สัมภาษณ์พิเศษโยชิโนริ คิตาเสะ - กว่าจะเป็น Final Fantasy ในทุกวันนี้

กระทู้จากหมวด 'All Final Fantasy News' โดย BoN, 29 พฤษภาคม 2008.

  1. BoN

    BoN แกนนำไร้วิญญาณ

    EXP:
    1,776
    ถูกใจที่ได้รับ:
    66
    คะแนน Trophy:
    113
    นิตยสาร LEVEL เล่มล่าสุดได้จับคุณ โยชิโนริ คิตาเสะ (Director FFVII, Producer FFX, FFXIII) มาให้ปากคำเกี่ยวกับความเป็นมาของ Final Fantasy VII แล้วก็ความสัมพันธ์กับทีมงานคนอื่นๆ ในตอนท้ายของบทสัมภาษณ์คุณคิตาเสะได้อุตส่าห์หยอดมุกเป็นการทิ้งท้ายไว้ด้วย เนื้อหาจะเป็นยังไงนั้น ต้องลองอ่านกันดูครับ

    [​IMG]
    คิตาเสะ : ผมยังจำเรื่องราวของการประชุมหารือเรื่องของ FFVII ในออฟฟิสครั้งแรกเมื่อ 14 ปีที่แล้วได้ดี เราพึ่งจะเสร็จสิ้นภาระกับ FFVI และกำลังต้องการที่จะหางานสานต่อไป ไอเดียที่คิดกันได้ในตอนนั้นคือการสร้างเกมใหม่สำหรับเครื่อง SFC แล้วคุณฮิโรโนบุ ซากกากุจิก็อธิบายกับพวกเราว่างานชิ้นต่อไปจะเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในปี 1999 ในมหานครนิวยอร์ค

    ทีมงาน : เวลาที่เรามองเข้าไปในเมืองมิดการ์แล้วเรามักจะรู้สึกได้ถึงความทันสมัยที่แตกต่างจากเมืองที่ผ่านมาใน FF ภาคก่อนๆ มันให้ความรู้สึกเหมือนกับได้รับภาพลักษณ์ของนิวยอร์คในปัจจุบันมาเป็นต้นแบบ ผมเดาว่าว่าความคิดนี้ก็เป็นรากฐานของ Parasite Eve ...หรือไม่ก็อาจจะรวมถึง Chrono Trigger ด้วยใช่มั้ย?

    คิตาเสะ : ใช่แล้ว มันเป็นแบบนั้นแหละครับ ส่วนมากพวกที่มาเข้าร่วมประชุมวางแผนในช่วงแรกต่างก็เป็นคนที่กำลังทำ Chrono Trigger กันอยู่ และหลังจากที่ทำ FFVII เสร็จแล้วคุณซากากุจิก็จูงมือคุณโนมุระและคนอื่นๆ ไปสร้าง Parasite Eve ต่อด้วยกัน ดังนั้นไอเดียบางอย่างที่เราคิดได้ในช่วงนี้เลยไปปรากฏอยู่ในเกมเหล่านั้นแทน

    ทีมงาน : ช่วยอธิบายถึงงานในแต่ละวันในช่วงนั้นหน่อยสิครับ

    คิตาเสะ : การพัฒนา FFVII นั้นแบ่งออกเป็นหลายระยะมาก ชีวิตประจำวันของผมก็ได้รับผลกระทบแตกต่างกันไปตามช่วงระยะต่างๆ การละทิ้ง SFC แล้วหันไปพัฒนาให้กับ PlayStation นั้นถือเป็นการก้าวเดินครั้งสำคัญมาก และเมื่อเราได้ตัดสินใจแล้วก็จะไม่มีการถอยหลังเด็ดขาด ระหว่างนั้นผมมักจะนึกภาพเกมที่ผมกำลังจะสร้างขึ้นมาอยู่ในหัว ผมสามารถจินตนาการว่าสุดท้ายแล้วเกมจะออกมาเป็นอย่างไรได้เป็นอย่างดี แต่บอกตามตรงว่าไม่คิดว่าทีมงานคนอื่นๆ จะนึกภาพตามออกหรอกนะ

