+++ The Last Kingdom : Fall of Man +++ / update Vol 6.2

กระทู้จากหมวด 'Fiction' โดย shinkyoto, 6 มิถุนายน 2008.

  1. shinkyoto

    shinkyoto Well-Known Member

    EXP:
    580
    ถูกใจที่ได้รับ:
    3
    คะแนน Trophy:
    88
    +++ The Last Kingdom : Fall of Man +++ / update Vol. 6.1

    -- 12.05.1805 --

    -- บันทึกความทรงจำบทที่ 1 พลทหาร จาเร็ด --

    หลังสงคราม100ปีเป็นต้นมา ความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับแวมไพร์ก็ลดลงเหลือเป็นความไม่สงบในเขตอาณานิคม กับ การปะทะประปรายในช่องแคบอังกฤษ แต่ด้วยการควบคุมข้อมูลข่าวสารของรัฐบาล ทำให้เกิดความั่นคงทางการเมืองระดับหนึ่งขึ้นในจักรวรรดิ แต่แล้ว ข่าวลือครั้งใหม่ก็แพร่สะพัดไปราวกับไฟลามทุ่ง ต้นตอเริ่มขึ้นจากจุดที่น่าจะเป็นความไม่สงบประจำวันของแนวตะเข็บชายแดน 5รัฐชายแดนตะวันตก แต่เมื่อจำนวนศพคนตายในท้องที่ เริ่มทยอยหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย เหตุการณ์เริ่มหนักข้อขึ้นเมื่อ นักเดินทางจำนวนไม่น้อยเริ่มหายตัวไป หมู่บ้านทั้งหมู่บ้าน แม้กระทั่งเมืองชายแดนบางเมือง

    เหล่าชาวเมืองที่เสียขวัญ ต่างพากันอพยพย้ายถิ่นฐานกลับไปยังแผ่นดินแม่อย่างไม่ขาดสาย จาก13รัฐอาณานิคม มีถึง7รัฐที่ประชากรเกือบครึ่งทำเรื่องย้ายกลับแผ่นดินแม่ 3รัฐในนั้น แทบจะเรียกได้ว่าเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน กองทัพจักรวรรดิที่ประจำการอยู่ในรัฐต่างๆก็ตึงมือกันถ้วนหน้า จนร้อนถึงฐานส่งกำลังหลักที่แผ่นดินแม่ ต้องเร่งส่งกองหนุนสำรองมายังอาณานิคมอย่างเร็งด่วน

    ตัวผมกับคนอื่นๆนั้น ประจำการอยู่ในกองร้อยเอเบิ้ล กองร้อยของเรากับของคนอื่นๆ ขึ้นฝั่งที่บอสตันเมื่อสัปดาห์ก่อน กำลังส่วนใหญ่ถูกส่งไปยังชายแดน ส่วนกองร้อยของพวกได้รับคำสั่งให้ประจำการอยู่ในเมือง สองสามวันผ่านไปโดยไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ตอนนั้นเรายังนึกย่ามใจว่า เพราะอยู่ในเมือง พวกแวมไพร์หน้าไหนก็คงไม่กล้าเข้ามาเป็นแน่ แต่เมื่อถึงรุ่งเช้าของวันที่สี่ เราก็ได้รู้ว่าพวกเราคิดผิดไว้เพียงใดกัน

    ในตอนเช้า พวกเรารับหน้าที่ตรวจตราเส้นทางระหว่างเมือง กับ ฐานทัพ ระหว่างทางเป็นเส้นทางที่ต้องผ่านทุ่งข้าวสาลี ช่วงนี้รวงข้าวทอสีทองอ่อนๆ กลิ่นรำข้าวแตะจมูกพวกเราทุกครั้งที่มีสายลมพัดผ่าน ตำแหน่งตัวผมนั้นอยู่ข้าง รถม้าขนสเบียง อัลเฟรดนายกองของเราขี่ม้านำหน้าขบวน ชาลีคนที่ร่าเริงที่สุดในกลุ่มเรา วันนี้เขากลับดูสงบนิ่งผิดปรกติ

    "เป็นอะไร เกิดขวัญบินขึ้นมาหรือไงกัน?" จ้องดูอีกฝ่ายที่หันมาส่งยิ้มแห้งๆให้ ใช่ถ้าจะพูดไป พวกเราออกจะขวัญเสียไม่น้อย คงจะเป็นเพราะข่าวด่วนจากชายแดนเมื่อคืน

    "เฮ้ยเรื่องนั้นจริงหรือเปล่าน่ะ?" เสียงกระซิบถามดังจากด้านหลังขบวน

    "อ่า เห็นว่ากำลังส่วนที่เหลือยังหาไม่พบเลยว่ะ"

    "บ้าน่า ทหารตั้งสองพันคน โดนละลายหมดในสองชั่วโมงเนี่ยนะ?"

    "เอ่อ คนรอดมาได้ลือกันให้แซดเลยว่า เจ้าพวกนั้นมันใช้อาวุธแปลกๆ พริบตาเดียวก็กำจัดคนได้เป็นสิบ"

    "พวกเธอสองคนน่ะ เงียบเสียที เนี่ยนะหรือทหารของกองทัพจักรวรรดิ ออกอาการปอดแหกแบบนี้ได้ยังไง?" นายกองหันมาตวาดเสียงดัง ทหารทั้งสองเงียบเสียงลง แต่ความรู้สึกไม่สบายใจกลับไม่จางหายไปกับเสียงตวาดดังกล่าว

    พวกเรายังคงเดินไปตามทางต่อไป ภูมิประเทศก็เปลี่ยนจากเนินทุ่งข้าวสาลี มาเป็นพื้นเลียบแม่น้ำ ที่อยู่ในเส้นทางข้างหน้าคือหมู่บ้านริมแม่น้ำเล็กๆ แต่เมื่อเข้าถึงระยะสายตา พวกเราก็ตกตะลึงกับภาพที่เห็น

    ควันไฟนั้นยังโชนจากบ้านที่ไหม้ไฟ สภาพหมู่บ้านนั้นดูเหมือนพึ่งจะโดนวางเพลิงเผามาหมาดๆ เราต้องปิดปากปิดจมูกเมื่อเห็นว่ามีร่างดำตอตะโกถูกเผาเกรียมอยู่บนถนน หลายร่างนั้นยังดูออกว่าเป็นผู้หญิง และ ..... แต่จู่ๆม้าที่เดินมาปรกติมาตลอด ก็กลับออกอาการตระหนกขึ้นมาเสียดื้อๆ อัลเฟรดเริ่มจะเอะใจตั้งแต่เข้ามาในหมู่บ้าน ตะโกนสั่งขึ้นมาอย่างร้อนรน

    "เตรียมอาวุธ เตรียมอาวุธ!!" อัลเฟรดชักปืนของตนขึ้นมา ในขณะที่คนอื่นๆรวมถึงผมรีบเตรียมปืนยาวให้พร้อม

    "มีอะไรหรือครับ หัวหน้า"

    "ชั้นน่าจะรู้ตั้งแต่แรก รีบเดินเร็ว!" อัลเฟรดสั่งอีกครั้ง ก่อนจะเร่งควบม้านำหน้าพวกเราไป ทุกคนมองหน้ากันอย่างงงๆ แต่ก่อนที่เราจะได้เร่งฝีเท้าตาม

    ผมมองเห็นซากศพที่รายล้อมเรา จู่ๆก็ลุกขึ้นมา ทุกร่างในสภาพที่เกรียมดำหัวจรดเท้า ดูไม่ออกว่าใครเป็นใคร ฉับพลับดวงตาสีแดงเลือดก็เบิกขึ้นบนร่างพวกนั้น มีเสียงครืดๆเหมือนคนบ้วนน้ำดังขึ้น ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเสียงเหมือนงู่ขู่เสียงฟ่อๆ เขี้ยวขาวยาวๆกับน้ำลายสายยาว ในตอนนั้นพวกเรารู้แล้วว่าสิ่งที่เห็นตรงหน้านั้นคืออะไร?

    "แวมไพร์ อุอ้ากกกก" พวกเราคนหนึ่งร้องเสียงหลง ตอนที่ต้นคอเขาโดนกระชากหลุดไปทั้งชิ้น ร่างดำสี่ห้าร่างเข้าร่วมกินโต๊ะทหารคนดังกล่าว

    "ยิง ยิง ยิงเข้าไป!!" เสียงปืนดังขึ้นไม่ขาดสาย ผมแน่ใจว่าจัดการยิงร่างดำๆพวกนั้นไปได้ห้าร่าง ก่อนที่กระสุนจะหมดแนบ

    พวกเราเริ่มจะแตกขบวน อัลเฟรดซัดปืนลูกโม่ใส่ร่างดำๆพวกนั้นไม่หยุด ชาลีใช้ด้ามปืนตันฟาดใส่ในระยะประชิด เขาจัดการพวกนั้นไปได้สามตัวก่อนที่ จะถูกหนึ่งในนั้นจับกดลงกับพื้น ก่อนที่ร่างดำๆจะรุมฉีกกระชากร่างเขา เสียงกรีดร้องดังไม่ขาดสาย เสียงปืนดังสลับกับเสียงกระดูกหัก ผมกับคนอื่นๆ พยายามเอาชีวิตรอดอย่างดีที่สุด ตัวผมกับคนอื่นๆที่เหลือรีบวิ่งไปหลบยังโรงโม่แป้งหลังหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล โดยมีหัวหน้ากองวิ่งตามมาติดๆ โชคยังดีที่เจ้าพวกนั้นมัวแต่รุมกินโต๊ะอาหารตรงหน้า โดยไม่ทันได้สังเกตุพวกเรา ผมลองนับจำนวนคนที่รอดชีวิต ตอนนี้เราเหลือคนเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น สถานการณ์ดูไม่ดีเลยณตอนนนี้.

    แต่หลังจากที่พวกมันกินจนไม่เหลืออะไรจะให้กินแล้ว ร่างพวกนั้นก็ค่อยๆเดินตรงมายังโรงโม่แป้งที่เราหลบอยู่ อย่างไม่ต้องออกคำสั่งเป็นคำพูด พวกเราต่างยึดชัยภูมิแล้วเริ่มกระหน่ำยิงไปยังร่างพวกนั้น อัลเฟรดบอกกับพวกเราให้ยิงไปที่หัว ซึ่งนั่นก็ได้ผลกว่ายิงไปที่หัวใจอย่างที่พวกเราที่เหลือเคยได้ยินกันมา เรากำจัดพวกนั้นไปได้มาก แต่กระสุนของเราก็ใกล้จะหมดแล้วเหมือนกัน

    "พวกนายเหลือกระสุนเท่าไหร่บ้าง?"

    "ชอชั้นสองแหนบ" ผมตะโกนบอกไป ก่อนจะใช้ดาบปลายปืนแทงทะลุร่างดำๆที่ยื่นมือทะลุหน้าต่างเข้ามา

    "ของชั้นแหนบสุดท้าย เหวอ~~~~~" ทหารคนถัดจากอัลเฟรดร้องเสียงหลงเมื่อ พวกแวมไพร์เริ่มทุบประตูบ้านอย่างแรง จนไม้กั้นถึงกับร้าวตามแรงทุบ

    "ระเบิดมือ ขว้างระเบิด" อัลเฟรดตะโกนสั่ง พลางเขวี้ยงระเบิดมือของตน ใส่ฝูงแวมไพร์ที่มาออกันตรงทางเข้า

    เกิดเสียงระเบิดดังขึ้น พร้อมๆกับเศษเนื้อที่กระจายไปทั่ว ซึ่งก็มอดไหม้เป็นขี้เถ้าในช่วงอึดใจ ตัวบ้านเองก็ดูจะเสียหายจากระเบิดไปมากเหมือนกัน ผมมองไปยังประตูหลังบ้านที่ล้มลงจากแรงระเบิด ก่อนจะตะโกนบอกคนอื่นๆให้รีบออกไปทางประตูนั้น ทันใดนั้นเอง ผมก็รู้สึกร้อนวาบที่ต้นคอ ก่อนที่ความรู้สึกเหมือนถูกอะไรบางอย่างกัดจะชัดเจนขึ้นมา เลือดอุ่นๆไหลจากซอกคอลงเปรอะคอเสื้อ แวมไพร์ตนหนึ่งพึ่งจะกัดคอผมเข้าอย่างจัง แต่มันก็ได้ดูดเลือดไปไม่กี่อึก ก่อนที่จะโดนปืนลูกโม่เป่าหัวกระจาย

    โซเซจากที่โดนสูบเลือดออกไปมาก แต่ก็ยังกัดฟันไล่ตามกลุ่มที่ออกไปจากบ้านได้ทัน ก่อนจะปิดท้ายด้วยการปาระเบิดอีกลูกเพื่อสกัดการไล่ตาม พวกเราทั้งสี่วิ่งแบบไม่คิดชีวิต ผมลองมองกลับไปมองว่าพวกมันยังตามมาอีกไหม ภาพที่เห็นทำเอาพวกเราอีกสองคนสติแตก ร่างไหม้เกรียมจำนวนสักสองโหลเห็นจะได้ กรีดร้องราวกับหมูโดนเฉือด วิ่งไล่ตามพวกเรามาติดๆ

    "บ้าเอ้ย ตายๆไปซะทีสิวะ" หนึ่งในพวกเรา ตะโกนลั่นก่อนจะหันกลับไปยิงปืนใส่เจ้าพวกที่ไล่ตามมา เขายิงไปได้ไม่กี่นัด ผมก็ได้ยินเสียงเขาร้องโหยหวนก่อนจะตามมาด้วยเสียงเคี้ยวเนื้อกับเสียงบดกระดูกดังลั่น

    "มิเกล!" ทหารอีกคนหนึ่งหมายจะจัดการพวกแวมไพร์ที่รุมกินโต๊ะเพื่อนของตน แต่เขาก็ตกเป็นเหยื่อตามไปติดๆ ทั้งผมและอัลเฟรดเห็นศีรษะของเจ้าตัว กลิ้งหลุ้นๆแซงหน้าพวกเราไป ก่อนที่เราทั้งสองจะวิ่งมาถึงบริเวณทุ่งนาที่เราพึ่งผ่านเมื่อสักครู่

    "จาเร็ด ข้างหลัง!!" อัลเฟรดร้องลั่น แต่เขาก็ตึงมือเหมือนกัน แวมไพร์สองตัวพึ่งจะดันเขาติดกับต้นไม้ต้นหนึ่ง เขี้ยวตัวหนึ่งฝั่งกับต้นไม้ ส่วนอีกคู่กำลังบดลำกล้องปืน ที่เจ้าตัวชักขึ้นมายันเอาไว้

    ผมว่าจะชักปืนขึ้นมาตามคำเตือน แต่เมื่อรู้สึกตัวอีกที ผมก็อยู่ในสภาพนอนหงายลงกับพื้น เมื่อมองขึ้นไป แวมไพร์ตัวหนึ่งกำลังยืนอยู่เหนือตัวผม มันจ้องหน้าอยู่สักพักหนึ่ง ก่อนมือแกร่งของมันจะรวบคอแล้วค่อยๆยกร่างเหยื่อตรงหน้าขึ้น แยกเขี้ยวเตรียมจะเขมือบอาหารเย็น แล้วจู่ๆ....

