ออกเเล้ว เย้!! โยจังไฟติดพรึบเลยเเฮะ ส่วนเราตอนเเรกพึ่งเเต่งไปครึ่งเดียวเอง อ๊ากกก ต้องรีบปั่น!!
Re: The Legacy War ~Page 5~ Crystal of Fate แลงกริสเซอร์ อัลฮาซาร์ด คิดถึงจังชื่อนี้ เขียนได้เยี่ยมเหมือนเดิมเลยนะคะ จะมาตามอ่านเรื่อย ๆ น๊า (เราเขียนได้ไม่ถึงครึ่งเลย >.<) ปล.ตกลงตัวละครเราสมัครทันไหมเนี่ย อยากเห็นพาลาดินสาวทำหน้าเชิดหยิ่งใส่คนอื่นจัง อิอิ
Re: The Legacy War ~Page 5~ Crystal of Fate เอวา ออกมาตอนแรกก็มาดเจ้าแม่สุดๆเลยเเฮะ(เหมาะสมกันสุดๆด้วย) เรื่องชักน่าติดตามขึ้นเรื่อยๆแล้วด้วย จะรอตอนต่อไปอย่างใจจดใจจ่อนะครับ
Re: The Legacy War ~Page 5~ Crystal of Fate เรื่องน่าติดตามขึ้น คนเริ่มเยอะขึ้น ฉายาเริ่มมากขึ้น และเริ่มมึนขึ้นกร๊ากกกกกกกก ผมมึนเองแหละครับไม่เกี่ยวกับเรื่องหรอก ดูเหมือนเนื้อเรื่องตรงนี้จะเป็นจุดเชื่อมโยงในเรื่องอะไรอีกหลายเรื่อง ยังไงก็จะรอตามต่อแล้วกันครับ สู้ ๆ - -+V
Re: The Legacy War ~Page 5~ Crystal of Fate แต่ไหกระผมนี่สิ ท่านนักเดินทาง ไม่ทันได้ขุดขึ้นมา ก็เจอโศกนาฎกรรมคอมล่มเมื่อไม่กี่วันก่อน หายไปกับสายข้อมูลแล้วไม่เหลือซักอย่างT[]T กลายเป็นต้อลล่มฟิคเขี้ยวโลหิตทิ้งอย่างอนาจ หันไปคิดฟิคใหม่แทน==" ส่วนโยชชี่ตั้งแต่เริ่มว่างนี่ ไฟติดพรึบอย่างกับราดเบนซินเชียวนะ เหอะๆๆ (คอมออกจากโรงบาลเมื่อไหร่ มาดำเนินโปรเจ็คลับกันต่อนะ จะเขียนเสร็จและ) แล้วก็รอตอนต่อไป เหอะๆๆ
Re: The Legacy War ~Page 5~ Crystal of Fate ช่วงนี้ไม่ได้ ตอบเท่าไหร่ 55+ เข้ามาดูเฉยๆ เริ่มเข้าสงครามแย่งมหาลัยแล้วเครียดแหะ - - พี่โยรีบอัพทำไมง่ะ ผมเลยต้องรีบอัพตามเลยเห็นไหม 55+
Re: The Legacy War ~Page 5~ Crystal of Fate ฤดูทุบไหช่วงpre-seasonกลับมาแล้วสินะ - - เอวาเจ้าแม่โคตรอะกร๊ากก ปอลอ. เสียดายแฮะ สู้ๆนะแม็ก - - ปอลอ2.เนียร์คุงด้วย สู้ๆ
Re: The Legacy War ~Page VI~ Genius Angel~ ~History’s Page VI~ ~The Genius Angel~ ผู้ครองศาสตราเหม่อมองอดีตกาล... ณ สมรภูมิที่เต็มเปี่ยมด้วยพลังอันหมุนวน หญิงสาวผมทองบลอนยาวในชุดเสื้อคลุมจอมเวทสีดำสนิททอดดวงตาสีแดงฉานมาทางเขา “นี่คงเป็นกลุ่มสุดท้ายของข้าและเจ้าล่ะนะ” เธอก้าวเดินผ่านซากปรักอย่างอาจหาญ ราวดอกไม้อันงมงามกลางทะเลทรายร้อนระอุ “เจ้าเองก็ทำหน้าที่ได้ยอดเยี่ยมในที่นี้ไม่มีอะไรจำต้องเสียใจหรอก พ่อของเจ้าต้องภูมิใจในหน้าที่ของเจ้าอยู่แล้ว” เธอเอ่ยด้วยท่าทางสบายอารมณ์ใบหน้าได้รูปนั้นแฝงความขี้เล่นและซุกซนไว้ “เอาล่ะองค์ชายราเชนเทียร์ รัชทายาทอันดับ 1 แห่งรูบิเนเซีย ข้าคงต้องขอฝากแวมไพร์สาวที่เชื่อมั่นในตัวเจ้าไว้ให้ช่วยดูแลล่ะกัน ถือเป็นการตอบแทนความรักงี่เง่าของเจ้าที่ทำให้ข้าต้องมาปวดหัวอยู่เสมอ” เธอก้าวเดินต่อพร้อมวงเวทย์ขนาดมหึมาที่เธอรังสรรค์ขึ้นจากบทกลอนอันเปี่ยมด้วยอำนาจ “จากนี้ข้าจะจัดการเอง ถอยกลับไปที่มั่นเถอะทุกคนกำลังรอเจ้าอยู่” เธอหันหลับกลับโดยไม่สนใจตัวเขาอีก เส้นผมสีทองอร่ามพริ้วไปตามแรงลม ความสว่างของเธอวูบไหวไปตามคลื่นพลัง ชายหนุ่มถอนหายใจช้าๆก่อนจะเหลียวหลังกลับที่มั่น “ข้ามั่นใจว่าเจ้าจะต้องกลับมา.....ไม่ว่าจะในฐานะไหนก็ตาม” เขาเอ่ยช้าๆด้วยน้ำเสียงอันอาดูร .....จากบันทึกมหาสงครามแวนเซล..... ............................. ........................................... ............................................................... ........หลังจากการประชุมอันยาวนานในห้องอาหารอของพวกเราก็ได้ข้อสรุปถึงการเคลื่อนไหวลำดับต่อไป นั้นคือการเคลื่อนไหวให้ปลอดภัยในเขตแดนของโครลิส อันเนื่องจากราชาแห่งโครลิสนั้นเริ่มระแคะระคายการมีอยู่ของพวกเราในราชาอาณาจักรของพระองค์ ซึ่งตัวพระองค์เองนั้นไม่ต้องการให้มีกลุ่มหรือสังกัดใดที่เกี่ยวข้องกับการตามหาศาสตรา ดังนั้นเพื่อที่จะไม่ต้องไปหาที่ซุกหัวนอนใหม่พี่อลิสจึงจำต้องให้ทุกหน่วยที่ปฎิบัติงานอยู่ในโครลิสหยุดการทำงานชั่วขณะซะก่อน ส่วนเรื่องของ ‘ไอเย็นแห่งรัตติกาล’ นั้น คานนกับร็อกซัสทำหน้าที่ออกตามหาตำแหน่งอันแน่นอนของพวกเขาเพื่อเฝ้าจับตาดูถ้าเป็นไปได้ แต่มันคงเป็นงานที่หนักหนาสาหัส เพราะขนาดพวกเบลก้ายังตามหากันแทบตาย ไม่รู้ว่าคู่หู่ของเราจะเจอตัวยอดนักเล่นซ่อนหานี่หรือไม่....... และหนึ่งในคู่แข่งตัวฉกาจของพวกเรา เหล่าอัศวินกางเขน ก็เรื่มเคลื่อนไหวเช่นกัน .............. ................................ ............................................... ปราสาทหินอันโอ่อาตั้งตระง่านท้าทายทิวทัศน์ภูเขาสูงเบื้องหน้า.... ราเชล โครนอส ทอดสายตามองออกไปด้านนอกปราสาท เพียงพริบตาก็หันกลับมาทางหญิงสาวผมสีม่วงยาวที่มัดรวบเรียบร้อย เธอก้มหน้ารอรับคำสั่งด้วยท่าทีสงบนิ่ง “ฝากไปบอก ‘เจ้าหญิงดาบสวรรค์’ ด้วยว่างานนี้สำคัญมากแล้วชั้นต้องการให้ลงมือเร็วที่สุด” เสียงเฉียบขาดของราเชลดังกังวาลทั่วห้องโถง โทวกะพยักหน้าเพียงครั้งเดียวก่อนจะถอนตัวออกด้วยท่วงท่าอันน้อบน้อม “รับทราบค่ะนายท่าน” “นายมั่นใจเหรอว่าเด็กนั้นเริ่มเคลื่อนไหว” เสียงของหญิงสาวผมยาวสีน้ำตาลอ่อนๆ เรียกความสนใจของราเชล “อืม คนของเราในราชวังรูบิเนเซียแจ้งมาแบบนั้นไม่ผิดแน่นอน” “แต่ชั้นว่ายัยเด็กนั้นมันก็คงรู้ตัวอยู่แล้วล่ะ ฉลาดเป็นกรดขนาดนั้น” โทโนะ อากิฮะ ก้าวเดินออกมาจากเสาหินต้นใหญ่ก่อนจะมายืนอยู่ข้างชายหนุ่มในชุดขุนนาง “แต่เด็กนั้นก็ไม่รู้ว่าเรามีอาวุธลับที่จะเล่นงานเธอได้ทุกเมื่อ และครั้งนี้ชั้นก็ไม่ยอมพลาดง่ายๆแน่” ราเชลเอ่ยเสียงเครียดซึ่งก็เป็นวิสัยจริงจังของเขาอยู่แล้ว อากิฮะถอนหายใจเฮือกใหญ่ แวมไพร์สาวเริ่มทอดสายตามองตามชายหนุ่มพลางระลึกถึงหน้าผู้ร่วมเผ่าพันธ์อันยิ่งใหญ่อีกคนที่เคยมีสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับชายหนุ่มที่เธออยู่เคียงข้างในเวลานี้ “ร้อยปีแล้วสินะไม่คิดจะไปเจอเธอหน่อยเหรอ” ราเชล ไม่ได้ตอบอะไร แต่สีหน้าของเขาแสดงความอาวรณ์อย่างถึงที่สุด แม้จะทำเป็นไม่ใส่ใจแต่ความรู้สึกด้านในกลับขัดแย้งยิ่งนัก อากิฮะจึงได้แต่เพียงปล่อยวางทุกสิ่งและทอดทิ้งให้ ‘กางเขนเลือด’ เฝ้ามองขุนเขาอย่างเดียวดายเท่านั้น เธอค่อยๆก้าวเดินออกห่างอย่างช้าๆ พลันหยุดนิ่งวูบหนึ่ง “ ท่าน ‘ราตรีหมื่นดาว’ ฝากมาบอกว่าตอนนี้สุขสบายดีไม่ต้องเป็นห่วงนะ” ราเชล ทำเพียงพยักหน้าเป็นการรับรู้เท่านั้น....... หญิงสาวค่อยๆเดินจากไป....... ............. ............................... ................................................ ‘ดาบแห่งบูรพา’ นาโอกิ กำลังยืนรอรับ ชายหนุ่มกับดาบญี่ปุ่นอันน่าเกรงขาม กำลังทอดสายตามองสตรีรูปงามที่กำลังเดินก้าวเข้ามา เรือนผมสีทองบลอนต้องพริ้วไหวตามการเคลื่อนไหวอันกระฉับกระเฉง ชุดกระโปรงยาวสีฟ้าน้ำทะเลทอประกายโดยมีริ้วสีขาวตามขอบ ซึ่งเข้ากับอาวุธที่เธอมาเป็นอย่างดี รูปลักษณ์ของมันคือดาบทรงยุโรปยาวขนาดกระชับมือถูกเก็บในฝักไม้อย่างดี ตัวด้ามดาบถูกสลักด้วยลวดลายอันวิจิตรสีทองของดาบเปล่งประกายเมื่อต้องแสงอาทิตย์ เจ้าของถือมันไว้หลวมๆแต่ดูมั่นคง “สวัสดีค่ะ คุณนาโอกิ” เธอเอ่ยด้วยความน้อบน้อมแม้จะแฝงไปด้วยความน่าเกรงขามก็ตาม “เช่นกัน รูเน็ต เคลมอรัส ‘เจ้าหญิงดาบสวรรค์’ “ นาโอกิเอ่ยพลางทอดสายตาเย็นชา “ผู้ช่วยที่ท่านราเชลส่งมาก็คือคุณนี่เอง ยินดีที่ได้ร่วมงานค่ะ” รูเน็ตยืนมือของเธอออกไป แต่นาโอกิกลับเมินเฉย “ชั้นไม่ชอบทำงานหลายคนเธอก็รู้ หวังว่าเธอคงเข้าใจ” หญิงสาวทำหน้าผิดหวังเล็กน้อยก่อนจะชักมือกลับ “ชั้นเข้าใจเรื่องนั้นค่ะ” “ดี งั้นก็ไปกันได้แล้ว” นาโอกิเอ่ยเสร็จก้าวเท้าเดินขึ้นไปบนรถยนต์สีดำสนิทที่ทางกลุ่มได้ตระเตรียมไว้ให้ โดยมีรูเน็ตเดินตามไปติดๆ รถยนต์สีดำคันนั้นเริ่มทะยานออกไป...... ทั้งสองกำลังจับจ้องจอภาพขนาดเล็กที่เกิดจากการใช้อุปกรณ์สื่อสารกับอุปกรณ์กักเก็บพลังเวทย์ทำให้มันทำงานคล้ายโทรศัพท์ที่มองเห็นหน้าคู่สนทนาได้ “สวัสดีทั้งสองคน งานครั้งนี้หนักหนาอยู่นะ” เจ้าของเสียงและใบหน้าที่ปรากฎในจอคือโทโนะ อากิฮะ รองหัวหน้าของกลุ่มกางเขนเลือดที่รับหน้าที่อธิบายภารกิจในครั้งนี้ “เป้าหมายในการจู่โจมของพวกเธอคือ เอเลนเดรียล เซเรส เดอ แองเจเลีย หรือที่รู้จักกันในนาม ‘นางฟ้าอัจฉริยะ’ “ ทั้งสองต่างนิ่งเงียบสมาธิทั้งหมดถูกใช้ในการรับฟัง “อย่างที่ทราบกันอยู่เธอคือมันสมองหลักของพวกเบลก้า เป็นผู้วางแผนการรบทั้งหมดและยังเป็นผู้ครอบครองศาสตรา ไม้เท้าพยากรณ์ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเป้าหมายของเรา” “เราได้แจ้งมาว่าเธอเคลื่อนไหวออกจากปราสาทรูบิเนเซียและมุ่งหน้าเข้าสู่แขนแดนของโครลิสด้วยจุดประสงค์บางอย่างโดยไร้ผู้คุ้มกัน เป็นโอกาศดีของเราที่จะจัดการเธอซะ ซึ่งการเคลื่อนไหวของเธอเราได้ส่งของติดตามและคอยรายงานมาเป็นระยะ มีคำถามไหม” รูเน็ต ยกมือถามขึ้น “งานของเราคือสังหารเธอหรือเพียงแค่ชิงไม้เท้าคะ” “ทั้งสองอย่าง” อากิฮะตอบสั้นๆ “อืม เข้าใจง่ายดี” นาโอกิเอ่ยขึ้น “ขอให้พวกเธอประสบผลสำเร็จ....” …………. …………………… ……………………………… เด็กสาวจากพระราชวังรูบิเนเซีย กำลังเดินสบายอารมณ์ตามทุ่งหญ้าเอาเขียวขจีแห่งอาณาจักรโครลิส.... ท้องฟ้าที่แจ่มใสปราศจากเมฆหมองบังตาทิวทัศน์ที่เปี่ยมล้นไปด้วยความงามของธรรมชาติอันบริสุทธ์นี้ คือ โครลิส อาณาจักรแห่งทิศตะวันออกอันสงบสุข เนื่องจากองค์ราชาผู้ปกครองนั้นมีอดีตฝังใจกับโศกนาฎกรรมที่เมืองเล็กๆในอาณัติของพระองค์มากพอสมควร คำสั่งอันเด็ดขาดเกี่ยวกับเรื่องศาสตราและการต่อสู้จึงถือเป็นข้อห้ามสูงสุดของอาณาจักรที่หากมีผู้ใดละเมิดจำต้องรับโทษสถานหนัก และด้วยกองกำลังอันแข็งแกร่งจึงไม่มีราชอาณาจักรใดๆอยากจะเสียเวลาต่อกรด้วยแม้แต่เบลก้าที่เปี่ยมล้นด้วยอำนาจทางการทหารก็ตาม จึงไม่แปลกที่ผู้คนมากมายจะแสวงหาสันติภาพจากดินแดนสีเขียวแห่งนี้ ..