เรื่องเล่าที่ร่วงหล่น ตามHDD ที่จากไป [สถาณะตายสนิท]

กระทู้จากหมวด 'Fiction' โดย joi100, 17 พฤศจิกายน 2007.

  1. joi100

    joi100 นักเดินทางแห่งมิดการ์ด

    EXP:
    478
    ถูกใจที่ได้รับ:
    23
    คะแนน Trophy:
    38
    พื้นที่พูดคุยแจ้งข่าว กับอีตานักเดินทาง


    สารบัญ


    ขอขอบคุณ
  2. joi100

    joi100 นักเดินทางแห่งมิดการ์ด

    EXP:
    478
    ถูกใจที่ได้รับ:
    23
    คะแนน Trophy:
    38
    Re: [ฟิครับสมัคร] Tale Of Light and Shadow

    บทนำ




    พูดคุยกันก่อนเปิดตัว นิยายเรื่องนี้ ถึงจะจั่วหัวว่าเป็น ฟิครับสมัคร แต่จริงๆแล้วผมก็เขียนมันด้วยอารมณ์ไม่ต่างจากการเขียน FanFic ซักเท่าไร เพราะจริงๆ มันก็เหมือนการจับ เกมส์ นิยายหรือ การ์ตูน ที่ผมชื่นชอบ มายัดไว้รวมๆกัน

    อาจจะมีอะไรที่มันคุ้นหูคุ้นตาท่านผู้อ่านบ้างก็ไม่ต้องแปลกใจนักหรอกครับ นิยายเรื่องนี้มันอาจจะดูแปลกตา ไปบ้าง เพราะ มันเป็นเรื่องราวของตัวละครหลายๆตัว ที่อยู่บนดินแดน เอลล์เทอเฟียแห่งนี้ โดยที่ผมจะเล่าทีละเรื่อง แล้วจบเป็นเรื่องๆไป

    อาจจะทำได้ไม่ค่อยดีนักก็ขออภัยไว้ล่วงหน้าครับ น้อมรับทุกคำติชมจากทุกท่านครับ


    The Tale Of Light and Shadow

    แฟนตาซี โลกที่เต็มไปด้วยจินตนาการอันไร้ขีดจำกัด "เอลล์ทอเฟีย [El'tephia]" ชื่อของโลกเบี้ยวๆใบหนึ่ง ในจำนวนนับไม่ถ้วน ที่ถูกสร้างขึ้นบนโลกแห่งแฟนตาซีที่เกิดขึ้นจากจินตนาการของมนุษย์


    โลกใบนี้ประกอบด้วยดินแดน และ เมืองต่างๆมากมาย พอจะรวบรวมมาวาดเป็นแผนที่คร่าวๆได้ดังนี้



    [​IMG]



    1) Shine - ชายน์ เมืองที่อยู่ ณ ตอนกลางของดินแดนแห่ง เอลล์เทอเฟีย เป็นเมืองที่ทั้งขนาด และความอุดมสมบูรณ์ในด้านต่างๆอยู่ในอันดับต้นๆ จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่เมืองนี้จะเป็นแหล่งรวมของผู้คนมากหน้าหลายตา หลายท้องถิ่น ตลอดจนเป็นเมืองศูนย์กลางการคมนาคม การค้าขาย บ้านเรือนและสถาปัตยกรรมต่างๆในเมืองส่วนใหญ่เป็นแบบร่วมสมัยที่นำเอาวัตถุดิบจากสมัยต่างๆมาพัฒนาและปรับปรุงคุณภาพ

    ผนวกกับความสามารถในการออกแบบและความพิถีพิถันในการก่อสร้างของบุคลากรชั้นหัวกะทิที่ต่างอพยพมาหาแหล่งทำกินแหล่งใหม่ จึงทำให้สิ่งเหล่านี้ออกมาอย่างสวยงามไร้ที่ติ ไม่ว่าบ้านเรือน สถานที่อำนวยความสะดวกต่างๆ ตลอดจนสถานประกอบพิธีกรรมศาสนา รวมถึงที่ตั้งของสภานักบวชหลักของเอลล์เทอเฟีย เมืองนี้ถูกปกป้องและ ปกครองโดยสภานักบวชแห่งนี้ ว่ากันว่าอำนาจปกครองเบื้องหลัง เกือบๆครึ่งหนึ่งของเอลล์เทอเฟีย อยู่กับสภานักบวชนี่แหละ

    2 ) Revaria - รีเวเรีย เมืองใหญ่ อีกหนึ่งเมือง ที่ตั้งอยู่ ณ ตอนกลางของดินแดนเอลล์เทอเฟีย เช่นเดียวกับชายน์ แต่ตั้งอยู่คนละฝั่งแม่น้ำ เป็นผู้ถ่วงดุลอำนาจแห่งสภานักบวช ไว้ เมืองนี้นับเป็นเมืองแห่งอัศวิน เพราะที่นี่ เป็นที่ตั้งของสถาณที่ฝึกของเหล่าผู้คนที่ใผ่ฝันอยากที่จะเป็นอัศวินอันทรงเกียรติ ทุกๆปี จะมีผู้คนจำนวนหนึ่ง ผ่านการทดสอบทั้ง ร่างกาย จิตใจ และฝีมือ

    ถูกแต่งตั้ง ให้เป็นอัศวินอย่างเป็นทางการ ภายใต้พิธีอันทรงเกียรติ โดยท่านเจ้าเมือง จึงไม่น่าแปลกที่เมืองแห่งนี้จะเต็มไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา จากเกือบทั่วเอลล์เทอเฟียมารวมตัวกัน ณ เมืองแห่งนี้ สถาปัตยกรรมต่างๆ เรียกได้ว่า ไม่ได้ด้อยไปกว่า ชายน์ เลยแม้แต่น้อย นับว่าทั้ง2เมืองนี้ทัดเทียมกันในทุกๆด้าน