    "อย่าขยับ" เสียงกร้านดังขึ้นมาจากทุ่งนา

    มีเสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัด เลือดสายหนึ่งกระเซ็นจากตัวแวมไพร์มายังตัวผม มีรูเท่าปลายนิ้วอยู่กลางหน้าผากของมัน ร่างผมร่วงลงกับพื้นพร้อมๆกับที่เจ้าแวมไพร์สลายกลายเป็นเถ้าถ่าน ผมมองไปยังอัลเฟรดที่กำลังโดนรุม เพียงพริบตาเดียวแวมไพร์อีกสองตัวก็โดนกระสุนปริศนาเข้ากันคนล่ะนัด อัลเฟรดเห็นดังนั้นก็รีบเข้ามาดูอาการผมที่ยังนอนอยู่ พวกแวมไพร์มีอาการชะงักเมื่อเห็นพวกตนนอนตายเกลื่อน มีเสียงปืนดังขึ้นอีกหลายชุด ถึงจะดังติดๆกันแต่จากเสียงปืนแล้ว พอจะบอกได้ว่าเป็นปืนไรเฟิลแถบเลื่อน รุ่นเดียวกับที่ทหารใช้ แวมไพร์ตัวสุดท้ายทำท่าจะหนีก็เมื่อตอนที่เสียงปืนหยุดลง มันหันซ้ายหันขวา ก่อนจะมองมายังเราทั้งสอง แสยะเขี้ยวขาวยาว แสดงให้เห็นว่าถึงจะกลัว แต่ความกระหายเลือดยังสังให้เจ้าสัตว์ร้ายตัวนี้เลือกที่จะจู่โจม ผมมองอย่างตะลึงงัน เมื่อร่างที่มีขนปกคลุมทั่วร่าง กระโจนออกมาจากความว่างเปล่า เสียงเช้งของมีดสั้นชักออกจากฟัก ก่อนที่ปลายดาบจะตัดคอเจ้าแวมไพร์ขาดสะบั้นลง

    "ไม่เป็นไรนะ?" เช็ดเลือดออกจากมีด เจ้าตัวถาม

    "ผมไม่เป็นไร แต่ช่วยดูเขาด้วย เขาโดนแวมไพร์กัด" อัลเฟรดกล่าว อีกฝ่ายตาลุกวาวเมื่อได้ยินว่า คนที่นอนอยู่ตรงหน้าโดนแวมไพร์กัด

    ผมที่นอนอยู่ตรงนั้น เรี่ยวแรงจะขยับตัวแทบจะไม่เหลือ อีกทั้งการที่โดนบีบคออย่างแรงทำให้เส้นเลือดฉีกขาดมากกว่าเดิม อาการเสียเลือดกระทันหัน กำลังจะทำให้ผมหมดสติถ้าไม่ทำอะไรโดยด่วน สำลักเลือดของตัวเอง ปัดป่ายมือไปเกาะมือของอัลเฟรด แต่ผมแทบจะร้องเสียงหลงถ้าไม่ติดว่า ในคอผมมันมีแต่เลือด

    นายพรานแทนที่จะเข้ามาช่วยดูอาการผม แต่กลับกัน เจ้าตัวกลับจ่อปืนใส่หน้าผมแทน

    "ดะ เดี๋ยวก่อน!!" อัลเฟรดสะท้านไปทั้งร่าง เมื่อเห็นอีกฝ่ายทั้งที่เมื่อสักครู่ยังช่วยชีวิตพวกเขาไว้ แต่ตอนนี้กลับจะปลิดชีวิตที่พึ่งช่วยไป

    "ช่วยให้พ้นทุกข์นะสิถามได้ ไม่ว่ายังไงเจ้าหนูนี่ก็จะกลายเป็นแวมไพร์ใน6ชั่วโมง แวมไพร์ชั้นต่ำ ไม่ต่างอะไรจากสัตว์ป่า อยู่ด้วยแรงกระตุ้นของเลือด จัดการเสียแต่ตอนนี้จะเป็นความกรุณาที่สุด" นายพรานร่ายยาว เขาขึ้นนกไกปืน นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาทำอะไรแบบนี้ ด้วยว่าตระเวณผ่านชายแดนมาหลายปี เขาจัดการการกรณีแบบนี้มานักต่อนัก บางครั้งก็เป็นคนที่เขารู้จัก แม้กระทั่งเพื่อนของตน

    "เดี๋ยวอย่า......ไม่สิ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง อย่างน้อยให้ผมเป็นคนทำ เพราะผมเป็นหัวหน้ากองร้อย ทั้งคนในหน่วยที่ตายไปก็ดี ทั้งสภาพของเขาในตอนนี้ก็ดี ทั้งหมดผมต้องรับผิดชอบ " อัลเฟรดกล่าวอย่างหนักแน่น

    ทั้งเขาและนายพรานจ้องตากันไม่กระพริบ เป็นนายพรานที่ลดปืนของตนลง เขามองตาอัลเฟรดครู่หนึ่ง ก่อนจะใช้หยิบกระบอกใส่ดินปืนของตนออกมา ผมมองเลิ่กลั่กเมื่ออัลเฟรดใช้มือทั้งสองข้างกดผมลงกับพื้น เขาฉีกเศษผ้ามัดให้เป็นก้อนแล้วยัดก้อนผ้าอุดปากผมไว้

    "เจ้าหนู นี่มันจะเจ็บหน่อยนะ" นายพรานกล่าว ก่อนจะรอยผงดินดำใส่ปากแผลผม

    เสียงฟู่ดินปืนเกิดขึ้นหลังจาก กองดินปืนตรงคอถูกจุดด้วยไม้ขีด ลุกเป็นกองไฟกองใหญ่ในชั่วพริบตา ผมกรีดร้องสุดเสียงแต่ดีที่ว่ามีเศษผ้าในปาก ทำให้พอจะมีอะไรไว้บรรเทาความเจ็บที่เกิดขึ้นได้บ้าง เมื่อควันจางลงปากแผลที่เคยมีเลือดไหลไม่หยุด ก็ไหม้กรังปิดแผลได้ชั่วคราว แน่นอนว่าวิธีห้ามเลือดจากปากแผลขนาดนี้ ในสภาวะฉุกเฉินจะเป็นการใช้มีดเผาไฟทาบกับแผล แต่เพราะมันฉุกละหุกจริงๆนายพรานถึงใช้ดินปืนในการปิดปากแผล ถึงจะเสี่ยงต่อการระเบิด และ สร้างแผลเป็นที่ใหญ่กว่า แต่อย่างน้อยมันก็หยุดการไหลของเลือดได้อย่างชะงักงั้น

    ทั้งที่กลิ่นดินปืนยังไม่ทันจาง แต่อัลเฟรดก็ช่วยประคองตัวผมลุกขึ้น ถึงจะเจ็บเจียนตาย แต่เราทั้งสองรู้ว่าถ้ากลับไปไม่ถึงเมืองก่อนพระอาทิตย์ตกดิน เราคงได้ตายจริงๆแน่ นายพรานเอง เมื่อเขาจัดแจงเก็บป้ายชื่อจากร่างทหารสองคน เขาก็ตามเราสองคนกลับสู่เมือง ผมสงสัยว่าจะมีอะไรรอพวกเราอยู่ที่เมืองบ้าง หลังจากเรื่องที่เกิดขึ้น พวกเราจะโดนสอบสวนไหม แล้ว นายพรานคนนี้เป็นใครกันแน่

    +++++++++++++++++​

    คลอดออกมามาดๆ สำหรับตอนแรก ตัวละครในตอนแรกนี้ ใครเป็นใคร คิดว่าคงไม่ต้องบอกก็น่าจะเดากันได้นะครับ (มาเถื่อนเสียขนาด :D )
  2. derick

    derick Member

    EXP:
    339
    ถูกใจที่ได้รับ:
    1
    คะแนน Trophy:
    18
    Re: +++ The Last Kingdom : Fall of Man +++

    ตอนแรกมาแล้ว!!! ภาษาในการแต่งฟิคท่านยังละเอียดเห็นภาพเหมือนเดิม ว่าแต่เปิดมานี่ออริปาไป 3 ตัวเสียแล้ว แสดงว่าตัวละครในเรื่องคงเยอะไม่น้อยสินะเนี่ย...

    รอตอนต่อไปคร้าบบบบบบบบ~ ><b
  3. shinkyoto

    shinkyoto Well-Known Member

    EXP:
    580
    ถูกใจที่ได้รับ:
    3
    คะแนน Trophy:
    88
    Re: +++ The Last Kingdom : Fall of Man +++

    เปล่าน่อ เพราะมันขาดหนักเมื่อ นาปรังขาดน้ำ ถึงได้มีออริเยอะไงครับ บรื้อ~~
  4. swanton

    swanton Dragon on Board

    EXP:
    1,424
    ถูกใจที่ได้รับ:
    69
    คะแนน Trophy:
    113
    Re: +++ The Last Kingdom : Fall of Man +++

    สะใจมาก ผมชอบฉากของยุคอาณานิคม กับการต่อสู้สไตล์ทหารอาณานิคมที่สู้กันด้วยฝีมือล้วนๆแบบไม่ต้องร่ายยาว = =b

    นอกจากตัวละครที่ออกชื่อแล้ว ผมเดาไม่ออกเลยว่าใครเป็นใคร ^^" แต่นายพรานนั่นก็สมเป็น"พราน"จริงๆ น่าสงสารกองทหารของจาเร็ดแฮะ... ว่าแต่โดนเข้าไปแบบนี้จาเร็ดจะต้องกลายเป็นแวมไพร์ไหมนะ

    รอติดตามตอนต่อไป~
  5. jamejaeja

    jamejaeja แม่มดคำสาปมรณะ

    EXP:
    119
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    16
    Re: +++ The Last Kingdom : Fall of Man +++

    ว้าว อย่างแรกเลยต้องขอบคุณน้าที่ให้เป็นแวมไพร์ สนุกมากเลย
    ยิงกันสนั่นเริ่ดๆ
  6. kiro

    kiro Member

    EXP:
    62
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    6
    Re: +++ The Last Kingdom : Fall of Man +++

    เปิดมาก็ตายกันเกลื่อน...แต่ดูแล้วจาเร็ดน่าจะมีบทบาทอีกสักพัก

    อาจจะถูกฝ่ายสอบสวนคนนอกรีตเอาไปสอบ หรือไม่ก็อาจจะถูกส่งกลับไปที่ศาสนจักรเพื่อทดลองอะไรเล่น

    แต่ขนาดศพไหม้แล้วยังเป็นแวมไพร์ได้อีกเหรอครับ
  7. 32831

    32831 Member

    EXP:
    111
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    16
    Re: +++ The Last Kingdom : Fall of Man +++

    บรรยายได้เห็นภาพดีจังครับ

    รอตอน2ต่อไปๆ
  8. endlich

    endlich Member

    EXP:
    123
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    16
    Re: +++ The Last Kingdom : Fall of Man +++

    บรรยายได้เห็นภาพดีครับ แต่เพิ่งจะเคยเห็นแวมไพร์แบบนี้ก็เรื่องนี้แหละ "ร่างไหม้ไฟลุกขึ้นมารุมทึ้งคน" ยังกะซอมบี้แน่ะครับ

    ยังไงก็สู้ ๆ นะครับ รออ่านตอน 2 อยู่ ตอนแรกผมก็ว่าจะแต่งฟิคเกี่ยวกับแวมไพร์เหมือนกัน แต่วินคุงออกฟิคมาก่อนผมคงต้องพับโครงการไว้ก่อนล่ะครับ ฮ่า ๆ
  9. shinkyoto

    shinkyoto Well-Known Member

    EXP:
    580
    ถูกใจที่ได้รับ:
    3
    คะแนน Trophy:
    88
    Re: +++ The Last Kingdom : Fall of Man +++

    --12/13.05.1802--​


    พวกเราทั้งสามคน เดินทางอย่างรีบเร่ง ก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดิน นายพรานดูจะไม่เหน็ดเหนื่อยเท่าใดนัก ผิดกันกับทหารกองทัพจักรวรรดิอย่างเรา หลังลัดเลาะมาตามแม่น้ำได้ สองชั่วโมง พวกเราก็มาถึงยังถึงตัวเมือง เมืองที่ว่านี้แม้จะเพียงเมืองอาณานิคมภาคใต้อีกเมือง แต่ก็ถือเป็นแหล่งส่งกำลังหลัก และ สินค้าจากดินแดนส่วนนี้ไปยังแผ่นดินแม่ จึงเป็นที่ตั้งของทั้งท่าเรือและค่ายทหารขนาดใหญ่ แต่ภาพที่ปรากฏบริเวณรอบนอกเมือง กลับสร้างความตะลึงงันให้กับพวกเราเป็นอย่างมาก


    ม้าเร็วตัวหนึ่งวิ่งผ่านไป มุ่งตรงไปยังบริเวณชายหาด บนชายหาดนั้นเป็นสีน้ำตาลอมเขียว ซึ่งเมื่อมองดีๆจะเห็นเป็นทหารนับพันที่อยู่ในอริยาบทต่างๆ ทั้งยืน ทั้งนอน มีบางส่วนที่บาดเจ็บหนัก หน่วยแพทย์สนามตั้งลานพยาบาลฉุกเฉินใกล้ๆกับทางเข้าเมือง เมืองซึ่งตอนนี้สภาพไม่ต่างอะไรกับผึ้งแตกรัง ผู้คนต่างพากันไปออที่ท่าเรือ หอบข้าวของ ทั้งคนแก่ ผู้หญิง และ เด็ก แต่ในภาพชวนหดหู่ที่ได้เห็น ก็ยังมีภาพน่าสยดสยองให้เห็นไม่ห่างกันนัก


    ถัดจากทางเข้าออกเมืองไปไม่ไกล มีหลุมเพลิงขนาดใหญ่ตั้งอยู่ แว่บแรกที่เห็นบอกได้ยากว่ากำลังเผาอะไรอยู่กันแน่ แต่เมื่อเห็นร่างคนอยู่ในกองไฟนั้น บางร่างยังขยับไปมา กับฝูงคนจำนวนมากที่ยืนอยู่ใกล้ๆ โดยมีเจ้าพวก.....อัลเฟรดถึงกับสบถสาบานเบาๆ ไอ้พวกตำรวจศาสนา เขาดูตอนที่หนึ่งในพวกนั้น โยนเด็กทารกลงไปในกองไฟ โดยที่มีคนแม่ถูกพวกนั้น ใช้ดาบตัดหัวก่อนจะผลักร่างลงไปในกองไฟ

    "ไอ้พวกนั้น มันมาทำอะไรที่แบบนี้กัน" อัลเฟรดกระซิบกับตัวเองเบาๆ

    "หน่วยตำรวจลับของศาสนจักร คนเป็นทหารอย่างพวกเธอน่าจะรู้บ้างไม่มากก็น้อย" นายพรานกล่าวเรียบๆ ตอนที่ชายอีกคนถูกถีบลงในกองไฟทั้งที่ยังเป็นๆอยู่

    "แล้วเจ้าคนที่โดนกัดเป็นยังไงบ้าง?"