เด็กสาวยังคงเดินทอดน่องไปตามเส้นทางที่ตัดผ่านทุ่งดอกไม้นานาพันธุ์ “เฮ้อ ที่นี่สงบดีจริงๆชักอยากจะอยู่นานๆแล้วแหะ” เธอบ่นพึมพำไปตามทางราวกับเด็กน้อยที่เพิ่งเคยออกเที่ยวเป็นครั้งแรก และด้วยหน้าตากับการแต่งกายที่ราวกับตุ๊กตาฝรั่งเศสเดินได้นั่นเองก็พลอยทำให้คนที่สัญจรระแวกนั้นอดไม่ได้ที่จะหันมาเหลียวมองเธอ “แม่หนูจะไปไหนเหรอ” เสียงของหญิงชราสูงวัยผู้นึงเอ่ยทักขึ้น เด็กสาวหันหน้าไปตามเสียงนั้น “เมืองที่ใกล้แถวนี้มากที่สุดน่ะค่ะ” เธอตอบซื่อๆ หญิงชราที่นั่งอยู่บนเกวียนเผยยิ้มขึ้นอย่างเอ็นดู “งั้นพอดีเลย ป้าจะไปส่งพ่อหนุ่มข้างหลังนี่ที่เมืองริริอาอยู่พอดี หนูจะมาด้วยกันไหม” หญิงชราเอ่ยพลางชี้ไปที่ด้านหลังซึ่งชายหนุ่มผู้นึงกำลังหลับสบายบนกองฟาง เด็กสาวยิ้มอย่างใสซื่อ “ด้วยความยินดีค่ะ ขอบพระคุณมากค่ะ” เธอก้มหัวลงแสดงมารยาทอย่างน้อบน้อมพลันก้าวขึ้นรถเกวียนด้วยความระมัดระวัง “เอาล่ะงั้นไปกันต่อล่ะนะ” หญิงชราเอ่ยเสียงดังพลางขยับเชือกที่ควบคุมม้าสองตัวให้ออกเดินอีกครั้ง เด็กสาวนั่งมองหน้าผู้ร่วมทางที่กำลังหลับใหลและไม่น่ารู้สึกถึงตัวตนของเธอ.. เขาคนนั้นมีผมสีทองยาวประบ่าสวมเสื้อโค้ทบางสีขาวและเครื่องแต่งกายอื่นๆที่ทำจากหนัง พร้อมกับห่อของสิ่งของบางอย่างที่ดูจากรูปลักษณ์น่าจะเป็นดาบที่ยาวกว่าดาบปกติทั่วไป แต่ในระหว่างที่เธอกำลังสำรวจอยู่นั้นเอง ดวงตาสีอำพันสว่างก็จับจ้องมองเธอ “มองอะไรเหรอครับ คุณหนูคนสวย” เด็กสาวหน้าแดงเรื่อทันทีที่ได้ยินแบบนั้น “ปะ เปล่าค่ะ ชั้นแค่....” เธออ่ำอึ้งพูดอะไรไม่ออก ชายหนุ่มจึงส่งรอยยิ้มอันอ่อนโยน “ถ้าจะมองคนหล่อล่ะก็ มองนานๆก็ได้นะครับไม่ว่ากัน” เมื่อเด็กสาวได้ยินดังนั้นเธอก็เปล่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ “คุณนี่น่ารักจังเลยนะคะ” “มันแน่นอนอยู่แล้วล่ะครับ” แล้วทั้งคู่ก็หัวเราะร่วน สายลมที่เย็นสบายและบรรยากาศแบบนั้นเป็นใจให้ทั้งสองคนมากพอสมควร ชายหนุ่มจะเริ่มบทสนทนาต่อพลางเปลี่ยนมาอยู่ในทางนั่งขัดสมาธิพร้อมกับวางดาบคู่ใจพิงไปด้านหลัง “คุณจะไปที่ริริอาเหมือนกันเหรอ” “ค่ะ ชั้นอยากมาเที่ยวที่อาณาจักรนี่มานานแล้ว ถ้ามีโอกาศไปที่ไหนได้ชั้นก็จะไป” เด็กสาวตอบอย่างร่าเริง “แล้วคุณล่ะคะ เป็นคนที่เมืองนั้นเหรอ” “ครับผม แต่ว่าผมเพิ่งมาอยู่ใหม่น่ะนะ ออกไปเดินเที่ยวไกลๆหน่อยดันหาทางกลับไม่เจอก็เลยต้องมาซมซานขออาศัยป้าขายผลไม้แบบนี้แหละครับ” ชายหนุ่มพูดพลางเหลือบมองไปทางกองแอบเปิ้ลที่หญิงชราเจ้าของเกวียนเตรียมจะนำไปค้าขาย “แย่จังนะคะ” “อ้อ ก็ไม่แย่ไปหมดหรอกครับ ได้มาเจอคนน่ารักๆแบบคุณผมก็ว่าคุ้มที่จะหลงทางนะ” เด็กสาวก้มหน้างุดๆอีกครั้ง ผิวหน้าที่ขาวสะอาดดุจหิมะบัดนี้เริ่มกลายเป็นสีแดงแข่งกับกองแอบเปิ้ล ชายหนุ่มเผยยิ้มสดใสพลางเหม่อมองไปบนฟ้าไกล “อ่า ผมยังไม่ทราบชื่อคุณเลย” ชายหนุ่มเอ่ยปากถาม ทำให้เด็กสาวที่กำลังเขินอายเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง “แองเจิ้ลค่ะ ทุกคนเรียกชั้นแบบนั้น” “อืมๆ นางฟ้าสินะครับ” ชายหนุ่มยิ้มเจ้าเล่ห์ ส่วนเด็กสาวก็เริ่มหลบตาอีกครั้ง “ผมฟิโอนอสครับ ยินดีที่ได้รู้จัก” ฟิโอนอสยืนมือไปทางเด็กสาว แองเจิ้ลเองก็ตอบรอบโดยการจับมือเขาอย่างนุ่มนวลทั้งสองส่งสายตาให้กันเล็กน้อย “เอ้า ถึงที่หมายแล้วนะ” เสียงหญิงชราโผล่งขึ้นขัดจังหวะ ทำให้ทั้งสองผละออกจากกันแทบในทันที “ป้า ครับเดี๋ยวผมจะให้ค่าส่งล่ะกันนะ” “ไม่ต้องหรอกพ่อหนุ่ม ป้าถือคติช่วยคนเดือดร้อนน่ะ” เธอยกมือขึ้นปรามแต่ฟิโอนอสก็แอบเอาเงินใส่ไว้ในกองแอบเปิ้ลอยู่ดี “เที่ยวให้สนุกล่ะกันนะครับ คุณนางฟ้า ผมขอตัวก่อน” ชายหนุ่มเนตรอำพันก้มหัวให้เล็กน้อยก่อนจะปลีกตัวแยก ทิ้งให้เด็กสาวยืนอยู่ตามลำพัง “ฟิโอนอสงั้นเหรอ เป็นคนที่น่าสนใจอย่างที่คิดจริงๆ” แองเจิ้ลเอ่ยขึ้นเบาๆพลางแอบยัดเงินให้หญิงชราเช่นเดียวกับชายหนุ่ม ................... ................................... ...................................................... “หนีเที่ยวอีกแล้วเหรอ ‘เดม่อนลอร์ด’ “ เสียงทุ้มต่ำราวอัสนีบาตสะกิดให้ชายหนุ่มผมทองต้องหันไปทางเจ้าของเสียง “แหะๆ คุณ คารอส เองเหรอครับ” ฟิโอนอสตอบพลางยิ้มเจื่อๆ “ให้ตายสิ ตั้งแต่ได้รับคำสั่งให้กลับมาประจำการชั้นต้องกลายมาเป็นคนดูแลแกไปตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย” ชายร่างยักษ์ในชุดหนังสีขาว เรือนผมสีแพลตินั่มบลอนที่ถูกเสยไปด้านหลังเอ่ยไม่สบอารมณ์ “ขอโทษครับๆ” ฟิโอนอสก้มหัวงุดๆ แสดงอาการขอโทษจนออกนอกหน้า “เฮ้อ....หัวหน้าเรียกหาน่ะ รีบไปได้แล้ว” คารอสพูดพลางโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ ฟิโอนอสไม่พูดพร่ำทำเพลงรีบแจ้นเข้าไปในตัวคฤหาสถ์หลังใหญ่โดยทิ้งมนุษย์ยักษ์ไว้เบื้องหลัง คาลอสมองตามไปเล็กน้อยก่อนจะให้ความสำคัญกับการฝึกฝนของเขาต่อ สายลมเย็นโอบล้อมฐานทัพของเนเธอร์เวิร์ลเช่นเคย แต่บรรยายกาศที่ร้อนขัดกับอากาศเย็นสบายนั้นเริ่มก่อตัวขึ้น เกศาเพลิงและเนตรอัคคีของเด็กสาวลุกโชติช่วงเช่นเดียวกับทุกครั้งที่มันปรากฎกายออกมา ดาบญี่ปุ่นเล่มยาวพอๆกับความสูงของเจ้าของถูกเสือกไปด้านหน้า โดยมีชายหนุ่มผมสีเทาเข้มกำลังจับจ้องตาไม่กระพริบ เด็กสาวถ่ายพลังลงไปที่ดาบก่อนจะซัดคลื่นความร้อนเข้าหาชายหนุ่มที่ตั้งตาข่ายไฟฟ้ารอรับ คลื่นสีแดงสดพุ่งเข้าปะทะกับสิ่งกันบังเต็มแรงทำเอาชายหนุ่มที่ตั้งท่ารับเต็มที่แถบจะกระเด็นในคราเดียว “พลังมหาศาลจริงๆ อดคิดไม่ได้จริงๆแหะว่าชานะจังเป็นใครกันแน่” เร็กซ์นึกพลางออกแรงยันเปลวเพลิงของ ‘มือสังหารเกศาเพลิงเนตรอัคคี’ เต็มที่ ไม่นานเปลวเพลิงที่ลุกโชติช่วงก็สลายไป เด็กสาวเกศาเพลิงจ้องหน้าเร็กซ์อย่างตื่นเต้น “วันนี้เป็นไงบ้าง” เร็กซ์ถอนหายใจเล็กน้อยไปกับท่าทางลิงโลดของเธอ แต่ในใจอยากจะกอดร่างเล็กนั้นอีกสักครา “การร้อยเรียงพลังสมบูรณ์ขึ้นเรื่อยๆเลยนะ แบบนี้แม้กับพลังของศาสตราคคงต่อกรได้ไม่ยากหรอก” “มันแน่นอนอยู่แล้ว” ชานะพูดพลางยืนอวดเบ่งเต็มที่ “เอ้าๆ ไอ้คู่นั้นน่ะ” ฮิวโก้ที่ชะโงกหน้าดูการฝึกซ้อมจากหน้าตาของคฤหาสถ์ตะโกนเรียกจนทั้งสองแทบสะดุ้ง “เลิกจีบกันแล้วเข้ามาได้แล้ว มีภารกิจให้ไปทำ” …………. ………………….. …………………………….. ….และแล้วในเวลานั้นตัวชั้น เร็กซ์และฮิวโก้ ก็ได้รับภารกิจที่ไม่คาดฝันนั้นคือการค้นหา ‘ไอเย็นแห่งรัตติกาล’ แทนที่พวกของคานนที่ถูกส่งไปทำภารกิจรับอีกชิ้นแทนโดยที่หัวหน้าของพวกเราไม่ได้แจ้งเหตุผลใดๆให้ทราบ แต่อาจจะเกิดเรื่องกับพวกเขาเพราะรองหัวหน้าอัลทิม่าก็ถูกส่งไปในภารกิจนี้เช่นกัน ชั้นและเจ้าคู่ป่วนจึงต้องเป็นฝ่ายรับหน้าที่นี้ต่อ ส่วนคนอื่นๆนั้นยังถูกสั่งห้ามให้เคลื่อนไหวในคราวจำเป็นเท่านั้น อันเนื่องด้วยการตรวจการของเจ้าหน้าที่โครลิสเริ่มเข้มงวดมากขึ้นโดยเฉพาะในเขตเมืองริริอา ราวกับมีไส้ศึกอยู่ในกลุ่มพวกเรา แต่ชั้นไม่อยากคิดแบบนั้นก็เพื่อนๆทุกคนที่อยู่กันมานานหลายปี แต่ในเวลานั้นพวกเราไม่ได้ระวังตัวหรือตระหนักเรื่องใดเลย.....ว่าภัยร้ายที่สุดนั้นอยู่ใกล้ซะจนคาดไม่ถึง ………………………………………………………………………………………………. Talk Talk Talk ตอนนี้สั้นไปนิดแหะ แต้ถ้าเขียนต่อสงสัยจะยาวกลายเป็นขนาดสองตอนแน่ๆกระผมจึงต้องขออนุญาตรวบรัดตัดอารมณ์คนอ่านแต่เพียงเท่านี้อย่าได้ถือโทษโกรธกันเลย ว่ะ ก้ากๆๆๆๆๆ หลังเสร็จตอนนี้ไปคงต้องทุ่มเวลาไปอ่านในสมัครฟิค ขนนกขาว สักนิด เนื่องด้วยกระผมเองก็ต้องช่วยวางโครงเรื่องด้วย อาจได้เห็นสำนวนของผมในฟิคนั้นด้วยน้า (ในกรณีเจ้าแม็กมันโยนงานให้ทำ T T) เอาเถอะผมก็สนุกกับมันมากพอควรเลยแหละ ขอฝากฟิค White Feather and Devil Fang ไว้ในอ้อมใจทุกคนด้วยเน้อ Special Thanks 1. Runette Claymorus โดย ริวเน่จัง (อ่านถูกช่ายป่ะ) วินาทีแรกที่อ่านขอบอกว่าโดนมาก รับรองว่าจะได้บทดีสะใจแน่นอนครับ เพราะกำลังมองหาคนรับบทนี้อยู่พอดีก็เข้ามาคนสุดท้ายเลย ขอยำเต็มที่ล่ะน้า 2. คารอส เคนทารอส โดย ท่านแวมวูฟเวอร์ ตัวละครเฝ้าฐานที่จะได้โผล่มาเรื่อยๆในตอนต่อๆไป ว่าจะปรับเรื่องการแต่งกายสักหน่อยแต่ดูไปมาแล้วมันก็เท่ห์บวกประหลาดๆไม่หยอกที่คนตัวใหญ่ใส่เสื้อกันหนาวเดินในประเทศเขตอบอุ่นอ่ะนะ 555+ And All Friends And Fans Thank YOU !!!!!!! ปล. สงสัยผมต้องทำสารบัญเรื่องนี้แหะ เพราะวางปมกับสถานที่แปลกๆไว้เยอะเหลือเกินถ้าขยันๆวันนี้ก็จะมาลงให้ครับผม
Re: The Legacy War ~Page 6~ Genius Angel หลังจากอ่านจบ ตอนนี้รู้สึกว่าช่วงแรกๆของตอนจะเครียดๆ แต่พออ่านมาถึงตรงท้าย กลับรู้สึกขำ โดยเฉพาะไอ้ตรง "เดม่อนลอร์ด หนีเที่ยว" นี่ = =............ ส่วนตอนหน้าเนื้อเรื่องท่าทางจะเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆแล้วสินะสังเกตุจากตอนท้ายของเรื่อง ปล.อยากจะรู้จริงๆว่าความสัมพันธ์ระหว่างราเซลกับเอวาจะเป็นแนวไหนกัน * *