    3 ) Rimunia - ริมุเน่ เมืองขนาดกลาง ที่ตั้งอยู่ด้านตะวันตกเฉียงเหนือ ของเอลล์เทอเฟีย เมืองที่เต็มไปด้วยกลิ่นไอของเวทย์มนต์ ด้านเหนือของเมือง ถูกสร้างติดกับส่วนหนึ่งของ เทือกเขา "เลด้า" ที่ทำการของเมือง และ ที่พักของเจ้าเมือง ก็ถูกสร้างฝังเข้าไปในภูเขา โดยมี บ้านของ ประชาชนชาว ริมุเน่ สร้างล้อมรอบไว้อีกที รูปแบบ และ สถาปัตยกรรม ของที่นี่ จะต่างกับ ที่ "รีเวเรีย" และ "ชานย์" อยู่พอสมควรเลยที่เดียว เพราะ ถ้าเทียบกันแล้ว รูปแบบของสิ่งก่อสร้าง ต่างๆของริมุเน่จะเหมือนกับ ทั้ง2เมืองที่กล่าวมา เมื่อ50 ปีที่แล้ว แต่สิ่งเหล่านี้เองที่เป็นมนต์ขลังของเมืองแห่งนี้

    เมืองแห่งนี้ เป็นที่ตั้ง ของ โรงเรียนสอนเวทย์มนต์ให้แก่ผู้ที่มีความสามารถทางด้านนี้ เพื่อที่จะเป็นจอมเวทย์ ซึ่ง ซึ่งปีหนึ่งๆจะมีจำนวนไม่มากนัก หรือ อาจจะหลายๆปีจะมีซักคน ที่ ผ่านการทดสอบจากโรงเรียนของเมืองแห่งนี้ รวมไปถึงยังเป็นที่ตั้งของ ห้องสมุดที่ใหญ่ที่สุด ของเอลล์เทอเฟีย ซึ่งมีหนังสือมากมายตามขนาดของมัน เคยมีคนคุยกันเล่นๆ ด้วยซ้ำว่า ดีไม่ดีห้องสมุดแห่งนี้อาจจะมีหนังสือทุกเล่มบนโลกนี้ด้วยล่ะมั๊ง จึงทำให้เมืองนี้ มีผู้แวะเวียนมาอยู่เสมอๆ

    4 ) Granada - กรานาด้า เมืองเล็กๆที่ตั้งอยู่กลางทะเลทราย"อัลคาน่า" เป็นเมืองที่ก่อตั้งขึ้นจากการรวมตัวของชนเผ่าเร่ร่อน ในทะเลทรายแห่งนี้ ถึงภูมิประเทศจะแห้งแล้ง แต่เมืองแห่งนี้ตั้งอยู่บน โอเอซิสขนาดใหญ่ รายได้หลักของเมืองนี้ก็คือ เหล่าแร่มีค่าที่ฝังตัวอยู่ใต้ทะเลทรายแห่งนี้ ว่ากันว่าการค้นหาแร่มีค่าเหล่านี้ เป็นศาสตร์ที่สืบทอดกันมาตั้งแต่โบราณของชนเผ่าทะเลทราย ที่อาศัยอยู่ในเมืองแห่งนี้ ถึงจะเดินทางยากลำบากกว่าจะเข้ามาถึงเมืองแห่งนี้ได้ แต่มันก็คุ้มค่าสำหรับเหล่าพ่อค้าวานิชที่จะเดินทางมาค้าขายยังเมืองเล็กๆแห่งนี้

    5 ) Asra - อัสร่า ป่าทึบทางด้านทิศตะวันตก ที่กินพื้นที่ เกือบๆ1ใน6 ของดินแดนเอลล์เทอเฟีย ป่าใหญ่แห่งนี้ เป็นแห่ง รวมของสัตว์ป่า และ ชนเผ่าที่อาศัยอยู่ป่าแห่งนี้ ซึ่งชนเผ่าเหล่านี้มันจะไม่สนใจที่จะพบปะกับเหล่ามนุษย์ มากนัก นอกจากพรานผู้ชำนาญพื้นที่ ก็ยากนักที่จะเข้าไปแล้ว กลับมาจากป่าแห่งนี้ได้อย่างปลอดภัย ชนเผ่าที่พบในป่าแห่งนี้เท่าที่สามารถ ยืนยันได้ก็คือ ออค และ ก๊อบบิน เพราะชาวบ้านที่อาศัยอยู่ชายป่าแห่งนี้มักจะพบ คนจากทั้ง2เผ่านี้ แวะเวียน เอาของป่ามาแลกสิ่งของที่จำเป็นๆอยู่เสมอๆ แต่จากข่าวลือต่างๆ ยังมีชนเผ่าอีกมากมายอยู่ในป่าแห่งนี้ เช่น เอลฟ์ , พวกครึ่งคนครึ่งม้า หรือ ที่เรียกกันว่า"เซนทอร์" , มนุษย์ปักษา"การูด้า" แต่ก็ยังไม่มีใครสามารถยืนยันได้ว่า พวกเขามีตัวตนอยู่ในป่าทึบแห่งนี้จริงๆ หรือไม่

    6 ) Auaruto - อุเอรุโตะ เมืองเล็กๆที่ตั้งอยู่บนเกาะขนาดใหญ่ด้านทิศใต้ของ เอลล์เทอเฟีย เนื่องจากตั้งอยู่บนเกาะทำให้เมืองแห่งนี้ แตกต่างจากแทบทุกๆเมืองบนแผ่นดินใหญ่ ทั้งวิถีการดำเนินชีวิตของผู้คน ศิลปวัฒนธรรม สถาปัตยกรรม แม้ กระทั่งอาหารการกิน ผู้คนแห่งนี้ต่างใช้ชีวิตที่เรียบง่ายยึดติดกับธรรมชาติ จนทำให้ใครหลายๆคนหลงไหลเมื่อได้มาถึงเมืองแห่งนี้