    "เลือดหยุดไหลแล้ว แต่เราต้องรีบพาเขาไปหาหมอ ถ้าปล่อยไว้แบบนี้แผลอาจติดเชื้อได้" อัลเฟรดกล่าวด้วยท่าทีเป็นกังวล

    นายพรานจ้องมองดูตัวผม สายตาของเขานั้นอ่านไม่ออกเลยว่าคิดจะทำอะไรต่อไป ตัวผมเองก็รู้สึกแปลกๆมาได้สักพักหนึ่งแล้ว ทั้งที่เป็นช่วงเย็นแล้วแท้ๆ แต่สายตาผมพร่าแบบเปลกๆ เหงื่อก็ไหลท่วมกาย รู้สึกตัวร้อนราวกับเป็นไข้ อัลเฟรดเห็นผมในสภาพดังกล่าวก็ช่วยประคองผมลงนอนกับเตียงสนามอันหนึ่งที่ว่างอยู่ เขาจัดแจงเอาผ้าห่มกับหมอนมาให้ผม นั่นก็เป็นพอดีกับตอนที่ตำรวจศาสนากลุ่มหนึ่งเดินตรวจมายังทางพวกเราพอดี


    ด้วยชุดผ้าคลุมสีดำ ใบหน้าไร้อารมณ์ และ ตรากางเขนแดงสองขีด เป็นเครื่องหมายของหน่วยตำรวจศาสนา ชื่อแม้จะฟังดูดี แต่นั่นก็สำหรับมนุษย์ในจักรวรรดิผู้ซึ่งปฎิบัติตามกฏการปกครองอันเข้มงวดของศาสจักรเท่านั้น คนต่างศาสนา ยิปซี นักเล่นแร่แปรธาตุ ผู้รู้ จะถูกลงโทษอย่างหนักหากถูกจับได้ ไม่ต้องพูดถึงพวกไฮบริดหรือแวมไพร์ พวกนั้นถ้าโดนจับได้มีโทษตายสถานเดียวเท่านั้น


    และยิ่งในสภาวะเวลาปัจจุบัน ที่ความศรัทธาต่อศาสนจักรตกต่ำจากการคุกขามของพวกแวมไพร์ ทำให้เกิดพวกนอกรีตเป็นจำนวนมาก ยิ่งทำให้คนพวกนี้ลดขั้นตอนมาตราฐานลง แล้วหันไปใช้วิธีรุนแรงมากขึ้น

    หนึ่งในชายเหล่านั้น เดินเข้ามาพวกเราด้วยสีหน้าสงสัยอะไรบางอย่าง เขาคนนั้นเดินตรงมายังตัวผมที่นอนอยู่บนเตียง ค่อยๆเอื้อมมือมายังผ้าพันแผลที่คอ แต่นายพรานกลับหยุดมืออีกฝ่ายเอาไว้


    "พวกนายมาตามล่าพวกไฮบริดไม่ใช่หรือ? ไฮบริดน่ะตาสีอำพันไม่ได้ตาสีชาแบบนี้ไม่ใช่รึ" นายพรานกล่าว ฝ่ายตำรวจมองหน้าเขาสักครู่ ก่อนจะลดมือลง แล้วเดินไปตรวจเตียงข้างๆ แทน

    "เจ้าพวกผีดูดเลือด พอจวนตัวเข้า ก็ส่งพวกลิ่วล้อเข้ามาปะปนที่แนวหน้าด้วยสินะ" ทั้งผมและอัลเฟรดไม่ค่อยเข้าใจความหมายที่อีกฝ่ายกล่าวนัก แต่นายพรานก็ตอบคำถามด้วยแผ่นกระดาษแผ่นหนึ่ง
    
    อัลเฟรดรับกระดาษชิ้นนั้นมาอ่าน มันเป็นชิ้นส่วนของบทความในหนังสือพิมพ์ประจำเมือง ลงวันที่เมื่อ1สัปดาห์ก่อน พาดหัวของบทความนั้นกล่าวถึงการเกิดคดีสังหารหมู่ที่เกิดขึ้นในเมือง ที่เล็งเป้าไปยังทหารรักษาเมือง และ บรรดาทหารที่เข้ามาเสริมกำลัง เราลองไล่อ่านดูจนมาสะดุดกับคำที่นายพรานชี้ให้ดู

    "ไฮบริด??" มองกันอย่างงงๆ ไฮบริด มันอะไรกันหว่า?

    "ไฮบริด พวกเธอเป็นกองหนุนจากแผ่นดินแม่สินะ" พอเราสองคนผยักหน้า นายพรานก็เกาหัวเล็กน้อย ดูเหมือนแกจะหัวเสียเล็กน้อย

    "เฮ่ออ (ถอนหายใจแบบไม่ค่อยพอใจนัก)...เจ้าพวกหน่วยเหนือพวกนี้ล่ะก็ ชั้นจะสรุปย่อๆแล้วกัน" นายพรานกล่าวอธิบาย



    "พวกเธอคงจะได้ยินหรืออ่านมาในโรงเรียนสินะว่า โลกนี้แบ่งออกเป็นสองขั้วใหญ่ๆ มนุษย์ กับ แวมไพร์ แต่ปรากฏว่าในช่วง 30ปีผ่านมานี้ มีสิ่งมีชีวิตอีกพวกปรากฏขึ้นมา ไฮบริด ลูกผสมระหว่างมนุษย์กับแวมไพร์ สัตว์ร้ายที่เกิดจากพ่อหรือแม่ที่เป็นแวมไพร์ มีลูกกับคู่ที่เป็นมนุษย์" กล่าวถึงตรงนี้นายพรานก็หยิบเอาบุหรี่ทำเองขึ้นมาสูบ ทั้งที่บรรยากาศรอบตัวเริ่มหนาวขึ้นทุกขณะจากลมทะเล แต่มือของผมกลับชื้นเหงื่อไปหมด

    "เจ้าพวกนี้ นอกจากที่จะใช้ชีวิตใต้แสงแดดได้แบบปรกติแล้ว สิ่งที่บ่งว่าพวกมันเป็นสัตว์ร้ายก็อยู่ตาสีอำพันในเวลากลางคืน กับ กำลังกายที่เหนือมนุษย์ แน่ล่ะว่าที่พวกเธอไม่รู้เรื่องแบบนี้ เพราะทางเบื้องบนไม่ต้องการให้เกิดความตื่นตระหนกขึ้นในหมู่สาธารณชน ยิ่งช่วงนี้มีเรื่องความไม่สงบในเขตอาณานิคมด้วย" นายพรานกล่าวราวกับมันเป็นเรื่องรับรู้เป็นปรกติ ทั้งที่สิ่งที่พวกเราได้ฟังมันทำเอาสมองน้อยๆมีนตึบไปเลย


    "แต่ถึงจะปิดข่าวไว้แล้ว ก็ดูเหมือนจะมีพวกปลุกระดมไฮบริดบางพวก พยายามสร้างสถานการณ์จากเรื่องนี้อยู่ ที่เมืองนี่ก็เช่นกัน ....พวกที่โดนเผานั่นแหละ พวกนอกรีตแฝงตัวในคราบชาวอาณานิคม" ชี้ไปยังกลุ่มควันไฟที่ยังคุจากกองไฟที่เห็นอยู่ไม่ไกล

    อัลเฟรดดูจะมีท่าทีเกร็งๆเมื่อนายพรานกล่าวถึงเรื่องที่ชาวเมืองโดนสังหารโหดเรียบๆ แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายมีตำแหน่งสูงกว่าตน แต่เขาก็อดที่จะเหน็บแนมไม่ได้

    "ผมเองก็พอจะเข้าใจนะว่าทำไมพวกเขาทำเรื่องนอกรีตแบบนั้นได้ ห่างไกลจากความเจริญของแผ่นดินแม่ ผู้คนอยู่ใต้กฏเหล็กของศาสนจักร ทั้งยังต้องจ่ายภาษีอย่างหนัก ถ้าจะมีเรื่องแบบนี้ก็ไม่แปลกหรอก"

    "อัลเฟรด อย่าพูดแบบนี้สิ!!" ผมพยายามเตือนเขา การพูดแบบนี้มันเข้าข่ายนอกรีต แต่ที่เขาพูดมามันก็จริงอย่างที่สุด แม้แต่ที่แผ่นดินแม่ บ้านเกิดของพวกเราก็ตกในสภาพไม่ต่างกันนัก


    เจ้าตัวดูดควันเข้าไปเฮือกใหญ่ ก่อนจะขยี้ก้นบุหรี่ลงกับพื้น ในตอนนั้นเองที่ผมสังเกตุถึงประกายตาของอีกฝ่าย เป็นเพียงช่วงสั้นๆ เขามองอัลเฟรดด้วยแววตาเหมือนกับจะนายพรานที่จ้องมองเหยื่อของตน และดูเหมือนเขาจะรู้ตัวว่าผมกำลังมองอยู่เช่นกัน


    "พูดได้ดีหนิ เจ้าหนู" เหมือนกับจะมีสายฟ้าฟาดใส่กัน

    "อย่าน่าอัลเฟรด ทำแบบนี้มัน ....... อะ อั่กกก!!" ตอนที่ผมจะกล่าวห้ามนั่นเอง ความเจ็บปวดเหมือนกับบางอย่างทะลวงออกมาจากไรฟัน ก็ทำผมตัวงอเป็นกุ้ง รู้สึกผิดปรกติในปาก เหมือนกับมีบางอย่างหลุดออก ผมลองคายสิ่งนั้นออกมา เป็นฟัน ฟันเขี้ยว แต่พอๆกับความตกใจและพรั่นพรึง ผมลองใช้นิ้วแตะไปตรงที่เคยเป็นฟันเขี้ยว


    "จาเร็ด นี่นาย" อัลเฟรดมองตาเป็นประกาย เขาเห็นเขี้ยวแหลมสีขาวคู่หนึ่งงอกออกมาจากชุดฟันของเพื่อนเขา ดูเหมือนการแปรสภาพจะเกิดขึ้นเร็วกว่าที่เขาคิดไว้ แต่ไวเท่าความคิด เพียงเสี้ยววินาที ทั้งตัวเขาและนายพรานก็ เล็งปืนใส่กันและกันเสียแล้ว


    ผมแทบจะไม่ได้สังเกตุด้วยซ้ำว่า นายพรานชักปืนขึ้นมาจากไหน แต่อัลเฟรดเองก็ชักปืนสำรองของเขาจากเข็มขัดขึ้นมาไวพอกับอีกฝ่าย

    "ผมบอกแล้วไงว่าจะจัดการเอง คุณลืมแล้วหรือไง?"

    "ยิ่งรีบจัดการ จะยิ่งทำใจได้ง่าย ถ้าปล่อยนานไป มันจะทำใจยากนะเจ้าหนู" เตือนด้วยความประสบการณ์ตรง ก่อนจะลดปืนของตนลง

    "ผมจะพาตัวเขาไปยังกรมทหารของเรา ที่นั่นเขาจะได้รับการดูแล และ สำหรับเวลานั่นด้วย" ตอบเพื่อให้ผมสบายใจหรือเปล่า ผมก็ไม่รู้ แต่นายพรานกับยิ้มเหยาะเมื่อได้ฟังคำตอบของอัลเฟรด

    "กรมรึ? พูดเรื่องอะไร กรมทหารในเขตนี้ถูกละลายไปตั้งนานแล้วไม่รู้หรือไง?"

    "!!" ก็พอจะเดาได้ว่าเรื่องแบบนี้อาจเกิดขึ้น แต่ไม่อยากจะเชื่อกรมทหารราบที่พวกเราสังกัดในเขตนี้ หนึ่งในกรมกองที่มีกำลังพลเป็นอันดับต้นๆของอาณานิคม จะโดนจัดการไปเรียบแล้ว แต่มาคิดอีกที จากสภาพรอบตัวและเมืองที่เราเห็น ก็บอกชัดแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น

    "มีคำสั่งถอนกำลังก็ออกมาแล้ว ก่อนหกโมงเช้าที่ท่าเรือ ที่ชั้นแนะไว้เพราะชั้นเองก็ต้องไปรายงานตัวเหมือนกัน หากเธอปล่อยเพื่อนเธอไป" หันมองมายังตัวผม นายพรานกระทำ เหมือนจะสื่อความหมายถึงทั้งตัวผมและอัลเฟรด เขาว่าแล้วก็จัดแจงเก็บข้าวของแล้ว เดินแยกตัวจากเราทั้งสองไป รู้ลึกๆว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรต่อ แต่กลัวเหลือเกินว่าสิ่งนั้นจะเกิดขึ้น



    อัลเฟรดดูมีท่าทีสงสัยในตัวอีกฝ่ายตั้งแต่เขาเริ่มอธิบายเรื่องไฮบริด ในขณะที่ผมได้แต่นั่งฟังจนหูชา ว่ายังมีเรื่องอีกมากจริงๆที่รัฐบาลไม่เคยบอกกับพวกเราเลย เมื่อรู้ว่ากรมทหารที่พวกผมสังกัดโดนละลายไปเรียบแล้ว พร้อมๆกับคำสั่งถอนทหาร สิ่งที่เราสองคนยังพอจะทำได้ในตอนนี้ ก็เหลือแต่เพียงการรอเวลา ที่เรือลำเลียงจะมาถึง (เรือที่มีก่อนหน้านี้ ถูกใช้อพยพชาวเมืองและชาวบ้านในเมืองใกล้เคียง ไปก่อนแล้ว)

    ระหว่างทางหาที่พักสำหรับคืนนี้นั่นเอง ที่ผมรู้สึกคอแห้ง ตัวร้อนเหมือนจะเป็นไข้ อัลเฟรดต้องช่วยประคองตัวผมไว้เกือบตลอดเวลา เขามองผมด้วยสายตาที่บอกได้ชัดถึงความหวั่นใจ ทั้งที่ชั่วโมงก่อนผมยังพอจะมีสีเลือดบนหน้า แต่ตอนนี้กลับขาวซีดลงราวกับคนตาย ม่านตาก็ค่อยๆกลายจากน้ำตาลเข้ม เป็น สีน้ำตาลสนิม รู้สึกถึงน้ำหนักที่กดลงบนหลังมากขึ้นทุกที ความทรมานมันยากจะอธิบายเป็นคำพูด ผมรู้ตัวดีว่าคงอีกไม่นานก่อน ตัวผมจะกลายสภาพเต็มที่


    "ฮะ ฮะ อัลเฟรด ...อัลเฟรด ทิ้งฉันไว้เถอะ.....ร่างกายฉันมัน" ตอนนั้นผมรู้สึกเหมือนจะหน้ามืดไป แต่อัลเฟรดกลับดึงตัวผมไว้ก่อนจะแบกขึ้นหลัง

    "อย่าพึ่งพูดตอนนี้ ใกล้จะถึงแล้วทนหน่อยสิฟะ!" ความมุ่งมั่นที่กับความหวังที่ไม่เห็นแสงที่ปลายอุโมงค์ เจ้าตัวว่าเช่นนั้นก็เร่งฝีเท้าของตน


    ตลอดสองข้างทาง ไม่ว่าจะบนถนนหรือในบ้าน ล้วนเต็มไปด้วยทหารที่รอขึ้นเรือทั้งสิ้น ผ่านถนนปูหินย่านกลางเมือง เราสองคนมาถึงบริเวณจตุรัสกลางเมือง ที่นี่อีกเช่นกัน ทหารสองสามกองร้อยต่างใช้ลานแห่งนี้เป็นที่พักหลับนอน ตั้งแต่ช่วงเย็นที่ผ่านมาแล้วกระมัง ที่กองทหารที่เหลือรอดจากแนวหน้า ต่างเริ่มมาร่วมตัวกันในเมือง หลังจากที่ชาวเมืองขึ้นเรืออพยพไปก่อนหน้านั้นแล้ว

    มันยากที่ทหารส่วนใหญ่จะทำใจยอมรับได้ พวกเขาส่วนมากเป็นทหารอาณานิคม แม้จะผ่านการกระทบกระทั่งมาบ้าง แต่กับสงครามเต็มรูปแบบกับพวกแวมไพร์ จะพูดยังไงได้ล่ะ มันแทบจะเหมือนกับส่งชาวนาไปสู่กับทหารอาชีพ จำนวนก็แค่ทำให้ยอดความสูญเสียเพิ่มขึ้นเท่านั้น


    ตั้งแต่แยกทางกันที่นอกเมือง คำของนายพรานที่ว่าจะจับตาดูผมนั้น ถึงตอนนี้ก็ยังเป็นแรงกดดันลึกๆ ที่ผมพยายามจะไม่ไปนึกถึงมัน ใจหนึ่งก็ไม่อยากมีสภาพเป็นเหมือนแวมไพร์พวกนั้น แต่ แต่ว่า ผมก็ยังไม่....