Re: The Legacy War ~Page 6~ Genius Angel เฮ้ย ไอ้คุณฟิโอนอส ทำไมได้ม่อสาวด้วยเล่าเนี่ย [action]ดวงตาเปลี่ยนเป็นเพลิง[/action]
Re: The Legacy War ~Page 6~ Genius Angel มาอ่านต่อแล้วค่ะ สนุกเช่นเคย ภาษาก็จับใจมากด้วย อยากเขียนให้ได้แบบนี้บ้างจัง ช่วงนี้ไม่ค่อยมีเวลาเขียนฟิคตัวเองเพราะงานเริ่มเข้า สอบเก็บคะแนนเริ่มมา แย่แล้วค่า~~~ >_<
Re: The Legacy War ~Page VII~ The promise ~History’s Page VII~ ~The Promise~ .......รถยนต์สีดำสนิทพุ่งผ่านทุ่งหญ้าอันเขียวขจี ‘ดาบแห่งบูรพา’ ยังคงเงียบขรึมดวงตาสีน้ำตาลเข้มเหม่อมองไปตามภูมิประเทศที่เต็มไปด้วยต้นไม้และไร่การเกษตรมากมายด้วยกริยาที่บ่งบอกว่าเป็นเพียงการกระทำเพื่อฆ่าเวลาเท่านั้น ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรกับสตรีที่นั่งถัดจากเขาไปเช่นกัน ทั้งนาโอกิและรูเน็ตต่างนั่งอยู่บนความเบื่อหน่าย (ซึ่งแสดงออกจากท่าทางอย่างเด่นชัดโดยเฉพาะนาโอกิ) ทั้งคู่กำลังถูกนำส่งไปที่เมืองริริอาเพิ่อเตรียมพร้อมในการออกทำภารกิจสำคัญ เมืองริริอานั้นเมื่อ 7 ปีก่อนเคยเกิดโศกนาฎกรรมครั้งใหญ่ที่พลาญเกลือนชีวิตในเมืองเล็กๆอันสงบสุขให้จมอยู่ใต้เปลวเพลิงมรณะภายในค่ำคืนเดียวจากการแย่งชิงศาสตราทั้งสิบสาม ด้วยเหตุนี้เองกษัตริย์แห่งโครลิสจึงได้ออกประกาศกร้าวให้ขับไล่กลุ่มคนหรือองค์กรใดที่เกี่ยวข้องกับศาสตราเข้ามาอยู่ในดินแดนของพระองค์ รวมทั้งวางมาตรการเด็ดขาดสำหรับผู้ที่ฝ่าฝืน ทำให้โครลิสกลายเป็นดินแดนปลอดการต่อสู้ไปโดยปริยาย เป็นผลพวงให้ประชาราษฎรต่างได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไปด้วย “ถึง ริริอา แล้วครับ” โชเฟอร์แว่นตาดำหันมาบอกทั้งสอง “อืม....” นาโอกิเอ่ยสั้นๆก่อนจะเปิดประตูลงรถไปราวกับเรื่องรอบข้างไม่เคยมีอะไรสลักสำคัญสำหรับเขา ส่วนรูเน็ตนั้นยิ้มให้โชเฟอร์เล็กน้อยก่อนจะตามนาโอกิลงไปติดๆ เมื่อทั้งสองอยู่ที่จุดเตรียมการซึ่งเป็นเนินสูงพอที่จะมองเห็นตัวเมืองริริอาได้เกือบทั้งเมืองนอกจากนั้นต้นไม้น้อยใหญ่ที่ขึ้นอยู่โดยรอบก็เป็นจุดบังตาได้เป็นอย่างดี ซึ่งทางกลุ่มได้เตรียมตำแหน่งตรงนี้ไว้ให้พวกเขาสังเกตการณ์โดยเฉพาะ เมื่อทุกอย่างอยู่ในความพร้อมพาหนะสีดำสนิทก็เคลื่อนตัวออกจนสุดสายตา รูเน็ตเพ่งสายตาไปทางการ์ดที่กำลังตรวจคนเข้าเมืองอย่างแข็งขัน “ชั้นคิดว่าเราไม่ควรเข้าในตัวเมืองนะคะ” “แต่ยัยเด็กนั้นมันอยู่ในเมืองไม่ใช่หรือไง” “ก็จริงอย่างที่คุณว่า แต่ถ้าเราเข้าไปตอนนี้ชั้นคิดว่าพวกการ์ดต้องสงสัยพวกเราแน่ค่ะ” รูเน็ตเอ่ยพลางวิเคราะห์สถานการณ์ สิ่งที่ ‘เจ้าหญิงดาบสวรรค์’ ได้ตั้งข้อสังเกตไว้ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้อง การ์ดเหล่านี้จะคอยระแวงระวังคนแปลกหน้าที่พกอาวุธเป็นพิเศษตามคำสั่งที่ได้รับมา เว้นเสียแต่คนในพื้นที่ ที่จะได้รับการผ่อนปรนในกรณีนี้บ้าง แต่โดยทั่วไปการคุมเข้มในโครลิสก็ถือว่าเข้มงวดมากอยู่แล้ว นาโอกิถอนหายใจออกมาเล็กน้อย “งั้นก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ ชั้นก็ไม่อยากวุ่นวายกับพวกกระจอกพวกนั้นซะด้วย” “ถ้าเช่นนั้น เรารอให้มีการรายงานว่าเธอออกมาจากเมืองก่อนแล้วค่อยลงมือดีกว่านะคะ” นาโอกิพยักหน้าก่อนจะทิ้งตัวลงใต้ต้นโพธิ์ต้นใหญ่ทิ้งสิ่งรอบข้างให้กลายเป็นอากาศธาตุเช่นเคย.... ................ ............................ ............................................. “ต้องไปถึงฟาลาจิเลยเหรอ” ชายหนุ่มพูดเสียงดังพลางส่งกระดาษแผ่นนึงให้กับเด็กสาวตัวเล็ก “อืม......ก็ดีถือซะว่าไปเที่ยวด้วย” ชานะเอ่ยยิ้มๆเมื่อมองแผ่นกระดาษในมือ “แต่ว่านะ.......” ชายหนุ่มผมสีเทาเข้มเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ “ไหนๆจะได้ร่วมภารกิจเดียวกับชานะจังแล้ว ต้องมีแกพ่วงมาด้วยว่ะ ฮิวโก้ !!!” เร็กซ์โวยวายเสียงดังพลางชี้หน้าด่าฮิวโก้ “ทำเป็นพูดไป คราวก่อนแกยังได้ไปหาท่านเอวาสุดที่รักของข้า” ฮิวโก้สวนกลับทันควัน “เหอะ....ทำอย่างกะชั้นอยากเป็นเห็นหน้ายัยแวมไพร์แก่ๆนั้นนักน่ะ” “เฮ้ย !! พูดงี้ไม่อยากเห็นอาทิตย์ขึ้นอีกแล้วใช่ม่ะ” “จะเอาหรือไง ได้เสมอนะเฟ้ย” สองหนุ่มเริ่มใช้พลังของศาสตราเข้าข่มขู่อีกฝ่าย แต่ทันใดคมดาบญี่ปุ่นเล่มยาวและกลุ่มคลื่นความร้อนจากมือของเด็กสาวก็จ่อเข้าคอหอยทั้งสอง “ถ้าพวกนายยังอยากเห็นอาทิตย์ขึ้นกันอยู่ ช่วยเดินทางกันเงียบๆได้ไหม มันหนวกหู” ชานะเอ่ยเสียงเย็นเฉียบจนสองหนุ่มถึงกับเสียวสันหลังไปตามๆกัน “ค้าบผม” “ได้ครับนายหญิง” เสียงระฆังที่สถานนีดังขึ้น........ รถไฟคันหรูเข้าเทียบชานชะลา ทั้งสามก้าวขึ้นฉับไวจุดหมาย คือ อาณาจักรหลังปราการธรรมชาติฟาลาจิ .......การเดินทางครั้งสำคัญของชั้นได้เริ่มขึ้นพร้อมกับคู่ป่วนเช่นเคย ตอนนี้ชั้นพอจะเข้าใจเหตุผลที่พี่อลิสมักส่งชั้นมาทำงานกับเจ้าพวกนี้แล้ว นั้นคือคอยหยุดไม่ให้เจ้าสองคนนี้มันตีกันเองก่อนงานจะเริ่ม จริงๆแล้วมันก็ดูเป็นหน้าที่ ที่น่าสมเพชพิกลแต่ถ้าไม่มีคนมาคอยห้ามทัพเจ้าพวกนี้ไว้ล่ะก็ มีอันไม่เป็นงานการกันพอดี ภารกิจที่ได้รับมอบหมายนั้นสำคัญยิ่ง ความผิดผลาดก็ไม่ได้ต่างจากความตาย พวกเราออกเดินทางไปที่ฟาลาจิในเวลาเช้าตรู่ เสียงนกร้องตามพื้นดินสีเขียวอันเป็นสัญลักษณ์ของโครลิสกำลังตีจากเราไปเรื่อยๆ และดินแดนสีน้ำตาลแดงก็เริ่มปรากฎให้เห็น ภูเขาลูกใหญ่ที่ปิดกั้นชายแดนของฟาลาจิและโครลิสถูกเปิดออกให้มีช่องทางสำหรับขบวนรถไฟให้วิ่งผ่านไปและการคมนาคมอื่นๆผ่านเขตแดนตรงนั้น ท้องฟ้ายังคงปลอดโปร่งและงดงาม แต่สิ่งที่รออยู่ข้างหน้านั้นพวกเราสามคนนั้นก็มิอาจคาดเดาได้…. …………….. เหนือขึ้นไปบนทิวเขาดินทรายสีแดงฉาน...เด็กสาวในชุดคลุมซ่อมซ่อกำลังใช้ดวงตาสีแดงราวโลหิตจับจ้องไปตามขบวนรถไฟ ก่อนจะหายวับไปบนท้องฟ้าสีคราม ทิ้งเพียงเส้นแสงเล็กไว้เท่านั้น........ ........... .......................... ............................................ ‘เดม่อนลอร์ด’ ยังคงเดินเอ้อระเหยไปบนถนนของริริอา... ตัวเมืองริริอานั้นถูกสร้างตามสถาปัตยกรรมตะวันตก บ้านเมืองส่วนใหญ่ดูคล้ายเมืองตามชนบทในเกมอาร์พีจี ผู้คนต่างพากันนำผลผลิตทางการเกษตรออกมาวางขาย ซึ่งสิ่งนี่ก็เป็นรายได้หลักของอาณาจักรอันอุดมนี้เช่นกัน ฟิโอนอสใช้เวลาส่วนใหญ่ในการเดินเล่นในเมืองหรือไม่ก็หนีออกไปที่ไกลๆบ้างเป็นบางครั้ง จนไม่นานมานี้ ‘ดวงตานรกไร้ก้น’ หรือ อลิซซาเบธ ริชเชอร์ นายหญิงใหญ่ของกลุ่มเนเธอร์เวิร์ล ต้องออกโรงเตือนหนุ่มนักเที่ยวผู้นี้เป็นระยะๆ “อย่าทำตัวให้เด่นสะดุดตามากนักสิ หูตาของเบลก้าเองก็มีอยู่ที่นี่เหมือนกันนะ นายเองก็ถูกหมายหัวไว้ถ้าไม่อยากเดือดร้อนก็อย่าไปไหนไกลนัก” เสียงในความทรงจำของชายหนุ่มเนตรอำพันดังในหัวสมอง เขายักใหล่เล็กน้อยพลางทำท่าไม่ใส่ใจ “เฮ้อ ก็คนมันเคยไปนู้นมานี่ตามใจชอบนี่หน่า จะให้อยู่ที่เดียวนานๆเบื่อตายชัก” ไม่นานตัวเขาก็มาหยุดอยู่บริเวณด้านหน้าของบาร์เพียงแห่งเดียวในเมืองซึ่งเป็นสถานที่ไม่กี่ที่ ที่ตัวเขามาเป็นประจำ ฟิโอนอสเปิดประตูเข้าไปภายในบาร์อย่างเหนื่อยหน่ายพลางทิ้งตัวลงนั่งที่เคาท์เตอร์บาร์ “ไง โอ ทำไมทำหน้าเซงแบบนั้น” มาสเตอร์ซึ่งเป็นชายวัยกลางคนทักทายชายหนุ่มอย่างอารมณ์ดี “ก็แค่เบื่อๆเซงๆเท่านั้นล่ะครับ ลุง” ฟิโอนอสไม่อาจจะเอ่ยเรื่องที่เขาถูกทางกลุ่มสั่งห้ามเที่ยวออกไปได้แม้ว่าอยากจะระบายใจจะขาดก็ตาม เพราะถ้ามีคนล่วงรู้ถึงที่ตั้งหรือตัวตนของพวกเขาในดินแดนนี้ย่อมต้องกลายเป็นเรื่องใหญ่ที่จะรับผิดชอบกันไม่ไหว “เอ้า ดื่มนี่ซะ แก้วนี่ชั้นเลี้ยงเองล่ะกัน จะได้หายเซง” มาสเตอร์ยืนแก้วเบียร์ที่มีของเหลวสีเหลืองทองใสและเต็มไปด้วยฟองที่ด้านบนมาทางชายหนุ่ม ฟิโอนอสยกมันขึ้นก่อนจะทำท่าชนแก้วไปทางมาสเตอร์ “งั้นขอเลยล่ะกันนะ” “เชิญ..” ในระหว่างนั้นเอง..... “น้องสาวมาจากไหนเหรอจ๊ะ” “โว้วๆๆ มาคนเดียวคงเหงา เดี๋ยวพวกพี่อยู่เป็นเพื่อนไหม” “สวยๆแบบนี้มีคนดูแลหรือยังเนี่ย” ภาพตรงหน้าฟิโอนอส คือ กลุ่มชายหนุ่มกำลังรุมล้อมเด็กสาวที่เขาคุ้นหน้าคาตาเป็นอย่างดี “เอ่อ...