[Fic รับสมัคร] > The Divinity Stone < มหาสงครามศิลาเทวะ

กระทู้จากหมวด 'Fiction' โดย maxlancer, 14 พฤศจิกายน 2007.

  1. maxlancer

    maxlancer ประธานรุ่น2ตุรกีเชียงใหม่

    EXP:
    1,183
    ถูกใจที่ได้รับ:
    1
    คะแนน Trophy:
    88
    >>>>>> The Divinity Stone มหาสงครามศิลาเทวะ <<<<<<

    [​IMG]

    แนวเรื่อง : Action / Fantasy / Comedy
    Rate: N– 13
    คำเตือน:เนื้อหาในฟิคเรื่องนี้ อาจเนื้อหาบางจุดที่ไม่เหมาะสมกับผู้เยาว์ การพูดจากันอาจมีคำหยาบคายแต่ไม่บ่อยเท่าไหร่ ควรใช้วิจารณญาณในการอ่าน เนื้อหาและสถานที่บางส่วนได้อ้างอิงจากของจริง อาจมีการดัดแปลงเพื่อความบันเทิง แต่ไม่ได้มีเจตนาในการลบหลู่แต่อย่างใดน่ะครับ

    พูดคุยก่อนอ่าน: ผลงานแรกของผมที่ยังแต่งได้เจ็ดตอนที่บอร์ดเก่า(ไม่ได้ดองน่ะครับ แต่งานผมมันต้องใช้เวลา+งานยุ่งเหลือเกิน) เลยขอยกมาไว้ที่นี่ก่อน เดี่ยวจะหายไปซะก่อน^^ ผมคงไม่ยกมารวดเดียว ขอค่อยๆยกมาดีกว่า ตอนนึงมันยาว อีกทั้งเพื่อให้คนอื่นๆที่ไม่เคยอ่านมาลองอ่านดูน่ะครับ

    ขอเชิญทุกท่านทัศนาได้เลยครับ

    ###########################################################

    สงคราม...

    ตามความหมาย ก็คือการสู้รบฆ่าฟันกันด้วยศาตราอาวุธที่มีทั้งหมดของแต่ละฝ่าย

    จุดมุ่งหมายก็แตกต่างกันไปตามพรรคตามฝ่าย แต่ไม่ว่าฝ่ายไหนก็ต่างต้องการชัยชนะอย่างแน่นอน

    เช่นเดียวกับพวกเรา..ในมหาสงครามที่เราต้องเข้าเผชิญในตอนนี้นั้น เราไม่อาจหยั่งรู้ถึงจุดจบของมันได้

    แต่เรารู้อย่างเดียวก็คือ มันเป็นสงครามที่เราเดิมพันด้วยชีวิตของมนุษย์โลก สงครามที่เราไม่อาจจะแพ้ได้

    “มหาสงครามศิลาเทวะ”

    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

    Chapter 1 : ปฐมบทสู่โชคชะตา (Prologue to Desiny)

    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

    ท่ามกลางท้องมหาสมุทรอันยิ่งใหญ่ พระอาทิตย์เริ่มขึ้นมาทอดแสงแดดยามเช้าอ่อนๆไปทั่วบริเวณ ฝูงนกส่งเสียงร้องดังทั่วบริเวณ ท้องฟ้าที่มืดมืดเริ่มกลายเป็นสีฟ้า เป็นบรรยากาศที่ใครได้สัมผัสจะต้องรู้สึกสดชื่นไปตามๆกันยกเว้นเพียงแต่คนๆหนึ่งตอนนี้

    บนเครื่องบินโดยสารสีขาวลำยักษ์ เด็กหนุ่มผมดำ อายุประมาณ 18 ปี สวมเสื้อเชิ้ตที่ทับด้วยสเวตเตอร์ของโรงเรียนสีน้ำเงิน กางเกงสแล็กสีเทาอ่อนกำลังนั่งเท้าคางอยู่ริมหน้าต่างของเครื่องบิน สายตาเหม่อลอยเหมือนไม่ได้สติ ท่ามกลางผู้คนรอบข้างที่ต่างก็ยังนอนหลับฝันดีกัน

    หินรูปหกเหลี่ยมสีขาวบริสุทธ์ประดับอยู่บนกำไลสีเดียวกันที่สวมอยู่ที่ข้อมือขวา กำลังส่องประกายสว่างไสวไปตามแสงแดดที่ทะลุมา จนเหมือนดั่งมีชีวิต ซึ่งต่างกับเจ้าของที่ทำหน้านิ่งราวกับศพก็มิปาน

    ไม่ใช่เพราะเขาเคยชินกับสิ่งที่อยู่หน้า หรือ เพราะเขาเป็นคนไม่สนใจสิ่งใดอยู่แล้ว

    หากแต่เพราะหลายชั่วโมงก่อน เขาที่ยังไม่ทันได้ซึบซับบรรยากาศโรงเรียนใหม่ ก็โดนเฉดหัวออกมาเรียบร้อยแล้ว พร้อมกับถูกไล่ออกจากบ้านอีกด้วย
    ..................
    .............
    .........
    ....
    ..
    .

    ย้อนไปเมื่อหลายชั่วโมงก่อนหน้านี้ ที่เมืองนิวยอร์กซิตี้ สหรัฐอเมริกา

    ในห้องผู้อำนวยการของโรงเรียนไฮสคูลแห่งหนึ่ง ชายวัยกลางคนตะโกนใส่ ผอ. ของโรงเรียน อย่างโกรธเกรี้ยว

    “คุณปล่อยให้ไอ้เด็กสันดารเสียอย่างนี้มาอยู่ในโรงเรียนได้อย่างไง!!!” เขาตะโกนด่าใส่พร้อมตั้งทุบโต้ะอย่างรุนแรง

    “เออ...ใจเย็นๆก่อนน่ะครับ คุณจอร์นสัน มันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตขนาดนั้น” ผอ.หนุ่ม พยายามที่จะพูดเพื่อระงับอารมณ์ฝ่ายตรงข้าม

    “ไม่ใช่เรื่องใหญ่เหรอ!?” นักธุรกิจร่างยักษ์ ชื่อ วิกเตอร์ จอร์นสัน ระเบิดอารมณ์พร้อมทั้งชี้นิ้วไปทางกลุ่มนักเรียนข้างหลังเขา “ไอ้การที่ มาร์ค ลูกชายผมกับเพื่อนถูกทำร้ายจนเจ็บขนาดนี้เนี้ย.. มันยังไม่ใช่เรื่องใหญ่อีกเหรอ!!”

    นักเรียนชายประมาณ 8 คน ทุกคนต่างมีพลาสเตอร์ ผ้าพันแผล รอยช้ำ เต็มตัว แต่ที่หนักสุดคงเป็น มาร์ค จอร์นสันเด็กผมยักศกสีทอง หน้าตกกระ ที่อยู่ข้างหน้ากลุ่ม ตาขวามีผ้าปิดข้าง คอมีที่ครอบ ล็อกเอาไว้ แขนซ้ายใส่เผือก ขาขวาพันผ้ายืดแถมมีไม้ค้ำ 1 ด้าม

    “ ทั้งๆที่เป็นวันเปิดเรียนปี 3 วันแรกแท้ๆ กลับต้องมาเจ็บตัวหนักขนาดนี้ ไม่ใช่เพราะไอ้เด็กเวรที่นั่งอยู่นี้เหรอ!!!” นายวิกเตอร์ว่าแล้วก็ยกคอเสื้อเด็กนักเรียนผมสีดำที่นั่งข้างๆ ขึ้นมาทันที “ถ้าคุณไม่เฉดหัวไอ้เด็กนรกนี้ออกจากโรงเรียนตอนนี้ละก็ ผมจะเอาเรื่องโรงเรียนนี้ให้ถึงที่สุดเลย!!!”

    ขนาดที่ ผอ. ยังคงพยายามเกลี้ยกล่อมนายวิกเตอร์อยู่นั้นเอง ก็มีเสียงหนึ่งดังแทรกทั้ง 2 คน จนหยุดพูดไปชั่วครู่

    “เด็กเวรมั้งละ เด็กนรกมั้งละ พูดหยั่งกับลูกชายคุณที่อยู่ตรงนั้น มันดีนักงั้นสิ”

    บัดนี้เด็กหนุ่มผมดำซอยไล่ระดับประมาณต้นคอ ใบหน้าคม มีนามว่า “เรย์ซึ แกรนเดอร์”หรือในชื่อที่คนอื่นเรียกขานกันว่า “เร็กซ์” นั้นได้พูดแทรกขึ้นมา วิกเตอร์ซึ่งกำลังจะหันมาพูดสวน ก็ถึงกับชะงัก เมื่อ เด็กหนุ่มจ้องสวนกลับด้วยตาสีแดงเพลิงที่อยู่ข้างซ้าย ตัดกับสีดำที่อยู่อีกข้าง เมื่ออีกฝ่ายเงียบ หนุ่มน้อยตาสองสีจึงพูดต่อ

    “ขอผมพูดบ้างน่ะ จะมาตัดสินว่าฝ่ายผมผิด ทั้งๆที่ผมเป็นฝ่ายถูกพวกหมาหมู่มาลอบกัดเนี้ย.. มันถูกแล้วเหรอ?”

    “แกว่าใครหมะ...”

    “หุบปากไปเลย ไอ้หน้าลายจุด!! ชั้นไม่ได้พูดกับแก!!” ยังไม่ทันได้พูดจนจบ เด็กหน้าตกกระก็นิ่งเหมือนหนูถูกงูจ้อง เพียงเพราะโดนด่าสวนด่าหนึ่งประโยคบวกกับสายตาที่จ้องอย่างดุดันของเด็กตาสองสี

    ไม่เพียงแต่ฝ่ายลูกจะตกใจกลัว แม้แต่พ่อก็ยังหวาดกลัวเด็กคนนี้ถึงกับเผลอปล่อยมือออกจากคนเสื้อเด็กโดยไม่รู้ตัว ท่ามกลางความตึงเครียดนั้นเอง ชายวัยกลางคนที่อยู่หลังห้องคนหนึ่งก็ชกใส่หน้าของเด็กที่ยืนจ้องหน้าคู่กรณีอย่างอาฆาตอย่างสุดแรง จนล้มนั่งบนเก้าอี้ดังเดิม

    “แกไม่ต้องมาพูดมากเลย เร็กซ์ ฉันจำไม่ได้เลยน่ะ ว่าเคยสอนให้แกเอาวิชาไปวิวาทกับคนอื่นนะ”

    “เออ..คุณฮาเซกาว่าครับ ถึงฝ่ายหลานคุณจะผิดแต่อย่าใช้กำลังกับเด็กสิครับ..” ผอ. พยายามห้ามปราม ฮาเซกาว่า นานาชิ ผู้มีศักดิ์เป็นลุงของ เร็กซ์ เพื่อไม่ให้กลายเป็นปัญหาไปมากกว่านี้

    “ใครบอกว่าหลานผมเป็นฝ่ายผิดไม่ทราบครับ ท่านผอ.? เรื่องนี้เค้าเป็นฝ่ายโดนหาเรื่องน่ะ ” นานาชิกล่าวสวนกลับด้วยหน้าตาเฉยเมิย ทั้งๆที่ประโยคที่พูดมา มันขัดกับสภาพของกลุ่มนักเรียนที่บาดเจ็บอย่างเห็นได้ชัด

    “พูดบ้าอะไรของคุณนะ คุณฮาเซกาว่า!!?” คราวนี้ฝ่ายวิกเตอร์ตะโกนอย่างหัวเสีย “ลูกชายผมถูกซ้อมจนโทรมขนาดนี้ คุณยังมีหน้ามาพูดอีกเหรอว่า หลานคุณโดนหาเรื่องน่ะ หา!!”

    “เร็กซ์ เค้าไม่ได้โกหก ผมรู้ดี..” นานาชิ ยังคงพูดด้วยน้ำเสียงปกติ ขนาดที่ชายร่างอ้วนที่อยู่หน้าเขา แทบจะดูคล้ายกับลูกโป่งน้ำสีแดงที่พร้อมจะระเบิด

    “นี้คุณจะบอกว่าลูกผมโกหกงั้นสิ!!” น้ำเสียงของวิกเตอร์เริ่มสั่น “คุณจะรู้ได้อย่างไงว่าใครพูดจริง ใครโกหกนะ”

    “ง่ายๆ ก็ลูกชายคุณดูเหมือนจะตื่นเต้นซะเหลือเกินน่ะครับ ที่ได้ใส่เฝือกปลอมๆ มาโชว์ให้คนอื่นดูน่ะ ใช่มั้ย? ไอ้หนู” มาร์ค ที่กำลังแกว่งแขนข้างที่น่าจะหักไปมาอย่างสนุกสนาน ถึงกับสะดุ้งโหยงเมื่อโดนทัก เพราะเผลอทำความลับแตกเสียแล้ว

    “ ทะ..ถึงอย่างไงก็เหอะ ถ้าลูกชายผมเป็นฝ่ายหาเรื่องก่อน ทำไมไอ้เด็กนั้นถึงแทบไร้รอยขีดขวนละ หา!?”
    วิกเตอร์ยังพยายามทักท้วงต่อ แผนหลอกตาแผนแรกจะแตกแล้วก็ตาม

    “แค่มือสมัครเล่นแค่ 8 คนนะ มันจะไปสู้คนที่ผมถ่ายทอดวิชาการต่อสู้ให้ตั้งแต่จำความได้ไงละ” นานาชิ กล่าวด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจจน เร็กซ์ ที่ได้ยินดังนั้น ก็เผลออดใจ อมยิ้มไว้ไม่อยู่

    “ตะ..แต่ว่า...” วิกเตอร์ ยังพยายามที่จะหาเรื่องเถียงอีกฝ่ายกลับ
    “อย่าพูดต่อดีกว่าคุณ จอร์นสัน” นานาชิพูดดักเอาไว้ “แค่ลูกชายคุณกระทำเรื่องขี้ขลาดพรรค์นี้ขึ้นมา ก็แสดงถึงการสั่งสอนทางบ้านของคุณแล้วน่ะครับ อย่าทำเรื่องที่มันจะแสดงถึงนิสัยเลวๆของคุณออกมาดีกว่า”

    “แกว่าใครนิสัยเลววะ!!” วิกเตอร์พุ่งเข้าไปปล่อยหมัดขวาขนาดเท่าเกือบๆลูกวอลเลย์ ใส่นานาชิอย่างรุนแรง แต่พริบตาหมัดจะถูกเป้า นานาชิเอี่ยวตัวหลบพร้อมใช้มือดึงอีกฝ่ายมาข้างหน้า ทิ้งตัวนอนไปข้างหลังพร้อมใช้เท้าขวาถีบท้องอีกฝ่ายร่างยักษ์ที่ดูหนักราวกับตันจนลอยข้ามหัว พุ่งไปทะลุผนังห้องออกไปนอนนับรอยเปื้นเพดานข้างนอกทันที

    “พ่อ!!” มาร์ค ร้องเรียกพ่อที่สภาพโทรมไม่ได้สติอยู่นอกห้อง ขนาดที่ ผอ. ถึงกับเงียบเหมือนเป่าสาก

    “โทโมเอะ - นาเงะ (ท่าทุ่มยันท้อง)” นานาชิกล่าวชื่อกระบวนท่าที่ใช้ไปเมื้อกี้ “เป็นท่าทุ่มท่าหนึ่งของ “ยูโด” ศิลปะการต่อสู้ของญี่ปุ่นน่ะครับ สนใจจะเรียนกับผมซักคอร์ส มั้ยครับ ท่านผอ.

    ผอ. ส่ายหน้าปฏิเสธอย่างตื่นกลัว สีหน้าบ่งบอกความกังวลในปัญหาที่กำลังตามมา นานาชิเห็นดังนั้นจึงพูดต่อว่า

    “ท่านไม่ต้องห่วงหรอกครับ เรื่องผนังห้อง เดี๋ยวผมส่งคนมาจัดการให้เอง ด้านคุณจอร์นสัน ผมหวังว่าเขาคือสำนึกผิดน่ะครับ ส่วนไอ้เจ้าเร็กซ์นี้ ผมขอยื่นใบลาออกให้แทนละกัน ”

    “เฮ้ย!! ให้ผมลาออกได้ไง ผมไม่ผิดซักหน่อย” เร็กซ์ท้วงติงใส่ลุงของตนโดยทันที แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาไม่ใช่คำพูด แต่เป็นจ้องหน้าที่ดูเหมือนต้องการซัดตัวเองจนนอนจมกองเลือดเดี๋ยวนี้ ถ้ายังไม่อยู่พูด

    “ถ้าฝ่ายคุณจอร์นสันต้องการคุยอีก โทรเรียกผมได้ทุกเมื่อเลยครับ ถ้าไม่มีอะไรแล้วผม ขอตัวก่อนน่ะครับ” พูดจบเร็กซ์ก็ถูก นานาชิ ลากออกห้องไปอย่างไม่เต็มใจ ท่ามกลางความโกลาหลในห้อง ผอ.

    ...................
    ............
    .......
    ...
    ..

    ที่บ้านของนานาชิ เร็กซ์กำลังถูกจับนั่งคุกเข่าสำนึกผิดอย่างทรมานมาได้ ชม.กว่าแล้ว ขนาดที่เจ้าของบ้านกำลังจัดเก็บของในห้องของเร็กซ์เข้ากระเป๋าเป้สีดำ

    “เออ.. ลุงครับ จะเอาของผมใส่กระเป๋าไปทำไมเหรอครับ” เด็กหนุ่มเริ่มถามใส่ลุงของตนด้วยเสียงอ่อยๆ

    ฝ่ายลุงเมื่อได้ยิน ก็เดินออกจากห้อง แล้วโยนกระเป๋า กองตรงหน้าคนตั้งคำถาม

    “ชั้นบอกแกแล้วสามร้อยสี่สิบกับอีกสองหน ว่าให้ออมมือเวลามีเรื่อง จะได้ไม่มีปัญหา แต่นี้ผ่านมา 3 ปีกับ 12 โรงเรียนที่แกย้ายมาเพราะเรื่องทะเลาะวิวาท!!ถึงแม้ว่า แกจะเป็นฝ่ายโดนหาเรื่องก็เถอะ !! ถามจริงๆ แกจะเอาอย่างไง?” นานาชิยืนกอดอก พูดอย่างหัวเสียสุดขีดกับพฤติกรรมของหลานตัวเอง

    “มันใช่ฝีมือผมที่ไหนละครับ ฝีมือของ .....” เร็กซ์เถียงได้ไม่จบประโยค ดูเหมือนเขาจะไม่กล้าที่จะกล่าวประโยคต่อไปออกมาพร้อมๆกับเอามือกุมหน้าอกแน่น

    “ไม่ต้องมาแก้ตัว ไม่ใช่แก แล้วใครจะไปทำ”

    เร็กซ์นั่งเงียบไม่พูดอะไร มือยังกุมหน้าอกแน่นไม่ยอมปล่อย จนตัวนานาชิถอนหายใจ แล้วพูดต่อ

    “เอาละ.. เร็กซ์ บอกตรงๆ ชั้นเบื่อที่ต้องมาตามล้างตามเช็ดปัญหาที่แกก่อแล้ว นี้ถ้าไม่ติดว่าพ่อแม่แกมีบุญคุณกับชั้นละก็ ชั้นทิ้งแกไว้ที่สถานพินิจตั้งแต่แก 3 ขวบแล้ว”

    ประโยคนี้ทำเอาคนที่เพิ่งถูกต่อว่า ยิ่งก้มหน้าด้วยความสำนึกผิด

    “แต่ก็น่ะ จะส่งแกไปเอาป่านนี้มันก็คงไม่ได้แล้ว ชั้นก็เลยลองปรึกษากับเพื่อนที่อยู่ญี่ปุ่นดู”

    เมื่อเร็กซ์ได้ยินดังนั้น สีหน้าก็เริ่มเปลี่ยนไปในทันที เหมือนกับจะรู้ชะตาในอนาคตของตน “ หรือว่า...”

    “อย่างที่แกคิดนั้นแหละ.. เขาอาสาจะดูแลแกแทนชั้น” นานาชิพูดไปพร้อมกับเดินไปหยิบแผนที่ ตั๋วเครื่องบินและจดหมายมาหนึ่งฉบับให้แกเร็กซ์

    “ไปที่ญี่ปุ่นซะ เครื่องบินจะออกในอีก 1 ชม. รีบไปได้แล้ว ชั้นไม่อยากเห็นหน้าแกอีก” พูดเสร็จนานาชิก็หันหลังเดินเข้าไปในห้อง ปิดใส่หน้าของเร็กซ์ที่ทำหน้าตะลึงสุดขีดอย่างรุนแรง

    เร็กซ์ยังคงอึ้งกับคำสั่งที่ลุงของตนเพิ่งบอกไป เขาแทบไม่อยากเชื่อว่า คนในครอบครัวเพียงคนเดียวที่คอยดูแลตนมาตั้งแต่เด็ก จะถึงกับขับไล่ไสส่งตนไปได้ลงคอ ซักพักเขาก็คว้ากระเป๋าเดินทางแล้วออกดินทางไปในทันที โดยไม่เหลียวกลับมาที่บ้านนี้อีกเลย
    .......................
    .................
    .............
    .........
    .......
    ..
    กลับมาปัจจุปัน เร็กซ์ซึ่งกำลังนั่งเหม่อลอยอยู่ข้างหน้าต่างเครื่องบิน ก็เริ่มรู้สึกตัวอีกครั้ง ด้วยเสียงของพนักงานต้อนรับสาวประจำเครื่อง

    “อีกไม่กี่นาที สายการบินของเราก็จะถึงที่หมายแล้วน่ะค่ะ ขอให้ทุกๆท่าน โปรดปิดเครื่องสื่อสารอิเล็คโทรนิค ทุกชนิดและรัดเข็มขัดให้เรียบร้อยด้วยน่ะค่ะ”

    ขนาดที่เร็กซ์กำลังคาดเข็มขัดนิรภัย ประสาทสัมผัสของเขากระตุกไปชั่วพริบตา เหมือนกับถูกใครหมายจะฆ่าอย่างรุนแรงจนตัวเองรรู้สึกได้ ทำให้เขามองไปรอบๆด้วยความตกใจ แต่ความรู้สึกเมื้อกี้ก็หายไปแล้ว

    “ความรู้สึกเมื้อกี้มัน.” เร็กซ์บ่นกับตัวเอง ขนาดที่กำลังมองหาที่มาของมันอยู่ซักพัก จึงหันกลับมาที่เดิม “สงสัยคิดไปเอง”

    แต่ความคิดนั้น ผิดไปถนัด ชายผมยาวสีดำปิดใบหน้าซีกซ้ายเอาไว้ สวมเสื้อกาวสีขาว ข้างในเป็นเสื้อเครื่องแบบทหารสีน้ำเงิน สายตายังคงจ้องมองเด็กหนุ่มตาสองสี ที่อยู่ห่างออกไปข้างหน้า 3 ที่นั่ง ดวงตาบุษราคัมข้างขวา ส่องประกายทองวาว ก่อนที่จะหลับตาลงอีกครั้งหนึ่ง
    ...............
    ...........
    ........
    ...
    .
    ณ หน้าสนามบิน

    ท่ามกลางหิมะสีขาวที่กำลังตกมาอย่างช้าๆเหมือนปุยนุ่น เร็กซ์ซึ่งเปลี่ยนเครื่องแต่งกายโดย สวมเสื้อแจ็ตเก็ตหนังสีดำมีแผงคอเป็นขนสัตว์นี้ขาว ตัดกับเสื้อยืดสีขาวข้างใน กางเกงยีนส์สีฟ้าคราม รองเท้ากีฬาสีดำ กำลังเปิดแผนที่เพื่อหาทางไปสู่บ้านที่ตนจะไปอยู่อาศัย พร้อมกับอ่านข้อความที่เขียนประกอบ

    ยื่นที่อยู่ที่เขียนไว้ให้แก่คนขับแท็กซี่ แล้วเขาจะไปส่งใกล้กับจุดที่ชั้นวงในแผนที่ให้ แล้วคลำเส้นทางในแผนที่ดู เอง
    ป.ล. หวังว่าคงเคยทบทวนภาษาญี่ปุ่นที่เคยสอนให้เมื่อก่อนได้น่ะ เพราะถึงเวลาจะใช้มันแล้ว

    นานาชิ


    “บรรลัยแล้วไง” เร็กซ์สบถด้วยความตกใจ เพราะประโยค ป.ล. ที่เพิ่งอ่านไป เขาไม่ได้ปฎิบัติตามเลยเกือบๆ 3ปีแล้ว

    “เอาไงดีละทีนี้..จะให้มารื้อฟื้นเอาตอนนี้ก็ไม่ไหวซะด้วยสิ”

    ขนาดที่เร็กซ์กำลังคิดแก้ปัญหาอยู่นั้นเอง ชายร่างสูงคนหนึ่งในเครื่องแบบพนักงานขับแท็กซี่สีน้ำเงินพร้อมหมวกก็เดินเข้ามาหา

    “ ต้องการให้ช่วยอะไรมั้ยครับ? ” พนักงานพูดถามอย่างสุภาพด้วยภาษาอังกฤษ จนเร็กซ์ที่ได้ยินดังนั้นก็หันไปด้วยความดีใจ ว่ามีคนพูดภาษาเดียวกับตนได้ในตอนนี้ด้วย

    “อะ..ครับ คือ..ผมต้องการจะไปที่ๆเขียนไว้ในนี้หน่อยน่ะครับ พอจะพาผมไปได้มั้ยครับ?” พูดเสร็จ เด็กหนุ่ม ก็ยื่นแผนที่ของตนให้แก่อีกฝ่ายทันที

    พนักงานขับแท็กซี่ดูแผนที่ซักพัก ก็ส่งคืนให้แก่เร็กซ์ “โอเคครับ!! ไปที่รถผมเลย ผมจะพาไปส่งให้ถึงที่เลย”

    ว่าแล้วทั้ง 2 ก็ขึ้นรถแท็กซี่สีแดงลายขาวที่จอดอยู่ไม่ไกลข้างหน้า แล้วออกรถไป โดยไม่รู้เลยว่า มีชายผมสีดำ ยาวประมาณคอ ผมข้างหน้าเสยขึ้นไปข้างหลัง สวมเสื้อโค้ทยาวสีขาว กำลังจ้องมองรถของทั้ง 2 ที่เพิ่งแล่นออกไปด้วยดวงตาสีดำสนิท พร้อมกับโทรศัพท์ออกไป

    “เขาออกเดินทางไปแล้ว ดูเหมือนอีกฝ่ายจะตามจับเขาเหมือนๆกับเราน่ะ. จะให้ทำอย่างไง” ชายหนุ่มลึกลับ พูดบอกอีกฝ่ายที่กำลังสนทนากับเขาอยู่

    “หัวหน้าบอกมาว่าให้ตามเขาไปก่อนคะ แต่อย่างไงก็ต้องไม่ให้อีกฝ่ายได้ตัวเขาไป” เสียงจากโทรศัพท์ตอบกลับ

    “รับทราบ” พูดเสร็จ หนุ่มตาสีดำก็ยัดโทรศัพท์ใส่กระเป๋าเสื้อ แล้วกระโดดควบรถสูทสีดำ บิดคันเร่ง ไล่ตามรถแท็กซี่ไปทันที

    ในรถแท็กซี่ซึ่งกำลังแล่นรถไปตามทางถนนใหญ่ เร็กซ์ยังอยู่ที่เบาะหลังอย่างโล่งใจ เพราะเพิ่งรอดจากปัญหาการเดินทางมาได้

    “นี้ถ้าคุณไม่เข้ามาช่วยผมนี้ ผมแย่แน่เลย ยิ่งพูดภาษาญี่ปุ่นไม่ค่อยได้อยู่” เร็กซ์กล่าวขอบคุณคนขับอย่างดีใจ

    “ฮะ ฮะ ไม่หรอกครับ มันเป็นงานของผมน่ะ” คนขับรถตอบรับคำชมด้วยเสียงหัวเราะเล็กน้อย

    ในช่วงการเดินทางกำลังจะราบลื่น จู่ๆ ถนนข้างหน้ากลับมีรถติดมากมาย จนโชเฟอร์ต้องหยุดรถทันที

    “อะไรกันเหรอครับนะ?” เร็กซ์ถามอย่างสนใจ

    “อืม..รู้สึกว่ารถจะชนกันน่ะครับ” โซเฟอร์ตอบอย่างไม่มั่นใจ “ ไม่เป็นไร..ผมเปลี่ยนขับไปทางอื่นได้อยู่ครับ”

    และแล้วแท็กซี่สีแดงก็พยายามแหวกเส้นทางรถแล้วเลี้ยวเข้าซอยเล็กๆทางซ้ายไป

    หลังจากเข้าทางอื่นๆที่ว่ามาได้ซัก 30 นาที จากเส้นทางที่เป็นเมืองใหญ่ ก็เริ่มเหลือแต่บ้านแถวยาวแถวชานเมือง เร็กซ์ก็เริ่มตะขิดตะขวงใจ กับเวลาเดินทางที่นานไปนิด เลยลองพูดถามโชเฟอร์

    “คุณคนขับครับ อีกนานมั้ยครับจะถึงอะครับ”

    “คงนานละครับ เพราะผมขับไปทิศตรงข้ามมาตั้งนานแล้ว” โซเฟอร์กล่าวตรงๆ

    “ม..หมายความว่ายังไงเนี้ย!!” เร็กซ์เริ่มสังหอนใจไม่ดีแล้ว

    ว่าแล้วคนขับแท็กซี่ก็เบรกอย่างรุนแรง ทำเอาเด็กหนุ่มที่นั่งข้างหลังตกเบาะนั่งไปเลย จากนั้นคนขับก็ออกจากรถแล้วถอดหมวก ผมด้านหน้ายาวที่ซ่อนเอาไว้ตกมาปิดหน้าซีกซ้ายอีกครั้ง ใช่แล้ว!! ชายคนที่จ้องมองใส่เร็กซ์ ตอนอยู่บนเครื่องบินนั้นเอง ชายคนนั้นถอดคอนแทคเลนซ์ที่ตาซ้ายออก เปิดให้เห็นดวงตาสีเหลืองทองเปล่งประกาย แล้วก็ถอดเสื้อพนักงานขับแท็กซี่ออกนำเครื่องแบบทหารคู่ใจสวมเข้าที่เดิมทับด้วยเสื้อกาวสีขาวอีกครั้งหนึ่ง

    “โทษทีน่ะครับ รบกวนช่วยไปกับกระผมหน่อยจะได้หรือไม่ มีคนต้องการจะพบเธออยู่นะครับ” เจ้าของตาสีทองพูดชวนเร็กซ์ที่ยังนั่งอยู่ในรถด้วยสำเหนียงสุภาพ

    เร็กซ์ออกจากรถแท็กซี่ แล้วสบตาอีกฝ่ายที่ดูเหมือนจะไม่ได้มาดีอย่างแน่นอน แล้วถามกลับ

    “แกเป็นใคร..ต้องการอะไร.. ฉันบอกไว้ก่อนเลยว่าถ้าจะจับตัวไปเรียกค่าไถ่ละก็ อย่าคิดเลยจะดีกว่า ฉันเพิ่งถูกตัดหางปล่อยวัดมาซะด้วยสิ” เร็กซ์พูดดักทางอีกฝ่ายเอาไว้ก่อน

    ชายร่างสูง ถอนหายใจยาวหนึ่งครั้งแล้ว ตอบกลับ “ฉันมีนามว่า อดัมสการ์ รีโวลเวอร์ เรียก อดัม ก็ได้ถ้าไม่ถนัด ชื่ออาจแปลกนิดนึง พอดีฉันเป็นชาวรัสเซียนะ แล้วก็ ฉันแค่ได้รับคำสั่งมาให้พาตัวเธอไปก็เท่านั้นเอง..เพราะงั้น ไปกับฉันซะดีๆ”

    “ถ้าฉันปฏิเสธละ” เร็กซ์กล่าวหยั่งเชิงอีกฝ่ายดู

    ปัง!!!

    สิ่งที่อยู่ในมืออดัมสการ์ คือ ปืนรีโวลเวอร์สีเงิน ซึ่งยิงใส่เร็กซ์ในชั่วพริบตาจนเฉี่ยวแก้มซ้ายไป เลือดสีแดงสดค่อยๆซึมออกจากแผลที่แก้มอย่างช้าๆ

    “คำสั่งไม่ได้เจาะจงว่าให้เอานายไปแบบครบ 32 ซะด้วยสิ” ชายผู้ลั่นไกพูดขู่ “อย่างว่าละน่ะ การจะให้มาพาตัวผู้ใช้ศิลาเทวะไปโดยไม่มีการต่อสู้นะ มันเป็นไปได้ซะที่ไหนกัน”

    “ศิลาเทวะ? แกพูดเรื่องอะไรของแก?” เร็กซ์ถามอย่างไม่เข้าใจกับคำพูดที่อีกฝ่ายพูดมา

    “อย่าแกล้งโง่สิ ก็ไอ้หินสีขาวที่ติดอยู่ตรงกำไลข้อมือขวาของนายไงเล่า!” อดัมพูดตอบด้วยน้ำเสียงรำคาญ เหมือนไม่เชื่อคำของอีกฝ่าย

    เด็กหนุ่มจ้องมองไปที่ข้อมือขวาของตน “ไอ้หินที่เป็นแค่เครื่องประดับก้อนนี้เป็นศิลาเทวะ? ไอ้ศิลาที่ว่ามันคืออะไรละ ? มันมีค่ามากขนาดนั้นเหรอ? แล้วทำไมมันถึงต้องการตัวเราละ?...” คำถามมากมายไหลเข้าสู่สมองของเร็กซ์ที่กำลังสับสนกับเรื่องที่อีกฝ่ายว่ามาท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียด

    “เอาเป็นว่า นายจะตามฉันมาดีๆมั้ย?” อดัมถามซ้ำเพื่อความมั่นใจ

    “ขอปฎิเสธ!!ไม่มีอะไรรับประกันนี้!! ว่าถ้าไปกับแกแล้วจะปลอดภัยนะ!!”เด็กหนุ่มตอบกลับอย่างหวาดหวั่น

    “ช่วยไม่ได้... งั้นยิงแขนขาก่อนแล้วค่อยอุ้มไปละกัน!!” อดัม เตรียมเหนี่ยวไกปืนใส่เร็กซ์ ทันที

    ในช่วงเวลาที่กำลังจะลั่นไกปืน เสียงบิดรถมอเตอร์ไซด์ก็ดังมาแต่ไกล จนอดัมสการ์ต้องหันไปมอง รถสูทยี่ห้อฮอนด้าสีดำขี่มาด้วยความเร็วประมาณ 200 กม./ชม. กำลังพุ่งมาดุจกระสุนปืนไรเฟิล ในช่วงที่อดัมกำลังจะชักปืนกระบอกที่ 2 เพื่อจะยิงใส่สิ่งที่พุ่งเข้ามา ทำให้เร็กซ์สบโอกาส คว้ากระเป๋าของตัวเอง แล้ววิ่งหนีสุดชีวิต ออกไป

    “เฮ้ย!!อย่าหนีน่ะ!!” อดัมร้องตกใจที่เด็กหนุ่มวิ่งหนีออกจากระยะยิงไปแล้วในช่วงที่ตนเองเผลอ

    โครม!!

    ด้วยความตกใจชั่วขณะ จนลืมสิ่งที่ตัวเองกำลังเจออยู่ไปสนิท รถมอเตอร์ไซด์พุ่งชนอดัมจนปลิวไปไกลประมาณ 5 ม. นอนจมกองหิมะบนถนนข้างหน้าอย่างอนาจ

    คนขับถอดหมวกกันน็อคออก เสยผมขึ้นไปข้างหลัง แล้วดึงโทรศัพท์มือถือออกมาอีกครั้ง เพื่อโทรแจ้งข่าว

    “ฮัลโหล ฉันเองน่ะ.. พวกมันถึงตัวเป้าหมายก่อนเราแล้ว”

    “แล้วเป้าหมายละค่ะ เป็นอย่างไงบ้าง?” เสียงในมือถือถาม..

    “วิ่งหนีไปแล้ว ฉันจัดการตามไปเอง แค่นี้ก่อนน่ะ” ว่าแล้ว เขาก็เก็บมือถือ

    ขณะที่กำลังจะขี่รถตามไป จู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงๆหนึ่ง พูดอย่างแผ่วเบา

    “ Freezing Staff (เสาน้ำแข็ง)”

    ด้วยสัญชาตญาณ ทำให้ชายผู้นั่งบนรถสูทคู่ใจของเขา พุ่งตัวออกจากบริเวนอย่างรวดเร็วก่อนที่บรรยากาศรอบๆรถมอเตอร์ไซด์ของเขาจะเยือกแข็ง กลายเป็นทะเลน้ำแข็งในชั่วพริบตา

    “ความสามารถแช่แข็งงั้นเหรอเนี้ย?..” ชายหนุ่มที่เพิ่งจะรอดจากการโดนแช่เป็นไอติมกล่าวอย่างตกใจ

    “ถูกต้อง แต่ก็แค่ส่วนเดียวนะ” เสียงลึกลับเมื้อกี้ดังขึ้นอีกครั้ง

    “แกเป็นใครวะ!! โผล่หัวออกมาเซ่!!” ชายหนุ่มหันไปตะโกนอย่างมีน้ำโห

    จู่ๆ ท้องฟ้าที่เต็มไปตัวหิมะ กลับเกิดเมฆสีดำครึ้มเหมือนเมฆฝนขนาดย่อม ยังไม่ทันทีใครจะได้ตกใจ ตำแหน่งที่รถมอเตอร์ไซต์เพิ่งเป็นน้ำแข็ง ก็ถูกฟ้าผ่าจนระเบิดทั้งรถแท็กซี่ที่อยู่ใกล้และมอเตอร์ไซด์ไปพร้อมๆอย่างรุนแรง ทำเอาเจ้าของมอเตอร์ไซต์กระเด็นตามแรงออกไป

    ท่ามกลางควันจากระเบิดเมื่อครู่นี้ มีเด็กหนุ่มหน้าตาราว 18 ผมเงินเรียวยาวปรกหู สวมชุดสูทสีดำแปลกๆ มีชายเสื้อยาวปิดข้างหน้าขาแบบจีน ตรงเสื้อมีแถบสีขาวผ่ากลางตัดแต่คอลงมา สวมผ้าคลุมไหล่ ตาสีเขียวครามส่องประกาย แต่คมดุจใบมีดโกน เดินออกมาจากกลุ่มควัน โดยมีดาบยุโรปสีทองสลักลายอย่างสวยงามถืออยู่กับมือ

    “นายคือ เรียวทาโร่ แวนเดลฟรอยด์ สิน่ะ” ชายผมเงินถาม

    “จะถามคนอื่นก็ หัดบอกชื่อตัวเองมาก่อนเซ่!!” ชายที่ชื่อเรียวทาโร่ ตอบกลับอย่างหาเรื่อง

    “...เอ็ดริก ซิลฟอร์เน่ ” เขาบอกชื่อโดยไม่ใส่ใจการกวนอารมณ์ของอีกฝ่าย ก่อนจะเปิดสมุดโน้ตขนาดฝ่ามือดู “อืม..เท่าที่ดูจากนิสัยแล้ว ใช่เรียวทาโร่แน่นอนไม่ต้องสงสัย”

    เรียวทาโร่ ดึงเอากับล็อกเก็ตห้อยคอซึ่งมีศิลาสีทองรูปโพธิ์ดำออกจากคอเสื้อ ศิลาได้เปล่งประกายแสงอย่างเจิดจ้า
    โต้ตอบกับศิลาสีดำมนที่ติดอยู่กับใบดาบของฝ่ายตรงข้ามอย่างรุนแรง เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นเป็นผู้ใช้ศิลาเทวะ เช่นเดียวกับตน


    “ทั้งการแช่แข็ง และ ฟ้าผ่า... มันไม่น่าจะเป็นความสามารถชนิดเดียวกันเลยน่ะ อย่าบอกน่ะว่ามีคนซุ่มโจมตีอยู่แถวนี้อีกคนนะ” เรียวทาโร่กำหมัดตั้งท่าเตรียมสู้

    “ไม่มี มันเป็นพลังของฉันทั้งหมดนั้นแหละ” ฝ่ายเอ็ดริก ตอบกลับตรงๆอย่างไม่อ้อมค้อม

    “อดัมสการ์!!” คราวนี้ชายหนุ่มผมขาว หันไปเรียกพวกเดียวกันที่เพิ่งถูกมอเตอร์ไซด์ชนเข้าไปเต็มรักเมื่อไม่กี่นาทีนี้

    “ แกรีบตามไปจับเป้าหมายมาซะ ฉันจะมีเรื่องต้องคุยกับคุณ ราชาแห่งการวิวาท ซักหน่อย” พูดจบชายผมเงินก็ตั้งดาบเตรียมพร้อม

    เรียวทาโร่ถึงกับตกใจในชื่อที่อีกฝ่ายพูดถึง เพราะมันเป็นฉายาที่ตนได้รับมาจากฝีมือการต่อสู้ แต่ถึงจะชื่อดังแค่ไหน ก็ไม่น่าจะดังจนถึงหูเด็กประเทศอื่นๆนี้นา

    ฝ่ายอดัมสการ์ที่ตั้งสติได้ครบถ้วนแล้ว จึงลุกแล้ววิ่งไปตามทางที่เร็กซ์เพิ่งหนีไปไม่นาน ในสารรูปที่โทรมเต็มทีทิ้งไว้แต่ชายทั้ง 2 ที่ดูท่าจะแตกหักกันในไม่ช้า

    “บ้าเอ้ย!! ปล่อยไว้แบบนี้ ไอ้หมอนั้นได้ตัวเขาไปก่อนแน่ ” เรียวทาโร่สบถอย่างหัวเสีย ก่อนที่จะจ้องชายที่กำลังขวางทางเค้าอยู่ตรงหน้า

    “เอาละ ฉันไม่รู้ว่าแกไปรู้จักชื่อและฉายาของฉันมาจากไหนน่ะ แต่ถ้าแกไม่หลีกไปเดี๋ยวละก็ เจ็บตัวแน่!!” คำพูดขู่ของราชาการวิวาท ซึ่งคงจะหาคนปฎิบัติตามได้ยากเติมทน ทำเอา ชายผมเงินหน้าตายที่เพิ่งถูกขู่อดขำเบาๆไม่ได้

    “ก็ลองทำให้ฉันอยากถอยไปดูซิ ...ถ้า - ทำ –ได้ - น่ะ” เอ็ดริก ท้าทายคู่ต่อสู้ของเขาพร้อมชี้ดาบสีทองเข้าไปตรงหน้า

    แต่ก่อนจะเริ่มสั่นกระดิ่งสัญญาณต่อสู่ เรียวทาโร่ได้พูดประโยคเด็ดของตนออกมา “ชั้นขอเตือนแกอะไรไว้อย่างนะ ว่าตั้งแต่ต้นจนจบน่ะ มันไคลแม็กซ์ของชั้นหมดเลยเฟ้ย !!!!"

    “หึ ขอให้ทำได้อย่างที่พูดละกัน” เอ็ดริกยังคงกัดใส่ไม่เลิก

    ว่าแล้ว ทั้ง 2 ก็พุ่งเข้าประจันหน้ากันทันที
    .....................
    ..............
    ........
    ...
    ..
    ตัดมาทางเร็กซ์ ที่ได้หนีมาอย่างไม่คิดชีวิต ก็ได้หยุดบริเวณเขตก่อสร้างตึกสำนักงานประมาณ 10 ชั้น พร้อมกับนั่งหอบอย่างเหน็ดเหนื่อย สมองยังคงครุ่นคิดถึงสิ่งที่เพิ่งเจอมา

    “ ให้ตายสิวะ ทำไมตูต้องมาเจอเรื่องบ้าๆพรรค์นี้ด้วยวะเนี้ย?” เด็กหนุ่มนั่งบ่นไปหอบ

    แต่ยังไม่ทันที่ความเหนื่อยล้านั้นจะหายไป กระสุนปืน 9มม. 3 นัด ก็แหวกอากาศเข้ามาผ่านตัวไปโดยแทบหันตามไม่ทัน แต่โชคยังดีที่วิถีกระสุนไม่ได้ยังเล็งเข้าสู่จุดมรณะ

    รีโวลเวอร์คู่สีเงิน ได้วิ่งตามมาถึงเรียบร้อย เลือดแดงสด ชโลมไปทั่วล่าง หยดเลือดตกมาตลอดทาง จนย้อมหิมะบริสุทธ์ เป็นสีเดียวกัน

    “ไอ้เด็กเปรต!!! ข้าเบื่อที่ต้องมาไล่จับกับแกแล้วน่ะโว้ย!! จะตามมาดีๆ หรือ จะให้ข้าส่องแกให้พรุนก่อนค่อยเอาตัวไป” ในที่สุดความอดทนของอดัมก็ขาดสะบั้นความสุภาพที่แฝงในคำพูด บัดนี้แตกสลายไม่หลงเหลือ นิ้วที่เตรียมลั่นไกปืน ลั่นริกๆเหมือนกับแทบจะห้ามความอยากฆ่าไม่อยู่ เสียงหายใจที่ไม่เป็นจังหวะบ่งบอกว่า เขาเจ็บแผลแทบทนไม่ไหวแล้ว

    เด็กหนุ่มเนตร 2 สี หันกลับมาให้คำตอบ แต่หาใช่คำพูดไม่ นอกเสียจากนิ้วกลาง 1 นิ้วที่ยื่นให้อีกฝ่ายดูอย่างชัดเจน “นี้ไงคำตอบ” เร็กซ์ขึ้นยิ้มที่มุมปากอย่างไม่ยอมแพ้ให้กับอดัม ก่อนที่จะขว้างบางสิ่งในมืออีกข้างใส่ตาสีทองของมือปืนอย่างจัง

    อ้ากกกกกก!!!!

    เสียงร้องครวญครางอย่างเจ็บปวด เลือดค่อยๆไหลซึมออกจากมือที่กุมเป้าตาแน่น เพราะสิ่งที่เพิ่งพุ่งเข้าใส่เป้าตาเมื้อกี้คือก้อนซีเมนต์ขนาดเท่าลูกเทนนิส

    อดัมหันปากกระปอกไปรอบทิศ หมายจะสังหารเป้าหมาย แต่คราวนี้คนที่จะถูกสังหาร กลับหายไปแบบไม่เห็นฝุ่น ทิ้งเอาไว้เพียงรอยเท้าที่เดินเข้าไปสู่อาคารก่อสร้างข้างหน้า

    “ไอ้กร้วกเอ้ย อย่าหวังว่าจะหนีข้าซะให้ยากเลย” อดัมปาดเลือดที่เป้าตาออก เผยให้เห็นถึงผลึกหินสีทองที่ปรากฏตรงตำแหน่งลูกตา ของเหลวสีแดงสดยังคงไหลอาบผลึก แต่ก็ไม่ได้ทำให้ประกายแสงสีทอง ดับมืดลงไปเลย

    เร็กซ์ที่ฉวยโอกาสหนีขึ้นตึกที่กำลังก่อสร้าง ได้แอบอยู่หลังเสาปูนบริเวณชั้น 7 แล้วทรุดตัวลง เพื่อพักหายใจ มือกุมบริเวณหน้าอกแน่นเพราะหัวใจของเขาเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ จนเขาปวดหน้าอกแทบสลบ

    “บ้าเอ้ย.. ทำไมต้องมาออกอาการเอาตอนนี้” เด็กหนุ่มพูดออกเหน็ดเหนื่อย สติเริ่มจนเลือนลาง

    แต่เมื่อเสียงฝีเท้าของผู้หมายปลิดชีวิตตนดังแว่วขึ้นมา ก็จำต้องอดกลั้นความทรมาน เพื่อวิ่งหนีต่อไป

    แต่การเล่นไล่จับก็จบลง จุดสิ้นสุดทางหนีอยู่บนชั้นดาดฟ้าของตึก มองไปรอบทิศ แทบไม่มีทางให้โดดหนีได้เลย

    “เวรแล้วไง..ตูไม่หน้าโง่หนีมาบนนี้เล้ย พับผ่าสิ” ขณะเร็กซ์กำลังด่าความงี่เง่าของตนเอง เสียงที่ไม่อยากได้ยินก็ดังขึ้น

    “คราวนี้แกไม่มีทางหนีแล้ววะ” อดัมสการ์ ตามมาถึงในเวลาอันรวดเร็ว ปากกระบอกรีโวลเวอร์ในมือทั้งสอง เล็งจุดตายของเป้าหมายพร้อมที่จะสังหารเรียบร้อย “ นึกถึงพ่อแก้วแม่แก้วไว้เหอะ แก!!”

    เร็กซ์ที่จนมุมเรียบร้อยแล้ว บัดนี้ยังคงกัดฟันแน่น เพื่อคิดหาทางรอด แต่ไม่ว่ามองไปทางไหน ก็โล่งไม่มีอะไรซักอย่างเดียว เหลือเพียงแต่หิมะขาวโพลนที่ถมเต็มพื้น ทางหนีทางสุดท้ายอาจจะต้องโดดลงไป แต่ระยะห่างจากจุดที่ยืนกับริมตึกประมาณ 5 ม. โอกาสที่จะหนีพ้นในระยะเผาขนมีน้อยมาก แต่ก็ต้องลอง

    แต่ในความคิดเพียงชั่ววูบ เมื่อขาขยับออกไปได้เพียงมิลเดียว กระสุนตะกั่วหนึ่งนัด ก็พุ่งออกจากปากกระบอกปืนฝังเข้าที่ขาขวาของเด็กหนุ่มเข้าอย่างจัง จนล้มทั้งยืน

    อ้ากกก!!!

    “เสียงร้องลั่นของเด็กหนุ่มที่กำลังกุมบาดแผลที่เพิ่งถูกยิงไป หัวกระสุนยังคงฝังอยู่ในจุดที่ถูกยิง เลือดไหลนองพื้นหิมะจนกลืนเป็นสีเดียวกัน

    “คิดว่า จะหนีไปทางขวาเพื่อโดดลงไปใช่มั้ยละ?” อดัมสการ์ถามพร้อมกับเดินเข้าไปใกล้เร็กซ์มากกว่าเดิม

    เร็กซ์ไม่พูดอะไร เอาเพียงแต่จ้องมองมือปืนอย่างเจ็บแค้นด้วยเนตรสองสีของเขา พลางคิดเจ็บใจตัวเองที่ตัดสินใจผิดพลาด

    “นายไม่ได้ตัดสินใจผิดหรอก เพียงแต่มันใช้ไม่ได้กับฉันคนนี้แค่นั้นเอง” อดัมกล่าวอย่างหลงตัวเอง ใบหน้าฉีกยิ้มอย่างน่าเกลียดดูเหมือนจะสะใจสุดขีด ที่ได้เห็นอีกฝ่ายนอนทรมานอยู่กับพื้น และดูเหมือนจะสงบอารมณ์แค้นไว้ได้แล้ว

    เด็กหนุ่มแทบไม่เชื่อหูตัวเอง เมื่ออีกฝ่ายตอบตามสิ่งที่อยู่ในความคิดของตนเหมือนดั่งอ่านใจได้ “เป็นไปไม่ได้ มันได้ยินสิ่งที่เราคิดด้วยงั้นหรือ” เด็กหนุ่มคิดอย่างสับสน

    “มันเป็นไปแล้ว เชื่อเหอะ..” อีกครั้งที่มือปืนพูดเหมือนรู้ความนึกคิดของเร็กซ์ แต่ความลับของมันก็ถูกเฉลยออกมาจากปากฝ่ายตรงข้าม

    อดัมสการ์ชี้นิ้วไปที่ตาขวาของตน ซึ่งมีผลึกสีทองแทนที่จะเป็นดวงตา “King of mind (ราชาแห่งจิตใจ)
    ศิลาเทวะของฉัน พลังคืออ่านจิตใจของผู้คนในระยะ 500 เมตรได้ นี้คือเหตุผลที่ทำให้แกหนีฉันไม่พ้นอย่างไงละ!!”

    อีกครั้งที่ชื่อ ศิลาเทวะเข้ามาในหัวของเร็กซ์ ชื่อที่อีกฝ่ายอ้างเพื่อจะจับตน แต่ความเจ็บปวดที่ขา กับ หน้าอกที่ยังคงปวดแน่นราวกับดวงใจจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ทำให้การรับรู้เลือนรางเต็มทน

    “อย่าแกล้งโง่สิ ก็ไอ้หินสีขาวที่ติดอยู่ตรงกำไลข้อมือขวาของนายไงเล่า!”

    แต่แล้วคำพูดหนึ่งของมือปืนดังขึ้นมาในหัว พลันให้ต้องมองดูกำไลที่มือขวา ทำให้เห็นถึงแสงของหินสีขาวที่ยังคงสว่างไม่เลือนหาย

    “ถ้ามันเป็นไอ้ศิลาที่มันว่าจริงละก็ ขอให้มันช่วยให้เรารอดไปได้ทีเหอะ”

    สิ้นความคิดสุดท้าย จู่ๆ ความเจ็บปวดที่สุดจะทนก็พุ่งเข้าสู่กลางอกของเร็กซ์ หัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ เริ่มเต้นเร็วขึ้นเรี่อยๆ ทำเอาเจ้าของหัวใจแทบจะรู้สึกอยากควักมันออกมาให้รู้แล้วรู้รอด ความเจ็บปวดแสนสาหัฐ ทำให้ประสาทสัมผัสอื่นๆเหมือนเป็นอัมพาต

    ในช่วงที่เร็กซ์ยังนอนดิ้นความเจ็ดปวด อดัมสการ์ที่ไม่ได้ใส่ใจอาการเป้าหมายแล้ว ก็เล็งปืนไปที่หัวของเด็กหนุ่ม

    “แม้ว่าทางเบื้องบนจะสั่งให้จับเป็นไปก็เหอะโทษที่ทำให้ฉันคนนี้โมโหคือ ตาย”

    นั้นคือประโยคสุดท้ายที่เร็กซ์ได้ยินก่อนจะสิ้นสติไป .........

    .....ปัง!!!!
    ............
    .......
    ....
    ..
    .

    ตัดมาทางเรียวทาโร่

    การต่อสู้ดำเนินไปอย่างรวดเร็วมาก จนคนปกติมองแทบไม่ทัน เห็นเพียงก็แต่เงาสีดำทั้ง 2 กระโดดไปมาตามหลังคาบ้าน กำแพง ได้พุ่งเข้าหาใส่กันไปมาไม่หยุด

    ในชั่วพริบตานั้นเอง เงาหนึ่งก็ถูกกระแทกตกลงไปชนกำแพงอิฐของบ้านหลังหนึ่งจนถล่ม

    ฝุ่นละอองฟุ้งกระจายตามอากาศ ก่อนที่ร่างที่ตกลงมาจะลุกขึ้น เสื้อสีดำเริ่มจะเป็นรอยขาด มุมปากมีรอยช้ำ เลือดไหลซึมออกมาเล็กน้อย ผมสีเงินโปกสะบัดตามแรงลม ชายผู้นั้นคือเอ็ดริก นั้นเองที่เสียท่า

    อีกร่างหนึ่งตกลงมา ยืนบนขอบกำแพงอีกด้านอย่างมั่นคง นั้นก็คือเรียวทาโร่ ที่บัดนี้เสื้อโค้ทยาวของเขาขาดว่อนจนไม่เหลือเค้าเดิมแล้ว เผยให้เห็นเสื้อยืดสีแดงที่มีอักษรคันจิของญี่ปุ่นตัวใหญ่ตรงกลาง แปลว่า จิตวิญญาณ อยู่ ร่างกายแทบจะหาบาดแผลไม่ได้ สายตายังคงจ้องเข้าสู่ศัตรูอย่างดุดันดุจดั่งราชสีห์ล่าเหยื่อก็มิปาน

    “สมเป็นราชาแห่งการวิวาท แม้ไม่มีอาวุธในมือ แต่ยังสู้ได้ยอดเยี่ยมขนาดนี้”ชายผมเงินพูดชื่นชมคู่ต่อสู้ ไปก่อนที่จะเลือดที่มุมปากออกด้วยนิ้วโป้ง

    “ไม่ต้องพูดมาก!!!” เรียวทาโร่ถีบตัวเองจากกำแพง ตรงดิ่งเข้าหาศัตรู ปล่อยหมัดขวาเข้าใส่ไปตามแรงพุ่งตัว
    เอ็ดริกฉากหลบไปทางซ้ายพร้อมๆกับพลิกดาบขึ้นฟันสวนเข้าที่ลำคอ เล่นเอาเรียวทาโร่ต้องเอี้ยวหลบตามสัญชาตญาณ ก่อนที่จะถีบตัวออกจากระยะดาบ

    ลำคอของเรียวทาโร่มีรอยบาดเล็กน้อย แต่โชคยังดีที่เส้นเลือดใหญ่ยังไม่ถูกตัดออกไปด้วย

    คราวนี้ฝ่ายเอ็ดริกบุกบ้าง คมดาบทองคำพุ่งแหวกอากาศมาดุจกระสุนปืน แต่ไม่อาจถูกเป้าหมายได้ เรียวใช้หลังหมัดซ้ายลุ่นๆปัดคมดาบจนพ้นทาง แล้วเข้าประชิดตัวคู่ต่อสู้ ก่อนที่จะยิงหมัดขวาตรงเข้าสู่ใบหน้าอีกฝ่าย

    แต่ชายผมเงินหมุนตัวตามทิศทางของหมัด ก่อนที่จะงัดคมดาบ ฟันทแยงขึ้นไป ช่างน่าเสียดายที่การจู่โจมครั้งนี้ยังทำได้แค่ปาดหัวไหล่ของราชาแห่งการวิวาทไปเท่านั้นเอง

    “สนุก...สนุกมาก!! ฮ่า ฮ่า ฮ่า สนุกจริงๆ” เอ็ดริกหัวเราะเสียงดังด้วยความสำราญใจ “เยี่ยมกว่าที่ในข้อมูลบอกมาอีก นี้สิ คือฝีมือของราชา ไม่เสียแรงที่ถ่อมาหาถึงญี่ปุ่นจริงๆวะ”

    เรียวทาโร่ไม่ได้สนใจลมปากของอีกฝ่ายเลย เพียงแต่กำลังร้อนใจถึงเร็กซ์ เป้าหมายที่ตนได้รับคำสั่งให้เอาตัวไป

    “แม้จะน่าเสียดาย แต่คงต้องจบการละเล่นไว้เพียงแค่นี้” สิ้นคำพูด เอ็ดริกก็ชูดาบขึ้นฟ้าแล้วเริ่มปลดปล่อยพลังของศิลาออกมาอีกครั้ง บรรยากาศรอบๆเริ่มเกิดลมกระโชกอย่างรุนแรง ท่ามกลางแสงสีดำของศิลาเทวะที่ฝังบนดาบ

    ท่ามกลางความกดดันจากพลังศิลาเทวะอีกฝ่าย เรียวก็พูดขึ้นมาหนึ่งประโยค

    “บอกไปแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าตั้งแต่เริ่มนะ มันเป็นไคลแม็กซ์ของชั้นหมด”

    สิ้นประโยค เรียวทาโร่ก็เริ่มเปล่งพลังของศิลาเทวะที่อยู่ในล็อกเก็ตห้อยคอ เกิดแสงสีทองรายล้อมรอบตัว หิมะรอบๆถูกพลังออร่าจากศิลาเผาไหม้จนสิ้น เกิดเป็นแรงกดดันรอบตัวมหาศาล ฝ่ายเอ็ดริก เห็นดังนั้น ถึงกับฉีกยิ้มเลยทีเดียว

    ในช่วงเวลาที่ทั้งสองใกล้จะระเบิดพลัง ใส่กันนั้นเอง แผ่นเหล็กขนาดยักษ์หนาประมาณ 5 ซม. สูง 2 ม.กว่าๆก็พุ่งมาจากฟ้าปักลงกลางถนนคั่นกลางการต่อสู้ของทั้งสอง จนต้องเผลอหยุดการปลดปล่อยพลังศิลาเอาไว้ก่อน

    “เฮ้ย..อย่าบอกน่ะว่า...”