    หลังจากเดินหาที่จตุรัสกลางเมืองอยู่ครู่หนึ่ง อัลเฟรดก็พาผมเข้าไปในโรงแรมเล็กๆที่หัวมุมถนน ภายในอาคารนั้นดูเหมือนจะยังไม่ถูกทหารเข้ามาจับจอง จะด้วยสภาพข้าวของกระจัดกระจายก็ดี หรือ จะเพราะโรงแรมที่ว่าส่วนบนมันไหม้ไฟไปหมดแล้วก็ตามที แต่ก็ดูเหมือนนี่จะเป็นที่พักให้เราสองคนได้ อย่างน้อยก็สำหรับตอนนี้

    ขึ้นมายังชั้นสอง เข้าห้องพักที่อยู่ใกล้บันไดที่สุด อัลเฟรดวางร่างผมลงบนเตียง เขาเข้าไปดูว่าพอจะมีเครื่องดื่มอะไรบ้างไหม รู้สึกกล้ามเนื้อเกร็งไปหมด อาการกระหายน้ำรุนแรงมากขึ้นทุกที แม้ผมจะพยายามดื่มน้ำแก้กระหายมาตลอดทาง แต่ไม่ว่ายังไง แรงกระตุ้นบางอย่างกลับพยายามยึดครองสติของผม หันหน้าไปมองแสงอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้า ทั้งที่เป็นแค่แสงสีทองอย่างที่เคยเห็นมาตลอดชีวิต แต่ทำไมผมกลับรู้สึกว่ามันช่วงสวยงามเสียเหลือเกิน ผมจ้องดูมันจนกระทั่งแสงสุดท้ายหายไปกับความมืด พร้อมกับน้ำหยาดใสที่รินจากขอบตา



    ==========​



    .
    .
    .
    .
    .


    ในความรู้สึกที่ไม่รู้ว่าตื่นอยู่ หรือว่าฝันไป ผมได้ยินเสียงอัลเฟรด เขากำลังคุยกับใครบางคนอยู่ คู่สนทนานั้นผมไม่เห็นตัวชัดเจนนัก แต่จากน้ำเสียงแล้วดูจะคุ้นเคยเป็นอย่างดีกับอัลเฟรด ผมนึกไปก็นึกไม่ออกว่าคนๆนี้เป็นใคร ทั้งที่เราสองคนเติบโตมาในหมู่บ้านเดียวกัน คนรู้จักที่มีของพวกเรานอกจากเหล่าพี่น้องในกองรัอยแล้ว ก็ล้วนอยู่ที่ฝั่งแผ่นดินแม่ทั้งสิ้น การสนทนานั้นผมจับได้แค่สองสามส่วนก่อนที่ คู่สนทนาจะรู้ตัว แล้วถอยร่นจากไป


    "อัลเฟรด....นะ..นั่นใครน่ะ?" เขาเดินก้าวมายังตัวผม ใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำช่วยประคบให้ ใบหน้านั้นยังคงแสดงอารมณ์สงบนิ่ง

    "จาเร็ด......" เหมือนว่าจะพูดอะไรสักอย่าง แต่เขากลับลุกขึ้นแล้วไปนั่งทำความสะอาดปืนไรเฟิลที่เตียงข้างๆแทน


    ผมนอนนิ่งอยู่ตรงนั้น ด้วยลักษณะแบบนี้ แปลว่าเขาต้องมีเรื่องหนักใจแน่ๆ ทุกครั้งที่อัลเฟรดมีเรื่องหนักใจ เขามักจะนั่งทำความสะอาดแบบนี้ทุกครั้งไป เราสองคนที่เข้ากองทัพมาด้วยกัน แม้ตอนแรกจะไม่ได้เป็นเพื่อนสนิทกันนัก อาศัยว่าเกิดมาจากหมู่บ้านเดียวกัน แต่คงเป็นเพราะว่าเราสองคนเป็นเด็กกำพร้าจากสงครามเหมือนกัน เราเสียพ่อแม่ไปเพราะพวกแวมไพร์ หรือนั่นก็อย่างที่พวกผู้ใหญ่บอกเรามาอีกที แต่พอมาคิดว่าสุดท้ายจะต้องกลายเป็นแวมไพร์เสียเอง มันทำให้ผมอยากจะหัวเราะเสียให้ได้


    เป็นความเงียบในแบบที่เราทั้งสองไม่ได้สัมพัสมานาน ทั้งที่พรุ่งนี้เช้าเมื่อพระอาทิตย์ขึ้น ทหารทุกนายในเมืองนี้จะต้องขึ้นเรืออพยพ กับอัลเฟรดผมหวังว่าเขาจะขึ้นเรือกลับไปยังแผ่นดินแม่ได้เป็นผลสำเร็จ ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่า ขึ้นเรือไปแล้วจะสามารถกลับถึงมาตุภูมิได้ จะเป็นกระแสพายุหรือการโจมตีกลางทะเลก็ดี มีบางครั้งที่ผมสงสัยเหมือนกันว่า แล้วอาณานิคมอื่นๆเล่า จะมีที่ไหนเป็นแบบที่นี่บ้าง?


    และดูเหมือนว่าคำตอบจะมาเร็วกว่าที่ผมขาดเอาไว้ ในตอนที่ผมกำลังจะเคลิ้มหลับตานอนไปอีกรอบ แรงสั่นสะเทือนต่ำก็เขย่าห้องที่เราสองคนอยู่ โคมไฟนั้นไหวตามแรงสั่นเล็กน้อย อัลเฟรดนั้นดูจะไม่แตกตื่นกับสิ่งที่เกิดขึ้น ถึงจะไม่เคยไปถึงแนวหน้า แต่เราสองคนก็เคยฝึกในหน่วยปืนใหญ่มาก่อนเลยรู้ว่า นี่เป็นอาวุธของฝ่ายเราแน่ๆ แต่ทำไมถึงมาดังเอาเวลาแบบนี้

    แต่เป็นลูกกระสุนปืนใหญ่อีกลูก ที่ลอยละลิ่วมาตกใส่โรงแรมที่เราอยู่ ที่ทำให้เราสองคนรีบออกมาดูสถานการณ์ภายนอกทันที แต่น่าแปลกว่าหลังความทรมานหลายชั่วโมง อาการพวกนั้นดูจะทุเลาลงไปมาก 'หรือว่า!!'



    ภายนอกโรงแรม ความปั่นปวนคือสิ่งที่ผมได้เห็น ทหารหลายร้อยต่างพากันละทิ้งอาวุธของตน บางคนยังอยู่ในชุดนอน มีบ้างที่ไม่ได้สวมอะไรเลย ทุกคนต่างวิ่งไปยังทางท่าเรือ แม้นายทหารบางคนจะพยายามออกคำสั่งให้กับทหารเหล่านั้น แต่พอผมมองไปยังทิศทางที่พวกเขาวิ่งมา ผมก็เห็นว่าท้องฟ้าทางฝั่งนั้นเป็นสีแดงเรื่อๆ ทั้งยังเสียงยิงปืนต่อสู้ และ เสียงการถล่มของปืนใหญ่ จากฝ่ายเราดังไม่หยุด แต่จำนวนทหารที่หนีตายกลับไม่ได้ลดลงไปเลย


    อัลเฟรดคว้าตัวทหารนายหนึ่งเอาไว้ เขาต้องรู้ให้ได้ก่อนว่ามันเกิดอะไรขึ้น

    "นี่เกิดอะไรขึ้น ทำไมทุกคนแตกตื่นกันขนาดนี้กัน?" ต้องตะโกนใส่ ทหารในมือถึงจะรู้สึกตัวแล้วตอบกลับอย่างตระหนก

    "ตะ แตก แนวป้องกันนอกเมือง แตกแล้ว พวกแวมไพร์มันบุกมาแล้ว!!" ทั้งผมและอัลเฟรดมองหน้ากันครู่หนึ่ง เรื่องเมื่อเย็นวานที่ผ่านมาผุดขึ้นมาในหัว

    "พวกนายก็รีบไปขึ้นเรือเร็ว จะรอช้าไม่ได้แล้ว มันจะมาแย้วววว" กล่าวจบทหารคนดังกล่าวก็ผละตัวจากอัลเฟรด ก่อนจะวิ่งตามฝูงคนไปติดๆ




    เมื่อได้รับทราบสถานการณ์คร่าวๆ เห็นได้ชัดเลยว่า ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น ก่อนที่พวกแวมไพร์จะผ่านแนวป้องกันชุดท้ายเข้ามาได้ และ ถ้าเป็นเช่นนั้นก็หมายถึงการสังหารหมู่ที่จะตามอย่างแน่นอนที่สุด

    แต่ในตอนที่ผมลังเลนั่นเอง อัลเฟรดกลับเตรียมอาวุธของตน ก่อนจะคว้าแขนผมแล้วลากให้ตามเขาไปติดๆ ทั้งที่ควรจะตามคนอื่นไปยังท่าเรือ แต่เขาพาผมไปคนล่ะทางกับคนอื่นๆ ไปยังแนวป้องกันที่แตกนั่่นแทน

    "อัล อัลเฟรด? เดี๋ยวก่อนท่าเรือมันอยู่อีกฝั่งนะ ทางนั้นมันแนวที่แตกไม่ใช่หรือ?"

    "ฉันรู้ แต่นี่ทางปลอดภัยที่สุด อย่างน้อยกว่าดีกว่าที่ท่าเรือนั่น" อัลเฟรดอธิบายในแบบที่ผมไม่ค่อยเข้าใจนัก แนวป้องกันมันจะปลอดภัยกว่าที่ท่าเรือได้ยังไง?


    แต่พอคิดได้ว่า เรือลำเลียงจะยังไม่มาถึงจนกว่าจะเช้า แล้วตอนขึ้นเรือจะต้องมีการตรวจเช็คจากพวกตำรวจศาสนา......... ใช่แล้วผมลืมนึกไปเลยว่า ตอนนี้ร่างกายผมมันเป็นอะไรไปแล้ว แต่ถ้าเทียบกับแนวหน้าที่เดาได้เลยว่าจะต้องมีการสู้กันอย่างดุเดือดผมก็ยังไม่เข้าใจว่า มันจะปลอดภัยกว่ากันได้ยังไง?


    ถึงจะใช้เวลาสักหน่อยในการฝ่าคลื่นมนุษย์ แต่เมื่อมาถึงแนวป้องกัน พวกเราก็พบว่าอย่างน้อยที่สุดก็ยังพอมีความหวังเหลืออยู่บ้าง กับเหล่าคนที่มุ่งไปยังท่าเรือในสภาพขวัญกระเจิง กลับเป็นแนวป้องกันที่มีสภาพที่หวังพึ่งได้มากกว่า ทหารหลายนายยังประจำตำแหน่งของตน ทุกคนนั้นช่วยกันใช้เครื่องกีดขว้างเท่าที่จะหาได้ มีสองสามหน่วยที่ระเบิดอาคารเพื่อปิดเส้นทางการบุก และใช้ซากอาคารเป็นที่กำบังก็ถูกตีร่นไปทีล่ะช่วงในเวลาไม่นานนัก หลายครั้งที่อีกฝ่ายบางคนฝ่าแนวยิงมาได้ การต่อสู้ระยะประชิดจึงเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ เมื่อเทียบกับอาวุธที่ทหารเดินเท้าอย่างพวกเราใช้แล้ว อาวุธของพวกแวมไพร์ก็ไม่ได้ต่างอะไรกันมากนัก แต่เพียงมันออกจะเละเทะไปบ้างเท่านั้น

    ในตอนที่ตัวผมยังไม่แน่ใจว่าจะช่วยยังไงดี ก็เป็นตอนที่เสียงร้องราวกับสัตว์ป่าชุดหนึ่งตรงมายังพวกผม มองออกไปยังแนวถนน ผมมองเห็นทหารกลุ่มหนึ่งวิ่งหน้าตั้งมาตามถนน ที่ไล่หลังมาติดๆคือร่างไหม้เกรียมจำนวนหนึ่ง แบบเดียวกับที่โจมตีพวกผมเมื่อวันก่อน แยกเขี้ยววิ่งตามมาติดๆ โดยไม่ต้องออกคำสั่งอะไร ทั้งผม อัลเฟรด และ ทหารตรงจุดนั้นอีกสองโหลระดมยิงใส่ร่างพวกนั้นทันที

    ร่างพวกนั้นสะดุ้งตามกระสุนที่พุ่งใส่ หลายร่างล้มลงแต่ก็ยังกระเสือกกระสนคลานมาหาพวกเรา แขนขาขาดไป แต่นอกจากพวกที่หัวกระจุยหรือลำตัวพรุนแล้ว ดูเหมือนร่างที่เหลือพวกนั้นจะยังไม่ตายสนิทนัก

    "อัลเฟรด เจ้าพวกนี้มัน??" ผมหันไปมองหน้าเขา

    "อ่า ไม่ผิดแน่ ใช่พวกเดียวกันกับครั้งก่อน" อัลเฟรดมองร่างพวกนั้นสลายกลายเป็นเถ้าไป โดยที่เจ้าพวกที่อยู่แนวหลังยังเดินราวกับผีดิบเข้ามาหาแนวป้องกัน ราวกับเป็นคลิ่นกระทบฝั่ง

    "บ้าชิห้าย มันตัวบ้าอะไรเนี่ย" ทหารนายหนึ่งตะโกนก้นด่าขึ้นมา ใช่ นั่นเป็นคำถามที่พวกเราหลายคนรวมถึงตัวผมนึกขึ้นมาได้ ทั้งที่คู่มือบอกว่า กระสุนลงอาคมสามารถจัดการพวกแวมไพร์ ได้เป็นอย่างดี (รวมไปถึงกระสุนเงิน แต่นั่นก็แพงเกินกว่าจะเป็นกระสุนมาตราฐานได้)


    หลังจากเราจัดการพวกนั้นไปได้หลายร่าง พวกเราก็ได้รับคำสั่งรวมพลจากนายทหารท่านหนึ่ง เมื่อทราบว่าแนวป้องกันชั้นที่สามไม่อาจต้านทานได้ไหว และ แนวป้องกันสุดท้ายที่พวกผมยันไว้ คงจะรองรับได้อีกไม่นานนักคำสั่งถอนกำลังจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

    การระเบิดและเผาอาคารบ้านเรือน ตามเส้นทางที่จะไปสู่ท่าเรือถูกจัดเตรียมอย่างเร็วด่วน จะด้วยระเบิดมือ หรือ ถังดินดำก็ดี หากทำเพื่อซื้อเวลาได้บ้างก็พอแล้ว แต่ตอนที่ผมกับอัลเฟรดช่วยกันยกถังดินดำเข้าที่นั่นเอง อัลเฟรดที่มีท่าทีแปลกๆ ตั้งแต่ตอนมายังแนวป้องกันแล้ว หลายครั้งที่เขาทำท่าเหมือนจะบอกผมอะไรบางอย่าง แต่พอเราได้อยู่สองคนลับตาจากคนอื่นแล้ว เขาก็กล่าวบางอย่างขึ้นมา


    "จาเร็ด ไม่มีเวลาแล้วนายรีบไปเถอะ" แน่ล่ะผมรู้ว่าเขาหมายถึงอะไร แต่ผมกลับยังขยับถังดินปืนต่อไป

    "ให้ตายสิ นายอยากจะตายหรือยังไงกัน? ตอนนี้ไม่มีใครเห็นแล้วนะ" ผมก็อยากอยู่หรอกนะที่จะไปเสียให้พ้นๆ แต่เมื่อลากถังประจำตำแหน่งแล้วผมก็หันไปตอบกับอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงสั่นๆ

    "ถ้าชั้นไป แล้วนายจะเป็นยังไงล่ะ? ถ้าฝ่ายนั้นรู้ว่านายปล่อยชั้นไป ช่วยเหลือแวมไพร์นี่โทษถึงขั้นยิงเป้านายไม่รู้หรือ?"