คือ ชั้นจะกลับแล้วค่ะ” เด็กสาวพูดพลางลุกขึ้นจากโต๊ะ แต่มือของชายผู้นึงจับเธอเอาไว้ซะก่อน “แหมๆ น้องสาวคนสวยค่ำคืนของพวกเรานี่ยังมีอีกนานจะรีบหนีไปไยเล่า เคี้ยกๆๆๆ” ชายคนนึงหัวเราะร่าราวกับได้ของเล่นชิ้นใหม่ “ปล่อยชั้นนะคะ...” เด็กสาวพยายามขัดขืน แต่ก็ไม่อาจสู้แรงผู้ชายตัวโตๆได้ “จะกลัวอะไรกัน พวกพี่ก็แค่อยากจะช่วยให้น้องคลายเหงาเท่านั้นเอง” ชายอีกคนยืนหน้าเข้ามาไกลจนเธอไม่กล้าสบตา “เฮ้อ ไอ้พวกนี้อีกแล้วเหรอ..” มาสเตอร์เอ่ยไม่สบอารมณ์ ส่วนฟิโอนอสนั้นซดเบียร์ในแก้วพลางใช้หางตามองเหตุการณ์โดยตลอด “เฮ้ย โย เอาไงกับน้องนางคนนี้ดีฟ่ะ” ชายคนที่จับตัวเด็กสาวพูดกับชายหนุ่มตัวสูงที่ยืนถัดออกไปไม่ไกล “ก็ <beep> แล้วก็ <beep> กับเธอทั้งคืนเลยดีไหมล่ะเพื่อนๆ” เนื่องด้วยบทสนทนาไม่เหมาะกับเด็กอายุต่ำกว่า 18 ผู้เขียนจึงขออนุญาติเซนเซอร์ “น่าสนแหะ” “จะรอช้าทำไมเล่า เอ้า ไอ้อัลอุ้มเธอเลย” คนในบาร์ต่างทำเป็นหูทวนลมเพราะพวกเขาต่างรู้สันดานของวัยรุ่นกลุ่มนี้กันดีอยู่แล้ว และถ้าหากใครไปหาเรื่องก็ต้องเจ็บตัวไปตามๆกันซึ่งเรื่องนี้พวกเขาเองก็รู้กันดี จึงไม่แปลกที่ไม่มีคนอยากจะลุกไปช่วยสาวน้อยผู้โชคร้ายเลยแม้แต่น้อย ยกเว้นเพียงคนๆนึง...... “อย่านะ ปล่อย !!!” เด็กสาวที่ถูกชายร่างโตอุ้มพาดบ่าดิ้นรนสุดฤทธิ์ท่ามกลางเสียงหัวเราะซะใจของคนอื่นๆ แต่ว่ากลุ่มวัยรุ่นทั้งสามก็ไม่อาจจะเดินออกไปจากบาร์ได้เมื่อชายผู้สวมเสื้อโค๊ทสีขาวสะอาดยืนจังก้าอยู่หน้าประตู “มิทราบว่านางฟ้าคนนั้นผมจะขอรับไปได้ไหม” สิ้นเสียงนั้นเด็กสาวก็รู้ทันทีว่าผู้ที่ยืนขวางทางกลุ่มอันธพาลเป็นใคร “เฮ้ย อะไรของเอ็งว่ะ” “แม็กแกรู้จักไหม” ชายตัวสูงชี้พลางหันไปถามเพื่อน “ไม่คุ้นหน้าเหมือนกันว่ะ สงสัยพวกมาอยู่ใหม่” ชายคนที่อยู่ข้างๆกับคนตัวโตที่แบกเด็กสาวเอ่ยตอบ ฟิโอนอสยืนจ้องหน้าทั้งสามอย่างไม่เกรงกลัวพลันก้าวเดินเข้าไปใกล้ “ว่าไงครับ คุณทั้งสาม ถ้ามัวแต่อึ่งกันล่ะก็ผมก็ขอรับเธอไปเลยล่ะกันนะ” ไม่จำเป็นต้องอธิบายว่าชายหนุ่มผมทองต้องการอะไร และมันเป็นสิ่งที่ขัดใจพวกอันธพาลยิ่งนัก “เด็กใหม่อย่างเอ๊งถือดีอะไรว่ะ” ว่าแล้วกำปั้นลุนๆก็พุ่งเข้าหาฟิโอนอส แต่ระดับฝีมือแค่อันธพาลย่อมไม่ใช่คู่มือของเขาอยู่แล้วการโจมตีธรรมดานั้นจึงทำได้แค่จั่วลมไปมาเท่านั้น “อะไรของไอ้นี่ว่ะเนี่ย” อันธพาลที่เข้าเล่นงานฟิโอนอสถึงกับทำอะไรไม่ถูกเมื่อเห็นความแตกต่างในความสามารถอย่างชัดเจน “ชั้นขอเตือนพวกแกสามตัวอีกครั้ง ถ้าไม่ส่งนางฟ้าคนนั้นมา วันนี้ได้นอนโรงพยาบาลกันหมดแน่” คราวนี้น้ำเสียงที่ออกมาจากชายหนุ่มแฝงความกดดันอย่างรุนแรงแถมด้วยแววตาสีอำพันที่ข่มขวัญอันธพาลทั้งสามจนแทบขยับตัวไม่ได้ “เวรแหละ ไอ้หมอนี่มันเก่งโคตรๆ” “เฮ้ย ส่งยัยเด็กนี่ให้มันไปดี้ กรูยังไม่อยากตาย ฉี่กรูจะแตกแล้ว” “ระ....รู้แล้วๆ เอาไปก็ได้” ชายตัวโตรีบวางเด็กสาวก่อนที่ทั้งสามจะเปิดตูดแน่บออกไปจากบาร์ด้วยความเร็วเกียร์สนุข แล้วเสียงโห่ร้องก็ดังสนั่นบาร์พร้อมเสียงตรบมือกันอื้ออึง ด้วยหลายๆคนเองก็หมั่นไส้เจ้าสามตัวนี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แถมบางคนก็ยังเคยโดนพวกมันเล่นงาน การแก้แค้นที่สาสมจากชายหนุ่มโดยปราศจากผู้บาดเจ็บนี้กลับกลายเป็นผลงานประทับใจคนทั้งบาร์ไปโดยไม่รู้ตัว เด็กสาวเผยยิ้มเล็กน้อยให้กับฟิโอนอสที่ยืนยิ้มแป้นอย่างออกนอกหน้า “ขอบคุณนะคะ คุณฟิโอนอส” “เรียกผมว่า โอ ก็พอแล้วครับ คุณนางฟ้า” ใบหน้าของแองเจิ้ลกลายเป็นสีแดงระเรื่อยิ่งทำให้เธอดูน่ารักมากกว่าปกติหลายเท่า “เฮ้ย โอ วันนี้อยากกิน อยากดื่มอะไรบอกมาได้เลย ประทับใจว่ะ ฮ่าๆๆๆ” มาสเตอร์ส่งเสียงตะโกนดังสนั่น ฟิโอนอสมองหน้าสาวน้อยทีนึงก่อนจะหันไปทางมาสเตอร์ “อย่างงี้.....ผมไม่เกรงใจล่ะนะลุง” “เออ มีอย่างนึงจะบอกแกนานแหละ” “อะไรครับ ลุง” “เลิกเรียกข้าว่าลุงได้แล้ว ข้าไม่ได้แก่อะไรขนาดนั้นนะโว้ย” เสียงหัวเราะขับข่านไปทั่วทั้งบาร์เล็กๆแห่งนั้น........... ดวงจันทร์ครึ่งเสี้ยวปรากฎเหนือท้องนภาที่เปรียบดั่งฉากหลัง รัตติกาลผ่านพ้นเที่ยงคืนเริ่มเข้าสู่เวลาของวันใหม่ ชายหนุ่มผมทองและเด็กสาวก้าวออกจากบาร์พร้อมเสียงร้องส่งของผู้คนด้านใน “ขอโทษนะ แองเจิ้ล ที่ผมทำให้คุณต้องนั่งในนั้นถึงตีสองเนี่ย” “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ มันก็สนุกดีเหมือนกันนะ” เด็กสาวหัวเราะเล็กน้อยเมื่อนึกถึงหน้าตาเปี่ยมสุขของผู้คน “แล้วนี่พักที่ไหนเหรอครับ เดี๋ยวผมไปส่ง” “อ้อ ชั้นจะรีบออกจากที่นี้ไปทางเมืองหลวงของโครลิสน่ะค่ะ” “ไปตอนนี้เหรอครับ มันดึกมากแล้วนะ” ฟิโอนอสทักท้วงแต่เด็กสาวกลับส่ายหน้า “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ชั้นมีธุระด่วนต้องรีบไปทำที่นั้นน่ะค่ะ ถ้าไม่รีบออกตอนนี้จะไปไม่ทัน” “งั้นผมจะไปส่งล่ะกัน เพราะถือเป็นความผิดผมที่ดึงคุณให้อยู่ยันดึกแบบนี้” แองเจิ้ลหันมองหน้าของชายหนุ่มเล็กน้อย “จะดีเหรอคะ.....” เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมหาทางกลับมาที่นี่ได้อยู่แล้ว ผู้หญิงเดินทางคนเดียวมันอันตรายนะครับ ผมไปด้วยจะปลอดภัยกว่านะ ” ชายหนุ่มหัวเราะร่วน ซึ่งในความเป็นจริงแล้วตัวเขาไม่เคยไปเมืองหลวงเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นหนทางกลับมาที่ริริอานี่ก็มืดแปดด้าน แต่ว่าแน่นอนเขาไม่ใส่ใจ “ถ้าเช่นนั้นก็ขอรบกวนด้วยนะคะ” ฟิโอนอสไม่ตอบแต่ให้การพยักหน้าและรอยยิ้มเป็นคำตอบแทนทั้งสองเดินออกจากเมืองไปในยามวิกาล เหล่าการ์ดที่ประจำการอยู่พอจะเห็นหน้าคาตาชายหนุ่มผมทองบ้างอยู่แล้วส่วนเด็กสาวที่ไร้พิษสงคนนี้ก็ผ่านการตรวจสอบโดยไม่ยากเย็นนัก ฟิโอนอสพยายามถามหายานพาหนะที่พอจะทำให้เดินทางได้สะดวกขึ้นบ้าง แต่คำตอบที่ได้รับก็ไม่เหนือความคาดหมายนักนั้นคือเวลาป่านนี้จะไปหาพาหนะอะไรเอาที่ไหน “มีแต่ต้องเช่าเจ้านี่ล่ะเอาไหม” การ์ดคนนึงชี้ไปทางคอกที่มีนกสีเหลืองตัวใหญ่พอจะให้ขับขี่ ซึ่งในคอกนั้นเหลือนกแบบนี้อยู่เพียงตัวเดียว ชายหนุ่มยืนคิดอยู่สักครู่ “ก็นั่งซ้อนท้ายผมไปคงไม่เป็นอะไรนะครับ” เด็กสาวพยักหน้าให้เป็นการตกลง ฟิโอนอสจึงหันไปเจรจากับการ์ด “เท่าไรครับ” “สองพันเหรียญ ส่งคืนภายในวันพรุ่งนี้ด้วยล่ะ” ชายหนุ่มเหงื่อตกเล็กน้อยเพราะเงินสองพันเหรียญไม่ใช่เงินจำนวนน้อยๆเลยทีเดียว “งั้นผมไปล่ะนะ” ทั้งฟิโอนอสและแองเจิ้ลที่ขึ้นไปประจำบนที่นั่งหลังนกตัวใหญ่หันเอ่ยคำล่ำลากับการ์ดก่อนจะเคลื่อนตัวจากไป สายลมยามค่ำคืนพุ่งผ่านใบหน้าของทั้งสอง พวกเขาเคลื่อนที่ผ่านทุ่งราบกว้างใหญ่ไปตามเส้นทางที่การ์ดได้มอบแผนที่ไว้ การเดินทางผ่านไปราวๆหนึ่งชั่วโมงเด็กสาวที่เหนื่อยอ่อนเริ่มพิงหลังเขาช้าๆ เปลือกตาของเธอค่อยๆหรี่เล็กลง ซึ่งฟิโอนอสก็พอใจกับสถานการณ์ตรงนี้มากพอดู ชายหนุ่มที่เหลือบมองกลับไปดูใบหน้าของเด็กสาวนั้น รู้สึกผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูกจนไม่ทันระวังสิ่งที่จะเกิดขึ้นเบื่องหน้า..... เงาสีดำวูบผ่านมาอย่างรวดเร็วคมดาบต้องแสงจันทร์สะท้อนเป็นประกาย ซึ่งเป็นโชคดีของฟิโอนอสที่เขาจับสังเกตเรื่องนี้ทันก่อนจะอุ้มแองเจิ้ลพร้อมกระโดดหลบคมดาบไปได้อย่างเฉียดฉิว ผู้ที่อยู่เบื้องหน้า...คือชายหนุ่มในชุดซามูไรผมสีน้ำตาลที่มัดเรียบไว้ค่อยๆเคลื่อนไหว ดาบทรงตะวันออกในมือขวาถูกกระชับแน่น ด้านหลังคือหญิงสาวในชุดกระโปรงยาวสีฟ้าที่ถูกผ่าข้างให้เคลื่อนไหวได้สะดวกและดาบที่อันวิจิตรที่อยู่ในฝักก็คุ้นตาฟิโอนอสยิ่งนัก แองเจิ้ลลืมตื่นเต็มที่เมื่อรับรู้ถึงการโจมตีที่เกิดขึ้นกะทันหัน เจ้านกสีเหลืองที่เป็นพาหนะวิ่งเตลิดไปไกล ชายหนุ่มเนตรอำพันวางเธอลงช้าๆ ก่อนจะปลดผ้าที่คลุมดาบเล่มยาวของเขาเอาไว้ “พวกแก....เป็นใครกัน” นาโอกินิ่งเงียบพลางวิเคราห์ศัครูอยู่ครู่นึงจึงเอ่ยปากขึ้น “เท่าที่ดูจากลักษณะนายคือ ‘เดม่อนลอร์ด’ ที่กำลังโด่งดังในตอนนี้สินะ” “ไม่ผิดแน่ จากคำบอกเล่าของพวกนาโนฮะแล้ว...” หญิงสาวด้านหลังเอ่ยขึ้น แสงจันทร์ค่อยๆเผยโฉมหน้าได้รูปอันชวนหลงใหลของเธอ ความงามของเธอนั้นไม่ต่างจากภาพวาดจากจิตรกรชั้นเอกที่ผู้ชมแทบจะลืมหายใจเมื่อได้จับจ้อง “ว่าแต่ว่า ทำไมคุณที่เป็นพวกเนเธอร์เวิร์ลถึงช่วยคนของเบลก้าล่ะค่ะ” หญิงสาวถามขึ้น ชายหนุ่มผมทองมีปฎิกริยาทันที “เบลก้า....” เขามองไปยังเด็กสาวตัวเล็กที่เกาะเขาไว้แน่น “เป็นไปไม่ได้น่ะ” “เด็กสาวคนนั้นคือ เจ้าของสมญานาม ‘นางฟ้าอัจฉริยะ’ เอเลนเดรียล เซเรส เดอ แองเจเลีย หมากตัวสำคัญของกองกำลัง Section5” หญิงสาวเน้นเสียงราวกับจะตอกย้ำความจริงที่ไม่อาจเชื่อ แองเจิ้ลได้แต่คู้ตัวอยู่ในเสื้อของฟิโอนอสพลางส่ายหน้าปฎิเสธสิ่งที่หญิงสาวพูด “ชั้นไม่รู้จักคนพวกนี้นะคะ” “หึ นอกจากฉลาดเป็นกรดยังเล่นละครเนียนอีกนะเนี่ย” นาโอกิพูดเย้ยหยัน “ถ้าเช่นนั้นชั้นขอแนะนำตัวก่อน เริ่มจากชายที่อยู่ตรงนั้น” รูเน็ตพูดพลางชี้ไปทางชายหนุ่มซามูไร “เขาคือ ‘ดาบแห่งบูรพา’ นารูมิ นาโอกิ หนึ่งในหน่วยจู่โจมของอัศวินกางเขนของพวกเรา” “ส่วนชั้นคือ รูเน็ต เคลมอรัส ‘เจ้าหญิงดาบสวรรค์’ แห่งอัศวินกางเขนเช่นกัน” รูเน็ตแนะนำตัวด้วยความสุภาพราวกับตรงการรักษาเกียรติแห่งอัศวิน “เหอะ แล้วยังไงล่ะ พวกนายต้องการอะไรก็บอกมาดีกว่าถึงได้จู่โจมกะทะหันแบบนี้” ฟิโอนอสเอ่ย พลางมองไปที่หน้าของทั้งสอง “ชีวิตของเธอค่ะ” รูเน็ตกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบพลางเพยิดหน้าไปทางแองเจิ้ล ฟิโอนอสรีบนำเธอมาหลบไว้ด้านหลัง “พูดง่ายดีนิ” “แน่นอน เป็นอะไรง่ายๆ” นาโอกิเริ่มก้าวเดินเข้าหา “ถ้านายไม่อยากมีปัญหาก็แค่ส่งเธอมาให้เรา ชั้นเองก็ยังไม่อยากรบกับพวกเนเธอร์เวิร์ลตอนนี้หรอกนะ” นาโอกิแผ่รังสีกดดันอย่างเห็นได้ชัด ฟิโอนอสไม่ประมาทเขาเริ่มตั้งท่าเตรียมพร้อมและคอยระวังรูเน็ตที่อยู่ข้างหลัง “รังแกผู้หญิงตัวเล็กๆไม่มีทางสู้นี่ถือเป็นเกียรติของอัศวินด้วยเหรอ” ชายหนุ่มผมทองย้อนกลับพลางหันมองไปทางรูเน็ตที่น่าจะได้ผลกับคำพูดประโยคนี้มากกว่า “เด็กสาวคนนั้น....