    ในตอนแรกเราพยายามระดมไอเดียที่เราสามารถทำเป็น 3D ได้ เราได้ศึกษาเกม 3D ทุกๆ เกมที่เราได้มา ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นเกมที่ฝรั่งเป็นผู้พัฒนา และก็มักจะเป็นเกม PC เสียด้วย

    [​IMG]
    ทีมงาน : คุณเคยบอกว่าเกม 4D Sports Boxing เป็นเกมที่มีอิทธิพลกับงานทำงานตั้งแต่แรกแล้วใช่มั้ย?

    คิตาเสะ : ใช่ นั่นเป็นเกมที่ใช้โพลิกอนลำดับแรกๆ ที่ผมได้เล่นและก็หลงใหลกับมันมาก แต่ว่ายังมีอีกหนึ่งเกมที่น่าจะมีอิทธิพลกับพวกเรามากกว่านั่นก็คือ Alone in the Dark มันเป็นเกมที่ใช้กราฟฟิค 3D ในการสร้างช่วงเวลาแห่งความหลอนขึ้นมา แต่เราต้องการจะสร้างอะไรที่มันอลังการมากกว่านั้น เราพยายามทำงานด้วยแนวทางนั้นมาตลอด ก็มีการรวบรวมความคิดจากทุกๆ คนในทีม แล้วก็พยายามนำมันมาหลอมหลวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ให้มันกลายเป็นอะไรที่เรียกว่า RPG สไตล์ญี่ปุ่น

    ทีมงาน : บทบาทในทีมพัฒนาของคุณคืออะไร?

    คิตาเสะ : ผมก็ได้ชื่อว่าเป็น Director ล่ะนะ จริงๆ ผมก็ทำงานนั้นมาตั้งแต่ตอนที่สร้าง FFVI แล้ว ทว่าการสร้างเกมกราฟฟิค 3D เป็นอะไรเปลี่ยนรูปการทำงานของผมโดยสิ้นเชิง ในช่วงนั้นผมต้องลงมือทำงานเองซึ่งต่างกับตอนนี้ที่แค่คอยควบคุมการทำงานอยู่เบื้องหลังมาก ผมต้องใช้เวลางานทั้งวันขลุกอยู่กับโปรแกรมพวกซอฟต์อิมเมจ แล้วก็วุ่นอยู่กับเหล่าคาแรคเตอร์ ผมต้องมานั่งกำกับฉากต่างๆ ในเกม เวลาที่คุณคาซึชิเงะ โนจิม่า ซึ่งเป็นผู้เขียนบทได้ส่งสคริป์มาให้ผม ผมก็จะแปลงมันเป็นสตอรี่บอร์ดแล้วก็ลองสร้างมันด้วยกราฟฟิคเอนจิ้นของพวกเรา จะว่าไปแล้วทั้งสคริปต์และรูปแบบการทำงานของพวกเรามันทำให้นึกถึงการสร้างหนังมากกว่าการสร้างเกมที่ผ่านๆ มานะเนี่ย

    ทีมงาน : คุณเป็นคนศึกษาหนังเก่าใช่มั้ย?