    ถึงจะมีวิถีการใช้ชีวิตที่เรียบง่ายแต่เมืองแห่งนี้ก็มีวิชาการต่อสู้ที่สืบทอดมาแต่โบราณ โดยเฉพาะวิชาดาบ ซึ่งว่ากันว่าไม่เป็น2รองใครในแผ่นดินเอลล์เทอเฟียเลยทีเดียว ถึงจะตั้งอยู่บนเกาะ แต่ก็มีความอุดมสมบูรณ์ ของทรัพยากรธรรมชาติมากทีเดียว เพราะทิศใต้มีป่าขนาดใหญ่ และภูเขาที่ปิดกั้นทิศใต้เอาไว้ ทำให้ศัตรูหรือผู้รุกรานไม่สามารถ อ้อมมาโจมตีจากด้านหลังได้ แล้วภูเขาแห่งนี้ยังกัน พายุในฤดูมรสุมให้เมืองแห่งนี้ด้วย

    7 ) Prutronic - พลูตรอนนิก เมืองเล็กๆอีกเมืองที่ตั้งอยุ่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือของ เอลล์เทอเฟีย เมืองนี้ถูกขนานนามว่าเป็นเมืองแห่งเหมืองแร่ และ เทคโนโลยี เพราะอนาเขต ติดกับทั้งเทือกเขา"เลด้า" และ"หุบเขา" ที่นี่ ประชากรส่วนใหญ่นอกจากมนุษย์แล้ว ยังมีเผ่าคนเคระที่เรียกตัวเองว่า "ดวอร์ฟ" พวกเขาชำนาญในการทำเหมืองแร่เป็นอย่างมาก จากวัตถุดิบชั้นดีที่เกิดขึ้นจากฝีมือพวกเขาทำให้นักประดิษฐ์ จากหลากหลายที่เดินทางมาค้นคว้างานของตนที่นี่ เมืองแห่งนี้เป็นเมืองแห่งเดียวที่มีเครื่องจักร อยู่ในเมืองมากมาย

    8 ) Rayda - เทือกเขาเลด้า เทือกเขาสูงเสียดฟ้าที่ทอดตัวยาวจากทิศตะวันออก จด ทิศตะวันตก ของเอลล์เทอเฟีย

    9 ) Grum - ป่ากรัม ป่าลึกลับที่ถูกโอบล้อมด้วยเทือกเขา "เลด้า" และ "โทรัส" ไม่เคยมีใครเคยเห็นป่าแห่งนี้มีเพียงข่าวลือที่เล่าต่อๆกันมาเท่านั้น ว่ากันว่าในป่าแห่งนี้มีชนเผ่าลึกลับที่ใกล้ชิดกับเทพเบื้องบนอาศัยอยู่ด้วย

    10 ) Sellva - เซลว่า แม่น้ำสายหลักของเอลล์เทอเฟีย ไหลแบ่งกลางแผ่นดินใหญ่ โดยเริ่มจากเทือกเขา"เลด้า" และ ไหลลง ทะเล"เซเน่"

    11) Sayna - เซเน่ ชื่อของทะเล ที่อยู่ทางด้านทิศใต้ของเอลเทอเฟีย

    12 ) Wellj - เวลเจ เมืองท่าขนาดใหญ่ของเอลเทอเฟีย เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ตรงริมฝั่งแม่น้ำเซลว่า ทะเลเซเน่ และ อยู่ใกล้กันกับทะเลทรายอัลคาน่าด้วย ทำให้เมืองนี้เป็นแหล่งรวมสินค้าทางทุกเมือง เป็นเมืองแห่งการค้าขายโดยแท้จริง เมืองนี้ มีรูปแบบของ อารยธรรมจากทุกๆเมืองผสมกันอย่างลงตัว จากผู้คนที่มากมาย ทำให้เมืองนี้เป็นเมืองที่วุ่นวายอยู่ตลอดเวลา ถ้าต้องการอะไรซักอย่างแล้วล่ะก็ให้มาที่นี่รับรองไม่ผิดหวัง แต่เรื่องราคานั้นคงต้องอยู่ที่ความสามารถของผู้ซื้อแล้วล่ะ

    13 ) Torus - โทรัส หุบเขาด้านตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นแหล่งเหมืองแร่ที่สำคัญ และใหญ่ที่สุดของเอลเทอเฟีย แต่ไม่มีใครคิดที่จะข้ามหุบเขาแห่งนี้ไปเลยเพราะมันเต็มไปด้วยอันตราย

    14 ) Alkana - อัลคาน่า ทะเลทรายขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านทิศตะวันออก ของเอลล์เทอเฟีย กินพื้นที่1ใน6 ของทวีป นอกจากความแห้งแล้งแล้ว ทะเลทรายแห่งนี้ยังมีสิ่งมีค่าหลายๆอย่างจมอยู่ใต้ผืนทรายแห่งนี้ด้วย

    นี่เป็นเพียงแผนที่คร่าวๆของดินแดนแห่งนี้ ผู้คนมากมาย ดินแดนมากมาย ย่อมมีเรื่องราวที่มากมายเช่นกัน คุณอยากจะลองฟังเรื่องราวจากดินแดนแห่งนี้ดูบ้างไหมล่ะ?