ไม่สิ หญิงสาวคนนั้นร้ายกาจกว่าที่คุณคิดมากค่ะ ‘เดม่อนลอร์ด’ ที่สำคัญเธออายุ 17 แล้วด้วยนะคะ” ฟิโอนอสอึ้งเป็นคำรบสองเมื่อดูรูปร่างจากภายนอกของแองเจิ้ลแล้วน่าจะเป็นเด็กอายุ 14-15 มากกว่า “เรื่องนั้นไม่ใช่ประเด็นสักหน่อย ยังไงชั้นก็ขอไม่อนุมัติชีวิตของเธอคนนี้หรอก” แองเจิ้ลที่อยู่ด้านหลังของฟิโอนอสเหลือบมองไปทางดาบของนาโอกิพลางแอบยินดีภายในจิตใจของเธอ “สวรรค์เข้าข้างเราจริงๆ....” คทาแห่งคำพยากรณ์ปรากฎโฉมออกมาด้วยขนาดเล็กจิ๋วซึ่งเธอได้ทำกลไกบางอย่างเตรียมไว้ตั้งแต่อยู่ที่ริริอาแล้ว รอเพียงแค่เวลานี้เท่านั้น “ดูท่าจะไม่ยอมถอยง่ายๆสินะคะ” รูเน็ตเข้าประชิดมากขึ้นน้ำเสียงของเธอแฝงความองอาจไม่หวั่นเกรงฝีมือของฟิโอนอสแม้แต่น้อย “ก็คงแบบนั้นแหละ” จ้าวปีศาจเผยยิ้มมั่นใจ เขาเองก็พอประเมินได้อยู่แล้วว่าการรับมือกับสองคนนี้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆแน่ รูเน็ตเหลือบมองไปทางนาโอกิเป็นการให้สัญญาณ “ถ้าเช่นนั้นเราขออภัย” นาโอกิและรูเน็ตพุ่งตัวเข้าหาแทบจะพร้อมกัน ฟิโอนอสรีบพลักแองเจิ้ลให้ล้มลงก่อนจะใช้ดาบในมือปัดการโจมตีจากสองทิศทางอย่างรวดเร็ว นาโอกิที่ตั้งตัวได้เร็วกว่าพุ่งเข้าหาชายหนุ่มเนตรอำพันในช่วงเวลาแค่อึดใจก่อนจะฟาดดาบเป็นแนวทะแยงจากดาบล่างอย่างรวดเร็ว ฟีโอนอสใช้ดาบของตนรับไว้ได้ก่อนจะรีบก้มหัวล้มคมดาบของรูเน็ตที่พุ่งมาจากทางด้านหลัง ชายหนุ่มที่ถูกรุมรีบถอยตัวเองออกมา หากขืนยังอยู่ในตำแหน่งเดิมเขาต้องรับมือจากทั้งด้านหน้าและหลังซึ่งเป็นเงื่อนไขที่ลำบากมาก การถอยออกมานี้ทำให้ทั้งนาโอกิและรูเน็ตมาอยู่ด้านหน้าของเขาซึ่งรับมือได้ง่ายกว่า คราวนี้รูเน็ตพุ่งตัวเข้าหาก่อน เธอยกดาบขึ้นก่อนฟาดจากแนวบนลงล่างด้วยความรวดเร็วตามด้วยการโจมตีอีกสามครั้งติดๆ แต่ฟิโอนอสก็ยังอาศัยชั้นเชิงปัดป้องเอาไว้ได้ แต่ถึงกระนั้นโอกาศโจมตียังแทบจะหาไม่ได้ “ฮ่าห์ !!” ชายหนุ่มรีบมองขึ้นไปด้านบน นาโอกิที่รอจังหวะอยู่กระโดดข้ามตัวรูเน็ตก่อนจะฟาดดาบเข้าใส่ฟิโอนอสที่กำลังรับมือกับหญิงสาวเต็มแรงจนตัวเองถลาลงไปนอนกองกับพื้น “อุย....” ชายหนุ่มผมทองส่งเสียงครางออกมาเล็กน้อยพลางสะบัดข้อมือ “ดาบนั้น...ไดโตะ สินะการปะทะกันเมื่อกี้ที่ซัดให้ชั้นลงไปนอนได้ทั้งที่รับได้อย่างสมบูรณ์แล้วก็เป็นพลังของมันด้วยสิ” นาโอกิยกดาบขึ้นมาในระดับหน้าอกก่อนเอ่ยปาก “ใช่แล้วนี่คือหนึ่งในสิบสามศาสตรา ไดโตะ ดาบที่ไม่มีวันดับสูญและยังช่วยเสริมพลังในการปะทะอย่างเช่นเมื่อครู่ แม้ว่าคู่ต่อสู้จะป้องกันได้สมบูรณ์ก็ยังไม่อาจชนะแรงปะทะของมันได้” “ขี้โกงดีแหะ” ฟิโอนอสลุกยืนพลางปัดฝุ่นไปจากเสื้อของเขา “คุณคงจะเห็นแล้วสินะคะ ว่าคุณไม่สามารถเอาชนะพวกเราสองคนได้ กรุณาหลีกไปให้เราจัดการธุระที่นี่ให้เสร็จเพื่อกลุ่มของพวกเราเองนะคะ” รูเน็ตเอ่ยน้ำเสียงเรียบเย็นราวหุ่นยนต์ไร้ชีวิต “เธอน่ะ......” ฟิโอนอสเอ่ยกับหญิงสาว “ถ้ายิ้มแล้วจะดูดีกว่านี้เยอะเลยนะ” รูเน็ตยืนนิ่งไร้ปฎิกริยา “ขอโทษด้วยค่ะ แต่การแสดงอารมณ์เช่นนั้นไม่ควรกับวิถีของอัศวิน” “งั้นเหรอ.... แต่ไงๆผมก็ไม่อาจยกแองเจิ้ลให้ได้หรอกนะ” ฟิโอนอสยืนยันเจตนารมณ์เดิม ทั้งนาโอกิและรูเน็ตต่างสบตากันอีกครั้งพลางบุกเข้าใส่โดยไม่ทันให้ชายหนุ่มผมทองได้ตั้งตัว คราวนี้การโจมตีของทั้งสองเข้ามาพร้อมกันจากทางด้านซ้ายและขวา ฟิโอนอสอาศัยจังหวะนั้นมุดตัวหลบปล่อยให้ดาบของทั้งคู่ปะทะกันเอง เมื่อเป็นเช่นนั้นทั้งนาโอกิและรูเน็ตต่างยืนอึ้งไปชั่วขณะแต่ก็เพียงพอสำหรับ ‘เดม่อนลอร์ด’ เขารีบฟันดาบเป็นแนวนอนเข้าหารูเน็ตทันทีซึ่งเป็นไปตามคาดว่าเธอรับมันได้อย่างเฉียดฉิว นาโอกิได้ทีเงื้อดาบหมายจะฟันชายหนุ่มที่ติดพันอยู่ แต่ฟิโอนอสที่คาดการไว้ก่อนแล้วรีบถ่ายน้ำหนักไปที่ขาซ้ายใช้ตั้งยันก่อนจะยกขาขวาถีบนาโอกิที่ไม่ทันระวังเต็มแรง หนุ่มซามูไรก็ลงไปนอนกลิ้งกับพื้น รูเน็ตเห็นว่าหลักของฟิโอนอสนั้นเริ่มไม่ดีเธอจึงออกแรงกระแทกชายหนุ่มจนผงะไปเล็กน้อยก่อนจะฟาดดาบจากทางด้านซ้ายอย่างรวดเร็ว ตามด้วยการสะบัดดาบจากทางด้านล่างทำเอาฟิโอนอสแทบหงายหลัง นาโอกิที่โดนถีบกระเด็นไปไกลพอสมควรรีบลุกยืนขึ้นพลันรีบกลับไปร่วมการต่อสู้อีกครั้งแต่มีบางสิ่งดึงความสนใจเขาซะก่อน.... แองเจิ้ลที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังเริ่มเดินกลไกของเธอแสงสว่างจ้ากระจายไปโดยรอบ เสาลำแสงต้นนึงพุ่งขึ้นทางทิศตะวันตกซึ่งเป็นบริเวณของเมืองริริอา ส่วนอีกต้นพุ่งทะยานจากเบื้องหน้าที่ไม่ไกลนักอันเป็นที่ตั้งของเมือง ลูชีริส เมืองหลวงแห่งโครลิส.... “นี่มัน....” ฟิโอนอสหยุดมองเช่นเดียวกับรูเน็ต สิ่งนี้คือเวทย์สื่อสารที่ใช้ในการฉายภาพเหตุการณ์ ซึ่งแองเจิ้ลได้เตรียมการไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ตั้งแต่ตอนที่เธอมาที่นี้เธอก็ได้วางแผนในการค้นหาสมาชิกคนใดคนนึงของเนเธอร์เวิร์ลซึ่งคนที่เธอเล็งเอาไว้ก็คือ ฟิโอนอส และไม่นึกว่าจู่ๆเธอก็พบกับเขากะทันหันบนรถเกวียนที่จะไปริริอาพอดี จากนั้นเธอที่พอจะรู้อยู่แล้วว่าฐานกองกำลังของศัตรูอยู่ที่เมืองนี้ แต่ไม่จำเป็นต้องค้นหาเธอเพียงวางกลไกเสาแสงสว่างที่จะใช้ฉายภาพนี้ไว้เท่านั้น และการเจอฟิโอนอสที่บาร์ในวันเดียวกันนั้นก็ล้วนเป็นความบังเอิญอีกครั้ง ทั้งที่เธอคิดว่าจะต้องใช้เวลาเดินแผนนี้ร่วมๆสัปดาห์เลยก็ตาม ส่วนพวกรูเน็ตนั้นแองเจิ้ลก็รู้ตัวดีว่าถูกจับตามองตั้งแต่อยู่ที่พระราชวังรูบิเนเซียในตอนแรกเลยนั้นเธอคิดจะกำจัดสปายคนนี้ซะ แต่เธอกลับปล่อยให้ถูกจับตาไปเรื่อยๆเผื่อไว้ใช้ประโยชน์เข้าสักวัน ซึ่งวันๆนี้ก็มาถึงเมื่อเธอเรี่มคิดแผนการนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องให้เกิดการต่อสู้าและเธอก็ยอมเป็นเหยื่อล่อที่ดีให้พวกรูเน็ตออกมานั้นเอง และก็เป็นเช่นนั้นเมื่อเธอต้องการให้สมาชิกทั้งสองกลุ่มปะทะกัน ณ ที่ใดก็ได้ในดินแดนนี้ ที่สำคัญคือต้องมีผู้ใช้ศาสตราร่วมด้วยและเมื่อเกิดการปะทะกันขึ้นของผู้ครองศาสตราในโครลิส องค์ราชาย่อมไม่นิ่งเฉย และเธอเองก็ได้บันทึกภาพทั้งหมดตั้งแต่การสนทนาจนถึงการต่อสู้ตัดไปเพียง ตัวตนของเธอที่รูเน็ตแฉออกมาเท่านั้น ซึ่งเธอก็มั่นใจว่ามีเพียงกลุ่มอัศวินกางเขนที่รู้ตัวตนของเธอ......แม้ว่าเธอจะอยู่ในการต่อสู้ก็ตามแต่แค่บิดเบือนอะไรเล็กน้อยก็สิ้นเรื่อง การฉายภาพที่โครลิสที่เธอทำไว้แต่แรกเพื่อให้องค์ราชาเคลื่อนไหว และ ก็ฉายภาพที่ริริอาเพื่อให้คนในเมืองที่หวั่นเกรงโศกนาฎกรรมในอดีตเคลื่อนไหว ทุกอย่างนั้นเธอได้วาดภาพมันไว้แต่แรกแล้ว และ ทุกอย่างนั้นก็เป็นจริง ณ วินาทีนี้ เพื่อให้คนในโครลิสกวาดล้างกลุ่มเนเธอร์เวิร์ลเองโดยที่พวกเธอไม่ต้องเหนื่อยแรง สมฉายา ‘นางฟ้าอัจฉริยะ’ “รูเน็ต ฆ่าเธอเร็ว !!” นาโอกิรีบตะโกนสั่ง แม้ว่าอยากจะจัดการด้วยตัวเองก็ตาม แต่ตำแหน่งของรูเน็ตนั้นใกล้กว่าเขามาก รูเน็ตตอบสนองทันทีคมดาบของเธอพุ่งเข้าหาแองเจิ้ลราวอัสนีบาต แต่ไม้เท้าแห่งคำพยากรณ์พลันปรากฎตรงหน้าพร้อมกำแพงแสงสีขาวสว่างหยุดการโจมตีนั้นไว้ แต่พลังแฝงของดาบในมือหญิงสาวนั้นยิ่งใหญ่กว่าที่แองเจิ้ลคาดไว้ กำแพงแสงอันทรงพลังขนาดปืนใหญ่ยังไม่ระคายกับปริแตกในทันที “เป็นไปไม่ได้ ถ้าไม่ใช่ศาสตราทั้งสิบสามก็ไม่น่าจะทะลวงเข้ามาได้เลยนี่หน่า แต่ยังไงซะเราก็ประมาทเกินไป !!” แองเจิ้ลทำได้เพียงแค่นึกเท่านั้น รูเน็ตเงื้อดาบอีกครั้งหมายสังหารเธอให้สิ้นชีพ เคร้ง !!! เสียงโลหะกระทบกันดังลั่น....ดาบของฟิโอนอสเข้าขวางเอาไว้ได้ในจังหวะสุดท้ายท่ามกลางความไม่เข้าใจของทั้งสองฝ่าย “ทำอะไรของคุณน่ะ !!” รูเน็ตตะโกนใส่อย่างเกรี้ยวกราด แต่ชายหนุ่มกลับไม่ใสใจพลางหันมองไปด้านหลัง “ผมมีสัญญาที่ให้ไว้กับผู้หญิงคนนี้ ว่าจะคุ้มครองเธอให้ปลอดภัย แม้ว่ามันจะผิดก็เถอะ” ดวงตาสีอำพันของฟิโอนอสมองเข้าไปในดวงตาของรูเน็ตหญิงสาวรีบร้อยเรียงพลังเข้าไปในดาบ ตัวดาบของเธอเริ่มเปล่งประกายสีเหลืองทองตัวสลักอักษรเปล่งแสงตามพลังที่ได้รับ แองเจิ้ลที่เห็นดั่งนั้นจึงทราบชื่อของอาวุธชิ้นนี้ทันที “ทำไมเธอถึงมีมันได้ล่ะ......” ฟิโอนอสเตรียมรับการโจมตีอันมหาศาลที่จะตามมา ซึ่งอาจพ่วงด้วยนาโอกิที่เขาเพิ่งซัดล้มไปเมื่อครู่พร้อมของแถมไปรอยแผลลึกช่วงเอวที่ทำให้เขาเสียเลือดอยู่เรื่อยๆ แต่กลับเกิดสิ่งผิดปรกติ.....ดาบของทั้งสองกลับตอบสนองกันอย่างประหลาด “อ่ะ...” “อะไรเนี่ย..” ลำแสงนั้นพ่วยพุ่งและโอบล้อมทั่วบริเวณพลันเกิดเสียงดังสนั่น พร้อมกับความสว่างที่เพิ่มมากขึ้นจนไม่อาจเปิดเปลือกตาดูได้....... เมื่อทุกอย่างจบลงร่างของรูเน็ตและฟิโอนอสก็หายไป เหลือเพียงนาโอกิที่ได้รับบาดเจ็บ กับแองเจิ้ลที่กำลังเหม่อมองท้องนภายามราตรีอยู่เท่านั้น “ไม่ผิดแน่......ดูท่าจะมีเรื่องให้คุณอเล็กซ์ตื่นเต้นอีกแล้ว คิกคิก” .......................................................................................................................................................................................................... Talk Talk Talk 555+ ไอ้โยปั่นฟิคเป็นปรากฎการณ์หายากที่เกิดขึ้นแล้วในบอร์ด AF แห่งนี้ จริงๆแล้วคือผมไม่อยากงานล้มมือมากตอนเดือนหน้าเพราะเดี๋ยวนอกจากฟิคร่วมแล้ว ยังมีโปรแกรมสอบอีก ช่วงว่างๆนี้ก็รีบๆเอามันลงซะก่อนจะดองดีกว่า ในตอนต่อๆไปก็จะเริ่มบ้าบอคอแตกมากขึ้นเรื่อยๆจะรีบปิดให้ถึงตอนสิบก่อนหนีเที่ยวไปทำงานสักพักนะค้าบบบบบบบ Special Thanks 1.เด็กสาวในเสื้อคลุมตอนแรกหากไม่มีอะไรผิดผลาดคนๆนี้น่าจะได้ปรากฎตัวนี้ตอนต่อไป สุดที่รักผมเองแหละบอกแค่นี้ก็คงรู้กันหมดแล้วสินะ 2. ไอ้โย ไอ้แม็ก ไอ้อัล จำต้องบอกไหมว่าสามคนนี้มันเป็นใคร 5555+ And All Friends And Fans Thank You !!!!!!!!