    คิตาเสะ : ใช่แล้ว ผมชอบดูหนังมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว ช่วงเวลาโปรดของผมก็คือการได้ไปใช้บริการโรงหนัง หนึ่งในช่วงที่ผมประทับใจมากที่สุดก็คือตอนที่ได้ดู The Bridge on River Kwai (1957) แล้วในตอนที่ผมอายุ 12 ขวบหลังจากที่ผมพึ่งออกมาจากโรงที่ฉาย Star Wars จบไปะ ผมก็ได้ตัดสินใจว่าเมื่อโตขึ้นแล้วผมต้องเป็นผู้กำกับหนังให้ได้

    การที่ผมได้ได้ทำงานในอุตสาหกรรมเกมอาจเป็นแค่เรื่องของความบังเอิญ หลังจากที่ผมเรียนจบแล้วผมก็เริ่มทำงานสร้างอนิเมชี่น ทว่าในตอนนั้นผมกลับผลาญเวลาว่างไปกับการเล่นเกมอย่างเดียว วันหนึ่งผมได้เห็นโฆษณางานของ Square ในนิตยสารเกมและคิดว่างานมันดูน่าสนใจมาก และแล้วสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้นก็ได้กลายมาเป็นหน้าที่การงานของผม

    ทีมงาน : ความรู้ในการทำหนังเป็นประโยชน์ในการสร้าง FF ของคุณมากแค่ไหน?

    คิตาเสะ : ปีแรกที่ผมได้มาทำงานในบริษัทซึ่งก็คือในช่วงต้นของยุค 90 ผมได้เรียนรู้อะไรต่างๆ มากมายจากคุณซากากุชิ เราได้ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด เขามีวิธีการคิดโครงเรื่องให้กับเกมในแบบเฉพาะของตัวเอง เขาพัฒนาวิธีการเล่าเรื่องของเขาทุกๆ ครั้งที่มีโปรเจคท์ FF ภาคใหม่เกิดขึ้น และเขาก็สอนวิธีการทำงานให้กับผม ทว่าในตอนที่เราเปลี่ยนมาเป็น 3D เนี่ยแหละ ผมและทีมงานถึงได้มีโอกาสความรู้และประสบการณ์จากการทำหนังมาใช้ประโยชน์ ในตอนที่เราลองสร้างเดโมขึ้นมาผมก็เห็นความเป็นไปได้เหล่านั้น

    ทีมงาน : แล้วนั่นก็คือเวลาที่คุณได้สอนอะไรต่างๆ ให้คุณซากากุจิแทน?

    คิตาเสะ : ฮา ฮา บางทีก็คงใช่นะ แต่เขาไม่ได้มีส่วนร่วมกับการสร้าง FFVII ในแต่ละวันเท่าผมหรอก เขาเป็นเขียนสคริปต์แรกเริ่ม ทำไกด์ไลน์ และสร้างศูนย์กลางของคอนเซปต์ทุกๆ อย่าง เขาเป็นคนออกแบบมหานครที่น่าจะเป็นนิวยอร์คแต่ดันกลายมาเป็นมิดการ์ในตอนหลัง คอนเซปต์ทั้งหมดของไลฟ์สตรีมก็มาจากความคิดของเขาเนี่ยแหละ

    ทีมงาน : ดูเหมือนว่า FF จะเปลี่ยนไปหลังจากที่คุณได้ยึดบัลลังค์ Director มาจากคุณซากากุจิตั้งแต่สมัย FFVI หลังจากนั้นซีรียส์นี้ก็เริ่มมีธีมที่มืดมนขึ้น แถมยังดูซีเรียสขึ้นอีกต่างหาก นี่เป็นผลงานของคุณรึเปล่า

    คิตาเสะ : ใช่ ก็คงเป็นแบบนั้นแหละครับ คุณซากากุจิเป็นคนที่วิเศษมาก เขาเป็นคนที่ห่วงใยธรรมชาติและวิญญาณ แถมยังเชื่อว่าจิตวิญญาณของคนสามารถเอาชนะทุกๆ สิ่งได้ นี่ก็คือสิ่งที่กลายมาเป็นธีมทั่วๆ ไปของ FFVII เหมือนกัน แต่ผมคงจะเป็นคนทำให้มันดูมืดมนมากขึ้นล่ะมั้ง