    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~​
  3. joi100

    joi100 นักเดินทางแห่งมิดการ์ด

    EXP:
    478
    ถูกใจที่ได้รับ:
    23
    คะแนน Trophy:
    38
    Re: [ฟิครับสมัคร] Tale Of Light and Shadow

    เรื่องราวจากแสงและเงาเรื่องที่1 พ่อค้าหัวส้ม(1)




    เรื่องเล่าเรื่องนี้เริ่มต้นที่ยามที่พระอาทิตย์กำลังจะลาลับขอบฟ้า ที่เมืองชายน์ เมืองศูนย์กลางฝั่งขวาของทวีปแห่งนี้ แผ่นดินที่ถูกเรียกขานว่า `เอลล์เทอเฟีย`

    ณ ลานกว้างกลางเมือง ยามเย็น

    เมื่อแดดร่มลมตก เหล่าบรรดาพ่อค้าทั้งเจ้าประจำ และพ่อค้าเร่จากต่างเมือง ก็จะมารวมตัวกันเพื่อรับซื้อ ขาย หรือ แลกเปลี่ยนสินค้า ซึ่งเป็นเช่นนี้มาเป็นเวลาช้านาน ซึ่งแต่ละร้านก็จะทำเหมือนๆกันคือ ปูผ้ารองแล้ววางสินค้าบนพื้น ซึ่งก็มีผู้คนมากมายที่อยากได้สินค้าบางอย่าง หรือต้องการจะขายอะไร จะมารวมตัวกันอยู่แถวๆนี้เช่นกัน

    วันนี้ก็เหมือนเช่นทุกๆวันที่อากาศแจ่มใส ณ ลานกว้างตรงนี้ ที่จะมีผู้คนมากหน้าหลายตามารวมตัวกัน ณ ที่นี่ ซึ่งสกุลเงินตราของที่นี้จะใช้เหมือนกันหมด ก็คือ "เลจน์" แต่โดยทั่วๆไปมักจะไม่เรียกกันเช่นนั้น เพราะมักจะเรียกตามระดับของเหรียญ เงิน "เลจน์" จะถูกแบ่งเป็น3ระดับ คือ ทองแดง เงิน และ ทอง โดย 100 เหรียญทองแดง จะเท่ากับ 1 เหรียญเงิน แล้ว 100 เหรียญเงิน ก็จะเท่ากับ 1 เหรียญทอง

    ถ้าจะถามว่า แล้ว แล้ว1 เหรียญทองนี่มันมีค่า ซักแค่ไหน ตอบแบบไม่ต้องคิดครับ รวย! ครับรวย! บางคนในเอลเทอเฟีย ทั้งชีวิตยังไม่เคยมีโอกาส จับต้องเหรียญทองซะด้วยซ้ำ เพราะการใช้ชีวิตโดยปกติ นั้นไม่จำเป็นต้องใช้ เหรียญทองเลยซักนิด แค่เหรียญเงินมันก็เพียงพอแล้ว เพราะ โดยปกติ ขนมปังก้อนหนึ่ง ก็ราคาแค่ 1 เหรียญทองแดงเท่านั้น คนเดียว กินข้าวมื้อนึงอย่างแพงก็5 เหรียญทองแดง ดาบธรรมดาซักเล่ม แค่ 30-40 เหรียญเงิน ซึ่งก็ถือว่าเป็นเงินมากโขแล้วสำหรับคนธรรมดา แต่ก็ยังมีอีกหลายๆคนที่ เคยจับเงินจำนวน หลายสิบ หรือ หลายร้อย เหรียญทอง มาแล้ว ซึ่งพ่อค้าหัวส้มที่ผมจะเล่าถึงเขาก็เป็น1 ในคนจำนวนนั้น




    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~​





    มุมหนึ่ง ของ ลานกว้างกลางเมืองชายน์เมืองแห่งนักบวช

    พ่อค้าคนหนึ่งกำลังต่อรองกับลูกค้าของเขาอยู่ ซึ่งเป็นภาพปกติทั่วไปที่จะเห็นกันได้ในเวลานี้ ซึ่งพ่อค้าที่กำลังค้าขายอยู่ คนนี้ออกจะดูแปลกตากว่าพ่อค้าเร่ ทั่วๆไปอยู่พอสมควร ด้วยผมสีส้มแสด ที่มีผ้าคาดผมสีขาวซึ่งสีสันตัดกันเอาเรื่องเลยทีเดียว รวมไปถึงเครื่องแต่งกาย ที่เป็น เสื้อสีขาว สวมทับด้วยเสื้อกั๊ก ที่มีกระเป๋าสำหรับใส่อุปกรณ์ต่างๆ และที่สำคัญ ของในร้านของเขานั้น มีของหลายชนิด จากหลายสถานที่ ตั้งแต่ ผลึกแก้วรูปดอกกุหลาบ แร่มีค่าที่ผ่านการเจียระไนหลากหลายรูปแบบ สมุนไพรตากแห้งนานับประเภท รวมไปถึงอาวุธ มากมายหลายชนิด มองแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นของชั้นดี ซึ่งขัดกับรูปร่างหน้าตาเจ้าของร้านซึ่งอายุเพิ่งจะ20 ต้นๆเท่านั้น ไม่น่าจะมีของชั้นเยี่ยมมากมายหลายชนิดขนาดนี้ แต่ก็มีลูกค้าหลายคนที่สนใจ และ แวะเวียนเข้ามาอยู่เสมอๆ

    "นี่ พี่ชาย เชื่อผมสิ 30 เหรียญเงิน ราคานี้ไม่แพงแล้ว" พ่อค้าผมส้มเอ่ยกับลุกค้าซึ่งท่าทางจะเป็นนักรบรับจ้าง วัยไม่ต่างจากเขานัก ซึ่งกำลังดูดาบจากร้านของเขาเล่มหนึ่ง

    " ลดหน่อยละกันน่า ซัก20 เหรียญเงินละกันนะ ข้าไม่มีเงินเยอะนักหรอกถือว่าช่วยๆกัน" ชายคนนั้นเอ่ยต่อรองกลับมา