    "......." อัลเฟรดส่ายหน้าเล็กน้อย เหมือนรู้ว่าผมจะตอบแบบนี้ เขาเลยชักปืนสั้นขึ้นมา ก่อนจะเอ่ยปากถามผมอีกครั้ง

    "นายจะไม่ไปจริงๆสินะ?" ผมผยักหน้า ก่อนจะหันหลังให้อัลเฟรด ผมไม่อยากให้เขาลังเลถ้าเห็นหน้าผมตรงๆ




    อัลเฟรด กัดฟันกรอดๆเขาเล็งปืน ใส่จุดตายที่หัวใจ เขาสูดลมหายใจเข้าออกสองสามครั้ง ก่อนจะสอดนิ้วไปแตะไกปืน แต่ก็ค้างไว้อย่างนั้น ถึงตอนออกปากไปว่าจะต้องรับผิดชอบชีวิตของคนในสังกัดให้ถึงที่สุด แต่เมื่อต้องลงมือจริงอัลเฟรดกลับลังเลที่จะกระทำ ตัวผมเองก็เหมือนกัน ทำเป็นพูดดีไป แต่ตอนนี้ผมก็เริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมา ทั้งที่รู้ว่าสุดท้ายก็ต้องเป็นแบบนี้ ถึงจะพยายามเตรียมใจมาบ้าง แต่สุดท้ายเมื่อสัมผัสของปลายกระบอกปืนเย็นๆมาแต่ที่หลังผม ความรู้สึกกลัวตายจนแทบจะทนเสียไม่ได้ ก็ท่วมหัวใจผมเสียเต็มประดา


    "อัลเฟรด ช่วยชั้นที อย่าให้ชั้นต้องกลายเป็นแบบพวกนั้นเลย ไม่อยากตาย แต่ แต่" ถึงตรงนี้ผมปล่อยเสียงสะอื้น กับน้ำหูน้ำตาออกมา ถึงจุดที่ไม่อาจเก็บอาการได้อีกต่อไป ทั้งที่ผมจะขอให้เขาช่วย แต่กลับเป็นไปสร้างความหนักใจให้แทนเสียนี่


    "ขอร้องล่ะช่วยสงเคราะห์ชั้นที อย่างน้อยให้ชั้นตายอย่างมนุษย์ด้วยเถอะ" ตัวสั่นงกๆ มือสองข้างปิดหน้าปิดตา

    รออยู่นานกว่าคำตอบต่อคำขอของผม จะสนองตอบ อัลเฟรดกล่าวประโยคสั้นๆขึ้น ก่อนจะเหนี่ยวไกปืนเต็มแรง




    "ยกโทษให้ชั้นด้วย"




    นั่นเป็นคำกล่าวสุดท้ายที่ผมได้ยิน ก่อนที่เสียงลูกปืนฉชวนจะดังก้องไปทั้งบ้าน พร้อมความรู้สีกของความตายที่พุ่งทะลตัวผมไป








    =========​



    บนเรือลำสุดท้ายที่ออกจากท่าเรือ อัลเฟรดพร้อมกับทหารชุดสุดท้ายยืนจ้องมองกลับไปยังเมืองที่ถูกกลืนไปกับทะเลเพลิง พร้อมๆกับเสียงครางของพวกแวมไพร์ที่ถูกไฟเผา แสงตะวันก็ฉายแสงขึ้นจากขอบฟ้า นับว่าเป็นปาฎิหาร์ยโดยแท้ ที่การถอนกำลังสำเร็จลงด้วยดี ต้องขอบคุณเรือลำเลียงเสริมจาก นิวยอร์ค ที่มาทันรับพวกเขาออกจากเมือง รวมผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตนั้นมีมากกว่า 2,000คน ทั้งนี้ยังไม่รวมทหารและประชาชนที่สูญหายไปอีกร่วมร้อยคน


    ในความทรงจำเท่าที่เขาพอจะนึกได้ แล้วจากการสอบถามจากคนบนเรือ พอจะทราบว่าตัวเขานั้นถูกนำมาส่งยังท่าเรือ พร้อมๆกับคนที่รอดจากแนวป้องกันสุดท้าย ดูเหมือนว่าการระเบิดในตอนนั้นจะ ทำเอาทหารบาดเจ็บไปหลายนายรวมถึงตัวเขาด้วย แต่นั่นก็ช่วยซื้อเวลาอันมีค่าพอ ที่จะให้เรือลำเลียงมารับพวกเขาได้ทันเวลาในที่สุด

    แต่สิ่งที่กวนใจเขามากที่สุด ก็คงจะเป็นเรื่องที่ว่า จาเร็ดตายไปแล้วจริงๆหรือเปล่า เพราะความทรงจำในช่วงนั้นเขาจำไม่ได้จริงๆว่าเกิดอะไรขึ้น เขารู้แต่ว่าเขายิงปืนไป แล้วสะเก็ดไฟมันกระเด็นไปถูกดินปืนเข้า เกิดเสียงระเบิดดัง แล้วนั่นก็เป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาจำได้ หากว่าถึงจะยืงปืนออกไปจริงๆ เขาก็จำไม่ได้แล้วว่ายิงส่วนไหนไป เพราะตอนนั้นความรู้สึกผิดมันทำให้เขามือสั่นจนไม่รู้ว่ากระสุนเข้าจุดตายหรือเปล่า


    แม้กระสุนจะพลาดไป ยังไงเสียอีกฝ่ายก็คงไม่รอดอยู่ดี เมื่อแสงตะวันแรกหลังจากค่ำคืนอันยาวนาน สาดประกายขึ้นจากขอบฟ้า อัลเฟรดจ้องตะวันดวงนั้น ทั้งความยินดีที่ตนรอดจากภารกิจมาอีกวัน ปะปนกันไปกับความไม่แน่ใจถึงวันข้างหน้าที่จะมาถึง แต่สิ่งหนึ่งที่เขาแน่ใจได้แน่ คือสงครามนี้จะยังดำเนินต่อไปอีกนาน และหากเขาโชคหมดลง วันนั้นเขาคงจะได้ไปอยู่ร่วมกับเพื่อนพ้องที่ล่วงหน้าเขาไปก่อน


    'พระเจ้า ช่วยบอกผมได้ไหม พวกเราทำผิดอะไรถึงได้ส่งเรื่องพวกนี้มาให้พวกเราผจญกัน' อัลเฟรดเอ่ยออกมาเบาๆ เมื่อตอนที่เรือลำที่เขาโดยสาร รวมกลุ่มเข้ากับกองเรือหลัก ที่จะมุ่งไปยัง อาณานิคมภาคเหนือในที่สุด



    บันทึกประวัติ : สิบเอก อัลเฟรด เจโนว่า
    14 พฤษภาคม 1802
    รัฐนิวยอร์ค เมืองนิวเจอร์ซี ฐานทัพลิเบอร์ตี้


    -- บันทึกความทรงจำบทที่ 2 พลทหาร จาเร็ด --​
  10. 32831

    32831 Member

    EXP:
    111
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    16
    Re: +++ The Last Kingdom : Fall of Man +++ / update Vol.2

    โอ้ว ตอนสองมาแล้ว ยังบรรยายได้สุดยอดเหมือนเดิมเลยครับ

    แต่ว่า ขอกลับไปอ่านตอนแรกต่อด้วยตอนสองรวดเดียวอีกรอบก่อนนะครับ^^"
  11. sumiyo

    sumiyo Vincent4ever!!!

    EXP:
    267
    ถูกใจที่ได้รับ:
    4
    คะแนน Trophy:
    18
    Re: +++ The Last Kingdom : Fall of Man +++ / update Vol.2

    ตอนที่ 2 มาแล้วว~~~!!! ,,>w<,,

    ชอบการบรรยายเรื่องมากเลยค่ะ...ให้อารมณ์เข้าถึงตัวละครดี!! ><


    เป็นกำลังใจให้ตอนต่อไปคลอดมาไวๆนะค้า~ สู้ๆจ้า! >w<b!!
  12. derick

    derick Member

    EXP:
    339
    ถูกใจที่ได้รับ:
    1
    คะแนน Trophy:
    18
    Re: +++ The Last Kingdom : Fall of Man +++ / update Vol.2

    ตอนสองมาแล้ว เหอ ๆ เห็นนานแล้วแต่ไม่ได้มาอ่าน เพิ่งจะมีโอกาส TTwTT

    ผมชอบอารมณ์ของตัวละครนะ...มันดูถึงจุด ๆ หนึ่งดี เพราะท่านบรรยายได้ละเอียดด้วยล่ะผมว่า

    นึกถึงพวกไบโอ กร๊ากกกกกก มีบันทึกด้วย เจ๋งดีท่าน คิดแล้วอยากไปอยู่แบบนั้นบ้าง หุหุ
  13. jamejaeja

    jamejaeja แม่มดคำสาปมรณะ

    EXP:
    119
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    16
    Re: +++ The Last Kingdom : Fall of Man +++ / update Vol.2

    รอนานมากๆๆๆๆๆ แล้วก็คุ้มสุดๆๆๆๆ

    เรื่องนั้นน่าสนใจเป็นที่สุดๆๆๆๆๆ
  14. Fujizaki

    Fujizaki New Member

    EXP:
    17
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    1
    Re: +++ The Last Kingdom : Fall of Man +++ / update Vol.2

    การบรรยายเยี่ยมยอดสุดๆ -0-
    อ่านแล้วเพลินมากค่ะ ไม่มีสะดุดเลย
    แต่มีคำผิดนิดหน่อยนะคะ ผิดเล็กๆ น้อยๆ อ่ะค่ะ จำไม่ได้แระว่าตรงไหนบ้าง
    ถ้ายังลองอ่านทวนดูอีกทีนะคะ ^^
    แต่ชอบการบรรยายอารมณ์จัง รู้สึกเข้าถึงและใช่เลย =[]=
    แล้วก็วิธีดำเนินเรื่องยอดมากค่ะ สลับไปมาก็จริง แต่อ่านแล้วเพลินมากกกกกกกกกกก
    รู้สึกได้เลยว่า "สนุก"
    ถ้ายังไงขอตอน 3 ไวนะค้า ^-'v
  15. swanton

    swanton Dragon on Board

    EXP:
    1,424
    ถูกใจที่ได้รับ:
    69
    คะแนน Trophy:
    113
    Re: +++ The Last Kingdom : Fall of Man +++ / update Vol.2

    ช่วงศาสนจักรโยนคนลงในกองไฟและถีบศพที่ถูกตัดหัวลงหลุม ทำให้ผมนึกถึงภาพสมัยนาซีฆ่าชาวยิวขึ้นมาเลยครับ (น่ากลัว สยดสยอง และอำมหิตพิกล)

    ชอบการบรรยายกับจัดฉากครับ มันช่างมืดมนหดหู่ได้ใจจริงๆ รอติดตามต่อนะครับว่าจะเกิดอะไรขึ้น (เดาว่าจากนี้ไปจาเร็ดคงต้องกลายเป็นแวมไพร์ไปแล้วล่ะมั้ง)
  16. joey

    joey New Member

    EXP:
    14
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    1
    Re: +++ The Last Kingdom : Fall of Man +++ / update Vol.2

    อ่า ศาสนจักรนี่โหดจริงแฮะ ทำเอาเห็นภาพเลย อ่า คุณจาเร็ตจะเป็นไงเนี่ย ชีวิต~
  17. shinkyoto

    shinkyoto Well-Known Member

    EXP:
    580
    ถูกใจที่ได้รับ:
    3
    คะแนน Trophy:
    88
    Re: +++ The Last Kingdom : Fall of Man +++ / update Vol. 3.0

    รายงานวิชาการ สงครามและการเมือง หัวข้อ : "บริบทของสงครามร้อยปี ต่อขั้วอำนาจทั้งสาม"


    กรณีศึกษาที่ 01 : จักรวรรดิ และ ศาสนจักร




    ==========================================​

    เกริ่นนำ

    สงครามร้อยปี


    สงครามร้อยปี ในความหมายของนักการทหาร และ นักประวัติศาสตร์สงครามกล่าวถึง หมายถึง เหตุความขัดแย้งและการสู้รบ ที่เกิด ในเวลาไล่เลี่ยกัน ต่อเนื่องนานนับร้อยๆปี เริ่มต้นในฤดูร้อนของปี 1600 จวบจนถึงฤดูหนาวของปี 1840 ระยะเวลารวมกันกว่า 240ปี ระหว่างฝ่ายจักรวรรดิที่นำโดยผู้นำของมนุษย์ และ สมาพันธรัฐที่ปกครองโดยเผ่าพันธ์แวมไพร์ โดย ฝ่ายสหภาพผู้ที่ถูกขนามนามจากจักรวรรดิว่าเป็นพวกไฮบริด ไม่เคยเข้าร่วมรบอย่างเต็มตัว จนถึงช่วงปลายสงคราม จักรวรรดิ สมาพันธรัฐครั้งที่สอง ( 1796 - 1840 ในช่วงสงครามสามฝ่าย) ในท้ายที่สุด หลังข้อตกลงหยุดยิงชั่วคราว โดยผู้นำกองทัพทั้งสามฝ่าย ที่เมือง เกาะ อะซอรี่ สงครามร้อยปีถึงได้ปิดฉากลงอย่างเป็นทางการ




    รายนามสงครามและความขัดแย้ง ที่ถูกจัดรวมใน สงครามร้อยปี

    "สงครามห้าปี" ( 1600 - 1605 )
    "สงครามชิงราชบัลลังค์ ไบรตัน" ( 1610 - 1615 )

    "สงคราม จักรวรรดิ สมาพันธรัฐ ครั้งที่หนึ่ง " ( 1616 - 1698 )
    - (การรบแห่งลอนดอน 1616 - 1620)
    - (สงครามสนามเพลาะ 1635 - 1640)
    - (สงครามทะเลเหนือ 1652 - 1654)
    - (สงครามอาณานิคมครั้งที่หนึ่ง 1657 - 1698)

    "สงครามเจ็ดปี" ( 1712 - 1719 )
    "สงครามปฎิวัติ มอสโกเวีย" ( 1723 - 1731 )
    "สงคราม อาณานิคม ครั้งที่สอง" ( 1755 - 1761 )

    "สงครามกลางเมืองสมาพันธรัฐ (อีกชื่อเรียกว่า สงครามจ้าวตระกูล)" ( 1763 - 1788 )
    - (สงครามกลางเมืองสมาพันธรัฐ 1763 - 1766)
    - (สงครามคาบสมุทรอิตาเลีย 1767 - 1770 )
    - (สงคราม สเปน 1774 - 1788)

    "สงคราม จักรวรรดิ สมาพันธรัฐ ครั้งที่สอง" ( 1796 - 1840 )
    - (สงครามอาณานิคม ครั้งที่สาม 1796 - 1803)
    - (การรบแห่งลอนดอน ครั้งที่สอง 1804 - 1806)
    - (สงครามแอตแลนติค 1807 - 1818)
    - (สงครามศักดิ์สิทธ์ 1820 - 1838)
    - (สงคราม สามฝ่าย 1839 - 1840)






    จำนวนผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต ฝั่งจักรวรรดิ


    นักประวัติศาสตร์ของจักรวรรดิ รวมกับยอดตัวเลขจากฝ่ายทะเบียนกองทัพจักรวรรดิ รวมไปถึงข้อมูลของกองทะเบียนของศาสจักร ได้สรุปยอดผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บในสงครามร้อยปี ทั้งในสงคราม หรือ จากความอดอยากจากสภาพอากาศแปรปรวน รวมไปถึงโรคระบาดในแนวหน้า คาดกันว่าในส่วนของผู้เสียชีวิตน่าจะอยู่ระหว่าง 12 - 18ล้านคน ในที่นี้เป็นพลเรือนเสีย 40% ความสูญเสียส่วนใหญ่เกิดขึ้นในช่วงต้นของสงคราม จักรวรรดิ สหพันธรัฐ ครั้งที่หนึ่ง และ สอง