    [​IMG]
    ทีมงาน : ทุกวันนี้ความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับคุณโนมุระเป็นอย่างไรบ้าง? ผู้คนพูดกันว่าพวกคุณได้กลายเป็นคู่ปรับต่อกันและจะไม่ยอมทำงานร่วมกันอีกแล้ว ข้อเท็จจริงที่ว่าพวกคุณได้สร้าง FFXIII แบบภาคใครภาคมันก็ยิ่งไปสอดคล้องกับข่าวลือนั้นนะครับ

    คิตาเสะ : หึๆ ไม่หรอก อืม...ผมจะอธิบายยังไงดีล่ะ? เริ่มจากว่าคุณโนมุระเป็นคนออกแบบตัวละครให้กับทั้ง FFXIII และ FFvXIII ละกัน นั่นก็แสดงอยู่แล้วนี่ว่าไม่ใช่ว่าเราทั้งสองจะไม่สามารถทำงานร่วมกันได้ โอเค...ระหว่างเราอาจจะมีความแตกต่างกันอยู่บ้าง ไม่ว่าจะเป้าหมายของเราหรือวิธีการสร้างเกมของเรา มันไม่ใช่การเป็นปรปักษ์ต่อกัน แต่เราก็ไม่สามารถแชร์เป้าหมายร่วมกันได้ แต่ถ้าเกิดเราคิดเห็นตรงกันเสมอแล้วมันจะไม่น่าเบื่อแย่เหรอ? ผมคิดว่าเราคือสองครีเอทีฟที่ได้ร่วมงานกันในบางครั้ง ถึงจะแยกย้ายกลับไปทำในเส้นทางของตนเองแล้ว แต่พวกเราก็จะได้กลับมาพบกันใหม่อยู่เรื่อยๆ

    ในตอนที่เราเริ่มวางแผนเกี่ยวกับ FFXIII ผมบอกโนมุระว่าเรามีความคิดบางอย่างที่ต้องยึดถือตาม นั่นก็คือการสร้าง FF ภาคใหม่ให้เป็นไปตามประเพณีที่ผ่านมา ในตอนนั้นเราวางแผนจะสร้าง FFXIII สำหรับ PS2 และให้โนมุระสร้าง FFvXIII สำหรับ PS3 ถ้าเป็นแบบนั้นแล้วเขาจะสามารถสร้างอะไรที่แตกต่างออกไปได้ เกมๆ นั้นจะไม่ต้องทำอะไรตามประเพณีที่เป็นมาของ FF เลย ผมมักจะให้กำลังใจเขาอยู่เสมอ บอกให้เขาทดลองสร้างอะไรที่เป็นการฉีกความคิดเดิมๆ ทิ้งไป เขามีสิทธิที่จะแบกรับความเสี่ยงเอาไว้ได้ และแล้วมันก็จบลงด้วยการกลายมาเป็นโปรเจคท์นั้นแหละ

    ทีมงาน : แล้วคุณซากากุจิล่ะครับ ความสัมพันธ์ในทุกวันนี้เป็นยังไงกันบ้าง?

    คิตาเสะ : ก็ดีครับ เร็วๆ นี้เมื่อ 2 อาทิตย์ก่อนพึ่งไปทานซูชิด้วยกันมาเอง

    ทีมงาน : แล้วได้คุยอะไรกันมั่งครับ?

    คิตาเสะ : เรื่องที่คนอายุ 40 กว่าๆ สองคนเค้าคุยกันตอนกินซูชิส่วนใหญ่ก็คงเป็นเรื่องส่วนตัวล่ะนะ ฮา ฮา แต่หลังจากนั้นเราก็เริ่มคุยเรื่องที่น่าสนใจกัน เราพูดกันถึงเรื่องเกมที่เราเคยร่วมมือกันสร้าง และก็อนาคตของเกมที่เราจะสร้างขายทั้งในและนอกญี่ปุ่น เราพูดคุยว่า RPG จะพัฒนาต่อไปได้อย่างไร และระบบ Command-based จำเป็นต้องได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่แค่ไหน ทั้งหมดก็เพราะมันเป็นส่วนสำคัญที่สร้างความนิยมขึ้นมา

    [​IMG]
    ทีมงาน : เขามีความคิดอย่างไรเกี่ยวกับโปรเจคท์ FFVII ที่คุณสร้างขึ้นมาหลังจากที่เขาออกจาก Square Enix ไปแล้ว?