    "ไม่ไหวหรอก พี่ชาย 20 เหรียญผมไม่ได้อะไรเลยนา ดาบที่พี่ชายถือ เป็นดาบ2มือ ที่ตีขึ้นจากเหล็กชั้นดีจากพลูตรอนิกเลยนะนี่ แถมช่างที่ตีดาบนี้ ฝีมือจัดอยู่ในอันดับต้นๆของ เวลเจ เลย รับรองได้แข็งแกร่งทนทาน ถ้าพี่ชายไม่ไปฟันโดนมังกร หรือ ไปซัดกับ อาวุธที่สร้างจากโลหะที่ดีกว่านี้ เช่น มิธริล หรือ โฮริฮารูก้อน รับรองได้ไม่หักง่ายๆแน่นอน 30 เหรียญ นี่ไม่แพงหรอก " พ่อค้าผมส้มอธิบายถึงสรรพคุณของดาบที่เขากำลังจะขาย

    "แล้วนายมั่นใจได้ยังไง ว่ามันดีจริงขนาดนั้น " ลูกค้าของเขาถามกลับมาอย่างกังขา เพราะเป็นรู้ ทั่วกันว่ามีพ่อค้าจำนวนไม่น้อยที่อวดอ้างสรรพคุณของสินค้าเกินจริงอยู่เสมอๆ

    "พี่ชาย ผมค้าขายมาตั้งแต่จำความได้ ไม่เคยแหกตาลูกค้า หรือ ย้อมแมวขาย เลยซักหน เอางี้ละกันดาบของพี่ชายที่เหน็บอยู่ด้านหลังน่ะ เป็นดาบบัสตาร์ด ดูจากรูปแบบการสร้างน่าจะเป็นช่างที่"รีเวเรีย" ถือว่าเป็นดาบที่ดีในระดับหนึ่งเลยทีเดียว พี่ชายคงจะมั่นใจในดาบเล่มนั้นไม่น้อยเลยใช่มั๊ยล่ะ แถมเท่าที่มองๆ มันทำจากมิธริล ซะด้วย ลองเอาทั้ง2เล่ม มันมาฟันกันเองดูสิ ถ้าดาบเล่มนั้นฟันดาบของผมหักโดยไม่เป็นรอยร้าว หรือ บิ่น เลยแม้แต่น้อย ผมแถมเงินให้พี่ชาย ให้อีกเท่าราคาดาบเลย"

    "แต่ถ้าฟันแล้ว ดาบซึ่งทำจากเหล็กที่ด้อยกว่ามิธริล ของผมทำให้ดาบของพี่ชายเป็นรอยบิ่น หรือ ร้าว ได้ อืมๆ ดีไม่ได้ผมว่าดาบพี่ชายอาจถึงขั้นใช้งานไม่ได้เลยนะ พี่ชายต้องจ่ายค่าดาบให้ผมด้วยล่ะ 30 เหรียญเงิน เรามาพนันกันมั๊ยล่ะ" พ่อค้าผมส้มเอ่ยปากพนันขันต่อ เหมือนว่ามันเป็นเรื่องสนุก แต่ก็ทำเอาคนฟังขนลุกเลยทีเดียว

    นักรบรับจ้างหนุ่ม จ้องมองใบหน้าอย่างกังขา แต่สิ่งที่เค้าเห็นกลับเป็นแววตาที่มีความมั่นใจอยู่เต็มเปี่ยมของพ่อค้าผมส้ม ทำเอาตัวเขาเองนิ่งไปอึดใจใหญ่ๆ "ยอมแพ้ๆ นายแน่มากพ่อค้าผมส้ม ข้าไม่กล้าเสี่ยงหรอกนะ มองแวบ เดียวบอกได้ถึงที่มา และ วัสดุที่สร้างนายนี่ยอดจริงๆ แล้วการที่นายมั่นใจกล้าท้าพนันขนาดนี้ ชั้นก็ไม่ควรประมาทจริงใหมล่ะ" นักรบรับจ้างคนนั้นยิ้มให้ พร้อม ดูดาบที่อยู่ในมือตนอย่างละเอียดอีกครั้ง

    "ต้องยอมรับว่างานปราณีต จริงๆ ว่ากันอย่างจริงใจเลยนายผมส้ม ตอนนี้ข้ามีเงิน อยู่50 เหรียญเงิน อยากได้ ดาบที่ทำจากมิธริส จากฝีมือระดับนี้พอไหวไหมล่ะ"

    "ถ้าจะเอาดาบเล่มใหม่ ทำจากมิธริล แล้วล่ะก็ 50 เหรียญเงินไม่ไหวหรอก เฉพาะแค่ค่าแร่มิธริล จาก เหมืองแร่ของ พลูตรอนนิค ก็ เฉียดๆ 50 เหรียญเงินแล้ว ไหนจะค่าเดินทางค่าฝีมือของช่าง ที่ตีอีก ซัก70 เหรียญ ก็พอหาให้ได้" พ่อค้าผมส้มคำนวนคร่าวๆในชั่วพริบตา

    "สงสัยต้อง ไปหางานทำเพิ่มซัก3-4 งานซะแล้ว ขอบใจนะที่ให้ข้อมูล " นักรบรับจ้างคนนั้นทำท่าจะหันหลังเดินออกจากร้าน

    "เดี๋ยวพี่ชาย ค่าข้อมูล 2 เหรียญทองแดง " พ่อค้าผมส้มทักไว้

    "เอ๋ คิดเงินด้วยเหรอ?" นักรบรับจ้างขมวดคิ้วอย่างสงสัย

    "อ๊ะ แน่นอน ไม่มีอะไรฟรีๆ ในโลกนี้หรอกนะพี่ชาย เอาไว้พี่ชายมาซื้อของร้านผมคราวหน้า จะลดให้ละกัน " พ่อค้าผมส้มแบมือยื่นมายังคู่สนทนาของเขา