    จำนวนผู้เสียชีวิต ที่คิดเป็นสัดส่วนถึง 1ใน3 ของประชากรจักรวรรดิ ส่งผลให้เกิดการขาดแคลนประชากรอย่างรุนแรง ด้วยว่าคนที่เสียชีวิตส่วนใหญ่ เป็นประชากรในวัยทำงาน ตั้งแต่อายุ 20 - 50 ปี ที่เหลือ หากไม่ใช่คนป่วย หรือ ร่างกายไม่ผ่านเกณฑ์ ก็เป็นคนสูงอายุ ผู้หญิง และ เด็กแทบทั้งสิ้น เฉพาะในเขตอาณานิคมอย่างเดียว ผลผลิตการเกษตรหลังสงครามในปีแรกๆ จากที่มีมากพอจะส่งไปเลี้ยงแผ่นดินแม่และบริโภคภายใน ลงมาเหลือเพียง 22%ของผลผลิตปรกติ ก่อให้เกิดสถานการณ์ความอดอยากไปทั่วจักรวรรดิ และ ด้วยว่ามีร่างผู้เสียชีวิตจำนวนไม่น้อยที่ไม่ได้รับการจัดการอย่างเหมาะสม ทั้งด้วยเรื่องคนไม่พอกับความเสี่ยงในภาวะสงคราม ประกอบกับสภาพบ้านเมืองที่ถูกทำลาย ยิ่งเป็นแหล่งเพาะเชื้ออย่างดีให้กับโรคติดต่ออย่าง กาฬโรค อหิวาห์ จนทำให้เกิดการระบาดหนักของโรคในเขตอาณานิคม แพร่ไกลไปถึงแผ่นดินแม่ สังหารผู้เหลือรอดจากสงครามไปอีกจำนวนนับไม่ถ้วน (เหยื่อส่วนใหญ่ มักจะเป็นคนยากจน และ ผู้ลี้ภัยสงคราม ที่อาศัยอยู่ในค่ายผู้อพยพ ห่างไกลจากรักษาและสุขอนามัยที่ดี)

    แม้ตัวเลขที่แน่ชัดทางรัฐบาลหรือกระทั่งศาสนาจักร จะปกปิดไว้เพื่อความสงบเรียบร้อยภายในจักรวรรดิ แต่นักวิเคราะห์ตะวันออกเชื่อกันว่า น่าจะมีผู้เสียชีวิตจากความอดอยาก และ โรคระบาดในช่วงหลังสงครามร้อยปี ของทางฝากฝั่งจักรวรรรดิ อยู่ระหว่าง 250,000 - 550,000คน





    ====================​




    ความสัมพันธ์ระหว่างอาณาจักร


    จักรวรรดิ กับ อาณานิคมทั้ง13

    - แม้ตามแผนที่และข้อความในเอกสารราชการ จะระบุว่าทั้งแผ่นดินแม่ (เกาะไบรตัน) และ อาณานิคมจะอยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิ และ ศาสจักรเดียวกัน แต่ทางเทคนิคแล้ว ทั้งสองฝั่งมีลักษณะเป็นเหมือน รัฐอิสระที่ไม่ขึ้นต่อกันและกัน ทางฝากอาณานิคมจากเดิมที่เคยอยู่ภายใต้การปกครองของพวก ดัชมาก่อน แต่เมื่อการรุกรานอุบัติขึ้น อาณานิคมทั้ง13 จึงถูกตัดขาดจากประเทศแม่ และภายใต้แรงกดดัน ทั้งจากชาวอาณานิคม และ ภัยคุกคามจากพวกแวมไพร์ที่ยึดอาณานิคมทางใต้ของพวก สแปนนิช ทำให้เหล่าผู้นำอาณานิคมในเวลานั้น ตัดสินใจขอความช่วยเหลือทางทหารไปยัง ไบรตัน ประเทศคู่แข่งในช่วงเวลาดังกล่าว

    แน่นอนว่า อย่างที่ทราบกันในภายหลังว่า ผู้ที่ตอบรับคำช่วยเหลือ มาช่วยเหลืออาณานิคมของประเทศเพื่อนบ้านทีล่มสลายไปแล้ว กลายสภาพมาเป็นผู้ปกครองคนใหม่อย่างไบรตัน มีความคิดอ่านฉ้อชลหาผลประโยชน์ได้แม้ในเวลาวิกฤิต แต่ความจริงที่ว่าทางฝ่ายผู้นำเดิมได้ตระหนักถึงข้อเท็จจริงดังกล่าวตั้งแต่ก่อนจะขอความช่วยเหลือนั้น ด้วยการเจรจาต่อรองหลายขั้นตอน และการเข้าถึงสมาชิกระดับสูงในจักรวรรดิ ทำให้สามารถเลี่ยงการเป็นเมืองขึ้นของประเทศมหาอำนาจใหม่ มาเป็นพันธมิตรทางการค้าและทางทหารแทน

    แม้กระนั้นด้วยการรุกรานครั้งใหม่ของพวกไฮบริดในช่วงหลัง และการส่งหน่วยตำรวจศาสนา และ คนในบังคับมายังอาณานิคมเพิ่มมากขึ้น ทำให้เชื้อของความต้องการเป็นเอกราชโดยไม่ต้องพึ่ง จักรวรรดิ ก่อตัวขึ้นในหมู่ปัญญาชน และ ชนชั้นกลางของสังคมเมืองอาณานิคม


    จักรวรรดิ กับ สมาพันธรัฐ

    - ศัตรูคู่แค้นตั้งการรุกรานครั้งแรกของพวกแวมไพร์ เริ่มขึ้นครั้งแรกในฤดูร้อนของปี 1600 จวบจนถึงการก่อตั้งจักรวรรดิ และ ที่ตามมาคืออาณาจักรแห่งความชั่วร้าย ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝายตลอดสงครามร้อยปี ใกล้เคียงกับจุดที่ตอกตะปูปิดตายอย่างสิ้นเชิง แม้จะผ่านสงครามร้อยปีมาแล้ว แต่ทั้งสองฝ่ายก็ยังอยู่ในภาวะสงคราม ด้วยว่าฝ่ายจักรวรรดิที่เป็นฝ่ายตั้งรับมาตลอด ก็ยังหาทางที่จะกลับไปกู้ดินแดนที่เสียไปกลับคืนมา ทางฝากของสหพันธเองก็จ้องจะตะครุบดินแดนผืนสุดท้ายของจักรวรรดิมาตลอด โดยไม่สนว่าจะต้องใช้ทรัพยากรคนและทหารไปมากเพียงใด


    เริ่มขึ้นในช่วงการรุกรานของแวมไพร์ สมาพันธรัฐก่อร่างตัวเองขึ้นจากดินแดนที่ถูกครอบครองโดยแวมไพร์ ที่ภายหลังได้ขยับขยายเขตปกครองของตนออกไป แวมไพร์ที่มีอำนาจและสมุนรับใช้ ก็เริ่มตั้งตัวเป็นผู้ปกครองดินแดน เพิ่มพื้นที่และอำนาจ บริวารเป็นล้นพ้น ก่อให้เกิดเป็นอาณาจักรย่อยๆหลายอาณาจักร ต่อมาอาณาจักรเหล่านี้ก็ห่ำหั่นกันเองเพื่อความเป็นใหญ่ ถึงที่สุดจะมีการสถาปณา สมาพันธรัฐขึ้น เพื่อสมานรอยร้าวและสันติภาพระหว่างอาณาจักร กระนั้น สันติภาพชั่วคราวก็ไม่ยืนยงนานนัก ด้วยสงครามกับจักรวรรดิ และ สงครามภายในที่ยังคงดำเนินไปตลอดจวบจนจบสงครามร้อยปี ( และต่อจากนั้นถึงปัจจุบัน)


    แม้ความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศจะลุ่มๆดอนๆ มีเหตุปะทะติดพันเป็นระยะๆ แต่ทางฝ่ายจักรวรรดิก็ยังถือว่ามีเสถียรภาพ มากกว่าทางฝ่าย สมาพันธรัฐ ซึ่งบัดนี้เหลือแต่ชื่อ หาได้มีความร่วมมือระหว่างอาณาจักรอย่างที่ได้เคยร่วมกันทำในครั้งอดีตไม่ ด้วยสงครามกลางเมืองนับร้อยปี ประชากรแวมไพร์ที่สูญเสียระหว่างสงคราม พวกผีดิบที่สร้างกันขึ้นมาทำสงครามกันแบบไร้การควบคุม เศรษฐกิจหดตัว พื้นฐานระบบสังคมที่สั่งสมกันมาพังทลาย และ รัฐบาลกลางที่แทบไม่มีอำนาจในมือเหลืออยู่อีก สร้างสภาพบ้านเมืองไร้ขื่อแป การโจมตีจักรวรรดิจากที่เคยเป็นเป้าหมายร่วม ก็กลับกลายเป็นการปล้นสะดมของเหล่าแวมไพร์ผู้ปกครอง ที่หลายครั้งจบด้วยการทำการรบกับพวกเดียวกันเองเพื่อแย่งชิงของที่ปล้นมาได้


    ในช่วงหนึ่งของสงครามร้อยปี ได้มีการนำเสนอข้อเจรจาสันติภาพทั้งจากฝ่าย จักรวรรดิ และ สมาพันธรัฐ โดยแกนนำของสมาพันธรัฐอันประกอบไปด้วย จ้าวตระกูลแวมไพร์ทั้งห้า ผู้มีอนาเขตปกครองรวมกันกินพื้นถึง2ใน3ของ ก็เห็นชอบไปกับข้อเสนอในครั้งนี้ ไม่ใช่ด้วยว่าเห็นดีเห็นงาม แต่เพราะเห็นเป็นทางออกจากวังวนของสงครามไม่รู้จบ ที่บั่นทอนทั้งกำลังคนและกำลังทรัพย์อย่างหนัก แต่การเจรจาสันติภาพก็ไม่เคยเกิดขึ้น ด้วยว่าเกิดกรณีการลอบสังหาร ผู้นำทางทหารของจักรวรรดิ ระหว่างเดินทางไปร่วมเจรจา ตอนนั้นเป็นปี 1790 เพียงด้วย กลุ่มผู้คลั่งศาสนากลุ่มหนึ่ง ที่เห็นว่าการเจรจา คือการทรยศต่อแนวความคิดของพวกเขาอย่างร้ายแรง จึงได้ส่งมือสังหารไปก่อการดังกล่าว ด้วยเหตุนี้แทนที่ความหวังเล็กๆด้วยจิตใจคับแคบ วงจรแห่งความตายจึงดำเนินต่อไปอีกถึง 50ปี จวบจนช่วงปลายของสงคราม จักรวรรดิ สมาพันธรัฐครั้งที่สอง ที่ซึ่ง กองทัพผสมของทั้งสองฝ่าย คุมเชิงกันที่ช่องแคบไบรตันนานถึง 2ปี จนมีการประกาศพักรบชั่วคราว ระหว่างกองทัพทั้งสองฝ่าย (ฝ่ายสหภาพเข้าร่วมในสงครามครั้งนี้ ในฐานผู้สั่งเกตุการณ์)




    จักรวรรดิ กับ สหภาพ

    - ผู้เล่นหน้าใหม่ในกระดานเกมชิงความเป็นใหญ่ สหภาพ มีข้อมูลเพียงเล็กน้อยเท่านั้นถึง ชนชาติลึกลับดังกล่าว ความรู้ที่จักรวรรดิมีเกี่ยวกับดินแดนแห่งนี้ มีมากเท่าที่นักเดินทางสำรวจจะเล่าได้ใน ร้านเหล้าหรือกองคาราวาน การติดต่อเท่าที่มีการบันทึกเอาไว้ เกิดขึ้นในช่วงกลางของสงครามร้อยปี ผ่านทางทหารในแนวหน้าด้าน ถึงดินแดนทางตะวันออก ไกลออกไปจากเขตปกครองของพวกแวมไพร์ และจาก เผ่าพันธ์ที่เรียกว่าไฮบริด ที่ปรากฏตัวขึ้นในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ในเขตอาณานิคมทั้ง13

    แม้จะไม่ได้มีการแสดงท่าที่อย่างเป็นทางการของจักรวรรดิ ต่อดินแดนดังกล่าว แต่กับศาสจักรแล้วนั้น กลับแสดงท่าที่แข็งกร้าวไม่ต่างกับ สมาพันธรัฐ ด้วยว่าแม้จะไม่ปรากฎกองกำลังของฝ่ายสหภาพในสนามรบ แต่ปัญหาไฮบริดที่แพร่ไปในเขตอาณานิคมเหมือนไฟลามทุ่ง แสดงถึงการคุกคามครั้งใหม่ต่อจักรวรรดิ จักรวรรดิที่เอาแต่กล่าวอ้างว่าเป็นการกระทำของฝ่ายสหพันธรัฐ โดยเลี่ยงจะเปิดศึกสองด้านเท่าที่จะทำได้

    ทั้งนี้ ยังมีข้อสงสัยว่า ฝ่ายสหภาพมีส่วนเกี่ยวข้อง กับกรณีการลักพาตัวหลายครั้งในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา โดยส่วนมากจะเป็นชาวอาณานิคม บริเวณริมชายแดนด้านตะวันตก เหยื่อสวนใหญ่เป็นเด็กเล็กไม่ก็ผู้หญิง มีบางกรณีที่หายไปทั้งครอบครัวเลยก็มี แม้กระทั่งคนชั้นสูงหรือพระเอง ก็ถูกนับไปด้วยจำนวนไม่น้อย แล้วจากกรณีหายากของไฮบริดที่ถูกจับได้ พบว่ามีหน้าละม้ายคล้ายคลึงกับคนที่ถูกลักพาตัวไป ทำให้เชื่อกันว่า คนที่ถูกจับไปถูกนำไปใช้เพื่อจุดประสงค์ทางทหาร ซึ่งอย่างไรก็ดี ความจริงในส่วนนี้ก็ไม่มีการเปิดเภยให้สาธารณชนรับทราบ มีให้รับรู้เฉพาะเจ้าหน้าที่ระดับสูงเท่านั้น

    แต่ในช่วงสองสามปีมานี้เอง ที่สายลับของกองทัพจักรวรรดิ สืบทราบได้ว่า ทางฝ่ายสหภาพดูจะไม่ได้เป็นฝ่ายเดียวกันกับ สหพันธรัฐ(แวมไพร์) อย่างที่หลายฝ่ายคิด จากที่เข้าไปแทรกซึมตามดินแดนรกร้างนอกชายแดนตะวันตก ทำให้ทราบถึงกระแสข่าวความตึงเครียดระหว่างกองทัพสหภาพกับกองทัพสมาพันธรัฐ ที่ตั้งกำลังประจันหน้ากันที่ อาณานิคมสหภาพ ที่สุดชายทะเลอีกฝั่งของแผ่นทวีป



    ==========================================​




    บุคคลสำคัญ



    ตลอดตั้งแต่เริ่มต้นความเป็นจักรวรรดิเมื่อ200ปีที่แล้ว จักรวรรดิได้ให้กำเนิดเหล่าบุคคลสำคัญจำนวนนับไม่ถ้วน ส่วนใหญ่จะเป็นบุคคลที่เกี่ยวกับกองทัพหรือไม่ก็ศาสจักรแทบทั้้งสิ้น คงเป็นการยากหากจะกล่าวถึงประวัติของพวกเขาได้ทั้งหมด แต่หากจะพูดถึงผู้ที่มีบทบาทหรือเป็นที่ยกย่องในช่วง 50มานี้ ก็พอจะแยกย่อยออกเป็นดังนี้