    คิตาเสะ : โอ้..ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ผมมั่นใจว่าเราได้ส่ง FF ทุกภาคให้กับเขาแล้ว แต่เขาไม่ได้บอกเราว่าเขาได้เล่นมันรึเปล่า หรือมีความคิดอย่างไรเกี่ยวกับมัน แต่ในอีกด้านหนึ่ง ไม่รู้ผมเคยบอกเขาไปรึเปล่าว่าผมคิดยังไงกับ FF ก่อนที่จะมาทำงานที่ Square สาบานได้ว่าผมพูดว่ามันเป็นเพียงการลอกเลียนสั่วๆ ของสิ่งที่ Enix ทำในช่วงยุคสมัยเดียวกัน จะบอกให้ว่า Dragon Quest น่ะแหล่มกว่ากันเยอะ!!! (ฮา ฮา)

    ที่มา : NeoGAF
  2. aurora

    aurora คาตะโอโม่ย

    EXP:
    1,631
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    86
    -[]- เพิ่งรู้ว่ามิดการ์ดมีต้นแบบมาจากนิวยอร์ก - -

    ประโยคสุดท้าย พูดได้ถูกใจจอร์จมาก คิตาเสะ 555
  3. jpenguin

    jpenguin Admin Staff Member

    EXP:
    2,537
    ถูกใจที่ได้รับ:
    93
    คะแนน Trophy:
    113
    ประกาศปิดเวบ all-final
    เตรียมพบกับเวบใหม่ all-dragonquest ได้ในเร็วๆ นี้
  4. yoshiki

    yoshiki FATE

    EXP:
    862
    ถูกใจที่ได้รับ:
    17
    คะแนน Trophy:
    38
    ^
    ^
    ^

    เฮ้ย !!! พี่เจ เอาจริงดิ
  5. Hellblueboy

    Hellblueboy New Member

    EXP:
    574
    ถูกใจที่ได้รับ:
    1
    คะแนน Trophy:
    0
    ก็จริงอะนะ
    ชาวญี่ปุ่นนั้นนิยมDragon quest มากกว่าไฟนอลมาแต่เดิมแล้ว
  6. evol

    evol Well-Known Member

    EXP:
    951
    ถูกใจที่ได้รับ:
    2
    คะแนน Trophy:
    88
    อย่าเชียวนะครับ

    เคยได้ลองเล่น DQ ครั้งเดียวก็อีตอน ภาค 8 ไม่ชอบหลายอย่าง โดยเฉพาะความยาก
  7. pop30711

    pop30711 New Member

    EXP:
    1,155
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    อย่านะ...... เดี๋ยวไม่มีที่สิง

    ผมตอนแรกเล่น DQ 8 แล้ว หาที่เซฟไม่เจอเลยเลิกเล่นไปเลย.........
  8. ultimaweapon

    ultimaweapon ULTIMA WEAPON

    EXP:
    4,247
    ถูกใจที่ได้รับ:
    8
    คะแนน Trophy:
    88
    DQ เล่นกี่ทีก้ไม่คิดว่าสนุกกว่า แต่ถ้าเทียบเฉพาะ FF กับ DQ แค่ภาคแรกก้ไม่แน่ ชอบ DQ ภาคแรกมากกว่าภาคหลังๆอีก
  9. leaf

    leaf New Member

    EXP:
    1,279
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    สำหรับเราคิดว่าความเป็นRPGในตัวDQมีมากกว่าFF
    DQเป็นแนวสนุกกับตัวหนังสือและระบบ ส่วนFFจะดีกว่าก็ตรงกราฟฟิค

Share This Page