    เป็นไปตามที่เรียวทาโร่คิด นั้นคือพรรคพวกของศัตรูได้มาสมทบนั้นเอง ซึ่งนั้นเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายสุดขีดแน่

    ชายผมยาวประมาณคอ ใบหน้าคม รูปร่างสูงยาว แต่ยังไม่เด่นซักมากไปกว่าสีผมที่เป็นครึ่งหนึ่งเป็นสีขาวอีกข้างเป็นสีดำ สวมเสื้อกาวแบบหมอศัลยแพทย์ทับเสื้อเชิ้ตสีดำ ค่อยๆลอยลงมา ยืนบนแผ่นเหล็กที่ตกลงมาก่อนเขา

    “แกมาทำไม..?” เอ็ดริกเป็นฝ่ายเปิดคำถามใส่ก่อน

    “มาเอาตัวแกกลับนะสิ ภารกิจเสร็จสมบูรณ์ นานแล้ว” ชายลึกลับตอบอย่างเย็นชา

    “พูดบ้าๆ อุตส่าห์เจอคนเก่งๆอย่างงี้ทั้งที ให้มากลับได้ไงกัน..” ชายผมเงินกลับไปอยู่ในท่าเตรียมสู้อีกครั้ง

    “....เป็นคำสั่งของเขาคนนั้นน่ะ” คำตอบห้วนๆออกจากใบหน้าไร้อารมณ์ของชายผมขาวดำ

    แต่แค่คำตอบเดียว ถึงกับทำเอาเอ็ดริกเปลี่ยนสีหน้าไปทันที ก่อนที่จะลดดาบลงอย่างไม่พอใจ

    จากนั้นชายผมขาวดำ ก็หันมาหาเรียวทาโร่ “รีบตามไอ้เด็กนั้นไปสิ เห็นไปทางเขตก่อสร้างทางทิศตะวันตกนะ”

    เรียวถึงกับงงงวยในคำบอกของคนที่น่าจะเป็นศัตรู แต่ถึงจะเชื่อใจไม่ได้ก็ต้องลองดู จึงรีบวิ่งไปตามที่บอกทันที

    “ถามอะไรซักข้อสิ เอ็ดริก ทำไมถึงไม่ใช้ท่า “CabonicToxin” ตั้งแต่ตอนแรก จะไปออมมือให้มันทำไม” คราวนี้เอ็ดริกเป็นฝ่ายถูกถาม

    “ถ้าใช้ไปเดี๋ยวมันก็ได้นอนชักดิ้นชักงอบนพื้นนะสิ แบบนี้มันจะไปสนุกอะไร ” คำตอบจากชายผมเงินทำเอาฝ่ายถามตกใจเล็กน้อย

    “ชายคนนั้นคงทำให้แกสนุกได้หรอกน่ะ แค่แรงกดดันจากศิลาก็เล่นเอาขาแกอ่อนซะขนาดนี้”

    เอ็ดริกได้ยินดังนั้นก็สังเกตเห็นขาของตนเองที่กำลังสั่นโดยที่ตัวเองไม่รู้ตัว “หึ..หมอนี้มันเพชรเม็ดงามจริงๆ”
    .....
    ...
    ..
    .

    ฝ่ายเรียวทาโร่ ได้วิ่งมาตามที่ชายลึกลับบอก ก็เริ่มเห็นรอยสีแดงไปตามทางหิมะ จึงวิ่งตามไปอย่างสุดกำลัง
    จนพบตึกก่อสร้างที่มีรอยเลือดเข้าไปข้างใน

    เมื่อตามไปถึงดาดฟ้า ภาพแรกที่เห็นเล่นเอาเรียวทาโร่ถึงกับอึ้งไป 3 วิ

    พื้นซีเมนต์ที่เต็มไปด้วยหิมะสีเลือดเต็มไปด้วยรอยแตกหักยุบลงไปเหมือนถูกกระแทกด้วยแรงเหนือมนุษย์ บางจุดแทบจะถล่มไปถึงข้างล่าง แต่ที่สะดุดตามากที่สุดคน กองหิมะสีเลือดที่อยู่ตรงกลาง ซึ่งมีมือคนโผล่ออกมา มีคนอยู่ข้างในนั้น!!

    เห็นดังนั้น เรียวทาโร่ รีบขึ้นไปขุดกองหิมะออกมา “ อย่าบอกน่ะ ว่าถูกฆ่าไปแล้ว!!”

    แต่คนที่ถูกฝังอยู่ในหิมะ หาใช่เป้าหมายของตนไม่ กลับเป็น อดัมสการ์ รีโวลเวอร์ มือปืนที่บัดนี้ร่างกายแตกหักยับเยินอาบไปด้วยโลหิต กระดูกแขนขาหักจนทะลุเนื้อออกมา มือที่ถือปืนกระหูกแหลกจนไม่เหลือรูปเดิม กรามเหมือนถูกฟาดจนแตก ฟันเหลือเพียง 4 -6 ซี่ แต่ท่ามกลางแผลฉกรรจ์ทั้งหมดนี้ บาดแผลที่เด่นที่สุด คือ รอยกำปั้นตรงกลางอก ที่ฝังลึกลงไปอย่างชัดเจน

    “มันเกิดเรื่องบ้าอะไรกันวะเนี้ย?” แม้จะเป็นถึงราชาการวิวาท แต่สาบานได้ว่าไม่เคยเห็นคนที่ถูกทำร้ายจนเละตุ้มเปะขนาดนี้มาก่อนในชีวิต เรียวทาโร่ลองตรวจลมหายใจ ถึงแม้จะไม่คิดว่ามันจะรอด

    อาจจะเป็นโชคดีเพียงหนึ่งเดียวของมือปืน ที่ร่างกายยังคงมีลมหายใจแผ่วเบาอยู่ “ไอ้เจ้านี้ อึดจนซอมบี้เรียกพ่อจริงๆ”

    เมื่อตรวจสอบเรียบร้อย เรียวทาโร่ก็ดึงมือถือขึ้นมา กดโทรไปหานสั่งการอีกครั้ง

    “ขอโทษทีน่ะ เป้าหมายหายตัวไปแล้ว” เรียวปล่อยคำขอโทษที่ทำงานพลาดไปก่อนเลย

    “หมายความว่าไงค่ะ หายตัวไป..” เสียงโอเปอเรเตอร์สาวถามอย่างสงสัย

    “ไว้ฉันค่อยแก้ตัวทีหลังละกัน แต่ที่แน่ๆ..คือช่วยบอกทางโน้นเตรียมการรักษาคนเจ็บด่วน มีคนร่อแร่ใกล้ดับอยู่คนหนึ่งตรงนี้”

    “หา!! ไอ้เจ้าเรียวใกล้ม้องแล้วเหรอ?” เสียงผู้ชายข้างในอีกเสียงตะโกนใส่หูอย่างจัง

    “ไอ้บ้านี้ ว่าใครตายวะ!!เดี๋ยวพ่อฝังด้วยเท้าขวาซะนี้!! ”เรียวทาโร่ตะโกนกลับอย่างโมโห

    “เออ...คนที่ถึงตัวเป้าหมายก่อนเราเหรอค่ะ?”โอเปอเรเตอร์ ถามอีกครั้ง

    “ใช่ โดนกระทืบซะเละไม่เหลือชิ้นดีเลย”

    “โอเคค่ะ เปิดสัญญาณตามตัวไว้น่ะ จะรีบส่งคนไปรับ”

    “เดี๋ยวก่อน!!!” จู่ๆ เรียวทาโร่ ตะโกนดังเหมือนมีเรื่องสำคัญมาก ทำเอาอีกฝ่ายสะดุ้งไปเลยทีเดียว

    “อะ..อะไรเหรอค่ะ”

    “.....รักน่ะ จุ้บๆ”

    โครม!!!

    เสียงกระแทกหูโทรศัพท์ดังทะลุหูมือถือ เล่นเอา เรียวทาโร่หูชาไปเลยทีเดียว

    “สงสัย มุขนี้เสี่ยวไปหน่อยแฮะเรา..” ชายหนุ่มว่าไปพลางเกาหัวๆแกรก

    เรียวทาโร่มองไปที่รอยแตกบนพื้นที่มีรอยเท้ายุบลงไปหนึ่งรอย รอยนี้ทำให้เขาไม่สบายใจ

    “ใครกันแน่ ที่มีพลังทำได้ถึงขนาดนี้”
    ...........
    ......
    ...
    ..
    .
    To BE CONTINUE

    ############################################


    ขอพระคุณตัวละครเท่ๆจาก

    เรียวทาโร่ แวนเดอฟลอยด์ (Rep 2) >>> PAIA คุง
    เอ็ดริก ซิลฟอร์เน่ (Rep 6) >>> Ultima_Weapon : โหมดไอ้ปีกเดียว


    ############################################
  2. maxlancer

    maxlancer ประธานรุ่น2ตุรกีเชียงใหม่

    EXP:
    1,183
    ถูกใจที่ได้รับ:
    1
    คะแนน Trophy:
    88
    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

    Chapter 2 : เริ่มการเคลื่อนไหว (Begin to Move)

    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

    เหนือน่านน้ำแปซิฟิก ที่กำลังมีแสงแดดสว่างจ้าอยู่นั้น ตอนนี้ได้มีเครื่องบินโดยสารส่วนตัวขนาดกลางสีขาวแถบฟ้า ลำหนึ่งกำลัง มุ่งตรงไปสู่เกาะอังกฤษอย่างช้าๆ

    ภายในห้องห้องหนึ่งที่ปิดไฟเกือบทุกดวงเอาไว้จนไม่อาจเห็น รอบด้านไม่ชัดเจยนัก แต่ที่แน่นอนคือตรงกลางมีโซฟาขนาดหรูสีแดง ซึ่งมีคนๆหนึ่งนั่งอยู่ แต่ด้วยความมืดมิดไร้แสงบริเวณทำให้ไม่อาจรู้ถึงใบหน้าของเขาได้

    เบื้องหน้าของชายในความมืด มีชายอยู่สองคนที่ยืนอยู่ : ซึ่งเบื้องบนมีไฟดวงน้อยกำลังให้แสงอันน้อยนิดอยู่ จึงพอจะทำให้เห็นบ้าง

    คนแรกคือชายผมสีเงิน ในชุดดำยาวแถบขาว สภาพดูบาดเจ็บเล็กน้อย มีดาบสีทองในฝักดาบที่ห้อยอยู่ที่หลัง

    อีกคน เป็นชายร่างสูงที่มีความโดดเด่นที่ผมยาวถึงช่วงคอสีขาวดำอย่างฟากของเขา เสื้อเชิ้ตกับ กางเกงของเขาแทบที่กลืนเป็นเนื้อเดียวกับความมืดรอบตัว

    “รู้ดีใช่มั้ย เอ็ดริก..ว่าทำไมข้าถึงต้องเรียกเจ้ามาพบ” น้ำเสียงที่ฟังดูเย็นยะเยือกของชายที่นั่งบนโซฟา ทำให้ชายผมเงินที่เพิ่งถูกขานชื่อไป เหงื่อออกอย่างกดดันเลยทีเดียว

    “ก็ทำไมละ ทั้งที่คุณก็รู้ว่าอีกฝ่ายหนึ่ง มีฝีมือแค่ไหน คุณยังส่งไอ้รัสเซียงี่เง่าที่ทำได้แค่อ่านจิตกับโทรจิต ไปอีกเหรอ!! ทั้งๆที่โอกาสที่มันจะทำสำเร็จมันแทบไม่มีเลยอยู่แล้ว แต่คุณยัง..!!!!” คำทักท้วงทั้งหมดหยุดลง เมื่อเอ็ดริกถูกเหลือบมองด้วยตาเรียวคมสีทองที่ล้อมรอบไปด้วยสีโลหิต ซึ่งแฝงไปด้วยความอำมหิต แม้แต่ชายอีกคนที่อยู่ข้างหลัง ก็อดสั่นด้วยความหวาดกลัวไม่ได้

    “ทำมาเป็นพูด แล้วตอนนั้นแกสนใจเป้าหมายมากกว่าเรื่องท้าต่อยกับไอ้ราชาหลอกเด็กพรรค์นั้นหรือไง”คำพูดนี้ ทำเอาเอ็ดริกเถียงไม่ออกอีกต่อไป

    “ตามความจริงที่ข้าส่ง อูริค ไปนะ ตอนแรกกะจะให้ฆ่าเจ้าทิ้งด้วยซ้ำไป” ชายลึบลับพูดไปพลันเหลียวตามอง"อูริค เกลวูฟ" ชายผมสองสีที่ยืนเยี่ยงไปข้างหลัง เอ็ดริก

    “ยังดี..ที่เจ้านอกจากจะไม่ได้ขัดขวางภารกิจของมัน แถมยังช่วยทำให้มันดีขึ้นอีก ข้าจะไม่เอาเรื่องเจ้า” เสียงยานๆ พูดออกมาอย่างพอใจในผลงานที่ไม่คาดคิดของลูกน้องตัวเอง

    พริบตานั้น ฝ่ามือขนาดเกือบเท่าหัวคน ก็พุ่งไปดึงใบหน้าของชายผมเงินเข้ามาทันที

    “แต่ถ้าเจ้ายังคิดหักหลังความหวังดีจากข้าคนนี้อีกละก็ เจ้าจะได้รู้ว่าแม้แต่นรกตัวสุดท้ายก็ยังน่ากลัวไม่เท่าข้าผู้นี้” จากน้ำเสียงปกติ กับกลายเป็นเสียงแหบต่ำที่เปี่ยมไปด้วยความน่าสะพรึงสุดขั้วหัวใจ จนเอ็ดริกต้องดึงตัวออกมาอย่างรวดเร็ว

    “รู้แล้วนะ..” ชายผมเงินพูดเสียงค่อย ก่อนที่จะหันหลังเดินไปที่ห้องถัดไปพร้อมกับใบหน้าที่เจ็บแค้นใจสุดขีด

    ขนาดที่อูริคกำลังเดินตามไปนั้นเอง ก็หันมาถามหัวหน้าตัวเองก่อนจากไป

    “ขอถามอะไรซักข้อได้ไหมครับ.. หมายความว่าไงที่คุณส่งอดัมไปทั้งๆที่รู้ว่ามันจะพลาดนะครับ”

    ชายลึกลับเงียบสักครู่ ก่อนที่จะตอบกลับ “นายเคยได้ยินไหม? อูริค”

    “การจะทำให้ไวท์มีรสเลิศได้ มันต้องใช้เวลาในการบ่มนานน่ะ”

    แม้จะไม่ค่อยเข้าใจ แต่อูริคก็พยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะเดินออกจากห้องนี้ไป

    หลังจากทั้งสองได้ออกไปได้ซักพัก ข้างหลังโซฟาสีแดงสดของชายลึกลับผู้นี้ ก็ปรากฏเงาคนขึ้นมาหนึ่งคน เป็นบุรุษรูปร่างปานกลาง ในชุดสูทสีดำทั้งตัว แต่แหวกคอเสื้อออกมา แม้จะไม่เห็นหน้าก็ตาม แต่อย่างน้อยก็ยังพอสังเกตเห็นตาสีฟ้าอ่อนที่เศร้าสร้อย ส่องประกายแสงเล็กน้อย ท่ามกลางความมืดที่ครอบคลุมเกือบทั่วห้อง

    “นี้ขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ละเนี้ย?” คำถามนุ่มๆจากชายผู้นั่งบนโซฟาไปหาชายในชุดสูทอย่างเรียบง่าย

    “ตั้งแต่งานเสร็จ..” คำตอบสั้นๆ แต่ได้ใจความ ทำให้ผู้ที่ได้รับคำตอบ อดที่ขำค่อยๆไม่ได้

    “แล้วเป็นไง? งานชิ้นนี้ตึงมือพอมั้ย?”

    เมื่อได้ยินดังนั้น ชายในชุดสูท ก็ยกอะไรบางอย่างที่กองอยู่ที่ด้านหลัง มาโยนไว้บริเวณหน้าโซฟาของนายจ้างเขา ไฟดวงน้อยๆ ค่อยส่องแสงจนมองเห็นได้ว่า สิ่งที่กองอยู่คือ ชายที่มีเรือนผมสีแดงเพลิงยาว ลมหายใจแผ่วเต็มที อยู่ในสภาพถูกมัดมือไขว้หลังเอาไว้ เครื่องแต่งกายดำตะโกไปหมด เหมือนกลับถูกไฟเผามาทั้งเป็น เผยให้เห็นกางเขนสีดำที่ต้นแขนซ้าย

    “ไม่ค่อยเท่าไหร่ ” อีกครั้งที่ชายลึกลับได้คำตอบกลับมาเพียงแค่ไม่กี่คำ

    ชายหนุ่มผมสีเพลิง ที่เพิ่งรู้สึกตัว ค่อยเงยหน้าตามแสงไฟ เผยให้เห็นถึงดวงตามรกตคู่งามที่ดูแสนจะอ่อนแรง

    “หึ...คิดว่าจับฉันไว้แล้ว จะสามารถเค้นข้อมูลจากฉันได้หรือไง..คนอย่างฉันไม่ยอมขายความลับที่มีให้แก่พวกสั่วๆอย่างแกหรอก!!!” แม้จะอยู่ในสภาพจนมุม แต่ดูเหมือนปากของชายผมสีเพลิงผู้นี้ คงจะไม่อาจถูกพันธนาการเอาไว้ได้เหมือนร่างกายเขาอย่างแน่แท้

    “แม้ฝีมือจะอ่อนด้อย แต่ฝีปากยังดีได้ขนาดนี้ สมแล้วกับที่หาญกล้ามาเป็นศัตรูกับข้าคนนี้” เสียงดูหยิ่งยโสของชายผู้นั่งบนโซฟา กล่าวถากถางเชลยที่นอนแทบเท้าของเขา

    “เจ้าไปต้องห่วง ข้าไม่ขอถามความลับจากเจ้าหรอก..”

    “หา?” คำตอบของชายผู้เป็นศัตรู ทำเอาหนุ่มผมสีเพลิงส่งเสียงออกมาอย่างสงสัย

    ชายลึกลับใช้ฝ่ามือซ้ายขนาดใหญ่เท่าหัวคน ดึงศรีษะของผู้ที่จำกุมขึ้นมา ก่อนที่เผยฝ่ามืออีกข้างที่ตรงกลางมีหินทรงสามเหลี่ยมสีดำฝังอยู่ขึ้นมา

    “แต่แกจะเป็นฝ่ายบอกข้าเองทุกประการ” สิ้นสุดคำพูด ของชายลึกลับ ออร่าสีม่วงที่แฝงด้วยความน่าขนลุก ก็พุ่งออกมาจากหินที่ฝ่ามือ เข้าสู่ชายผมสีเพลิงทันที

    อ้าก!!!!!!!!!!
    ....
    ...
    .
    ตัดกลับมาที่ ญี่ปุ่น ณ โรงพยาบาลเอกชนมิสึกายะเม็มโมเรียล

    รถพยาบาลสีขาวหนึ่งคันได้แล่นเข้ามาอย่างรวดเร็ว สัญญาณไฟบนรถ แสดงให้รู้ว่ามีคนไข้ฉุกเฉินมาอย่างแน่นอน

    เมื่อประตูหลังรถเปิดออก เหล่าพยาบาลได้เร่งนำเตียงคนไข้มารับชายคนหนึ่งที่บาดเจ็บสาหัฐอยู่ในรถอย่างไม่รีรอ ก่อนที่จะรีบพาเข้าสู่ห้องฉุกเฉินไป

    ขนาดที่หมอกำลังเข้าไปดูอาการคนเจ็บนั้นเอง ก็มีเสียงๆหนึ่งพูดกับคุณหมอ

    “คุณหมอค่ะ เรื่องที่คนเจ็บคนนี้ เข้ามารักษาตัวที่นี้นะ ช่วยเก็บข้อมูลเป็นความลับด้วยน่ะค่ะ”

    เด็กสาวตัวเล็ก ใบหน้าจิ้มลิ้มน่ารัก อายุราว 15 ผมสีขาวบริสุทธิ์ยาวไสวถึงเอว ผิวขาวละมุ่นราวกับหิมะ ดวงตาสีดำกลมโต ในชุดกระโปรงยาวสีเดียวกันกับสีผม ไม่ว่าดูทางไหนก็เพียบพร้อมไปซะหมด ได้บอกกำชับคุณหมอไว้

    “ เอ๋? แต่ว่าคุณหนูอากาเนะครับ ถ้าทำอย่างงั้นละก็...” ฝ่ายคุณหมอดูเหมือนจะลำบากใจในคำขอนั้นแม้ว่าคนที่ขอจะเป็น มิซึกายะ อากาเนะ ลูกสาวเจ้าของโรงพยาบาลซึ่งมีอำนาจสั่งการในโรงพยาบาลเทียบเท่าบิดาของเธอก็ตาม

    “ช่วยหน่อยน่ะค่ะ” เด็กสาวย้ำคำอีกครั้ง แม้ใบหน้าจะไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ แต่ดวงตาสีดำสนิทที่จ้องมองอย่างเศร้าสร้อยนั้น บ่งบอกว่าเป็นเรื่องจำเป็นจริงๆที่ต้องทำอย่างนี้

    คุณหมอเห็นแล้วก็อดใจอ่อนไม่ได้จึง ถอนหายใจหนึ่งเฮือกก่อนที่จะพยักตอบว่าตกลง

    “ขอบคุณมากคะ” เด็กสาวขอบคุณอีกครั้งก่อนที่จะโค้งขอบคูณเล็กน้อย ก่อนที่คุณหมอจะเดินเข้าสู่ห้องฉุกเฉินไป

    “อากาเนะจัง!!” เสียงหญิงสาวอีกคนหนึ่งดังมาแต่ไกล กำลังวิ่งเข้ามาหา

    “มาเรียซัง..” อากาเนะกล่าวชื่อของ หญิงสาวที่วิ่งเข้ามาหา เธอคือ “มาเรีย อาซึกะ” เด็กสาวอายุ 17 ผมสีขาวอมฟ้าอ่อนๆราวกับสายนํ้าตรงยาวประมาณสะโพก ไว้ผมหน้าม้าซอยเล็กน้อย ปอยผมด้านหน้ายาวประมาณคาง ใบหน้ารูปไข่ดูสวยใส รูปร่างผอมเพียวในชุดเสื้อคลุมเเขนยาวบางสีเขียวอ่อน ทับเสื้อสายเดี่ยวสีขาว กระโปรงยาวถึงเข่าสีฟ้าจับจีบรอบ ผิวสีขาวเหมือนหิมะ ดวงตาสีเขียวซึ่งมาจากเชื่อสาวเยอรมันของเธอ

    “คนที่บาดเจ็บเขาเป็นอย่างไงบ้าง?” มาเรียถามอย่างกังวล

    “เพิ่งพาเข้าไปรักษาเมื้อกี้เองคะ คิดว่าคงจะปลอดภัยคะ” อากาเนะตอบแบบคาดเดา ก่อนที่จะถามมาเรียอย่างสงสัย

    “ทำไมถึงเป็นห่วงละค่ะ ทั้งที่เค้าเป็นศัตรูแท้ๆ”

    “ก็ไม่ได้ห่วงอะไรมากหรอก แค่สงสารเค้านิดหน่อยอะ”

    “สงสารเหรอ?” อากาเนะยังคงงงกับคำตอบของหญิงสาว

    “ก็ที่เค้าเจ็บหนักขนาดนั้น ก็เพราะเรียวทาโร่คุงนี้นา ถึงจะเป็นศัตรูก็ไม่เห็นต้องทำถึงขนาดนั้นเลย”

    “เฮ้ย.. ฉันไม่ได้บอกซักคำเลยน่ะ ว่าเป็นฝีมือของฉันนะ”

    “ว้าย!!” จู่ๆก็มีเสียงๆหนึ่งดังจากข้างหลังของมาเรีย ทำเอาหญิงสาวตกใจจนเผลอสะดุดขาตัวเองล้มก้นกระแทกพื้นไปเลย

    “ฮือ~~ เจ็บอะ~~” หญิงสาวร้องค่อยๆ ก่อนที่จะเงยหน้าดูต้นตอของเสียงที่อยู่ข้างหลัง

    ชายผู้นั้นก็คือเรียวทาโร่ ซึ่งเขาเพิ่งตามโรงพยาบาลมาถึงเมื้อกี้นี้

    “อ้าว?..ไหงไปนั่งเล่นอยู่พื้นซะงั้นละ ยัยบ๊อง!! เก้าอี้แถวนี้ก็มีไม่ยอมนั่ง” เรียวทาโร่หยอกล้อมาเรียที่นั่งอยู่บนพื้นเล่น พร้อมกับส่งยิ้มที่ดูออกกวนๆทักทาย

    มาเรียทำหน้าบึ้งกลับใส่ชายหนุ่มตรงหน้า “ไม่ต้องมาขำเลยน่ะค่ะ เล่นมาไม่ให้ซุ่มให้เสียงอย่างนี้ เดี๋ยวเราช็อกจนเป็นลมไปทำไง?”

    “ถ้าเป็นลมจริงให้ฉันช่วยผายปอดให้เอามั้ยละ?” เรียวทาโร่ยังคงขี้เล่นกลับอีกหนึ่งดอก ก่อนที่จะยื่นมื่อให้แก่มาเรีย

    “ไม่ต้องค่ะ เกรงใจ” หญิงสาวปฏิเสธชัดถ้อยชัดคำอย่างไม่รับมุข ก่อนที่จะลุกขึ้นด้วยตัวเอง ปล่อยให้สุภาพบุรุษยืนเสียฟอร์มในบันดล

    “เจอศัตรูระหว่างทางเหรอค่ะ เรียวทาโร่ซัง” อากาเนะตั้งคำถามใส่เรียวทาโร่บ้าง

    “อืม..ช่วงที่ฉันเจอไอ้มือปืนที่กำลังจะจับตัว เรย์ซึ นะ จู่ๆมันก็โผล่ออกมาขวาง ก็เลยฉะกันไปยกหนึ่ง”

    “งั้นไปทำแผลก่อนดีไหมค่ะ” อากาเนะเห็นสภาพที่เยินสุดๆของเรียวทาโร่แล้วจึงถาม

    “โอย~แค่ลูกกระจ้อกคนเดียว ไม่ทำให้ฉันเจ็บได้หรอกนา” ชายหนุ่มตอบกลับด้วยความมั่นใจ

    “แล้วทำไมถึงมีเลือดไหลออกจากหลังเสื้อเยอะขนาดนั้นละ...” แค่ประโยคเดียว เรียวทาโร่ก็นิ่งไร้ทางแก้ตัวซะแล้ว ดูท่าทางบาดแผลที่เพิ่งถูกฟันมาไม่นาน จะเริ่มเปิดอีกครั้งแล้ว

    เมื่อเห็นดังนั้น มาเรียในใบหน้าจริงจัง ก็ย่างสามขุมเข้าหาเรียวทาโร่ทันที พร้อมออกคำสั่ง “นั่งลง แล้วเปิดแผลมาให้ดูหน่อย!!”

    เสียงของสาวน้อยที่อ่อนหวาน กลับมาสั่งชายหนุ่มที่กำลังยืนอยู่เบื้องหน้าด้วยน้ำเสียงเรียบปกติ แต่ใบหน้าอันจริงจัง ไร้รอยยิ้มนี้มันดูไม่ได้ปกติตามซะแล้ว ในเมื่ออยากดูมากก็เอา!! เรียวทาโร่ถอดเสื้อที่เปื้อนเลือดออกมาอย่างไม่ค่อยเต็มใจ เผยให้เห็นร่างกายกำยำที่เต็มด้วยรอยแผลจากของมีคม โดยเฉพาะที่หลังมีแผลใหญ่ยาวพอควร ถ้าเป็นคนธรรมดาคงนอนโทรมเพราะพิษแผลไปแล้ว

    ขนาดที่กำลังจากดึงบางอย่างออกมาจากเสื้อ อากาเนะ เริ่มมีอาการไม่ค่อยดีอย่างเด่นชัด สายตาเริ่มไม่คงที่ เหงื่อก็ค่อยๆไหลออกมา มาเรียเห็นดังนั้นก็เลยพูดว่า

    “ขอโทษน่ะอากานะจัง เดี๋ยวฉันจะใช้พลังของฉันซักหน่อยนะ ช่วยออกจากแถวนี้ซักแปบนึงได้มั้ย?”

    อากาเนะไม่พูดอะไร ยกเว้นแต่พยักหน้าเล็กน้อยก่อนเดินออกจากบริเวณไป

    “ยัยนั่น คงลำบากแย่เลย เป็นผู้ใช้ศิลาเทวะแท้ แต่ไม่สามารถเข้าใกล้ศิลาได้” เรียวทาโร่กล่าวอย่างเห็นใจนิดๆ

    “อืม... แต่ก่อนอื่น เธอก็ควรจะหัดห่วงตัวเองซะมั่งน่ะค่ะ”

    ว่าแล้วมาเรียก็ดึงเอาสร้อยสีฟ้าราวกับเกล็ดน้ำแข็ง ซึ่งมีคริสตัลสีขาวใสแต่มีเงาสีดำขุ่น ส่องแสงภายในติดอยู่
    ออกมานั้นคือศิลาเทวะของมาเรียนั้นเอง

    “Cure (เยียวยา)” สิ้นคำพูด คริสตัลบนสร้อยก็ส่องประกายแสงออกมา เกิดเป็นละอองน้ำขนาดเล็ก แล้วลอยเข้าสู่บาดแผลของเรียวทาโร่

    จากแผลที่เลือดยังอาบอยู่ค่อยๆ ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว รอยฉีกขาดของเนื้อเยื่อเริ่มสมานกลับเข้าที่เดิมอีกครั้ง เหมือนดั่งมีเวทมนตร์

    “เอาละเสร็จแล้ว” มาเรียกล่าวขึ้นมา จากร่างกายที่แผลเต็มไปหมด ตอนนี้ แทบไม่หลงเหลือริ้วรอย

    “ฉันไม่ได้ขอร้องให้ทำหรอกน่ะ” เรียวทาโร่พูดอย่างไม่ค่อยพอใจ จนมาเรียได้ยินก็อดมีน้ำโหไม่ได้ แต่เมื่อจะหันไปต่อว่านั้นเอง

    “แต่ยังไงก็ ขอบใจน่ะ” ชายหนุ่มพูดอย่างเขิดเขินก่อนจะหันหน้าที่กำลังแดงหนีพร้อมเกาหัวด้วยความอายแล้วหยิบเสื้อคนป่วยแถวนั้นมาสวม ทำเอามาเรียที่ได้ยินดังนั้นก็อดยิ้มหวานไม่ได้

    “เรียวทาโร่ซัง คุณพอรู้มั้ย? ว่าใครกันแน่ที่ทำร้ายมือปืนคนนั้นนะ” อากาเนะถามอย่างสงสัย ด้วยบาดแผลของมือปืนมันแทบจะไม่เชื่อว่าเป็นฝีมือมนุษย์ด้วยซ้ำไป

    “ฉันเองก็อยากรู้เหมือนกัน พอฉันไปถึงก็เจอมันในสภาพนั้นแล้ว แถมเรย์สึก็หายตัวไปอีก” เรียวทาโร่ตอบอย่างไม่สบายใจ

    “เป็นไปได้มั้ยค่ะที่เรย์สึจะเป็นคนทำ?” นี้คือการคาดคะเนของอากาเนะข้อแรก

    “อาจจะใช่ แต่ถ้าเขามีพลังขนาดนั้น ทำไมเขาไม่ลงปืนตั้งแต่ตอนแรกๆละ?” เรียวทาโร่ตอบกลับแบบไม่ค่อยเห็นด้วย

    “ไม่แน่ว่าพลังศิลาเทวะของเขาอาจจะเพิ่งตื่นก็ได้น่ะ เพราะตอนแรกคุณอัลเทม่าที่คอยเฝ้าดูเขาอยู่ที่อเมริกา ก็บอกมาว่า แทบจะจับคลื่นของศิลาไม่ได้เลย” มาเรียลองออกความเห็นบ้าง”

    “เป็นไม่ได้ เธอก็รู้ไม่ใช่เหรอว่า การจะใช้พลังศิลาได้สูงนะ ต้องฝึกฝนใช้อย่างหนัก พวกเพิ่งตื่นครั้งแรกไม่มีทางทำได้ขนาดนั้นหรอก” คำสันนิษฐานของหญิงสาวถูกโตแย้งด้วยเหตุผลอีกข้อไป

    ขณะที่ทั้งสาม กำลังนั่งคาดการกันอยู่นั้นเอง ห้องฉุกเฉินก็เปิดออก แสดงว่าได้ทำการรักษาเสร็จแล้ว

    “อาการของเขาเป็นอย่างไงบ้างค่ะ คุณหมอ” อากาเนะเดินเข้าไปถามคุณหมอที่เพิ่งออกมา

    “อาการก็ทรงตัวแล้ว แต่ที่หมอไม่ค่อยอยากเชื่อคือ ทั้งที่น่าจะเจ็บแผลจนสลบไปด้วยซ้ำ แต่นี้เขากลับฟื้นสติเร็วขนาดนี้นี่สิ” ฝ่ายหมอบอกอาการคนไข้ด้วยสีหน้าที่เหลือเชื่อ

    “ได้สติแล้วเหรอเนี้ย...ก็ดีจะได้รู้เรื่องกันเร็วหน่อย..” เรียวทาโร่พูดขึ้นก่อนที่จะเดินเข้าไปในห้องฉุกเฉิน ซึ่งตามมาติดๆคือมาเรียที่ยังทำหน้าเป็นห่วงอีกฝ่ายเหลือเกิน

    แต่ก่อนที่อากาเนะจะตามไป ก็ได้หันมาหาคุณหมอพร้อมชูนิ้วชี้ไว้ระหว่างปาก เป็นการย้ำถึงสัญญาที่ได้ตกลงกันไว้เมื้อก่อนหน้านี้อีกครั้ง แล้วจึงตามของห้องไป

    ท่ามกลางห้องที่เต็มไปด้วยเครื่องมือทางการแพทย์ และเหล่าพยาบาล บัดนี้ อดัมสการ์ในสภาพที่เต็มไปด้วยผ้าพันแผล และเฝือกทั่วร่าง แม้แต่ปากดูเหมือนว่ากรามจะแตกจนไม่อาจพูดได้ กำลังจะถูกเคลื่อนย้ายออกจากห้องนั้นเอง

    “ขอโทษน่ะค่ะ” อากาเนะที่รีบเข้ามาในห้องก่อนจะพูดกับนางพยายาบคนหนึ่งตรงหน้า “ขอเวลาเราคุยกับคนๆนี้สักครู่จะได้หรือเปล่าค่ะ?”

    นางพยาบาลคิดสักครู่จึงพยักหน้าตกลง เพราะเธอนั้นรู้ดีว่า ไม่ว่าปฏิเสธอย่างไง คุณหนูคนนี้คงมิอาจยอมเลิกลาได้แน่นอน ก่อนที่จะสั่งให้พยาบาลคนอื่นๆออกจากห้องไป เหลือแค่ชายหญิงสี่คนในห้องนี้

    “เอาละ..ก่อนอื่น ดิฉันชื่อ มิซึกายะ อากาเนะคะ ยินดีที่ได้รู้จัก” สาวน้อยในชุดขาวแนะนำตัวอย่างสุภาพพร้อมโค้งให้ชายผู้บาดเจ็บเล็กน้อย

    “ทำไมต้องไปแนะนำตัวแก่ศัตรูด้วยละ..ไม่เห็นจำเป็นเลย” เรียวทาโร่ที่อยู่ข้างหลัง พูดขึ้นอย่างไม่ค่อยชอบหน้าศัตรูที่อยู่ตรงหน้า

    “ก็ถ้าเราไม่บอกก่อน ใครจะยอมบอกกลับละค่ะ” อากานะพูดพร้อมกับยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย

    อดัมสการ์เห็นถึงกลับประหลาดใจ ในมารยาทที่ถูกสอนมาอย่างดีของสาวน้อยซึ่งไม่น่าจะใช้ปฎิบัติกับศัตรู ก่อนที่จะใช้พลังของศิลาเทวะอีกอย่างของเขาออกมา ซึ่งก็คือโทรจิต ตอบกลับไป

    “ฉันชื่อ อดัมสการ์ รีโวลเวอร์ คิดว่าคงฟังภาษาอังกฤษกันรู้เรื่องน่ะ จะตอบให้เท่าที่จะตอบได้ ” เสียงดังก้องที่แทรกเข้ามาในหัวของทั้งสาม

    “อย่างที่คิดไว้ ว่าคุณมีพลังเกี่ยวกับจิตใจจริงๆด้วย” อากาเนะดูเหมือนจะรู้ดีเกี่ยวกับพลังนี้อยู่แล้ว ก่อนที่จะเริ่มตั้งคำถาม

    “ทำไมนามสกุลมันดูไม่สมกับชื่อมันเลยวะ อย่างกับคนละภาษา” คำพูดที่ดูจะออกไปทางดูถูกของเรียวทาโร่แทรกขึ้นมาอย่างเสียมารยาท ทำเอาคนเจ็บบนเตียงดูไม่สบอารมณ์เล็กน้อย ก่อนจะตรงกลับอย่างไม่เต็มใจเท่าไหร่

    “รีโวลเวอร์มันเป็นฉายา นามสกุลฉันทิ้งมันไปนานแล้ว ทีนี้จะเข้าเรื่องได้ยัง!!!”

    “หัวหน้าของแกเป็นใคร?” เรียวทาโร่กลับเข้าเรื่องอีกครั้ง แต่คนเจ็บบนเตียงกลับไม่มีปฎิกิริยาใดๆเลย

    “ทำไมถึงต้องตามหาผู้ใช้ศิลาเทวะเหมือนกับเรา?” ครั้งที่สอง ที่อีกฝ่ายยังคงเงียบ จนเรียวทาโร่แทบจะเก็บหมัดไม่อยู่

    “ใครทำให้คุณบาดเจ็บถึงขนาดนี้ค่ะ?” เห็นดังนั้นอากาเนะจึงเริ่มตั้งคำถามที่ยังคาใจตนที่สุดออกมาดู

    สิ้นคำถามดูเหมือนฝ่ายมือปืนจะรู้สึกช็อกกับเหตุการณ์ที่ผ่านมาก สายตาเบิกโพรงจนดูเหมือนคนเสียสติ

    “..ไอ้เด็กนั้น ไอ้เด็กเปรต. ไอ้เด็กนรก..!!!” คำพูดทั้งหลายทั้งปวงดูเหมือนว่าชายผู้นี้กำลังเสียสติมากขึ้นเรื่อยๆ

    ตูม!!!!

    เสียงกระแทกอย่างรุนแรงเหนือหัวเตียง กำปั้นขนาดย่อมที่ทุบหัวเตียวจนยุบไม่ใช่ฝีมือใครเลย นอกเสียจาก เรียวทาโร่ที่ดูเหมือนจะบันดาลโทสะขึ้นมาเต็มที่แล้ว

    “ทางนี้ ไม่ว่างมาฟังแกครวญครางเป็นหมูถูกเชือดหรอกน่ะ เลือกเอาจะคายทุกสิ่งที่แกรู้ออกมา หรือ จะนอนหยอดน้ำข้าวต้มที่โรพยาบาลนี้ทั้งชาติ หา!!!!” คำระเบิดอารมณ์ของชายหนุ่มผู้กำลังเดือดดาล ทำให้สติของอดัมสการ์กลับมาอีกครั้งด้วยความไม่อยากจะเสี่ยงบาดเจ็บให้มากกว่านี้ จึงใช้พลังโทรจิตฉายสิ่งเขาเห็นเมื่อตอนนั้นให้ทั้งสามคนดู

    “ลองดูผ่านจิตใจของฉันดู แล้วแกจะรู้เอง”

    ก่อนที่ศิลาเทวะKing of mindจะเริ่มทำงาน มาเรียหันมาถามอากาเนะเกี่ยวกับอาการที่ร่างกายต่อต้านศิลาด้วยความเป็นห่วง

    “อากาเนะจัง..เธอจะทนรับพลังศิลาตรงๆแบบนี้ไหวเหรอ ออกไปรอข้างนอกก่อนก็ได้น่ะ”

    สาวน้อยในชุดขาว ส่ายหน้าเบาๆ ก่อนตอบกลับอย่างแน่วแน่ “เราอยากรู้เรื่องทั้งหมดด้วยสายตาของตัวเองคะ”

    สิ้นคำพูดของอากาเนะ ทั้งหมดก็เข้าสู่ห้วงพลังโทรจิตของศิลาKing of mind

    ย้อนไปเมื่อประมาณ เกือบหนึ่งชั่วโมงก่อน

    เหมือนกับหนังเรื่องหนึ่งที่เราดูผ่านสายตาตัวละคร ซึ่งตอนนี้ทั้งสามดูเหมือนจะรับบทมือปืนอดัมสการ์คนนี้อยู่

    “แม้ว่าทางเบื้องบนจะสั่งให้จับเป็นไปก็เหอะโทษที่ทำให้ฉันคนนี้โมโหคือ ตาย”เสียงมือปันพูดขึ้นก่อนที่จะเหนี่ยวไกปืนใส่เด็กหนุ่มผมดำที่หน้ากองอยู่ที่พื้นหิมะทันที

    ...ปัง!!!

    สิ้นเสียงลูกปืนได้พุ่งเข้าออกจากปืนเรียบร้อย แต่บัดนี้เบื้องหน้าของปากปืนกลับมาเพียงหิมะเท่านั้น

    “ เฮ้ย!!!หายไปไหนวะเนี้ย?!!! ”อดัมสบถด้วยความตกใจอย่างสุดขีดเมื่อเป้าหมายตรงหน้ากลับหายไป ทั้งๆที่เขาจ้องมองแทบไม่กระพริบ

    จู่ๆ ความรู้สึกคลื่นไส้สะอิดสะเอียนสุดจะบรรยาย ก็พุ่งเข้าใส่ตัวมือปืน แม้กระทั่ง ทั้งสามคนที่กำลังมองผ่านโทรจิต ยังรู้สึกได้ ถึงความสยดสยองนี้

    ถัดจากคลื่นไส้ก็กลายเป็นความกดดันจากจิตสังหารที่รุนแรงสุดจะหยั่งถึง ทำเอาการหายใจติดขัด แทบจะสิ้นสติไปทีเดียว

    อดัมเริ่มตัวสั่นเหมือนกับจะรู้ชะตากรรมของตนเองค่อยๆเบือนหน้าไปสู่ต้นตอของจิตที่เพ่งเล็งเข้าใส่ตัวเขา

    ชายหนุ่มคนเดิมที่น่าจะถูกยิงเมื้อกี้ ยืนอยู่ต่อหน้าสายตาของเขา อาจจะเป็นเรื่องล้อเล่น แต่ขาขวาที่เลือกโชกเพราะแผลถูกยิงกับยังค้ำจูงร่างกายของเขาได้โดยไม่สั่นเลยซักนิด ที่น่าตกใจกว่าก็คือหัวกระสุนที่ฝังอยู่ในแผลนั้น ค่อยๆหลุดออกมา พร้อมกับแผลสมานไปภายในอึดใจเดียว

    “แก!!!” มือปืนหมุนตัว ควงปืนกลับมาพร้อมเล็งเป้าหมายอีกครั้ง ก่อนที่จะรัวกระสุนขนาดเก้ามิลลิเมตรใส่จนหมดลูกโม่ทั้งสองข้าง

    แต่ภาพที่อยู่ตรงหน้าช่างเหลือเชื่อยิ่งนัก ภาพที่ใครมองเห็นคงคิดว่าเป็นหนังเรื่องเดอะเมทริกซ์ ภาคใหม่อย่างแน่แท้ ดุจดั่ง นีโอมาเกิดใหม่อยู่ตรงหน้าเขา เมื่อเด็กหนุ่มค่อยๆหลบเลี่ยงไปพร้อมกับคว้ากระสุนปืนไว้ในปืนทั้งหมดในพริบตา จนมาหยุดอยู่ตรงหน้าของอดัมอีกครั้ง

    เร็วกว่าที่อดัมจะได้คิด มือที่ถือรีโวลเวอร์สีเงินทั้งสอง ถูกเด็กหนุ่มเตะจนแหลกทั้งมือทั้งปืนทั้งสองอย่างรวดเร็ว

    ยังไม่ทันจะได้ร้องออกมาด้วยซ้ำไป เท้าขวาของอสูรกายในคราบมนุษย์ ก็ฟาดเข้าที่เข่าทั้งสองจนหักคาที่ ล้มลงไปกองบนพื้นหิมะที่บัดนี้ โลหิตสีแดงข้นของเขาย้อมจนสิ้นแล้ว

    เป็นความรู้สึกที่ไม่อาจจะจินตนาการได้ จากเมื่อไม่ถึงนาทีที่ผ่านมา อดัมสการ์คนนี้ยังเป็นหมาป่าที่กำลังจะได้ลิ้มรสเนื้อแกะเบื้องหน้าแท้ได้แท้ๆ แต่บัดนี้ลูกแกะกลับลอกคราบออกมาเป็นสิงโตมาล่าตนเองเสียนี้ ความเกรงกลัวความตายเริ่มคืบคลานเข้าสู่จิตใจอย่างรวดเร็ว

    เด็กหนุ่ม เร็กซ์ ซึ่งบัดนี้กำลังยืนตระง่านอยู่เบื้องหน้าของมือปืน ใบหน้าที่ดูเหมือนจะไร้สติ ค่อยๆเผยรอยยิ้มที่ดูเหมือนออกโรคจิตเล็กน้อย แต่จุดที่สะดุดตาคือ สายตาสีแดงเพลิงทั้งสอง ดูเหมือนกับดวงตามัจจุราชก็มิปาน
    กำลังเพ่งมองร่างที่โชกไปด้วยเลือดอย่างเหยียดหยาม

    แม้จะรู้ว่าไร้ประโยชน์ แต่มือปืนยังคงดิ้นรนจะเอาชีวิตรอด มือที่แหลกเหลวติดกับซากปืน พยายามตะกุยหิมะเพื่อเคลื่อนย้ายร่างอันหนักอึ้งให้ออกห่างจะเงื้อมมือยมทูต แต่แล้วการดิ้นรนนี้ก็จบลง เมื่อ เร็กซ์ กระทืบเท้าใส่แขนทั้งคู่จนหักสองท่อน ถึงกับทำให้เจ้าของแขนคู่นี้ เจ็บปวดทรมานจนแทบไม่มีแรงส่งเสียงร้องได้แล้ว

    เมื่อมิอาจดิ้นรนได้ต่อไป คำพูดสุดท้ายจึงกล่าวออกมาจากปากของอดัมโดยไม่รู้ตัว
    “ แก..ปะ..เป็.น ใค..ร. กะ..กัน..แน่..” เสียงที่แทบจะขาดใจ ดังออกมาได้เบาเต็มที

    ตูม!!!

    รองเท้าผ้าใบกีฬาสีดำเบอร์ 42 ประทับตราอยู่ที่ปากของอดัมอย่างเต็มคำ เล่นเอากรามแตกไปเลย

    แต่นรกบนดินยังมิอาจจบสิ้นไปได้ ร่างอันแสนจะยับเยิน ถูกจับแหว่งฟาดพื้นเสียทุกจุด ราวกับเด็กทารกเหวี่ยงของเล่นในมือ แต่ความรุนแรงช่างเหนือคณานับยิ่งนัก

    เมื่อเล่นจนสาแก่ใจแล้ว เด็กหนุ่มค่อยย่างก้าวไปคร่อมบนตัวชายผู้ใกล้จะเหมือนศพเดินได้ไปทุกที ก่อนที่จะก้มลง คว้าคอเสื้อ ดึงขึ้นมาใกล้ๆหน้าของเขาเอง

    “อยากรู้ว่าฉันเป็นใครก็ ลองถามเรย์ซึดูเองสิ” ประโยคสุดท้ายนี้ เป็นสิ่งสุดท้ายที่อดัมยังมีสติจำได้อยู่ก่อนที่เร็กซ์จะจดหมัดขวาไว้ที่เอว แล้วก็ต่อยตรงกลางอกมือปืนอย่างจัง

    จากนั้นภาพทั้งหมดก็มืดสนิทไป...

    กลับมาปัจจุปัน

    เมื่อได้เห็นภาพที่น่าสยองสุดขั้วไปจนจบแล้ว ดูเหมือนภาพเหล่านั้นจะติดตามาเรียจนเจ้าตัวต้องวิ่งออกไปข้างนอกเพื่อทำใจเสียก่อน

    “แทบจะไม่อยากเชื่อเลยน่ะค่ะ ที่ชายคนนั้นจะทำได้ขนาดนี้” อากาเนะถึงกับหน้าซีดไปทันที

    “เดี๋ยวก่อน..” เรียวทาโร่ดูเหมือนจะนึกอะไรออกซักอย่างหนึ่ง

    “อากาเนะ... เรย์ซึ นี้มันมีตาสีแดงกับดำอย่างละข้างใช่มั้ย?”

    “ในภาพที่เราเห็น มันมีตาสีแดงทั้งสองข้างเลยไม่ใช่เหรอ!!!” ชายหนุ่มพูดอย่างตกใจกับเกี่ยวกับสิ่งที่เพิ่งได้เห็นไปไม่นาน

    “ไว้ค่อยว่ากันทีหลังคะ เราจะต้องใช้ice angle(ธิดาน้ำแข็ง) เดี๋ยวนี้เลย” ว่าแล้วอากาเนะก็รุดออกจากห้องไป

    แต่ก่อนที่เรียวทาโร่จะตามไป โทรจิตก็พุ่งเข้าสู่สมองอีกครั้ง

    “ฉันบอกสิ่งที่แกอยากรู้แล้ว คราวนี้ก็ฆ่าฉันซะสิ ฉันยอมอยู่อย่างหมาขี้แพ้ไม่ได้!!” ทิฐิที่เหนือชีวิตของอดัมช่างแรงกล้า แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาก็คือ

    “คิดว่าทางเราจะปล่อยแกไปง่ายๆเหรอ ไม่มีทาง ขอบอกไว้ก่อนว่าฉันจะกลับมารีดความลับจากตัวแกจนแห้งแน่นอน ล้างคอรอไว้ได้เลย” สายตาอันดูโหดเหี้ยมจ้องเข้าใส่พร้อมกับ ประโยคนี้ ทำเอามือปืนที่ไม่อาจเคลื่อนไหวได้แทบคลั่งคาเตียงไปเลยทีเดียว

    “ฆ่าข้าเซ่!!! ถ้าปล่อยไว้อย่างงี้ ศิลามันจะ..!!!! ฆ่าข้าซะ!!!!” แม้โทรจิตจะส่งเสียงแผดดังอย่างไร ก็ไม่อาจทำให้ราชาแห่งการวิวาทคนนี้ เอนเอียงไปตามเสียงได้เลย

    เมื่อเดินกลับมาถึงห้องโถง เรียวทาโร่รู้สึกถึงพลังจากผู้ใช้ศิลาเทวะมาจากในโรงพยาบาล จึงลองออกตามคลื่นพลังไป เมื่อเดินรอบๆ โรงพยาบาลซักพัก ก็หยุดอยู่ตรง บริเวณสวมหย่อมที่อยู่บริเวณด้านหลังตึก ซึ่งยามนี้ไร้ผู้คนเข้าไปพักผ่อนเลยซักคน เหลือเพียงแต่ อากาเนะที่ในตอนนี้มีแสงสีฟ้ารอบๆตัว เป็นการเริ่มใช้พลังของศิลาเทวะของเธอ

    “เดี๋ยวก่อน!!! ร่างกายเธอเริ่มรับคลื่นศิลาเทวะไม่ไหวแล้วน่ะ ถ้ายังฝืนใช้พลังละก็..” เรียวทาโร่ พยายามจะห้ามไม่ให้สาวน้อยที่ตอนนี้เริ่มมีอาการผิดแปลกต่อร่างกายแล้ว รูม่านตาเริ่มไม่คงที่ สีตาเปลี่ยนไปมาอย่างไม่สิ้นสุด แขนขาเริ่มจะสั่นเหมือนเป็นลมชัก ก่อนที่อาการทั้งหมดจะหายไป พร้อมกับแสงสว่างจ้าจากหินสีขาวที่ห้อยคอเธออยู่

    เมื่อแสงเริ่มจางลง ภาพที่ปรากฏตรงหน้าของชายหนุ่มก็คือ นางฟ้าในร่างโปร่งแสงสีฟ้าที่มีรูปร่างเป็นผู้หญิง ผมยาวไสว ยาวแทบจะถูกช่วงเท้า อยู่ในชุดที่ดูเหมือนจะเป็นผ้ามัดรอบตัว มีปีกนกขนาดใหญ่อยู่ข้างหลัง รอบๆมีละอองน้ำแข็ง ส่องประกายระยิบระยับเต็มไปหมด และบัดนี้ร่างกล่าวมา ก็ลอยอยู่เบื้องหลังของอากาเนะที่ร่างกลับร่างอยู่เหนือพื้นในสภาพไร้สตินั้นเอง

    “ดูเหมือนว่าผู้ครอบครองศิลาของเรา ต้องการรู้เรื่องราวในอนาคตอีกแล้วสิน่ะ” เสียงหวานของนางฟ้าเริ่มพูดผ่านร่างกายของอากาเนะออกมา “ข้าจะลองดูให้ละกัน”

    อากาเนะแม้ภายนอกจะดูไม่มีสติ แต่ความจริงประสาททั้งหมดของเธอกำลังเชื่อมต่อกับนางฟ้าจากศิละของเธอ ภาพนิมิตมากมาย เริ่มไหลเข้าสู่หัวเธอโดยตรงอย่างรวดเร็วมาก ภาพของเด็กหนุ่มผมดำถือมีด ยืนท่ามกลางกองเลือดในซอยมืด ภาพบ้านหลังหนึ่งที่มีโรงฝึกขนาดใหญ่ข้างๆ ภาพชายผมแดงเพลิงยาวยืนท่ามกลางดงน้ำแข็ง ภาพโรงเรียนของเธอเอง ภาพชายร่างยักษ์ที่นั่งอยู่ท่ามกลางความมืด ภาพตึกสูงที่มีป้ายขนาดใหญ่เขียนว่าZ...บนนั้นมีเด็กชายยืนอยู่บนยอดตึก และภาพของเด็กหนุ่มที่นามว่า เรย์ซึ ที่ดวงตาสีดำอีกข้างค่อยๆเป็นเป็นสีแดง .....

    ไม่ทันที่ภาพต่อไม่จะมา ร่างของเธอก็ตกลงสู่พื้น ดูเหมือนว่าร่างกายจะถึงขีดจำกัด ก่อนที่ร่างของนางฟ้าจะหายไป ในอากาศ จนเรียวทาโร่ และ มาเรียที่เพิ่งตามมาถึงต้องรีบเข้าไปประคองตัวอากาเนะเอาไว้

    “ทำไมไม่ห้าม เธอเอาไว้ละ เรียวทาโร่คุง!!” คำตำหนิอย่างไม่พอใจของมาเรีย ทำให้เรียวไม่อาจแก้ตัวได้เลย

    “ไม่ต้อง..คิดมากหรอกคะ.. เรา...ตั้งใจจะใช้มันเอง อย่าไปว่าเรียวทาโร่ซัง..เลยน่ะค่ะ..” คำตอบจากน้ำเสียงค่อยๆที่พูดออกมาอย่างอ่อนแรงของสาวน้อยกลับยิ่งทำให้ชายหนุ่มปวดใจยิ่งนัก

    “จากนิมิต...เมื่อกี้ เราเห็นได้ไม่ชัด.. แต่...พอรู้..ได้ว่า เรย์ซึอยู่ที่...” สาวน้อยในอ้อมแขนของมาเรีย พยายามรวบรวมเรี่ยวแรง เพื่อบอกสิ่งที่ตนได้รู้ออกมา

    “ที่ไหนเหรอ?”