    มาซาลัน เจ้าชาย แห่ง ไบรตัน [ Masalan Prince of Birtan]​


    - จอมทัพผู้เกรียงไกรแห่งกองทัพจักรวรรดิ จากผลงานการรบที่โดเวอร์และแนวป้องกันแอตแลนติค โดดเด่นในเรื่องของความมุทะลุในสนามรบ และ ชมชอบสาวงามเป็นชีวิตจิตใจ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นข้าหลวงใหญ่แห่งเกาะไบรตั้น ด้วยวัยเพียง 44ปี ตลอดชีวิตในกองทัพจวบจนถึงการเป็นข้าหลวงใหญ่ เจ้าตัวได้สร้างทั้งมิตรและศัตรูการเมืองไว้เป็นจำนวนไม่น้อย โดยหนึ่งในพันธมิตรปัจจุบันก็คือ ตระกูลเมอร์อีอัส แห่งไบรตัน

    ถึงจะมีตำแหน่งเป็นถึงข้าหลวง แต่เจ้าตัวก็มักจะไม่กินเส้นกับทางศาสนจักรอยู่เป็นเนื่องๆ สาเหตุหลักดูจะมาจากความจริงที่ว่า ถึงเจ้าตัวจะมีตำแหน่งระดับสูง แต่ก็มักจะถูกก้าวก่ายเรื่องกิจการสืบสวนจากศาสนจักรเป็นระยะๆ โดยเฉพาะคดีที่เกี่ยวกับแวมไพร์

    ปัจจุบัน เป็นตัวตั้งตัวตี ในการต่อต้านการใช้อำนาจเกินขอบเขตของศาสจักร ร่วมกับข้าหลวงฝั่งตะวันออกอีกจำนวนหนึ่ง ( ข้าหลวง ไอร์แลนด์ / สก็อตแลนด์ / อะซอรี่ )




    แองเจิ้ล เลอ ไครซ์ทัวร์ (Angel Le Christoire)

    - นักบวชหญิง ผู้ลือชื่อทั้งความงามภายนอกและในจิตใจ แม้จะอยู่ในร่มเงาของศาสนจักร แต่ตัวแม่หญิงกลับฉลาดเฉลียวเกินตัวเป็นที่กล่าวถึงนักต่อนัก กิตติศัพท์ของแม่หญิง เป็นที่เลื่องลือขึ้นเมื่อครั้งเหตุปะทะกับแวมไพร์ ระหว่างการเยือนของพระคาดินัลที่แนวหน้า ในเหตุการณ์ที่เรียกกันต่อมาว่า "การสังหารหมู่แห่งสะพานลอนดอน" ในรายละเอียดนั้นแทบไม่มีการบันทึกเอาไว้ แต่สิ่งที่บอกต่อๆกันมากลับบอกตรงกันเรื่องเดียวว่า

    [" ท่ามกลางซากศพของทหารองค์รักษ์ที่ร่างแหลกเหลวเป็นชิ้นๆ นักบวชหญิงคนนี้กลับยืนประจันหน้ากับกลุ่มแวมไพร์ เพียงลำพัง และเมื่อเธอขับกล่อมเสียงสวรรค์ พวกแวมไพร์เหล่านั้นก็พากันคลุ้มคลั่งไล่ฆ่ากันเอง ก่อนจะพากันตายจนหมด ทิ้งไว้เพียงหญิงสาวร่างกายไร้รอยขีดข่วน"]

    ภายหลัง การเห็นผลงานจากศาสนจักร เธอจึงถูกย้ายไปประจำหน้าที่ ยังเมืองหลวงของจักรวรรดิ พร้อมด้วยผู้ติดตามอีกจำนวนหนึ่ง ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นแม่พระผู้ใหญ่ประจำราชสำนัก และด้วยวัยเพียง 18ปีทำให้เธอเป็นพระผู้ใหญ่ที่อายุน้อยที่สุดเท่าที่เคยมีกันมา




    เร็กซ์ แพนเซอร์ (Rekx Panzer)


    - หากจะกล่าวในแง่ของผลงานและความสามารถเฉพาะตัว เจ้าตัวก็หาได้แตกต่างจากทหารจักรวรรดิเท่าไหร่นัก แต่เมื่อพิจารณาด้วยว่าเจ้าตัวด้วยวัยเพียง 20ปี กลับสามารถสังกัดกรมตำรวจศาสนา โดยเฉพาะหน่วยล่าสังหารพิเศษ ที่มีน้อยคนแม้แต่ระดับท็อปของหน่วยทหารปรกติ จะสามารถถูกบรรจุเข้าได้ ทำให้เป็นที่กล่าวถึงในหมู่นายทหารไม่น้อย แต่ด้วยบุคคลิแปลกแยกจากสังคม ทำให้ค่อนข้างจะหาคนร่วมงานได้ยาก จนมีคนตั้งฉายาให้ว่า "หมาป่าเงิน" ด้วยวิธีทำงานสไตล์ลุยเดี่ยว ประกอบกับท่วงท่าในการจัดการเป้าหมาย ที่หลายครั้งออกจะดูเลือดเย็นเกินสมควร


    ประวัติในอดีตไม่เป็นที่แน่ชัด แต่จากบันทึกการเข้ารับราชการทหาร ระบุแต่เพียงว่า เจ้าตัวเดิมเคยอยู่บ้านสงเคราะห์มาก่อน ไม่ปรากฎทั้งชื่อบิดาและมารดา คาดว่าน่าจะเป็นเด็กถูกทิ้ง พฤติกรรมการต่อต้านสังคม ดูจะพัฒนาขึ้นในช่วงวัยเยาว์ คาดว่าเป็นช่วงเดียวกับที่เจ้าตัวถูกส่งมายังสถานสงเคราะห์

    ในช่วงคุมเชิงหลังสงครามร้อยปี ด้วยคลื่นของแวมไพร์จำนวนมหาศาลที่ทะลักผ่านชายแดน ด้านตะวันตกที่ซึ่งการป้องกันหย่อนยานกว่าทางตะวันออก บทบาทและความอำมหิตของเจ้าตัวจึงได้ปรากฏชัดต่อสายตาของสาธารณชน จนเป็นที่ชื่นชมและชมชอบของชาวจักรวรรดิในเขตอาณานิคมตะวันตกเป็นอย่างสูง


    ที่อยู่ในปัจจุบัน เชื่อกันว่าเจ้าตัวน่าจะยังทำหน้าที่ล่าสังหาร ในหน่วยเดียวกันกับ ฮิวโก้ อิวานอฟผู้ร่วมสายงานเดียวกัน แม้จะไม่ค่อยกินเส้นกันเท่าไหร่ จากผลงานการรบที่ผ่านมา ในแถบชายฝั่งตะวันออกตอนเหนือของอาณานิคม ส่วนใหญ่จะอยู่ระหว่าง บอสตัน กับ นิวยอร์ค




    ท่าน เคานท์ เลนาร์ด ลุก เมอร์อีอัส (Count Lanard Lux Merius)


    หนึ่งในสายเลือดคนสุดท้ายของตระกูลผู้ดีเก่าแก่ ที่สืบเชื้อสายไปถึงเชื้อพระวงศ์ในช่วงก่อนสงครามร้อยปี ตระกูล เมอร์อีอัส ผู้ทำหน้าที่เป็นสุนัขเฝ้าราชบัลลังค์ของราชวงศ์ไบรตัน ปัจจุบันดำรงตำแหน่งจ้าวตระกูลสืบทอดต่อจากมารดาของตน ผู้ที่เสียชีวิตด้วยโรคร้ายในวัยเพียง 40ต้นๆ ด้วยว่าตระกูลของตนแม้จะไม่ได้มีบทบาทมากเท่ากับในอดีต แต่ด้วยกิจการผูกขาดหลายกิจการที่สืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่น ที่มีความสำคัญที่สุด ก็เป็นกิจการเหมืองถ่านหิน และ กิจการขนส่งทางเรือระหว่างแผนดินแม่กับอาณานิคม ทำให้ด้วยวัยเพียง 19ปี ท่านเคาท์จึงได้ขึ้นไปอยู่ในวงสังคมชั้นสูงของจักรวรรดิ เทียบเคียงกับเหล่าบรรดา นายทหารและ พระผู้ใหญ่ทั้งหลาย

    แต่ดูเหมือนแม้จะเป็นสายเลือดในหลายสมัยต่อมา ก็ไม่อาจหลีกพ้นจากเหตุการณ์ที่เกี่ยวพันกับตระกูลดังกล่าวในครั้งอดีตได้ เหตุการณ์ที่ถือเป็นแผลเป็นแผลใหญ่ ที่ยังคงเป็นจุดตั้งแง่ของทั้งผู้สนับสนุนและศัตรูของตระกูล ด้วยว่าในช่วงหนึ่งของสงครามร้อยปี ทางศาสนจักรได้ทำการสืบสวนการกระทำนอกรีตกับเจ้าตระกูลเมอร์อีอัสในเวลาดังกล่าว จากรายงานที่ถูกส่งมาจากศัตรูทางการเมืองของตระกูลกลุ่มหนึ่ง ให้การว่าร้ายไปในแนวว่า เจ้าตระกูลได้แอบลักลอบทำการค้ากับพวกแวมไพร์ในช่วงสงคราม แม้การสืบสวนในท้ายที่สุดจะไม่สามารถเอาผิดหรือพิสูจน์ถึงความบริสุทธ์ของผู้ถูกกล่าวหาได้ ด้วยว่าหลักฐานมีน้อยเกินไปและเป็นช่วงภาวะสงคราม ทำให้หลักฐานที่มีจำนวนมากสูญหายหรือไม่ก็ถูกทำลายไป แต่ความน่าเชื่อถือของตระกูลก็ถูกทำลายลงจากกรณีดังกล่าวไปไม่น้อย และเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ จนถึงปัจจุบันยังมีผู้คนกล่าวถึงตระกูลในแง่ลบต่อเหตุการณ์ในครั้งนั้น

    หลังจากรับตำแหน่งเจ้าบ้านในวัย 12ปี ตลอดระยะเวลา 7ที่ผ่านมาได้อาศัยอยู่ที่ วิลล่า โจวิชเซย์ สถานที่พักตากอากาศทางตอนใต้ ของเกาะไบรตัน ใกล้กับเมืองพักตากอากาศ บริสทอล ภายใต้การดูแลของ สแตรซเซอร์ พ่อบ้านใหญ่ผู้ที่เป็นบุคคลใกล้ชิดที่สุดของท่านเคานท์ แม้ในยามปรกติในสายตาคนนอกจะดูไม่ค่อยสนิทกันเท่าไหร่




    เซอร์ ฟารันต์ บลิกเซ่น (Sir Farant Blixen)

    - ในช่วงที่ยังทำงานให้กับศาสนจักร ในฐานของนายพรานสนามผู้ช่ำชองพื้นที่ทุรกันดารในเขต อาณานิคม เจ้าตัวที่บัดนี้ทำให้กับทั้งศาสนจักรและกองทัพจักรวรรดิ ถูกจัดขึ้นชั้นของนายทหารผู้มีผลงานในการออกรบชั้นหนึ่ง และด้วยนิสัยที่ชอบฆ่าแวมไพร์เป็นชีวิตจิตใจ ดั่งจะเห็นได้จากกรณี สังหารหมู่ ไฮบริดและแวมไพร์หลายกรณี แต่ด้วยว่าเจ้าตัวมีความคิดค่อนไปในทางต่อต้านระบบชนชั้น ทำให้มักจะมีเรื่องไม่กินเส้นกับฝ่ายทหารและบรรดาชนชั้นสูงในท้องถิ่นเป็นระยะๆ

    หากแม้นเป็นนายพรานคนหนึ่งชื่อของเจ้าตัวคงไม่เด่นดังเท่าไหร่นัก แต่ด้วยผลงานในการ ฆ่าแวมไพร์ทั้งที่ไม่มีอาวุธอะไรนอกจากสองมือเปล่า ในการรบแห่งฮาวาน่า ที่ซึ่งกองคาราวานสำรวจของจักรวรรดิ ถูกปิดล้อมในเมืองปราการฮาวาน่า โดยกลุ่มของแวมไพร์ท้องถิ่นนับร้อย เจ้าตัวที่เข้าร่วมการสำรวจในครั้งนั้น ได้ใช้ทักษะการต่อสู้ของตน ช่วยถ่วงเวลาให้เรือของกองทัพมาช่วยผู้รอดชีวิตออกจากป้อมปราการ ในท้ายที่สุด ด้วยจำนวนของแวมไพร์ที่ถูกจัดการรวมกันถึง 16ตน ทำให้ข้าหลวงใหญ่ในเวลานั้น แต่งตั้งให้เจ้าตัวดำรงยศ อัศวินประจำการยังอาณานิคมทางใต้



    สถานที่อยู่ปัจจุบันไม่ระบุแน่ชัด แต่จากการสืบค้นของสายลับที่แนวหลังอาณานิคม พอจะระบุได้ว่า เขตที่เจ้าตัวอยู่น่าหลบซ่อนตัวอยู่ น่าจะอยู่ในเขตปลอดทหาร หลังใกล้กับปากอ่าวแม่น้ำ มิสซิสซิปปี้




    นาธาเรล เดลลา ฟรานเชีย (หรืออีกฉายาว่า นักแล่เนื้อ)


    - เจ้าหน้าที่สืบสวนคนนอกรีต ชื่อกระฉ่อน ในเรื่องความโหดเหี้ยม และ เลือดเย็นในการสอบสวนผู้ต้องสงสัย ทั้งแวมไพร์ ไฮบริด ไม่เว้นกระทั่งมนุษย์ เชื่อกันว่าในระยะเวลาที่เจ้าตัวรับหน้าที่ในหน่วย มีผู้ที่ตกเป็นเหยื่อจากความวิปริตของเจ้าตัว ไม่ต่ำกว่า 500รายขึ้นไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระหว่างสงคราม อาณานิคมครั้งที่สาม ที่ซึ่งหน่วยที่เจ้าตัวสังกัด พร้อมกับหน่วยอื่นๆ ถูกส่งไปช่วยดูแลความสงบเรียบร้อยของเมืองอาณานิคมชายแดน

    แต่ด้วยความรุนแรงที่ขยายตัวขึ้นเป็นลำดับ ทำให้หน่วยที่เจ้าตัวสังกัด ได้รับมอบหมายงานในส่วนการสอบสวน เฉลยสงคราม รวมไปถึงไฮบริดที่แฝงตัวอยู่ในแนวหน้าที่จับได้ แน่นอนว่าการสืบสวนนั้นเป็นงานหนึ่งที่หน่วยสืบสวนคนนอกรีตถนัดที่สุด แต่ด้วยแรงกดดันจากทั้งฝ่ายทหารและศาสนจักร ทั้งจากความต้องการข้อมูลเพื่อใช้ในการวางแผนการรบ หรือ จะเป็นเพื่องานศาสนาก็ตาม ทำให้วิธีการสอบสวนเริ่มที่จะออกลู่แนวทางไปมาก

    โดยทั้งที่รู้ถึงสภาพที่เกิดขึ้น แต่เจ้าตัวกลับเพิกเฉยต่อสิ่งที่เกิดขึ้น วีรกรรมที่สร้างชื่อให้กับเจ้าตัว จนที่เป็นกล่าวขวัญ ได้จากการสอบสวน กลุ่มเยาวชนไฮบริด 20คนที่ถูกพบ หมู่บ้านแห่งหนึ่ง เพียงเพื่่อข้อมูลว่า มีไฮบริดอยู่ในหมู่บ้านใกล้เคียงหรือไม่ เจ้าตัวก็ไม่ลังเลที่จะใช้วิธีทรมานเพื่อเค้นเอาความจริงจาก เยาวชนไฮบริดเหล่านั้น โดยเล่ากันในภายหลังว่า เสียงโอดครวญ บ้างก็กรีดร้องของ เด็กพวกนั้นดังติดต่อกันอยู่หลายคืน จนกระทั่งเงียบหายไป พร้อมกับที่ ศพของเด็กในสภาพที่มองไม่ออกว่า ใครเป็นใคร ลอยไปตามแม่น้ำกลางเมือง สร้างความอกสั่นขวัญกระเจิงต่อผู้พบเห็นยิ่งนัก