    " เหอๆก็ได้ๆเพิ่งเคยเจอพ่อค้า แบบนายหนนี้ก็ครั้งแรกนี่แหละ ข้า `คูก้า เรนน์` จำชื่อเอาไว้ด้วยล่ะ คราวหน้าจะได้ ลดราคาให้ ตอนนี้ก็รับจ้างทำโน่นทำนี่ไปเรื่อยๆ มีอะไรก็เรียกใช้งานได้ คิดราคากันเอง" นักรบรับจ้างคนนั้นแนะนำตัวเอง พลางล้วงไปหยิบ เหรียญทองแดง2 อัน ออกมาจากกระเป๋ากางเกง แล้ววางลงบนมือของพ่อค้าผมส้ม

    " `ออส บิลฟอร์ด` พ่อค้าเร่ อยากได้อะไรก็แวะมาหาได้เช่นกัน คงจะอยุ่ที่ชายน์ นี่อีกซัก 4-5 วัน มีวาสนาเราคงได้ค้าขายกันอีก " พ่อค้าผมส้มแนะนำตัวเอง พลาง จัดเรียงสินค้าของตน แล้วก็คงมี ลูกค้า อีกหลายคนแวะมาซื้อของจากร้านของเขา จนเวลาล่วงเลยจนพระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า

    ผู้คนเริ่มบางตาลง เหล่าพ่อค้าแม่ค้า เริ่มเก็บร้านของตน เพื่อที่จะกลับไปพักผ่อน หรือไป ทำธุระอย่างอื่น แต่ก็ยังคงมีอีกหลายคนที่ขาย ประเภทของสด เช่น พืชผัก ของป่า ปลา หรือ สัตว์ที่ล่ามาได้ เริ่มเดิน แลกเปลี่ยนสินค้าของตนกับ พ่อค้าแม่ค้าด้วยกัน เพราะเก็บไว้ก็จะเน่าเสียเปล่า ทำให้บรรยากาศ ในลานกว้าง เวลานี้ ก็ไม่ถึงกับเงียบเหงามากนัก

    ขณะที่ง่วนอยุ่กับการเก็บร้านของตนอยู่นั้นเอง ออส รู้รู้สึกได้ถึงว่ามีใครบางคนมายืนอยู่ด้านหลัง "ขอโทษทีนะ ที่นี่ไม่มีเลือดสาวๆ ขายหรอกนะอยากได้ ไปหาเอาเองโลด" พ่อค้าผมส้มเอ่ยโดยไม่มองหันกลับไปด้านหลัง

    "หึๆ ทักทายเพื่อนเก่าที่ไม่เจอกันนานแบบนี้หรือ ออส เฮเทรน " เสียงอีกเสียงหนึ่งดังมาจากด้านหลัง

    "ถ้าแกยังไม่อยาก โดนลิ่มไม้ปักกลางอก หรือ โดนเผาทั้งเป็นแล้วล่ะก็ อย่ามาอยู่ข้างหลังตูเงียบๆ แบบนี้ แล้วตอนนี้ แล้วนามสกุลที่ใช้อยู่ตอนนี้ก็ไม่ใช่ `เฮเทรน` มาตั้งนานแล้วด้วย `ออส บิลฟอร์ด` คือชื่อที่ใช้ตอนนี้ ซึ่งแกก็น่าจะรู้ดีนี่นา ไอผีดิบไฮโซ รึจะเถียงว่าไม่จริง? " ออสเก็บร้านจนเสร็จจึงหันกลับไปมองคู่สนทนาของเขา ปรากฎว่าเป็นชายหนุ่มผมทอง สวมชุดคลุมสีดำสนิทยาวถึงครึ่งแข้ง สวมกางเกงสีดำ และ รองเท้าเช่นกัน ดูแตกต่างจากคนทั่วๆไปอยู่พอสมควรเลยทีเดียว

    "ยังแต่งตัวไม่เหมือนชาวบ้านอยู่เหมือนเดิมเลยนะ "โทโย" ในชีวิตแกจะทำอะไรเหมือนชาวบ้านซักอย่างจะได้ใหมนี่? เป็นผีดิบดันผ่าเหล่าไปเป็นพ่อค้าข่าว แถมทำงานให้สภานักบวชซะงั้น ทั้งๆที่แกอยู่เฉยๆก็มีกินมีใช้ไปทั้งชีวิตแล้วนี่หว่า ไม่ต้องมานั่ง งกๆทำงานหาเงิน เหมือนพ่อค้าจนๆอย่างตู" ออสบ่นพลางคว้ากระเป๋าออกเดินออกจากลานกว้างโดนไม่สนใจ เพื่อนของเขาว่าจะเดินตามมาหรือไม่ เขาเดินจนมาถึงม้านั่งตัวหนึ่งริมถนน จึงทรุดตัวลงนั่งแล้ววางกระเป๋าไว้ข้างๆตัว ซักพักเพื่อนซึ่งไม่ใช่มนุษย์ของเขาก็นั่งลงข้างๆ

    "เหอะๆ พ่อค้าจนๆเรอะ อย่ามาพูดให้ขำน่า ออส สมบัติที่แกควรจะได้ แต่ไม่ดันยอมรับ มันมากพอที่จะซื้อเมืองได้ทั้งเมืองเลยนะน่ะ ไม่น่าเชื่อนะคนที่ชอบเงินมากอย่างแก จะทิ้งทุกอย่างไปซะได้" พ่อค้าข่าวผมทองเอ่ยกับสหายตน

    "ถึงข้าจะชอบเงินก็จริง แต่มันไม่ได้สำคัญที่สุดในชีวิตตูนี่หว่า ให้ทิ้งความฝันทิ้งทุกอย่างไปนั่งเฉยๆ คอยชี้นิ้วสั่ง บงการชีวิตคนอื่น แบบปู่ตูนี่ก็ไม่ไหวอ่ะนะ" ออสถอนหายใจเมื่อนึกถึงความหลัง "ทำเป็นพูดดีไปเหอะ ถ้าตอนนั้นตูไม่ไปช่วยแกจาก นักฆ่า ป่านนี้แกก็เป็นปุ๋ยบำรุงต้นไม้ที่ เวลเจ ไปแล้ว"