    ไม่ทันจะได้พูดจุดสำคัญของประโยค อากาเนะก็สลบลงไปทันที

    “อากาเนะ!!! หมอ!!! หมออยู่ไหน รีบมาช่วยกันเร็ว!!” เรียวทาโร่รีบเรียกหาหมอมาดูอาการของอากาเนะอย่างรีบร้อน ก่อนที่จะช่วยๆกันพาตัวเธอเข้าห้องรักษาทันที

    เมื่อเหลือเพียงสองคน มาเรียจึงถามว่า “เอาอย่างไงต่อดีละ เรียวทาโร่คุง”

    ชายหนุ่มถอนหายใจหนึ่งครั้งก่อนจะเดินไปนั่งม้านั่งข้างๆ “คงทำอะไรไม่ได้.. เราต้องรอให้อากาเนะฟื้นก่อน”

    ในระหว่างที่ทั้งสองได้แต่รอคอยกันอยู่นั้นเอง ก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นมาจากทางเข้าห้องโถงของโรงพยาบาล เมื่อหันมองออกไปดู ก็ปรากฏร่างของชายหนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่น- อเมริกา อายุรุ่นราว ประมาณสิบเก้า ผมสีทองออกหยักนิดๆ ยาวเกือบปิดใบหู ด้านหน้ามีปอยผมยาวออกทั้งสองด้าน เปิดหน้าผาก สวมต่างหูรูปไม้กางเขนข้าขวา ดวงตาทั้งสองปิดสนิท ซึ่งมาในชุดเกือบสีดำทั้งตัวที่ดูแปลกตาคือ สวมเสื้อแขนกุดสีน้ำเงินเข้ม คอเสื้อใหญ่จนแทบปิดคอได้จนมิด มีเกราะไหล่กลมมนข้างซ้ายที่ประดับตรารูปคล้ายหมาป่า พร้อมแขนเสื้อสีดำยาวปิดแขน ช่วงล่างมีผ้าคลุมยาวปิดซีกซ้ายจนเต็มขา กางเกงขายาวพร้อมรองเท้าหนัง สวมถุงมือยาวทั้งสองข้าง และที่สำคัญที่สุดคือ รอยยิ้มเล็กน้อยที่ไม่ยอมลงของเขา

    “ครูซิไฟร์!!! แกไปอยู่ที่ไหนมาวะ” เรียวทาโร่พูดใส่สหายเบื้องหน้าที่มาสายอย่างไม่ค่อยพอใจ

    “โทษทีวะ ไว้ค่อยมาว่ากันที่หลังละกัน ตอนนี้มีเรื่องร้ายมาบอก” เสียงที่ฟังดูรีบร้อนผ่านทางยิ้มน้อยๆในสีหน้าอันจริงจังของชายหนุ่ม นามว่า” ครูซิไฟร์ ฮายาชิ “ ที่ดูเหมือนจะเจอเรื่องสำคัญมา

    “อัลเทม่า ที่ช่วยเราตามหาผู้ใช้ศิลาที่อเมริกาขาดการติดต่อไปวันหนึ่งเต็มๆแล้ว”

    “คุณอัล เหรอค่ะ!!” มาเรียฟังแล้วเกิดความวิตกอย่างยิ่ง

    “ถ้าฉันจำไม่ผิด อากาเนะเคยวานหมอนั้นให้ไปหาผู้ใช้ศิลาที่อังกฤษต่อไม่ใช่เหรอ แถมให้ข้อมูลบางส่วนไปด้วย” เรียวทาโร่ กล่าวเบาะแสบางอย่างที่ตัวเองพอจะรู้ออกไป “แต่ถ้าจะไปก็ติดต่อเราก่อนก็ได้นี้นา”

    “หรือว่า....เขาถูกจำตัวไป” มาเรียกล่าวด้วยความไม่แน่ใจ

    “ไม่คิดว่าใช่หรอกน่ะ แต่อาจจะเป็นอย่างนั้น” หนุ่มผมทอง ตอบอย่างสังหอนใจ

    “แล้วอากาเนะละ?” ครูซิไฟร์ ถามถึงสาวน้อยที่ดูเหมือนจะเป็นผู้นำของกลุ่ม

    “เพิ่งสลบเพราะใช้พลังศิลาเทวะไปนะ ตอนนี้หมอกำลังดูแลอยู่”เรียวทาโร่เป็นฝ่ายตอบ

    หลังจากยืนคิดซักพัก ครูซิไฟร์ก็ตัดสินใจได้ว่า “ฝากบอกอากาเนะด้วยน่ะ ฉันจะรีบไปอังกฤษก่อน ถ้ายังไงจะโทรมาบอกข้อมูลอีกที”

    “เดี๋ยวก่อนคะ!! มันไม่มีอะไรรับรองว่า อัลเทม่าซัง จะอยู่ที่อังกฤษนี้ค่ะ” มาเรียออกกล่าวทักท้วง

    “ยังไงก็ต้องไปดู เพราะถ้าหมอนั้นโดนจับจริง ยังไงศัตรูก็ต้องตามหาผู้ใช้ศิลาจากข้อมูลที่ติดตัวของมันจากที่โน่นก่อนแน่นอน”

    “งั้นฉันไปด้วย!!” ชายผมดำเสยพูดขึ้นภายใต้ใบหน้าอันแน่วแน่ “ถึงเราจะไม่ทราบจำนวนฝ่ายโน่น แต่แกคงไม่คิดจะลุยคนเดียวใช่มั้ย?”

    แต่ครูซิไฟร์กลับส่ายหน้าปฎิเสธ “เรียว นายอยู่ที่นี้จะดีกว่า ยิ่งตอนนี้อากาเนะจัง อาการไม่ค่อยดี นายอยู่ช่วยมาเรีย อีกแรงจะเหมาะที่สุด เพราะเราไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะจ้องทำร้ายเธอหรือเปล่า?”

    แม้ใจจริงจะอยากพาคู่หูตรงหน้าไปด้วย แต่ตอนนี้ความปลอดภัยของพรรคพวกของตัวเองสำคัญกว่า ความปลอดภัยของตนเสียแล้ว เมื่อครูซิไฟร์พูดจบ ก็โบกมือลาหนึ่งครั้งก่อนจะหันหลังวิ่งออกจากโรงพยาบาลไป เหลือเพียงสองชายหญิงที่ยังคงเฝ้ารออาการของสาวน้อยอากาเนะให้ดีขึ้นมา ต่อไป
    ..........
    ........
    ....
    ..
    ตัดมาอีกด้านหนึ่ง ในอีกหลายชั่วโมงต่อมา

    จากท้องฟ้าที่ยังคงมีแสงอาทิตย์ส่องผ่านกลุ่มเมฆ ก็เริ่มกลายเป็นสีส้ม พระอาทิตย์ซึ่งกำลังตกดิน เริ่มฉายแสงน้อยลงทุกที ผู้คนก็เริ่มที่จะเดินทางกลับเข้าบ้านของตน แต่บัดนี้ยังคงมีเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ยังพยายามหาที่ซุกหัวนอนของตนมาตั้งแต่เช้าแล้ว และยังไม่มีวี่แววว่าจะเจอ

    เด็กหนุ่มผู้นั้นจะเป็นใครไปเสีย นอกจาก เร็กซ์ ที่กำลังเดินตามหาบ้านที่ตนต้องไปอาศัยอยู่อย่างเหนื่อยล้าไปตามถนนที่เต็มไปด้วยหิมะ ในมือมีแผนที่เขียนเองหยาบๆ กับหนังสือ “สนทนาภาษาญี่ปุ่นเบื้องต้น ฉบับอังกฤษ”

    “ให้ตายดิ เมื่อไหร่จะเจอวะเนี้ย? เดินมาตั้งแต่เช้าแล้วยังไม่พบวี่แววซักนิด”

    เร็กซ์บ่นกับตนเองอย่างเศร้าใจ พลางอ่านหนังสือบนมือไปพลาง แม้ว่าที่ผ่านมา จะพยายามถามทาง แต่ด้วยภาษาญี่ปุ่นอันไม่ค่อยสมบูรณ์นั้น ทำให้ชาวญี่ปุ่นหลายๆคนไม่อาจพาไปได้ บวกกับที่ตัวเองเพิ่งเจอเหตุการณ์จัลักพาตัวบนรถโดยสาร ทำให้เด็กหนุ่มผู้นี้ จำต้องพึ่งตัวเองอย่างเลี่ยงไม่ได้

    กาลเวลาผ่านไป จากท้องฟ้าสีส้ม ตอนนี้มืดสนิทเหลือเพียงแสงไฟข้างทางเท่านั้น แต่เด็กหนุ่มตาสองสียังคงหาบ้านพักไม่เจออยู่ดี

    “เฮ้อ!! ทำไมชีวิตตูข้าถึงได้ซวยเยี่ยงนี้”ตั้งแต่เข้าโรงเรียนวันแรก มีเรื่องกับลูกนักธุรกิจใหญ่ โดนเฉดหัวออกจากบ้าน โดนคนขับแท็กซี่ไล่ฆ่า คราวนี้หลงทางอีก และแล้วความอดทนก็ถึงขีดสุด เด็กหนุ่มจึงทำได้แค่นั่งอยู่ริมทางข้างเสาไฟ อย่างหมดแรงกายและแรงใจ ท่ามกลางท้องฟ้าที่ตอนนี้เริ่มโปรยหิมะลงมาอีกครั้ง

    ช่วงที่นั่งอยู่นั่น เรื่องที่เพิ่งประสบมาเริ่มกลับเข้าสู่สมองอีกครั้ง เริ่มการเจอคนเอาปืนจี้ โดนไล่ล่า แล้วสุดท้ายที่นึกออกคือ โดนยิงที่ขา

    เมื่อนึกถึงโดนยิง เร็กซ์ ก็ชะโงกดูขาขวาของตน ซึ่งมีรอยกระสุนหนึ่งนัดรอบๆขากางเกงเลือดเปื้อน แต่ขาของเขากลับไม่มีแม้ตีรอยขีดข่วน พลันทำให้คิดขึ้นว่า

    “ถ้าเรื่องที่ผ่านมาไม่ใช่ความฝัน แล้วเรารอดมาได้ยังไงละ..” นี้ยังคงเป็นข้อสงสัยของตัวเร็กซ์เองจนบัดนี้ ความทรงจำหลังจากโดนยิงที่ขาไปกลับไม่มีอยู่เลย แถมพอรู้สึกตัวอีกที ก็นอนกองหิมะข้างทางที่ไหนก็ไม่รู้เสียแล้ว

    “นี้ เธอมานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้เหรอ?”

    ขณะที่ยังคงครุ่นคิดอยู่ในโลกของตัวเองนั้น ก็มีเสียงหวานดังขึ้นจากเบื้องหน้าเขา ทำให้เร็กซ์ต้องหันตามเสียงขึ้นไป

    เบื้องหน้าของเด็กหนุ่ม เป็นเด็กสาวอายุรุ่นราวเดียวกับเร็กซ์ ผมสีฟ้าอมม่วงยาวถึงหลัง ด้านหน้าปรกหน้าผาก ด้านข้างมีปอยผมยาวออกมา มีข้างหนึ่งมัดโบว์สีขาว ดวงตากลมโตสีม่วงส่องประกายสดใสดุจอัญมณี ใบหน้ารูปไข่สมส่วนแลดูน่ารัก ผิวขาวละมุ่นราวหิมะ อยู่ในชุดแขนยาวสีแดงที่ทำจากไหมพรม พร้อมกับผ้าคลุมไหล่ยาวขาว กระโปรงยาวสีครีมตัดกับถุงเท้าสีดำ ในมือถือรุ่มข้าง กับถุงพลาสติกที่ใส่กับข้าวบางอย่าง

    “อะ..เออ..กำลังหลง..ทางนะครับ” เด็กหนุ่มที่กำลังอึ้งกับหญิงสาวตรงหน้าที่ดูเหมือนนางฟ้ามาโปรดก็มิปาน ด้วยภาษาญี่ปุ่นที่ไม่ค่อยสมบูรณ์ของเขา ก่อนที่จะมีเสียงอีกเสียงตามมา

    โครก~~

    เสียงท้องร้องของเร็กซ์ดังสนั่นดุจฟ้าผ่า เพราะตั้งแต่ลงจากเครื่องมาตอนเช้าเขาเองยังไม่มีอะไรตกถึงท้องซักอย่างเดียว ทำให้เด็กสาวได้ยินดังนั้นก็ยิ้มปนขำให้เล็กน้อย แต่ความน่ารักของเธอตอนยิ้มให้ ช่างรุนแรงจนเร็กซ์แทบลมจับไปเลย

    “ถ้าไม่บอกว่าหลงทางนี้ นึกว่าถูกทิ้งซะแล้วน่ะค่ะ” เด็กสาวพูดแหย่เร็กซ์เล่น เพราะจากสารรูปอันสุดจะเยินของเร็กซ์ มันดูไม่ต่างจากสุนัขที่ถูกทิ้งข้างถนนเลย ทำให้เด็กหนุ่มผู้ถูกแหย่อดที่จะสมเพชตัวเองนิดๆไม่ได้

    “มีที่อยู่ที่จะไปมั้ยค่ะ ฉันจะลองดูให้” เด็กสาวถามด้วยเสียงที่อ่อนโยน

    “มี..ครับ” ความประหม่า ทำเอาเร็กซ์คิดคำพูดแทบไม่ถูก ก่อนที่จะยื่นแผนที่หยาบๆในมือให้แก่เด็กสาวไป

    เด็กสาวยืนพินิจพิจารณาแผนที่อยู่ซักพัก ก่อนที่จะรู้ทางไปของแผนที่

    “อ๋อ!! บ้านของซาวาดะซังนั้นเอง.. งั้นตามมาสิ ฉันจะนำทางไปให้น่ะ” เด็กสาวพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแก่เร็กซ์ก่อนที่จะเดินนำทางไป

    ระหว่างทางนั้น เด็กสาวได้ถามเด็กหนุ่มว่า “เออ..ขอถามอะไรหน่อยสิ มีธุระอะไรกับซาวาดะซังเหรอ?”

    “เออ..ฉันเพิ่งย้ายมาจากอเมริกานะ..ลุงของฉันเขาให้มาพักกับเออ..มิสเตอร์ซาวาดะ(Mr. Sawada)” เด็กหนุ่มเริ่มที่จะชินกับภาษาญี่ปุ่นเล็กน้อยแม้จะติดภาษาอังกฤษไปนิดหน่อย

    “มิสเตอร์เหรอ?” เด็กสาวย้ำคำขึ้นมาอย่างสงสัย “ ใช้สรรพนามผิดแล้วน่ะค่ะ เขาต้องใช้มิสซิส (Mrs.)ไม่ใช่เหรอค่ะ”

    “เอ๋...?” เร็กซ์ตกใจเล็กน้อย ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าเพื่อนของลุงนานาชิ เป็นผู้หญิงงั้นสิ

    “ถึงแล้วค่ะ” เสียงของสาวน้อยดังขึ้น หลังจากหยุดอยู่หน้าบ้านสองชั้นหลังหนึ่ง แม้บ้านจะดูเล็ก แต่เร็กซ์ได้เห็นอาคารไม้หลังใหญ่ที่อยู่ด้านข้าง ด้านบนมีป้ายใหญ่ที่เขียนว่า สำนักไรจิน ทำเอาเด็กหนุ่มคิดได้เลยว่า “ไม่สงสัยเลย ว่าเป็นเพื่อนใคร...บ้าการต่อสู้เหมือนกันชัวส์”

    เมื่อเข้าไปในบ้าน เด็กสาวก็พูดขึ้น “ซาวาดะซัง~~ หนูพาคนมาหาค่า~~”

    สิ้นเสียงหวานๆของเด็กสาว เร็กซ์ก็เริ่มคิดว่า ซาวาดะซังที่ว่า หน้าตาจะเป็นอย่างไง ยิ่งถ้าเป็นผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้เหมือนลุงของเขาละก็...อาจจะเป็นผู้หญิงที่ร่างกายใหญ่โตเหมือนกอริล่า ไม่ก็เป็นป้าที่ดูเข็มแข็งก็ได้ละมั่ง?

    สิ้นเสียงหวานๆของเด็กสาว เร็กซ์ก็เริ่มคิดว่า ซาวาดะซังที่ว่า หน้าตาจะเป็นอย่างไง ยิ่งถ้าเป็นผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้เหมือนลุงของเขาละก็...อาจจะเป็นผู้หญิงที่ร่างกายใหญ่โตเหมือนกอริล่า ไม่ก็เป็นป้าที่ดูเข็มแข็งก็ได้ละมั่ง?

    แต่ความคิดฟุ้งซ้านของเด็กหนุ่มก็จบลง เมื่อซาวาดะซังที่เขาคิด กลับเดินมารูปร่างเล็กกว่าเขาและเด็กสาวที่ยืนอยู่เคียงข้าง ในใบหน้ารูปไข่อันดูอ่อนเยาว์เหมือนเด็กสาวมัธยมต้น ผมสีดำมัดหางม้า ด้านหน้าป้ายไปทางขวา ดวงตาสีเดียวกับสีผม มาในชุดฝึกคาราเต้พร้อมสายดำ ทำเอาเร็กซ์ถึงกับอึ้งไปชั่วครู่ใหญ่ทีเดียว

    “อืม..เธอคือ เรย์ซึ แกรนเดอร์ที่อีตานานาชิ ส่งมาสิน่ะ” เสียงอันดูเยาว์วัยเช่นเดียวกับใบหน้าที่ยิ้มต้อนรับเขา ทำเอาเร็กซ์วางตัวไม่ถูก

    “อะ..ใช่ครับ..เออ..ภาษาญี่ปุ่นนี้ ต้องเรียกว่าซาวาดะซังสิน่ะครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับ เรียกผมเร็กซ์ก็ได้” เร็กซ์พูดพลางยื่นมือ หมายจะจับมือทักทายตามธรรมเนียมของอเมริกา “ซาวาดะ ฮารุ” เจ้าของโรงฝึกการต่อสู้สำนักไรจิน พลางคิดว่า “นี้ใช่เพื่อนรุ่นเดียวกับลุงเราจริงเหรอเนี้ย?”

    “เรียก ฮารุ ก็ได้ “ ฮารุ ยื่นมือจับตอบอย่างนุ่มนวล แต่ภายในพริบตานั้น แรงบีบอันมหาศาลทิ่มแทงเข้าสู่มือข้างที่จับอย่างรุนแรงจนเจ้าตัวชะงักไป

    ยังไม่ทันที่จะตั้งตัว จากที่ยืนอยู่ตรงประตูบ้าน เร็กซ์ก็โดนเหวี่ยงไปทิศตรงข้ามอย่างรวดเร็ว ฮารุบิดข้อมือเร็กซ์ ไม่ถึงครึ่งรอบ ทำเอาเด็กหนุ่มหมุนควงกลางอากาศ ก่อนที่จะนอนกองอยู่แทบเท้าของป้าฮารุ

    “เธอไม่ควรดูคนอื่นจากภายนอกน่ะ เร็กซ์คุง...ถ้าเขาที่อยู่ตรงหน้าเป็นศัตรู เธอก็เสร็จนะสิ นานาชิ ไม่ได้สอนเรื่องนี้มาเหรอ?” ฮารุพูดสั่งสอนเร็กซ์นิดหน่อย ด้วยการกระทำอย่างถึงพริกถึงขิง ก่อนที่จะดึงตัวเร็กซ์กลับมายืนอีกครั้ง ทำเอาเร็กซ์ทึ้งกับพลังและเทคนิคที่ออกมาจากร่างเล็กๆของป้าฮารุ

    “แล้วนี้ทำไมถึงมาช้านักละ ไหนว่าเครื่องบินมาถึงเช้าไม่ใช่เหรอ?” ฮารุเกิดความสงสัยนิดหน่อย

    “อ๋อ! พอดี เร็กซ์คุงเขาหลงทางนะคะ หนูไปเจอระหว่างทางเห็นว่าจะมาหาซาวาดะซัง ก็เลยพามาส่ง” เด็กสาวผมสีม่วงตอบแทนอย่างร่าเริง ขณะที่เร็กซ์คิดในใจเรื่องที่ตนถูกคนขับแท็กซี่เอาปืนไล่ยิงเมื่อเช้า ก่อนที่จะบ่นเบาๆ

    “ไม่บอกความจริงจะดีกว่าแฮะ...”

    “เหรอ... งั้นขอบใจมากน่ะ หนูไอน่า” ป้าฮารุได้ยินดังนั้นก็พูดขอบคุณเด็กสาวที่มีนามว่า “ไอน่า”

    “อืม...ชื่อ ไอน่า งั้นเหรอเนี้ย ชื่อเพราะดีจังแฮะ ” เร็กซืคิดอยู่ในใจ ก่อนที่จะรู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อ..

    “ขอแนะนำตัวน่ะค่ะ ฉันชื่อ “ฮินาวาริ ไอนะ” เรียกฉันว่าไอน่าก็ได้น่ะ ยินดีที่ได้รู้จักคะ เร็กซ์คุง” สาวน้อยแนะนำตัวอย่างสุภาพ

    “เอาละ ในเมื่อรู้จักกันหมดแล้ว ก็ยินดีต้อนรับสู่บ้านของฉันน่ะ เร็กซ์คุง ทำตัวให้ชินกับบ้านหลังนี้ไวๆละ” ฮารุกล่าวต้อนรับสมาชิกใหม่อย่างเป็นทางการ

    เร็กซ์เริ่มคิดว่าชีวิตใหม่ที่ญี่ปุ่นนี้ ถ้าจะสนุกไม่เลวแฮะ ก็ที่จะยิ้มแล้วพูดขึ้นมา “ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ!!”
    .......
    ...
    .
    ท่ามกลางเสียงหัวเราะของบ้านซาวาดะนั้นเอง กลับมาที่โรงพยาบาลมิซึกายะเม็มโมเรียล อีกครั้ง

    ในห้องคนไข้ห้องหนึ่ง ที่แขวนป้ายห้ามเยี่ยมนั้น ภายในห้องที่มีเพียงแสงจันทร์ ยังคงมีชายคนหนึ่งนอนอยู่ในสภาพใส่เฝือกเกือบทั้งร่าง ดวงตาข้างขวาที่ปิดสนิท เพิกโผลงขึ้น เผยให้เห็นหินสีทองที่สะท้อนกับแสงจันทร์ ก่อนที่ร่างกายนั้นจะส่องแสงแล้วก็

    ตูม!!!!!!

    ระเบิดดังสนั่นจนกำแพงห้องแตกออกมา เหลือเพียงแต่ร่างของคนไข้ที่ยืนอยู่ท่ามกลางควันระเบิด เฝือกทั้งหมดแตกออก แต่คนไข้กลับยังยืนได้เหมือนไร้บาดแผล

    เพียงไม่กี่วินาที หลังสิ้นเสียงระเบิด ชายคนหนึ่งวิ่งมาถึงก่อนใคร ผมสีดำเสยขึ้นไปถึงหลัง ในชุด เสื้อยืดอักษรจีนตัวโปรดของเขา แน่นอน ชายผู้นั้นคนเรียวทาโร่นี้เอง

    “กรร~~~” เสียงขู่ดุจสัตว์ร้ายออกมาจากปากชายที่อยู่เบื้องหน้าเรียว

    เด็กหนุ่มได้ยินดังนั้นก็ไม่รีรอให้อีกฝ่ายได้ขยับตัว ถีบร่างของตัวเองเข้าใส่ชายที่อยู่เบื้องหน้าอย่างเร็วดุจสายฟ้าฟาด ก่อนที่จะกระโดหมุนตัวถีบกลางอากาศ หมายจะพิฆาตศัตรูให้จบในครั้งเดียว

    พลั่ก!!!

    เสียงฝ่าเท้าถูกเป้าหมายอย่างจัง แต่ภาพที่ปรากฏกลับเป็นว่าเท้าของเรียวถูกจับเอาไว้ด้วยมือข้างเดียวของศัตรู ทำเอาเรียวทาโร่ อึ้งไป ก่อนที่จะถูกเหวี่ยงไปมารอบห้องแล้วจบที่ถูกเหวี่ยงออกไปด้านนอกอย่างแรง จนทะลุผนังออกไปสามบล็อก

    ชายตาสีทองไม่รอให้กำลังเสริมได้ตามมา จึงรีบกระโจนออกจากหน้าต่างที่ผุด้วยแรงระเบิดออกไปอย่างรวดเร็ว

    มาเรียที่วิ่งมาตามเสียงระเบิด ได้รีบเข้าไปดูอาการของเรียวด้วยความเป็นห่วง

    “เรียวทาโร่คุง!! มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นค่ะเนี้ย!?” มาเรียถามเรียวทาโร่ที่นอนท่ามกลางซากผนังซีเมนต์ด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงปนสงสัย

    “อดัมสการ์ มันหนีไป..” ชายหนุ่มลุกขึ้นนั่งอย่างทุลักทุเลตอบด้วยน้ำเสียงอ่อยๆ

    “แต่ว่า..เขาบาดเจ็บหนักไม่ใช่เหรอค่ะ?” มาเรียยิ่งฟังยิ่งไม่เชื่อหูตนเอง

    “ดูจากรูปลักษณ์และแรงควายขนาดนี้...ไม่ผิดแน่” ความกังวลของเรียวทาโร่เริ่มผุดขึ้นมาอีกครั้ง

    “มันเข้าสู่สภาวะ มนุษย์ศิลาเทวะ!!!” เรียวทาโร่กล่าว ท่ามกลางแสงจันทร์ที่ส่องผ่านเข้ามาจากห้องที่เหลือเพียงแต่ซากอย่างเจ็บใจ
    ..............
    ...........
    ......
    ...
    ..
    TO BE CONTINUE

    ############################################

    ขอพระคุณตัวละครอันสุดยอดของ...

    มาเรีย อาสึกะ (rep 7) >>>> Gunfinal สาวน้อยผู้อ่อนหวานที่ตาเรียวทาโร่ชอบเหลือเกิน แต่เสียดายที่อาจจะแห้วเพราะปากพี่แกเอง (แต่อนาคตก็ยังอีกไกลน่ะพี่น้องเหอะๆ)

    ครูซิไฟร์ ฮายาชิ(rep 11) >>>> Yoshiki : Crucify Mode ชายหนุ่มที่เพิ่งเปิดตัวตอนแรกกับเครื่องแต่งกายสุดเท่ ซึ่งมาไวไปไวเสียเหลือเกินในตอนแรกนี้ สำหรับท่านนี้เตือนไว้ว่าเตรียมตัวโดนยำไว้ให้ดี เหอะๆ

    มิสึกายะ อากาเนะ(rep 17) >>>> shinigami : SEED Destiny คุณหนูผู้เป็นโรคแพ้ศิลาซินโดรม ที่เต็มไปด้วยพลังลึกลับแห่งเจได เอ้ย!! ศิลาเทวะ ตัวนี้เป็นตัวละครที่เป็นกำลังสำคัญเหลือเกินในกองกำลังฝ่ายตัวเอก

    อูริค เกลวูฟ(rep 22) >>>> -:-Sasame-:- ชายหนุ่มลึกลับผู้มีสีผมอันสะดุดสายตา กับการเป็นผู้หาญกล้ามาขวางพลังของสองชายในตอนแรก ตอนนี้กำลังจับไปแคสติ้งบทที่อังกฤษต่อ...

    และอีกสองชาย ที่ยังเกริ่นไว้ก่อนน่ะครับ ใครรู้แล้วอย่าเพิ่งพูดไปน่ะครับ

    ############################################
  3. maxlancer

    maxlancer ประธานรุ่น2ตุรกีเชียงใหม่

    EXP:
    1,183
    ถูกใจที่ได้รับ:
    1
    คะแนน Trophy:
    88
    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

    Chapter 3 : บาดแผลภายใต้แสงจันทร์ (A wound under the moonlight)

    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

    ในเมืองที่เต็มไปด้วยตึกและแสงสีจากตึกของสถานที่ๆไม่เคยหลับใหล

    เสียงฝีเท้าที่ย่ำลงใส่พื้นอย่างหนัก ดังก้องไปตามซอกซอยของตึกใหญ่แห่งหนึ่ง พร้มๆกับเสียงฝีเท้าอีกเสียงซึ่งไม่ได้ดังมาจากพื้นแต่กลับเป็นกำแพง

    เสียงหอบระรัวอย่างไม่เป็นจังหวะจากเจ้าของเสียงฝีเท้าแรก เหมือนเป็นการบอกว่าเขาใกล้จะหมดแรงวิ่งเต็มทีแล้ว แต่ก็ไม่อาจสามารถหยุดฝีเท้าที่ล้าจนแทบยกไม่ไหวของเขา เมื่ออีกฝีเท้าที่ตามมากลับไม่ใช่สิ่งมีชีวิตสายพันธุ์โฮโมเซเปียนแบบตัวเขา หรือ สัตว์ที่พบเห็นทั่วไปในป่า

    แต่กลับเป็นเงาสีดำร่างหนึ่งมีรูปลักษณ์เป็นสัตว์สี่ขา แต่ลำตัวคล้ายกับมนุษย์ มือเท้าเปี่ยมไปตัวกงเล็บแหลม สิ่งที่คล้ายหางนั้นเรียวยาวคล้ายกับงู ส่วนหัวคล้ายกับหมาป่ากระหายเลือดที่มีสายตาคมแดงก่ำ และดูเหมือนเจ้าสัตว์ประหลาดนี้กำลังไล่ล่ามนุษย์ที่อยู่ข้างหน้าของมัน

    และแล้วชายผู้วิ่งหนีก็สะดุดเท้าตัวเองจนได้ ก่อนที่ร่างของเขาจะถลาออกไปกับพื้น จนทำให้ สัตว์ประหลาดกระโดเข้ามาถึงตัวเขาสำเร็จ

    ชั่วพริบตาที่ชีวิตกำลังจะถูกกรีดตัวกรงเล็บของตัวประหลาดสีดำข้างหน้าก็....

    โครม!!!!!!

    “ ได้เวลาตื่นแล้วจ้า~~~เร็กซ์” เสียงที่ฟังดูเหมือนเด็กดังขึ้น พร้อมๆกับร่างของเด็กหนุ่มผมดำสั้นที่เพิ่งถูกลากผ้านวมอย่างแรง จนกลิ้งไปชนกับเก้าอี้ริมห้อง

    “อู...ย ทำอะไรนะครับ ฮารุซัง” เด็กหนุ่มผู้มีตาสีแดงข้างขวาตัดกับดำอีกข้าง ในสภาพเสื้อกล้ามสีขาวหนึ่งตัว และ กางเกงวอร์มสีดำ ลุกขึ้นนั่งพร้อมกับกุมใบหน้าที่ชนกับเก้าอี้เมื่อกี้ “เพิ่ง...ตีห้าไม่ใช่เหรอครับ?”

    “อยู่ที่นี่ เขาจะต้องฝึกช่วงเช้าทุกคนจ้ะ” ป้าฮารุ มาในชุดพร้อมฝึกเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่วันนี้เปลี่ยนทรงผมนิดหน่อยเป็น จากมัดหางม้า กลายเป็นหางเต่าแทน พร้อมกับโยนชุดฝึกแบบคาราเต้ให้แก่เด็กหนุ่มที่วิญญาณยังเข้าร่างไม่สนิท “ให้เวลาสิบนาที รีบเปลี่ยนชุดแล้วตามไปที่โรงฝึกเร็วๆล่ะ”

    เมื่อพูดจบป้าฮารุก็เดินออกจากห้องไป เร็กซ์จึงจำใจต้องเปลี่ยนตามคำสั่งอย่างไม่มีทางเลี่ยง

    หลังจากทำกิจวัตรยามเช้าเสร็จ เร็กซ์ในชุดคาราเต้สายขาวก็รีบตรงเข้าสู่โรงฝึกที่อยู่ข้างบ้าน ท่ามกลางท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้มและความหนาวเย็นของอากาศในช่วงเข้ามืด ซึ่งโรงฝึกแม้จะดูไม่ใหญ่มาก แต่เมื่อดูจากความเก่าแก่แล้ว คิดว่าคงไม่ใช่โรงฝึกแบบเปิดสอนทั่วไปแน่นอน

    เพียงก้าวแรกที่เปิดประตูเลื่อนออกมา ภาพแรกที่เห็นไม่ใช่โรงฝึก คนสอน หรือแมลงวัน แต่กลับเป็นร่างคนขนาดใหญ่ดูล่ำสัน พุ่งออกมาจากประตูด้วยความเร็วสูง จนเร็กซ์ต้องพุ่งหลบไปด้านข้างโดยไว

    “ ฉันสอนกี่หนแล้วว่า อย่าเปิดลำตัวเวลาต่อย!! มันจะทำให้มีช่องว่างโจมตีได้!! ” แน่นอนว่าเจ้าของเสียงอันดุดันน่าเกรงขามนี้ จะเป็นใครไม่ได้นอกจากป้าฮารุ ผู้ฝึกสอนของสำนักไรจินแห่งนี้

    “อ้าว! เร็กซ์ จะยืนทำไมข้างนอกละ รีบๆเข้ามาสิ” เสียงจากครูฝึกคนเดิมในเวอร์ชั่นอ่อนหวานกลับมาอีกครั้ง เหมือนเมื่อกี้เป็นหนังคนละม้วน

    “คะ..ครับ...” เด็กหนุ่มผู้ถูกขานชื่อตอบอย่างกลัวๆ ชอบกล เพราะบ่นกับตัวเองเบาๆ “ตูจะรอดมั้ยละเนี่ย?”

    “เอาละทุกคน!! ตั้งแต่วันนี้เราจะมีสมาชิกใหม่ ชื่อ เรย์ซึ แกรนเดอร์ เขาเคยเป็นลูกศิษย์ของ นานาชิ เพื่อนของฉันที่อยู่อเมริกานะ” ฮารุ กล่าวแนะนำตัวเร็กซ์ ให้แก่เหล่าชายร่างถึกนับสิบคนที่กำลังจับคู่ซ้อมกันอยู่

    นานาชิ? ปรมาจารย์การต่อสู้ชื่อดังเหรอ!!

    เด็กคนนั้นเป็นลูกศิษย์ของปรมาจารย์คนนั้นเหรอ?

    ว้าว!! หน้าตาน่ากินสุดๆ

    ดูท่าทางลีลาใช่ย่อยแฮะ!!

    ว้าย!! น่ารัก!! น่าแต้บ ถูกใจกระเทยฮ่า!!

    เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังมาจากกลุ่มนักสู้สายK อันสุดแสนจะมาดแมน? ทำเอาเร็กซ์รู้สึกเสียวสันหลังจนบอกไม่ถูก

    “ เพราะฉะนั้น!! วันนี้เราจะมาทำพิธีรับศิษย์ใหม่กัน!!” ฮารุกล่าวอย่างร่าเริง พร้อมกับสีหน้าที่เปลี่ยนไปของเหล่าลูกศิษย์ ก่อนที่ทั้งหมดจะเดินมายืนล้อมวงรอบตัวเร็กซ์

    “ มันเป็นอย่างไงเหรอครับ ไอ้พิธีที่ว่าเนี่ย? “ เร็กซ์ถามป้าฮารุด้วยความสังหอนใจ เพราะรอบๆตัวเขาได้ส่งสายตาดูเหมือนอาฆาตตัวเขาเองซะเหลือเกิน

    “เป็นการให้ศิษย์ใหม่จับคู่สู้กับรุ่นพี่แต่ละคนรอบตัวจนครบนะ คนแรก!!! นากาตะ!!”

    “หา?...แว้ก!!!!” แทบจะไม่ทันตั้งตัว ชายผมดำทรงลานบินร่างยักษ์ที่อยู่เบื้องหน้าเขาก็พุ่งเข้ามาถีบด้วยเท้าขวาซะแล้ว เร็กซ์ฉากหลบไปด้านข้างด้วยสัญชาตญาณ แต่ยังไม่ทันได้คิดจะบุกกลับด้วยซ้ำ ขาขวาที่เพิ่งเสียบ ผ่านเอวเขาไป กลับมาตวัดฟาดใส่ข้อเท้าขวาของเด็กหนุ่มได้อีกครั้งอย่างเหลือเชื่อ

    “ให้ตายสิวะ!!!” ดูเหมือนเร็กซ์จะไม่มีเวลามาสับสนเสียแล้ว ที่ทำได้ตอนนี้คือสู้เท่านั้น

    ในพริบตาที่ถูกเตะตัดขาล้มจนตัวใกล้ตกถึงพื้น เร็กซ์ใช้ความคล่องแคล่วของร่างกายอย่างเต็มที่ โดยการบิดตัวลงไปหาพื้นใช้มือทั้งสองค้ำร่างของเขาขึ้นกลางอากาศ ก่อนที่จะหมุนตัวเตะใส่คู่ต่อสู้ในสภาพนั้นดุงดั่งลูกข่างติดใบมีดที่จนหมุนเชือดทุกอย่างที่เข้าใกล้

    แต่รุ่นพี่ก็หาใช่ไร้ฝีมือ ก่อนที่จะยืนในท่านั่งม้าอย่างมั่นคง พร้อมทั้งเหวี่ยงท่อนแขนขวาขนาดรอบพอๆกับรอบแผ่นซีดี ปัดป้องท่าหมุนเตะของเร็กซ์ได้โดยไม่สะเทือน แล้วหมุนหันหลัง ย่อตัวเล็กน้อย ก่อนจะใช้หลังกระแทกร่างของเด็กหนุ่มที่อยู่ในสภาพกลับหัวกระเด็นไป แต่ก็ยังตั้งสติกลับตัวกลางอากาศได้ทันก่อนที่หลังจะถูกพื้น

    “อะไรกัน..เคยได้ข่าวมาว่าวิวาทเก่งซะเหลือเกินไม่ใช่เหรอ อย่าบอกน่ะว่าดีแต่รังแกคนอ่อ่นแอกว่านะ” ฮารุยิ้มออกเล็กน้อยพร้อมกับเยาะเย้ยเร็กซ์ที่นอนกองอยู่ด้วยน้ำเสียงออกสนุกสนาน ทำเอาเด็กหนุ่มเริ่มหงุดหงิดเล็กน้อย ก่อนจะลุกขึ้นมาอีกครั้ง

    “เข้ามาไวๆสิจ้ะ อย่าให้เดี้ยนด้วยคอยนาน” ชายร่างยักษ์ที่ยืนอยู่เบื้องหน้ากวักนิ้วท้าทายรุ่นน้องคนใหม่ของเขา แถมเลียริมฝีปากเล็กน้อยจนดูน่ากลัวในสายตาชายชาตรี

    เร็กซ์ตั้งสติอีกครั้ง ก่อนจะจดมือทั้งสองไว้ที่อก แล้วพุ่งเข้าใส่อีกครั้ง

    รุ่นพี่นากาตะเองก็ไม่ปล่อยให้รุ่นน้องมาลูบคมเช่นกัน เมื่อเห็นอีกฝ่ายอยู่ในตำแหน่งเหมาะก็ใช้เท้าซ้ายเตะเสยขึ้นไปกะเล็งที่ปลายคางให้หลับไปในหนึ่งดอก

    น่าเสียดายที่รุ่นพี่นากาตะน่าจะฉุกคิดได้ตั้งแต่ท่าหมุนตัวเตะของเร็กซ์แล้ว ถึงความคล่องตัวอันยอดเยี่ยมของเด็กหนุ่ม เมื่อเร็กซ์ใช้ประโยชน์จากแรงเตะอันหนักหน่วงของอีกฝ่าย เป็นบันไดให้ร่างของเขาลอยขึ้นมาเหนือตัวรุ่นพี่

    นากาตะก็ไม่คอยให้อีกฝ่ายได้โจมตี ก่อนที่จะยิงหมัดขวาตรงเข้าใส่เด็กวัยรุ่นที่ลอยอันตรงหน้า

    แต่นี้เป็นความผิดพลาดของตัวนากาตะเองซะแล้ว เร็กซ์เบี่ยงตัวเล็กน้อยเท่าที่จะทำได้ เพื่อร่างรับแรงหมัดอันรุนแรงมาเป็นแรงหมุนตัวเหมือนพายุ ก่อนที่ฟันศอกขวาเต็มคิ้วของนากาตะเต็มๆ

    “พอแค่นั้น!!” ป้าฮารุส่งเสียงหยุดการต่อสู้เอาไว้เพียงแค่นี้ เมื่อเห็นลูกศิษย์ของตนเสียท่าไป เลือดพุ่งออกจากแผลที่เพิ่งถูกศอกฟันมาเต็มรัก จนคนอื่นๆต้องหามออกจากวงต่อสู้

    คนอื่นๆรอบตัวเร็กซ์ ส่งเสียงฮือฮาอย่างตกใจ ไม่คิดว่าศิษย์น้องเบื้องหน้าจะสามารถล้มศิษย์พี่ของเขาเองได้

    “แหะๆ เป็นไงครับฮารุซัง” เด็กหนุ่มผู้คว้าชัยได้ยืนตระง่านอย่างภูมิใจ ท่ามกลางเหล่าศิษย์พี่รอบๆตัว

    “อืม..มีความคล่องตัวดีเยี่ยมจริงๆ แต่...” ไม่จำเป็นต้องฟังคำของฮารุให้จบประโยค เร็กซ์ก็รู้แก่ใจแล้ว เมื่อเหล่านักสู้รอบๆ กระเหือดกระหายอยากที่จะเหยียบย่ำน้องใหม่ผู้โอหังคนนี้ให้จมดินเต็มแก่แล้ว

    “เออ...ฮารุซัง วันนี้ผมต้องไปเข้าเรียนที่โรงเรียนใหม่วันแรกใช่มั้ยครับ? ถ้าต้องเจอทั้งหมดทุกคนอย่างนี้มันจะไปไม่ทันเอาน่ะครับ...” แม้จะมั่นใจในฝีมือตัวเองแค่ไหนเด็กหนุ่มก็ไม่อยากจะถูกรุมประชาทัณฑ์ตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ตื่นเป็นแน่แท้

    “อย่าห่วงไปเลยจ้ะ..ตอนนี้เพิ่งตีห้าครึ่ง โรงเรียนเข้าตั้งแปดโมง แค่สู้กับคนประมาณสามสิบยังไงก็ทัน” ป้าฮารุยิ้มกว้างอย่างสนุกสนาน ต่างกับเด็กหนุ่มหน้าซีดที่กำลังยืนท่ามกลางฝูงนักสู้กระเทยควายรอบด้าน

    “ฉันขอบอกทุกคนไว้ก่อนน่ะ ใครที่ล้มศิษย์น้องคนนี้ได้คนแรกละก็ ฉันจะอนุญาตให้เอาตัวไปกอดหนึ่งคืน!!!”

    ประโยคเงื่อนไขในการต่อสู้นี้ เหมือนกับเอาเนื้อชิ้นโตไปล่อหน้าฝูงตะเข้ที่หิวโซ เมื่อเหล่านักสู้ที่ได้ยินดังนั้น ก็เกิดส่งเสียงร้องฮึดสู้อย่างถวายชีวิต ปากยิ้มกว้างพร้อมน้ำลายย้อยที่มุมปากอย่างเห็นได้ชัด ทำเอาเร็กซ์แสยะยิ้มอย่างหวาดๆ “เวรแล้วไง...จุดจบของตูข้า...”

    เอาละ!! คนต่อไป!!!!!...........


    ในช่วงเวลาตอนเช้าของญี่ปุ่น ตัดมาอีกด้านที่ลอนดอน ประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นเวลาสามทุ่มกว่าๆ

    ท่ามกลางถนนในตัวเมืองที่แม้ตอนมืดยังคงมีการสัญจรไปมา ยังคงมีเด็กหนุ่มวัยรุ่นคนหนึ่งในชุดเสื้อเชิ้ตขาวที่สวมทับด้วยเสื้อโค้ทหนังสีน้ำตาลหนาพร้อมผ้าพันคอ กางเกงสีดำยาวแล้วรองเท้าบู้ตดำ บนหลังแบกกีต้าร์ไฟฟ้าสีดำไม่มีลาย ผมสีทองที่ด้านหน้ายาวเป็นเส้นออกสองฟากปลิวไปตามแรงลม สายตายังคงหลับสนิทจนสงสัยว่าเดินในสภาพนั้นได้อย่างไร แน่นอนชายผู้นี้จะเป็นใครไปได้นอกจาก ครูซิไฟร์ที่บัดนี้เดินทางมาถึงอังกฤษเรียบร้อย

    “จากข้อมูลของอากาเนะที่ให้เจ้าอัลเทม่าไป มันยังไม่มีความแน่นอน รู้เพียงว่าอยู่ในลอนดอน” ชายหนุ่มบ่นกับตัวเขาเบาๆ เกี่ยวกับเบาะแสการตามหาเหล่าผู้ใช้ศิลาเทวะ ซึ่งเป็นเงื่อนงำในการตามหาเพื่อนร่วมอุดมการณ์ของเขาเช่นกัน

    “แต่ว่าตั้งแต่มาถึงที่นี้ มันรู้สึกอยู่ไม่สุขจริงๆแฮะ ไอ้กระแสคลื่นของศิลากระจายทั่วไปหมด” อย่างที่ครูซิไฟร์กังวลใจ ทั้งที่ในข้อมูลมีหลายชื่อผู้ที่เข้าข่ายเป็นเป้าหมายมีพอนับหัวได้ แต่กระแสคลื่นที่กระจายอยู่ทั่วนี้ มันเหมือนกับมีมากกว่ายี่สิบสามสิบคนเลยด้วยซ้ำ

    และแล้วความกังวลใจก็เป็นจริง ความรู้สึกสะอิดสะเอียนเหมือนโดนแรงกดดันอันมหาศาลซึ่งเรียกกันว่ารังสีอำมหิตโถมเข้าใส่ตัวครูซิไฟร์จากข้างหลัง จะเป็นใครไม่รู้ แต่ไม่ได้มาดีแน่ ชายหนุ่มจึงไม่รีรอที่จะหันไปข้างหลัง

    แต่ผู้ที่ตามหลังเขามานั้น ทำเอาครูซิไฟร์ตกใจไปหลายวิ ชายหนุ่มวัยรุ่นที่มีเรือนผมสีแดงเพลิงยาว กับเนตรมรกตคู่งาม สวมเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีดำปล่อยชายทับด้วยเสื้อกั้กสีขาว กางเกงขาม้าสีดำ กระเป๋าทั้งสองมีโซ่สีเงินคล้อง ท้ายสุดด้วยรองเท้าหนังสีดำ

    “อะไรของแกฟะ ทำหน้าหยั่งกะเห็นผี” น้ำเสียงออกกวนๆของชายหนุ่มผมแดง ยิ่งทำเอาครูซิไฟร์ไม่อยากเชื่อสายตาว่าเบื้องหน้าของเขาคือ “อัลเทม่า โนโดเรน” ชายหนุ่มผู้ที่ขาดการติดต่อเมื่อวันก่อนนั้นเอง
    “อะ.อัล!!” ครูซิไฟร์รุดหน้าเข้าหาสหายตรงหน้าอย่างดีใจสุดขีด พร้อมรอยยิ้มอันสดใสที่ใบหน้า แขนทั้งสองอ้ากว้างเตรียมเข้ากอด

    ผัวะ!!!!

    “ไอ้บ้านี้!! ไม่ตายก็หัดติดต่อมาบ้างสิวะ!! ดูซิ ไอ้เราเป็นห่วงต้องรีบถ่อมาเสียเวลาจริงๆ!!” จากฉากสุดอินเลิฟการพบกับของเพื่อนพ้อง เป็นอันต้องหักมุมจนได้ เมื่อมือที่หมายจะกอดกับตบกระบาลเพื่อนผมแดงจนหน้าคว่ำพร้อมคำด่าอย่างหัวเสียสุดๆ

    “เออๆ โทษที ฉันมีธุระนิดหน่อยนะ” อัลเทม่ากล่าวขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่

    “ธุระเหรอ?” ชายหนุ่มผมทองรู้สึกแปลกๆเมื่อได้ยินคำนี้

    แต่ไม่ทันที่ทั้งสองจะได้พูดคุยกันต่อ สัญชาตญาณนักสู้ของทั้งสองดูเหมือนจะถูกปลุกขึ้น เมื่อกระแสคลื่นศิลาเทวะรอบๆตัวมันรุนแรงขึ้นอย่างทวีคูณ

    “ความรู้สึกนี้!!! ศัตรูงั้นเหรอ?!!” ครูซิไฟร์ดูเหมือนจะวิตกกับสถานการณ์รอบด้าน

    “ก็คิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้ละน่ะ นายพกอาวุธมาหรือเปล่า?” อัลเทม่าถาม ขณะที่ตนชักมีดปลอกผลไม้ที่มีภาษาญี่ปุ่นตรงด้ามว่า owari(จบลง) และ hajime(เริ่มต้น) ออกมาสองด้าม

    “เออ...” ชายหนุ่มผมทองขานตอบค่อยๆพร้อมกับกำกีต้าร์ที่แบกหลังแน่นขึ้น

    เมื่อทั้งสองเข้าสู่สภาวะพร้อมสู้ เหล่าศัตรูก็ปรากฏร่างออกมารอบด้านประมาณสามคน

    ความจริงจำนวนคนที่กล่าวมาคงไม่สามารถทำให้นักบู้ทั้งสองเกรงกลัวได้ ถ้าไม่ใช่ว่าทั้งสามคนที่โผล่ออกมากัลบมีรูปร่างเครื่องแต่งกายเหมือนกันหมด คือชายผมดำประมาณคอ สวมหมวกปีกกว้างสีแดงและแว่นตากันแดด เสื้อกั้กที่สวมทับเสื้อเชิ้ตสีขาวและกางเกงสูทสีดำดูสุภาพสไตล์อังกฤษ ที่คอมีริบบิ้นสีแดงชาดมัดไว้ ภายนอกสวมโค้ทยาวแบบเสริมผ้าคลุมไหล่สีแดง ถุงมือคู่สีขาวมีสัญลักษณ์รูปดาวติด รองเท้าบู้ตหนังยาว และภายใต้ใบหน้าที่ซ่อนภายใต้เครื่องทรงกลับฉีกยิ้มกว้างอย่างดูโรคจิต จนนักยิ้มทีมชาติอย่างครูซิไฟร์จำต้องหุบไปเลย

    “โอ!! รู้ตัวกันเร็วดีจัง!!ถูกใจจริงๆ” เสียงดูขี้เล่นของศัตรูทั้งสามที่ออกมาพร้อมกันเหมือนเตี้ยมกันเอาไว้

    ภายใต้สถานการณ์ตึงเครียดนั้นเอง ชายแก่คนหนึ่งที่กำลังเดินอยู่ตรงฟุตบากต์อีกข้าง กำลังมองไปที่ชายโค้ทสีแดงอย่างเกรงกลัว จนครูซิไฟร์สังเกตเห็น

    “ไม่จริง....เขาน่าจะตายไปแล้วนี้...” เสียงสั่นอย่างหวาดกลัวของชายแก่สร้างความงุนงงให้แด่ครูซิไฟร์มากกว่าเดิม

    “ว้าว!! ไม่น่าเชื่อว่ายังมีคนจำหน้าตาเราได้อยู่แฮะ” เป็นภาพอันเหลือเชื่อ เมื่อในชั่วพริบตานั่น ชายหนุ่มโค้ทแดงอีกร่างก็ปรากฏไปอยู่ข้างหลังของชายแก่ที่อยู่ตรงข้าม

    “แต่เราไม่ใจดีพอที่จะปล่อยให้รอดไปหรอกน่ะ” พูดจบมือซ้ายของชายโค้ทแดงก็ล้วงเข้าไปหยิบปืนแม็กนั่มสีเงิน ลำกล้องยาวออกจากเสื้อ พร้อมหันปากลำกล้องเข้าสู่เหยื่อเบื้องหน้า

    “บ้าเอ้ย!!” เมื่อเห็นดังนั้น ครูซิไฟร์สบถลั่น ก่อนที่จะพุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็ว พร้อมเหวี่ยงกีต้าร์ของเขาออกมาจากหลัง กีต้าร์เปิดออกได้เหมือนหีบ ปรากฎเป็นดาบยุโรปสีเงินสองด้าม ที่ด้ามดาบคล้ายกับปีกมังกร ออกมา

    “Freeze Lance(หอกน้ำแข็ง)!!!” ทันทีที่มือทั้งสองคว้าดาบคู่ได้ ชายหนุ่มผมทองกระโดดข้ามถนนที่ยังคงเต็มไปด้วยรถแล่น พร้อมตะโกนชื่อท่าของเขา ปรากฏเป็นแท่งน้ำแข็งขนาดใหญ่หนึ่งด้าม ก่อนที่แท่งไอติมยักษ์จะพุ่งเข้าใส่ชายถือปืน

    ปัง ปัง ปัง!!!

    เสียงปืนสามนัดดังขึ้นแทบพร้อมกัน ก่อนที่แท่งน้ำแข็งที่กำลังพิฆาตศัตรูจะแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ต่อหน้าครูซิไฟร์ที่ตามมาติดๆ

    แต่การโจมตีมิได้มีแค่นั่น ครูซิไฟร์ม้วนหน้ากลางอากาศก่อนจะง้างดาบคู่ที่มือฟันเข้าใส่ศัตรูอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่สามารถฟันโดนเป้าได้ เมื่อศัตรูเบี่ยงตัวหลบได้อย่างง่ายดาย

    “ลุง!!! หนีไปซะ!!!” ครูซิไฟร์ตะโกนบอกชายแก่ที่เขาเพิ่งจะช่วยเอาไว้ได้

    “เธอนั่นแหละหนี หมอนั่นมันคือ ฆาตกรโรคจิต อิริค!!!.” เสียงชายแก่ดับวับลงไปอย่างประหลาด เมื่อครูซิไฟร์หันไป ปรากฎว่าชายแก่คนนั้นได้ถูกชายโค้ทสีแดงอีกร่างบิดคอหักไปเสียแล้ว

    “ไม่ไหวๆ จู่ๆเล่นบอกชื่อเราไปโดนพลการอย่างงี้ได้ไง” ชายที่ถูกขานนามว่า อิริค พูดอย่างไม่รู้สึกรู้สา ทั้งๆที่มือทั้งสองเพิ่งปลิดชีวิตคนบริสุทธิ์ไปหนึ่งคนแท้ๆ “แต่ก็ช่วยไม่ได้น่ะ อย่างงั้นก็ต้องขอแนะนำตัวหน่อยละกัน ฉันชื่อ “อิริค คอนสแตนด์”

    “แก!!!!” บัดนี้ครูซิไฟร์ฟิวส์ขาดสะบั้น ใบหน้าที่เคยมีรอยยิ้มประดับทุกเวลา ได้เลือนหายไป เหลือเพียงความโกรธแค้นที่ ศัตรูเบื้องหน้าสังหารผู้คนที่ไม่รู้อิโน่อิเน่ไป ก่อนที่จะกำดาบเงินคู่ไว้แน่น แล้วถลาเข้าใส่อิริคโดยไม่รีรอ

    ครูซิไฟร์ควงดาบมังกรเงินทั้งสองด้ามฟันไปมาจนมองดูเหมือนฟันมั่วๆ แต่ไม่ได้ฟันอย่างไร้จุดหมาย คมดาบซ้ายขวา พุ่งเข้าใส่ศัตรูอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าด้วยความแม่นยำจนมองแทบไม่ทัน แต่ไม่ว่าระดมฟันใส่มากเพียงไร ก็ไม่อาจเฉียดโดนแม้แต่ปลายเสื้อของอีกฝ่ายได้เลย

    “อะไรกัน....ฟันอย่างนี้มันจะไปโดนได้ไง” ยังคงเบี่ยงตัวหลบดาบได้อย่าง่ายดายในระยะประชิด สีหน้ายังคงสนุกสนานกับครูซิไฟร์ที่ยังพยายามฟาดฟันอย่างไม่ลดละ

    คราวนี้ครูซิไฟร์พลิกคมดาบทั้งสองไปในทางเดียวกับ ดาบแรกฟันขวางไปทางซ้าย อิริคถอยออกไปเล็กน้อยจนคมดาบผ่านไป ดาบที่สองฟันมาในทิศทางเดิมแต่ผิดแปลกไป เมื่อเท้าขวาของผู้รุกไล่ย่อลงเล็กน้อย ก่อนจะกระโดดหมุนตัวฟันกลางอากาศในทางเดิมอีกครั้ง คราวนี้ปลายดาบเฉียดคอไปนิดนึง

    “อืม?” อิริคส่งเสียงแปลกใจเล็กน้อย ทั้งๆที่เพิ่งจะเกือบถูกฟันเข้าจุดตาย

    ครูซิไฟร์ยังคงไม่ยอมหยุดการจู่โจม เมื่อเท้าของเขาสัมผัสถึงพื้น ดาบทั้งสองถูกเหวี่ยงกลับมาประจำที่เอวอีกครั้ง เพื่อจะเข้าพิฆาตศัตรู

    ในพริบตาที่อิริคกำลังจะถอยหลบอีกครั้ง จู่ๆการเคลื่อนไหวก็ชะงักไปประมาณเสี้ยววินาที แม้จะน้อยนิด แต่ก็มากพอที่ทำให้คมดาบถูกเป้าอย่างแม่นยำ เมื่อครูซิไฟร์ฟันทแยงขึ้นเป็นรูปกากบาก โลหิตสีแดงพุ่งออกจากบาดแผลเหมือนกับน้ำออกจากสายยาง ก่อนที่ฆาตกรนามว่าอิริคจะล้มลงไปนอนสิ้นลมอยู่แทบเท้าของผู้คว้าชัยชนะไป

    “หึ... แกประมาณไปน่ะ เมื่อกี้ก็เห็นนี้ว่าฉันมีพลังน้ำแข็ง” ครูซิไฟร์ในสภาพหอบเล็กน้อยถากถางชายที่นอนจมกองเลือดเล็กน้อย เมื่อบริเวณพื้นที่อิริคกำลังจะหลบดาบสุดท้ายนั้น มีแท่งน้ำแท่งขนาดย่อมๆ งอกออกมา ซึ่งเป็นฝีมือของครูซิไฟร์ที่ปล่อยไอเย็นออกมารอบๆตัวโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันสังเกต

    “อืม...ศิลาที่มีพลังความเย็นงั้นเหรอเนี่ย? very pretty!!” เสียงอันเย็นเฉียบดังแผ่วออกมาข้างหูของชายหนุ่มผมทอง

    “เฮ้ย!!!!” ครูซิไฟร์หันไปหาเสียงตามสัญชาตญาณ แต่ว่า.... ปัง!!