Re: The Legacy War ~Page VII~ The Promise เย่ว ซามูไรผม เริ่มแสดงความ อึมครึมแล้วสินะ 55+ ช่วงนี้ยุ่งมากมาย เซ็งอ่ะพี่โย ไว้ผมจะรีบตามเผาฟิค แล้วกันนะ 55+
Re: The Legacy War ~Page VII~ The Promise อ้าวไหงสามพลังเเห่งAF กลายเป็นสามบ้ากามไปได้ล่ะเนี่ยหา ก๊ากกก!! พลาดไปเลยตูต้องมานั่งอ่าน2ตอนรวดซะได้ 555จ้าวปีศาจเด่นอีกตามเคย(พระเอกนี่หว่า) เร็ก กะฮิว ตีกันเช่น เคยเกือบโดนฆ่าเเล้วไหมล่ะพวกเอง!!
Re: The Legacy War ~Page VII~ The Promise อยากให้บอกมั้ยล่ะ==" เอาตูข้ามายำซะเสียอนาคตเลย ชิ รู้สึกช่วงนี้ราดเบนซินไปหลายลิตรเลยนะ ไฟแรงไม่หยุดหย่อน เล่นเอาผมมายำแบบนี้ ถ้าตอนหน้าไม่มีของดีให้อ่าน มีเคืองนะ ชิๆๆ
Re: The Legacy War ~Page VII~ The Promise ู^ ^ ท่านโย เอาพวกเรามาเป็นขยะเปียกแบบนี้ไม่ยอมนะเนี่ย อย่างน้อยน่าจะให้ <beep> ก่อนนา [action]โดนกระทืบจากแองเจิ้ลจัง[/action]
Re: The Legacy War ~Page VII~ The Promise ผิดคาดแค่ตัวละครรูเน็ตใช้คำว่าค่ะตลอด นึกถึงเซรีนในสตาร์โอเชี่ยนขึ้นมาซะงั้น มาอ่านอีกตอนนะคะ ฉากต่อสู้มันส์มาก เข้าถึงอารมณ์เลยค่ะ
Re: The Legacy War ~Page VII~ The Promise ตอนใหม่มาลงไวจริงๆ ตอนนี้แอบตะลึง แองเจิ้ล ฉลาดเป็นกรดจริงๆ(ฮา) ปล.แต่มุกคนสามคนนี่มัน.....
Re: The Legacy War ~Page VIII~ The Roar of Sky ~History Page’s VIII~ ~The roar of Sky~ ณ ใต้ชายคาแห่งนภาอันมิเคยตื่น ปราสาทหินอ่อนหลังงามอันเต็มไปด้วยลวดลายแบบยุโรปกลางอันวิจิตรยังคงตั้งตระง่านท้าทายลมหนาวยามค่ำคืน เด็กสาวร่างเล็กผู้จุดเทียนเล่มน้อยอยู่บนยอดหอคอยทิศอุดรของปราสาทกำลังตรวจดูหนังสือรอบกายอย่างขะมักเขม้น ด้านข้างของเธอคือ ถ้วยกาแฟที่ถูกวางไว้จนเย็นเฉียบกับขวดไวน์ทรงสวยที่บรรจุของเหลวสีแดงไว้ด้านใน เด็กสาวค่อยๆรินของเหลวนั้นลงในแก้วไวน์ น้ำสีแดงสดใหลรินจนเติมเต็มภาชนะใสบาง “.....ข้าน่ะไม่ว่าอย่างไรก็ยังคงคำนึงถึงท่านเสมอ” คำพูดนึงลอยขึ้นมาในหัวของเด็กสาว เธอกรีดนิ้วไปตามหน้ากระดาษเก่าๆพลางระลึกถึงความหลังในสมรภูมิอันหมุนวน “ข้าขอโทษ” เสียงในความทรงจำดังก้องในหัวของเธออีกครั้ง “ตอนนี้ยังคงทำตัวบ้าๆแบบนี้อีกหรือเปล่านะ เจ้าน่ะ.....” เด็กสาวเอ่ยเสียงแผ่ว ผมสีทองยาวสลวยต้องแสงเทียนสว่างไปทั่วทั้งห้อง ที่นี่คือ ห้องเก็บบันทึกโบราณภายในปราสาทดารานิรันดร์ ซึ่งผู้เป็นเจ้าของมันก็คือผู้ปกครองเหล่าแวมไพร์สมญานาม “ราตรีหมื่นดาว” เอวาเจลีน ห้องๆนี้เป็นสถานที่ ที่เธอมักจะใช้เวลาแทบจะตลอดวันอยู่ในนี้ คอยนั่งอ่านบันทึกเก่าๆนับพันนับหมื่นรอบ เสมือนการทบทวนอดีตอันยาวนานของเธอ เบื่องหน้านั้นนอกจากกองเอกสารและบันทึกแล้ว ยังมีแผนที่แผ่นใหญ่กางไว้อยู่ บนแผ่นที่นั้นปรากฎตัวขุนสีดำสามตัวถูกวางประจันหน้ากันอยู่ ตามตำแหน่งแต่ล่ะอาณาจักร “เนเธอร์เวิร์ล ครอสไนท์ Section 5 ไม่สิ เบลก้า” เธอวางนิ้วไปบนตัวขุนเรียงตามลำดับแต่ล่ะกลุ่มที่เธอเอ่ยขึ้น “โครลิสแห่งตะวันออก ไม่อาจไว้ใจในดินแดนของตน, รูบิเนเซียทางเหนือ ที่แสร้งทำตัวนิ่งเฉย, เบลก้า ทิศใต้ผู้แสวงหาศาสตราวุธ, ฟาลาจิ ตะวันตก ผู้โอนเอียง” “โศกนาฎกรรมที่ริริอาเมื่ออดีต ดูท่าจะทำปัญหาให้พวกเนเธอร์เวิร์ลมากพอดู...การอยู่โครลิสต่อไปถ้าจะลำบาก” เด็กสาววิเคราะห์พลางใช้นิ้วขยับหัวตัวขุนที่ตั้งอยู่บนอาณาจักรโครลิส “เบลก้า คงจะใช้จังหวะนี้เข้าบดขยี้พวกเนเธอร์เวิร์ลแน่” เธอจับตัวขุนที่อยู่เหนือเบลก้าเข้าประชิดไปที่ตัวขุนบนโครลิส “หากครอสไนท์ไม่ยื่นมือเข้าช่วย ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ยังไงๆซะพวกผู้ถือครองศาสตราก็เป็นปฎิปักษ์กันอยู่ดี” เด็กสาวหยิบตัวม้าขึ้นมาสามตัว ก่อนจะวางพวกมันเรียงหน้ากระดาษอยู่เหนือแผนที่ “นอกจากผลึกแห่งทรานซ์แล้ว กุญแจสำคัญน่าจะอยู่ที่สามคนนี้” ไอเย็นแห่งรัตติกาล ราชาแห่งศาสตรา แสงแห่งคำพิพากษา “คนนึงถูกไลล่า คนนึงรอโอกาศ ส่วนอีกคนถูกอ้อนวอนงั้นเหรอ” เด็กสาวเอ่ยพลางมองไปทางม้าทั้งสามตัว ก่อนจะลุกเดินไปทางหน้าต่างหิน เนตรสีทองนั้นจับจ้องไปที่จันทร์เสี้ยวบนผืนนภาอันไร้หมู่ดาว “เจ้าจะเอาชนะศึกได้อย่างไรกันนะ เรเชนเทียร์.......” %%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%% .....สายตาของชั้นยังคงเหม่อมองออกไปยังฝากฟ้าอันแสนไกล ทุกครั้งที่ชั้นมองไปบนท้องนภาที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา มันชวนให้คิดถึงครอบครับที่พลัดพรากของชั้นอยู่ตลอดเวลา ความรู้สึกว้าเหว่เข้าเล่นงานทุกอณุในร่างกายราวกับสายลมที่โหมกระหน่ำ แม้ว่าบนรถไฟที่ชั้นโดยสารมานั้นจะมีเสียงทะเลาะกวนโสตประสาทอยู่ตลอดเวลาก็ตาม ในระหว่างการเดินทางไปฟาลาจิครั้งนี้ชั้นไม่ได้รู้อะไรเลยเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในโครลิส หากตอนนั้นชั้นรู้ว่าเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้นคงจะรีบกลับไปหาพวกพี่อลิสแล้ว แม้ว่ามันจะเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งของกลุ่ม แต่ก็เพราะความไม่รู้นั้นทำให้ชั้นได้เจอกับเธอคนนั้น หนึ่งในบุคคลอันตรายที่พวกเราตามหาอยู่ เด็กสาวทีโลดแล่นอยู่ในนภากาศอย่างอิสระ พร้อมกับเสียงคำรามของท้องฟ้า ที่เปรียบดั่งอาวุธของเธอ เด็กสาวผู้ได้รับชื่อ ‘นภาคำราม’ ............ ........................ ................................... “เฮ้อ......ในที่สุดก็มาถึงซะที” ฮิวโก้ยืนบิดขี้เกียจพลางสะบัดหัวไปมาเมื่อลงจากรถไฟได้ “เมืองนี้.....อืม เวลเจ สินะ แต่ดินแดนฟาลาจินี่มากี่ทีก็รู้สึกไม่ปลอดภัยทุกทีเลยแหะ” เร็กซ์ ผู้ซึ่งเคยมาทำภารกิจในดินแดนนี้หลายครั้งก็อดไม่ได้ที่จะบ่นกับความรู้สึกชวนไม่เป็นมิตรของผู้คนที่นี่ ฟาลาจิ นั้นค่อนข้างขึ้นชื่อเรื่องความไม่สงบภายในมากโขอยู่ อีกทั้งยังเป็นแหล่งสุ่มหัวของพวกนอกรีตเนื่องจากสภาพภูมิประเทศที่ค่อนข้างจะเอื้ออำนวย ไปด้วยทิวเขาและถ้ำขนาดใหญ่ให้ซ่อนตัวได้มากมาย พ่วงด้วยปราการธรรมชาติตามเขตแดนที่ค่อนข้างหนักหน่วง แต่ก็ใช่ว่าจะมีแต่เรื่องแย่ๆ นั้นเพราะตลาดมืดที่ดินแดนนี่เติบโตอย่างมาก สินค้าหนี้ภาษีและของหายากผิดกฎหมายทั่วทุกสารทิศล้วนหาได้จากที่นี่ ไอ้ที่น่าตลกก็คงจะเป็นประธานาธิบดีของฟาลาจิเองก็ผสมโรงเรื่องของเถื่อนด้วยตัวเองเหมือนกัน แถมยังกระหายเงินไม่ต่างจากพวกพ่อค้า คงเป็นสาเหตุที่ทำให้เขายอมเล่นละครสงครามกับเบลก้าด้วยล่ะมั้ง “ว่าแต่เราจะหาตัวสองคนนั้นยังไงล่ะ” ฮิวโก้หันไปถามชานะ โดยที่ไม่จำเป็นต้องพูดว่ามาหาใคร “ทีมค้นหาของเราที่มาก่อนก็หายตัวไป ไม่รู้ว่าโดนโจรแถวนี้ซิวไปหรือเปล่า” ชานะเอ่ยพลางหันไปมองรอบข้าง ซึ่งก็มีพวกกุ้ยหน้าตาคล้ายๆวินมอเตอไซด์ตามปากซอยนั่งกันอยู่จำนวนนึง “เอาหน่า แหล่งข่าวล่าสุดที่เราได้มาก็บอกว่าพวกนั้นอยู่แถวนี้ไม่ใช่เหรอ” ชายหนุ่มผมสีเทาอ่อนพูดขึ้นด้วยข้อมูลล่าสุดที่ได้รับ แม้ว่ามันจะผ่านไปสามวันแล้วก็ตาม “เร็กซ์ ข้อมูลที่ผ่านไปสามวันแล้วยังจะเอามาอ้างอิงอีกหรือไง” เด็กสาวส่งสายตาข่มขู่ จนเร็กซ์ยืนนิ่งเหงื่อแตกเป็นน้ำพุ เหนือขึ้นไปของนครเวลเจ.... สายลมกรรโชกจากที่สูงทำให้ผ้าคลุมเก่าๆสีน้ำตาลซีดพัดปลิวไปตามแรง ผู้ที่อยู่ในผ้าคลุมกำลังนั่งวิเคราะห์สถานการณ์ “Sir, Found the Legacy weapon in distance 70.” เสียงนั้นเปล่งออกมาจากคทาสีดำที่ถูกประดับด้วยอัญมณีสีเหลืองอ่อนที่หัวคทา มันเปล่งวาจาที่ฟังดูคล้ายเสียงเครื่องจักรอู้อี้ ออกมาจากอัญมณีนั้น “อืม......ดูท่าจะเป็นพวกไม่ธรรมดาซะด้วย คงต้องชิงลงมือก่อน” เสียงเด็กผู้หญิงที่เปล่งออกมาจากผ้าคลุมสนทนากับคทานั้น “Order ?” “เพื่อความปลอดภัยของพวกเราเอง ผู้ถือครองศาสตราทุกคนถือเป็นอันตราย” เด็กสาวนิ่งเงียบไปครู่นึงก่อนจะลุกยืนขึ้นด้วยท่วงท่าอันสง่า “ไปกันเถอะ บัลดิช” “Yes sir” “ปัดโธ่ โว้ย แค่รถเดินทางไปเมืองต่อไปจะเอาตั้งสามพัน” เร็กซ์ตะโกนโวยวาย เมื่อก่อนหน้านี้ทั้งสามทุกโก่งราคาค่าเดินทางมหาโหด เพียงแค่ระยะทางสั้นๆจากเมืองนั้นไปยังเมืองถัดไป ถ้าเป็นที่โครลิสก็เพียงแค่ไม่กี่ร้อยเหรียญเท่านั้น “เอ๊ง ก็น่าจะชินได้แล้วนะเร็กซ์ มาก็ออกบ่อย” ฮิวโก้เอ่ยไม่สบอารมณ์เท่าไร พลางเคี้ยวหมากฝรั่งที่เก็บไว้เป็นการฆ่าเวลาระหว่างเดิน “ก็มันน่ารำคาญนี่หว่า” หนุ่มผมเทา บ่นพลันแตะเศษฝุ่นออกจากรองเท้า ส่วนเด็กสาวผมดำยาวได้แต่เพียงนิ่งเงียบฟังการสนทนาของทั้งสองด้วยความเหนื่อยใจ เธอเริ่มมองไปบนท้องฟ้ายามเย็นที่พระอาทิตย์ยามอัสดงกำลังลับขอบฟ้าไปเรื่อยๆ ตอนนี้พวกของชานะเดินออกจากตัวเมืองเล็กๆได้ไม่นานนัก แม้แต่ตอนนี้เมื่อหันกลับไปก็ยังคงเห็นเมืองเวลเจได้ถนัดตาอยู่ เพียงแต่ ‘เกศาเพลิงเนตรอัคคี’ กำลังสำรวจโดยรอบ เพราะเธอไม่วางใจว่าจะมีพวกโจรแอบซุ่มอยู่ตามก้อนหินหรือหน้าผาด้านบนหรือไม่ เนื่องจากตอนนี้พวกเธอกำลังเดินอยู่ในพื้นที่ลักษณะคล้ายช่องเขาแคบๆ บวกกับกองหินที่วางระแกะระกะ อันเป็นจุดไม่น่าไว้ใจ “พิ้นที่แถบนี้มุมแอบซ่อนเยอะเหมือนกันนะ” ชานะพูดขึ้นมาลอยๆ ทำให้ชายหนุ่มทั้งสองเริ่มมองไปรอบตัว “จริงด้วย