    "รู้แล้วน่าไม่ต้องย้ำ นายรู้รึเปล่านักฆ่าสาวตระกูล `ฟอรส์เฟรดส์ ` คนนั้นหนีออกมาจากบ้านแล้วนา ไปไหนมาไหนก็ระวังตัวด้วยล่ะ แกทำเขาอับอายไว้เยอะนี่ เหอๆไม่รอดแน่ ออส เอ๋ย" โทโยเอ่ยพลางโยนกระดาษปึกหนึ่งส่งให้เพื่อนหัวส้มของเขา

    ออสรับมาอ่านอย่างพิจราณา แต่ก็อ่านไม่ได้มากเพราะแสงสลัวๆจากโคมไฟริมทางมันไม่สว่างนัก พร้อมลดระดับเสียงลงเป็นกระซิบ เพราะไม่อยากให้ใครได้ยิน "ข่าวสารของแกยังน่าทึ่งอยู่เหมือนเดิมนี่หว่า ทำเป็นทำงานให้สภานักบวช แต่จริงๆแล้วก็ก็คอยแอบสืบข่าวอย่างลับๆข้างในด้วยนี่หว่า ขอบใจมากสำหรับข่าวสารที่หามาให้ ค่าข่าวเท่าไรวะ"

    "ขอกันกินยังมากกว่านี้ ช่างมันเหอะ แต่ว่า ออส แกจะไปดินแดนแห่งนั้นจริงๆ หรือ? ทั้งๆที่ อา ของแกก็หายสาปสูญไปคนแล้วนะ ดินแดนแห่งนั้นมันอาจไม่มีอยู่จริงก็ได้ `เอเรียล` เมืองลับแล ของชาวเผ่าที่ใกล้ชิดกับสวรรค์มากที่สุด ยังไม่มีข่าวสารไหนที่บอกได้อย่างแน่ชัดเลยว่ามันมีอยู่จริง" โทโย เอ่ยอย่างเป็นห่วง

    "ก็เพราะยังไม่มีใครบอกได้ว่ามันมีอยู่จริงรึเปล่า ถึงต้องไปค้นหามันยังไงล่ะ ตูยังเชื่ออยู่ลึกๆนะว่า อา ยังมีชีวิตอยู่ มันอาจจะดูเลื่อนลอย แต่จะทำได้ หรือ ทำไม่ได้ หาเจอ หรือ ไม่เจอ ถ้าไม่ลงมือทำมันก็ไม่รู้ผลหรอกนะโทโย" ออสพูดพลางเงยหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืนของเมืองชายน์

    "10 ปีที่แล้ว หรือ ตอนนี้ นายก็ยังคงเป็นออส ที่ชั้นเคยรู้จักไม่เปลี่ยนแปลงเลยนะ " ผีดิบหนุ่มเอ่ยขึ้นแล้วจึงเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าเช่นกัน

    ทั้ง2คนนั่งเงียบๆ อยุ่พักใหญ่ "จากวันนั้น 10 ปีแล้วหรือนี่ พวกเราก็แก่ขึ้นจมเลยนะเหอๆ ไปหาอะไรกินกันเหอะ ชั้นเลี้ยงเอง ถือว่าเป็นค่าข่าว แต่เลือดสาวๆ อยากได้ต้องหากินเองนะเฟ้ยเจ้าผีดิบ" ออสเอ่ยขึ้น

    "พ่อค้าหน้าเลือดอย่างแก เลี้ยงทั้งที ชั้นก็อยากไปอยู่เหมือนกันนะ นานปีมีหนนี่จะได้กินฟรีจากเงินในกระเป๋าแกซักที่ แต่คืนนี้มีธุระจริงๆ ว่ะ มีลูกค้านัดเอาไว้ เอาไว้คราวหน้าละกัน รับรองไปกินฟรีแน่ๆ แล้วเจอกันออส" โทโยเอ่ยพลางลุกออกเดินไปตามถนนยามราตรีของเมืองชายน์

    พ่อค้าผมส้มมองตามหลังเพื่อนผมทองของเขา จนร่างของโทโยถูกกลืนกินไปในความมืด แล้วจึงถอนหายใจออกมา " เฮ้อ ขายของล๊อตนี้หมดสงสัยได้เตรียมตัวบุกป่าฝ่าดงกันอีกแล้ว ไปหาอะไรดื่มดีกว่าแฮะ เหนื่อยมาทั้งวัน" แล้วพ่อค้าหนุ่มก็ลุกขึ้นแล้ว คว้ากระเป๋าใบเก่งซึ่งบรรจุข้าวของมากมายเดินมุ่งหน้าไปยังบาร์ ที่เข้าแวะไปดื่มประจำเมืองแวะมายังเมืองแห่งนี้ พลางนึกถึงความหลังเมื่อครั้งยังอยู่ที่เวลเจของตัวเขาเอง ความหลังซึ่งมันยังคงฝังลึกอยู่กับจิตใจของเขา




    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~​
  4. joi100

    joi100 นักเดินทางแห่งมิดการ์ด

    EXP:
    478
    ถูกใจที่ได้รับ:
    23
    คะแนน Trophy:
    38
    Re: [ฟิครับสมัคร] Tale Of Light and Shadow

    เรื่องเล่าจากแสงและเงาเรื่องที่1 พ่อค้าหัวส้ม (2)






    เมื่อพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไป วันรุ่งขึ้นพระอาทิตย์ก็คงจะฉายแสงแรกที่ทิศตะวันออกเสมอมา มันเป็นเช่นนี้มานานนับอนันต์ และวันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งวันใน ฤดูใบไม้ผลิของ เมืองชายน์ ที่อากาสแจ่มใส