    เสียงปืนหนึ่งนัดดังสนั่น ก่อนที่ครูซิไฟร์จะล้มคว่ำ เมื่อลูกตะกั่วพุ่งทะลุต้นขาขวาเขาไป และผู้ที่ลั่นไกปืนก็หายใช่ใครไม่นอกจากฆาตกรอิริค ที่ยืนค้ำหัวหนุ่มผมทองในสภาพไร้บาดแผล

    “ปะ..เป็นไปไม่ได้ เมื่อกี้ฉันฟันเข้าไปเต็มๆเลยนี้นา!!!” ชายหนุ่มแทบไม่เชื่อภาพที่ปรากฎต่อสายตา

    “he he he~~~” อิริคหัวเราะเสียงแหลมแลดูน่าสะพรึงกลัว ปืนสีเงินเริ่มเล็งเป้าอีกครั้ง

    ในชั่วอึดใจที่ตะกั่วลูกที่สองกำลังถูกส่งอกมาอีกครั้งนั่นเอง คมดาบลึกลับก็ผ่าร่างของอิริคขาดครึ่งทันที

    “เป็นไงบ้าง?!!” ชายผมแดงพุ่งลงมาหาครูซิไฟร์ พร้อมมีดคู่ของเขา ซึ่งก็คือ อัลเทม่านี้เอง ดูเหมือนเขาเพิ่งจะเสร็จกิจกับศัตรูที่เหลือไป “ระวังให้ดีละ พวกนี้มันเป็นภาพลวงตา”

    “ภาพลวงตา?!!” ครูซิไฟร์ได้ยินดังนั้นก็ตกใจ หมายความว่าร่างที่เพิ่งถูกเขาฟันไปนั่นก็ไม่ใช่อิริคตัวจริงนะสิ

    “ตั้งสมาธิดีๆ แผลนั่น เป็นการสะกดจิตแบบหนึ่ง แกยังไม่ถูกยิงจริงๆ แล้วก็ร่างของไอ้คนสวมโค้ทแดงที่ฉันฆ่าไปนะ เป็นร่างลวงทั้งหมด ร่างจริงของมันยังไม่โผล่ออกมา ” อัลเทม่าอธิบายเรื่องแปลกประหลาดที่ทั้งสองเพิ่งพบเจอมาอย่างละเอียด

    เป็นอย่างที่เพื่อนของเขาพูดมา เมื่อครูซิไฟร์หายใจลึกๆ เพื่อเรียกความเยือกเย็นกลับมา เขาก็พบว่าบาดแผลแผลที่ขาได้หายไปอย่างหมดจด

    เมื่อทั้งสองเข้าสู่สภาพพร้อมสู้อีกครั้ง ก็ดูเหมือนว่าการต่อสู้ยกแรกของครูซิไฟร์จะเป็นการเชิญชวนเหล่าอังกฤษมุงมากันอย่างล้นหลาม เมื่อจากถนนที่แทบจะว่างเปล่า เริ่มมีฝูงชนเข้าไปดูกัน และเสียงรถตำรวจที่ตามมาติดๆด้วยรถนักข่าวหูไวทั้งหลาย

    “สงสัยว่าเราจำต้องลี้ภัยโดยด่วนเลยวะ ขืนหน้าตูได้ออกทีวีละก็ เหล่ากิ้กทั้งหลายได้ยกโขยงกันมาไล่ตื้บแน่” รอยยิ้มที่ดูมั่นใจออกมาจากปากของครูซิไฟร์อีกครั้ง

    “กิ้กที่ว่านี้ใช่พวกที่เต้นอยู่แถวบาร์เกย์.ใช่ปะ?” อัลเทม่า กัดใส่สหายรักไปดอก จนสหายผมทองได้ยินก็หงุดหงิดเล็กน้อย“ปากกวนบาทาดีน่ะ ไอ้นี้ ”

    “ทำไงได้ ก็เห็นหน้าเข้าข่าย...”

    พูดจบทั้งสองก็กระโดดขึ้นไปบนตามตึก ทิ้งไว้แต่เหล่าผู้ชมที่ยืนตะลึงกับความสูงที่ทั้งสองกระโดดได้

    ครูซิไฟร์เหลือบมองร่างไร้ชีวิตของชายแก่ผู้โชคร้ายอีกครั้ง “ขอโทษน่ะครับ ที่ผมช่วยเอาไว้ไม่ได้..”

    ในระหว่างที่นักสู้ศิลาเทวะทั้งสองกำลังดำเนินการหลบหนีไปตามอาคารเยี่ยงสไปเดอร์แมน ฝีเท้าของครูซิไฟร์จะชะงัก เพราะดูเหมือนว่าไม่ได้มีเพียงเขาและอัลเทม่าที่สามารถกระโดดไปตามตึกรามบ้านช่องของลอนดอนแห่งนี้

    แสงจันทร์เริ่มที่จะจางหายไปในกลีบเมฆ จนความมืดเริ่มกลืนกินพื้นที่ไปช่วงหนึ่ง ก่อนที่แสงจากดวงจันทร์จะส่องผ่านเมฆลงมาอีกครั้ง พร้อมๆกับร่างของชายในโค้ทสีแดงที่ครูซิไฟร์เพิ่งสู้กันไปยกเมื่อไม่นานมานี้

    “ฉันเริ่มนึกออกแล้ว ว่าแกเป็นใคร” อัลเทม่าพูดขึ้นเมื่อเห็นตัวของอิริค คอนแสตนด์อีกครั้ง

    “อิริค คอนสแตนด์เป็นชายไม่มีประวัติบรรทึกไว้แน่นอน รู้แต่ว่าเคยอาศัยอยู่ในสถานีเลี้ยงเด็กกำพร้า ข่าวเกี่ยวกับฆาตกร ชื่อ อิริค ไล่ฆ่าคนในกรุงดอน จนผู้คนต่างไม่กล้าออกจากบ้าน มีข่าวว่าเค้าตายไปแล้วหลังจากโดนตำรวจจัดการไปแล้ว ข่าวคราวหายไปนานมาก แต่ยังมีข่าวว่า ยังมีคนพบเห็นเค้าได้ยามค่ำคืนที่เป็นเดือนมืด บลาๆๆ”

    อิริคกลับเป็นฝ่ายเปิดเผยประวัติของตัวเอง ซี่งไม่น่าจะเป็นการกระทำที่ฆาตกรทั่วไปเขาทำกัน เพราะอาจเป็นการมัดมือตัวเองเข้าคุกได้

    “เออ...ก็อย่างที่มันว่ามานั้นแหละ....” อัลเทม่าหัวเสียเล็กน้อย หลังจากโดนแย่งบทพูดไป

    “เอาเหอะ..จะเป็นใครก็ไม่สนละ แต่ในเมื่อโผล่ออกมาแล้ว ก็คงต้องขอเอาตัวไปสอบสวนหน่อยละ” ครูซิไฟร์ฉีกยิ้มที่ดูมั่นใจอีกครั้ง ดูท่าคราวนี้เขาจะไม่ยอมเสียท่าง่ายๆอีกแล้ว

    “มีแค่คนเดียวจะไหวเหรอ?” อิริคถามเชิงเยาะเย้ย

    “บ้าหรือเปล่า? ฝั่งนี้มีตั้งสองดันพูดมาได้ว่าคนเดียว ใช่ปะ อัล....!!!”

    ครูซิไฟร์แทบจะหลบการจู่โจมที่พุ่งเข้ามาข้างหลังไม่ทัน ฝ่ามือที่อาบไปด้วยออร่าสีขาวสว่างเฉี่ยวสีข้างไปเล็กน้อย ก่อนที่ชายหนุ่มผู้ถูกลอบโจมตีจะหันกลับมาหาผู้ที่โจมตีใส่

    แต่ภาพที่ปรากฏนั้น แทบไม่อยากจะเชื่อสายตา เจ้าของฝ่ามืออาบแสงที่เกือบจะปลิดชีพเขานั้น ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นอัลเทม่า พรรคพวกของเขานั่นเอง

    “อะ..อัล!! นี้แก....” ครูซิไฟร์ยังคงไม่อยากจะเชื่อ เมื่อบริเวณเสื้อที่เพิ่งถูกสัมผัสด้วยฝ่ามือแสงนั่น กลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย “ แกเป็นอะไรของแกวะ!!!”

    อัลเทม่าไม่ตอบ ดวงเนตรมรกตของเขาตอนนี้ ไร้ซึ่งชีวิตชีวา อาการเหมือนคนไร้สติ และที่สำคัญคือ ออร่าสีม่วงเริ่มแผ่ออกมาจากร่างกาย จนดูผิดสังเกต

    “ถูกศิลาควบคุม? ไม่สิ..มันดูต่างออกไป...” ครูซิไฟร์ครุ่นคิดถึงอาการแปลกประหลาดของเพื่อนพ้องที่กำลังเข้าทำร้ายตน

    อัลเทม่าในสภาพไร้สติ พุ่งเข้ามาอีกครั้ง ฝ่ามือขวาเริ่มแผดประกายแสงจ้า ก่อนจะตะปบ เข้าใส่ร่างของชายหนุ่มผมทองเข้าไปเต็มๆ จนครึ่งหนึ่งของร่างนั้นจะหายไปเหมือนถูกขูดออกมา แต่ร่างนั้นก็แตกกระจายออกมาเป็นเกล็ดน้ำแข็ง

    ตูม!!!

    ร่างของชายที่เพิ่งโดนโจมตีไปนั้นกลับพุ่งเข้ามาเตะจากข้างหลังของอัลเทม่าจนล้มลงไป ก่อนที่ครูซิไฟร์จะนั่งทับร่างของอัลเทม่าเอาไว้

    “ให้มันได้งี้สิ!!ตั้งแต่เกิดมา อีกครั้งนี้แหละที่ต้องมาคร่อมตัวผู้ชายด้วยกัน!!!” ครูซิไฟร์บ่นอย่างรังเกียจ ก่อนจะดึงผมสีเพลิงยาวออกจากต้นคอของ อัลเผยให้เห็นถึงศิลาเทวะรูปร่างประหลาด เป็นกางเขนสีดำอันเล็กเท่าฝ่ามือ โดยที่แก่นกลางมีอัญมณีสีน้ำเงิน ลายในไม้กลางเขนด้านหน้าเป็นนางฟ้าสีขาว ด้านหลังที่ซ่อนไว้เป็นรูปซาตาน แต่ที่แปลกกว่าทุกทีคือ แทนที่ศิลาจะส่องประกายแสงเหมือนศิลาก้อนอื่นๆ กลับเต็มไปด้วยงามืดแฝงอยู่ภายในศิลาจนดำมืด

    ขณะที่ยังคงตกใจกลับศิลาที่ผิดปกตินั้น มือข้างหนึ่งก็คว้าขากางเกงของครูซิไฟร์ไว้ ทำให้เขาต้องถอยออกมาโดยเร็วก่อนที่เขาจะต้องเสียขาไปข้าง

    “ศิลาเทวะดูแปลกไป...แถมเจ้าอัลสามารถใช้พลังการลบทุกสรรพสิ่งได้เต็มที่ซะด้วย” เหงื่อหนึ่งหยดไหลผ่านใบหน้าของชายหนุ่มผมทอง แม้ยังคงมีรอยยิ้มอยู่ แต่สีหน้าบ่งบอกว่าสถานการณ์ตอนนี้ ร้ายแรงสุดขีด

    “สนุกดีใช่มั้ย? ที่เพื่อนของตัวเองหันอาวุธเข้าใส่นะ?” คราวนี้อิริคที่ยังคงยืนดูการห้ำหั่นของเพื่อนทั้งสองอย่างสะใจ พูดขึ้น

    “ แกทำอะไรเพื่อนของฉัน...” ครูซิไฟร์ถามด้วยน้ำเสียงขึงขัง

    “ไม่ลองถามเพื่อนของนายเองละ ฮ่า ฮ่า ฮ่า~~~”อิริคหัวเราะเยาะอย่างสนุกสนาน ยิ่งสร้างความกดดันแก่ชายผมทองมากเข้าไปอีก

    อัลเทม่าที่ยืนขึ้นมาได้อีกครั้ง เริ่มมีแสงเรืองๆออกมารอบตัว บรรยากาศเริ่มเย็นลง ผมสีเพลิงลอยตัวขึ้นตามสายลม เผยให้เห็นศิลาเทวะเขาที่เปล่งแสงสีดำมืดออกมามากขึ้น “จงตื่นขึ้นจากห้วงนิทรา Axeroth( อเซรอธ )”

    ครูซิไฟร์เองก็รู้ตัวดี ว่าสหายผมแดงเริ่มเอาจริงแล้ว ตอนนี้ยังไงก็ต้องหาทางหยุดอัลเทม่าไว้ให้ได้ก่อน

    “ถ้าบาดเจ็บยังไงก็อย่าโกรธกันเลยน่ะเพื่อนเอ๋ย....” ชายผมทองเริ่มหุบยิ้มลงไปนิดหน่อย พร้อมๆกับที่อัญมณีตรงกลางของต่างหูกางเขนที่หูขวาเปล่งประกายแสงสีฟ้าเจิดจ้า รอบๆตัวเกิดไอเย็นขึ้น อูณหภูมิลดลงเรื่อยๆถึงกับทำให้พื้นที่รอบบริเวณเกิดเขาน้ำแข็งที่เรียวแหลมจำนวนมาก “มหาน้ำแข็งพันปีจงสถิตย์อยู่กับข้า Frozen orb ( ลูกแก้วเยือกแข็ง )”

    “เอาละน่ะ!!!!” ครูซิไฟร์ตะโกนเปิดฉากการต่อสู้ระหว่างเพื่อนพ้องแล้ว จึงกุมดาบคู่ไว้ที่มี พุ่งเข้าใส่อัลเทม่าอย่างรวดเร็ว

    ฝ่ายอัลเทม่าเองก็ไม่หยุดรอกับที่ ตรงเข้าเผชิญหน้าอีกฝ่ายโดยตรงเช่นกัน ก่อนจะพูดอย่างแผ่วเชา “ Dancing Drive (ระบำแห่งการรุกไล่)”

    ดาบขวาของชายผมทองพุ่งตรงเข้าสู่หัวไหล่อีกฝ่ายดุจลูกศร อัลเทม่าเบี่ยงตัวหลบเล็กน้อย ก่อนจะปัดออกได้ด้วยมีดปอกผลไม้ของเขาอย่างรุนแรง จนดาบเสียศูนย์ออกไป

    เมื่อดาบแรกพลาดไป ครูซิไฟร์ตวัดคมดาบซ้ายขึ้นฟันใส่ช่วงเอวที่ปราศจากการป้องกัน แต่ความเร็วของอัลเทม่าเพิ่มขึ้น มืออีกข้างที่ว่างอยู่กลับชักมีดอีกด้ามออกมากันดาบได้ในชั่วพริบตา

    ได้แล้วชายถือดาบกลับต้องถีบตัวออกไปข้างหลังทันที เมื่อเสียงคมมีดที่แหวกอากาศมาจากมุมอับสายตา นี่ถ้าไม่มีเสียงเล็กน้อยมาเตือนสติละก็ คอของครูซิไฟร์คงกระเด็นหลุดออกจากบ่าไปแล้ว

    “ไอ้หมอนี่ ..ปกติก็เก่งอยู่แล้ว คราวนี้เล่นเก่งกว่าเดิมอีกแฮะ..” เลือดสดๆไหลออกจากต้นคอของครูซิไฟร์ ถึงอย่างนั้น โชคของเขานับว่ายังแข็งที่เส้นเลือดใหญ่ยังไม่ขาดไป

    อัลเทม่าไม่รอให้อีกฝ่ายพักฟื้นได้ ก่อนที่จะหายตัวไปจากจุดเดิม ต่อหน้าครูซิไฟร์ไป ความไวของหูเขาเองก็เร็วใช่ย่อยเช่นกัน

    ตุบ...

    “ข้างหลังเหรอ!!!!” ชายหนุ่มผมทอง ตามการเคลื่อนไหวของอัลจากเสียงที่กระทบกับพื้นข้างหลัง ดาบคู่ทั้งสองถูกเหวี่ยงเข้าใส่เป้าหมายแล้ว แต่...

    สวบ!!!!

    ท่ามกลางความตะลึงของครูซิไฟร์ เมื่อสิ่งที่น่าถูกคมดาบของเขาไปนั้นกลับหายไป กลายเป็นว่าเขาถูกมีดด้ามหนึ่งเสียบเข้าจนมิดด้ามบริเวณเอวด้วยน้ำมือของชายผมสีเพลิงที่ตอนนี้กลับมาอยู่ข้างหลังของเขาอีกครั้ง

    เมื่อเป้าหมายหยุดนิ่ง อัลเทม่าก็กำลังหมายจะเสียบด้ามที่สองตาม แต่ชายผมทองใช้เท้าถีบตัวออกจากระยะได้ ก่อนที่คมมีดจะถึงตัว

    โลหิตสีแดงปริมาณมากเริ่มทะลักออกจากบาดแผลที่มีมีดเล่มยาวเสียบจนทะลุออกไปอีกด้านของร่างกาย เรี่ยวแรงของเขาเริ่มหายไป แทนที่ด้วยความเจ็บปวดที่ทิ่มแทงประสาทสัมผัสจนด้านชา

    “ชอบอย่างนี้มั้ยละ?” เสียงเย็นยะเยือกดังมาจากฆาตกรโรคจิตที่กำลังยืนมองอย่างได้อารมณ์ “การตายโดยที่ถูกเพื่อนทรยศน่ะ”

    “บอก..มาน่ะว่าแกทำอะไรกับอัล!!!” ครูซิไฟร์พยายามรงบรวมกำลังเปล่งเสียงถาม

    “ฉันไม่ได้ทำอะไรหรอก...แต่ไม่รู้ว่าใช่ฝีมือของ “ราจา(rajah)”หรือเปล่าน่ะ ตอนนี้เห็นว่าไปทำธุระแถวเมืองอ๊อกซฟอร์ดซะด้วย จะไปถามก็ไกลไปนิด” ชายโค้ทแดงพูดอย่างไม่ใส่ใจกับความสำคัญของเรื่องที่กล่าวออกไปเลย

    “ราจา?” ชื่อที่ไม่คุ้นหูยิ่งสร้างความตึงเครียดแก่ตัวเขาเอง ริมฝีปากที่สั่นระริกภายใต้รอยยิ้มเล็กน้อยเริ่มกระอักเลือดออกมา

    แต่ตอนนี้ครูซิไฟร์ไม่มีเวลามานั่งคิดมากแล้ว ต้องหาทางรอดชีวิตให้ได้ก่อน สภาพในตอนนี้สองต่อหนึ่งไม่ไหวแน่นอน

    “ไม่ไหวๆ เราเองก็พูดมากเกินไปทุกที” อิริค บ่นพึมพัม พร้อมกับถือปืนสีเงินของเขาเข้ามาใกล้

    “ตอนนี้ละ!!! Blizzard Tornado(พายุเกล็ดน้ำแข็ง)!!” สิ้นเสียงของครูซิไฟร์ อาณาบริเวณรอบๆก็เกิดพายุหิมะขนาดใหญ่ที่หนาจนมองรอบๆไม่เห็น

    “คิดจะหนีจากเงื้อมมือฉันคนนี้งั้นเหรอ?” อิริคพูดอย่างไม่ค่อยพอใจเล็กน้อยที่ยังมีคนขัดขืนความตายที่เขาจะมอบให้

    ไม่จำเป็นต้องให้สั่งการ อัลเทม่าชูมือข้างหนึ่งขึ้นว่า “จงลบ!!! พายุหิมะทั้งมวลให้หายไป!!!”

    จากวังวนพายุสีขาวที่หนาจนมองไม่เห็นอะไร กลับหายไปอย่างไร้ร่องรอยเพียงพริบตาเดียว แต่ไม่ได้มีเพียงแค่พายุที่หายไป กับมีร่างของชายที่เพิ่งถูกมีดเสียบจำนวนมากกองอยู่แถวนั้นเต็มไปหมด

    “เหอะ...สร้างร่างปลอมแล้วหนีงั้นเหรอ? มุขงี่เง่าเป็นบ้าเลย” อิริคดูเหมือนจะโมโหมาก น้อยคนนักที่เขาหมายปลิดชีวิตจะหนีพ้นไปได้ “มันหนีไปได้ไม่ไกลหรอก รีบตามไปเร็ว!!!”

    พูดจบอิริคก็หายตัวไปทันที เหลือเพียงอัลเทม่าที่กำลงัจะตามไป แต่ก่อนจะไปนั้นเขาเหลือบมองกลุ่มร่างปลอมของครูซิไฟร์อีกครั้ง สายตามองอย่างสงสัย แต่ก็กระโดดออกไปโดยไม่ใส่ใจ

    เมื่อไม่เหลือใครมาตามล่าแล้ว ร่างปลอมทั้งหมดก็แตกสลาย เหลือเพียงร่างจริงที่แอบในกลุ่มร่างน้ำแข็ง

    “หึ...เจอแผน...ซ่อนต้นไม้ให้ซ่อน.ในป่าเข้าให้ เป็นไงละ..” ชายหนุ่มเยาะเย้ยเหล่าศัตรูที่ติดกับเขาเข้าให้จังเบอร์ ด้วยน้ำเสียงโรยแรงเต็มทน เลือดก็ยังไหลทะลักออกมาไม่หยุด

    “ตอนนี้ต้องหาทางติดต่ออากาเนะจังให้...ได้” ดูเหมือนเขาจะเสียเลือดมาเกินไป จนหน้ามืดซะแล้ว เมื่อเดินได้ก้าวเดียวร่างกายของเขาก็เซไปถึงริมตึกแล้วก็...

    “อ้าว..เฮ้ย?” ร่างของชายหนุ่มผมทองตกลงไปที่ซอกตึกที่มีความสูงแปดชั้น เขาพยายามใช้ดาบทั้งสองปักเข้าที่กำแพงเพื่อลดความเร็วในการตก แต่บาดแผลที่ได้ดูเหมือนจะหนักกว่าที่คิดจนทำให้เรี่ยวแรงหดหายไป

    และแล้วดาบก็หลุดจากกำแพงไป ร่างของเขาเริ่มทวีความเร็วลงมาอีกครั้งแล้วก็

    ตุบ...

    ยังเป็นความโชคดีอีกครั้งจนตัวเขาคิดว่าถ้าส่งตั๋วชิงโชคละก็ วันนี้คงถูกรางวัลที่หนึ่งไปแล้ว เมื่อพื้นที่รองรับร่างของเขาไม่ใช่คอนกรีต แต่เป็นถุงขยะจำนวนมากที่หนาพอจนทำให้ร่างของเขาไม่ได้รับการกระทบกระเทือนมากนัก

    เมื่อลงมาได้อย่างปลอดภัย ครูซิไฟร์ก็ต้องใช้ความพยายามอย่างหนักในการทนต่อความเจ็บปวดเพื่อถอนมีดที่ปักหลังของจนมิดด้าม แต่อาจจะเป็นความคิดที่ผิด เพราะหลังจากถอนมีดออกมาแล้ว เลือดที่คั่งภายในก็ทะลักตามออกมาเป็นจำนวนมาก

    “ให้ตายสิ..ไม่ยอมหยุดไหลซักที” น้ำเสียงและสติเริ่มขาดหายไป ร่างของเขารู้สึกหนักลงเรื่อยๆ จนขยับตัวไม่ไหวแล้ว

    ครูซิไฟร์พยายามนำร่างอันหนักอึ้งไปนั่งพิงกำแพงเอาไว้ ภาพที่ปรากฏแก่สายตาเริ่มพร่ามัว

    ก่อนที่เขาจะสิ้นสติ เขาเหลือบเห็นเงาคนที่อยู่ตรงทางออกของซอกตึก ที่กำลังเดินเข้ามาหาเขา แต่ไม่ทันเห็นหน้าซะก่อน ภาพทั้งหมดก็หายไป
    ............
    .........
    .....
    ....
    ..
    .
    ตัดกลับมาที่ประเทศญี่ปุ่นอีกครั้ง ที่บ้านซาวาดะ ช่วงเวลาประมาณเจ็ดโมง

    ภายในห้องครัวของบ้านมีเด็กสาวผมสีม่วงยาวในชุดนักเรียนหญิงที่เป็นเสื้อเชิ้ตปกคอแหลมแขนเสื้อยาวสีขาว ผูกโบว์ที่แดง กระโปรงสั้นจีบลายสก้อตสีแดงแถบดำและถุงเท้ายาวสีดำ คนหนึ่งกำลังทำอาหารของร่าเริง สีหน้ายิ้มแย้มเหมือนกับเด็กที่นั่งเล่นของเล่น

    เมื่อปรุงอาหารทั้งหมดพร้อมแล้ว เธอจึงเดินออกมานอกบ้านตรงเข้าไปทางโรงฝึก

    เมื่อเปิดประตูเลื่อนสาวน้อยถึงกับพูดไม่ออก เหล่าลูกศิษย์ลูกหากว่าสามสิบชีวิต นอนไม่ได้สติอยู่กับพื้น ทุกคนมีสภาพโทรมพอดู และท่ามกลางเหล่านักสู้ที่สลบอยู่นั้น มีเด็กหนุ่มผมดำที่สภาพเยินกว่าใครเกือบทั้งตัวที่ยืนตั้งท่าเตรียมสู้กับนักสู้ร่างสูงกว่าตรงหน้าเขา

    “ขอคืนเดียวก็ไม่ได้เหรอ.......” นักสู้ร่างยักษ์พยายามกล่อมให้เด็กหนุ่มยอมแต่โดยดี ก่อนจะล้มลงไปทั้งยืน

    “ฝันไปเหอะ..รุ่นพี่” เด็กหนุ่มผู้มีตาสีแดงกับดำอย่างละข้าง กล่าวด้วยน้ำเสียงหอบอย่างเหน็ดเหนื่อย

    “อรุณสวัสดิ์ค่ะ ซาวาดะซัง นี่มันเรื่องอะไรกันเหรอค่ะ?” เด็กสาวที่เพิ่งเข้ามายังคงตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

    “อ้าว? ไอน่าจัง พอดีฉันให้เร็กซ์คุง เขาทำความรู้จักกับรุ่นพี่นิดหน่อยน่ะ” ฮารุยิ้มกว้างตอบ “เอาละเร็กซ์เดี๋ยวได้เวลาไปเรียนแล้วน่ะ คำนับรุ่นพี่แล้วรีบไปเตรียมตัวซะ

    เร็กซ์ลากสังขารอันทรุดโทรมออกไปที่ประตูแล้วหันมาโค้งให้รุ่นพี่กับป้าฮารุ ก่อนจะเดินออกไป พร้อมบ่น “พรุ่งนี้ตูจะรอดชีวิตจากที่นี่มั้ยเนี่ย?”

    เมื่อเจ้าตัวหน้าเนื้อล้างตัว พร้อมแต่งกายเสร็จ ก็เดินลงมาในชุดนักเรียนญี่ปุ่นแขนยาวแบบฤดูหนาวสีดำล้วน ขอบเสื้อเป็นแถบสีเหลืองทองจดกระดุมหมดทุกเม็ด ซึ่งดูแล้วไม่ค่อยเข้ากับตัวเร็กซ์เท่าไหร่ จนเจ้าตัวแต่ปลดกระดุมทั้งหมดออก เผยให้เห็นเสื้อเชิ้ตสีขาวออกมา

    “อืม... ใส่แล้วดูดีน่ะ” ป้าฮารุที่เปลี่ยนมาอยู่ในชุดสเวตเตอร์สีขาวกระโปรงยาว ที่กำลังนั่งรอที่โต้ะอาหารที่เต็มไปด้วยกับข้าวแบบญี่ปุ่น พร้อมๆกับไอน่าที่นั่งถัดออกไป หันมาพูดกับเร็กซ์ “อรุณสวัสดิ์ (โอฮาโยโกไซมัตสึ) เร็กซ์คุง”

    “อะ...อรุณ.สวัสดิ์” เร็กซ์ตอบกลับอย่างสั่นๆ ดูเหมือนว่าเขายังคงไม่คุ้นกับประโยคทักทายบางคำแบบญี่ปุ่น

    “เอาละ...มาเริ่มกินข้าวได้แล้ว เดี๋ยวจะไปสายกัน” ป้าฮารุพูดหลังจากที่เร็กซ์นั่งประจำโต้ะอาหารเป็นเรียบร้อย

    “ทานละน่ะครับ/ค่ะ (อิตทาตาคิมัตสึ)” พูดจบทั้งหมดก็เริ่มจัดการกับอาหารเบื้องหน้า

    ผ่านไปได้พักใหญ่ก่อนเหล่าอาหารจะถูกกินจนเกลี้ยง ดังนั้นแล้วทั้งเร็กซ์และไอน่าก็เตรียมตัวไปโรงเรียนกันโดยไว

    “รีบไปเถอะ ฉันจัดการล้างชามให้เอง” ฮารุกล่าวเพื่อให้ทั้งสองได้รีบเดินทางเสียทีไม่งั้นจะสายเสียก่อน

    “งั้นหนูไปก่อนน่ะค่ะ” ไอน่าที่ตอนนี้สวมเสื้อนอกสีดำขอบทอง มีตรงสัญลักษณ์รูปโล่ที่มีกุหลาบตรงกลางซึ่งเป็นเครื่องแบบของโรงเรียนแล้วก็โค้งให้หนึ่งที ก่อนจะออกไปจากบ้าน

    “เร็กซ์คุง..จำไว้น่ะว่าอย่าก่อเรื่องทะเลาะวิวาทอีกเป็นอันขาดน่ะ” ป้าฮารุทิ้งท้ายให้แก่เด็กหนุ่มที่กำลังจะออกตามไปด้วยรอยยิ้ม “ ถ้าโดนทางโรงเรียนต่อว่ามาอีกละก็ ฉันจะให้พวกรุ่นพี่ในโรงฝึกรุมประชาทัณฑ์น่ะจ้ะ!!”

    “คะ..ครับ..” เงื่อนไขอันน่าสะพรึ่งกลัวออกมาภายใต้รอยยิ้มอันอ่อนโยน เล่นเอาเด็กหนุ่มเสียวหลังวาบ เห็นได้ชัดว่าเหตุการณ์รับน้องเมื่อเช้ายังคงตราตรึงอยู่ในหัวใจของเขา “งั้นผมไปละน่ะครับ”

    ตอนเช้าวันนี้ถนนยังคงเต็มไปด้วยหิมะ อากาศหนาวภายใต้ท้องฟ้าไร้แสงแดดเป็นบรรยากาศที่ดี เหมาะแก่การเดินทางไปโรงเรียนอย่างช้าๆ แต่หาใช่หนุ่มสาวสองคนที่กำลังต้องวิ่งไปโรงเรียนโดยด่วนก่อนที่จะสาย

    “เอ่อ...ขอถามหน่อยสิ เธอไปทำอาหารที่บ้านของฮารุซังตลอดเลยเหรอ?” เร็กซ์ชวนถามขนาดที่ยังคงวิ่งไม่ยอม

    “จ้ะ..ซาวาดะซัง แกอยู่บ้านคนเดียวน่ะ เลยชวนฉันไปกินข้าวเป็นเพื่อนบ่อยๆ” ไอน่าตอบอย่างร่าเริง “เร็วๆเข้า เร็กซ์คุง ถ้าไม่วิ่งให้เร็วกว่านี้จะไปโรงเรียนไม่ทันน่ะ” ว่าแล้วฝีเท้าของสาวน้อยก็เร็วขึ้นอีก

    “คนญี่ปุ่นต้องวิ่งไปโรงเรียนกันทุกคนหรือไงกันเนี่ย?” เร็กซ์บ่นเล็กน้อยขนาดที่เท้ายังคงวิ่งตามไม่หยุด

    หลังจากวิ่งไปได้ห้านาทีกว่า เขาก็ได้เจอโรงเรียนขนาดใหญ่ ภายในกำแพงสูงที่ประดับป้ายภาษาญี่ปุ่นที่เขาอ่านไม่ออก ดูเหมือนว่าทั้งสองจะมาทันเวลา แต่เมื่อก้าวเท้าเข้าเขตโรงเรียนนั่นเอง

    “เฮ้ย!!!เรียวทาโร่!!! ฉับบอกไปแล้วใช่มั้ย? ว่าให้จัดการกับไอ้ทรงผมเฮงซวยบนหัวแกน่ะ!!!” ของชายวัยกลางคนดังไปทั่วบริเวณ

    “โถ่...อาจารย์ แค่ทรงผมแค่นี้ไม่เห็นต้องทำเป็นเรื่องใหญ่เลยนี้ครับ” เสียงชายหนามที่เป็นนักเรียนโต้เถียงออกมาอย่างรำคาญพลางลูบทรงผมที่เสยไปถึงหลังหัว

    “ไม่รู้แหละวันนี้ ฉันต้องจำแกไปโกนหัวให้ได้!!!” ชายในชุดวอร์มสีน้ำเงิน มือถือดาบไม้ไผ่ข้าง ทรงผมที่เด่นจนสะดุดตาเร็กซ์ คือโล้นไม่มีผม กำลังจะพุ่งมาคว้าตัวเด็กนักเรียนที่ถูกเรียกว่า เรียวทาโร่

    แต่สิ่งคว้าได้กลับเป็นพียงมวลอากาศที่ว่างเปล่า เด็กหนุ่มหลบทางข้างอย่างรวดเร็ว จนอาจารย์ลงไปจับกบที่พื้นก่อนที่จะเดินจากไปโดยไม่ขอโทษขอโพย

    “เร็กซ์คุง โรงเรียนจะเข้าแล้วน่ะ เธอต้องไปห้องพักครูก่อนไม่ใช่เหรอ?” เสียงของไอน่าดังขึ้น ขนาดที่เร็กซ์ยังคงยืนมองการทะเลาะกันของศิษย์อาจารย์ที่เพิ่งจบลงไป

    “อะ..อืมจะไปเดี๋ยวนี้แหละ” เด็กหนุ่มเดินเข้าสู่โรงเรียน ในใจยังคงคิดอยู่ลึกๆ “คนๆนั้น ทำไมเหมือนรู้สึกเคยเจอกันมาก่อนแฮะ.”

    กริ่งของโรงเรียนเริ่มดังขึ้น เมื่อได้เวลาเข้าเรียนแล้ว เหล่านักเรียนต่างก็วิ่งเข้าไปในตัวอาคารเรียนสีขาว ซึ่งเหนือทางโรงเรียนไปทางตะวันตกเฉียงใต้ บนต้นฉำฉ่ายักษ์กลับมีเงามืดเงาหนึ่งจ้องมองลงมาด้วยสายตาดุร้าย ก่อนจะหายตัวไป.....

    TO BE CONTINUCE






    #####################################################################

    ขอพระคุณตัวละครดีๆจาก

    อัลเทม่า โนโดเรน(Rep3)>>>[Axeroth-Xenosenki]-Ryuto- ชายหนุ่มผมสีแดงเพลิงยาวที่ไม่รู้เป็นญาติฝ่ายไหนกับเนตรเพลิงชานะหรือเปล่า ผมยาวเหมือนกัน มาด้วยพลังการลบสรรพสิ่ง และการปรากฏตัวที่น่าตกใจ ต้องรอดูต่อไปว่าเกิดอะไรขึ้นกับชายผู้นี้กันแน่ (ขออภัยที่ต้องดัดแปลงความสามารถเล็กน้อยน่ะครับ เพื่อให้สอดคล้องกับตัวฟิค)

    อิริค คอนสแตนด์ (Rep5)>>> near ฆาตกรโรคจิตจากอังกฤษ ที่ทำเอาครูซิไฟร์หัวปั่นไปเลย ความสามารถของเขาจะเป็นอย่างไงนั้น ได้เห็นกันแน่ไม่นานเกินรอ

    #####################################################################
  4. maxlancer

    maxlancer ประธานรุ่น2ตุรกีเชียงใหม่

    EXP:
    1,183
    ถูกใจที่ได้รับ:
    1
    คะแนน Trophy:
    88
    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

    Chapter 4 : เงามืดของศิลาเทวะ (The shadow of divinity stone)

    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

    ณ ยามค่ำคืนอันเงียบสงัด ของเมืองอ๊อกซฟอร์ด ประเทศสหราชอาณาจักรอังกฤษ ที่ไร้ซึ่งเสียงรบกวนการพักผ่อนของชาวเมืองนี้

    เยี่ยงออกไปไม่ไกลมากนัก เป็นที่ตั้งของอาคารขนาดใหญ่โตมโหฬาร ตัวตึกมีความโบราณคลาสสิกตามแบบของประเทศ ซึ่งสถานีที่ดังกล่าวก็คือ มหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด ที่ๆเป็นหนึ่งในสถาบันการศึกษาอันน่าภาคภูมิใจของประเทศอังกฤษ ด้วยความยอดเยี่ยมในการพัฒนาบัณฑิตคุณภาพดีออกมาหลายต่อหลายรุ่น

    บริเวณลานกว้างที่อยู่ภายในช่วงอาคารที่ล้อมเอาไว้นั้น มีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง มีประมาณสี่คน แต่ด้วยความมืดที่ไร้แสงจันทร์ ทำให้มองเล่นไม่ชัดนัก กำลังมุ่งตรงเข้าสู่ตัวอาคาร

    กลุ่มคณะหยุดเดินหลังจากที่กลุ่มเมฆเริ่มลอยออกจากเส้นทางของแสงจากดวงจันทร์ อีกทั้งมีคนในกลุ่มสังเกตเห็นยามที่กำลังเดินตรวจตราความเรียบร้อยอยู่ด้วย

    “จะเอาอย่างไงดีครับ ท่าน?” เสียงชายหนุ่มที่ฟังดูน่าจะเป็นวัยรุ่นดังขึ้น แต่ยังไม่อาจเห็นตัว

    “ข้าละ เกลียดแสงจันทร์จริงๆ มาไม่เคยถูกเวลาซักที....”เสียงแหบต่ำที่ฟังดูขนลุก ออกมาจากร่างอันใหญ่โตภายใต้เสื้อคลุมมีฮูดตัวใหญ่ยักษ์สีดำที่ปกปิดร่างกายของชายผู้นี้จนไม่เห็นตัว “ช่วยข้าหน่อยจะได้มั้ย เรออน

    ร่างเล็กร่างหนึ่งเดินออกจากเงามืด เป็นเด็กชายตัวเล็ก ผมสีทองอ่อนเกือบขาวปล่อยยาวระต้นคอ ดวงตาสีฟ้าสดใสบริสุทธิ์ดุจท้องฟ้าที่ไร้เมฆ ใบหน้าใสนวลผุดผ่องดูอ่อนกว่าวัยที่น่าจะแค่สิบห้ามาก หน้าตาน่ารักน่าทะนุถนอมแฝงแววคมเข้มนิดๆ ในเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวที่ใหญ่เกินตัวไปนิด ปล่อยชายเสื้อ ผูกเนคไทสีเลือดหมู กับกางเกงขายาวสีดำ

    “รับทราบครับผม!!!” เสียงใสๆของเด็กน้อยพูดอย่างร่าเริงพร้อมตะเบะรับคำสั่ง ก่อนจะเดินออกไปข้างหน้า

    เมื่อได้ตำแหน่งจะเหมาะเจาะ เด็กชายก็เริ่มหลับตาลง บรรยากาศรอบๆเริ่มเย็นลง ก่อนจะปรากฏปีกเทวดาสีดำใหญ่ยาวจากหลัง และกล่าวว่า “Door Of Darkness (ประตูสู่ความมืดมิด)”

    คลื่นสีดำสนิทพุ่งออกจากปีกของเขาขึ้นไปรวมกันเป็นกลุ่มก้อนเหนือหัว ก่อนจะขยายออกมาเป็นคลื่นครอบคลุมท้องฟ้าจนดำไร้ซึ่งแสงเล็ดลอด

    “สมกับเป็น “เรออน มาเธีย” ที่ได้รับฉายาว่า เทวดาแห่งความมืด จริงๆน่ะค่ะ ทั้งพลังและท่วงท่าไร้ที่ติจริงๆ” หญิงสาวที่ยืนข้างๆตัวของชายร่างยักษ์ในเสื้อคลุมอดที่จะชื่นชมไม่ได้

    “นั่นสิน่ะ ว่าแต่ทั้งสองคนช่วยเปิดทางให้ข้าไปทางห้องสมุดหน่อยสิ” คำขอออกจากภายในเสื้อคลุมสีดำตัวใหญ่
    “ค่ะ / ครับ” ชายหญิงทั้งสองเดินรับปฎิบัติตามอย่างไม่ขัดขืน ภายใต้ความมืดที่เรออนสร้างขึ้น

    “นายไปทางซ้ายละกัน ฉันจัดการขวาเอง” เสียงหญิงสาวพูด

    “นี่ๆ กล้าดีอย่างไงมา...” ไม่ทันที่ชายหนุ่มจะได้โต้เถียง ร่างที่เดินมาด้วยกันก็หายไปต่อหน้าต่อตา “...น่าเบื่อจริงๆพับผ่าสิ”

    เบื้องหน้าออกไปประมาณเกือบห้าร้อยเมตร รอบๆประตูทางเข้าสู่ตัวอาคาร มียามสี่คนที่เดินสวนกันไปมา ท่ามกลางดวงไฟที่เปิดขึ้นตามทางเดิน

    “เฮ้ย...ทำไมคืนนี้ฟ้ามันมืดจังวะ” เสียงยามคนหนึ่งพูดอย่างสงสัย พลางหาไปหนึ่งที

    “คืนเดือนมืดละมั้ง?....อั้ก!!!!” พริบตาที่พูดจบ ร่างของยามคนที่พึ่งตอบก็ล้มลงไป พร้อมๆกับการปรากฎร่างของหญิงสาวที่อยู่เบื้องหลังร่างที่นอนกองพื้น

    “เฮ้ย!!! ผู้..!!!” ยามอีกคนพูดไม่ทันจบร่างของหญิงสาวกลับมายืนปิดปากของเขาอยู่เบื้องหน้าอย่างเหลือเชื่อ ก่อนที่เข่าขวาของเธอจะแทงเข้าเต็มท้องอย่างแรงจนตัวยามสลบไป

    “เฮ้!!! ทางนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้นน่ะ!!” ยามสองคนที่ยืนเยื่องไปทางซ้ายของประตูพูดดังขึ้น

    “ถามมาได้ก็บุกรุกไง...” คราวนี้กลับมาเสียงอีกเสียงดังขึ้น ก่อนร่างของยามทั้งคู่จะล้มทั้งยืน

    “....มาช้าน่ะ” หญิงสาวกล่าวตำหนิ ก่อนจะเดินออกมาจะจากมุมมืด เผยให้เห็นผมสีดำสไลด์ยาวที่รวบขึ้นสูง ดวงตาสีม่วงเรียวภายใต้ใบหน้านิ่งที่ดูเย็นชา อยู่ในเสื้อคอเต่าแขนกุด กางเกงขาสั้นประมาณเกือบถึงเข่าสีดำ รองเท้าบู้ทสีน้ำตาลเข้มที่ยาวปิดหน้าขา กับถุงมือหนังเปิดนิ้วสีดำ และมีกำไลข้อมือที่มีหินรูปทรงวงรีสีม่วงเข้มติดอยู่

    “..ใครเขาจะไปวิ่งเร็วนรกแตกเหมือนเธอกันละ นัวส์ ” ชายหนุ่มพูดอย่างไม่พอใจ ก่อนจะเดินตรงมาหา นัวส์ มาร์เวลล์ ซึ่งยืนอยู่บริเวณหน้าประตูทางเข้าอาคาร เผยให้เห็นผมสีเงินเรียวยาว พร้อมดวงตาสีเขียวคราม อยู่ในชุดมีชายเสื้อแบบจีนสีดำและผ้าคลุมไหล่ของเขา ในมือถือสิ่งๆหนึ่งที่ห่อด้วยผ้ายาว ชายคนนี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจาก เอ็ดริก ซิลฟอร์เน่ ผู้ที่เคยปรากฏตัวที่ญี่ปุ่นเมื่อประมาณวันก่อนนั่นเอง

    แต่นัวส์ไม่ได้สนใจจะมานั่งโต้วาทีกับเอ็ดริกต่อ ก่อนจะเดินไปที่ประตูใหญ่พร้อมนำกุญแจที่คว้ามาจากร่างของยามบนพื้นมาไข

    “เรียบร้อยแล้วคะ ท่าน” นัวส์หันมารายงานผลแก่ชายในเสื้อคลุมที่เพิ่งเดินมาถึงพร้อมกับเด็กน้อยผมทองที่เดินมาเคียงข้าง

    “อืม..เรออน..เจ้ายืนเฝ้าตรงนี้หน่อยน่ะ ข้าไม่อยากให้ใครเข้ามารบกวนการสนทนาของข้า” เสียงโทนต่ำที่ฟังดูแหบเล็กน้อย บอกแก่เด็กน้อยที่สูงเพียงช่วงขาของชายในเสื้อคลุม

    “ง่ะ...ผมก็อยากไปด้วยอะ..” เรออนทำหน้าค้อนใส่เล็กน้อยอย่างน้อยใจที่ตนถูกทิ้งไว้ด้านหน้าประตู

    “ไม่เอานะ เรออน เดี๋ยวฉันจะเอาอมยิ้มมาฝากละกัน” เอ็ดริกพูดปลอบใจแบบกวนๆ

    “พี่เอ็ดริก ผมไม่ใช่เด็กอนุบาลน่ะครับ....” เรออนกล่าวอย่างไม่ค่อยพอใจ “แต่ถ้าเป็นพิซซ่าซักถาดละก็โอเคเลย!!”

    “เฮ้ย...มากไปแล้ว...เดือนนี้ตังค์ยิ่งช็อตๆอยู่” เอ็ดริกทึ้งกับคำขอของเด็กคนนี้เล็กน้อย

    “ไม่เป็นไร....เรออน เสร็จเรื่องแล้วข้าจะพาไปเที่ยว ตกลงมั้ย?” คำพูดต่อรองที่ไม่เข้ากับน้ำเสียงแหบต่ำของชายในเสื้อคลุมพูดขึ้น

    “ก็ได้ครับ...” เรออนรับปากคำอย่างไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ ก่อนจะหันตัวมายืนเฝ้าหน้าทางเข้าปล่อยให้ทั้งสามคนที่เหลือเดินเข้าไป

    ภายในมหาวิทยาลัยที่ไม่มีนักศึกษาแล้วนั้น กลับมีแสงไฟเล็ดลอดออกมาจากห้องสมุดของวิทยาลัย ที่เปี่ยมไปด้วยตำราหายากมากมายไม่ต่ำกว่าล้านเล่ม พร้อมด้วยเสียงพลิกหน้าหนังสืออย่างรวดเร็วเหมือนแทบจะไม่ได้มองดูอักขระด้วยซ้ำไป

    ภายใต้แสงไฟในห้องสมุดแห่งนี้ ยังคงมีชายแก่คนหนึ่ง หน้าตาราวๆ อายุห้าสิบขึ้น ผมยาวถึงคอสีขาวหงอกที่เหลือเพียงแค่ข้างหัวทั้งสองด้าน สวมแว่นตาเลนส์หนาสีดำ ในชุดเสื้อเชิ้ตสูทสีขาวที่ปลดกระดุมเม็ดบนสุดออก กับถลกแขนเสื้อขึ้น เน็คไทสีกากี กางเกงสีน้ำตาล กำลังนั่งเปิดหน้าตำราเล่มหนาอย่างใจจดใจจ่อ ท่ามกลางกองหนังสือนับหลายสิบเล่มที่อยู่สูงกว่าหัวเขาบนโต๊ะที่เขานั่งศึกษาตำราอยู่

    เมื่ออ่านได้ซักพัก ชายแก่ก็ปิดหนังสือตรงหน้าพร้อมถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนจะชะโงกหน้าพูดไปทางเงามืดบริเวรชั้นหนังสือข้างในว่า “คุณโรเซีย ช่วยหยิบพวกที่เกี่ยวกับทฤษฎีการกำเนิดทั้งหมดแถวนั้นมาให้หน่อยสิ”

    ห่างออกไปจากโต๊ะของชายแก่ ระหว่างชั้นหนังสืออันสูงใหญ่ มีหญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังนั่งเลือกตำราเกี่ยวกับโบราณคดีที่ตอนนี้กองอยู่ข้างๆตัวเธอจนสูงแทบจะเลยหัวแล้ว “ค่ะ!! ศาสตราจารย์”

    หญิงสาวยกกองหนังสือขนาดใหญ่ในลังกระดาษมาวางไว้ที่โต้ะที่เหลือที่ว่างเพียงนิดหน่อย ก่อนจะเสยปอยผมยาวของเธอขึ้นทัดหูอย่างดูเหนื่อยๆ แสงไฟฉายให้เห็นผมสีดำอันเงางามของเธอ ผมหน้าป้ายออกไปทางขวาซึ่งปิดหน้าผากเกือบมิด ดวงตาสีดำดูล้ำลึกที่อยู่ภายใต้ใบหน้ารูปไข่ดูสมส่วน ผิวสีขาวผ่องละเอียดลออ สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวลายทางสีดำ กางเกงยีนส์สีน้ำเงินเข้ม รองเท้าผ้าใบดูทะมักทะแมง

    “พอจะได้เรื่องอะไรบ้างมั้ยค่ะ?” หญิงสาวนามสกุลโรเซียถาม

    “อยากจะบอกว่าได้อยู่หรอกน่ะ แต่ว่าเราไม่มีมูลอะไรเกี่ยวกับหินที่ฝังอยู่บนหน้าผากของเธอเลย....”ศาสตราจารย์ถอดแว่นออกพลางใช้นิ้วนวดตาตัวเองอย่างเหนื่อยอ่อน

    “นั่นสิน่ะค่ะ...”หญิงสาวสีหน้าดูเศร้าใจเล็กน้อย...

    “ว่าแต่ขอฉันดูหินนั่นอีกครั้งได้หรือเปล่า” ศาสตราจารย์สวมแว่นกลับเข้าที่

    หญิงสาวพยักหน้า ก่อนจะนั่งคุกเข่าแล้วเปิดผมที่ปิดหน้าผากออก หินสีแดงเลือดรูปร่างประหลาดดูคล้ายกับขีดสองขนานกันในทางตรง แล้วมีขีดสั้นยื่นออกมาตรงกลางออกไปด้านข้าง ตัวหินส่องประกายสว่าง

    “อืม...ไม่อยากเชื่อเลยน่ะ ว่าหินก้อนแค่นี้จะมีพลังลึกลับแฝงอยู่” ศาสตราจารย์ขยับแว่นเล็กน้อยด้วยความสนใจ

    “เอาเป็นว่า ไว้ว่างๆเธอลองไปที่บ้านฉันดูละกัน ฉันอยากจะเก็บข้อมูลมันอย่างละเอียดดู อาจจะรู้วิธีนำมาออกจากร่างของเธอก็ได้”

    เมื่อได้ยินดังนั้น หญิงสาวก็เผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย “ค่ะ!! ศาสตราจารย์”

    รับโทรศัพท์หน่อยเจ้าค่า~~~ รับโทรศัพท์หน่อยเจ้าค่า~~~~

    เสียงริงโทนโทรศัพท์แบบอัดเสียงเด็กน้อยน่ารักเข้าไปดังขึ้น ก่อนที่หญิงสาวผมดำจะหยิบมือถือขึ้นมาคุย

    “ปโทเลมี พูดค่ะ....”

    “ปโทเลมีค่ะ...โรเซียนั้นแหละค่ะ...” หญิงสาวพูดอย่างรำคาญ จนศาสตราจารย์พอจะเดาว่าคนที่โทรมาคงจำได้เพียงแค่นามสกุลเท่านั้นเอง เหมือนกับอีกหลายๆคนที่ไม่ค่อยจะรู้จักเธอในนาม ปโทเลมี โรเซีย เท่าไหร่นัก

    “ค่ะ จะรีบกลับไปเดี๋ยวนี้แหละค่ะ...” พูดจบเธอก็วางหูอย่างไม่สบอารมณ์เล็กน้อย “ขอโทษน่ะค่ะ ศาสตราจารย์ หนูขอตัวไปทำธุระกับเจ้าของหอก่อนน่ะค่ะ”

    “อืม...อย่าลืมออกไปทางประตูสำรองข้างหลังอาคารละ เดี๋ยวยามจับได้จะแย่” ศาสตราจารย์ย้ำเตือนเล็กน้อย

    “ค่ะ!! ราตรีสวัสดีน่ะค่ะ” ว่าแล้วปโทเลมีก็วิ่งออกไป

    “เอาละ..เราเองก็ลองหาข้อมูลต่อแล้วค่อยกลับดีกว่า”

    “คิดว่าคงไม่ได้แล้วละครับ เพราะท่านมีเรื่องต้องคุยกับข้าก่อน” เสียงแหบต่ำอันเย็นเฉียบดังขึ้น จนตัวชายแก่สวมแว่นสะดุ้ง นอกจากเขา แล้วก็ปโทเลมีที่เพิ่งกลับไปไม่น่าจะมีใครอยู่ที่นี่เลยนี่นา

    ศาสตราจารย์ค่อยหันตัวไปตามที่มาของเสียง แล้วก็พบว่ามีคนๆหนึ่งอยู่ในเสื้อคลุมสีดำตัวใหญ่ก่อนเขาเกือบสองเท่าได้ยืนอยู่ สัญชาตญาณองเขาฟ้องเลยว่า ชายลึกลับคนนี้ไม่ได้มาดีแน่นอน

    “สวัสดียามดึกน่ะครับ ท่านศาสตราจารย์” ชายเสื้อคลุมโค้งคำนับเล็กน้อย พร้อมการทักทายอย่างสุภาพ

    แต่ตัวศาสตราจารย์ไม่เล่นด้วย กลับลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่แล้วถอยออกจากระยะไปอย่างช้า ก่อนจะตะโกนสุดเสียง”ยาม!!! มีคนแอบเข้ามาในนี้!!”

    “ถ้าพวกที่อยู่ข้างนอกละก็ผมเก็บไปหมดแล้วละครับ คุณฮอว์คิง” เสียงเด็กหนุ่มวัยรุ่นอีกเสียงดังขึ้น พร้อมๆกับที่ปลายดาบอันแหลมคอจ่อเข้าที่กลางหลัง จนศาสตราจารย์โทมัสจำต้องหยุดถอยแล้วหันมามอง

    “เธอ...ซิลฟอร์เน่!! ทำไมถึงมาอยู่นี่ได้!!” ชายหนุ่มผมเงินนามว่าเอ็ดริก ซิลฟอร์เน่ ยืนเอาดาบทองคำสุดรักของเขาดักทางหนีของโทมัสเอาไว้

    “อย่าเพิ่งถามเลยครับ หันไม่คุยกับท่านผู้นั้นก่อนดีกว่า” ชายผมเงินพูดตัดความอย่างไร้อารมณ์ ทำให้โทมัสทำอะไรไม่ได้นอกจากต้องทำตามที่เอ็ดริกว่ามา

    “มีธุระอะไรกับคนแก่ขี้หลงขี้ลืมอย่างฉัน...” ศาสตราจารย์กล่าวด้วยน้ำเสียงเบาแก่ชายในเสื้อคลุม

    “อะไรกันครับ....ท่านอุตส่าห์เป็นถึงศาสตราจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสาขาโบราณคดี โทมัว ฮอว์คิง เชียวน่ะ” ชายในเสื้อคลุมพูดอย่างยกย่องชื่อเสียงของศาสตราจารย์โทมัส

    “ก็แค่รู้เรื่องโบร่ำโบราณ ไม่เห็นมีอะไรที่คุณจะเอามาพูดคุยได้หรอก” โทมัสพยายามปฎิเสธการสนทนาครั้งน้

    “ก็เรื่องศิลาเทวะไงครับ ท่านผู้เป็นหนึ่งในทีมวิจัยศิลาแห่งสถาบันวิจัยของบริษัทซาเยอร์( Zayer)น่าจะรู้เรื่องนี้ดี”

    ศาสตราจารย์โทมัสทำหน้าเหมือนกับเพิ่งถูกตบหน้าด้วยความตกใจ “กะ..แกรู้เรื่องนี้ได้อย่างไง!!”

    “เอาเป็นว่าข้ารู้ก็แล้วกัน ตอนนี้ข้าจะเล่นเกมส์ถามตอบกันท่าน ช่วยให้ความร่วมมือกันหน่อย..”

    ชายในเสื้อคลุมเริ่มเดินเข้ามาใกล้ตัวศาสตราจารย์เรื่อยๆ จนตอนนี้ระยะห่างเพียงไม่ถึงเมตร แต่ความใกล้ก็ไม่ได้ทำให้ใบหน้าในเสื้อคลุมปรากฏอยู่ดี

    “ข้อแรก ซาเยอร์มีศิลาไว้ในครอบครองกี่ชิ้น...”

    โทมัสปิดปากเงียบไม่ยอมพูดอะไรและพยายามหันหน้าหลบ. เอ็ดริกที่เห็นดังนั้นก็หมายจะใช้กำลัง แต่ชายในเสื้อคลุมกลับยกมือห้ามเสียก่อน

    “ข้อแรกไม่ได้งั้น...ข้อสอง ตอนนี้งานวิจัยถึงขั้นไหนแล้ว..”

    ผลลัพธ์ยังคงเหมือนเดิม โทมัสยังคงไม่บอกกล่าวอะไรทั้งสิ้น แม้จะสีหน้าจะบ่งบอกถึงความกลัวมากเพียงใดก็ตาม

    “อืม..ไม่ได้อีกงั้นเหรอ”เสียงถอนหายใจเล็กน้อยออกมาจากเสื้อคลุม “ข้าว่าข้อสามท่านตอบข้าได้แน่...”

    ในพริบตาที่กล่าวจบ มือสีคล้ำขนาดใหญ่เกือบจะคว้าศีรษะของคนได้ก็โผล่ออกจากชายเสื้อไปบีบคางของศาสตราจารย์โทมัส หินสามเหลี่ยมสีดำที่ฝังกลางฝ่ามือ เริ่มส่งออร่าสีม่วงอันน่ากลัวไปยังร่างของศาสตราจารย์โทมัส

    “คราวนี้จะช่วยตอบข้าได้หรือยัง...” ชายในเสื้อคลุมย้ำถามอีกครั้ง พร้อมกับคลายแรงบีบที่มืออันใหญ่โตของตน

    “...ฉัน....ไม่ทราบจริงๆว่าซาเยอร์มีศิลาเก็บไว้กี่ชิ้น...ส่วนงานวิจัยตอนนี้ ได้ตัวอย่างทดลองที่ไม่มีอาการต่อต้านหลังฝังตัวศิลาไปแล้ว......” ศาสตราจารย์ในยามนี้สีหน้าไร้อารมณ์ ดวงตาเหม่อลอยไม่มีสติสัมปชัญญะหลงเหลืออยู่เลย ดูแล้วเหมือนกับหุ่นกระบอกไม่มีผิด

    “ดูเหมือนว่าฝั่งโน่นจะเริ่มเคลื่อนไหวกันเร็วขึ้นแล้วน่ะครับ..” เอ็ดริกที่ยืนเงียบฟังมานาน ออกความเห็นบ้าง

    “นั้นสิน่ะ....งั้นขอถามอีกข้อ...ศิลา“Emperor Of God(ราชาแห่งพระเจ้า)”อยู่ที่ไหน?” น้ำเสียงที่ชายในเสื้อคลุมถามนั้น เริ่มหนักหน่วงขึ้น

    “ฉัน...”