    การหายสาบสูญของเจ้าตัว ในระหว่างภารกิจตรวจค้นแหล่งที่มั่นของไฮบริด ในช่วงสงครามสามฝ่าย เชื่อกันโดยทั่วไปว่า เจ้าตัวน่าจะถูกสังหารโดยไฮบริดในระหว่างหน้าที่ ข่าวบางกระแสก็ลือกันว่า ได้มีการพบเห็นชายที่มีลักษณะรูปพรรณคล้ายเจ้าตัว หลายปีให้หลัง ในช่วงสงครามสามฝ่าย ที่แนวรบตะวันออก แต่ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ก็ไม่เคยได้รับการยืนยันหรือพิสูจน์แต่อย่างใด




    แกรี่ มัวล์ (ไม่ทราบวันเดือนปีเกิด)​


    - เติบโตและเลี้ยงดูโดยกองทัพตั้งวัยเด็ก เจ้าตัวถือเป็นตัวอย่างว่า ในสภาวะสงคราม ความวิปริต สิ่งที่ชั่วร้าย และ ผิดศีลธรรมอย่างร้ายแรง เป็นสิ่งที่นักการทหารบางคนเห็นว่าเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ หากทำเพื่อให้ได้มาเพื่อชัยชนะ แม้จะมีผลตามมาที่คาดไม่ถึงก็ตามที ด้วยโครงการสร้างทหารเพื่อไว้ต่อกรกับ แวมไพร์ และ ไฮบริดโดยเฉพาะ แต่เมื่อโครงการถูกหน่วยสืบสวนคนนอกรีตเค้นอย่างหนัก ด้วยต้องสงสัยกระทำการอันเป็นการนอกรีต ทำให้ผู้ร่วมงานโครงการรวมไปถึงตัวทดลองจำนวนมาก ถูกปิดปากโดยนายทหารระดับสูงในกองทัพจักรวรรดิ ที่มีส่วนรับผิดชอบโดยตรง มีเพียงเจ้าตัวและเด็กอีกไม่กี่คน ที่ซึ่งภายหลังจะกลายมาเป็นเพื่อนร่วมหน่วยเดียวกัน ที่ถูกเจ็บเอาไว้ เพราะความสามารถเข้าตานายทหารดังกล่าว


    ผลงานในสนามรบนั้น จัดอยู่ในเกณฑ์ดี แต่แม้จะมีความสามารถโดดเด่นในด้านการลอบสังหารและซุ่มยิงเป็นเลิศ แต่ด้วยอาการทางจิตที่เป็นผลจากการทดลองในวัยเด็ก ประกอบกับ การแสดงออกถึงความกระด้างกระเดื่องต่อศาสนจักร ยิ่งในกรณีทำร้ายเจ้าหน้าที่สืบสวนคนนอกรีต ระหว่างการปิดล้อมหมู่บ้านของพวกไฮบริดครั้งหนึ่ง เมื่อทางฝ่ายตนต้องการที่จะสังหารพวกไฮบริดอย่างเดียว ในขณะที่อีกฝ่ายต้องการจะนำตัวพวกไฮบริดในหมู่บ้านไปสอบสวนเอาข้อมูล จึงได้ไปทำร้ายเจ้าหน้าที่กลุ่มดังกล่าว ส่งผลให้เจ้าตัวโดนสั่งปลดจากหน้าที่ พร้อมทั้งยังสั่งให้สลายหน่วยที่เจ้าตัวสังกัดอยู่อีกด้วย

    จากการสอบสวนในภายหลัง เชื่อกันว่าเจ้าตัวมีส่วนเกี่ยวข้อง กับกรณีการลอบสังหารคณะผู้แทนเจรจาสงบศึก ในช่วงสงครามอาณานิคมครั้งที่สาม และ ยังพยายามลอบสังหารบุคคลระดับสูงในศาสนจักรหลายคน ร่วมกันกับ ผู้ก่อการอีกจำนวนหนึ่ง ในหน่วยเดียวกัน แม้ทางกองทัพจักรวรรดิจะออกมาปกป้องข่าวลือที่เกิดขึ้น แต่ที่สุดแล้ว เจ้าตัวพร้อมกับผู้ก่อการก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย โดยมีความลือว่าเจ้าตัวพร้อมผู้ก่อการยังคงมีแผนก่อการที่เตรียมเอาไว้ รอวันดำเนินการอยู่





    ทั้งนี้นอกเหนือไปจากกลุ่มคนที่กล่าวถึงในข้างต้นแล้ว ก็ยังมีบุคคลนิรนามอีกเป็นจำนวนมาก ที่พลีชีพในสงคราม หรือ ผู้ไม่ประสงค์ออกนามอีกจำนวนหนึ่ง ที่คอยช่วยเหลือเป็นหูเป็นตาให้จักรวรรดิอยู่ลับหลัง





    ==========0===0==========​






    บทวิเคราะห์

    รูปแบบการปกครองในระบอบจักรวรรดิ หากจะอธิบายอย่างภาษาชาวบ้าน ก็คือระบบกษัตริย์ปกครองเมืองดีๆนี่เอง เป็นแค่ชื่อเรียกอีกชื่อ ที่มาควบคู่กับตำแหน่ง จักรพรรดิ ผู้ปกครองสูงสุดของรัฐ หากแต่เสาหลักของจักรวรรดิ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ศูนย์รวมจิตใจของชาวจักรวรรดิหาใช่ตัวจักรพรรดิไม่ แต่อยู่ที่ศาสนจักร เสาหลักอีกต้นที่ค้ำชูรัฐ นอกเหนือจากตัวจักรพรรดิ และ ทหารจักรวรรดิ

    สงครามระหว่างมนุษย์และแวมไพร์ที่เกิดขึ้นเมื่อร้อยกว่าปีก่อนหน้านี้ ทำให้อาณาจักรที่เคยแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันเป็นใหญ่ ถูกผลักดันเข้าสู่ปากเหวของการล่มสลาย ในเวลาเช่นนั้นเอง ที่ทุกฝ่ายลืมเลือนความขัดแย้งแล้วจับมือร่วมกันต้านแนวรบไว้อย่างสุดกำลัง ผลที่ได้ก็คือจักรวรรดิหนึ่งเดียว ที่ไม่แบ่งแยกเชื้อชาติหรือสีผิว สวรรค์แห่งสุดท้ายบนโลกที่แปดเปื้อนด้วยปีศาจร้าย


    ทว่าวันเวลาผ่านไป เหนื่อยหน่ายจากทั้งความตึงเครียดในแนวหน้า และ เขตกันชน การคดโกงกินเงินหลวง แบ่งสันปันอำนาจ แข่งบารมีซึ่งกันและกัน ของพวกชนชั้นสูง ส่งผลเป็นลูกโซ่ไปยังชนชั้นล่าง ศีลธรรมเสื่อมถอย แม้แต่คนของพระเจ้าก็ไม่พ้นวังวนของการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นไปได้ และยังการมาถึงของผู้รุกรานหน้าใหม่

    นักวิเคราะห์ของโลกตะวันออกหลายคนลงความเห็นกันว่า จักรวรรดิใกล้ถึงจุดอิ่มตัวทั้งทางสถาบันศาสนา และ กองทัพ ประกอบกับเศรษฐกิจที่ถึงทางตัน จากนโยบายที่เน้นกองกำลังทหารมาก่อนภาคประชาชน ทำให้เกิดความอดอยาก และ คนว่างงานจำนวนมาก แต่ ด้วยระบบที่เสียงของปัจเจคบุคคลไปไม่ถึงคนส่วนใหญ่ ทำให้ไม่มีคนกล้าวิจารณ์ปัญหาความเดือดร้อนที่ได้รับเท่าไหร่นัก ยิ่งกรมตำรวจศาสนาออกกวดขัดความคิดและการกระทำนอกรีตในช่วงปีหลังๆมานี้ ยิ่งเป็นการตอกตะปูตัวใหญ่ให้กับ เสรีภาพของชาวจักรวรรดิ ที่ส่วนใหญ่มีมาตราฐานการดำรงชีพต่ำ มีชีวิตไม่ต่างจากยุค ศตวรรษที่ 16มากนัก


    แม้จะยังไม่ถึงจุดของ Fail state อย่าง สมาพันธรัฐ ยูเรเซี่ยน ศัตรูคู่แค้นในสงครามร้อยปี ที่บัดนี้เหลือเพียงชื่อก็ตามที แต่นักการทหารรวมไปถึงนักสังเกตุการณ์ตะวันออก หลายคนเชื่อว่า ภายในสองถึงสามปีข้างหน้าอาจจะเกิดเหตุการณ์ที่สั่นคลอนรากฐานของจักรวรรดิขึ้น จากปัญหาภายในที่รอวันปะทุ



    --- Page 1/3 ---​


    บทความที่เกี่ยวข้อง

    - เส้นเวลา สงครามร้อยปี
    - ประวัติศาสตร์ทางทหาร สมาพันธรัฐ
    - ประวัติศาสตร์ทางทหาร สหภาพ
    - รายชื่อ หัวข้อ ที่เกี่ยวข้องกับ จักรวรรดิ




    ======================================================================​


    เข็นออกมาได้สำเร็จอีกหนึ่ง บันทึก (ทุบไหเป็นผลสำมะเหร็ด)

    ถือเสียว่าเป็นของขวัญปีใหม่แล้วกันน่อ

    สำหรับตอนนี้ มีตัวละครออกมาเป็นจำนวนมาก (แต่ดูเหมือนจะบอกจุดจบของแต่ล่ะคนไปในตัวด้วย) แต่ขอยืนยันนะครับบทที่พวกท่านจะออกมิได้มีเพียงเท่านี้แน่ (กำลังคิดว่าจะรับสมัครเพิ่มอีกดีไหม? ) แต่ขออธิบายไว้ล่วงหน้านะครับว่า จะพยายามเข็นออกมาทุกตัว แต่ไม่ใช่ทุกตัวจะออกมาในเส้นเวลาเดียวกัน

    ยังไงก็ขอขอบคุณที่ยังไม่ลืมงานชิ้นน้อยๆนี้นะครับ (?)


    ปล. เราเปลี่ยนรายละเอียดตัวละครบางส่วนเพื่อการพัฒนาในภายหลังนะครับ

    ปล. 2 อ่านดูแล้ว ลองมาทายกันดูไหมครับว่า รายงานชิ้นนี้ เขียนขึ้นโดยนักประวัติศาสตร์ของฝ่ายไหนกัน??
  18. derick

    derick Member

    EXP:
    339
    ถูกใจที่ได้รับ:
    1
    คะแนน Trophy:
    18
    Re: +++ The Last Kingdom : Fall of Man +++ / update Vol. 3.0

    ทำไม...ผมอ่านแล้วมันให้ความรู้สึกว่าเจ๋งโคตรแปลก ๆ กร๊ากกกกกกกกก

    แม้จะยังไม่ได้เข้าสส่วนตัวเนื้อเรื่องจริง ๆ เลยสักนิด แต่มันก็ทำให้รู้สึกเหมือนเรากำลังนั่งอ่านหนังสือประกอบหนังประวัติศาสตร์สักเรื่องที่กำลังจะได้ชม โฮกกกกกกกกกกกก....ผมแอบชอบแบบนี้นะเนี่ย!!

    รอตอนต่อครับ >< รออยู่ทุกเมื่ออออออออออ
  19. near

    near Member

    EXP:
    334
    ถูกใจที่ได้รับ:
    4
    คะแนน Trophy:
    18
    Re: +++ The Last Kingdom : Fall of Man +++ / update Vol. 3.0

    TTATT ในที่สุดก็กลับมา 55+ ปีใหม่สินะ

    ผมรอเรื่องนี้ จริงๆนะนี้ ป๋าวิน

    ผมไม่ขอเดาแล้วกัน ว่าฝ่ายไหนเขียน...ขออุบไว้ก่อน 55+
  20. jamejaeja

    jamejaeja แม่มดคำสาปมรณะ

    EXP:
    119
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    16
    Re: +++ The Last Kingdom : Fall of Man +++ / update Vol. 3.0

    เป็นของขวัญชิ้นเยี่ยมเลยนะเนี่ย

    ตอนแรกนึกว่าจะล่มสะแล้ว

    ตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้อ่าน
  21. kiro

    kiro Member

    EXP:
    62
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    6
    Re: +++ The Last Kingdom : Fall of Man +++ / update Vol. 3.0

    ลูกเราโหดดิบดีจริง O-O

    เแอบเห็นด้วยเหมือน rep บนเพราะหายไปนานมาก - -"

    ยังไงก็เข็นตัวเนื้อเรื่องออกมาไวๆน่อ
  22. joey

    joey New Member

    EXP:
    14
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    1
    Re: +++ The Last Kingdom : Fall of Man +++ / update Vol. 3.0

    ...นี่เป็นตำราประวัติศาสตร์โลกจริงๆ!!! (รอดูบทตัวเองว่าเมื่อไหร่จะได้ออก ว่าแต่...คนเขียนอัพรายชื่อเราไปยังหว่า???)
  23. swanton

    swanton Dragon on Board

    EXP:
    1,424
    ถูกใจที่ได้รับ:
    69
    คะแนน Trophy:
    113
    Re: +++ The Last Kingdom : Fall of Man +++ / update Vol. 3.0

    โอ้โฮ อ่านแล้วรู้เลยว่าวินเซนต์ต้องผ่านประวัติศาสตร์ช่วงอาณานิคมและสงครามโลกมามากๆๆๆ แถมยังเอามาผสมผสานได้ลงตัวซะด้วยสิ ข้อมูลทางการเมืองและสงครามที่มีกลิ่นอายช่วงนั้นแน่นปึ้กเลย นับถือในการเก็บข้อมูลจริงๆครับ

    ถึงจะไม่ใช่ส่วนของเนื้อเรื่องแต่อ่านแล้วก็ทำให้เห็นภาพสถานการณืได้ดี ขอบคุรสำหรับภูมิหลังฟารันต์ที่อ่านแล้วได้ใจมาก (อ่านแล้วเหมือนพรานป่าเถื่อนๆไงไม่รู้ กร๊าก) ชอบนาธาเรลด้วย ดูโหดเลือดเย็นดี ทำให้มีกลิ่นอายของศาสนจักรยุคกลางออกมาด้วย
  24. jimkung

    jimkung Member

    EXP:
    261
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    16
    Re: +++ The Last Kingdom : Fall of Man +++ / update Vol. 3.0

    เหมือนได้อ่านบันทึกประวัติศาสตร์ไปพร้อมๆกับฟิคชั่น
    เล่าเรื่องราวได้เห็นภาพเป็นฉากๆเหมือนชมภาพยนตร์เลยครับ
    อืมมม... ผมคิดว่าเป็นบทวิจารณ์ของฝ่ายไหนสักฝ่ายที่ไม่ใช่คนของจักรวรรดินา...
    ลองเดาดู.........
  25. Fujizaki

    Fujizaki New Member

    EXP:
    17
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    1
    Re: +++ The Last Kingdom : Fall of Man +++ / update Vol. 3.0

    เป็นวิธีการเขียนที่ไม่ค่อยเจอแฮะ เอาบทที่ดูเหมือนภาคผนวกมาใส่ไว้กลางเรื่อง แปลก แต่ทำให้เข้าใจรายละเอียดต่างๆ ขึ้นอีกเยอะ

    นั่งรอตอนต่อไปอย่างใจจดใจจ่อ

    คิดว่าไม่น่าจะใช่คนของจักรวรรดิค่ะ ไม่น่าจะใช่ของสหพันธรัฐด้วย

Share This Page