งี้คงต้องระวังตัวมากกว่าเดิมซะหน่อย” เร็กซ์เสริมขึ้น “เฮอะ อะไรของแกว่ะ พูดเหมือนไม่เคยมา” และก็เป็นธรรมาดาที่ฮิวโก้จะกัดทันที “เฮ้ย พูดแบบนี้อยากตายนักใช่ม่ะ” และก็เป็นอะไรที่ธรรมดาอีกเช่นกันที่เจ้าสองคนนี้เริ่มจะทะเลาะกันด้วยเรื่องไร้สาระ “อ้าวๆ ดูท่าอยากจะลงไปด้าวดิ้นกับพื้นมากล่ะสิท่า” เมื่อสถานการณ์เริ่มออกนอกทะเล เด็กสาวผมดำที่มีอำนาจสิทธิเหนือชายหนุ่มตัวโตกว่าก็เริ่มออกอาการหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด เธอก้าวเดินไปหาทั้งคู่ที่แทบจะเอาหัวชนกันอยู่แล้ว “พวกแก นี่มันน่า......” เสียงของเธอขาดห้วงเมื่อมีภาพของใครบางคนปรากฎตรงหน้าโดยไม่ตั้งตัว และเสียงที่ขาดหายนั้นก็ดึงความสนใจของเร็กซ์และฮิวโก้ไปยังแขกที่ไม่ได้รับเชิญเช่นกัน “น่าแปลกจริงๆ อยู่ใกล้ขนาดนี้แต่ไม่รู้สึกอะไรเลย” ชานะจ้องมองผู้ที่กำลังจับจ้องพวกเธอจากเนินผาสูงพลางคิดในใจ “เฮ้ ชานะจัง รู้สึกอะไรไหม” เร็กซ์เองก็คงจะเป็นเช่นเดียวกัน นั้นคือไม่อาจสัมผัสถึงตัวตนของผู้ที่โผล่มาได้ “ไม่เลย ฮิวโก้นายล่ะ” ฮิวโก้ไม่ตอบอะไร เขาเพียงแค่ส่ายหน้าให้รับรู้ได้เท่านั้น ตำแหน่งที่คนผู้นั้นยืนอยู่ตรงจุดที่บดบังพระอาทิตย์ที่กำลังตกพอดี ทำให้เงาที่ทอดลงมาดูใหญ่และน่ากลัวอีกทั้งคทาที่เปล่งแสงสีเหลืองอ่อนเพียงนึงเดียวในเงามืดนั้น ยิ่งทำให้น่ากลัวจนลืมหายใจ “พวกเธอ ผู้ถือครองศาสตราสินะ” เสียงนั้นเป็นเสียงเด็กผู้หญิง “เด็กผู้หญิงเหรอ ดูท่าจะอายุราวๆ 12-13 เองด้วยล่ะมั้งเนี่ย” ฮิวโก้กระซิบกับคนอื่นๆ หลังจากดูจากลักษณะร่างกายใต้ผ้าคลุมนั้นแล้ว “ไม่แน่ว่าอาจเป็นพวกแอ๊บแบ๊วเหมือนยัยแวมไพร์แก่หนังเหี่ยวนั้นก็ได้นะ” สรรพนามที่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใครทำเอาฮิวโก้เดือดเป็นกาน้ำ “อ้าว ไอ้นี่ !!” คราวนี้ชานะไม่ห้าม แต่เธอกับรู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาดกับเด็กสาวคนนี้จนไม่สนใจพวกต๊องที่ทะเลาะกันไปโดยปริยาย “แล้วเธอเป็นใครกัน...” ชานะเอ่ยถามด้วยคำถามแปลกๆที่แม้แต่ตัวเองยังไม่เข้าใจ อีกฝ่ายไม่ตอบ แต่มือขวาที่ถือคทาอยู่ยืนสิ่งในมือมาด้านหน้า “Plasma Lancer” ศรสีเหลืองทองปรากฎขึ้นในทันที แถมไม่ใช่จำนวนน้อยๆแต่กลับมีถึง 12 ดอก เมื่อทั้งสามตระหนักได้ถึงอันตรายก็รีบฉากหลบออกจากวิถีทันที ศรสายฟ้าทั้งหลายพุ่งเข้าหาเป้าหมายที่ล่าถอยจากตำแหน่งเดิมราวกับจรวดนำวิถี ฮิวโก้เห็นดังนั้นก็ซัดคลื่นลมเข้าใส่หมายทำให้มันสูญสภาพ แต่กลับไม่เป็นดังนั้น ศรสายฟ้าที่โดนเล่นงานกลับแตกออกเพียงชั่วครู่ก่อนจะพุ่งหาเป้าหมายเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “อะไรเนี่ย...” ฮิวโก้ตะลึงกับภาพที่เห็น ส่วนทางด้านเร็กซ์กับชานะกำลังรับมือกับศรสายฟ้าอีกเก้าดอก ชานะกลายสภาพตัวเองอยู่ในโหมดต่อสู้ในพริบตา พลันเหวี่ยงดาบเพลิงไปทางศรที่พุ่งเข้ามาพวกมันกระจายออกและพุ่งกลับเข้ามาเหมือนทางฝั่งฮิวโก้ไม่ผิดเพี้ยน “ดูท่าจะเป็นเวทมนต์แขนงหนึ่ง” ชานะวิเคราะห์สถานการณ์อย่างเยือกเย็นพลางคิดหาวิธีรับมือ แต่เร็กซ์ที่วิ่งวนกำลังพาศรสายฟ้าอีกห้าดอกพุ่งมาทางชานะ “ชานะจาง !! ทำอะไรกะมันซะอย่างที” เสียงนั้นทำเอา ‘เกศาเพลิงเนตรอัคคี’ อยากจะเหยียบเจ้าของเสียงตะโกนให้จมดิน “ชิ...เจ้าบ้าเอ้ย” ชานะเดาะลิ้นไม่สบอารมณ์ พลันรีบฉากหลบศรที่พุ่งเข้ามา “เร็กซ์ นายรีบกางตาข่ายสายฟ้าเดี๋ยวนี้เลย” เด็กสาวเนตรอัคคี ตะโกนพลางวิ่งเต็มฝีเท้าไปทางเร็กซ์ ชายหนุ่มก็รับทราบจุดประสงค์ในทันที “ได้เลย !!” เร็กซ์รีบวิ่งไปทางเดียวกับชานะพร้อมร้อยเรียงพลังในร่างที่มีศาสตราเป็นแหล่งพลังงานสำคัญ เมื่อชานะและเร็กซ์วิ่งเข้ามาที่จุดนัดพบ ศรสายฟ้าทั้งเก้าดอกที่พุ่งตามมาจากทั้งสองด้านก็เร่งความเร็วหมายกำจัดทั้งคู่ให้สิ้นซาก เร็กซ์ปลดปล่อยพลังสร้างตาข่ายสีเหลืองอ่อนที่มีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านเป็นเกราะกันบังทั้งคู่ไว้ ชานะเองก็สร้างกำแพงไฟเข้าป้องกัน ตูม !!! เสียงระเบิดดังสนั่นเมื่อเกิดการปะทะกันอย่างรุนแรง ฝุ่นควันเข้าปกคลุมทั่วบริเวณชานะและเร็กซ์ที่แม้จะสร้างกำแพงป้องกันไว้ได้อย่างสมบูรณ์กลับได้รับบาดเจ็บจากแรงระเบิดไม่น้อยทีเดียว “แค่กๆ อุย ขนาดกันไว้ได้แล้วนะเนี่ย” เร็กซ์พูดพลางปัดฝุ่นออกจากเสื้อผ้า ตัวเขาโดนแรงระเบิดเขาเล่นงานที่ไหล่ขวาเป็นรอยฝกช้ำทั่วทั้งไหล่ !!! ชายหนุ่มตกใจเมื่อเห็นหยดเลือดยาวจากต้นขาซ้ายของเด็กสาวที่กำลังยืนอย่างทรนงราวกับไม่ได้เป็นอะไรเลย “ชานะจัง ขา...” ไม่ทันที่เร็กซ์จะได้พูดชานะก็แทรกขึ้น “แค่นี้ไม่เป็นไรหรอก” “แต่เลือดออกขนาดนี้” “แค่แผลถลอกไม่เป็นอะไรมากนักหรอก” ชานะตัดบทอีกครั้ง แต่แผลที่เธอได้รับนั้นจริงๆแล้วก็นักหนาพอควร “Haken slash” เสียงเครื่องจักรอู้อี้ดังขึ้น ชานะและเร็กซ์ พลันกระโดดหลบเคียวไฟฟ้าสีเหลืองทองที่ฟันเฉียดหน้าพวกเขาไปนิดเดียว “Plasma Lancer” เด็กสาวอาศัยจังหวะที่พวกชานะเสียหลัก หันปลายคทาไปหาเร็กซ์ที่เพิ่งฉากหลบและอยู่ในสภาพตัวลอยที่ไม่อาจหลบหลีกได้เป็นครั้งที่สอง “แย่ล่ะสิ....” ศรสายฟ้าพุ่งเข้าใส่ชายหนุ่มเต็มรัก พร้อมเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว เร็กซ์แนล ‘อัสนีบาตเทพ’ ก็ร่วงสู่พื้นดุจใบไม้หลุดจากต้น ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว “แก !!!” ฮิวโก้ที่ทะยานออกมาอีกฝากพร้อมบาดแผลเต็มตัว 'เทพวายุ'รวมคลื่นลมไว้ที่กำปั้นพร้อมซัดใส่เด็กสาวเต็มแรง แต่ตัวเด็กสาวสร้างวงเวทย์สีเหลืองทรงโล่กลมออกมารับการโจมตีนั้นได้ทันท่วงที ชานะไม่รอช้าถีบตัวเองระเบิดเพลิงใต้ฝ่าเท้าพุ่งเข้าหาศัตรูด้วยความเร็วดุจจรวดสังหาร ดาบยาวเล็งแทงไปที่หัวใจแต่กลับถูกวงเวทย์ลักษณะเดียวกันหยุดเอาไว้ “ฮิวโก้ ทะลวงมันเข้าไปเลย !!!” “จัดไป !!” ฮิวโก้ร้องรับทันทีพร้อมเพิ่มแรงกดดันเข้าใส่ตัวโล่เวทย์ ทางชานะเองก็ร้อยเรียงพลังเพลิงไปรวมไว้ที่ปลายดาบ การโจมตีของทั้งสองเริ่มเห็นผลเมื่อ โล่วงเวทย์นั้นเริ่มปริแตก “สมแล้วจริงๆ ที่เป็นผู้ถือครองศาสตรากับผู้มีสายเลือดเดียวกับคนๆนั้น” เด็กสาวเปรยออกมาเบาๆ พลันวงเวทย์สีเหลืองทองปรากฎขึ้นใต้ฝ่าเท้าของเธอ พร้อมๆกับสายฟ้าที่มีรูปลักษณ์เป็นดาบทรงยุโรปจำนวนมากตกลงมาจากฝากฟ้า “Thunder Blade” เสียงเครื่องจักรดังขึ้น ดาบสายฟ้าทั้งหมดปล่อยคลื่นไฟฟ้ามหาศาลเข้าเล่นงานชานะเล่นฮิวโก้จากทุกด้านจนทั้งสองตั้งรีบล่าถอย “โธ่เว้ย ตัวชาไปหมดเลย” ฮิวโก้บ่นเสียงดัง เพราะกระแสไฟฟ้าจากเวทย์เมื่อครู่ ส่วนชานะกำลังใช้ดาบยันพื้นเพื่อให้เธอยังยืนอยู่ได้ นี่คงเป็นไม่กี่ครั้งที่ ‘เกศาเพลิงเนตรอัคคี’ ใช้อาวุธคู่ใจแบบนี้ “บัลดิช” เด็กสาวเอ่ยเบาๆ คทาสีดำสนิทได้รับคำสั่งก็สลัดปอกกระสุนพร้อมบรรจุลูกใหม่เข้าไป “Reload” “อะไรน่ะ” เทพวายุ ฮิวโก้ เริ่ม งง กับภาพตรงหน้า “นั้นคงเป็นตัวเร่งพลังเวทย์ของเธอให้ถึงขีดสุด ดูจะไม่ใช่ของที่หาได้ง่ายๆน่ะนะ” ชานะเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง เด็กสาวในภาพคลุมลอยอยู่เบื่องหน้าพวกเขาช้าๆ เงาสีดำทะมึนนั้นตัดฉากกับดวงจันทร์ที่ถูกเมฆบดบังเบื่องหลังสร้างความน่าพรั่นพรึง ฮิวโก้ก้าวเดินมาอยู่เบื่องหน้าชานะพลันรวบรวมวายุในฝ่ามืออีกครั้ง “ไหวหรือเปล่าชานะจัง” “ไม่ไหวก็ต้องไหวล่ะนะ” ชานะตอบยิ้มๆ พร้อมยกดาบขึ้นมาในท่าเตรียมอีกครั้ง เด็กสาว ไม่โจมตีขณะที่พวกของชานะยังไม่พร้อมเธอรอดูสถานการณ์จนรอบคอบ ก่อนจะวาดคทาไปทางด้านข้างตัว “Haken” เสียงจากคทาสีดำดังขึ้น หัวของมันบิดขึ้นด้านบนใบเคียวที่สร้างจากกระแสไฟฟ้าพลันปรากฎขึ้น เพียงวูบเดียวเด็กสาวที่ลอยอยู่กลางอากาศก็หายไป แต่กลับโผล่ประจันหน้าฮิวโก้ในเสี้ยววินาที เคียวไฟฟ้าสีเหลืองทองถุกเหวี่ยงเข้าใส่ ฮิวโก้ผู้ซึ่งเจนศึกมาไม่น้อยอ่านการโจมตีที่รวดเร็วออกทันที เขารีบคว้าหัวคทาที่เป็นเคียวด้วยมือขวา พร้อมซัดหมัดวายุด้วยมือซ้ายทันที แต่ไม่เป็นเช่นนั้นเมื่อเด็กสาวดึงหัวคทาที่เป็นเคียวกลับ พร้อมออกแรงเหวี่ยงด้ามคทาซัดฮิวโก้เต็มหน้า “กะเอาด้ามมันหวดเราแต่แรกแล้วนี่หว่า” เทพวายุถูกซัดลอยกระแทกกับหินก้อนยักษ์แตกเป็นเสี่ยง... ชานะที่ไม่อาจทำอะไรได้เพราะฮิวโก้ดันยืนบังเธออยู่นั้น คงจะเป็นเรื่องที่เด็กสาวในชุดคลุมเองก็คาดการณ์ไว้อยู่แล้ว ชานะเจ็บใจมากขึ้น พลันฉวยจังหวะฉับไวสะบัดดาบเข้าใส่อย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังคงพลาดเป้า “ตอนแรกเห็นว่าเป็นจอมเวท ไม่นึกว่าจะเชี่ยวชาญการต่อสู้ประชิดตัวมากขนาดนี้” เด็กสาวก้มหัวเล็กน้อยยอมรับในคำชื่นชมนั้น “ขอบคุณในคำชมนั้น” ชานะรู้สึกถึงรอยยิ้มผ่านทางน้ำเสียงนั้น “ชั้นจะอัดเธอให้จมดินแทนเจ้าบ้าสองตัวนั้นเอง ‘เปลวเพลิงแห่งสวรรค์’ คนนี้แหละ” ชานะไม่รอช้าฟาดดาบเป็นแนวตรงเข้าใส่เด็กสาว เกศาเพลิงปลิวไสวพร้อมกับเพลงดาบอันรุนแรงอีกหลายระลอก แต่เด็กสาวในชุดคลุมกลับปัดป้องได้ทั้งหมดทั้งยังโจมตีสวนกลับได้น่าหวาดเสียวแทบจะทุกดาบ ตอนนี้แม้ ‘เกศาเพลิงเนตรอัคคี’ จะเป็นฝ่ายรุก แต่สถานการณ์กลับเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัด เนตรอัคคีถอยร่นพลางรวมพลังไว้ที่ฝ่ามือข้างซ้าย “ย้าก !!!” ชานะสบัดแขนซ้ายออกไปเกิดลูกไฟจำนวนมหาศาลพุ่งเข้าใส่ เด็กสาวในชุดคลุมอาศัยชั้นเชิงโยกหลบได้ทั้งหมด แต่ลูกไฟเหล่านั้นก็ยังคงตามเธอเหมือนสุนัขล่าเหยื่อที่หิวกระหาย “บัลดิช...” “Defend” เสียงคทาดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมปลอกกระสุนที่ถูกสลัดออก ร่างของเด็กสาวถูกคลุมด้วยคลื่นพลังเวทย์คล้ายฟองอากาศโดยมีเธออยู่ด้านใน ลูกไฟของชานะพุ่งเข้าใส่เด็กสาวเต็มแรงทุกนัด.....