    ตุบ...

    “ใครน่ะ!!!” ก่อนที่ศาสตราจารย์โทมัสจะปริปากพูด เสียงบางสิ่งที่ตกลงกับพื้นดังขึ้น ท่ามกลางความเงียบ
    แต่เอ็ดริกไม่ทันได้เริ่มก้าว นัวส์ซึ่งยืนหลบอยู่ไม่ไกลนัก ก็พุ่งเข้าไปหาต้นเสียงระหว่างชั้นหนังสือด้วยความเร็วเกินมองเห็นในชั่วอึดใจ

    ทว่าสิ่งที่อยู่ต่อหน้าตัวเธอกลับเห็นเพียงแต่กองหนังสือเท่านั้น กลับไม่มีร่องรอยของสิ่งมีชีวิตเหลืออยู่เลย เมื่อพยายามวิ่งหาด้วยฝีเท้าเอาสุดจะตามทันก็กลับไม่พบอะไรนอกจากหนังสือ

    “...เร็วกว่า “Reneval ( เรเนวอลล์ )” ของฉันอีกเหรอเนี่ย?.”หญิงสาวผมดำพูดอย่างตกใจเล็กน้อย ภายใต้สีหน้าของเย็นชา

    “ไม่หรอกคงจะแค่หนังสือตกเฉยๆ มากกว่า...”เอ็กริกที่ตามถึงกล่าว “นอกจากเธอแล้วจะมีใครโกยได้ไวพอกันอีกละ”

    “อืม...นั่นสิน่ะ..” เมื่อได้ยินดังนั้น เธอเองก็ยอมเดินกลับอย่างโดยดี แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงหันมามองกองหนังสือบนพื้นอย่างรู้สึกมีอะไรขัดใจอยู่ ก่อนจะเดินจากไปโดยไม่หันกลับมาอีก

    “มีอะไรผิดปกติค่ะ แค่หนังสือหล่นจากชั้นเท่านั้นเอง” นัวส์เดินกลับมารายงานผลแก่ชายเสื้อคลุมที่ยืนคู่กับศาสตราจารย์โทมัสที่ยังคงเหม่ออยู่

    “อืม.. เอาละมาเข้าเรื่องต่อ..ตกลงท่านรู้เรื่องเกี่ยวกับศิลาที่ว่าหรือไม่?.” ชายในเสื้อคลุมดำถามอีกครั้ง
    แต่คราวนี้ฝ่ายตอบกลับเกิดอาการสั่น ดวงตาเริ่มไม่อยู่กับที่ ดูราวกับเป็นโรคชักกระตุกก็มิปาน ทั้งๆที่ยังยืนอยู่

    “ดูเหมือนว่ามนุษย์ธรรมดาจะทนรับพลังของศิลาได้ไม่นานเท่าไหร่น่ะ..” ชายชุดคลุมดำรู้สึกเสียดายเล็กน้อยที่ยังไม่ได้คำตอบที่ต้องการครบ

    “ทำไมไม่ใช้กำลังเค้นถามเอาซะเลยละครับ ไม่เห็นต้องใช้พลังให้เหนื่อยเลย” เอ็ดริกดูเหมือนไม่ค่อยเข้าใจในการกระทำของหัวหน้าตัวเอง

    “ไม่เอานา เอ็ดริก...ท่านผู้นี้เป็นถึงศาสตราจารย์ เราไม่ควรจะใช้วิธีป่าเถื่อนอย่างงั้นกับท่านหรอก” ชายชุดดำพูดยกยอศาสตราจารย์โทมัสเล็กน้อย

    “ท่านค่ะ...ได้เวลาแล้วค่ะ” นัวส์เหลือบดูนาฬิกาแถวนั้นจึงพูดขึ้น

    “งั้นเหรอ...ช่วยไม่ได้...พวกเราก็รีบไปกันเถอะ เดี๋ยวจะไม่ทันเวลา” ว่าแล้วชายชุดคลุมดำกลับหันตัวเตรียมกลับ

    “ท่านครับ แล้วเอาไงกับคุณฮอว์คิงดีครับ” เอ็ดริกถามหลังจากที่ยังเห็นศาสตราจารย์โทมัส ยังคงอาการสั่นอยู่

    “จริงสิ..เกือบลืมไป” ชายชุดคลุมดำ เหลียวตัวกลับพร้อมชูมือข้างขวาที่มีหินสามเหลี่ยมติดอยู่ขึ้น ก่อนที่แสงสว่างสีม่วงจะออกมาจากร่างกายของโทมัสจนร่างของเขาทรุดหวบไปนอนที่พื้น

    “ทิ้งเอาไว้ตรงนั้นแหละ ข้าทิ้งลิซ(Leech)ออร่า เอาไว้แล้ว” แล้วทั้งหมดก็เดินจากไปโดยไม่เหลือบมองร่างที่นอนสิ้นสติอยู่ที่พื้นอีกเลย

    แต่ดูเหมือนว่ากลุ่มคนลึกลับที่เพิ่งจากไปจะไม่ทันสังเกต เมื่อในอกเสื้อของตัวโทมัสกลับมีโทรศัพท์มือถือที่ตอนนี้เปิดลำโพงเอาไว้ หน้าจอเขียนชื่อสายปลายทางไว้ว่า “นาเดีย (Nadya)”

    กลับมาที่หน้าทางเข้าอาคาร ตอนนี้เด็กหนุ่มผมทองทีรับหน้าที่ดูต้นทางเอาไว้กำลังนั่งเท้าคางอยู่น้าประตูอย่าง
    เบื่อหน่าย พลางหาวกว้างเพราะความง่วง

    “เรออน...ได้เวลาไปกันแล้ว” กลุ่มของชายในชุดคลุมดำและชายหญิงผู้ร่วมทาง เดินกลับออกมาแล้ว เรออนที่เห็นดังนั้นก็ลุกขึ้นส่ายเนื้อส่ายตัวด้วนความเมื่อย “ครับผม...”

    “จริงสิ เมื่อกี้คุณอิริคโทรมาหาผมด้วยละครับ..” เรออนพูดอย่างกะทันหัน

    “แล้วมันว่าอย่างไงบ้างละ” เอ็ดริกเป็นฝ่ายถาม

    “ผมก็ฟังไม่ค่อยเข้าใจหรอกน่ะ เห็นว่าเจอพวกของพี่ชายผมแดงที่เราเพิ่งจับตัวมาได้ มาที่ลอนดอนอะ” เด็กผมทองหลับตาเอามือปิดปากครุ่นคิดไปพลางพูดไปพลาง “เห็นว่าเกือบจะจับตัวได้แต่มันหนีรอดไป แล้วหัวเราะฮิฮิฮิ เหมือนคนบ้าเลยอะครับ ผมเลยวางสายตรงนั้นแหละ”

    “สมแล้วที่เป็นหนึ่งในคนที่ร่วมมือกับ มิซึกายะ อากาเนะ ที่หนีจากเงื้อมมือของอิริคได้” ชายในเสื้อคลุมดูเหมือนจะล่วงรู้ผลที่เกิดขึ้นอยู่แล้ว

    “มิซึ....ยัยเด็กตัวกระเปี้ยกที่แค่เข้าใกล้ศิลาก็จะลมใส่น่ะเหรอครับ” ชายหนุ่มผมสีเงินสงสัย

    “อย่าได้ดูถูกเธอคนนี้เชียว..เห็นอย่างนั้น ศิลาที่เธอครองอยู่นะ เป็นหนึ่งในสิบสามศิลาที่มีพลังสูงที่สุดเลยนา”

    “หา?” เอ็ดริกส่งเสียงด้วยความตกใจที่ได้ยินหัวหน้าเขาว่ามา

    “เอาเถอะ..อีกไม่นานหรอก กลุ่มของเธอจะมาหาเราเอง ที่สำคัญคือเราต้องหาEmperor Of Godให้เจอโดยไว ก่อนที่ปรากฏการณ์Catastrope(คาทาสโทรฟี่) จะเริ่มขึ้น”

    และแล้วทั้งสี่คนที่เดินออกห่างจากมหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ดออกไป พร้อมๆกับที่เมฆดำได้เลือนหายไปจากท้องฟ้า

    ในช่วงเวลาอันมืดค่ำของอังกฤษ กลับมาช่วงเช้าของญี่ปุ่น

    ณ โรงเรียนมัธยมปลายแห่งหนึ่ง ในเขตโตเกียว

    เสียงกริ่งเสียงดังขึ้นเป็นสัญญาณบอกว่า ได้เวลาเข้าเรียนแล้ว นักเรียนทุกคนต่างก็เข้าไปประจำที่ในห้องเรียนเพื่อเข้าสู่ชั่วโมงโฮมรูม ซึ่งเป็นเวลาที่อาจารย์ที่ปรึกษาของห้องจะมาพูดคุย แจ้งข่าว สอบถาม ก่อนที่จะตัดเข้าชั่วโมงเรียนแรก

    ในปีสามห้องดี เหล่านักเรียนกว่าสามสิบชีวิตกำลังพูดคุยทักทายกันยามเช้าหลังจากที่ได้หยุดในวันสุดสัปดาห์กันมา

    “เฮ้ย!! เมื่อวานฉันได้ดูหนังเรื่อง “รันนิ่งเกย์ ” มาวะ โครตฮาเลย แม่ง ทั้งเรื่องเห็นแต่เกย์”

    “ให้ตายดิ!! แกฆ่าบอสลับในเกมส์KH2 FM+ได้ป่าววะ ตูโดนมันตบทีเดียวตายเลย”

    “นี่เธอ อ่านดูดวงของวันนี้แล้วยัง ของฉันบอกว่าวันนี้จะเจอคู่ด้วยแหละ”

    “เมื่อวานได้ข่าวที่อากิบะว่าเขาจะทำร้านเมดคาเฟ่แบบที่แต่งเป็นน้องจุนในเรื่องแฮบปี้เนะสึด้วย”

    “ว้าย!!มาสคาร่าเดี้ยนเลอะปากอะ!!”

    เสียงเหล่านักเรียนชายหญิงดังประสาทเสียงกันจนฟังได้แค่ไม่กี่ประโยค ทำเอาเด็กหนุ่มที่มีผมดำยาวเสยไปถึงหลังหัวคนหนึ่งที่หลังอยู่ริมหน้าต่างหลังสุดของห้องที่นั่งหลับเอาเท้าวางบนโต๊ะจนต้องตื่นอย่างรำคาญเล็กๆ

    “ให้ตายสิ น่ารำคาญชิบเป๋ง คนยิ่งไม่ได้หลับได้นอนมาอยู่”

    “เป็นเรื่องปกตินี่ค่ะ ที่เพื่อนๆจะคุยสิ่งที่ได้เจอในวันหยุดน่ะ” เด็กสาวผมสีขาวอมฟ้ายาวที่ถักเป็นเปียยาวที่นั่งอยู่โต๊ะข้างๆพูด

    “เธอเองก็พูดได้สิ ฉันละต้องมานั่งเตรียมพร้อมรบทั้งคืน”เด็กหนุ่มบ่นจุกจิกไปพลางหาวกว้าง “ไหนจะต้องมารอการติดต่อจากครูซิไฟร์ ไหนจะต้องตามหาไอ้เจ้าอดัมที่ดันกลายเป็นมนุษย์ศิลาเทวะอีก”

    “...ลำบากเรียวทาโร่คุงแย่เลยน่ะ ฉันเองก็น่าจะไปช่วยแท้ๆ แต่กลับไปไม่ได้..” เด็กสาวพูดด้วยสีหน้าซึมอย่างรู้สึกผิด

    เด็กหนุ่มชื่อ เรียวทาโร่ เห็นก็ถอนหายได้เล็กน้อย “เลิกทำหน้าซึมซักทีเถอะ ฉันแค่ชอบทำงานคนเดียวก็แค่นั้นแหละ”

    ครืด~~~

    เสียงประตูเลื่อนหน้าห้องดังขึ้น พร้อมกับการปรากฏตัวของชายวัยกลางคนหน้าตาออกดูอ่อนเยาว์กว่าอายุ สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวผูดไทร์สีดำ ถลกแขนเสื้อขึ้น กางเกงสีเทาลายตรง ในมือมีสมุดรายชื่อนักเรียน

    “ทั้งหมด!!ตรง!!” เสียงของหัวหน้าห้องพูดขึ้น ก่อนที่เหล่านักเรียนจะยืนเพื่อทำความเคารพแด่อาจารย์

    “นั่งลง” เมื่อทั้งหมดเข้าประจำที่ของตนแล้ว อาจารย์ซึ่งยืนอยู่ที่โต๊ะหน้าชั้นเรียนก็เริ่มกล่าว

    “เอาละทุกคน วันหยุดที่ผ่านมาคงสนุกกันดีสิน่ะ” เหล่านักเรียนต่างก็ยิ้มนั่งตั้งใจฟังกัน คงเป็นเพราะอาจารย์ท่านนี้เป็นที่สนิทสนมกับนักเรียน

    “วันนี้ครูมีทั้งข่าวดีแล้วก็ข่าวร้ายจะมาบอก” อาจารย์ไอเล็กน้อย “อย่างแรกคือ โอโซระ คาซุกิ ซึ่งนั่งอยู่ตรงหน้าของ เรียวทาโร่ ตอนนี้ได้ออกจากโรงเรียนแล้ว”

    จากความจริงเมื่อเพื่อนคนหนึ่งจากไปก็น่าจะมีเสียงแห่งความเศร้าดังขึ้นบ้าง แต่อนิจจากลับมาแต่เสียงไชโยด้วยความปลื้มปิติกันทั้งห้องโดยมิได้นัดหมายกันมาก่อน

    “นี่!!! เงียบๆกันหน่อย!!” อาจารย์ตะคอกเสียงดังจนลูกศิษย์กลับมาอยู่ในความสงบอีกครั้ง

    “นี่ มาเรีย...ไอ้เจ้าคาซุกิที่ว่าเนี่ย มันเป็นคนอย่างไงเหรอ?” เรียวทาโร่ได้ยินจึงเกิดสนใจขึ้นมาจึงถามแก่เด็กสาวข้างๆ

    “ก็เป็นคนไม่ดีเท่าไหร่หรอกน่ะ ชอบรังแกคนอื่น จนเขาไม่ค่อยชอบกัน” มาเรียครุ่นคิดถึงเพื่อนที่จากไป “ประมาณว่าเป็นแบบเดียวกับเรียวทาโร่คุงสมัยก่อนนั้นแหละ”

    “สมัยก่อนเธอเห็นฉันเป็นคนอย่างนั้นเหรอ...” เรียวทาโร่พยายามยิ้มแหยะๆ หลังจากไม่ค่อยโสภากับคำเปรียบที่ออกมาเท่าไหร่

    “ต่อไป หลังจากที่โต๊ะในห้องเราได้ว่างหนึ่งที่ ทางเราคงไม่อยากให้มันว่างนานๆหรอกใช่มั้ย?” อาจารย์พูดต่อ

    “จะมีนักเรียนใหม่เข้ามาเหรอครับ” เด็กหนุ่มผมสั้นสีดำกลางห้องสนอกสนใจ

    “ถูกต้อง!! เอาละเข้ามาได้แล้ว” อาจารย์เรียกคนๆหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างนอกเข้ามา พลางจำชอล์กขึ้นมาเขียนชื่อนักเรียนใหม่

    เสียงเท้าเริ่มดังขึ้นทีละก้าวสองก้าว ก่อนที่เด็กหนุ่มผมดำคนหนึ่งจะเดินเข้ามาหยุดอยู่หน้าห้องตำแหน่งเดียวกับอาจารย์

    “เรย์ซึ แกรนเดอร์ ครับ เพิ่งย้ายมาจากอเมริกา ภาษาญี่ปุ่นอาจจะไม่ค่อยแข็ง แต่ก็ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ”

    เฮ้ย!!!!

    เพียงแค่ชื่อของเด็กใหม่เข้าหูเรียวทาโร่ จากที่ครึ่งหลับครึ่งตื่น กลับตกใจจนตะโกนเฮ้ยลั่นห้อง

    “เป็นอะไรของเธอนะเรียวทาโร่ ละเมอตื่นหรือไง?” อาจารย์ดูไม่พอใจก็การแทรกแซงบทแนะนำตัวของเด็กหนุ่มที่เพิ่งร้องเสียงดัง

    “อะ...ครับ ขอโทษครับ อาจารย์” เรียวทาโร่ก้มหัวขอโทษ ทำให้นักเรียนหลายคนอดใจไม่ขำไม่ได้

    เร็กซ์คิดอย่างสนอกสนใจ เขาไม่เคยเห็นห้องเรียนแบบญี่ปุ่นแบบนี้ พลางส่ายตามองเหล่าคนที่จะเป็นเพื่อนกับเขาในอนาคตนี้ แต่สายตาหยุดอยู่ที่ริมในสุดของห้อง แถวที่สองจากข้างหลัง โต้ะที่สองจากหน้าต่าง เด็กสาวผมสีม่วงยาว มีโบผูกที่ปอยผมด้านหนึ่ง ดวงตาสีเดียวกับผมกลมโต ซึ่งเธอคือ ไอน่า เด็กสาวที่เขาเพิ่งมาโรงเรียนด้วยกันนี่เอง

    ไอน่าโบกมือพร้อมส่งยิ้มทักทาย ทำเอาเร็กซ์อดยิ้มตอบไม่ได้

    “ที่นั่งเธออยู่ข้างฮินาวารินะ สงสัยอะไรก็ให้เค้าแนะนำเอาละกัน” อาจารย์บอกแก่เร็กซ์

    “ครับ” ว่าจบ เร็กซ์ก็ค่อยๆเดินเข้าไปสู่ที่นั่งของตน ระหว่างทางก็ได้ยินเสียงพูดเกี่ยวกับตัวเขามากมาย

    “ว้าย ตาสองสีด้วยแหละ”

    “ดูไม่ค่อยเหมือนฝรั่งเลยเนอะ เป็นลูกครึ่งแน่เลย”

    “หน้าตากวนตีนดีวะ”

    แต่ดูเหมือนตัวเขาจะชินชากับคำเหล่านี้เสียแล้ว พลันพยายามเดินจากไปนั่งที่โดยไว

    “ไม่คิดเลยน่ะว่าจะได้อยู่ห้องเดียวกัน” ไอน่าพูดอย่างดีใจ

    “นั่นสิน่ะ”
    “เอาละเรื่องเกี่ยวกับตัวเรย์ซึ ไว้ค่อยไปถามเขาตอนพักเที่ยงละกัน มีเพื่อนร่วมชั้นคนใหม่มา พวกเราก็ควรให้คำแนะนำเค้าอย่างดีน่ะ” อาจารย์กล่าวปิดท้ายก่อนที่จะหยิบแผนการสอนของตนขึ้นมา

    “เอาละเปิดหนังสือหน้าสามร้อยยี่แปด”
    ........
    ......
    ....
    ..
    .
    การเรียนการสอนอันแสนจะหน้าเบื่อหน่ายของเหล่านักเรียนก็จบลงด้วยเสียงกริ่งพักเที่ยงจนได้ ต่างคนต่างยืดเส้นยืดสายที่ต้องมานั่งเรียนกันตลอดหลายชั่วโมงก่อนจะเก็บข้าวของเพื่อไปหากินข้าวกัน

    “หาววววว จบแล้วเหรอ” เรียวทาโร่ขยี้ตา หลังจากตื่นจาการชาร์จถ่านตัวเองมาตลอดคาบเรียน

    “เอาแต่หลับในห้อง ระวังจะสอบตกน่ะค่ะ” มาเรียที่ตอนนี้ยัดสมุดลงกระเป๋าเรียบร้อยพูดว่ากล่าว

    “เร็กซ์คุง กินข้าวกันเถอะ ฉันทำข้าวกล่องมาเผื่อด้วยน่ะ” ไอน่าหยิบห่อผ้าที่มีกล่องสี่เหลี่ยมอยู่ภายในสีชมพูขึ้นมา

    “อืม..ขอบใจน่ะ” เร็กซ์กล่าวขอบคุณพลางลากโต๊ะเรียนมีชิดๆกันเพื่อที่จะทานข้าวในห้องเรียน

    “ไอนะ รู้จักกับคุณแกรนเดอร์มาก่อนเหรอค่ะ” มาเรียถามด้วยความสงสัย

    “อืม เขาอาศัยอยู่กับซาวาดะซังที่อยู่บ้านตรงข้ามฉันนะ”

    “งั้นเหรอ..ดิฉัน มาเรีย อาซึกะคะ ยินดีที่ได้รู้จัก” เมื่อได้ยินเช่นนั้น มาเรียก็แนะนำตัวแต่เร็กซ์ด้วยความสุภาพ

    “อะ...เรย์ซึ แกรนเดอร์ครับ เรียกผมว่าเร็กซ์ก็ได้ครับ” เร็กซ์ตกใจเล็กน้อย ที่โดนแนะนำตัวอย่างฉับพลัน

    “แล้วนี่..” มาเรียเปิดมือไปทางเรียวทาโร่ที่ตอนนี้มองหน้าเร็กซ์อย่างไม่ค่อยเป็นมิตร

    “เรียวทาโร่ แวนเดลฟรอยด์...”เรียวทาโร่กล่าวอย่างเงียบๆ พลางยกมือขึ้นเบื้องหน้าตัวเร็กซ์

    “ยินดีที่ได้รู้จักครับ” เร็กซ์พยายามทำหน้าใจดีสู้เสือ ก่อนจะใช้ดวงตาสองสีของตนสู้กับดวงตาสีดำของอีกฝ่ายที่ดูจะไม่ค่อยชอบหน้าตัวเองเท่าไหร่ พร้อมจับมืออีกฝ่าย

    หลังจากสบสายตาไปซักพัก เรียวทาโร่กลับหัวเราะอย่างสะใจ จนฝ่ายที่โดนจ้องใส่ถึงกับงุนงง

    “นายนี่ เจ๋งใช่ได้แฮะ ปกติพวกเด็กใหม่ท่าทางคล้ายๆกัน โดนฉันจ้องหน้าทีนี่กลัวจนหัวหดไปหมดเลย”

    “...ขอบใจ” เร็กซ์ปล่อยมือที่จับออก พลางคิด “สัมผัสเมื่อกี้ ทำไมรู้สึกคล้ายๆกันไอ้มือปืนที่เคยไล่ยิงเราหว่า..”

    “งั้นเราก็มากินข้าวด้วยกันเถอะน่ะ” มาเรียกล่าวด้วยน้ำเสียงดีใจ ในมือถือห่อข้าวกล่องของตัวเองไว้เหมือนกัน

    “อ้าว..ไม่ได้ทำมาให้ฉันด้วยเหรอ?” เรียวทาโร่บ่นอย่างตกใจ

    “แล้วใครเป็นคนบอกกันค่ะ ว่า“ข้าวกล่องของเธอ ฉันไม่เห็นจะอยากกินเลย”นะ”

    “เวรกรรม ปากตูพาซวยมาแล้วไง” เรียวทาโร่รู้สึกอยากตบปากตัวเองขึ้นมาจับใจ

    “แต่พอดี เราทำมาเกินก็เลยว่าจะเอามาแบ่งให้ซักหน่อยนะค่ะ” มาเรียยิ้มอย่างมีชัยที่ทำให้เรียวทาโร่เสียขวัญได้
    พลางหยิบห่อข้าวอีกห่อขึ้นมา

    “ขอบคุณคร้าบบบบบบ” เรียวทาโร่รับห่อข้าวด้วยความเบิกบานใจสุดๆ

    เร็กซ์ รู้สึกชอบในบรรยากาศอย่างนี้จับใจ การได้อยู่ร่วมกัน เฮฮาด้วยกัน สนุกด้วยกัย ชีวิตเขาไม่เคยเลยที่จะได้มาร่วมทานอาหารกับเพื่อนๆแบบนี้ ทำให้เขาอยากจะคงอยู่แบบนี้ไปเรื่อยๆ ไม่อยากให้มีอะไรมาเปลี่ยนมันไปเลย
    ......
    ....
    ...
    ..
    .
    เวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเสียงกริ่งชั่วโมงสุดท้ายก็ดังขึ้น

    “เอาละวันนี้พอแค่นี้ละกัน ตอนนี้ขอเตือนให้ทุกคนรีบกลับบ้านทันทีเลยน่ะ เพราะมีข่าวว่ามีฆาตกรโรคจิตหลุดออกมาจากโรงพยาบาลบ้า แถมมีเหยื่อเคราะห์ร้ายไปแล้วเมื่อคืนด้วย” อาจารย์แสดงสีหน้าอย่างเป็นห่วง

    นักเรียนในห้องต่างก็ฮือฮาด้วยความกังวล ยกเว้นเพียงแต่เรียวทาโร่จะดูเหมือนจะสงสัยกับเรื่องนี้เล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองหน้ามาเรียที่สีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไหร่

    “แต่ไม่ต้องห่วงหรอก พยายามอย่าออกไปข้างนอกตอนกลางคืน กับอย่าไปไหนมาไหนคนเดียวก็ปลอดภัยแล้ว”
    แม้อาจารย์จะรู้ว่าคำปลอบใจนี้ช่วยอะไรไม่ได้มากมายนัก แต่ก็จำต้องพูดออกมา

    “เอาละเลิกโฮมรูมแค่นี้แหละ”

    “ทั้งหมดตรง!! เคารพ “
    .....
    ...
    ..
    “เดี๋ยวเธอไปหาอากาเนะแล้วบอกเรื่องนี้ด่วนเลยน่ะ ฉันจะตระเวนหามันแถวนี้ก่อน” เรียวทาโร่กระซิบบอกมาเรีย

    “คิดว่าเป็นฝีมือของอดัมสการ์เหรอค่ะ” สีหน้ามาเรียบอกว่ากังวลใจกับเรื่องนี้มาก

    “ใช่ แล้วก็ถ้านับไม่ผิดละก็ อีกไม่นานมันก็จะครบหนึ่งวันในสภาพมนุษย์ศิลาเทวะแล้ว” เรียวทาโร่กัดฟันตอบด้วยความกลุ้มใจ

    “เข้าใจแล้วค่ะ..ฉันกลับก่อนน่ะ ไอนะ เร็กซ์คุง แล้วเจอกันน่ะ” พูดจบมาเรียก็คว้ากระเป๋ารุดออกห้องไปทันที

    “ฉันเองก็ต้องไปแล้ว แล้วเจอกันน่ะทั้งคู่” เรียวทาโร่ก็ไม่รอคำตอบกลับ ก็พุ่งออกห้องไปโดยไว

    “งั้นเราก็กลับกันเถอะ” ไอน่าพูดกับเร็กซ์

    แต่เมื่อทั้งสอง เดินถึงหน้าประตูห้องกลับมีเด็กสาวผมสีน้ำตาลมัดแกละ สูงประมาณแค่ไหล่ของไอน่า ดูเหมือนจะเป็นรุ่นน้องของพวกเขา

    “รุ่นพี่ฮินาวาริค่ะ ประธานนักเรียน เขาเรียกประชุมคณะกรรมการด่วนเลยคะ” เด็กสาวหอบเบาๆ

    “งั้นเหรอ...ขอบใจมากน่ะ” ไอน่ายิ้มตอบขอบคุณแก่เด็กสาวก่อนจะหันมาหาเร็กซ์

    “ขอโทษน่ะจ้ะ กลับคนเดียวไหวหรือเปล่า?” ไอน่าพนมมือขอโทษเล็กน้อย สีหน้าลำบากใจ

    “ไม่เป็นไรหรอก เธอไปจัดการธุระของเธอเถอะ ฉันกลับเองได้” เร็กซ์ตอบไปพร้อมยิ้มให้เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเป็นห่วง

    “จริงสิ!!”ไอน่าเหมือนจะนึกอะไรออก ก่อนจะล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าหยิบโทรศัพท์มือถือสีฟ้า แบบที่ใช้ได้แค่โทรอย่างเดียวมาให้ “ซาวาดะซัง เขาฝากมาให้ตอนเช้านะ ในนี้มีเบอร์ทั้งของซาดาวะซังแล้วก็ของฉันแล้ว ถ้ามีอะไรก็โทรมาน่ะ”

    “อืม..งั้นไว้เจอกันน่ะ”

    แม้ว่าจะพูดจาซะดิบดี แต่แท้จริงแล้วไอน่าคงจะยังไม่รู้ว่า เร็กซ์เคยได้รับฉายาจากลุงของเขาว่า “ราชาแห่งการหลงทาง” แถมยังลงทุนออกเกียรติบัตรอย่างหรูให้อีกต่างหาก แต่เมื่อบอกไปว่าไม่ต้องเป็นห่วง จะให้ขอความช่วยเหลือก็กระไรอยู่ ทำให้เขาจำต้องคลำทางไปอย่างยากเย็น

    แต่ทว่ากิตติศัพท์ยังคงความขลัง ยี่สิบนาทีต่อมาเขาก็พบว่าตัวเองจำทางไปต่อไม่ได้แล้ว

    “และแล้วก็กลับมาอีหรอบเดิมจนได้” เร็กซ์หัวเสียกับความซื่อบื้อของตัวเองดีแท้

    จู่ๆ มือถือที่ตนได้รับมาก็สั่น อย่างไม่มีเสียง จนเร็กซ์ต้องหยิบออกมาดู เห็นชื่อคนโทรมาเป็นภาษาอังกฤษเขียนไว้ว่า

    “SAWADA HARU(ซาวาดะ ฮารุ)”

    “ฮัลโหล เร็กซ์พูดครับ”

    “เร็กซ์คุง คืนนี้ฉันจะกลับบ้านดึกหน่อยน่ะ กุญแจซ่อนอยู่กระถางต้นไม้ใบที่สามแถวหน้าบ้านน่ะ แค่นี้แหละ แบ็ตจะหมดแล้ว”

    “ฮารุซัง เดี๋ยวก่อนครับ!!คือ... อ้าว...ดับไปแล้ว” เร็กซ์ถึงกับเซง ทั้งๆที่จะได้ถามทางกลับแท้ๆเมื่อพยายามโทรกลับ กลับพบว่ามือถืออีกฝ่ายปิดไปแล้ว

    “สงสัยไม่แคล้วต้องโทร ไอน่าซะละมั่ง?”

    แต่ไม่ทันที่จะได้เริ่มกดหาเบอร์ มือถือก็สั่นเตือนว่ามาคนโทรมาอีกครั้ง หน้าจอเขียนว่าAINA (ไอน่า)

    “สวรรค์บันดาลพรแท้ๆเลยแฮะเรา” เร็กซ์เริ่มรู้สึกทึ้งกับดวงของเขาวันนี้เล็กน้อย

    “ฮัลโหล”

    “เร็กซ์คุง!!! ช่วยฉันด้วย!!!” เป็นเสียงของไอน่าที่พูดด้วยเสียงอันหวาดกลัว

    “ไอน่า!! เกิดอะไรขึ้น!!” เร็กซ์เริ่มสังหอนใจไม่ดี

    “ฆาต....ที่อาจารย์พูด...มา....โรงเรียน” สัญญาณเริ่มขาดหายจนทำให้ฟังไม่ได้เป็นประโยค

    “ฮัลโหลไม่ค่อยได้ยินเลย!!ฮัลโหล”

    “ช่วยด้ว....มาถึง.....แล้....กรี้ดดดดดด” และแล้วเสียงก็ขาดหายไปจนสิ้น

    “ไอน่า!!! ไอน่า!! เวรเอ้ย!!!” อะไรเกิดขึ้นไม่รู้แต่ที่รู้ตอนนี้คือเขาต้องไปที่โรงรียนโดยด่วนที่สุด

    “ทางไปโรงเรียน....บ้าเอ้ย!!!ดันมาหลงทางเอาทำไมตอนนี้ฟะตู!!!!”

    เมื่อหันซ้ายขวาก็ไม่รู้ทาง ทำให้เขานึกวิธีบางอย่างได้ ในเมื่ออยู่แถวนี้แล้วมองไม่เห็นโรงเรียน ก็ต้องขึ้นไปที่สูงกว่า!!!

    เร็กซ์ถีบตัวขึ้นไปบนกำแพงข้างทาง ก่อนจะกระโดดปีนขึ้นไปบนหลังคาบ้านสองชั้นอย่างทุลักทุเล

    “โรงเรียน......เจอแล้ว!!!” อาคารขนาดใหญ่สีขาวที่ตอนนี้กำลังโดนแสงแดดยามเย็นย้อยจนสีส้มอยู่ห่างออกไปไกลทางทิศตะวันออกที่เขายืนอยู่

    ตัวเขาไม่รีรอที่จะลงพื้น กลับวิ่งกระโดดไปตามหลังคาอย่างรวดเร็ว สติคิดแต่ว่าจะรีบไปที่โรงเรียนโดยไม่รู้ตัวเลยว่า ตัวเขากำลังกระโดดด้วยความสูงที่มนุษย์ปกติจะกระโดดได้เลย กำไลหินสีขาวที่ข้อมือขวาเริ่มเปล่งประกายแสงมากขึ้นเรื่อยๆ

    ที่โรงเรียนบริเวณชั้นหนึ่งใกล้กับประตูหน้าโรงเรียน ตอนนี้ไม่มีนักเรียนหรืออาจารย์คนไหนอยู่แล้ว เพราะทางโรงเรียนประกาศให้รีบกลับบ้านโดยเร็ว แต่กลับยังมีกลุ่มนักเรียนชายหญิงสามคนกำลังหนีสุดชีวิตจากอะไรบางอย่างที่กำลังตามมา

    “ไม่ไหว อย่างนี้เราหนีไม่พ้นแน่เลย” นักเรียนชายคนหนึ่งที่มีร่างสูงใหญ่ ผมสีดำยาวรวบเป็นหางม้าดูเรียบร้อย ที่แขนเสื้อมีปลอกแขนสีแดงเขียนว่าประธานอยู่

    “ทำอย่างไงดีละค่ะ...ประธาน.” เด็กสาวผมสั้นประมาณคอสีดำที่วิ่งนำหน้าพูด

    ประธานไม่ยอมตอบให้กระจ่าง กลับหยุดวิ่งโดยเฉียบพลัน “พวกเธอหนีไป!!! ฉันจะยันมันไว้เอง!!”

    “แต่ว่าประธานค่ะ!!”เด็กสาวผมสีม่วงยาวไม่เห็นด้วยกับการกระทำบ้าๆของเขา

    “ฮินาวาริซัง รีบไปตามตำรวจมาซะ เร็ว...”

    “ประธานข้างหน้า!!!!”

    ตูม!!!!

    แต่ช้าไปแล้ว ร่างของชายคนหนึ่งอยู่ในชุดของคนไข้ของโรงพยาบาลที่ขาดหวิ่ง ผมสีดำที่ข้างหน้ายาวจนปิดฟากหนึ่งของใบหน้าได้แล้ว สีหน้าอิดโรยเหมือนคนที่อดข้าวมาเป็นอาทิตย์ ได้จับหัวของชายที่ได้ชื่อว่าประธานกดลงพื้นของรุนแรง

    “ไอนะจัง เราจะทำอย่างไงดี..ประธานเขา....ฮึก..” เด็กสาวผมสั้นเริ่มร้องไห้ด้วยความหวาดกลัว เมื่อเห็นร่างของประธานนักเรียนนอนไร้สติอยู่ที่พื้น

    แต่ไอน่าเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไงดีแล้ว โทรศัพท์ของเธอเพิงจะตกหายไปหลังจากโดนชายโรคจิตตรงหน้าไล่กวดมา

    “กรร....เร...ก...ซึ” ชายโรคจิตส่งเสียงขู่ออกจากปากเบาๆ ก่อนจะเริ่มเคลื่อนตัวเข้าใกล้เด็กสาวทั้งสอง

    “อย่าเข้ามาน่ะ !!” เด็กสาวผมสั้นร้องไห้ตะโกนสุดเสียง ก่อนจะล้วงเอาดินสอไม้ที่เหลาจนแหลมมาก่อนแล้วจากกระเป๋าเสื้อ พุ่งเข้าใส่ชายเบื้องหน้าอย่างไม่คิดชีวิต

    “ไม่น่า!!!” แทบจะพร้อมกันที่ไอน่าตะโกนห้าม ชายโรคจิตเหวี่ยงท่อนแขนขวาที่ดูไร้เรี่ยวแรง ฟาดใส่เด็กสาวที่เข้ามาจนกระเด็นไปกระแทกผนังห้องจะสลบไป

    เมื่อสองคนแรกสลบไปแล้ว ก็เหลือเพียงไอน่าที่เผชิญหน้ากับฆาตกรโรคจิตตรงหน้าเพียงลำพัง เด็กสาวเริ่มน้ำตาคลออย่างสิ้นหวัง เมื่อระยะห่างของชายตรงหน้าเริ่มเข้าใกล้เรื่อยๆ จนทรุดไปนั่งอยู่ที่พื้น

    ชายโรคจิตชูกำปั้นขึ้น ในหน้ายังคงไม่มีอารมณ์ใดๆ นอกจากดวงตาเหม่อลอย กับน้ำลายที่ไหลย้อยอออกมาจากปาก

    “ใครก็ได้ช่วยด้วย!!!”

    เพล้ง!!! โครม!!!

    ทันใดที่เสียงร้องดังขึ้น ร่างของคนๆหนึ่งก็ทะลุหน้าต่าง กระแทกชายโรคจิตจนกระเด็นไปชนกะประตูห้องใกล้ๆ จนเข้าไปในห้องทั้งคนทั้งประตู

    “ไม่เป็นไรใช่มั้ย...ไอน่า” เสียงเด็กหนุ่มที่ไอน่ารู้จักดีดังขึ้น เมื่อไอน่ามองขึ้นไปก็เห็นเด็กหนู่มผมดำซอยไล่ระดับประมาณคอ ในชุดนักเรียนของโรงเรียนแห่งนี้ ดวงตาขวาเป็นสีแดงเปล่งประกายตามแสงพระอาทิตย์ยามเย็น

    “เร็กซ์คุง...”

    “ตอนนี้อย่าเพิ่งพูดอะไรเลย” เร็กซ์พลันหันไปดูร่างที่เพิ่งโดนเขาถีบจนกระเด็นไม่ ซึ่งบัดนี้ยืนขึ้นมาแล้ว

    “เธอรีบไปตามคนมาช่วยซะ ฉันจะต้านมันไว้เอง” เร็กซ์กล่าวพร้อมบีบกำปั้นจนกระดูกลั่น

    ขณะที่ไอน่าที่เริ่มก้าว ก็เกิดเรื่องไม่น่าเชื่อขึ้นเมื่อร่างของชายที่กองอยู่ในห้องกลับหายไปในพริบตา ก่อนจะไปยืนต่อหน้าของเด็กสาวผมสีม่วง พร้อมต่อยใส่ท้องของเด็กสาวจนสลบคามือ

    “ไอน่า!!!! แก!!!” เร็กซ์เลือดขึ้นหน้าเมื่อเห็นไอน่าโดนทำร้ายจนสลบ ก่อนจะถีบตัวเข้าไปต่อยใส่ร่างของชายคนนั้นจนกระเด็น

    เร็กซ์หันมาดูอาการของหญิงสาว แม้ว่าจะไม่ได้ บาดเจ็บมากนัก แต่ดูเหมือนจะปวดจุดที่โดนต่อยจนสลบไป

    “รออยู่ตรงนี้ก่อนน่ะ ฉันจะหยุดมันแล้วก็พาคนมาช่วยแน่นอน” พูดจบเร็กซ์ก็ยืนขึ้น พร้อมจดมือทั้งสองขึ้น เป้าหมายคือชายโรคจิตตรงหน้า แล้วก็ถีบตัวเข้าไปอย่างรวดเร็ว

    ชายเบื้องหน้าเขาเหวี่ยงมือสะเปะสะปะไปมาเหมือนคนบ้า แต่แรงเหวี่ยงนั้นกลับรุนแรงซะจนเร็กซ์ต้องหลบ

    “แม้จะแรงมากแค่ไหน แต่ดูเหมือนจะไม่มีท่วงท่าเอาซะเลย ....อย่างงี้ก็ง่ายหน่อย” เด็กหนุ่มเลียริบฝีปากบน หัวใจเขาเริ่มเต้นหนักขึ้น

    ชายโรคจิตย่อตัวลงเหมือนคนหมดแรง ก่อนจะกระโดดพุ่งเข้ามาดุจจรวดในสภาพอย่างนั้น แม้จะดูไม่ใช่การเคลื่อนไหวแบบคนปกติ แต่ก็ยังง่ายเกินไปที่จะเล่นงานเร็กซ์ได้

    เร็กซ์กวาดเท้าขวาเข้าใส่ร่างที่ลอยมาอย่างรุนแรง แต่ไม่อาจหยุดร่างนั้นได้สนิท เมื่อแขนทั้งสองข้างของชายโรคจิตกลับไต่มารวบตัวของเขาจนแน่น แล้วเหวี่ยงเขาทะลุหน้าต่างออกไปที่สนามด้านนอก

    “อูย....แก!!” เร็กซ์กลิ้งตัวไปตามแรง เมื่อทรงตัวกลับมาได้ เขากลับพบว่า คู่ต่อสู้ได้หายตัวอีกแล้ว

    “ไม่ค่อยอยากเชื่อหรอกน่ะ ว่าจะเร็วได้ขนาดนี้แต่....” ทันทีที่พูดจบ เร็กซ์ก็เอี้ยวตัวศอกกลับไปข้างหลัง พอดีกับที่ร่างของชายโรคจิตจะอ้อมมาอยู่ข้างหลังของเร็กซ์ทันที ทำให้ศอกขวาฟาดเข้าเต็มคาง

    แต่ทว่าชายที่โดนศอกใส่กลับไม่เกิดผลกระทบใดๆเลย เร็กซ์เริ่มกัดฟันเล็กน้อย ก่อนจะบรรเลงเพลงต่อสู้ของตนเข้าใส่ศัตรูอย่างสุดแรง หมัดเสียบตับ ศอกฟันคิ้ว นิ้วแทงซี่โครง เข่าใส่เป้า หมัดกระซวกคอหอย เตะตัดขาอ่อน ฟันไหปลาร้า กระแทกลิ้นปี่ ซัดดั้งจมูก ก่อนปิดท้ายด้วยหมัดเสยคาง

    ทุกท่วงท่าที่ถ้าโดนเข้าไปจริงๆ อย่างน้อยๆก็คางเหลืองบรรเลงใส่จนจบสิ้นแต่เร็กซ์กลับไปฝ่ายต้องถอยออกมา เหงื่อไหลชโลมกาย มือเท้าเข่าศอกที่ใช้ไปกลับมีแต่รอยฉีกจนเลือดกระฉูดออกมา ทั้งๆที่เขาเป็นฝ่ายบุกแท้ๆ

    “อะไรกัน สัมผัสเมื่อกี้ เหมือนกับต่อยใส่แผ่นเหล็กไม่มีผิดเลย” เร็กซ์ตะลึงผลที่ออกมา เมื่อฝ่ายที่โดนท่วงท่าของเขากลับยังยืนนิ่งเฉยอย่างไร้บาดแผล

    “เ...ร...ก..ซึ...” เสียงที่ยานจนไม่ได้ศัพท์ดังแผ่วออกมาจากปากของชายโรคจิต

    “!!!!” เร็กซ์เริ่มที่คุ้นกับหน้าของคู่ต่อสู้ขึ้นมาบ้าง แต่เมื่อสายลมเริ่มพัดแรงขึ้น ผมที่ปิดหน้าของชายโรคจิตก็เปิดออก ปรากฎให้เห็นหินสีทองภายในตำแหน่งที่น่าจะเป็นตาขวา รอบๆมีรอบปูดเหมือนเส้นเลือดอยู่รอบ

    “แก....มือปืนเมื่อตอนนั้น!!” สีหน้าของเร็กซ์เริ่มซีด เพราะชายตรงหน้าเป็นคนที่เกือบจะปลิดชีวิตเขามาแล้ว

    อีกฝ่ายกลับดูไม่ได้สนใจจะปากคำกับเร็กซ์ ก่อนจะเริ่มย่อตัวตัวลง นั่งสี่ขา เหมือนกับสุนัข น้ำลายเริ่มทะลักออกจากปากราวกับคนบ้า

    เร็กซ์เห็นถ้าเริ่มไม่ดีแล้ว เท้าเริ่มถอยออกอย่างไม่รู้ตัว แต่ระยะห่างกลับถูกย่นภายในชั่วอึดใจ จากท่วงท่าแบบสุนัข กลับกระโดดเข้ามาตรงหน้าได้ในทันที

    ร่างกายตอบสนองก่อนความคิด หมัดขวาของเร็กซ์ปล่อยไปโดยไม่รู้ตัว แต่ทว่ากลายเป็นเข้าทางของศัตรุ มือข้างหนึ่งของชายโรคจิต ล็อกข้อมือของเร็กซ์เอาไว้เรียบร้อย

    “แย่ละสิ!!!” เร็กซ์พยายามจะถอนข้อมือออกแต่สายเกินไป ร่างชายโรคจิตไต่ไปที่หลังของเด็กหนุ่มแล้ว พร้อมๆกับที่แขนของเขาโดนดึงไปไขว่ล็อกคอหอยของเขาแทน

    เร็กซ์ พยายามใช้ศอกกระแทกร่างที่เกาะหลังแน่น แต่มันก็ไม่ต่างกับเอาไม้จิ้มฟันแทงเหล็ก แรงที่รัดคอเขาไม่ได้ลดลงไปเลย

    แต่ในช่วงทันใดที่เร็กซ์กำลังจะหมดแรง กำไลสีขาวของเขาก็เปล่งประกายแสงจ้า ซึ่งมีผลทำให้ชายโรคจิตที่ล็อกแขนเขาอยู่คลายแรงไปชั่วเสี้ยววินาที แต่ก็นานที่ทำให้เร็กซ์จะโต้ตอบได้

    เด็กหนุ่มผมดำรวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดเหวี่ยงทั้งแขนขวาและร่างของชายที่ล็อกแขนของเขาออกไปตรงหน้า ก้าวเท้าขวาออกไปเล็กน้อย ก่อนที่อัดหมัดขวาที่เต็มไปด้วยประกายแสงของกำไลที่ข้อมูล เข้าเต็มอกของร่างที่ล็อกข้อมือเขาจนหลุดกระเด็กออกไปไกลหลายเมตร

    “อะไรกันเนี่ย?” เร็กซ์จ้องมองแสงที่ยังคงเปล่งประกายอย่างรุนแรงที่ข้อมือไม่หยุด แต่ความสนใจกับต้องถึงเอนเอียงกลับไปที่คู่ต่อสู้อีกครั้ง เมื่อชายที่เพิงโดนหมัดของเขาไปกลับยืนขึ้นมาได้เหมือนเดิม รอยยุบจากหมัดยังคงตราตรึงอยู่ที่กลางอก

    “อ้ากกกกกกกกกกก” เสียงร้องโหยหวนอันสุดจะสยองดังลั่น ก่อนที่ร่างกายของชายโรคจิตจะเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลง เขาเริ่มฉีกเสื้อผ้าออกจนสิ้น ตามตัวเริ่มมีเลือดทะลักออกจากรูขุมขนทุกจุด

    “พระ..เจ้า...” เป็นครั้งแรกที่เร็กซ์ต้องเอ่ยนามพระเจ้าด้วยความหวาดกลัว หลังจากที่ผิวหนังชั้นนอกที่ชุ่มไปด้วยโลหิตสีเลือด ฉีกขาด กล้ามเนื้อสีแดงภายในใหญ่ขึ้นจนแขนขาใหญ่กว่าหัวของเร็กซ์เสียอีก

    ผมของร่างที่ชโลมเลือดอยู่ยาวขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วค่อยๆพันรอบๆกล้ามเนื้อทุกส่วน จนเป็นสีดำสนิท ใบหน้าที่เคยเป็นมนุษย์ ตอนนี้กรามกลับยื่นยาวขึ้น หินสีทองที่ตาขวาค่อยๆกลืนกินครึ่งหนึ่งของหัว

    เร็กซ์ที่กำลังมองภาพปรากฏการที่สุดแสนสยอง ก็พยายามตั้งสติให้หนี แต่แล้วในช่วงที่สติยังไม่กลับมาดี ร่างสีดำตรงหน้าก็หายไปอย่างหน้าตาใจ

    “หะ..หายไปแล้ว..” เร็กซ์พยายามหันมาหา แต่เขาไม่พบอะไรนอกจากกองเลือดตรงหน้า แล้วก็เงาที่บังแสงอาทิตย์จากข้างหลัง?

    เด็กหนุ่มหันไปมองข้างหลังอย่างเฉียบพลัน ในที่สุดสิ่งน่าจะเรียกว่ากลายร่างก็สมบูรณ์ ร่างที่ปรากฏเป็นคล้ายๆกับสิ่งมีชีวิตประเภทลิง แต่ขนาดที่ใหญ่เกือบจะสองเท่าของตัวเขา ขนสีดำยาวปกคลุมทั้งตัว ใบหน้าที่ซีกขวาเป็นหินสีทองข้างใหญ่อีกซีกปกคลุมไปด้วยขนยกเว้นตรงกลางที่เขาคิดว่าตาไม่ฝาดไปและ คือตาซ้ายกำลังหนังมนุษย์บางส่วน น้ำตาไหลรินออกมาไม่หยุด อย่างกับว่าทรมานที่สุดในชีวิต

    โฮก~~~~~~

    สิ่งที่น่าจะเรียกว่าอสูรกายร้องลั่นดุจฟ้าผ่า หินสีทองตรงใบหน้าส่องสว่างออกมา พร้อมๆกับที่ความรู้สึกประหลาดแทรกเข้ามาในจิตใจของตัวเร็กซ์ ที่ยิ่งทำให้เขาเริ่มมีอาการปวดหัวใจมากขึ้นอีกครั้ง

    “อึก...ปวดอีกแล้วหรือ...ตูม!!!

    แม้แต่ความรู้สึกยังตามไม่ทัน กว่าก็รู้ตัวว่าเพิ่งโดนมืออันใหญ่ยักษ์ตบเข้าที่หัว ก็ตอนที่ร่างปลิวกลับกระแทกผนังอาคาร

    เร็กซ์รู้สึกปวดที่บริเวนซี่โครงมาก ดูท่าซี่โครงจะแตกไปหลายซี่ ตาซ้ายแสบเคืองจนลืมไม่ขึ้น คงเป็นเพราะเหนือคิ้วซ้ายฉีก แต่ความเจ็บปวดแค่ไหนก็ยังไม่มากไปกว่าความรู้สึกหวาดกลัวที่สุดในชีวิตของเขา ริมฝีปากสั่นเทาไม่ยอมหยุด นี้จะเป็นจุดจบของตัวเขางั้นหรือ.
    ..........
    ......
    ....
    ..
    TO BE CONTINUE

    ############################################

    ขอบพระคุณตัวละคร

    ปโทเลมี โรเซีย(Rep 8) >>>>>•°ส๓รีสีlลืoด:เพียวๆไม่ใส่โซดา หญิงสาวผู้มีศิลาตรงกลางหน้าผาก อันเรื่องลึกลับที่ยังไม่เปิดเผย

    เรออน มาเธีย (Rep10) >>>>>Angel Girl สำหรับหนุ่มน้อยสุดโชตะที่มีศิลาอันแสนน่ากลัว

    นัวร์ มาร์เวลล์ (Rep 20)>>>>> -> T r A i N <- สำหรับสาวเงียบฝีเท้าลมกรด อันยอดเยี่ยม

    ############################################
  5. maxlancer

    maxlancer ประธานรุ่น2ตุรกีเชียงใหม่

    EXP:
    1,183
    ถูกใจที่ได้รับ:
    1
    คะแนน Trophy:
    88
    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

    Chapter 5 : บทสรุปและความขมขื่น (Result And The Bitter)

    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

    ในช่วงที่แสงอาทิตย์ยามเย็นกำลังจะลับขอบฟ้าไป ชายหนุ่มในชุดเครื่องแบบนักเรียนสีดำขอบสีทอง กำลังวิ่งพร้านอย่างรีบร้อน เหมือนกับหาอะไรบางอย่างอยู่

    “เรียวทาโร่คุง!!” เสียงของหญิงสาวดังขึ้น พลันให้ชายหนุ่มผู้ถูกขานหันมาดู พบว่ามีหญิงสาวคนหนึ่งได้วิ่งตามมา

    “มาเรีย!! เมื่อกี้เธอก็รู้สึกเหมือนกันใช่มั้ย?” สีหน้าของชายหนุ่มผมดำดูกังวลใจเช่นเดียวกับเด็กสาวผมขาวอมฟ้าปล่อยยาวถึงหลังตรงหน้าที่ยังอยู่ในชุดเครื่องแบบนักเรียนที่เป็นเสื้อเชิ้ตขาวสวมทับด้วยเสื้อนอกสีดำลายทองประจำโรงเรียน กระโปรงลายสก็อต ในมือถือห่อผ้าเก่าๆขนาดยาวประมานเมตรกว่า

    “ค่ะ!! กระแสของคลื่นศิลาที่รุนแรงจนอยู่ตรงนี้ยังเหมือนอยู่ห่างกันแค่เอื้อมเลย”มือของหญิงสาวกำห่อผ้าไว้แน่นขึ้น

    “รีบไปเถอะ!!” เรียวทาโร่กับมาเรียรีบเร่งวิ่งออกไปตามทางที่รู้สึกถึงคลื่นของศิลาเทวะทันที
    ...........
    .......
    ....
    ..
    .
    หลังจากที่ทั้งคู่เร่งฝีเท้ามาจนถึงจุดที่คิดว่าเป็นต้นตอของกระแสคลื่นที่พวกเขารู้สึกได้ ก็ได้พบว่าสถานที่นั้นก็คือโรงเรียนของพวกเขา

    “ที่นี่เหรอ?” เรียวทาโร่เริ่มเหงื่อตกเมื่อเข้าใกล้สู่ต้นตอมากขึ้น

    “วันนี้โรงเรียนเขาประกาศให้บุคลากรทุกคนกลับบ้านทันทีด้วยนี่ค่ะ”

    “เอาเป็นว่าระวังตัวเอาไว้ให้ดีล่ะ เราไม่รู้ว่ากระแสคลื่นศิลานี้เป็นของใคร...” ชายหนุ่มกล่าวเตือนหญิงสาวข้างๆอย่างออกเป็นห่วง

    เมื่อทั้งสองเริ่มก้าวเข้าไป ภาพที่ปรากฏถึงกับทำให้ทั้งสองตกใจพอควร บริเวณลานกว้างหน้าโรงเรียนจะมีกองเลือดขนาดใหญ่อยู่ หน้าต่างของอาคารชั้นแรกแตกไปหลายบาน บวกกับรอยแตกร้าวของผนังอาคารหลายแห่ง

    มาเรียรีบวิ่งเข้าไปดูบริเวนอาคารชั้นหนึ่งทันที ส่วนเรียวทาโร่กลับนั่งดูกองเลือดบนลาน

    “ยังไม่แข็งตัว เพิ่งเกิดขึ้นไม่นานนี้เอง” เรียวทาโร่ใช้นิ้วแตะกองเลือดขึ้นมาพิจารณา

    “เรียวทาโร่คุง!! มีคนเจ็บอยู่ตรงนี้ด้วยค่ะ!!” มาเรียตะโกนเรียกให้เรียวทาโร่รีบมาดู

    “นี่มันกลุ่มสภานักเรียน...ทำไมยังอยู่ที่โรงเรียนอีกละเนี่ย?” ชายหนุ่มบ่นอย่างไม่เข้าใจ เมื่อเห็นชายหนึ่งหญิงสองนอนบาดเจ็บบริเวณทางเดินชั้นหนึ่ง

    “สองคนที่เขาปล่อยภัยดีค่ะ แต่ประธานนักเรียนได้รับบาดเจ็บที่หัวหนักเลย” มาเรียกังวลกับอาการบาดเจ็บที่ศีรษะของชายที่อยู่บริเวณใกล้ๆ จนน้ำตาเริ่มเอ่อล้นออกจากเป้าตาอย่างเป็นห่วง

    “น่าแปลกแฮะ แล้วกองเลือดข้างนอกมันเป็นของใครละ?” เรียวทาโร่สงสัยเมื่อนึกถึงกองของเหลวสีแดงที่พบเมื่อกี้

    โฮก~~~~~~

    “เสียงนี้มัน!!!! จากดาดฟ้า!!” หญิงสาวหน้าเปลี่ยนสีทันทีที่ได้ยิน

    “ฉันไปเอง!! เธอจัดการบาดแผลของหมอนั่นก่อนน่ะ” ว่าแล้วเรียวทาโร่ก็ดึงล็อกเก็ตที่ห้อยคอไว้ออกมา หินรูปโพธิ์ดำสีทองขนาดเล็กที่ติดอยู่เริ่มส่องประกายแสง

    “อัสนีบาตสีทอง จงคำราม!!! Blade of Spade (คมดาบแห่งโพธิ์ดำ)!!”

    สิ้นประโยค ก็เกิดแสงสีทองล้อมรอบตัวเรียวทาโร่ประดุจเสื้อคลุม ก่อนจะระเบิดออกมาเป็นคลื่นไฟฟ้าไหลรอบตัว แล้วร่างของชายหนุ่มก่อนพุ่งขึ้นฟ้าอย่างรวดเร็ว

    ร่างของเรียวทาโร่พุ่งขึ้นถึงดาดฟ้าได้ภายในการโดดเพียงครั้งเดียวก่อนที่เขาจะจับรั้วเหล็กสูงลายตารางที่กั้นรอบๆบริเวณนั้นเพื่อลงจอด

    เพียงแค่ปลายเท้าสัมผัสกับตัวพื้น เรียวทาโร่จำตัวต้องกลิ้งตัวหลบทันที เมื่อกำปั้นขนาดมหึมาเกือบจะกระแทกร่างของเขาจนเละได้ในครั้งเดียว

    “ “อสูรศิลา” เป็นไปได้ไงกัน?!” ชายหนุ่มถึงกับตะลึงเมื่อได้เห็นอสูรกายคล้ายลิงขนาดใหญ่ที่ปกคลุมไปด้วยขนสีดำยาว แต่ส่วนหัวกลับมีหินสีทองกินหน้าไปครึ่งหนึ่ง

    “หินสีทองซีกขวา? หรือว่าอดัมสการ์!!!” เรียวทาโร่ไม่อยากจะเชื่อสายตาว่าชายที่หนีไปเมื่อคืนก่อน จะมากลายสภาพได้ไวขนาดนี้

    แต่มีอีกสิ่งหนึ่งที่สะดุดตาเรียวทาโร่ ร่างของคนๆหนึ่งอยู่ชุดนักเรียนเช่นเดียวกับเขา ผมสีดำซอยไล่ระดับประมาณคอ ตาซ้ายถูกปิดเพราะเลือดที่ไหลออกจากเหนือคิ้วซ้าย ร่างกายโทรมยับเยินชโลมไปด้วยเลือด นอนกองอยู่ด้านหลังของสัตว์ประหลาดตรงหน้า เรียวทาโร่จำเขาได้ดี เขาคือ เร็กซ์ นั่นเอง..


    “นั่นมัน เจ้าเรย์ซึ ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้”

    ขนาดที่เรียวทาโร่ยังคงดูสถานการณ์ อสุรกายก็ไม่ได้สนใจดูตามด้วยอย่างแน่นอน ก่อนจะกระโจนเข้ามาตะปบใส่ด้วยฝ่ามือกว้างเกือบเท่าตัวของเขาทั้งตัว

    ฝ่ามือขนาดยักษ์ฟาดลงตรงตำแหน่งที่เรียวทาโร่ยืนอยู่อย่างแรงจนพื้นร้าว แต่ร่างของชายที่เคยอยู่กลับหายไปจนอสูรกายงุนงง

    “อยู่นี่โว้ย....” เสียงของชายหนุ่มดังขึ้นระหว่างขาทั้งสองของอสูรสีดำ ก่อนที่มันจะก้มหน้ามาตามทางเสียงมันก็สายไปแล้ว

    ตูม!!!

    จากที่อยู่บนพื้น เรียวทาโร่ถีบตัวขึ้นไปอยู่ตำแหน่งใต้คางของอสูรกายพอดี ก่อนจะเตะเสยคางด้วยพละกำลังเหนือตนปกติที่ได้รับมาจากตัวศิลาเทวะของเขา

    เมื่อร่างของมันสูญเสียสมดุลจากจากแรงเตะของชายหนุ่ม เรียวทาโร่จะไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดมือไป เมื่อเขาหมุนตัวกลางอากาศ ตวัดเท้าขวาใส่บริเวณศีรษะของอสูรกายของเต็มแรงจนร่างของของมันล้มลงไปกับพื้น ก่อนจะปิดฉากด้วยการควงสว่านลงมาซ้ำลงที่หัวอีกครั้งด้วยกำปั้นที่รวมพลังสายฟ้าไว้เต็มที่

    เมื่อศัตรูแน่นิ่งไม่ยอมกระดิก เรียวทาโร่จึงรีบตรงเข้าไปดูอาการของเร็กซ์ที่นอนสลบอยู่ใกล้ๆในทันที

    “เฮ้!! เป็นอย่างไงบ้าง!!” เรียวทาโร่พยายามเรียกสติของชายหนุ่มตรงหน้า พร้อมกับตรวจดูบาดแผลของเขา

    “!!?...นี่มัน?” เรียวทาโร่เกิดตกใจอะไรบางอย่างขึ้น แต่สติของเขาก็แทบจะหลุดออกจากร่าง เมื่อถูกอะไรบางอย่างกระแทกตัวเขาจนแทบจะกระเด็นตกดาดฟ้า ถ้าไม่ได้มีรั้วเหล็กขวางเอาไว้

    “อึ้ก...แรงบ้าอะไรกันเนี่ย..ขนาดศิลาเทวะช่วยเพิ่มพลังให้ยังกันแทบไม่อยู่เลย” ชายหนุ่มกล่าวอย่างตกใจ พลางเช็ดรอยเลือดที่มุมปาก เมื่อพบว่าเพิ่งถูกร่างยักษ์สีดำที่เขาเหยียบจมดินไปไม่นานตบใส่อย่างเต็มแรง

    เรียวทาโร่กลับมารวบรวมเรี่ยวแรง ก่อนที่เขาจะถีบตัวเข้าหาศัตรูราวกับจรวดอีกครั้ง

    อสูรกายวาดฝ่ามือขวาตบใส่อีกครั้ง แต่เรียวทาโร่กระโดดขึ้นหลบได้ทันฉิวเฉียด ก่อนที่มันจะตามด้วยท่อนแขนซ้ายที่อวบไม่แพ้ท่อนซุง แหวกอากาศเข้าใส่เป้าหมายที่ลอยอยู่ตรงหน้า

    ชายหนุ่มเบี่ยงลำตัวลงพื้นพร้อมใช้มือรวบขนสีดำยาวของมันแน่นในช่วงเวลาเดียวกับที่ท่อนจะกระแทกเขาพอดี ก่อนจะอาศัยแรงเหวี่ยงอันมหาศาลของมันเหวี่ยงตัวเองขึ้นฟ้า ให้สูงขึ้น

    ในเมื่อหลบการโจมตีด้วยแขนทั้งสองพ้น ก็หมายความว่าใบหน้าของอสูรกายนั้นไร้การป้องกันแล้ว เรียวทาโร่รวบรวมกระแสไฟฟ้ามาไว้ที่ขา ก่อนจะลงเตะฝ่ากระหม่อมศีรษะของมันสุดแรงเกิด จนพื้นดาดฟ้าร้าวไปเลย


    สัตว์ร้ายสีดำยืนนิ่งไร้การเคลื่อนไหวสักครู่ เหมือนกับว่าท่าโจมตีเมื่อกี้ได้ผล แต่กลับหาใช่อย่างนั้น เมื่อตำแหน่งที่ถูกส้นเท้าฟาดเข้าไปกลับมีขนสีดำยืดออกมารัดขาของเรียวทาโร่จนแน่น พร้อมกับการอสูรกายจะหมุนเหวี่ยงเรียวทาโร่ ไปรอบๆด้วยความแรงยิ่งกว่านักทุ่มน้ำหนักเหรียญทองโอลิมปิกเสียอีก

    เมื่อหมุนจนพอใจ สิ่งที่รัดขาก็คลายลง ร่างของเรียวทาโร่ปลิวจนหลังกระแทกรั้วเหล็กเต็มแรง แต่อสูรกายก็ไม่ยอมให้หยุดพักแม้แต่วินาทีเดียว เมื่อขนสีดำรอบตัวมันยึดออกมารัดแขนขา แล้วก็คอของเรียวทาโร่เข้ากับกรงเหล็ก

    “อั้ก!!! ฉัน...ไม่ใช่พวกสายSMน่ะโว้ย!!!” เรียวทาโร่พยายามดิ้นให้หลุดจากพันธนาการ แต่ขนสีดำอักหลายเส้นระดมฟาดใส่ตัวอย่างรุนแรง จนเสื้อเชิ้ตข้างในขาดเหลือเพียงเสื้อนอก

    โครม!!!

    เสียงกระแทกประตูดังขึ้น พร้อมกับการปรากฏตัวของสาวน้อยผมสีขาวอมฟ้าในมือถือห้าผ้ายาว

    “เรียวทาโร่คุง!!” มาเรียที่เพิ่งมาถึงร้องเรียกชายหนุ่มที่ยังคงโดนแส้ดำฟาดไม่หยุด

    เด็กสาวตรงเข้าไปหาชายหนุ่มโดยไม่รีรอ มือแกะห่อผ้าออก แล้วดึงสิ่งที่อยู่ภายในออกมา แล้วก็...

    ฉัวะ...

    เสียงขนสีดำที่มัดตัวชายหนุ่มโดนฟันจนขาดกระจูยไปด้วยดาบญี่ปุ่นสีดำล้วนทั้งเล่ม แต่ทั้งจังหวะและท่วงท่ากลับเงียบสงัดไร้เสียงเลยทีเดียว

    “ซีด....มันใช่แค่อสูรศิลาแน่เหรอเนี่ย?”เรียวทาโร่ค่อยๆลุกขึ้นมาหลังจากหลุดจากการโดนทรมานแล้ว เจ้าตัวร้องโอดครวญอย่างเจ็บแสบบาดเจ็บที่ลำตัวมาก

    “เป็นอย่างไงบ้างค่ะ?” เด็กสาวตรงเข้ามาดูอาการบาดเจ็บของเพื่อน

    “ไม่เจ็บ..เท่าไหร่ละมั้ง?” เรียวทาโร่แหยะยิ้มอดกลั้นความปวดบาดแผลเมื่อสาวเจ้าเดินเข้ามาหา แต่สีหน้ากับคำพูดช่างต่างกันเหลือเกิน “ไม่ต้องสนใจฉันหรอก ตอนนี้เจ้ายักษ์นั้นมันดูจะคันไม้คันมือเต็มที่แล้ว”

    เป็นอย่างที่เรียวทาโร่ว่า เมื่อหินสีทองที่หน้าของอสูรกายสีดำ เริ่มมีแสงแผ่วพุ่งออกมาเรื่อยๆ นิ้วทั้งสิบสั่นรัวไม่หยุด ราวกับอยากจะหักคอคนตรงหน้าเต็มทนแล้ว

    “อสูรศิลาตนนั้นคือ คุณอดัมสการ์ เหรอค่ะ?” มาเรียสังเกตเห็นศิลาสีทองก็นึกถาม

    “อืม..ฉันยังไม่ค่อยอยากเชื่อเหมือนกันว่าจะกลายสภาพเร็วขนาดนี้” เรียวทาโร่มีสีหน้ากังวล ในเรื่องไม่ชอบมาพากลอย่างนี้ “เอาเป็นว่าตอนนี้ต้องรีบจัดการมันที่นี่ซะ ถ้าให้มันหนีไปได้ละก็ จบแน่..”

    ในที่สุดแสงสุริยันก็ลับขอบฟ้าจนสิ้น เหลือเพียงแต่อสูรกาย มาเรีย เรียวทาโร่ และ เร็กซ์ที่ยังไม่ได้สติในความมืดที่เห็นเพียงแสงสว่างจากศิลาเทวะ

    อสูรกายสีดำกระโจนเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง พร้อมใช้สองมือเข้าทุบทั้งสอง เรียวทาโร่ฉากหลบออกไปได้
    แต่มาเรียกลับใช้ดาบฟันปาดแขนของอสูรกายก่อนจะโดดออกไปข้างหลังของมัน

    พริบตาที่อสูรกายหยุดการเคลื่อนไหว เรียวทาโร่ก็พุ่งเข้าไปใต้ท้องของร่างยักษ์สีดำ รวบรวมพลังสายฟ้าไว้ที่มือแล้วกระโดดต่อยลำตัวเข้าไป จนร่างยักษ์ลอยคว้างกลางอากาศ “ตอนนี้แหละ!!!”

    พอดีกับที่มาเรียลอยเหนือร่างของอสูรอยู่แล้ว เมื่อเป้าหมายไร้การป้องกัน เธอก็ยกดาบสีดำของเธอขึ้นเตรียมจะพิฆาตเข้าที่ศีรษะของมัน

    แต่ในชั่วเสี้ยววินาทีที่จะลงดาบ มาเรียกลับนึกภาพตอนที่อดัมสการ์ยังเป็นคนอยู่ ทำให้สังเลที่จะดาบไปก่อนดาบจะถึงหินสีทองเพียงแค่ไม่กี่เซนติเมตร

    ทันใดนั้น อสูรกายกลับฟื้นตัวได้แล้ว ก่อนจะใช้ขนสีดำรัดตัวเด็กสาวเอาไว้แน่น พร้อมกลับหมุนตัวกลางอากาศฟาดชายหนุ่มข้างล่างที่ยังตั้งตัวไม่ทัน กระเด็นทะลุรั้วเหล็ก ร่วงลงไปทางสนามกีฬาหลังโรงเรียน

    “เรียวทาโร่คุง!!” มาเรียร้องเรียกชายหนุ่มโหม่งพสุธาลงไป พลันพยายามดิ้นให้หลุดจากขนดำที่ยังรัดรอบตัวเธออย่างแน่นนาน ก่อนที่เธอจะถูกเล่นงานเป็นรายต่อไป

    แต่กลับไม่เป็นไปอย่างที่คาด อสูรกายไม่ได้สนใจหญิงสาวที่ถูกมัดอยู่ตรงหลังแต่อย่างใด กลับเดินหน้าเข้าหาเร็กซ์ที่สลบอยู่ริมตึก

    “นั่นมัน...เร็กซ์คุง?” มาเรียตกใจกับสภาพของเพื่อนที่สะบักสะบอม แต่ที่ตกใจมากกว่าคือการที่อสูรกายกลับสนใจคนที่ไม่มีสติมากกว่าตัวเธอที่เป็นอันตรายกับตัวมัน

    อสูรสีดำเพ่งพิจารณาตัวของเด็กหนุ่มผมดำเล็กน้อย ก่อนจะคว้าตัวของเขาขึ้นมา จับตัวเขาสะบัดค่อยๆ ดูเหมือนเด็กทารกกำลังดูสิ่งของที่ไม่คุ้นเคย

    มาเรียเห็นดังนั้นจึงพยายามขยับตัวให้หลุด แล้วเธอก็คิดทางหนีได้ เมื่อข้อมือของเธอยังคงขยับได้ เธอหมุนคมดาบขึ้นแล้วเลื่อนมาแนบทางซ้ายของเธอ จากนั้นก็ดึงเต็มแรง ทำให้สิ่งที่พันร่างขาดจนได้ แม้ว่าไหล่ของเธอจะโดนบาดไปด้วยก็ตาม

    “ปล่อยเร็กซ์คุง เดี๋ยวนี้น่ะ!!!”มาเรียพูดด้วยเสียงกล้า ก่อนจะใช้ดาบของเธอแทงเข้าใส่หลังของอสูรกายจนเกือบมิดด้าม เล่นเอามันร้องลั่น

    “Voltage Slash!!!(คมดาบแรงดันไฟฟ้า)” พริบตานั้น ก็เกิดสนามอาณาเขตสายฟ้าขึ้นรอบตัวเรียวทาโร่ ก่อนที่มันจะขยายวงจนไปถึงตัวของอสูรกายสีดำ

    เรียวทาโร่ถีบตัวเข้าหาศัตรูอีกครั้ง โดยที่ไม่ใช่เป็นการวิ่งเข้าหา แต่เป็นการเหาะเข้าไป คมดาบในมือเริ่มส่องแสงมากขึ้นไปพร้อมกับที่ร่างของเขาเริ่มมีกระแสไฟฟ้าวนล้อมรอบตัวขึ้นเรื่อยๆ

    ในช่วงเสี้ยววินาทีที่ระยะห่างของเขากับศัตรูถึงขจัดจนสิ้น ไหล่ขวาของอสูรศิลาก็เกิดรอยฟันยาวถึงรักแร้ ก่อนจะแขนของมันจะขาดกระจุยออกไปทันที พร้อมกับเสียงโหยหวนของอสูรลั่นท้องฟ้า

    ยังไม่ยอมหยุดอยู่เพียงแค่ดาบแรก ทันทีที่ตัวเขาเลยไปข้างหลังของอสูรกาย ชายหนุ่มพลิกตัวกลับมากลางอากาศ แล้วเตะเข้าที่ระหว่างขาของมันอย่างจัง จนร่างของอสูรศิลาลอยตามแรงส่งทันที

    ร่างของอสูรลอยคว้างอยู่บนฟ้า ด้วยอำนาจสนามแม่เหล็กของเรียวทาโร่ ทำให้ร่างของมันตกลงมาช้าลงเหมือนขนนก

    “ตอนนี้แหละ!!มาเรีย!!” ชายหนุ่มที่เรียกสาวน้อยจะรอโอกาสนี้มานานแล้ว เธอวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว เวลาเดียวกันที่เรียวทาโร่หมุนตัวไปรอบๆ เมื่อจังหวะที่มาเรียเข้ามาถึง เธอก็กระโดดขึ้นไปเหยียบฝ่าเท้าที่เรียวทาโร่หมุนตัวส่งแรงมาให้พอดี ก่อนที่เขาจะออกแรงขาส่งหญิงสาวผมขาวอมฟ้าขึ้นไปราวกับหอกที่แหวกอากาศเข้าพิฆาตศัตรู

    “อย่าลังเลเด็ดขาด อย่าลังเลเด็ดขาด!!” มาเรียพูดย้ำสติตัวเอง ก่อนวาดดาบของเธอขึ้นมา เข้าฟันใส่ลำคอแล้ววกไปฟันที่ลำตัวของอสูรศิลาอย่างแม่นยำ

    “สนามแม่เหล็กบวกเต็มกำลัง!!!” สิ้นคำพูดของชายหนุ่มที่อยู่ดาบของเขาปักลงพื้น จากสภาวะแรงโน้มถ่วงที่น้อยนิดจากพลังควบคุมแรงดึงดูดของศิลาเทวะ กลับพลิกกลับเป็นสภาพที่มีแรงโน้มถ่วงมากกว่าปกติถึงสิบเท่า ซึ่งนั่นก็หมายความว่า ร่างอันใหญ่ยักษ์ของอสูรศิลาย่อมต้องล่วงลงมาด้วยน้ำหนักมหาศาล

    เมื่ออสูรกายตกลงไปจมอยู่ที่พื้นดิน มาเรียที่ตามมาติดๆก็หันปลายดาบลงสู่เบื้องล่าง พร้อมทั้งใช้ความหนักที่มีกระแทกอสูรศิลาซ้ำอีกทีนึง

    แต่การโจมตียังไม่จบเพียงแค่นั้น เมื่อรอบบริเวณที่คมดาบของมาเรียเสียบร่างอสูรสีดำเกิดเป็นคราบเกล็ดน้ำแข็งขึ้น

    “เหล่าโชคชะตาอันมืดมิด จงคลี่คลาย!!! Fatum-Noire(โชคชะตาสีดำ)!!”

    พริบตานั้น แสงสีฟ้าก็เจิดจ้าออกมารอบตัวเธอ พร้อมกับการปรากฏของแท่งน้ำแข็งขนาดใหญ่พุ่งออกมาจากจุดที่ดาบสีดำเสียบอยู่ ราวกับดอกไม้น้ำแข็งที่เพิ่งเบ่งบานบนร่างของอสูรศิลาที่จมอยู่ใต้ดิน

    มาเรียกระโดดกลับมาที่เรียวทาโร่ทันทีที่จัดการศัตรูได้แล้ว พร้อมกลับหยุดการปลดปล่อยศิลาทันที “สำเร็จแล้วน่ะค่ะ!!”

    “ใครว่าละ...” เรียวทาโร่กลับมีสีหน้าแย่ลง เหมือนกับกังวลใจอย่างมาก

    ทันใดนั้นเอง เสาน้ำแข็งยักษ์ก็แตกกระจายลอยขึ้นฟ้า ร่างสีดำที่ไม่กี่วินาทีก่อนเพิ่งโดนฝังทั้งเป็นกลับลุกขึ้นมาได้อย่างไม่สะทกสะท้านต่อท่าประสานจู่โจมเมื่อกี้เลยแม้แต่น้อย

    “ละ..ล้อกันเล่นใช่มั้ยค่ะเนี่ย?” สาวน้อยแทบไม่อยากเชื่อสายตามากยิ่งขึ้น เมื่อจุดที่โดนเรียวทาโร่ฟันแขนจนขาด กลับมีขนสีดำงอกออกมามัดรวมกันเป็นแขนใหม่อีกครั้ง รวมทั้งบาดแผลทุกจุดที่ถูกฟันก็สมานเข้าที่เดิม

    “ตอนแรกก็สงสัยอยู่ว่าทั้งๆที่กลายสภาพแล้ว... แต่ทำไมลักษณะการโจมตีถึงไม่ได้พิเศษตามไปด้วย ที่แท้...มันไปเด่นเอาทางด้านฟื้นตัวนี่เอง”

    ทันใดนั้น ชายหนุ่มก็เริ่มเข่าอ่อน สีหน้าดูเหน็ดเหนื่อยมากขึ้น และเริ่มหอบไม่เป็นจังหวะ

    “เรียวทาโร่คุง!! เป็นอะไรหรือเปล่าค่ะ?” มาเรียรีบประคองตัวเรียวทาโร่อย่างเป็นห่วง

    “ไม่...เป็นไร..แค่..เหนื่อยนิดหน่อย...” คำกล่าวที่ขาดช่วงเพราะเสียงหอบ แสงของศิลาเทวะที่คอเริ่มแผ่วลง เป็นสัญญาณบอกว่า เขาเริ่มทนรับภาระจากการใช้พลังของศิลาเต็มที่ไม่ไหวแล้ว

    ถึงแม้ว่าเรียวทาโร่จะหมดแรงต่อสู้ ก็แน่นอนว่าศัตรูไม่คิดจะยอมให้อีกฝ่ายแพ้บายแน่นอน อสูรศิลาเริ่มคำรามอีกครั้งจนเสียงอันหนักหน่วงดังสะเทือนไปทั่วบริเวน

    ในเมื่อไม่อาจหลีกเลี่ยงการปะทะรอบที่สองได้ อีกทั้งมาเรียก็รู้ดีว่าเรียวทาโร่ถึงขีดจำกัดแล้ว จึงทำให้เธอตัดสินใจจะเริ่มใช้พลังศิลาเทวะของเธอแบบสุดกำลังเช่นกัน

    มาเรียกุมดาบเอาไว้มั่น และเริ่มก้าวเข้าหาอสูรศิลา แต่จู่ๆเรียวทาโร่ก็รีบจับข้อมือของเธอไว้แน่น

    “คิดจะ...ทำอะไร..” สายตาอันเหนื่อยอ่อนเหลือบมองสาวน้อยอย่างเป็นกังวล

    “ฉันจะสู้กับมันเองคะ เรียวทาโร่คุงพักอยู่ตรงนี้แหละ” มาเรียพูดอย่างกล้าหาญ ถึงสีหน้าจะยังออกกลัวๆอยู่บ้าง

    “อย่ามาพูดบ้าๆน่ะ!! ฉัน..ยังสู้ไหวอยู่!!!” เลือดนักสู้ของชายที่ได้ชื่อว่า ราชาแห่งการวิวาท ยังคงร้อนรุ่ม แม้ว่าร่างกายจะไม่เป็นใจก็ตาม

    “แต่ถ้าเธอใช้พลังของศิลามากไปกว่านี้ละก็ เธอเองก็จะโดนศิลาครอบงำไปอีกคนน่ะ!!” มาเรียพยายามค้านไม่ให้เรียวทาโร่เข้าต่อสู้

    ทันใดนั้นเอง เรียวทาโร่ก็ลุกขึ้น แล้วถลกแขนเสื้อของมาเรียออกมาดู พบว่าที่แขนของเธอมีรอยปานสีดำคล้ายรังผึ้งปรากฏอยู่

    “เธอเองก็ไม่ไหวแล้วเหมือนกันไม่ใช่เหรอ? นี่ขนาดใช้ท่านั้นไปแค่นิดเดียวยังเป็นถึงขนาดนี้” ชายหนุ่มที่ดูหมดแรงพูด

    “ตะ..แต่ว่า..” ถึงกระนั้น มาเรียก็ยังกังวลอยู่

    ในขณะที่ทั้งสองยังคงโต้เถียงกันไม่เลิก อสูรศิลาก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าทั้งสองแล้ว เสียงคล้ายกับลมหายใจของมันฟังราวกับเครื่องจักรที่ใกล้พัง

    “หึ...ดูเหมือนแกจะใจร้อนเหลือเกินน่ะ..”เรียวทาโร่พูดถากถางอสูรศิลาเล็กน้อย พร้อมกับกำดาบของเขาขึ้น ถึงแม้ว่าโอกาสชนะของพวกเขาจะเหลือน้อยเต็มทีแล้วก็ตาม

    ท่ามกลางสถานการณ์ที่โต้ตอบไม่ได้นั้นเอง จู่ๆก็มีเสียงของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น

    “ทั้งสองคน!! หลบไปค่ะ!!!”

    น้ำเสียงนี้เป็นน้ำเสียงที่ทั้งสองคุ้นเคยดี ทำให้ร่างกายตอบสนองอย่างไม่ต้องให้รอ พริบตานั้นอีกฝ่ายหนึ่งของสนามก็มีแสงจ้าขึ้น เกิดเป็นลำแสงสีฟ้าพุ่งตรงเข้าใส่อสูรศิลาอย่างจัง จนร่างของมันปลิวไปตามความความแรงของลำแสง ทะลุผนังตึกเข้าไปในอาคารทันที

    “เฮ้อ...ท่านี้นี่ ดูกี่ทีก็อึ้งไม่หายเลยน่ะ อากาเนะ.” เรียวทาโร่นั่งลงกับพื้นอย่างโล่งอก พลันหันไปทาง
    ต้นตอของลำแสง ร่างของสาวน้อยอายุสิบห้า ในชุดกระโปรงลูกไม้สีขาวเช่นเดียวกับทรงผมของเธอ เบื้องหลังปรากฏให้เห็นนางฟ้าที่สยายปีกกว้างอยู่ ก่อนที่ร่างนั้นจะจางหายไป

    “เรียวทาโร่ซัง มาเรียซัง ไม่เป็นอะไรใช่มั้ยค่ะ?” อากาเนะรีบเดินมาหารุ่นพี่ทั้งสองด้วยความเป็นห่วง

    “ก็ไม่มากเท่าไหร่หรอกจ้ะ เนอะ...เรียวทาโร่คุง” มาเรียตอบอย่างมีรอยยิ้ม

    “มาเนอะอะไรกันละ..ยัยบ๊อง..”เรียวทาโร่บ่น พลางเปิดเสื้อนอกที่ขาดวิ่นของเขาออกดู “ฉันโดนหนักกว่าเธอตั้งเยอะ ถึงมีพลังของศิลาช่วยเอาไว้ก็เถอะ..โดนเป็นชุดอย่างนี้ซี่โครงก็หักไปหลายเหมือนกันน่ะ”

    “ขออภัยจริงๆน่ะค่ะ ที่เรามาช้าไป” อากาเนะโค้งขอโทษอย่างสำนึกผิด

    “จะมาขอโทษทำไมเล่า ลองเธอไม่มาสิ ทางนี้ได้แย่กันหมด” เรียวทาโร่ตอบแบบไม่คิดอะไรมาก

    ขนาดที่ยังคงพูดคุยกัน อสูรศิลาสีดำกลับโผล่ออกมาจากรูที่มันเพิ่งทะลุเข้าไป แถมมีรูโหว่ขนาดใหญ่ที่ลำตัวของมันด้วย ก่อนที่รูนั้นจะค่อยๆสมานตัวอย่างช้าๆ

    “....คุณสมบัติฟื้นตัวอย่างรวดเร็วงั้นเหรอค่ะ” อากาเนะเพ่งพิจารณาสัตว์อสูรที่โดนท่าลำแสงของเธอไป

    “อืม...ขนาดโดนท่าประสานของฉันกับมาเรียไปชุดหนึ่ง ยังไม่เป็นอะไรเลย..” เรียวทาโร่ยังคงกังวลกับศัตรูข้างหน้า

    อากาเนะยืนครุ่นคิดอยู่ซักพัก เธอก็นึกวิธีต่อสู้ได้ จึงหันไปหาเรียวทาโร่ “เรียวทาโร่ซัง ตอนนี้ยังพอจะใช้ศิลาเทวะไหวอยู่มั้ยค่ะ?”

    “...ซักห้านาทีพอได้ นานพอมั้ย?” ชายหนุ่มตอบอย่างไม่มั่นใจ แต่เด็กสาวที่ได้ยินอย่างงั้นก็เริ่มมีรอยยิ้มที่มุมปาก

    “เหลือเฝือเลยคะ” อากาเนะจึงกระซิบบอกแผนการให้รุ่นพี่ทั้งสองรู้

    เมื่อได้ฟังแผนการบุกครั้งนี้ เรียวทาโร่จำต้องถามอากาเนะเพื่อความมั่นใจ

    “แล้วเธอจะรับไหวเหรอ?”

    “ค่ะ” คำตอบอันกะทัดรัดของอากาเนะ สีหน้าของเธอดูแน่วแน่จนชายหนุ่มไม่อาจโต้เถียงไปได้

    “โอเค...งั้นเริ่มได้เลย!!”

    เวลาเดียวกับที่อสูรศิลาฟื้นฟูบาดแผลเสร็จสิ้น เรียวทาโร่เดินนำหน้ามาหามันอย่างไม่เกรงกลัว

    “เข้ามาเลย!! ไอ้สัตว์หน้าขนอัปลักษณ์!!! คอยดูไคล์แม็กซ์ของฉันให้ดีเหอะ!!!!” เรียวทาโร่ชิ้นิ้วท้าทายอสูรศิลาอย่างกล้าหาญ แม้ว่าเขาจะยังอาการไม่ดีขึ้นเท่าไหร่ก็ตามที

    ราวกับอสูรจะเข้าใจในคำพูดของเขา มันวิ่งเข้ามาอย่างดุดันเหมือนราชสีห์เข้าไล่เหยื่อ ทำให้ชายหนุ่มฉีกยิ้มอย่างพอใจ “เข้ามาเลย...”

    เมื่อเข้าระยะสังหาร อสูรศิลากระโดดเข้าตะครุบเรียวทาโร่ทันที โดยหารู้ไม่ว่าราชสีห์ก็มีโดนกับดักของนายพรานได้ ทันทีที่มือทั้งสองพุ่งเข้ามาข้างหน้า ชายหนุ่มก็ไถลตัวออกไปอยู่ใต้ตัวมันอย่างรวดเร็ว

    “แค่แปบเดียว ขอให้ทนไหวเหอะ..Blade of spade!! แรงดึงดูดลบ!!!!”เรียวทาโร่ปลดปล่อยพลังศิลาของเขาอีกครั้ง พร้อมปักดาบของเขาลงพื้นแล้วปล่อยสนามแม่เหล็กทันที

    “ฮ่าห์!!!!” ชายหนุ่มระเบิดเสียงลั่น พร้อมกับรวมพลังทั้งหมดให้ที่มือแล้วเสยร่างของอสูรกายขึ้นไปบนฟ้าอีกครั้ง

    ด้วยอำนาจของสนามแม่เหล็ก ทำให้ร่างของอสูรกายลอยฟ้านานขึ้น และก็นานพอที่ทำให้แผนการของอากาเนะสำเร็จ เมื่อเธอกับมาเรียยืนรออยู่ข้างล่างแล้ว

    “ขอรบกวนด้วยน่ะค่ะ มาเรียซัง...” อากาเนะพูดกับมาเรีย พลันเริ่มเอาฝ่ามือทั้งสองจดเข้ากับศิลาเทวะที่สร้อยของเธอ มาเรียจึงวางมือไว้ที่ไหล่ของอากาเนะทันที

    ทันใดนั้นเอง รอบๆตัวของอากาเนะเกิดประกายแสงขึ้น ซึ่งกำลังไหลเข้าสู่ศิลาเทวะIce Angleของเธอดุจดั่งพายุที่ดูดกลืนทุกสิ่ง รวมทั้งประกายแสงจากศิลาของมาเรียด้วย เกิดเป็นบอลแสงสีฟ้าขนาดพอๆกับลูกบาสเก็ตบอลและกำลังใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ

    “...นี่หรือ..ท่าพิฆาตที่อากาเนะจังเคยเรียนรู้มา นี่มันไม่ใช่แค่ท่าปล่อยลำแสงธรรมดาแล้ว นี่มัน..ดูดกลืนพลังจากทุกสิ่งรอบตัวไปรวมเป็นหนึ่งเดียว” มาเรียที่ยืนดูใกล้ที่สุดถึงกับตะลึงที่ได้เจอกับท่านี้จังๆ

    เมื่อรวมพลังได้ที่แล้ว บอลแสงขนาดใหญ่กว่าตัวของอากาเนะก็ถูกชูถึงฟ้า เล็งเป้าไปที่ร่างของอสูรศิลาเทวะบนฟ้า

    “หมัดพิฆาต!!!สลาตันประกายแสง!!!!”

    สิ้นคำกล่าว จากลูกบอลก็แปรผันกลายเป็นลำแสงขนาดใหญ่ พุ่งเข้าใส่เป้าหมายอย่างรุนแรงจนเกิดคลื่นลมไปทั่วท้องบริเวน และแล้วอสูรศิลาถูกลำแสงกลืนหายเข้าไป

    เมื่อแสงสว่างหายไป จากอสูรศิลาก็กลายมาเหลือแค่ร่างเนื้อที่ขาดว่อนของอดัมสการ์ ทั่วร่างแทบดูไม่ออกมาเป็นมนุษย์ตกลงมา

    “สะ..สุดยอด..” เรียวทาโร่แม้จะเคยเห็นท่านี้มาบ้าง แต่เขาก็ไม่เคยเจอพลังทำลายที่รุนแรงแบบนี้มาก่อน

    “ท่านี้..ไม่ใช่พลังจากศิลาเทวะของฉันโดยตรง..มันเป็นท่าพิฆาตที่มีผู้ใช้ศิลาเทวะคนหนึ่งคิดค้นขึ้น สำหรับศิลาเทวะที่ไม่มีพลังต่อสู้ โดยการใช้คุณสมบัติในการดูดกลืนพลังและจิตใจของผู้ใช้ของศิลามาดัดแปลง เป็นการดูดกลืนพลังจากธรรมชาติมาหน่วงไว้แล้วปลดปล่อยออกไปทีเดียว”

    อากาเนะค่อยๆเล่าความเป็นมาของท่าลำแสงที่เธอใช้ไป

    “ที่ต้องให้มาเรียซังอยู่ใกล้ๆ เพราะต้องการแหล่งพลังขนาดใหญ่ เพื่อให้พลังทำลายมากพอที่จะกลืนร่างของอสูรศิลาได้หมด ไม่งั้นเขาจะต้องฟื้นตัวอีก”

    จากนั้นอากาเนะก็เดินของไปหาร่างของอสูรศิลาที่ตอนนี้หินสีทองแตกกระจายไปแล้ว เหลือเพียงแค่ร่างๆหนึ่งที่ร่างกายมีเพียงเศษเส้นเอ็นสีแดงทั่วตัว มีเพียงส่วนตาซ้ายจะดูเหมือนจะยังเป็นมนุษย์

    “ยังไม่ตายอีกเหรอเนี่ย?” เรียวทาโร่ยังคงทึ้งในความอึดของร่างที่ตอนนี้กลับเป็นอดัมสการ์แล้ว

    มาเรียไปกล้าที่จะดูสภาพของอดัม ได้แค่หันหลังให้ แต่เธอก็ได้ร้องไห้ให้แก่อดัมสการ์เช่นกัน

    อากาเนะเข้ามานั่งใกล้กับร่างของอดัม ดูเหมือนว่าเขาจะได้รับจิตใจคืนในช่วงสุดท้ายก่อนจะตาย

    “เป็นเพราะศิลาเทวะทำให้คุณเป็นอย่างนี้....แต่เราขอสาบานต่อหน้าคุณ พวกเราจะต้องทำลายศิลาเทวะทั้งหมดให้ได้ เพื่อที่จะได้ไม่มีใครต้องมีจุดจบแบบนี้อีก...ขอโทษน่ะค่ะ...” ช่างเป็นเรื่องน่าตกใจ สาวน้อยที่ไม่ค่อยแสดงอารมณ์ทางใบหน้ามากนักอย่างอากาเนะ กลับร่ำไห้ด้วยสีหน้าอย่างเจ็บปวด แก่ชายที่สูญเสียความเป็นมนุษย์เกือบหมดสิ้นแล้ว

    “ขอบ...ใจ..” เสียงเฮือกสุดท้ายจากพลังโทรจิตอันน้อยนิดของอดัมสการ์ ก่อนที่เขาจะสิ้นลมอย่างสงบไป

    มาเรียร้องไห้หนักยิ่งกว่าใคร เธอเจ็บปวดมากที่ต้องมาทำให้คนๆหนึ่งตายไป

    “เรียวทาโร่คุง..ทำไม..เรื่องแบบนี้ ถึงต้องเกิดขึ้นกับพวกเราด้วยละค่ะ...อย่างนี้..มันจะมีวันจบเหรอค่ะ..” มาเรียถามพลางสะอื้น

    “เพราะเหตุนี้ไง..พวกเราถึงต้องสู้..อีกไม่นานหรอกมันจะต้องจบแน่..”เรียวทาโร่เองก็ไม่มีสีหน้าดีไปกว่าคนอื่นเท่าไหร่ ถึงอย่างไงเขาก็เป็นแค่นักเรียนมัธยมปลายคนหนึ่ง ไม่มีใครหวังจะต้องมาฆ่าฟันกันในวัยนี้หรอก

    อากาเนะตอนนี้เช็ดน้ำตาออกเรียบร้อย เธอกลับอยู่ในสีหน้าไร้อารมณ์อีกครั้ง ถึงแม้ดวงตาจะมีออกแดงร่ำๆอยู่บ้าง

    “เรียวทาโร่ซัง!!มีผู้ใช้ศิลาอยู่ข้างบนค่ะ!!!” ทันทีที่เสร็จศึกกับอสูรศิลาเทวะที่มีกระแสคลื่นของศิลาเทวะรุนแรงที่สุด เธอก็เริ่มสัมผัสคลื่นศิลาเทวะที่ถูกลบไปด้วยพลังที่แรงกว่าได้

    “จริงสิ!! เจ้าเรย์ซึอยู่ข้าง...!!!!” ไม่จำเป็นต้องนึกแล้ว เมื่อร่างของเด็กหนุ่มอายุรุ่นเดียวกับเขา กำลังร่วงลงมาอย่างรวดเร็ว จนเรียวทาโร่ต้องรีบกระโดดไปรับตัวทันที ก่อนจะหัวของเร็กซ์จะโหม่งพื้นตายเสียก่อน

    เร็กซ์ตอนนี้ แม้ว่าบาดแผลที่เรียวทาโร่เคยเห็นตอนแรกจะหายไป แต่ตอนนี้มีแผลจากของมีคมยาวสามเส้นกลางลำตัว แถมยังเผยให้เห็นว่ามีรอยคล้ายรอยสัก รูปลายเพลิงครามสีดำบริเวณหน้าอกของเร็กซ์อีกด้วย ซึ่งนี่เป็นศิลาที่เรียวทาโร่เห็นตอนแรก

    “อะไรกัน บาดแผลหายไปหมด แต่มีแผลใหม่เกิดขึ้นแทน...” เรียวทาโร่ครุ่นคิดอย่างสับสน

    “อืม?..เธอคือมิซึกายะ อากานะงั้นเหรอ?” ที่น่าตกใจกว่าคือ ชายคนหนึ่งมาปรากฏตัวข้างหลังของเรียวทาโร่ ได้โดยไม่รู้ตัว ข้างกายของเขามีหมาป่าขนสีเงินตัวใหญ่จนขี่ได้อยู่ตัวหนึ่ง

    “ค่ะ...ไม่ทราบว่าคุณเป็นใครเหรอค่ะ?” อากาเนะยังถามอย่างสุภาพกับชายที่น่าจะเป็นศัตรู

    “ขอแนะนำตัวน่ะครับ กระผมมีชื่อว่า เซรอส ดี. เคออส ครับ ยินดีที่ได้รู้จักน่ะครับ คุณหนู..” เซรอสโค้งให้อีกฝ่ายเล็กน้อย แถมยังแนะนำตัวซะดิบดี “ว้าว!! มีเจ้าหญิงผู้เลอโฉมอีกคนด้วย ไม่ทราบว่าคุณมีนามว่าอันใดเหรอครับ คุณคนสวย..”

    มาเรียตกใจกับท่าทางของเซรอสที่สุภาพบุรุษจนน่าตกใจ แต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา..เหลือเพียงแต่เรียวทาโร่ที่ดูหงุดหงิดกับท่าทางของเซรอสเป็นที่สุด

    “เฮ้ย!!! แกจะหน้าหม้อหรือหน้าขวดฉันไม่สนใจหรอกน่ะ แต่แกมีธุระอะไร!!!” ชายหนุ่มเริ่มบันดาลโทสะ

    “อะไรกันเนี่ย...แถวนี้มีพวกหน้าเป็ดปากสุนัขอยู่ด้วยหรอกเหรอ ไม่ยักกะรู้แฮะ” เซรอสด่าอย่างเจ็บปวด ทั้งที่หน้าของเขายังยิ้มกว้างอย่างอ่อนโยน

    เรียวทาโร่ได้ยินอย่างนี้ ก็แทบจะระเบิดแล้ว แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไร อากาเนะก็ยกมือขึ้นห้ามก่อน

    “บาดแผลของเรย์ซึซัง คุณเป็นคนทำเหรอค่ะ..” อากาเนะถามอย่างไม่เกรงกลัว

    “ใช่แล้ว...” เซรอสยังคงตอบพร้อมรอยยิ้มอย่างสบายๆ

    “แล้วที่มานี่ เพื่อกำจัดพวกเราทิ้งเหรอค่ะ” อากาเนะถามคำถามที่สอง

    “ความจริงฉันก็ไม่ได้รับคำสั่งมาหรอกน่ะ แต่มาถึงนี่ทั้งทีจะให้กลับไปมือเปล่ามันไม่ดีเท่าไหร่....”

    “งั้นก็ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว!!! เข้ามาเลย!!” เรียวทาโร่ดูอยากจะฟัดกับเซรอสเต็มที พลันคว้าดาบของตัวเองเอาไว้แล้ว

    “แต่ถ้าพวกเธอยอมร่วมมือกับพวกเรา อันนี้มันก็อีกเรื่องหนึ่ง....ยกเว้นแกคนเดียวน่ะ ไอ้หัวกุ้ย!!” เซรอสยังคงความทะเล้น และปากหมาหน้าตายอยู่ แต่เรียวทาโร่ก็ยังโดนอากานะห้ามไม่ให้เข้าสู้อยู่ดี

    “คุณเซรอสค่ะ เมื่อกี้คุณคงจะเห็นลำแสงสีฟ้าขนาดใหญ่ไปแล้วใช่มั้ยค่ะ?” อากาเนะสนทนาต่อ

    “เห็นแล้ว..ทำไมเหรอ?”

    “เราว่าคุณกลับไปโดยไวจะดีกว่าน่ะค่ะ ไม่งั้นลำแสงเมื่อกี้จะหันไปทางคุณแน่นอน หรือว่าสัตว์เลี้ยงของคุณจะสามารถรับมันไหว?” อากาเนะพูดขู่ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์และใช้ดวงตาจ้องไปทางเซรอส

    เซรอสยืนคิดอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะถอนหายใจหนึ่งเฮือก “เห็นแต่คุณหนูผู้น่ารัก กับสาวเจ้าผู้เลอโฉม จะยอมให้ซักครั้งก็แล้วกัน..” ว่าแล้วเขาก็หันหลังกลับไปอย่างสบายอารมณ์

    “อ้อ..เห็นหัวหน้าเคยบอกเอาไว้อย่างหนึ่ง เขาฝากมาบอกว่าพรรคพวกของคุณคนหนึ่งอยู่ในกำมือของเขาแล้ว ถ้าอยากได้ตัวคืนก็ไว้ตอนที่ปรากฏการณ์คาทาสโทรฟี่จะเริ่มขึ้นก็แล้วกัน..”

    “หรือว่า...อัลเทม่า!!” เรียวทาโร่ฉุกคิดขึ้นมาได้

    “งั้นไว้พบกันใหม่น่ะครับ คุณหนู แล้วก็คุณผู้หญิงคนนั้นนะ ” เซรอสชี้ไปทางมาเรีย “เจอกันคราวหน้า ผมจะให้คุณบอกชื่อมาให้ได้เชียว อย่าลืมน่ะครับ..”

    เซรอสกระพริบตาข้างหนึ่งให้แก่มาเรีย ก่อนจะเกาะตัวหมาป่าสีเงินของเขาแล้วกระโดหายไปท่ามกลางความมืด

    แทบทันทีที่เซรอสหายไป อากาเนะก็ทรุดตัวลงไปทันที เป็นเพราะเธออดกลั้นอาการหลังจากใช้ศิลาเทวะไปแล้วนานพอควร

    “อากาเนะจัง!!” มาเรียรีบวิ่งเข้าไปประคองเด็กสาวก่อนเธอจะล้มลงกับพื้น

    “อย่าเพิ่งสนใจ..เราเลย...รีบไปจากที่นี่ก่อนเถอะค่ะ..” อากาเนะกล่าวอย่างแผ่วเบา เมื่อเสียงไซเรนรถตำรวจดังมาแต่ไกล

    “เวรแล้ว!!ตำรวจมา!!” เรียวทาโร่สบถอย่างตกใจ

    “รีบไปกันเถอะค่ะ ฉันอุ้มอากาเนะจังไปเอง เรียวทาโร่คุงอุ้มเร็กซ์คุงไปน่ะค่ะ!!” มาเรียพูดพลางแบกอากาเนะขึ้นหลัง

    “เดี๋ยว...” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากหลังของเรียวทาโร่ ซึ่งนั้นเป็นเสียงของเร็กซ์
    “มีอีกคนหนึ่งอีกที่ชั้นหนึ่ง...ไปเอาตัวเธอมา..ด้วย” เร็กซ์กล่าวอย่างแผ่วเบา

    “พูดบ้าๆ มันทำได้ที่...!!”เรียวทาโร่โดนหยุดประโยคกลางคันด้วยสายตาที่จ้องอยู่ของเร็กซ์ ทำให้เขาหมดแรงจะเถียงอีกแล้ว

    “เอาก็เอาวะ!! มาเรียทางนี้!!” เรียวทาโร่เรียกมาเรียให้ไปทางอาคารอีกครั้ง ก่อนจะรีบวิ่งไปอย่างรวดเร็ว
    ................
    ............
    .......
    ....
    ..
    .
    ผ่านไปหลายนาที ตอนนี้ตำรวจเริ่มปิดกั้นพื้นที่ แล้วตรวจสอบกันอยู่ โดยเฉพาะศพที่สนามหลังโรงเรียน

    ก่อนที่ศพจะถูกเคลื่อนย้าย ก็มีชายผมสีน้ำตาลคนหนึ่งเดินเข้ามาที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็ว ก่อนจะตำรวจสองคนซึ่งเฝ้าทางไว้จะรั้งเขาเอาไว้ก่อน

    “นี่ใบอนุมัติจากเบื้องบนให้เข้าไปดูสอบที่เกิดเหตุได้ครับ” ชายหนุ่มว่าพลางยืนเอกสารฉบับหนึ่งให้แก่เจ้าหน้าที่

    “อะ...เชิญครับ คุณนักสืบ” ว่าแล้วตำรวจก็เปิดทางให้อย่างโดยดี

    นักสืบผมสีน้ำตาลรีบเดินเข้าไปทางเจ้าหน้าที่ที่กำลังจะเก็บศพที่สนาม “ขอโทษน่ะครับ ผมขอดูสภาพศพหน่อยครับ”

    “อ้าว..คุณนักสืบทาจิบานะ เชิญครับ..” ผู้ที่น่าจะเป็นหัวหน้าทีมยอมให้นักสืบผมสีน้ำตาลสั้น แต่ไว้จอนยาวเข้าไปทำกิจของเขา

    เมื่อเปิดผ้าปูศพออก นักสืบทำหน้าเบ้เล็กน้อย ก่อนจะปิดผ้าก่อนเข้าที่เดิม “ขอบคุณครับ..”

    นักสืบทาจิบานะ ครุ่นคิดบางอย่างในหัว จนมีคนๆหนึ่งมาทัก

    “ไม่คิดว่าเคสนี้จะต้องถึงมือของยอดนักสืบ “ทาจิบานะ เคียว” เลยน่ะครับเนี่ย?” ตำรวจในเครื่องแบบทักทายนักสืบอย่างเป็นมิตร “เป็นไงครับศพนี้ น่าตะลึงดีมั้ย?”

    “เหอะๆ จ่า สยองได้ใจจริงๆเลย” นักสืบเคียวตอบกลับอย่างขี้เล่น

    “พอจะเดาอะไรได้บ้างละครับ?” จ่าตำรวจถาม

    “ไม่รู้สิครับ แต่ผมเคยอ่านคดีสมัยเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนในแฟ้มคดีของFBIน่ะครับ มันก็มีศพที่มีลักษระแปลกๆแบบนี้เหมือนกัน”

    “แปลกเหรอ?” จ่าทำหน้าสงสัยเล็กน้อย
    “ศพตายแบบเละตุ้มเปะ แถมรอบๆบริเวนก็มีการพังทลายอย่างผิดธรรมชาติอีก” นักสืบคิ้วขมวดอย่างสงสัย

    “เอาเป็นว่าผมขอตัวก่อนน่ะครับ จ่า” นักสืบตะเบ้ะใส่ตำรวจตรงหน้า ซึ่งฝ่ายตำรวจก็ตอบรับเช่นกัน

    นักสืบหนุ่มค่อยๆเดินออกมาจากที่เกิดเหตุ พลันนึกในใจ “ไม่ผิดแน่นอน เรื่องนี้ต้องเกี่ยวกับศิลาเทวะ!!!”
    ...............
    ..........
    .......
    ....
    ..
    .
    ห่างออกไปข้ามทวีป กลับมาที่ลอนดอน ประเทศสหราชอาณาจักร อังกฤษ ซึ่งตอนนี้อยู่ในช่วงประมาณสิบโมงกว่าๆ

    ในแถวชานเมืองลอนดอน มีคฤหาสน์หลังใหญ่ตั้งอยู่หลังหนึ่ง เยื่องออกไปชั้นที่สาม ห้องนอนห้องที่สอง
    ในห้องที่มีวอลเปเปอร์สีขาวธรรมดา การตกแต่งห้องก็เรียบเงียบสบายๆ บนเตียงนั้นมีร่างของชายผมทองคนหนึ่งนอนสิ้นสติอยู่ ที่โต๊ะข้างตัวเขา มีดาบสีเงินสองเล่มพิงอยู่ เครื่องแต่งกายของเขา แล้วก็มีดปอกผลไม้ด้ามยาววางอยู่ โดยที่ชายผู้ไร้สติหาได้รู้ไม่ว่า ห่างออกไปไม่ไกลมีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งกำลังจับตามองเขาอย่างอาฆาต
    ....................
    .............
    .........
    ......
    ...
    TO BE CONTINUE

    ############################################

    ขอบพระคุณตัวละคร

    ทาจิบานะ เคียว (Rep 18) >>>>> cast off change hyper raymiel ยอดนักสืบ ที่เป็นที่รู้จักของเหล่าตำรวจ แม้จะออกมาแปบเดียวในตอนนี้ แต่อย่างน้อยๆเขาก็เกี่ยวข้องกับศิลาเทวะพอควรเชียวละ แล้วมาดูกันว่าเขาจะสืบได้อะไรบ้าง

    เซรอส ดี. เคออส(Rep 25) >>>>> [<WinG_of_FreedoM>] ชายหนุ่มผู้ที่มีความหลังไม่ค่อยดีเท่าไหร่กับศิลาเทวะ แถมยังชนะเร็กซ์โหมดโรคจิตในตอนนี้ได้อีก คงต้องติดตามต่อไปว่าเกิดอะไรกับเขาในอดีตกันแน่


    ############################################
  6. l2eenai2y

    l2eenai2y New Member

    EXP:
    533
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    ใกล้ถึงตอนปัจจุบันจากบอร์ดเดิม แล้วสินะ

    > < มาอ่านย้อนความหลังเพราะไม่ได้อ่านนาน...
  7. maxlancer

    maxlancer ประธานรุ่น2ตุรกีเชียงใหม่

    EXP:
    1,183
    ถูกใจที่ได้รับ:
    1
    คะแนน Trophy:
    88
    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

    Chapter 6 : การต่อสู้ และ การเดิมพัน (Fight and Gamble)

    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


    ท่ามกลางแดดจ้าตอนเกือบเที่ยง ในวันอากาศแจ่มใสของลอนดอน ประเทศอังกฤษ เหล่าผู้คนต่างก็ใช้ชีวิตประจำวันของตัวเองเหมือนกับที่เคยปฎิบัติอยู่ทุกๆวัน ยกเว้นเพียงแต่กลุ่มคนกลุ่มหนึ่งในโรงแรมของที่นี่

    ภายในห้องล็อบบี้ของโรงแรมหรู มีเด็กน้อยผมสีทองประมานคอในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงสีดำยาวตัวโปรด นั่งพิงโซฟา พร้อมอ่านหนังสือ “สารานุกรมสัตว์ป่า”อย่างเซ็งอารมณ์นิดๆ

    ใกล้ๆเขา มีชายหนุ่มสวมชุดเสื้อโค้ทยาวสีแดงเลือดทับชุดสูทสไตล์อังกฤษ กำลังนอนแผ่หลาเอาหมวกปีกกว้างสีเดียวกับเสื้อปิดหน้า แถมด้วยเสียงกรนที่ราวกับราชสีห์แก่คำรามอยู่ที่โซฟายาวอย่างไม่เกรงใจสายตาของเหล่าผู้คนที่มาพักโรงแรมนี้เลยแม้แต่นิดเดียว ทั้งๆที่ตัวเองเป็นถึงฆาตกรโฉดชื่อดังในอดีตแท้ๆ

    ซักพักหนึ่งก็มีชายหนุ่มผมเงินยาวสวมเสื้อแจ็คเก็ตหนังสีดำทับเสื้อกล้ามสีขาว กางเกงยีนส์ พร้อมถือห่อผ้าสีดำยาว เดินเข้ามาจากลิฟต์ของโรงแรมแห่งนี้

    เด็กชายผมทองเงยหน้าไปมองเล็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ “มาช้าจังเลย.. พี่เอ็ดริก..”เด็กชายบ่นใส่ชายหนุ่มที่เพิ่งเดินเข้ามาถึงอย่างไม่พอใจ “ผมรอจนอ่านหนังสือนี่ จบไปสามรอบแล้วนะ”

    “ขอทีเถอะ เรออน ถ้าไม่คิดจะช่วย ก็อย่ามาบ่น รำคาญ..” เอ็ดริกตอกกลับอย่างหัวเสีย

    “อ้าว? ก็หน้าที่ผมคือประจำการณ์อยู่ตรงนี่ไม่ใช่เหรอ? แล้วจะไปช่วยพี่เฝ้าเฮียผมแดงคนนั่นได้อย่างไงอะ..”

    เรออนเถียงกลับได้ภายในเสี้ยววินาทีที่เอ็ดริกพูดจบ พลันทำให้ชายหนุ่มหมดอารมณ์จะถกเถียงกับเด็กตรงหน้า ต่อ

    “แล้ว...ทำไมเหลือแต่นายกับไอ้โรคจิตอิริคอยู่แค่นี้ละ? คนอื่นๆหายไปไหนกันหมดแล้ว” เอ็ดริกหันมองไปมา ก็เกิดสงสัย

    “อ๋อ..พี่นัวส์ ไปหาผู้ใช้ศิลาอีกคนใกล้ๆแถวนี้แหละ..ส่วนพี่อูริคเขาไปทำงานกับคนที่คุณราจาจ้างมาอะครับ”

    “คนที่หัวหน้าจ้างมา...” เอ็ดริกได้ยินดังนั้นก็เริ่มไม่พอใจ “ฉันละไม่เข้าใจจริงๆ ทำไมต้องไปจ้างหมอนั่นมาด้วย ไอ้ฉันอยากไปแทบตายดันไม่ให้ไป กลับส่งมาเฝ้าตัวนักโทษแทน..”

    เรออนได้ยินอย่างนั้น ก็ครุ่นคิดอยู่ซักครู่จึงตัดสินใจถามขึ้น“พี่เอ็ดริก...ที่พี่ยอมร่วมมือกับคุณราจานี่ เพื่ออะไรเหรอ?”

    ชายหนุ่มที่โดนถามอย่างนั้น ก็เริ่มแสยะยิ้มออกมาที่มุมปาก มือกำห่อผ้าของเขาแน่นขึ้น จนทำให้เรออนเริ่มคิดว่าเขาไม่ควรจะถามอะไรบ้าๆออกไปเลย “ถ้าไม่อยากตอบก็ไม่เป็นไรน่ะครับ”

    “ไม่เป็นไร แต่ไว้ถึงเวลาฉันจะบอกนายเอง ว่าแต่ ตอนนี้ช่วยขึ้นไปข้างบนกับฉันหน่อยสิ หมอนั่นมันตื่นแล้ว”

    “จริงอะ!! งั้นก็รีบไปเถอะครับ!!” เรออนได้ยินดังนั้นก็ปิดตำราในมือแล้วกองไว้ตรงนั่นทันที

    แต่พอกำลังจะย่างเท้าออกมา เด็กน้อยก็นึกขึ้นได้อย่างหนึ่ง “นี่!! พี่เอ็ดริก.. แล้วจะไม่ปลุกคุณอิริคก่อนเหรอครับ?”

    “เออ...ปลุกมันไว้ก่อนก็ดี” เอ็ดริกเดินกลับมาหาชายในเสื้อโค้ทแดงที่นอนอยู่ หมายจะเรียกให้ชายร่วมองค์กรตื่นขึ้น แต่ทว่า...

    “..พี่เอ็ดริก..เราลองเปิดดูหน้าคุณอิริคดูดีปะ..?” เรออนกระซิบถามอย่างสนอกสนใจ ก่อนที่เอ็ดริกจะก้าวไปถึงตัวชายที่นอนปิดหน้าด้วยหมวกของเขาอยู่

    “ทำมาเป็นถาม ถ้าฉันบอกว่ายอม นายก็จะให้ฉันเปิดให้ดูเองใช่มั้ยละ?” เอ็ดริกทำหน้าเหนื่อยหน่าย เพราะรู้ทันนิสัยของเด็กแสนซนตรงหน้าดี

    “พี่ไม่อยากรู้บ้างเหรอ ว่าหน้าคุณอิริคเป็นอย่างไงอะ ผมเองยังไม่เคยเห็นหน้าเค้าชัดๆซักครั้งเลยนะ ไม่แน่ว่าอาจจะหล่อกว่าพี่เอ็ดริกหรือพี่เซรอสก็ได้!! ” เรออนพยายามเกลี้ยกล่อมเอ็ดริกทุกวิถีทาง เพราะอิริคเองก็ไม่เคยถอดหมวกกับแว่นกันแดดของเขาออกมาให้เห็นใบหน้าชัดๆเลยซักครั้งเลย ยิ่งทำให้เด็กน้อยทวีความอยากรู้อยากเห็นมากขึ้น

    เอ็ดริกชั่งใจอยู่สักครู่ จริงๆแล้วเขาแทบไม่ได้สนใจในใบหน้าของอิริค คอนสแตนด์เลยแม้แต่น้อย แต่กระนั้นเด็กชายผมทองก็ยังคงจ้องเอ็ดริกด้วยสายตาออดอ้อนราวกับลูกหมาถูกทิ้งก็มิปาน จนชายหนุ่มรู้สึกแปลกๆยังไงชอบกล

    “พอๆ เลิกจ้องด้วยสายตาแบบนั้นซักที รำคาญ ยอมก็ได้วะ...” หนุ่มผมเงินตอบด้วยน้ำเสียงกระด้าง พลันหันหน้าหนีเด็กชาย เพราะรู้สึกทนลุ่มหลง เอ้ย!! รำคาญสายตาอ้อนวอนของเด็กน้อยไม่ได้

    “เยส!!” ทันทีที่ได้คำตอบ หนุ่มน้อยโซตะก็แอบชูกำปั้นแห่งชัยชนะลับหลังพี่ชายผมเงินอย่างสะใจ

    เอ็ดริกค่อยๆย่างเท้าเข้าหาชายในโค้ทสีแดงอย่างระมัดระวัง มือกำลังเคลื่อนเข้าไปหมวกสีแดงปีกกว้างที่ปิดบังใบหน้าอย่างช้าๆ

    “ทำอะไรอยู่เหรอครับทั้งสองท่าน?” เสียงแหบโทนสูงดังขึ้นจากหลังของเอ็ดริก

    “ก็จะเปิดหมวกดูหน้าไอ้หมอนี่ไง ถามมาได้..”