แต่ก็ยังไม่ผ่านเกราะป้องกันอันแข็งแกร่งนั้นได้ “Plasma smasher” คทาสีดำส่งเสียงอู้อี้อีกครั้ง พร้อมทั้งรูปลักษณ์จากเคียวไฟฟ้า เปลี่ยนกลับไปเป็นคทาเวทย์อีกครั้ง เวทย์รูปวงแหวนสามวงปรากฎขึ้นเบื้องหน้าเด็กสาว ราวกับปากกระบอกปืนใหญ่ ที่หันหน้าเข้าหาชานะ เธอหงายมือขวาขึ้นพร้อมกับลูกบอลเวทย์ที่บรรจุพลังมหาศาลไว้ด้านใน “ทีของชั้นมั้งล่ะ” ลูกบอลเวทย์ถูกส่งเข้าไปที่กึ่งกลางวงเวทย์ ราวกับกระสุนถูกส่งเข้าไปในกระบอกปืนพลันคลื่นไฟฟ้าขนาดมหึมาก็พุ่งไป เหมือนปืนใหญ่เลเซอร์ก็ไม่ป่าน แสงสีเหลืองทองสว่างจ้าทั่วบริเวณ ชานะรู้ดีว่ารับพลังอันยิ่งใหญ่นี่ไม่ไหวแน่ เธอฉากหลบออกจากจุดอันตรายในเสี้ยววินาทีแต่ก็ยังได้รับผลกระทบจากแรงระเบิดที่ตามมาอยู่ดี เกศาเพลิงเริ่มวูบไหวในหมอกควัน ชานะหมดสภาพอย่างเห็นได้ชัด ทั้งท่วงท่าการยืนที่อ่อนระโหยและบาดแผลเต็มร่างกายที่ชุ่มไปด้วยเลือด เนตรอัคคีจับจ้องศัตรูที่ไม่อาจจะเอาชนะได้ตรงหน้า เด็กสาวในชุดคลุมที่ลอยเด่นกลางท้องนภาสีหม่น “รีบๆจบการต่อสู้นี้เถอะ” ชานะเริ่มประหวั่นพรั่นพรึงเป็นครั้งแรก นับแต่เธอร่วมสงครามมา ความกลัวเริ่มจะเข้าครอบงำจิตใจเด็กสาว เคียวสายฟ้าปรากฎขึ้นอีกครั้ง “เดี๋ยวเซ้ คิดจะแตะต้องชานะจังของชั้นมันต้องผ่านข้าคนนี้ไปให้ได้ก่อน” เสียงที่คุ้นเคยดังก้องไปทั่วบริเวณร่างของชายหนุ่มกำลังเดินผ่านหมอกควันเข้ามา “เร็กซ์...” ชานะเอ่ย แทบไม่เชื่อสายตาว่าเขายังลุกขึ้นไหว “อ่า เกือบไปแล้ว ดีที่ท่านเร็กซ์คนนี้ก็เป็นผู้ใช้สายฟ้า ถ้าเป็นคนอื่นโดนเข้าไปเต็มรักขนาดนั้นอาจจะไปเฝ้ายมบาลแล้ว” เร็กซ์ พูดพร้อมรอยยิ้มแม้ว่าจะสลบวูบไปรอบนึงแล้วก็เหอะ “ช่ายๆ ตัวเล็กแค่นั้นแต่เรี่ยวแรงมหาศาลชะมัด ทำเอา ‘เทพวายุ’ คนนี้ลุกไม่ขึ้นไปแปบนึงเลย” อีกเสียงดังขึ้นจากซากกองหิน ฮิวโก้นั้นเอง “......” เด็กสาวในชุดคลุม มองดูสถานการณ์สามต่อหนึ่งอีกครั้ง “เอาล่ะนะเบบี้ เดี๋ยวค่ำคืนที่เร้าร้อนนี้ เราสองคนจะจัดการเองนะจ๊ะ” เร็กซ์ เอ่ยกับชานะอย่างอารมณ์ดี เนตรอัคคีเหลือบมองครู่นึงก่อนจะนั่งลงไปบนกองทรายสีแดง “จะทำอะไรก็ทำซะ จะนั่งดูตรงนี้แหละ” (ระบมไปทั้งตัวจนสู้ไม่ไหวมากกว่ามั้ง ชานะจัง) ฮิวโก้แอบคิดเงียบๆไม่งั้นอาจตายด้วยคมดาบพวกเดียวกันได้ พลันเปลี่ยนสายตาไปทางเด็กสาวที่ลอยเด่นเช่นเดียวกับเร็กซ์ ที่เลิกม่อชานะหันไปเอาจริง “ไม่น่าเชื่อว่าเด็กตัวเล็กๆจะทำให้พวกเราต้องเล่นมุขนี้ได้เนอะ” “นั้นดิ” ทั้งสองสนทนากันอย่างรู้ใจผิดกับทุกทีที่ทะเลาะกันเสมอ เด็กสาว เปลี่ยนท่วงท่าเตรียมใช้เวทย์มนต์อีกครั้ง แต่ทั้งเร็กซ์และฮิวโก้ไม่รอช้าพลันเริ่มกระบวนท่าของพวกเขาทันที กำแพงลมและสายฟ้าถูกสร้างขึ้นฉับไว เร็กซ์รวมคลืนไฟฟ้าไว้ที่เท้าขวา ส่วนฮิวโก้รวมวายุไว้ที่กำปั้นซ้าย “เอาล่ะนะโว้ย ไอ้ลมบ้าหมู” “เออ ลุยกันเลย ไอ้ง่อยสายฟ้า” เด็กสาว ปล่อยพลังเวทย์แบบเดียวกับที่เล่นงานชานะเมื่อครู่อีกครั้ง ส่วนเร็กซ์และฮิวโก้ซัดหมัดและลูกเตะยัดกำแพงที่พวกตนสร้างเต็มแรง ก่อเกิดการรวามตัวของคลื่นไฟฟ้าและอัสนีบาตพุ่งเข้าปะทะกับสายฟ้าของเด็กสาว และภาพที่ไม่น่าเชื่อก็ปรากฎตรงหน้า เมื่อเวทย์สายฟ้าที่เล่นงานชานะปางตายเมื่อครู่กลับไม่อาจเทียบพลังของท่าผสานนี้ได้เลย “เพราะมันคือ ท่าผสาน ชินปุ จินไร ของพวกเราไงเล่า” “เอาไปกินซะน้องสาว” เด็กสาวเปลี่ยนจากรุกเป็นรับทันที “Cartridge Load” ปลอกกระสุนสามนัดถูกดีดออกมาทันที เด็กสาวรีบสร้างกำแพงเข้าป้องกัน “Defend Up” กำแพงสีเหลืองทองป้องกันการโจมตีผสานอันรุนแรงของเร็กซ์และฮิวโก้ไว้ เด็กสาวยันสุดแรงแต่กำแพงที่เธอสร้างขึ้นนั้นไม่อาจต้านทานได้ มันปริแตกและเริ่มสร้างบาดแผลให้กับเธอ “เฮ้อ สามต่อหนึ่งไม่ไหวก็ถอยมาก็ได้นะ เฟทจัง” เสียงนุ่มดังขึ้นท่ามกลางความมืด เสาน้ำแข็งจำนวนมากผุดเข้าเล่นงานพวกเร็กซ์ทันที คมดาบสีดำสนิทพุ่งตัดผ่านอากาศฟันโดนฮิวโก้เป็นแนวยาว ส่วนขานั้นก็ถีบหน้าเร็กซ์เต็มแรงส่งให้ตัวเขาลอยเข้าหาเด็กสาว ร่างสูงโปร่งนั้นกระโดดรับเด็กสาวในชุดคลุมที่อ่อนแรงไว้อย่างนิ่มนวล “ไม่เลวเลยนิ ที่ทำให้ ‘นภาคำราม’ ของชั้นต้องบาดเจ็บขนาดนี้” “ นภาคำราม งั้นเหรอ...” “งั้นแกก็คือ” เร็กซ์และฮิวโก้ตาเบิกกว้าง ชานะเองก็เช่นกัน.... ด้วยนามแห่งข้า ขอบัญชาจิตวิญญาณแห่งธิดาน้ำแข็งผู้เล่อโฉม โปรดประทานพลังอันศักดิ์สิทธิ์เหนือดินแดนอันไกลโผ้น เพื่อพันธนาการศัตรูข้า ‘Absolute’ ไอเย็นจำนวนมากถูกหลอมรวมเป็นจุดเดียวพลันปรากฎแท่งน้ำแข็งขนาดยักษ์ปิดล้อมพวกชานะไว้ พร้อมเสาน้ำแข็งที่ขึ้นเรียงรายพันธนาการทั้งสามคนให้อยู่ในอาณัติแห่งไอเย็น ทุกอย่างเกิดขึ้นในเวลาอันรวดเร็วจนพวกเขาไม่อาจตั้งตัวได้ พอรู้ตัวอีกทีก็ถูกแช่เย็นอยู่ในก้อนน้ำแข็งยักษ์ซะแล้ว “อยู่แบบนั้นไปสักพักนะ เดี๋ยวพรรคพวกเธอก็จะมาช่วยเองแหละ ชานะ....” เสียงที่อ่อนโยนและคุ้นเคยนั้นดังอยู่ในโสตประสาทของ ‘เกศาเพลิงเนตรอัคคี’ ก่อนที่สติทั้งหมดของเธอจะจมดิ่งลงในไอเย็นที่ไร้ที่สิ้นสุด ............................................. ....................................................... .................................................................. “รูเน็ตหายไปงั้นเหรอ...” เรเชล นั่งเครียดไปกับผลรายงานการตามล่าศัครูคนสำคัญ แต่กลับทำให้เขาต้องเสียลูกน้องมือดีไปแทน “แค่หายสาบสูญไปกับเจ้า ‘เดม่อนลอร์ด’ เท่านั้น” อากิฮะ ที่เป็นผู้ช่วยอ่านรายงานอีกครั้ง “แต่ก็ดี มันทำให้ชั้นรู้ถึงที่อยู่ของสมบัติลับอีกชิ้นจนได้” ผู้นำแห่งครอสไนท์เอ่ยบางสิ่งที่ผู้ช่วยของเขายังไม่เข้าใจ “สมบัติลับเหรอ” “ใช่แล้ว......แต่ยังไงเธอเองก็คงรู้เรื่องทั้งหมดอยู่ดีใช่ไหมล่ะ เอวา” %%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%% พี่คะ...... (ชานะ....ไม่....ซักที) ช่วยด้วย เจ็บไปหมดเลย (ดูท่า...สติ....นะ) เสียงใครกันน่ะ (งี้.......จูบ......ตื่นก็ได้) ใครกัน (เดี๋ยวพรรคพวกของเธอก็จะมาช่วยเองแหละ ชานะ) ใช่แล้ว พรรคพวกของชั้น .....เมื่อชั้นลืมตาตื่นขึ้นในตอนนั้นก็เป็นสามวันให้หลังจากการต่อสู้ พวกรองหัวหน้าอัลทิม่า คานน ร็อกซัส ก็อยู่กันพร้อมหน้า เร็กซ์นั้นอาการโดยรวมไม่น่าเป็นห่วงเท่าไร ยกเว้นฮิวโก้ที่มีแผลสาหัสจากการปะทะกันครั้งสุดท้ายกับบุรุษผู้นั้น ในตอนนั้นเองเราถึงได้ทราบว่า ‘นางฟ้าอัจฉริยะ’ ได้วางแผนหลอกพวกเราเกี่ยวกับผลึกแห่งทรานซ์ ทำให้พวกรองหัวหน้าต้องออกจากฐานไปหากันให้วุ่นแถมยังถูกกองโจรกลุ่มนึงปั่นหัวจนเสียเวลาติดอยู่ในฟาลาจิอยู่นาน กว่าจะรู้ตัวแผนการยืมมือโครลิสเล่นงานพวกเราก็เสร็จสมบูรณ์ไปแล้ว สำคัญคือเรื่องของพวกเรากระจายไปทั่วฟาลาจิ ทำให้เหล่าองค์กรเถื่อนที่หมายจะช่วงชิงศาสตราของพวกเรา ปิดกั้นเส้นทางการเดินทางทั้งหมด เรียกได้ว่าติดกับอย่างสมบูรณ์ แต่สุดท้ายเราก็ได้พบกับทั้งสองคนนั้น ‘นภาคำราม’ และ ‘ไอเย็นแห่งรัตติกาล’ ไม่แน่ว่านี่อาจเป็นทางออกเดียวสำหรับพวกเราตอนนี้ ในการเอาชีวิตรอดกลับไปหาพี่อลิสก็ได้ ชั้นได้แต่ภาวนาถึงความปลอดภัยของพวกหัวหน้า....โดยที่ตัวเองทำอะไรไม่ได้เลย ................................................................................................................................................................................................................................. Talk Talk Talk 5555+ หายหัวไปซะนาน ช่วงนี้มีเรื่องที่ทำให้ผมยุ่งยากมากเหลือเกิน กว่าจะปลีกวิเวกออกมาได้ก็เล่นเอาแทบแย่ ตอนนี้ก็ยังหวั่นๆอยู่ว่าจะมีคนจำกันได้ไหมฟ่ะ เลยพยายามเขียนตอนเริ่มให้ดูย้อนความเล็กน้อย ตอนหน้าจะพยายามไม่ให้มันดองมากล่ะกันนะ T T VERY VERY SPECIAL THANKS ออกนอกหน้าเหลือเกินไอ้โย แน่นอน ตัวละครขวัญใจข้าพเจ้าตลอดกาล -Fate Testarossa อร้าง ~ ทวินเทล น่าร้าก เฟทจังน่าร้ากที่สู้ด เอาล่ะเข้าเรื่องๆ ไงดี คิดแต่แรกแล้วว่าเฟทจังต้องเทพ เป็นไงล่ะขนาดสามรุมหนึ่งยังสูสีเลย ไม่ค่อยลำเอียงเล้ยยยยยกุ แต่โดยรวมนับว่าเขียนได้ลื่นง่ายดี เพราะดูบ่อย 555+ เห็นว่าเรียกร้องกฎหมายโอตาคุแต่งงานกะสาว 2d ได้ อย่าให้รู้นะโว้ยว่าใครแต่งงานกะเฟทจังของผม ไอ้โยนี่แหละจะไปเสียบถึงบ้านเลย !!! -อีกหนึ่งหน่อก็คือตัวของข้าพเจ้าเองจะโผล่มารูปแบบไหนก็ไปลุ้นเอา คงไม่ต้องให้บอกหรอกนะว่าเป็นใคร And All Friends And Fans Thank You !!!! ปล ตอนแรกก็ตั้งใจจะเขียนฉากเสื้อผ้าขาดหลุดลุ่ย เซอร์วิสกันสักหน่อยเผอิญๆเป็นเฟทจังของผมดังนั้นก็อย่าหวังจะได้เห็นเลยล่ะกันนะ จุฟฟฟฟ