    “แสดงว่าเตรียมใจจะตายแล้วใช่มั้ยเอ่ย....”

    “ก็ยังหรอ......เฮ้ย!!!” เอ็ดริกได้ยินคำถามเป็นครั้งที่สองก็นึกขึ้นได้ เสียงแหบๆ ฟังดูโรคจิตในคำพูด มันไม่มีใครได้หรอกนอกจาก!!!

    “ดีคร๊าบ...” ชายหนุ่มในชุดโค้ทแดงยาว ใส่หมวกปีกกว้าง กับ แว่นตากันแดดไว้เสร็จสรรพ ได้ยืนโบกมือทักทายอย่างเฮฮาแถมด้วยรอยยิ้มกว้างที่ดูไม่ไม่สมสติเท่าไหร่ ผิดกับชายหนุ่มผมเงิน และ เด็กชายผมทอง ที่ยืนอึ้งกิมกี่ราวกับวิญญาณหลุดจากร่างไปชั่วคราว

    “มะ...มาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย? ” นี่คงเป็นครั้งแรกที่สองคนต่างวัยต่างนิสัยจะมาคิดเหมือนกันได้โดยมิได้นัดหมาย

    “ไม่ทราบว่า อยากลิ้มรสประสบการณ์สยองแบบไหนก่อนตายมั้ยครับ?” อิริคถามคำถามที่ไม่ชวนให้ตอบขึ้น พลางล้วงเอาสมุดโน้ตขนาดหนาพอๆกับคัมภีร์ไบเบิลจากอกเสื้อมาเปิดดู

    “อืม...สำหรับเด็กน้อยหน้าตาน่ารักหน้ากอดอย่างนี้....” อิริคบ่นพึมพำพลางเหลือบมองไปทางเรออน ที่สะดุ้งโหยงทันทีที่ถูกมองเช่นกัน

    "รายการแนะนำวันนี้คือ “จับขึงลวดแล้วเอาแส้หนามเฆี่ยนจนลายแล้วค่อยจับมัดใส่โอ่งเกลือจนตัวแห้งตาย” ส่งตรงจากจีนแผ่นดินใหญ่ สนใจจะรับประทานซักหน่อยมั้ยครับ?”

    แทบไม่ต้องให้คิด เรออนส่ายหน้าแบบให้ตายก็ไม่อยากทันที

    “สำหรับหนุ่มสำอาง เราขอแนะนะรายการ “หมันสดซูปเปอร์ครัซ (Super crush)” จากยุโรปเหนือ โดยการ...”

    “หยุดตรงนั้นเลย!!..จะมาจากไหนก็ไม่เอาเฟ้ย!!” เอ็ดริกเริ่มเสียใจหน่อยๆที่ดันไปยุ่งกับไอ้ซาดิสม์นี่ได้ พลางชี้ไปยังหนังสือสีดำอย่างหนาของอิริค “แล้วไอ้หนังสือเล่มนั้น มันคืออะไร..?”

    “อ๋อนี่เหรอครับ... “คัมภีร์รวมวิธีทรมานสุดสยองหนึ่งพันแปดสิบแบบจากทั่วโลก แม้แต่นักฆ่าโครตซาดิสม์ยังต้องเมินหน้าหนี” ได้คำรับรองความสยองจากแจ็คเดอะริปเปอร์ด้วยน่ะครับ..จะบอกให้” อิริคดูเหมือนจะสนุกสนานกับเรื่องแบบนี้มาก เพราขนาดที่พูด ปากของเขายังคงฉีกกว้างไม่หยุด

    “ใครบ้าหน้าไหนมันคิดสั้นมาพิมพ์วะเนี่ย? ยิ่งเจ้าคนที่มารับรอง มันมาได้อย่างไง..?” เอ็ดริกเมินหน้าหนีอย่างหมดแรง อะไรมันจะจิตวิปลาส ได้ขั้นนี้

    “แถมในไม่กี่อาทิตย์จะตีพิมพ์เล่มสองด้วยน่ะครับ เล่มนี้จะรวมวิธีฆ่าของพวกอินเดี้ยนประเภท....”

    “หยุดแ..ร่งไว้ตรงนั้นแหละ!!!! ไม่ต้อง พูดออกมาแล้ว!!” ความรำคาญ + สะอิดสะเอียนของเอ็ดริกถึงที่สุดแล้ว

    “ตื่นมาก็ดีแล้ว!! หัดทำตัวให้มีประโยชน์บ้าง!!! ไม่ใช่ว่าเขาไม่สั่งให้ไปไหนแล้วก็นอนอย่างเดียวเลย..” เอ็ดริกตะคอกอย่างเสียอารมณ์ก่อนจะหันหลังให้ฆาตกรหมวกแดง


    แต่ในชั่วพริบตา อิริคกลับล้วงแม็กนั่มสีเงินยาวจากอกเสื้อของเขาออกมาเล็งเข้าใส่เอ็ดริก แต่ชายหนุ่มผมเงินก็ไม่ได้ช้ากว่าตัวฆาตกรหมวกแดงแม้แต่น้อย เมื่อห่อผ้าในมือของเอ็ด ห่างจากต้นคอของอีกฝ่ายไปไม่กี่มิล ปลายผ้าเปิดเล็กน้อย จนสังเกตเห็นคมดาบคาลิเบอร์ในมือของผู้ใช้ได้

    “ Oh!? Pretty..(โอ้..ใช้ได้)” อิริคกล่าวอย่างอารมณ์ดี

    “แกคิดจะทรยศหรือไง!!?” ดวงเนตรเขียวครามของหนุ่มผมเงินจ้องใส่อิริคอย่างอาฆาต มือขวากุมดาบในผ้าแน่น

    “ถึงแม้ว่าฉันจะยอมร่วมมือกับราจา แต่ก็ใช่ว่าฉันจะยอมทำตามที่มันพูดทุกอย่างหรอกน่ะ ไอ้พวกหมารับใช้!!”

    “งั้นอยากลองโดนหมาตัวนี้กัดคอหอยขาดดูมั้ยละ?” เอ็ดริกส่งคำพูดท้าทายฆาตกรโฉดตรงหน้าอย่างไม่เกรงกลัว พร้อมส่งสายตาดุดันมากขึ้น

    “เออ...ผมว่าพอกันแค่นี้ก่อนดีกว่ามั้ยครับ?” เรออนพูดแทรกขึ้นมาอย่างเบาๆ “คนรอบๆเขาจ้องกันใหญ่แล้วน่ะครับ...”

    เป็นอย่างที่เด็กชายว่า เมื่อเหล่าแขกผู้ที่มาพักโรงแรมแห่งนี้ กำลังจดจ้องชายทั้งสองที่ใช้ศาสตราวุธเอาชี้หน้าใส่กันอย่างกลัวเกรง ทำให้ทั้งสองจำต้องวางมือในอารมณ์ที่ยังฉุนเฉียวอยู่

    “ไปกันเถอะ เรออน...” เอ็ดริกกล่าวอย่างโมโหก่อนจะหันหลังเดินจ้ำอ้ากลับเข้าไปภายในโรงแรมอีกครั้ง โดยไม่เหลียวหลังกลับมามองอีกเลย

    แต่เรออนยังไม่ได้ตามไป เขาหันกลับมาหาอิริคอย่างหวั่นๆ ก่อนจะลองถามคำถามที่เขาสงสัยขึ้น

    “คุณอิริค..หมายความว่าไงที่ไม่ยอมทำตามคำสั่งของคุณราจานะ”

    อิริคที่กำลังจะกลับตัวไปนอนอยู่ชะงักไปซักครู่ ก่อนจะฉีกยิ้มกว้างอันสุดสยองจิตขึ้น

    “ที่ฉันยอมมาอยู่ ก็เพราะจะได้ฆ่าคนที่น่าฆ่าตั้งเยอะแยะไงละ...”

    เมื่อพูดเสร็จชายโค้ทแดงทิ้งตัวหลับบนโซฟาทันที ทิ้งให้เรออนงงงวยกับประโยคที่ได้ยิน ก่อนจะหันมาถามตัวเอง..

    “แล้วเราเข้ามาอยู่กับคุณราจา เพราะอะไรละ?”

    เรออนยังคงครุ่นคิดอย่างไม่เข้าใจตัวเองตลอดทางที่ไปยังห้องพัก แต่ขณะที่กำลังจะถึงห้องของพวกเขานั่นเอง

    โครม!!!!

    เสียงกระแทกดังลั่นไปจนสุดทางเดิน เด็กชายไม่รอช้า ก็รีบรุดเข้าไปเปิดประตูห้องแปดหกสองซึ่งเป็นห้องที่กลุ่มของพวกเขาทันที

    พริบตาที่บานประตูเปิดออก สายตาของเรออนก็จดจ้องตรงไปยังหน้าของตนอย่างเลี่ยงไม่ได้ เก้าอี้ไม้สักขนาดย่อมๆ พุ่งตรงเข้าใส่ด้วยความเร็วสูงจนเด็กชายต้องยกแขนปิดหน้า รับเก้าอี้เข้าไปเต็มแรง จนล้มลงนอนด้วยความมึน

    ภายในห้องพักที่ประดับผ้าม่าน และ เครื่องใช้อย่างหรูหรา ตอนนี้กลายเป็นเศษซากแตกกระจายไปแทบทั้งห้อง ฝุ่นกระจายไปทั่ว เหลือเพียงเอ็ดริกที่ยกดาบสีทองของเขาขึ้นเตรียมเขาประจัญบานกับ ชายหนุ่มผมแดงเพลิงยาว ที่มีสภาพอิดโรย เสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงยีนส์เปื้อนฝุ่นไปทั่วทั้งตัว มือทั้งสองข้างที่โดนล่ามกุญแจมือเอาไว้กำมีดด้ามไม้ประจำตัวแน่น ดวงเนตรเขียวมรกตยังคงจ้องมองศัตรูอย่างอาฆาต

    “นี่แกรู้สึกตัวตั้งแต่เมื่อไหร่? อัลเทม่า โนโดเรน!!” เอ็ดริกถามอย่างสงสัยที่ชายหนุ่มตรงหน้ากลับควบคุมสติตัวเองได้หลังจากสูญเสียมันอยู่นาน

    “ตั้งแต่แกออกจากห้องไปไง!!! คราวหลังหัดดูให้มันแน่ใจหน่อยน่ะ” อัลเทม่าตอบอย่างสะใจ พร้อมสั่งสอนศัตรูเล็กน้อย

    “หึ..พูดจาดูสถานการณ์มั้งน่ะ ดูยังไงแกก็เสียเปรียบเห็นๆ” เอ็ดริกไม่ได้หวาดหวั่นศัตรูตรงหน้าแม้แต่นิดเดียว เขาค่อยๆย่างก้าวเข้าหาอัลเทม่าอย่างช้าๆ

    “แล้วใครบอกว่าฉันจะสู้กับแกให้โง่ละ!!” พูดจบอัลเทม่าก็ถีบตัวถอยหลังไปทางสุดห้อง ก่อนจะหันฝ่ามือเข้าไปที่ผนังอย่างรวดเร็วแล้วก็....

    “ลบ!!!” ผนังห้องหายไปภายในพริบตาอย่างไม่เหลือแม้แต่เศษเสี้ยวของฝุ่น แล้วอัลเทม่าก็โดดออกไปทางนั้นอย่างไม่หวั่นเกรงกับความสูงจากชั้นที่แปดเลย

    “แย่แล้ว!!! เรออน!! มาช่วยที!!” เอ็ดริกร้องเรียกเด็กชายผมทองที่อยู่นอกห้องให้มาช่วย แต่ช้าเกินไปเสียแล้ว เมื่อเขาพบว่าร่างของอัลเทม่าได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย

    “บ้าชิบ!!” ชายหนุ่มผมเงินสบถลั่นอย่างเจ็บใจ ตัวเขาทำพลาดไปอย่างใหญ่หลวง

    “เอาไงดีครับ พี่เอ็ดริก” เรออนรู้สึกกังวลใจ “ถ้าคุณราจารู้ละก็ แย่แน่เลย..”

    “ไม่เป็นไร สภาพอย่างงั้นหนีได้ไม่ไกลหรอก รีบไปตามหากันเถอะ” กระนั้นชายหนุ่มผมเงินก็ยังคงโมโหกับความผิดพลาดของตนอยู่ดี
    .......................
    ..................
    .............
    ........
    ...
    ห่างออกไปจากโรมแรมที่พวกเอ็ดริกออกไปหลายร้อยเมตร

    บริเวณตึกแถวที่เรียงรายอยู่แถวนั้น มีบล็อกๆหนึ่งที่ชั้นแรกเปิดเป็นห้องที่ปูแผ่นโฟมรูปจิ้กซอว์จนปิดพื้นเต็ม ที่นั่นมีเหล่าผู้คนหลากหลายวัยแต่ไม่หลากเพศสวมเสื้อกล้าม กางเกงโปร่ง เกือบทุกคน กำลังยืนเรียงรำกระบวนท่าแบบกังฟู ตามเสียงนับจังหวะของชายหนึ่งที่ยืนอยู่เบื้องหน้ากลุ่มคนเหล่านั้น

    ชายหนุ่มวัยรุ่นที่มัดรวบผมยาวถึงหลังสีดำของเขาไว้ ผมด้านหน้าแหวกออกตรงกลางเป็นเส้นยาว แม้จะอยู่ในชุดแบบเดียวกันกับคนอื่นๆในนี้ แต่ด้วยการวางตัวอย่างเรียบง่าย เอามือไขว้หลัง ยืนดูกลุ่มคนเบื้องหน้าด้วยตาสีน้ำเงินผ่านแว่นกรอบเหลี่ยมของเขานั้น คงพอบ่งบอกได้ว่า เขาเป็นผู้ฝึกสอนในที่แห่งนี้อย่างแน่นอน

    “ต่อไป!!!”

    เมื่อเสียงให้จังหวะดังขึ้นหนึ่งคำ ก็เหมือนหุ่นยนต์ที่ได้รับการป้อนคำสั่ง ทุกๆคนต่างก็ออกหมัด เคลื่อนท่าไปเป็นท่าต่างๆ ตามแต่ที่เคยได้รับฝึกสอนมาด้วยกัน อย่างพร้อมเพียง

    ทุกๆครั้งที่ทั้งหมดออกกระบวนท่าเสร็จ ชายหนุ่มผมยาวก็จะเดินไปมาตามช่องระยะห่างระหว่างลูกศิษย์เพื่อตรวจตราความถูกต้อง ก่อนที่จะนำไปสู่จังหวะต่อไป

    “ต่อไป!!!”

    แอ้ด.....

    เสียงประตูไม้อัดที่ผ่านการใช้งานมานานดังขึ้น แม้ว่าจะเป็นการเสียเวลาต่อการฝึกสอนในที่นี้ได้ แต่มันก็เป็นมารยาทที่เจ้าของบ้านต้องออกไปรับแขก

    สิ่งที่ผ่านประตูไม้มาก็คือ หญิงสาวผมสีดำรวบขึ้นสูง มาในชุดไปรเวท เสื้อยืดแขนยาวสีดำ กางเกงยีนส์ที่ใส่แล้วดูกระชับกระเชง ใบหน้าที่ประดับด้วยดวงตาเรียวคมสีม่วงของเธอช่างดูงดงาม แต่ก็แฝงไว้ด้วยความเย็นชาเช่นกัน

    “เออ....ไม่ทราบว่ามีธุระอะไรหรือเปล่าครับ?” หนุ่มแว่นผมดำเดินเข้ามาถามแขกอย่างสุภาพ

    “คุณคือ “โพเอท เฟิงสุ่ย แวนิแซ็ค” ใช่หรือไม่..?”

    “ใช่แล้วครับ ผมนี่แหละ “โพเอท” ” เจ้าของนามที่ถูกขานตอบรับ “มีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ?”

    “ขอคุยกันตามลำพังได้หรือเปล่า?” หญิงสาวพูดอย่างช้าๆ ก่อนจะชูให้อีกฝ่ายเห็นศิลาสีม่วงเข้มที่ติดอยู่กับกำไลข้อมือของเธอ

    โพเอทขมวดคิ้วลงเล็กน้อย ก่อนจะใช้นิ้วดันกรอบแว่นที่ตกขึ้น “งั้นต้องรอซักหน่อยน่ะครับ การฝึกของวันนี้ใกล้จะจบแล้ว..”

    หลังจากพูดจบอาจารย์ฝึกสอนก็หันกลับไปทำหน้าที่ต่อให้จบ....
    ......
    ...
    .
    ผ่านไปหลายสิบนาที เมื่อการฝึกฝนจบลง จนลูกศิษย์คนสุดท้ายกำลังเดินออกไป

    “อย่าลืมฝึกทบทวนที่บ้านด้วยละ ครีด ตอนออกหมัดยังขาดความแข็งแรงน่ะ” โพเอทกล่าวทิ้งท้ายให้แก่ลูกศิษย์อายุสิบต้นๆ ที่กำลังเดินออกไป

    “ครับ อาจารย์!!” เด็กหนุ่มตอบอย่างร่าเริง ก็รีบวิ่งตามเพื่อนฝูงที่นำไปกันก่อนแล้ว

    โพเอทเดินไปปิดผ้าม่านทั้งหมดทันที ก็จะหันไปหาหญิงสาวที่ยังคงนั่งรอเขาอยู่ข้างใน เพื่อเริ่มการสนทนา

    “ขอโทษที่ให้รอ ตามมาสิ” ชายหนุ่มเรียกแขกที่นั่งอยู่ ก่อนจะเดินนำขึ้นบันไดไปชั้นบน

    ตึกแถวที่โพเอทอาศัยอยู่นี้มีทั้งหมดหกชั้น ชั้นอื่นๆนอกจากชั้นล่างสุด เป็นห้องของเจ้าของตึกที่เปิดให้คนมาเช่า แต่ไม่รู้ทำไม ตั้งแต่ที่โพเอทเข้ามาอยู่ มันก็ไม่มีใครมาเช่าต่อเลยยันบัดนี้

    โพเอทนำทางมาจนถึงชั้นก่อนดาดฟ้า มีห้องๆหนึ่งแปะโน้ตสั้นๆไว้ว่า “อีกสามสี่วันจะกลับ จาก พ่อ”

    “อ่านะ ไปไหนก็ไม่หัดบอกกันบ้างเล้ย.. เจ้าพ่อคนนี้” โพเอทบ่นอย่างเซ็งๆ ก่อนจะเปิดประตูเข้าห้องไป

    “เชิญครับ..” ชายหนุ่มวาดมือต้อนรับแขกสาวอย่างสุภาพ

    ภายในห้องของโพเอท ส่วนที่น่าจะเป็นห้องครัวผสมกับห้องรับแขก ตอนนี้เต็มไปด้วยภาชนะและถุงพลาสติกใส่อาหารเต็มแทบทุกจุด

    ชายหนุ่มเจ้าของห้อง เกาหัวด้วยความเหนื่อยหน่าย พลางใช้เท้ากวาดกองขยะตรงพื้นออกไปเกิดที่ว่าง แล้วยกเก้าอี้มาวางไว้

    “เชิญนั่งก่อนน่ะครับ ผมจะไปชงชามาให้”

    “ไม่ต้องค่ะ...ธุระไม่นานหรอก..” หญิงสาวปฏิเสธห้วนๆ จนโพเอทเสียเส้นไปไม่น้อย

    “ธุระที่ว่านั่นเกี่ยวกับไอ้หินลึกลับก้อนนี้ใช่มั้ย?” ชายหนุ่มแบฝ่ามือที่มีแผ่นหินทรงกลมสีขาวออกเทามีลายสีดำพาดฝังอยู่ตรงกลางขึ้น

    “ถ้ารู้อย่างนี้ก็ง่ายหน่อย ทางกลุ่มของเราต้องการพลังของคุณมาร่วมด้วย”

    “เออ..ขอโทษน่ะ กลุ่มอะไร?” โพเอทแสดงสีหน้างุนงง

    หญิงสาวถอนหายใจอย่างไม่ค่อยๆจะพอใจเท่าไหร่ ก่อนจะกลับมาเข้าเรื่องต่อ

    “กลุ่มของเรามีชื่อว่า “Divinity stone legion(ดีไวน์ สโตน ลีจัน = สมาคมสหายสงครามศิลาเทวะ)” เป็นกลุ่มที่เราได้รวบรวมนักรบศิลาเทวะจากหลายๆที่มาอยู่ที่เดียวกัน”

    “ศิลาเทวะ? หินนี่มีชื่อเรียกกับเขาด้วยเหรอ?” โพเอทชักรู้สึกเหมือนฟังนิยายจินตนาการอยู่อย่างไงอย่างงั้น “ถ้าอย่างนั้น จะรวบรวมกันไปเพื่ออะไรละ?”

    หญิงสาวยังคงทำหน้านิ่งไร้อารมณ์อยู่ เธอถอนหายใจอีกเฮือก เป็นการบอกว่าเหนื่อยที่จะต้องมาพูดมากๆอย่างนี้

    “คุณเริ่มใช้ศิลาก้อนนั้นครั้งแรกเมื่อไหร่?”

    โพเอทได้ยินคำถามก็แปลกใจเล็กน้อย “.... จะครบสิบสี่ปีนี้ ทำไม?”

    “ตอนใช้พลังพิเศษที่ได้รับจากศิลา คุณเคยมีอาการเหมือนวูบไปซักช่วงนึงมั้ย?”

    แทบไม่ต้องฟังคำตอบ เพราะว่าสีหน้าที่แสดงความวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัดของโพเอท ถือได้ว่าเป็นการตอบไปแล้ว

    “...จะบอกว่าอาการแบบนี้ เป็นเพราะศิลาเทวะงั้นเหรอ?”

    “ถูกต้อง...แล้วก็ฉันไม่ขอพูดอ้อมค้อมน่ะ อีกไม่นานคุณจะต้องถึงศิลากลืนกินความเป็นตัวเองทั้งหมด แล้วกลายเป็นสิ่งที่ไม่ใช่คนอย่างแน่นอน”

    “สิ่งที่ไม่ใช่คน? หมายความว่าไง?”

    “ปีศาจ อสูรกาย ประมาณนั้น..”

    ชายหนุ่มยืนเงียบสักครู่ใหญ่ แม้จะพยายามคิดว่าเป็นเรื่องเหลวไหล แต่ศิลาที่ฝังอยู่กลางฝ่ามือก็เป็นเรื่องจริงอยู่ดี

    “งั้นก็หมายความว่าที่รวบรวมกำลังคนที่มีศิลาไปก็เพื่อยับยั้งไม่ให้คนที่มีหินนี่โดนมันกินเข้าไปใช่มั้ย?”

    “...ก็มีส่วน แต่ต้องแลกกับที่คุณจะใช้พลังที่มีทำงานให้กับหัวหน้าของกลุ่มเรา”

    “งั้นขอปฎิเสธ!!!” น่าตกใจที่โพเอทปฎิเสธโดยเสียงดังทันที ทั้งๆที่ยืนฟังอย่างสนใจมาตั้งแต่เมื่อกี้

    หญิงสาวเริ่มมีอาการคิ้วขมวดเล็กน้อย “หมายความว่ายังไง?”

    “ฉันสาบานเอาไว้แล้วกับคนๆหนึ่งว่าจะไม่ใช้พลังของมันอีกเด็ดขาด ไม่ว่ายังไงก็ตาม” พูดเสร็จ โพเอทก็หันหลังให้กับหญิงสาว “เชิญคุณกลับไปซะเถอะ..”

    แต่หญิงสาวกลับไปได้เดินไปไหน เธอคว้าโทรศัพท์มือถือสีน้ำเงินครามแบบพับได้ขึ้นมาโทรทันที
    “ฮัลโหล...ขอพูดกับหัวหน้าหน่อย.. ค่ะ....ใช่คะ....จะให้ทำไงดีค่ะ....รับทราบคะ”

    หญิงสาววางหูอย่างช้าๆ แล้วหันมาพูดกับโพเอทอีกครั้ง “ช่วยคิดดูใหม่อีกครั้งจะได้มั้ย?”

    “บอกแล้วไงว่าไม่..อย่ามาเซ้าซี้ได้มั้ย!!!!”

    โพเอทหันหน้ากลับมาตะคอกใส่อย่างไม่พอใจ แต่ไม่ทันได้มองหน้าของหญิงสาวผมดำ เขาต้องมาจ้องจานข้าวสีขาวที่บินตรงเข้าใส่ใบหน้าทันที ชายหนุ่มเอนหัวหลบในระยะห่างเพียงห้าเซนติเมตร จนขอบจานกระแทกคิ้วซ้ายแตกไปนิดนึง

    โพเอทตกใจเล็กน้อยจนเสียการทรงตัวไปเกือบวินาที หญิงสาวก็ใช้เท้ากวาดกองเศษอาหารกับภาชนะเข้าใส่ซ้ำอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ช้าไปนิดนึง เมื่อโพเอทกระโดดตีลังกากลับหลังลงนอนกลับพื้น หลบกองเศษซากที่พุ่งเข้ามาได้หมด

    แน่นอนว่าจอมยุทธ์หนุ่มคงไม่นอนรอจนถึงปีใหม่แน่ เขารวบรวมแรงผลักร่างตัวเองขึ้น พร้อมกับที่หญิงสาวพุ่งเข้ามารัวเท้าขวาเข้าใส่ราวกับปืนกลแกตตาลิ่ง จนตัวฝ่ายรับต้องถอยร่นเข้าไปในห้องเรื่อยๆ

    เท้าขวาที่พุ่งมาจากทุกทางนับว่ารวดเร็วจนตรึงมือโพเอทจริงๆ แต่กระนั้นโพเอทก็เห็นช่องโจมตีได้ เมื่อหญิงสาวกำลังใช้ส้นเท้าตอกลงที่ใบหน้าของคู่ต่อสู้ ชายหนุ่มเหวี่ยงฝ่ามือซ้ายฟันปัดมันออกไปอีกทาง แล้วหมุนตัว อัดศอกตรงใส่ท้องน้อยของหญิงสาวอย่างแรง

    แต่ในพริบตาที่คิดว่าศอกตรงเข้าเป้าหมายนั้น ร่างของหญิงผมดำกลับข้ามหัวของโพเอทไปด้วยความเร็วที่เหนือกว่า เท้าขวาข้างที่ถูกชายหนุ่มปัดออกไปเมื่อกี้ ได้กลับมาเกี่ยวรัดคอหอยโดยไม่รู้ตัว ก่อนที่ร่างของเขาจะถูกเหวี่ยงทะลุหน้าต่างห้องออกไป

    ร่างของเขาลอยคว้างออกจากหน้าต่างห้องตกลงไปสู่เบื้องล่าง นับว่าดวงของเขายังดีอยู่ เมื่อตึกข้างๆนั้น มีดาดฟ้าที่อยู่ต่ำกว่าห้องเขาไปแค่ชั้นเดียว ทำให้รับแรงกระแทกน้อยลงไปโขทีเดียว

    ชายหนุ่มกลิ้งตัวไปตามแรงหลายตลบ ก่อนผลักร่างตัวเองกลับมายืนอีกครั้ง พร้อมยกมือทั้งสองขึ้นตั้งการ์ดเตรียมบู๊ต่อรอบที่สอง สายตาและสมาธิจดจ้องตรงไปที่หน้าต่างของห้องเขา

    ร่างของหญิงสาวผู้จู่โจมพุ่งผ่านหน้าต่างตามออกมาอย่างรวดเร็ว เธอลงพื้นอย่างนุ่มนวล แล้วค่อยๆย่างกรายเข้ามาช้าๆ มือทั้งสองเอื้อมไปที่หลัง คว้าด้ามพัดสีดำที่ติดพู่สีแดงสองอันออกมา ก่อนที่เธอจะสะบัดมันทั้งสองออกข้างตัว สยายให้เห็นใบพัดคมมีดอันแหลมคม ดูราวกับวิหคเพลิงสยายปีกสีรุ้งไม่มีผิด

    “คิดจะทำอะไรของเธอน่ะ?” โพเอทถามด้วยความสงสัย แต่ก็ยังไม่ลดกำปั้นลงแต่อย่างใด

    “ขอโทษจริงๆ แต่ศิลาเทวะนะ จะเปลี่ยนเจ้าของไม่ได้จนกว่าคนเก่าจะตาย”

    พูดจบ หญิงสาวก็พุ่งตัวเข้ามาต่อ เธอหงายใบพัดของเธอขึ้นพร้อมสังหาร ถึงแม้อีกฝ่ายหมายจะปลิดชีพของโพเอทอย่างแน่นอน แต่กระนั้นตัวเขาก็ยังมีอาจสู้ได้เต็มร้อย เพราะความสับสนในเรื่องที่เกิดขี้นยังคาใจตัวเขาอยู่ ซึ่งยังไงต้องเค้นความจริงบางอย่างออกมาก่อน

    คมพัดที่มือขวาของหญิงสาวตวัดใส่คอหอยโพเอทราวกับแส้ แต่ชายผู้เป็นถึงผู้ฝึกสอนกังฟูก็เอนหลบได้ในระยะเผาขนอย่างง่ายดาย ก่อนที่จะสกัดอาวุธที่ตามมาติดๆด้วยท่าเตะสูงเข้าที่ฝ่ามือจนสิ่งที่ถืออยู่หลุดไปข้างหนึ่ง

    ทันทีที่อาวุธหลุดไป หญิงสาวหมุนตัวสามร้อยหกสิบองศาด้วยสัญชาตญาณ เมื่อโพเอทหมายจะเข้าไปจับตัวเธอ ก่อนที่กระโดทิ้งระยะออกมาเพื่อตามไปเก็บพัดของเธอ

    แต่หญิงสาวก็ต้องตกใจ เมื่อร่างของโพเอทกลับปรากฏดักหน้าเธอได้แทบในทันที ทำให้เธอตกใจจนเผลอถอยออกไป และนั้นเป็นสิ่งที่ตัวโพเอทรอคอยอยู่แล้ว

    เขาไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดมือ โดยการตรงเข้าไปปล่อยหลังหมัดใส่อย่างรวดเร็ว หญิงสาวเห็นดังนั้นก็รีบเพิ่มแรงถอยหลบมากขึ้น

    ทันใดนั้นเอง ร่างของหญิงสาวก็เสียสมดุลเอาซะดื้อๆ ก่อนที่เธอจะรู้ตัวว่าถูกโพเอทเตะกวาดขาทั้งสองจนล้มไปแล้ว พร้อมๆกับที่ชายหนุ่มพุ่งไปนั่งคร่อมตัวเธอและรวบมือทั้งสองของเธอเอาไว้

    “บอกมา!!! ทำไมพวกเธอถึงต้องการพลังของหินก้อนนี้มากนัก!! แล้วบอกวิธีที่จะเอามาออกไปมาด้วย!!”

    “อย่า..แตะตัวชั้นน่ะ” หญิงสาวพยายามดิ้นให้หลุด โดยไม่สนใจคำถามซักนิด

    แต่ในขณะที่ทั้งสองยังคงโต้เถียงกันอยู่นั้นเอง จู่ๆโพเอทกลับต้องปล่อยมือที่ล็อกแขนของหญิงสาวแล้วกระโดดออกมาอย่างฉับพลัน เมื่อมีบางสิ่งพุ่งเข้าใส่ราวกับลูกศร ก่อนที่เขาจะพบว่าสิ่งนั้นคือดาบทรงกางเขนสีดำ

    “เป็นอะไรหรือเปล่า? คุณนัวส์” เสียงชายวัยรุ่นคนหนึ่งดังขึ้นมา พร้อมๆกับเสียงฝีเท้าที่ตามมาอย่างช้า

    “นายมาที่นี่ทำไมกัน?“เลนาส ” ”

    หญิงสาวเจ้าของนามว่า “นัวส์ มาร์เวลส์” หันกล่าวเบาๆแบบดูไม่เต็มใจเท่าไหร่ กับ “เลนาส เซอราส” ชายหนุ่มผมสีบรอนยาวจนรวบไว้ที่หลัง สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวบริสุทธิ์ ปลดกระดุมหลายคัวจนเห็นอก แขนเสื้อถลกขึ้น กางเกงยีนส์สีน้ำเงิน ซึ่งเดินเข้ามาหาอย่างช้าพร้อมเอามือข้างขวาล้วงกระเป๋าไว้

    “ยังเย็นชาไม่เปลี่ยนเลย ผมก็มาช่วยคุณไง ส่งตรงมาจากโรมาเนียเชียวน่ะ” ชายหนุ่มชื่อ เลนาส กล่าวอย่างร่าเริงก่อนจะส่งยิ้มและสายตาสีน้ำเงินเข้มแลดูสดใสให้แก่หญิงสาว

    “ไม่ต้องห่วงครับ คุณเรน่า กระผมจะปกป้องคุณเอง!!” ครูซิไฟร์ตอบด้วยประโยคน้ำเน่าสุดบรรยายชวนให้อ้วก ก่อนจะลุกขึ้นยืนอีกครั้ง พร้อมหยิบกาบคู่สีเงินขึ้นมาพร้อมสู้ กับผู้ใช้ไฟรอบที่สอง

    แต่แล้วการต่อสู้ก็ถูกขัดจังหวะ เมื่อชายหนุ่มผมสองสีกลับเดินขึ้นมาขวางทางเอาไว้

    “หยุดก่อน วีแอท”

    “...มีอะไร?” ชายหนุ่มผู้ถูกเรียกว่าวีแอทถามสั้นๆ

    “คุณครูซิไฟร์ ถามจริงๆ ทำไมพวกคุณต้องมาขัดขวางเราถึงขนาดนี้ด้วย”

    ครูซิไฟร์ออกอาการงงเล็กน้อยที่อีกฝ่ายถามตรงๆแบบนี้ “ทำไมไม่ถามพวกแกดูเองละ ว่าคิดจะทำอะไร”

    “ก็ยับยั้งเหตุการณ์นองเลือดที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้าไง”

    “นั่นมันเป็นแค่เรื่องตลกที่หัวหน้าพวกแกเป่าหูมาไม่ใช่หรือไง!! ความจริงมันใช่อย่างนั้นซะที่ไหน!!”

    “พอเถอะ อูริค พูดไปก็ป่วยการ...” วีแอท เดินนำหน้าเพื่อนร่วมงานของเขาที่ชื่อ อูริค เกลวูฟ ไป

    “งานของฉันคือพาตัว “เรน่า ไอส์สวอน” ไปตามที่ได้รับการว่าจ้างมาก็แค่นั้น” ว่าแล้วเขาก็หยิบปืนพกที่อยู่ในอกเสื้อของเขาออกมา

    “หึ...เอาไงก็แล้วแต่ละกัน แต่อย่าให้ถึงตายละ” อูริคถอนหายใจเบาๆ เขาค่อยๆดึงมีดผ่าตัดแบบศัลยแพทย์ออกมาแล้วตรงไปทางครูซิไฟร์พร้อมกับ “หลิว วีแอท” ผู้ที่ใช้พลังไฟ

    ครูซิไฟร์ยืนตั้งดาบทั้งสองมั่น ตอนนี้ไอเย็นบางๆเริ่มปกคลุมรอบๆตัวเขาอีกครั้ง ตอนนี้การต่อสู้ได้เริ่มขึ้นอีกครั้ง

    “...เอาละน่ะ!!!!!”
    ..................
    .............
    .........
    .......
    ...
    TO BE CONTINUE...





    ##################################################################

    ขอพระคุณตัวละครดีๆจาก

    เรน่า ไอส์สวอน (Rep1) >>>!+~ZGMFS~+! สาวน้อยที่เจ้าครูซิไฟร์ปกป้องซะดิบดี การพบกันของพวกเขาเป็นอย่างไง โปรดติดตามตอนหน้า!!!

    หลิว วีแอท (Rep 4) >>> - DΞЯІСК – หนุ่มครึมพูดน้อย แต่ดันมีพลังไฟที่ร้อนแรง ทำไมเขาถึงมากับอูริค เกลวูฟได้นั้น โปรดติดตามตอนหน้าเช่นกัน

    โพเอท เฟิงสุ่ย แวนิแซ็ค (Rep15) >>>Evan Ψzac £ เดอะ ริปเปอร์ ไอ้หนุ่มกังฟู สวมแว่นดูแล้วช่างเรียบร้อย แต่ไหงกลายร่างแล้วกลับด้านคนส่วนสีละเนี่ย? อนาคตของเขาจะเป็นเยี่ยงไรไม่มีใครรู้ รวมทั้งคนแต่ง(เพราะยังไม่ได้คิด)

    เลนาส เซอราส (Rep24) >>> kirashin หนุ่มเรียบร้อยอารมณ์ดีที่มากับพลังศิลาสร้างดาบ (เป็นศิลาที่ผมชอบมากเลย) เหตุจูงใจอะไรของเขายังไม่ปรากฏ คงต้องรอดูกันต่อไป

    ##################################################################
  8. maxlancer

    maxlancer ประธานรุ่น2ตุรกีเชียงใหม่

    EXP:
    1,183
    ถูกใจที่ได้รับ:
    1
    คะแนน Trophy:
    88
    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

    Chapter 7 : เปลวเพลิง โลหะ และ น้ำแข็ง (Flame Iron and Ice)

    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

    ย้อนกลับไปจากตอนที่แล้ว ไปประมาณชั่วโมง
    ……….
    ……..
    …..

    .
    ภายในห้องๆหนึ่ง ที่แสงตะวันยามสาย สาดส่องเข้ามาในห้องอย่างแรงกล้าจนทำให้บุคคลคนหนึ่งที่กำลังนอนอยู่บนเตียงต้องรู้สึกตัวด้วยแสงที่เสียดแทงผ่านเปลือกตาของเขา

    ชายหนุ่มผมทองค่อยๆฝืนตัวอันหนักอึ้งขึ้นมานั่ง ก่อนที่จะสอดส่องไปทั่วห้องด้วยดวงตาที่ดูเหมือนจะไม่ได้ลืมขึ้นมาเลยพร้อมๆกับเรียกสติสตังให้กลับมาเต็มร้อย

    ภายในห้องที่เขากำลังนอนอยู่ เป็นห้องที่ดูไม่ได้ตกแต่งสีสันมากนัก หรือเรียกว่าห้องเปล่าๆคงจะง่ายกว่า ผนังห้องที่ปูด้วยวอลเปเปอร์สีขาวสะอาด ผ้าม่านลูกไม้สีฟ้ากลมกลืนกับสีห้อง แต่กลับกัน เตียงที่เขานอนอยู่กับมีลายคิตตี้สีชมพูอยู่ซะงั้น

    แต่สายตาของชายหนุ่มกลับหยุดนิ่งอยู่ตรงโต้ะเรียน ข้างเตียงลายแมวเหมียวคิตตี้ที่เขานั่งอยู่ เพราะมีดาบทรงกางเขนสีเงินเรียวยาวลักษณะเหมือนกันสองเล่มวางพิงอยู่ และมีดยาวที่มีอักขระภาษาญี่ปุ่นสลักตรงด้ามวางเหนือเสื้อเชิ้ตขาวบนโต้ะ

    ทันทีที่สายตาจับจ้องไปที่มีด เขาก็นึกได้ทันทีว่าที่ท้องของเขาเพิ่งถูกมีดเล่มนั้นฝากบาดแผลเข้าไปอย่างเจ็บปวดเลยทีเดียว ใช่แล้ว…เขาคือ ครูซิไฟร์ ฮายาชิ ผู้ที่เพิ่งรอดจากการต่อสู้ระหว่างฆาตกรจอมโฉดอิริคและอัลเทม่า สหายที่จู่ๆเข้ามาทำร้ายเขาโดยไม่ทราบสาเหตุ

    เมื่อย้อนหลังเรื่องราวที่ผ่านมาได้ซักพัก ครูซิไฟร์ก็ค่อยๆ ลุกออกจากเตียง ตัวเขาตอนนี้มีร่องรอยปฐมพยาบาลตามตัวหลายจุด โดยเฉพาะบริเวณท้องที่โดนมีดแทงเข้าจนมิดด้าม

    “เหลือเชื่อเลยแฮะ…” ครูซิไฟร์ถึงกับอึ้ง เมื่อแกะผ้าพันแผลตามตัวออกมา แผลที่น่าจะหลงเหลือรอยแผลอีกบ้าง กลับหายสาบสูญราวกับไม่เคยมีอยู่บนตัวเขา ส่วนแผลใหญ่ที่ท้องยังมีอาการปวดอยู่บ้าง แต่แผลก็เริ่มฟื้นตัวจนพอขยับไปไหนมาไหนได้

    หลังจากที่ต้องมางุนงงกับบาดแผลที่หายเร็วเกินความเป็นไปได้แล้ว คราวนี้ครูซิไฟร์ก็มีเรื่องต้องคิดอีกเรื่องคือ “ใครเป็นคนช่วยเขาเอาไว้”



    ชายหนุ่มผมทอง เริ่มเกิดความรู้สึกไม่ปลอดภัยขึ้นมาทันที เมื่อคิดถึงเหตุการณ์ที่ประสบผ่านมา

    ( ตอนนี้เราอยู่ที่ไหนกันละ? คนที่ช่วยเราเป็นจะอยู่ฝ่ายไหนกัน? เราโดนฝ่ายศัตรูจับมาหรือเปล่า? ถ้าใช่ทำไมอาวุธของเราถึงได้อยู่ในห้องนี้ละ? เราขาดการติดต่อกับอากาเนะไปนานเท่าไหร่แล้ว? เกิดอะไรขึ้นกับอัลเทม่ากันแน่? )

    ครูซิไฟร์เริ่มเกิดอาการคิดฟุ้งซ่าน ความกังวล และ ความสงสัยในหลายๆเรื่องเริ่มจู่โจมตัวเขา แต่ทว่า….

    โครกกกกกกกกกกกกก

    เสียงร้องครวญครางที่ดังราวฟ้าผ่า เล็ดลอดออกมาจากท้องของชายหนุ่ม พลันทำให้ความคิดทั้งหลายถูกกลบด้วยความหิวโหยที่ทิ่มแทงกระเพาะแทน

    “ยังไง ก็คงต้องรู้ให้ได้ก่อนละว่าที่นี่ที่ไหนกัน จะได้หาอะไรใส่ท้องด้วย” ว่าแล้ว ครูซิไฟร์ก็รุดไปทางประตูทันที โดยไม่วายหยิบมีดพกของอัลเทม่าเหน็บไว้ที่หลังไปด้วย

    แต่ขณะที่บานประตูกำลังจะถูกเปิดออก ครูซิไฟร์กลับรู้สึกถึงตัวตนของคนอยู่ที่อีกฟากของประตูได้

    ( ศัตรูเหรอ?!! ) ความระแวง + สัญชาตญาณนักสู้ของเขา ทำให้มืออีกพุ่งไปคว้ามีดที่หลังโดยไม่ต้องคิด พร้อมเปิดประตู เข้าประจันหน้า

    แต่คนที่อยู่อีกฟากกลับเป็นเด็กสาวเรือนผมสีทองยาวไสว ประดับด้วยโบว์สีแดงของใหญ่ด้านหลัง ชุดกระโปรงลายจีบสีแดง แขนเสื้อยาวสีขาวบริสุทธิ์ดูเข้ากัน ปกเสื้อกะลาสีสีเดียวกับแขน พร้อมด้วยริ้บบิ้นสีดำที่คอ และที่ต้องตาต้องใจครูซิไฟร์ที่สุดคือ ดวงตาสีม่วงเข้มที่ดูลึกล้ำและมีประกายราวกับอัญมณีอันเล่อค่า บนใบหน้ารูปไข่ที่ดูงดงามดุจนางฟ้าจุติ

    ครูซิไฟร์ตอนนี้สถาพเหมือนโดนคิวปิดเป่าหัวใจเข้าเต็มดอก ยืนตกตะลึงในความน่ารักจนยืนค้างเติ่งไม่ไหวติง แต่อีกฝ่ายกลับแสดงปฎิกิริยาออกมาในทางตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง

    “กรี้ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!!!”

    สาวน้อยกรี้ดลั่นสุดแรง พร้อมเอามือปิดตาหนีทันที จนชายหนุ่มที่ตื่นจากภวังค์ ตกใจตามไปด้วย

    ยังไม่ทันสิ้นเสียงของสาวน้อยคนนี้ เสียงลงเท้าอันหนักหน่วงและรวดเร็วก็ตามมาถึงภายในไม่กี่เสี้ยววินาที ก่อนจะปรากฏร่างของชายวัยกลางคนในชุดสูทคนหนึ่ง

    “เกิดอะไรขึ้นครับ!! คุณหนู!!” ชายผู้นั้นเข้าไปหาเด็กสาวที่เขาเรียกว่าคุณหนูด้วยความห่วงใย ก่อนจะหันมองดูรอบๆด้วยความรวดเร็ว และแล้วสายตาก็มาหยุดกึกตรงที่ครูซิไฟร์

    “เออ…ผมไม่ได้ทำมิดีมิร้ายอะไรเธอเลยน่ะครับ…” ครูซิไฟร์พูดดักทางด้วยน้ำเสียงหวาดๆ เมื่อใบหน้าที่จ้องมองเขา ช่างน่ากลัวพอกับพวกนักซูโม่ตัวใหญ่ตีหน้ายักษ์ใส่ก็มิปาน

    แต่ดูเหมือนคำแก้ตัวที่กล่าวไปเหมือนจะเป็นตัวบอกว่าตัวเขาเป็นคนไปทำอะไรไม่ดีกับเด็กสาวคนนั้นซะมากกว่า เมื่อชายคนนั้นกลับกัดฟันด้วยความโกรธเกรี้ยว พร้อมชักมีดสปาร์ต้าออกจากหลังเพื่อเตรียมเข้าแทงทันที

    “เฮ้ย!! เดี๋ยวก่อนนนนนน!! ผมไม่ได้ทำอะไรเลยจริงจริ้งงงง!!” ครูซิไฟร์พยายามอธิบายให้อีกฝ่ายเข้าใจ แต่หูของอีกฝ่ายตอนนี้ได้ปิดกั้นการรับสิ่งเร้าทั้งมวลไปแล้ว มีเพียงแต่มีดในมือที่พุ่งแทงเข้ามาสุดแรงอย่างรวดเร็ว

    ครูซิไฟร์รีบใช้มีดในมือ เข้าขวางคมสังหารของอีกฝ่าย ก่อนที่ปลายมีดจะพุ่งเฉี่ยวอกตนเองได้อย่างฉิวเฉียด พร้อมอ้อมไปด้านหลังแล้วใช้มืออีกข้างล็อกคอฝ่ายตรงข้ามเอาไว้

    “แก!!…บังอาจ!!…ข้าจะเสียบแกให้ดิ้นเลย!!!” ชายที่โดนล็อกคอพูดใส่ครูซิไฟร์อย่างโกรธเกรี้ยว แต่เนื้อความที่ว่าร้ายตัวเขาเองนั้นทำเอาครูซิไฟร์งุนงง ทันใดนั้นเอง ก็มีกลุ่มชายชุดดำหลายสิบคนวิ่งเข้ามาพร้อมอาวุธปืนครบมือ ซึ่งคงไม่ได้คิดจะเอาไปเข้าสงครามโลกกันแน่นอน

    “มันอยู่นั่นไง!!!” ชายหัวโกร๋นคนหน้าสุดชี้นิ้วมาทางครูซิไฟร์ ซึ่งเป็นสัญญาณให้พวกที่เหลือจากข้างหลังตั้งท่าเตรียมซัดสรรพวุธทั้งหลายของตัวเองใส่ปลายทางของนิ้วอย่างบ้าคลั่ง

    “ฆ่ามานนนนนนนนน……. แอ้ก!!!!”

    “พวกแกจะบ้าหรือไงวะ!! ถ้ายิงโดนคุณหนูจะทำอย่างไง!!!”

    ในช่วงก่อนที่ไกปืนจะถูกลั่นนั้นเอง โชคยังดีที่มีรองเท้าหนังคัชชูเบอร์เก้าของชายผู้ที่ถูกครูซิไฟร์ล็อกคอพุ่งสุดแหวกอากาศมากระแทกปากคนหน้าสุดของกลุ่มชายชุดดำได้อย่างแม่นยำ ซึ่งสร้างความตะลึงแก่ผู้ตามข้างหลังเป็นอันมาก

    “ตะ…แต่ว่าบอสครับ ไอ้เจ้านั่นมัน…” ชายอีกคนออกมาพูดแทนคนๆแรกที่ตอนนี้เอามือปาดเลือดที่กำลังทะลักออกมาอย่างกับสายยาง

    “ไม่ต้องห่วง!!!…. ไอ้หนูแกอย่าคิดว่าจะรอดจากที่นี่ได้เลย ข้างนอกเรามีสไนเปอร์ระดับพระเจ้าคอยเฝ้าอยู่อีก!!! เก่งแค่ไหนแกก็ไม่สามารถเอาชีวิตรอดไปได้แน่นอน!!”

    “ผมบอกแล้วไงว่า ผมไม่ได้ทำอะไรเล้ยยยยยย ทำไมไม่ฟังผมบ้างงงง” ครูซิไฟร์ พยายามสุดฤทธิ์เพื่อจะให้อีกฝ่ายเข้าใจสถานการณ์ แต่ดูยังไง้ยังไง มันก็ไม่มีหนทางจะรอดได้เลย

    “ไอ้หน้าด้าน!!!ยังจะมาแก้ตัวอีก ถ้างั้นจะมาล็อกคอบอสเราไปทำไมละฟะ?!!” เสียงของชายคนหนึ่งดังมาจากกลุ่มชายชุดดำ

    “ก็เล่นพุ่งมาล้วงตับกันตรงๆอย่างนี้ ใครจะไปอยู่ให้จ้วงเล่นละคร้าบบบบ”

    “พวกเราไม่ต้องไปฟังมัน!! ดูหน้ามันก็รู้แล้วว่า คิดจะมาทำไม่ดีต่อคุณหนูแน่ๆ ฆ่ามันเลย!!”

    “ผมป่าว(โว้ย)!!!!! ไหงมันต้องวกกลับมาเรื่องฆ่าตลอดเลย(ฟะ)!!”

    “จะอะไรก็ช่างเถอะ!! คุณช่วยสวมเสื้อซักทีได้มั้ยค่า!!!”

    ท่ามกลางสงครามลมปากที่ดุเดือด จู่ๆก็สงบเงียบลงไปราวกับเป่าสาก เมื่อคุณหนูที่น่าจะเป็นต้นเหตุแห่งการเข้าใจผิดครั้งนี้ ตะโกนบอกแก่ครูซิไฟร์ ที่ตอนนี้เขาเพิ่งรู้ตัวว่าเดินออกมาแค่กางเกงบ้อกเซอร์ลายหัวใจตัวเดียวโดดๆ ซึ่งไม่น่าแปลกใจเลยที่คุณหนูเรือนผมสีทองคนนี้ ถึงกับกรี้ดร้องด้วยความสยดสยอง เอ้ย!! ความเขินอาย

    “คุณหนูร้องออกมาเพราะเจ้านี่มันเดินออกมาในสภาพนี้เหรอครับ?” ชายผู้มีตำแหน่งบอสที่ตอนนี้ยังอยู่ในอ้อมแขนของครูซิไฟร์ ถามด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ

    คุณหนูไม่ตอบอะไร ได้แต่พยักหน้าครั้งเดียวให้

    “จริงๆเหรอครับ?” บอสยังมีการถามซ้ำเพื่อความแน่ใจ แต่คำตอบที่ได้รับคือการพยักหน้าเร็วๆอีกครั้ง

    “เห็นมั้ยละลุง!! คนหน้าตาหล่อเหนือ ทอม xรูซ อย่างผมน่ะ ไม่ทำอะไรเลวๆอย่างที่ลุงว่าหรอก” ครูซิไฟร์ยิ้มร่าเมื่อเห็นว่าตัวเองพ้นความผิดเสียที

    “เออๆ ข้ายอมรับแกไม่ได้ทำอะไรคุณหนูจริง แต่….”

    “แต่อะไรอะลุง?”

    “รู้อย่างนี้แล้ว แกจะยืนบื้อทำซากอะไรเล่า!!! ไปสวมเสื้อซักทีเซ่!!!!!!” ว่าแต่ ครูซิไฟร์ก็โดนกลุ่มชายชุดดำสองคนลากมันเข้าห้องไปด้วยความเร็วแสง พร้อมๆกับที่คนอื่นๆหันไปเชิญคุณหนูออกห่างจากพื้นที่อย่างว่องไว
    …………
    ………
    …..

    .
    หลังจากครูซิไฟร์โดนเชิญไปแต่งองค์ทรงเครื่องใหม่(อย่างไม่ค่อยประทับใจ) ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาด กางเกงยีนส์ตัวเก่าเซอร์ที่เขาใส่มาก่อนหน้านี้ ก็ได้ถูกนำทางไปยังห้องอาหารโดยมีบอดี้การ์ดชุดดำตัวสูงลิ่วสองคนเดินประกบข้างจนแน่น

    “ขอเตือนไว้ก่อนน่ะเฟ้ยไอ้หน้ายิ้มแป้น ถ้าแกไปทำอะไรไม่ดีกับคุณหนูอีกเมื่อไหร่ละก็....แกหมดสิทธิ์ได้ออกไปแบบครบสามสิบสองแน่!!”

    “ใช่ๆ โดนเชือดหยั่งเขียด”

    “คุณหนูก็แสนจะมีน้ำใจดุจนางฟ้า ยืนกรานช่วยเหลือกุ๊ยไม่มีหัวนอนปลายเท้าอย่างแกมา ทั้งๆที่ดูยังไง แกก็ไม่ใช่คนดีแน่ๆ ช่างน่ารักซะจริงๆ”

    “ใช่ๆ น่ารักสุดย้อดดดดดดด”

    “แกเลิกพูด “ใช่ๆ” ซะทีได้มั้ยฟะ? มันกวนตีนข้าน่ะโว้ย!!!”

    “ใช่ๆ กวนตี้นกวนตีน…”

    จากระยะทางตั้งแต่ห้องที่เดินออกมาจนถึงบัดนี้ ครูซิไฟร์ต้องอดทนฟังทั้งคำดูถูก เสียดสี เหยียดหยาม กวนบาทา แม้กระทั้งของเหลวที่กระเด็นไปมาข้ามหัวของเขาจนเปียกชุ่มมากพอที่จะหาแชมพูมาสระผมได้เลย

    “เออ.. ขอโทษน่ะครับ พวกคุณทั้งสอง ช่วย….” ในที่สุดครูซิไฟร์ก็เริ่มหมดความอดทนจนต้องพูดแย้งขึ้นมาแต่ทว่า…

    มีปัญหาอะไร(วะ)?” ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยแผลเป็นของสองSPร่างโย่ง พุ่งลงมาก่อนที่สาระสำคัญจะได้เล็ดลอดออกจากปากของชายหนุ่มผมทอง ด้วยความโหดเหี้ยมที่แฝงออกจากใบหน้า แถมด้วยกลิ่นคล้ายๆกับของแสลงอะไรซักอย่างที่ราวกับหมกค้างมาตั้งแต่ยุคครีเตเชียส… ซึ่งเลวร้ายมากพอจนหนุ่มผมทองหน้าทะเล้นตรงกลางเถียงไม่ออกเลยทีเดียว

    “เออ…เสื้อพี่เปื้อนฝุ่นอะครับ เดี๋ยวผมเช็ดให้น่ะครับ….”

    ด้วยสกิลปากเทวะระดับเทพ ทำให้สองชายหันไปถกเถียงกันต่อ โดยไม่เห็นครูซิไฟร์อยู่ในสายตา สร้างความหมั่นเขี้ยวให้แก่ครูซิไฟร์สุดๆ ถ้าไม่เห็นว่าที่บ้านหลังนี้มีบุญคุณกับเขา พวกนี้โดนจับแช่เป็นไอติมหน้าหนาวไปแล้ว

    เมื่อเดินมาจนถึงประตูใหญ่ที่อยู่สุดทาง ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นที่ๆ เจ้าของคฤหาสน์ได้รออยู่แล้ว ยังไม่ทันจะได้ตั้งตัวหรือทันใจ ครูซิไฟร์ก็โดนถีบเข้าไปตรงกลางก้นสุดแรงจนกระแทกประตูออกไปจนหน้าคว่ำไปบนพื้นอย่างไม่ปราณี ทำให้ครูซิไฟร์ร้องโอดครวญด้วยความเจ็บเล็กน้อย

    “คุณแองกิส คุณลูดร้า เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ?” น้ำเสียงอ่อนหวานที่ออกแนวแปลกใจเล็กน้อย ดังขึ้นมาจากในห้อง

    “โอ๋? ขออภัยครับ คุณหนู มันเป็นอุบัติเหตุน่ะครับ….”

    “ใช่ๆ อุบัติเหตุขอรับ!!”

    ครูซิไฟร์ค่อยๆยกตัวขึ้นมาจากพื้น พลางคิดสาปแช่งเจ้าบอดี้การ์ดสองนายที่ยืนยิ้มสล่อนอยู่หน้าประตูด้านหลังเขา พร้อมเอามือกุมจมูกไปด้วย แต่ทันทีที่เงยหน้าขึ้นมา ความคิดทั้งหลายทั้งมวลก็มลายหายไปในอากาศ เมื่อสาวน้อยผมทองที่เพิ่งได้เจอเมื่อไม่นานมานี้ได้ยื่นมือให้เขาอยู่ตรงหน้า

    “ไม่บาดเจ็บใช่หรือเปล่าคะ?” เด็กสาวพูดอย่างอ่อนโยน พร้อมส่งยิ้มให้แก่ครูซิไฟร์ แน่นอนว่าการกระทำเช่นนี้ สามารถสร้างความเสียหายให้แก่จอมหื่นสายโลลิคอนอย่างครูซิไฟร์ได้หลายแสนจุดทีเดียว

    “นะ…นี่ผมคงอยู่บนสวรรค์ใช่มั้ยครับ? ถึงได้มีนางฟ้าแสนสวยน่ารักอยู่ตรงหน้าผมได้…”

    แม้ว่าจะเป็นมุขเสี่ยวๆ แต่โดนระยะเผาขนแบบนี้ ทำให้สาวน้อยถึงกับเขินไปได้เหมือนกัน

    “อะ..เออ..คิกๆ ขอบคุณค่ะ” เด็กสาวส่งยิ้มที่มุมปากพร้อมหัวเราะเบาๆ เพื่อกลบเกลื่อนความเขินอาย คงเพราะไม่เคยเจอใครเล่นมาพูดกันตรงๆแบบนี้มาก่อน ก่อนจะกลับมาเข้าสู่เนื้อหาต่อ

    “ลุกไหวมั้ยคะ? คุณ…เออ..”

    “ผมชื่อ “ครูซิไฟร์ ฮายาชิ” อายุ 19 ปี เป็นคนญี่ปุ่นครึ่งอังกฤษ อาชีพนักดนตรี สถานะกำลังโสต และกำลังรับสมัครคนที่จะมาอยู่ในหัวใจของผมครับ!!” เพียงพริบตาที่รู้ว่าโดนถามชื่อ พี่แกก็สาธยายอัตชีวประวัติซะหมดเปลือก แถมยังพุ่งขึ้นไปกุมมือของสาวเจ้าที่ยื่นมาให้ซะแน่น “ไม่ทราบว่าคุณพอจะว่างไป….”

    “ไป? อยากไปนรกขุมไหนละ พ่อจะช่วยส่งให้….” ในพริบตาที่สองต่อจากนั้น เสียงข่มขู่ของชายคนหนึ่ง พร้อมด้วยมีดจ่อคอหอยครูซิไฟร์ และปืนจากเหล่าบอดี้การ์ดรอบข้างอีกหลายกระบอกเล็งเข้าหลังศีรษะ แถมด้วยมีหน่วยแม่นปืนคอยเล็งจากนอกหน้าต่างออกไปอีก

    “อะ…เออ… ขอที่ๆมีสาวๆสวยๆด้วยไม่ได้เหรอฮะ…” ครูซิไฟร์รีบปล่อยมือของเด็กสาวออกและยกขึ้นโดยไม่รีรอ แม้ในใจจะอยากกุมมือสาวเจ้าเอาไว้อีกซักพัก

    “คุณแจ็คคะ อย่าเสียมารยาทกับแขกสิคะ!!” คราวนี้เป็นทีของเด็กสาวที่มีฐานะเป็นถึงคุณหนูแห่งคฤหาสน์แห่งนี้ ขึ้นเสียงต่อว่าใส่เหล่าบอดี้การ์ดจนชะงักด้วยความตกใจไปตามๆกัน ยกเว้นครูซิไฟร์ที่คิดว่าขนาดโกรธยังน่ารักหาที่ติมิได้เลยในสายตาของเขา

    “ตะ…แต่ว่าคุณหนูครับ เจ้าหมอนี่มัน…”

    “คุณครูซิไฟร์เป็นแขกของเราน่ะค่ะ ทางเราเป็นเจ้าบ้านไม่ควรที่จะไปทำอย่างนี้” คุณหนูจ้องตรงเข้าใส่บอดี้การ์ดนามว่าแจ็คด้วยดวงตาสีม่วงอำพันอย่างแน่วแน่ สีหน้าที่ดูไม่พอใจของเธอสร้างทำเอาเหล่าผู้คุ้มกันทั้งหลายต้องพร้อมใจกันลดอาวุธลงอย่างไม่เต็มใจ

    “ต้องขออภัยเป็นอย่างสูงครับ คุณหนู” ว่าแล้ว เหล่าชายชดดำก็จำต้องสลายโต๋กันอย่างรวดเร็ว จนให้ไม่กี่วินาทีต่อมา ภายในห้องกว้างที่มีโต้ะอาหารรูปทรงดูหรูหรา ในห้องมีหน้าต่างสูงเรียงรายไปรอบๆห้อง ก็เงียบสงัด เหลือเพียงแต่เด็กสาว สาวเมดผมสีดอกฝ้าย แล้วก็ครูซิไฟร์อยู่กันแค่สามคน

    “ต้องขอโทษแทนพวกเขาด้วยน่ะค่ะที่เสียมารยาทกับคุณไป” เด็กสาวโค้งให้ครูซิไฟร์ด้วยน้ำเสียงละอายใจ ช่างเป็นเจ้าบ้านที่มีมารยาทดีจริงๆ

    “ไม่ต้องใส่ใจหรอกครับ ผมเคยโดนปืนจ่อแบบนี้จนชินแล้วละครับ” ครูซิไฟร์ยิ้มให้กับคุณหนูอย่างร่าเริง ราวกับเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไปเมื่อกี้ไม่ได้เกิดขึ้น

    “เอ๋?....” คุณหนูผมทอง ติดใจเล็กน้อยกับคำตอบของเขาเล็กน้อย แต่ครูซิไฟร์รีบกลบเกลื่อนทันที ทำให้อีกฝ่ายไม่ติดใจต่อไป

    “อุ้ย! ตายจริง!! เรายังไม่ได้แนะนำตัวเลยนี่นา… ขอโทษด้วยจริงๆน่ะค่ะ” เด็กสาวลุกลี้ลุกลนกับความเสียมารยาทในแบบของเธอ

    “เราชื่อ “เรน่า ไอส์สวอน” คะ ยินดีที่ได้รู้จักน่ะค่ะ คุณครูซิไฟร์” เรน่าถอนสายบัวอย่างงดงาม

    “แฮะๆ เช่นกันครับ” ครูซิไฟร์ตอบรับอย่างอารมณ์ดี ในใจพลางนึกว่าช่างโชคดีเสียนี่กระไร ในที่สุดดวงนารีของตูข้าก็ปรากฏซักที ว่ะฮ่าฮ่าฮ่า บลาๆๆๆ…..

    “คิดว่าคุณคงจะหิวแล้วสิน่ะค่ะ ยังไงก็ขอเราเลี้ยงอาหารคุณเป็นการขอโทษที่เสียมารยาทไปละกันน่ะค่ะ” เพียงแค่สิ้นประโยคเชิญชวน บานประตูที่ตัวครูซิไฟร์เพิ่งโดนถีบเข้ามา ก็เปิดผ่าง ตามมาด้วยสาวใช้ในชุดเมดสไตล์อังกฤษที่เข็นรถอาหารชุดใหญ่มาให้ถึงที่

    เมื่อครูซิไฟร์ได้ถูกเชิญมานั่งเรียบร้อยแล้ว ถาดอาหารทั้งหลายก็ได้ถึงเปิดออก ปรากฏเป็นอาหารชั้นเลิศมากมายจากทั่วทุกสารทิศ ไม่ว่าจะเป็น สเต็กเนื้อสันอย่างดี เป็ดปักกิ่ง สปาเก็ตตี้ บลาๆ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นจานไหนก็ตาม ก็ถือได้ว่าเป็นอาหารชั้นเลิศที่นักดนตรีพเนจรซึ่งหนีออกจากบ้านมาตั้งแต่เด็กอย่างครูซิไฟร์ แทบจะหาวาสนารับประทานมิได้เลย

    “อาหารอาจจะหนักไปนิดน่ะค่ะ แต่เห็นว่าคุณฟื้นตัวได้เร็วมาก ก็เลยคิดว่าน่าจะหาอาหารที่ให้พลังงานมากๆ ให้น่ะค่ะ” เรน่ากล่าวอย่างกังวลนิดๆ ด้วยความกลัวว่าจะดูแลแขกได้ไม่ดีพอ

    ผิดกับครูซิไฟร์ที่นั่งอ้าปากหวอตะลึงอย่างออกนอกหน้า ด้วยความที่ว่าพเนจรมาตั้งแต่เจ็ดขวบ เรื่องอาหารคงไม่ต้องพูดเลยว่าคงหากินตามกำลังที่สามารถหาได้ แต่วันนี้โดนเลี้ยงมื้อใหญ่ + ความหิวที่ทิ่มแทงกระเพาะอาหารตั้งแต่ตื่นมาแล้ว ตอนนี้แม้แต่ช้างแอฟริกาเขาก็เขมือบได้ทั้งตัว

    “มีอะไรหรือเปล่าค่ะ?” เรน่าเห็นสีหน้าสุดตะตึงของครูซิไฟร์ ก็เกิดสงสัย

    “อะ!! ไม่มีอะไรครับ งั้นผมไม่เกรงใจละน่ะครับ”
    ……….
    …….
    ….
    ..
    .
    “ขอบคุณสำหรับอาหารคร้าบบบ”

    เวลาเพียงไม่นาน โต้ะอาหารที่เต็มไปด้วยเมนูร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ บัดนี้สาบสูญเข้าไปอยู่ในกระเพาะของครูซิไฟร์เสียให้สิ้นดั่งถูกเสกเข้าไป ทำเอาเมดสาวผู้ทำอึ้งกิมกี่ไปหลายวินาที

    “เออ...ดูเหมือนคุณจะหิวมากเลยน่ะคะ” เรน่ายิ้มปนตลกเล็กน้อย เมื่อเห็นแขกของเธอกินอาหารที่เตรียมมาประมาณสามคนหมดได้อย่างเหลือเชื่อ

    “แฮะๆ เวลาบาดเจ็บ ผมก็กินล้างกินผลาญอย่างงี้ประจำแหละครับ”

    “ว่าแต่ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยได้มั้ยคะ ว่าทำไมคุณถึงโดนทำร้ายมาหนักถึงขนาดนี้?” เรน่าถามตรงจุดจนครูซิไฟร์เกือบกระอักอาหารออกมา

    “เออ…(ซวยแล้วไงตู)” ครูซิไฟร์พยายามจะหาข้อแก้ตัว ซึ่งถ้าจะพูดถึงศิลาเทวะ เขาคงโดนหาว่าบ้าแน่นอน

    “ผมโดนพวกโจรมันแทงเอาน่ะครับ พอดีทำตัวเป็นฮีโร่ไปหน่อย”

    แทนที่คำแก้ตัวมันจะฟังขึ้น สายตาของสาวน้อยกลับเพ่งมองครูซิไฟร์หนักขึ้น สงสัยที่ว่าผู้หญิงมักจับผิดคนเก่งคงจะจริง

    “ไม่ดีน่ะคะ น่าจะไปแจ้งทางตำรวจเค้าดีกว่า นี่ยังโชคดีที่ไปเจอคุณซะก่อน”

    “ขอบคุณมากน่ะครัยที่ช่วยผมไว้ คราวน่าผมจะระวังครับ” ครูซิไฟร์พลางโล่งอกที่ความลับยังไม่ต้องเปิดเผย“ว่าแต่คุณเรน่าอยู่ที่นี่คนเดียวเหรอครับ? แล้วคุณพ่อกับคุณแม่ไปไหนซะละครับ?”

    “อ๋อ พ่อกับแม่ต้องไปทำงานไกลน่ะค่ะ เลยไม่อยู่ที่บ้าน”

    “เหรอครับ…” ครูซิไฟร์ฟังแล้วยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม แต่ในขณะที่กำลังกระดกน้ำ ประสาทสัมผัสของเขาก็สั่นสะเทือน สัมผัสประหลาดที่รับได้นั้นเป็นสัมผัสที่เค้าคุ้นเคย กระแสคลื่นศิลาเทวะที่ตรงเข้ามาเร็วมาก!!!

    “แย่แล้ว!! ทุกคนรีบหนีไป!!” ครูซิไฟร์ตะโกนบอกคนใช้ในห้องทั้งหมด แล้วกระโดขึ้นไปบนโต้ะอาหารไปหาเรน่า

    “อะ..เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ คุณครูซิไฟร์…”เด็กสาวตกใจกับปฎิกิริยาของชายหนุ่ม

    “ไว้ค่อยอธิบายที่หลังครับ ตอนนี้…!!!”

    บรึ้ม!!!!!
    ……….
    …….
    ….
    ..
    .
    สิ้นเสียงระเบิดดังสนั่น ครูซิไฟร์ที่ตอบสนองต่อจิตสังหารได้ทันเพียงชั่ววินาที ค่อยๆลุกขึ้นมาอย่างช้าๆ พร้อมกับพยุงร่างของคุณหนูผู้บอบบางซึ่งโดนชายหนุ่มพาตัวออกจากรัศมีการระเบิดได้ทันท่วงที

    “คุณเรน่าครับ บาดเจ็บหรือเปล่าครับ?” ครูซิไฟร์ถามเสียงอ่อยๆอย่างเป็นห่วง

    “มะ...ไม่ค่ะ แต่ว่าคุณ…” เรน่าถึงกับหน้าถอดสี เมื่อเห็นโลหิตแดงสด หลั่งออกมาจากขมับขวาของชายหนุ่ม

    “แค่มดกัดครับ อย่าไปสนใจเลย…มาเถอะครับ” ครูซิไฟร์ปาดเลือดออกไปด้วยแขน และจูงมือของเด็กสาวเพื่อพาไปยังที่ปลอดภัยโดยด่วน

    “แต่ว่าพี่เซเรีย…” เรน่าพูดถึงเมดประจำของเธอ ซึ่งตอนนี้นอนจุกอยู่อีกมุมหนึ่งของห้อง ซึ่งครูซิไฟร์ดูจากสายตาแล้ว ยังห่างไกลจากคำพูดบาดเจ็บหนักมากนัก

    “เธอไม่เป็นอะไรหรอกครับ แต่ถ้าตอนนี้ไม่รีบไปละก็…!!!!”

    บรึม!!!

    ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะพูดจบ บอลเพลิงขนาดประมาณเกือบเท่าตัวคนก็พุ่งตรงเข้ามาระเบิดใส่ที่ๆ ทั้งสองคนยืนอยู่ซ้ำอีกครั้งอย่างไม่ปราณี

    กลุ่มควันไหม้แพร่กระจายไปทั่ว เสียงก้าวเท้าของคนๆหนึ่งดังเข้ามาจากปากทางของลูกเพลิงอย่างช้าๆ

    “…หนีไปได้งั้นเหรอ…” ร่างที่ยืนท่ามกลางกลุ่มควัน ปรากฏตัวออกมา ชายผมสั้นสีดำ ใบหน้าคมเข้ม เสื้อยืดสีขาวทับด้วยเสื้อคลุมสีน้ำตาล กางเกงขายาวสีดำ มือซ้ายล้วงกระเป๋า มือขวามีไอความร้อนพวยพุ่งขึ้นมาจางๆ

    ควันไฟค่อยบางลงไป จุดที่เดิมเป็นที่อยู่ของชายหญิงคู่หนึ่งนั้น ตอนนี้มีกำแพงน้ำแข็งยักษ์ที่มีรูโหว่ขนาดยักษ์ที่เกิดจากการโดนความร้อนสูงเข้าอย่างจังตรงกลาง
    …..

    ..
    ห่างออกไปจากห้องอาหาร บริเวณทางเดินไปยังห้องโถง ซึ่งตอนนี้ครูซิไฟร์กำลังจูงมือเรน่าวิ่งไปด้วยความรวดเร็ว แต่สักพัก เรน่าก็ทรุดลงไปด้วยความเหน็ดเหนื่อย จนครูซิไฟร์ต้องหยุดดูอาการเธอก่อน

    “เป็นอะไรหรือเปล่าครับคุณเรน่า!!” ครูซิไฟร์ถามด้วยความเป็นห่วง

    “ไม่..เป็นอะไร…มากหรอกค่ะ” เรน่าตอบเบาๆผสมเสียงหอบระรัวจนแทบจะหายใจไม่ทัน ใบหน้าสีเนื้อนวลซีดเผือด “แต่ว่า…แขนซ้ายคุณ”

    แขนซ้ายของของชายหนุ่ม ตอนนี้มีสภาพไหม้เกรียมจนเกือบได้ที่ แต่อาการบาดเจ็บก็ไม่ได้ส่งผลต่อสีหน้าของเขาแต่อย่างใด

    “ไม่ต้องสนใจบาดแผลผมหรอก ตอนนี้เราต้องหาทางหนีออกจากที่นี่ให้ไวที่สุด” ชายหนุ่มกล่าวอย่างรีบร้อน พลางยื่นมืออีกข้างให้แก่เด็กสาวเพื่อไปต่อ

    เมื่อทั้งสองวิ่งมาจนถึงห้องโถงกว้าง ซึ่งเป็นทางหลักที่จะออกจากคฤหาสน์แห่งนี้ แต่ภาพที่ปรากฏตรงหน้าทั้งสองนั้น ถึงกับทำให้เรน่าเข่าอ่อน ร่างของกลุ่มบอดี้การ์ดชุดดำที่แสนจะภักดีต่อเจ้านาย ได้นอนเกลื่อนกราดทั่วบริเวณหน้าประตู

    “ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะมาเจอคุณที่นี่ ครูซิไฟร์ ฮายาชิ” เสียงๆหนี่งดังขึ้นมา

    “ใครน่ะ!!” ครูซิไฟร์ชักมีดขึ้นเตรียมต่อสู้ พลันหันมองหาศัตรู

    ร่างของชายหนุ่มผู้หนึ่งเผยตัวออกมาจากมุมหนึ่งของห้อง ร่างสูงใหญ่ สวมแจ็คเก็ตหนังสีน้ำตาลทับเสื้อขาว กางเกงขายาวสีดำ ตามตัวมีเครื่องประดับและ โซ่โลหะตามตัวมากมาย ผมยาวปรกคอ ที่มีสีขาวกับดำสลับกันคนละฟาก

    “ผม อูริค เกลวูฟ ครับ” ดวงตาสองสีเช่นเดียวกับเรือนผมจ้องมาทางครูซิไฟร์อย่างเป็นมิตร แต่ทว่าดูจากร่างของผู้คนรอบข้างของเขาแล้ว ไม่ได้มาดีเหมือนสายตาเลย

    “คุณมิซึกายะ อากาเนะที่เป็นแกนหลักของคุณนี่ช่างตาแหลมดีเหลือเกินน่ะครับ คราวก่อนเจอคนที่ชื่อ เรียวทาโร่ ขนาดไม่มีอาวุธอะไร ยังสามารถสู้กับมือสังหารของเราได้อย่างสูสี คราวนี้คุณสามารถรอดชีวิตจากการมือของคุณอิริค คอนแสตนด์ อดีตฆาตกรของอังกฤษได้”

    อูริคกล่าวยกยอฝ่ายของครูซิไฟร์ไปเรื่อยเปื่อย แต่ทว่าจิตสังหารของเขานั้นมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดชายหนุ่มผมทองก็ตัดสินใจ…

    “คุณเรน่า...ทันทีที่ผมให้สัญญาณ คุณหนีไปหลบที่ฟากโน่นให้เร็วที่สุดเลยน่ะครับ..” ครูซิไฟร์กระซิบบอกคุณหนูที่ตอนนี้สับสนต่อเหตุการณ์ตรงหน้า ซึ่งไม่ทันเธอจะได้ถามไถ่รายละเอียด สัญญาณก็เริ่มขึ้น

    “ไปเลย!!” ครูซิไฟร์ตะโกนลั่น ก่อนที่จะกระโดดขึ้นกลางอากาศ แล้ว…

    มหาน้ำแข็งพันปีจงสถิตย์อยู่กับข้า Frozen orb ( ลูกแก้วเยือกแข็ง )!!!”

    คลื่นพลังสีฟ้าแผ่ซ่านออกมาจากครูซิไฟร์อย่างรุนแรง ศิลาเทวะของเขาซึ่งอยู่ที่ต่างหูกางเขนที่หูขวาส่องประแสงสีฟ้าเจิดจ้าจนแสบตา พริบตานั้นมวลอากาศรอบๆเขาก็รวมตัวกันกลายเป็นหอกน้ำแข็งจำนวนหลายสิบแท่ง แล้วพุ่งเข้าใส่อูริคทันที

    “ถึงกับปลดปล่อยพลังศิลาเต็มที่เลยเหรอเนี่ย…” อูริคกล่าวสั้นๆอย่างไม่เกรงกลัวต่อพลังของอีกฝ่าย พลันยกฝ่ามือขวาขึ้นไปข้างหน้า ก่อนที่เหล่าอาวุธของบอดี้การ์ดที่นอนสิ้นความรู้สึกจะพุ่งมาเรียงกันเป็นกำแพงโลหะขนาดใหญ่มาขวางทางลิ่มน้ำแข็งโดยไม่สั่นคลอน

    ทันใดนั้นเอง ชายหนุ่มผมทองได้วกเข้าด้านหลังของอูริคอย่างว่องไว พร้อมตวัดมีดสั้นที่มือขวาเข้าใส่ลำคอ แต่ทว่า…

    เคร้ง!!!

    เสียงโลหะกระทบกันดังลั่น ครูซิไฟร์ถึงกับตกใจ เมื่อคมมีดของเขาซึ่งน่าจะฟันเข้าเส้นเลือดใหญ่ของอูริคอย่างจังแล้ว กลับค้างติดอยู่ตรงผิวหนังที่ลำคอโดยไม่ได้ผ่านเข้าไปเลยแม้แต่น้อย

    “จะรีบร้อนบุกไปไหนละ คุณครูซิไฟร์…” อูริคหันหน้าไปหาอีกฝ่าย จนครูซิไฟร์สังเกตได้ว่าบริเวณตาซ้ายของอูริคนั้น มีสะเก็ดสีเงินส่องสว่างอยู่

    ไม่ทันที่ทั้งสองจะต่อปากต่อคำกันต่อ มีดดาบทั้งหลายที่เดิมถูกนำมาเป็นเกราะกำบังตรงหน้าของอูริค กลับหันคมเข้าหาครูซิไฟร์พร้อมกัน

    ครูซิไฟร์รีบถีบตัวออกห่างโดยไม่ต้องคิด แต่ห่าฝนคมมีดก็ได้พุ่งเข้าใส่อย่างไม่รอให้อีกฝ่ายหนีรอด พร้อมหอบร่างของเป้าหมายจนลอยออกไปที่ทางออกพอดี

    “คุณครูซิไฟร์!!!” เรน่าซึ่งคอยดูการต่อสู้อยู่ถึงกับใจหายเมื่อเห็นชายหนุ่มโดนห่ามีดซัดเข้าใส่อย่างจัง

    “เรน่า ไอส์สวอน ใช่มั้ย?” คำถามห้วนๆ แผ่วขึ้นมาทางหลังของเรน่าอย่างน่าใจหาย

    “วีแอท…มาช้าจริงน่ะ” อูริคเดินเข้ามาตำหนิชายผมดำที่สวมเสื้อยืดสีขาวทับด้วยเสื้อคลุมสีน้ำตาลซึ่งยืนอยู่ด้านหลังของเรน่าพอดี

    “…หมอนั่นละ?…” วีแอทถามอูริคสั้นๆ

    “เพิ่งโดนเสียบไปเมื่อกี้นี้เอง…เอาละคุณหนูเรน่า ไอส์สวอนครับ” อูริคหันมาพูดกับเด็กสาวผมทองที่ได้แต่ยืนตัวสั่นราวกับลูกนก

    “อาจจะกะทันหันไปนิด แต่ทางเราอยากจะเชิญคุณไปหาหัวหน้าของพวกเราซักหน่อย ได้มั้ยครับ?”

    “ทะ..ทำไมพวกคุณถึงต้องการตัวฉันไปค่ะ” เรน่าพยายามรวบรวมความกล้าถามขึ้นมา

    “เพราะคุณเป็นคนพิเศษไงครับ” อูริคตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แต่การกระทำอันโหดเหี้ยมของเขายังคงตราตรึงจิตใจสาวน้อยคนนี้ยิ่งนัก

    “เอาเป็นว่า..ถ้าคุณมากับพวกเรา คุณจะเข้าใจเองนั่นแหละครับ” ว่าแล้วอูริคก็ยื่นมือไปหาเรน่าเป็นการชักชวน

    แต่ไม่ทันจะได้ขยับเข้าหา อูริคก็ต้องเอนตัวออกห่างทันที เมื่อลิ่มน้ำแข็งได้พุ่งปักขวางทางเอาไว้ทันควัน

    “ออกไปห่างๆ คุณเรน่าซะ!!” ครูซิไฟร์ได้กลับมาอีกครั้งหนึ่ง แต่ตามเนื้อตัวเต็มไปด้วยมีดหลากขนาดเสียบเอาไว้จนเลือดโชก

    “เก่งกว่าที่คาดเอาไว้เยอะเลยน่ะครับ โดนเผาขนไปขนาดนั้น ยังรอดมาได้อีก” อูริคกล่าวชื่นชมอีกฝ่ายที่กำลังดึงมีดออกจากไหล่ทิ้งอย่างช้าๆ

    “ดูท่าจะเป็นตัวปัญหาของงานซะแล้วสิ วีแอท..เอาไงดี?” อูริคหันมาคุยกับผู้ร่วมทาง

    “…กำจัดทิ้ง…” วีแอท ตอบห้วนๆ พลันเข้าหาครูซิไฟร์อย่างช้าๆ มือขวาของวีแอทค่อยๆมีไอความร้อนพวยพุ่งออกมา

    “หมอนี่…ไฟสิน่ะ” ครูซิไฟร์บ่นพึมพำ ก่อนที่จะพุ่งเข้าหาศัตรูอย่างไม่รีรอ

    วีแอทเห็นดังนั้น จึงเร่งการเผาไหม้ของอากาศในฝ่ามือขึ้นมา กลายเป็นลูกเพลิงขนาดพอๆกับกำปั้น ซึ่งครูซิไฟร์สังเกตเห็นดังนั้น จึงรีบสร้างเกราะกำบังลูกไฟเอาไว้รอบตัวทันที แต่นั่นเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด

    เกราะน้ำแข็งอย่างหนาแตกกระจายจากด้านหน้าของผู้สร้างอย่างจัง สะเก็ดน้ำแข็งพุ่งเฉียดใบหน้าของครูซิไฟร์จนเลือดกระเซ็นเข้าตา ทันใดนั้นสายตาที่ถูกบดบังด้วยสีเลือดของชายหนุ่มผมทองได้เห็นเงาของคนๆหนึ่งพุ่งเข้าด้านหน้าเขา แล้วก็…

    “…ตาย…” สิ้นคำพูด วีแอทคว้าอกเสื้อของครูซิไฟร์จนแน่น พริบตานั้นกลุ่มก้อนเพลิงที่มือก็ระเบิดเข้าใส่ที่ตัวของครูซิไฟร์จนร่างของผู้รับระเบิดเพลิงลอยคว้างขึ้นไปตามแรง

    การโจมตียังไม่ได้สิ้นสุด ผู้ใช้เพลิงเข้าไปด้านล่างของครูซิไฟร์ด้วยความเร็วสูง ก่อนจะเตะเสยเข้าที่คางของชายหนุ่มจนหมุนควงขึ้นไปกลางอากาศ แล้วเตรียมปิดท้ายด้วยก้อนอัคคีที่มืออีกข้างหมายเอาให้ศัครูไม่ได้ผุดได้เกิด

    ทว่า ครูซิไฟร์ยังไม่สิ้นฤทธิ์เยี่ยงตัวประกอบต้อกต้อย ทันทีที่หมัดเพลิงซ้ายของวีแอทถูกยิงขึ้นมา ชายหนุ่มกลับมาตั้งตัวในเวลาอันกระชั้นชิด เร่งสร้างก้อนหนามน้ำแข็งเคลือบแขนซ้าย แล้วอัดชนกับหมัดเพลิงกลางอากาศ ซึ่งเมื่อความร้อนจัดกับความเย็นจัดมาชนกัน จึงเกิดการระเบิดออกความพลังขึ้นมาแยกทั้งสองออกจากกัน

    เมื่อครูซิไฟร์หมุนตัวกลับลงมาตั้งหลักที่พื้นอีกครั้ง ความเสียหายจากระเบิดไฟลูกแรกที่อกทำเอาเขากระอักเลือดออกมาด้วยความเจ็ดปวด อีกทั้งอีกการบาดเจ็บจากการโจมตีอีกหลากชุดก่อนหน้านี้ ยิ่งสูบเรี่ยวแรงของชายหนุ่มหน้ายิ้มคนนี้ไปเรื่อยๆ

    ผิดกับคู่ต่อสู้ของเขา ผู้ซึ่งเป็นผู้รับจ้างสารพัดที่มีชื่อของโลกมืด นามว่า “หลิว วีแอท” ยังคงยืนนิ่งโดยไร้อาการบาดเจ็บหรือบาดแผลใดๆเลยทั้งสิ้น

    “…ยังทนได้อยู่เหรอ…” วีแอท พูดสั้นๆเหมือนกับทึ่งในความอึดของอีกฝ่าย แต่สีหน้าและน้ำเสียงก็คงนิ่งเฉยไม่ตกอกตกใจอะไร

    “แฮ่ก แฮ่ก แค่นี้..ฉันไม่ตายง่ายๆหรอกเฟ้ย!!” ครูซิไฟร์รวบรวมเรี่ยวแรงยืนยัดขึ้นมาเพ่งความคิดทั้งหมดเข้าในการต่อสู้อีกครั้ง แต่แผลไหม้ที่กลางอกก็หนักหนาจนทำเอาสติแทบหลุดได้เช่นกัน

    แต่ทันทีที่กวาดตามองรอบๆ สมาธิของครูซิไฟร์ก็โดนเบนห่างจากศัตรู เมื่อเขาพบว่าเรน่ากับอูริคได้หายออกจากบริเวณนี้ไปอย่างไร้ร่องรอย

    “…งั้นก็ตายๆซักทีสิ…” วีแอท ได้พุ่งเข้ามาด้านหน้าของครูซิไฟร์ในช่วงตอนเผลอเป็นครั้งที่สอง แต่ครั้งนี้ครูซิไฟร์รีบวาดมีดเข้าสวนทันที วีแอทก้มหลบคมมีดไปได้อย่างฉิวเฉียด มือทั้งสองของเขาเร่งพลังไฟขึ้นมาไว้พร้อมและพุ่งตรงเข้าตามครูซิไฟร์ซึ่งกำลังถีบตัวทิ้งระยะห่างออกไป

    ครูซิไฟร์ซึ่งเป็นกังวลต่อหญิงสาวที่โดนพาตัวไปจนไม่คิดจะพัวพันกับการต่อสู้ตรงนี้ต่อไป เขารีบสอดมีดกลับไปให้ที่หลัง เพื่อเร่งพลังไอเย็นเก็บไว้ที่มือทั้งสองข้าง พริบตาที่วีแอทยิงลูกไฟระยะเผาขนเข้าใส่ตรงหน้า ชายหนุ่มผมทองกระโดดกลับหัวกลางอากาศไปข้างหลังจนลูกเพลิงเฉียวเส้นผมไปเล็กน้อย

    ทันใดนั้นจังหวะที่ผู้ใช้เพลิงตรงเข้าระยะด้านล่างของครูซิไฟร์พอดี ผู้ใช้น้ำแข็งวาดฝ่ามือที่มีไอเย็นสีฟ้าคลุมไว้เป็นวงจนมันหมุนรวมเป็นก้อนแล้วยิงออกมาเป็นพลังเกล็ดน้ำแข็งขนาดลูกบาสสองลูก ตรงเข้าใส่อีกฝ่ายอย่างแม่นยำ

    วีแอทที่ตรงเข้าหาครูซิไฟร์ด้วยความเร็วสูงเกินไป ไม่สามารถหลบลูกบอลพลังน้ำแข็งได้ เขาจึงใช้กำปั้นและลูกเตะ เข้าปัดมันจนแตกกระจายไปอย่างไม่หวั่นเกรง

    “…!!!...” แต่ทว่าลูกพลังน้ำแข็งเมื่อครู่ยังไม่หมดพิษสง เมื่อกำปั้นขวาและเท้าซ้ายของวีแอทกำลังถูกแช่เย็นอย่างรวดเร็วราวกับเพิ่งเอาไปจุ่มไนโตรเจนเหลวมามาดๆ อีกทั้งน้ำแข็งก็ลามขึ้นไปเรื่อยโดยไม่ยอมหยุด จนไม่สามารถขยับเขยื้อนได้

    “Blizard Crystal (ผลึกเหมันต์)” ลูกบอลที่เกิดจากเกล็ดน้ำแข็งจำนวนมาก แม้จะแตกกระจายออกเป็นก้อนเล็กน้อย แต่ก็ยังสามารถก่อกลุ่มเป้าหมายเพื่อแช่แข็งมันได้” เจ้าของท่าโจมตีเมื่อกี้ยืนบรรยายความสามารถของพลัง โดยที่รอบๆของตัวเขานั้นเปี่ยมไปด้วยออร่าสีฟ้าความใหญ่ไว้แล้ว

    “ขอโทษน่ะ แต่ฉันต้องรีบไปช่วยองค์หญิงก่อน ขอปิดฉากเลยน่ะ”

    “Absolute Annihilate (การทำลายล้างขั้นสมบูรณ์)” สิ้นเสียงกล่าวเบาๆ แสงรอบตัวของครูซิไฟร์ก็ขยายตัวออกจนจ้าไปทั้งห้องโถง…..
    …..

    ..
    “โอ้ย!!! ปล่อยน่ะ!!” เสียงของเด็กสาวร้องขึ้นด้วยความเจ็บจากข้อมือขวาที่ถูกชายหนุ่มผมขาวดำฉุดกระชากลากถูออกไปจากรัศมีของตัวคฤหาสน์ได้ไม่ไกลนัก

    “ขออภัยน่ะครับ แต่เราต้องรีบไปจากที่นี่โดยไวที่สุดครับ โปรดให้ความร่วมมือด้วย” อูริคตอบด้วยสีหน้าเฉยชา แต่ก็ยังฉุดตัวเรน่าออกไปไม่ยอมหยุด

    “เดี๋ยวก่อน!! ช่วยบอกมาที ทำไมพวกคุณถึงต้องการตัวฉันมากถึงขนาดต้องทำร้ายคนอื่นๆด้วย?” เรน่าพยายามรั้งตัวอูริค ก่อนจะถามด้วยความไม่เข้าใจในเหตุการณ์ตอนนี้

    อูริคถอนหายใจหนึ่งเฮือก ด้วยความเบื่อหน่ายก่อนจะเริ่มต้นพูด “คุณคือผู้ที่ถูกเลือกโดยศิลาเทวะ”

    เรน่าซึ่งได้ยินดังนั้น ก็อึ้งไปหลายวิ ก่อนจะหวนมาถามอีกครั้ง “ศิลา…อะไรน่ะ?”

    อูริคเสยผมที่ปิดตาซ้ายของตนออกให้อีกฝ่ายเห็น ผลึกสีเงินซึ่งฝังตัวอยู่ตามใบหน้าด้านซ้ายของอูริคกำลังส่องประกายอยู่ทั่วใบหน้าไปหมด

    “สิ่งนี้คือ “ศิลาเทวะ” ทั้งพลังควบคุมโลหะของผม พลังควบคุมไฟของวีแอท หรือแม้แต่พลังน้ำแข็งของคุณครูซิไฟร์ ก็ล้วนมาจากสิ่งนี้”

    “แต่…ฉันไม่ได้มีศิลาอะไรที่ว่านั่นเลยนี่ค่ะ?”

    “…คุณคิดว่าที่คุณสามารถใช้ชีวิตได้ราวกับคนปกติ ทั้งๆที่อาการป่วยของคุณมันหนักขนาดนี้เพราะแค่พลังใจของคุณหรือไงกัน” อูริคเริ่มมีอารมณ์ขึ้นเล็กน้อย

    “เอ๋?”

    “พวกเราผู้ใช้ศิลาเทวะทุกคน จะมีคลื่นกระแสจิตพิเศษประเภทหนึ่งแผ่ออกมาจากตัวศิลาเอง ซึ่งผู้ใช้ศิลาทุกคนสามารถรู้สึกถึงมันได้ แน่นอนว่าคุณเองก็มีกระแสคลื่นที่ว่าแผ่ออกมาจากตัวของคุณ แม้ว่าจะเจือจางจนแทบสัมผัสไม่ได้เลยก็ตาม” อูริคยอมเสียเวลาอธิบายให้เรน่าคร่าวๆ

    “งั้นที่คุณต้องการคือศิลาในตัวของชั้นงั้นเหรอค่ะ?” เรน่าถามอีกครั้ง

    “หยุดถามจุกจิกแล้วตามมาได้แล้ว” อูริคตัดปัญหาการเสียเวลาแล้ว จึงฉุดเรน่าให้ตามไปอย่างไม่ใยดี

    เรน่าซึ่งไม่สามารถต่อต้านได้เลย ได้แต่นึกเสียใจที่ตนเป็นต้นเหตุทำให้เหล่าบอดี้การ์ดผู้ภักดีต่อเธอต้องบาดเจ็บล้มตายกันไปมากมาย แต่ยังไม่ทันที่อูริคจะสามารถก้าวออกจากสวนของคฤหาสน์เล็กตระกูลไอส์สวอน เท้าของเขาก็ถูกหยุดด้วย….

    ตูม!!!

    ทันทีที่เสียงระเบิดดังลั่นขึ้น อูริคจึงต้องเหลียวหลังไปดู เช่นเดียวกันกับสาวน้อยใกล้ๆ ภาพของด้านหน้าคฤหาสน์ซึ่งจากเดิมยังไม่ได้มีความเสียหายใดๆ ตอนนี้มีลิ่มน้ำแข็งทิ่มแทงผนังและหน้าต่างอกมาจากด้านในจนแหลกละเอียด

    ทันใดนั้นเอง กระสุนสามนัดได้พุ่งแหวกด่านอากาศจากทางซ้ายเข้าใส่อูริคโดยไม่เบี่ยงเบนเป้าแม้แต่มิลเดียว แต่กระนั้นก็ยังไม่สามารถฝ่าด่านพลังศิลาเทวะ “Quick silver ” ที่มีพลังควบคุมธาตุโลหะได้ของอูริคไปได้ กระสุนจึงแฉออกเป้าหมายไป

    “หึ!! ยังมีพวกรอดชีวิตอยู่อีกหรือ?” อูริคเริ่มอารมณ์เสียขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมีแต่ตัวทำให้เสียเวลามาขวางตลอดงาน จึงหมายจะหันไปกำจัดให้สิ้นซาก แต่ทว่าทันทีที่สมาธิถูกเบนออกจากเส้นทางลิ่มน้ำแข็งจำนวนนับไม่ถ้วนได้พุ่งออกมาจากคฤหาสน์ตรงใส่อูริคไม่ยอมหยุด

    อูริคตอบสนองได้แทบจะไม่ทัน ชายหนุ่มผมสองสีรีบผลักสาวน้อยผู้เป็นเป้าหมายของตนให้ออกจากระยะยิงโดยไม่ต้องคิด พร้อมกลับมาตวัดมือทั้งสองเข้าปัดหนามน้ำแข็งตรงหน้าให้ร่วงไปด้วยความรวดเร็วจนไม่ทันมองเห็นว่าสิ่งใดที่ถืออยู่ในมือ

    พริบตาที่อูริคง่วนอยู่กับห่าน้ำแข็ง สไนเปอร์ประจำคฤหาสน์ซึ่งตำแหน่งอยู่ที่แนวต้นไม้ซึ่งอยู่ห่างออกไปจากหน้าประตูใหญ่ ได้ชักปืนไรเฟิลกึ่งอัตโนมัติ H&K SL8* ออกมา แล้วยิงใส่ผู้บุกรุกโดยไม่รอให้โอกาสหลุดไป

    กระสุน .223 Cariber หนึ่งนัดพุ่งเข้าใส่อูริคที่ยังไล่ปัดป้องฝนคมน้ำแข็งอีกครั้ง อูริคตัดสินใจในเสี้ยววินาที เขาใช้มือซ้ายกวาดหอกน้ำแข็งส่วนหนึ่งออกไปแล้ว ปาสิ่งที่อยู่ในมือเข้าปัดกระสุน สิ่งนั้นก็คือ มีดผ่าตัดโลหะ โดยยอมเสี่ยงกับหอกน้ำแข็งที่เหลือซึ่งพุ่งเฉี่ยวตัวเขาจากช่องว่างด้านซ้ายไป

    อูริคใช้มีดอีกข้างปัดหอกที่เหลือออกแล้วถีบตัวออกจากเส้นทางของน้ำแข็ง แต่ทันใดนั้นกลับมีก้อนน้ำแข็งยักษ์ขนาดเท่ารถยนต์มาจากไหนไม่รู้พุ่งมาดักทางไว้

    “ชิ!! จะไม่ให้พักกันเลยหรือไง!!!” อูริคสบถอย่างรำคาญพร้อมทั้งล้วงมือทั้งสองเข้าไปในเสื้อ หยิบมีดผ่าตัดหลายเล่มออกมา แล้วขว้างออกไปปะทะ!!

    มีดโลหะทั้งหลายพุ่งออกไปด้วยความเร็วดั่งกระสุนด้วยพลังควบคุมโลหะของอูริค ได้ตรงเข้าไปที่จุดศูนย์กลางของก้อนน้ำแข็งพร้อมกันจนแตกกระจาย แต่ทว่า…

    “!!!” อูริคตกใจด้วยความคาดไม่ถึง ชายหนุ่มผมทองที่เต็มไปด้วยแผลไฟไหม้ได้ซ่อนตัวอยู่หลังก้อนน้ำแข็งที่เพิ่งแตกกระจายไป พร้อมด้วยมีดสั้นในมือเตรียมกระซวกในช่วงที่อูริคเสียจังหวะ

    อูริคปล่อยพลังควบคุมโลหะเต็มพิกัด เมื่อมีดในมือศัตรูกำลังพุ่งตรงเข้ามา ทำให้คมมีดหยุดชะงักอยู่ตรงหน้าราวกับติดสนามพลังAT.

    ตูม!!!

    อูริคกระเด็นไปตามแรงเมื่อโดนขาแข็งของครูซิไฟร์ซัลโวเข้าให้เต็มใบหน้า แต่กระนั้นก็ยังพลิกตัวกลับมาทรงตัวไว้ได้อยู่

    “ไม่อยากจะเชื่อเลยน่ะ ว่าวีแอทจะแพ้คุณได้…” อูริคกล่าวเรียบๆ พลางปาดเลือดที่มุมปากออก

    ฝ่ายครูซิไฟร์ไม่ได้โต้คำพูดกลับ เพียงแต่ยังคงหอบรัวด้วยความเหน็ดเหนื่อย อีกทั้งแผลไหม้ฉกรรจ์ไปทั้งตัว

    “แต่ยังไงคุณก็ทำได้แค่นั้นแหละ” อูริคยืนขึ้นมาอย่างช้าๆ ทั่วร่างของเขาเริ่มปรากฏแสงสีเงินบางๆขึ้นมา พลางทำให้บรรยากาศรอบๆมืดมัวลง

    “โลหะไร้รูป ทะลวงสวรรค์ Quicksilver(ควิกซิลเวอร์)!!!”

    ครูซิไฟร์ค่อยๆ ถอยร่นไปข้างหลังพร้อมกับเรน่าช้าๆ ความคิดในสมองของครูซิไฟร์แทบจะตีกันจนระเบิด เพราะพยายามหาทางพาเรน่าหนีออกจากการต่อสู้ครั้งนี้

    แต่ก็ราวกับโชคชะตากลั่นแกล้ง นอกจากความรุนแรงของพลังจากศิลาของอูริค ครูซิไฟร์กลับรู้สึกถึงคลื่นพลังที่ร้อนแรงมาจากที่ๆหนึ่ง ซึ่งสถานที่ที่ว่านั่น ก็ไม่ใช่ที่ไหนนอกจากภายในคฤหาสน์ที่ตัวเขาพึ่งปะทะกับหลิว วีแอทไปเมื่อซักครู่นี้

    และแล้วก็เป็นไปตาที่คาด หน้าประตูทางเข้าซึ่งโดนกำแพงน้ำแข็งปิดเอาไว้ ได้มีเสาเพลิงพุ่งทะลวงออกมาจนพื้นที่ด้านหน้าไหม้เป็นทางยาว

    “ไหงกลับเป็นฝ่ายเสียท่าซะเองละ วีแอท” อูริคพูดราวกับประชดชายหนุ่มที่เดินออกมาซึ่งเดินออกมาในสภาพที่เปียกโชกเพราะน้ำแข็งที่ละลาย

    คราวนี้วีแอทไม่พูดโต้ตอบ หากแต่คอยจ้องไปยังครูซิไฟร์ด้วยใบหน้าอันเย็นชาและสายตาแสนดุดัน เหมือนบ่งบอกว่าจะเอาคืนเป็นเท่าตัว

    “อัคคีมหาวินาศ แผดเผาทุกสรรพสิ่ง Geburah ( เกบูราห์ )” คำกล่าวหนึ่งประโยคดังขึ้น พร้อมกับเปลวเพลิงลุกไหม้เป็นสายคอยหมุนวนรอบตัววีแอท

    “ให้ตายสิ..” ครูซิไฟร์แหยะยิ้มเล็กๆกับสถานการณ์สุดจะลำบากตอนนี้เมื่อนักรบศิลาเทวะทั้งสองต่างก็เตรียมใช้พลังเต็มที่ ขนาดครูซิไฟร์ปลดปล่อยพลังของศิลาแล้วยังแทบตาย และถ้าต่างก็ปลดปล่อยเหมือนกันจะเป็นอย่างไง

    “ถ้านี่เป็นนิยายละก็ตูอยากจะตบกระบาลคนแต่งจริงๆพับผ่า…”

    แม้จะยังมีรอยยิ้มคงอยู่ แต่ครูซิไฟร์ไม่ได้ยิ้มเพราะความมั่นใจ แต่เป็นเพราะเริ่มยอมรับชะตากรรมแล้วต่างหาก เรื่องหนีตอนนี้หมดโอกาสไปแล้ว ทางเลือกเดียวก็คงจะเป็น สู้ตาย

    “คุณครูซิไฟร์…” ผู้ถูกเรียกนามสะดุดเล็กน้อย เมื่อถูกเด็กสาวที่หลบอยู่ข้างหลังเขาซี่งกุมชายเสื้อของครูซิไฟร์ไว้แน่นเอ่ยชื่อขึ้นมา

    ดวงตาของเรน่าตอนนี้แฝงแววความกลัวอย่างเห็นได้ชัด ริมฝีปากเริ่มเห็นสีซีดเซียว เมื่อครูซิไฟร์เห็นดังนั้น…

    “ไม่ต้องห่วงน่ะครับ ผมจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายองค์หญิงของผมเด็ดขาดเลย” ครูซิไฟร์ลูบหัวเรน่าอย่างอ่อนโยนเพื่อเป็นการปลอบขวัญ พร้อมรอยยิ้มกว้างราวกับไม่มีอะรเกิดขึ้น พลางทำให้เด็กสาวหายหวาดกลัวไปได้บ้าง “คะ!!”

    “พูดได้ดีมากไอ้หนู!!!”

    เสียงตะโกนจากที่สูงดังขึ้น ต้นเสียงนั้นไม่ใช่ใคร เขาคือหัวหน้ากลุ่มองค์รักษ์พิพักษ์คุณหนูที่เคยปรากฎตอนต้นๆตอนที่โดนเรียกว่าบอสนั่นเอง

    “รับนี่ไป!!” ชายชุดดำโยนห่อผ้ายาวลง สิ่งนั้นตกลงไปปักลงบนพื้นตรงของครูซิไฟร์ ห่อผ้าหลุดออกตามแรงลม ปรากฎเป็นดาบสีเงินที่มีปีกข้างคล้ายปีกมังกรสองเล่ม

    “นี่มันดาบของผมนี่” ครูซิไฟร์ชักดาบทั้งสองขึ้นมากพื้น “ขอบใจมากน่ะลุง”

    .”บอกไว้ก่อนน่ะ!! ถ้าแกแพ้ละก็เจอดีแน่!!!” บอสชูกำปั้นเป็นการขู่

    “Sir yes sir!!!” ครูซิไฟร์ตั้งดาบมั่น แล้วตรงเข้าไปหาสองหนุ่มตรงหน้าทันที

    ในขณะที่ทั้งสามกำลังรบกันจนสั่นสะเทือนไปทั่วบริเวณนั้น ห่างออกไปไม่ไกลซึ่งเป็นถนนยาวรอบข้างเต็มไปด้วยป่าซึ่งเป็นทางไปคฤหาสน์เล็กตระกูลไอสสวอน รถตำรวจคันหนึ่ง กำลังแล่นตรงไปยังที่เกิดเหตุระเบิด(จากผลงานของวีแอท)

    “เฮ้!! จะถึงแล้วน่ะ!!” ตำรวจนายหนึ่งพบเป็นคนขับกล่าวขึ้น เมื่อเห็นควันดำลอยอยู่ห่างออกไป

    “รู้แล้วนา ตาไม่ได้ถั่ว” อีกนายที่นั่งอยู่ข้างๆ ตอบกลับอย่างรำคาญ

    “ความจริงคนอื่นๆเขาก็ไปก่อนพวกเราแล้ว เราไม่ต้องไปก็ได้นา”

    “ก็เบื้องบนสั่งมา อยากได้เงินเดือนก็ทำไปเหอะ อย่าบ่น”

    “รู้แล้ว รู้แล้ว ฮ้าวววว” ตำรวจผู้ขับหาวอย่างเบื่อหน่าย โดยลืมมองข้างไปชั่วขณะจนหารู้ไม่ว่ามีคนๆหนึ่งยืนขวางทางอยู่

    “เฮ้ย!! เควินหลบเร็ว” ตำรวจคู่หูตะโกนบอกผู้ขับ เมื่อเห็นคนขวางทาง แต่ทว่า….

    ตูม!! โครม!!!

    เสียงอะไรบางอย่างกระแทกใส่รถตำรวจจนปลิวข้ามหัวชายที่ยืนกลางถนนไปจนชนกับซากเหล็กขนาดใหญ่ด้านหลัง

    ชายลึกลับคนนี้สวมเสื้อดำไปทั้งตัว ปิดหน้าปิดตาเหมือนนินจา แถมสวมแว่นอเนกประสงค์สามลำกล้องราวกับเป็นแซม ฟิซเชอร์ในเกมสปินเตอร์เชลไม่มีผิด

    “หน่วยแบร์เรียกหน่วยอีเกิ้ล กำจัดคนนอกทั้งหมดออกไปเรียบร้อยแล้ว” ชายผู้นั้นกล่าวใส่เครื่องสื่อสารที่อยู่ใต้ผ้าปิดหน้าของตน

    “ทราบแล้วหน่วยแบร์ รีบไปเตรียมขบวนทีมแล้วตามมาด่วน” ชายอีกคนซึ่งตำแหน่งปัจจุปันกำลังซุ่มอยู่บนต้นไม้ใกล้คฤหาสน์คอยดูการต่อสู้ของสามนักรบศิลาที่กำลังสู้กันอย่างถึงพริกถึงขิงอยู่ตอบกลับ

    “รับทราบ..” ชายผู้อยู่หน่วยแบร์รับคำ จากนั้นจึงหันกลับไปทางที่จะมุ่งไปคฤหาสน์ แล้วดีดนิ้วหนึ่งที

    ชายในเครื่องแบบแบบเดียวกันปรากฏออกมาเหมือนดั่งเงาบนซากรถดับเพลิง รถตำรวจ รถนัวข่าวที่เต็มไปด้วยรอยเลือดและรอยกงเล็บขนาดใหญ่ยาว

    “จัดทีมแบบ F เตรียมใช้แผนแย่งชิง เป้าหมายคือ ศิลาเทวะเพลิง น้ำแข็ง โลหะ และก็…ยังไม่ทราบแน่ชัดอีกอัน ไม่มีความจำเป็นต้องรักษาชีวิตผู้ใช้ศิลา ไปได้!!!” ชายผู้ที่น่าจะเป็นหัวหน้าสั่งการรวบรัด ก่อนที่ทั้งหมดจะกระโดดหายไปอย่างรวดเร็ว
    ……….
    ……..
    …..

    .
    อีกด้านหนึ่งในที่ใดที่หนึ่งของเทือกเขาหิมาลัย ลึกลงไปใต้พื้นดินหลายกิโลเมตร

    ช่องทางเดินยาวที่ผนังทำจากเหล็กผสมซึ่งประดับไฟนีออนดวงเล็กยาวไปตามทาง มีคนสองคนกำลังเดินอยู่

    ร้อยโทนาเตซต้าครับ สายข่าวรายงานมาว่าหน่วยแบร์และหน่วยอีเกิ้ลได้ประจำเป้าหมายเรียบร้อยแล้วครับ” ชายในเครื่องแบบตำรวจเต็มยศสีกรม กล่าวแก่หญิงสาวผมทองมัดรวบซึ่งอยู่ในเครื่องแบบเดียวกับเขา

    “อืม..จ่าช่วยรายงานสถานการณ์โดยรวมที่องค์กรได้ส่งหน่วยพิเศษไปให้หน่อยสิ..” ร้อยโทกล่าวถาม

    “ครับ!!..เออ..ในอังกฤษตอนนี้ มีสี่คนที่อยู่คฤหาสน์เล็กตระกูลไอสสวอนที่กล่าวไปเมื่อซักครู่ กับ”เซริเน่ เอลนาเธีย”เค้าประจำเป้าหมายในอีกครึ่งชั่วโมงนี้ ส่วนที่จีนเราส่งไปหาชายที่ชื่อ”อึ้ง เพ็ก ฮ้วย”เมื่อประมาณสองชั่วโมงก่อนครับ แต่ขาดการติดต่อไป ด้านญี่ปุ่นเราได้ส่งกำลังส่วนใหญ่ไปเพราะมีกลุ่มของผู้ครอบครองศิลาซึ่งนำโดย”ฮิซึกายะ อากาเนะ” แล้วก็มีกลุ่มคนที่ยังไม่ได้เข้าร่วมกลุ่มคือ ”เชอร์รี่ ชิอากิ เชสเตอร์” “อินุมารุ รินทาโร่กับพ่อบ้านรับใช้ชื่อ“ไดฮาคุ ไทโย” แล้วก็“เรย์สึ แกรนเดอร์” ครับ!!!”

    “?” ร้อยโทนาเตสต้าเปลกใจเล็กน้อยที่ได้ฟังรายงาน”มีผู้ครอบครองศิลาที่ญี่ปุ่นมากขนาดนี้เชียวเหรอเนี่ย?..ที่สำคัญกลุ่มที่เรียกตัวเองว่าDSLละ?”

    “รู้สึกว่ายังไม่สามารถหาตำแหน่งได้น่ะครับ” จ่าตอบตามรายงานในมือ

    “สั่งไปว่าให้เร่งมือหาให้เร็วที่สุด โดยเฉพาะหัวหน้าของกลุ่ม”

    “ทราบแล้วครับ” จ่ารับคำสั่งแล้วรีบไปทันที

    ร้อยโทนาเตสต้าเดินไปตามทางจนถึงประตูบานเลื่อนอิเล็กทรอนิก เมื่อเปิดเข้าไปพบว่าเป็นห้องที่ล้อมไปด้วยคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ทดลองมากมาย ตรงกลางเป็ยหลอดแก้วขนาดใหญ่ที่มีเด็กคนหนึ่งที่มีนักวิทย์หลายคนในห้องคอยจดข้อมูลอยู่

    “อะ!! สวัสดีครับ ท่านร้อยโทอาวุโส” นักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งหันมาทำความเคราพ

    “สวัสดีค่ะ เป็นอย่างไงบ้างตอนนี้” ร้อยโทถามความก้าวหน้า

    “ครับ ตอนนี้นัมเบอร์ 96 สามารถสื่อสารกับผู้คนได้มากขึ้น คิดเลขคูณกับหารได้แล้ว และเริ่มใช้พลังของศิลาปลูกถ่ายได้แล้วครับ”

    “เค้าชื่ออะไร?” ร้อยโทหันไปมองเด็กผมทองที่มีสายต่างๆติดตามตัวในหลอดทดลอง”

    “ตามเอกสาiเราตั้งชื่อเค้าว่า ”เอนโซ เมเยอร์”ครับ”

    “แล้วศิลาที่เราเอามาทำเป็นต้นแบบการสร้างศิลาเทวะละ?”

    “ตอนนี้กำลังนำไปวิเคราะห์โครงสร้างของโมเลกุลกันอยู่ครับ”

    “เก็บรักษาให้ดีที่สุด เพราะถ้าเกิดพวกDSLจับกระแสมันได้ละก็จะแย่นะ” ร้อยโทกระชับคำ

    “มันสำคัญมากขนาดนั้นเชียวเหรอครับ?” นักวิทย์ถามอย่างสงสัย

    “ใช่ เพราะมันเป็นตัวกำหนดอนาคตหลังจากนี้เชียวละ “ศิลาเทวะ Emperor Of God”

    TO BE CONTINUE...

    ##################################################################

    *ข้อมูลปืนไรเฟิลกึ่งอัตโนมัติ - H&K SL8
    จากบล็อกท่านเวสเกอร์ Credit ท่านweskerครับผม


    ##################################################################

    ขอขอบคุณตัวละครดีๆจาก

    number 96หรือเอนโซ เมเยอร์ (Rep 9) >>> Vincent : Red Pill เด็กทดลองในหลอดแก้วขององค์กรที่ครอบครอง Emperor Of God ไว้ บทของเขาจะเป็นไงโปรดดูกันต่อไป

    นาเดซด้า โซโคโลว่า (Rep 13) >>> บ.บ้า ร้อยโทสาวที่ไม่มีใครทราบว่าทำไมถึงมาทำงานให้องค์กรทดลองแบบนี้ได้ เบื้องลึก เบื้องหลังก็ยังคงมีอีกมากมาย

    กับผู้คนที่เริ่มมีชื่อออกน่ะครับ ไว้บทออกจากให้เครดิตอีกครั้ง

    ##################################################################

Share This Page