    วันนี้ ออส บิลฟรอด ก็ยังคงมาจองที่ ณ ลานกว้าง เพื่อตั้งร้านเพื่อค้าขายตามปกติ แต่วันนี้แปลกกว่าทุกครั้ง เพราะตรงที่เค้าใช้ขายของเป็นประจำ กลับมี บุรุษคนหนึ่งกำลัง เชิดหุ่นให้ผู้คนที่ผ่านไปผ่านมาดู ซึ่งก็มีเด็กๆที่ติดตามพ่อแม่ที่มาตั้งร้านขายของ หรือแวะมาจับจ่ายสินค้า แวะมานั่งดูกันจำนวนไม่น้อยทีเดียว ซึ่งตัวคนที่เชิดหุ่นเขานั้นแต่งตัวแปลกกว่าผู้คนทั่วไปที่จะมาเดินในลานกว้างแห่งนี้ เพราะเขาสวม ชุดทักซิโด้สีดำ ผูกโบว์กระต่ายดำ เชิ้ตดำ กางเกงขายาวสีดำ สวมหมวกทรงสูง ซึ่งมันน่าจะเหมาะสำหรับไปงานเลี้ยงราตรี อะไรประมาณนั้นมากกว่ามาโชว์หุ่นเชิดอยู่แถวนี้

    ซึ่งออสก็ยืนดูอยู่ซักอึดใจใหญ่ๆ แล้วพ่อค้าผมส้มก็เลือกที่จะตั้งร้านของเขา ตรงข้ามกับที่เดิม ซึ่งตอนนี้กลายเป็นที่แสดงการเชิดหุ่น ของชายในชุดทักซิโด้ดำคนนั้นไปซะแล้ว หลังจากจัดร้านเสร็จระหว่างรอลูกค้าเข้าร้าน ตัวออสเองก็มองการแสดงนั้นอย่างพิจราณา

    เพราะนักแสดงคนนี้ดูแปลกตากว่า การโชว์ข้างถนนที่เขาเคยเห็นมาอยู่พอสมควร ด้วยชุดที่ใส่ และรูปร่างหน้าตาน่าจะเป็นชายวัย 40 ได้ล่ะมั๊ง จากเคยได้ยินมา การเชิดหุ่นนั้น มันเป็นศาสตร์ และ ศิลป์ ซึ่งทุกวันนี้จะหาคนที่ทำมันได้น้อยเหลือเกิน แต่การแสดงของชายคนนี้กลับสามารถเชิดหุ่นได้พริ้วไหวดุจมันมีชีวิตจริงๆ แถม เขายังสามารถพูดโดยไม่ขยับริมฝีปาก ทำให้หุ่นที่กำลังแสดงอยู่นั้น เหมือนมันเคลื่อนไหว และ พูดได้ด้วยตัวเอง ทำได้ดีไม่มีที่ติเลยจริงๆ

    เหล่าเด็กๆนั่งดูอย่างตั้งอกตั้งใจ ขนาดตัวเขาเองซึ่งเดินทางค้าขายไปมาแล้วเกือบๆ ทั่วแผ่นดินดิน ก็ยังยอมรับว่านี่เป็นการแสดงเชิดหุ่นที่ดีที่สุด เท่าที่เขาเคยเห็นมาเลย ซึ่งเรื่องราวที่แสดงนั้น เท่าที่เขาตั้งใจดู มันเป็นเรื่องราวสุดคลาสสิก เรื่องราวของ เจ้าหญิงผู้งดงาม ถูกจอมมารลักพาตัวไป แล้วก็มีผู้กล้าไปช่วยเจ้าหญิงออกมา แล้วทั้ง2 ก็ลงเอยกันด้วยดี

    ถึงจะเป็นเรื่องราวที่เห็นตอนแรก แล้วเดาตอนจบได้เลย แต่สำหรับเด็กๆที่นั่งดูอยู่นั้น มันสนุกสนานมากทีเดียว ตัว ออส เองก็ยอมรับว่าถึงเนื้อเรื่องจะเดิมๆ แต่นั่งๆดูแล้วมันก็เพลินดีเหมือนกันนะ หลังจากจบการแสดง เด็กๆที่มานั่งดูก็ถูกตั้งคำถาม ซึ่งมัน ดูเหมือนว่ามันจะไม่ยาก แต่เมื่อมาลองๆนึกดูแล้ว มันก็ไม่ง่ายเลย

    " เอาล่ะเด็กๆ ลุงมีคำถามใครตอบถูกจะมีรางวัลให้ สิ่งที่ตรงข้าม กับ คำว่า พัฒนา คืออะไร?" ชายในชุดดำคนนั้นเอ่ยกับเด็กๆที่นั่งดูอยู่ หลายๆคน ตอบว่า ถดถอย แต่มันก็ยังไม่ใช่คำตอบที่ถูก เด็กๆ พยายามตอบอยู่หลายๆอย่าง แต่มันก็ยังไม่ถูกๆ เวลาผ่านไปพอสมควร จนเด็กๆ ท้อแท้กันไปหลายคนแล้ว

    "ไม่มีคนตอบถูกก็ไม่เป็นไร เอานี่ลุงแจกลูกกวาดคนละเม็ด" เด็กๆที่กำลังจ๋อยกันอยู่ ต่างยิ้มหน้าบาน รับลูกกวาดคนละเม็ดแล้วจึงแยกย้ายกันไป ชายคนนั้นจึงเก็บอุปกรณ์การแสดงของเขา หลังจากเก็บเสร็จเขาคนนั้นก็เดิน เข้ามาหาพ่อค้าผมส้ม ซึ่งกำลังจัดเรียงสินค้าให้สวยงาม หลังจาก มีลูกค้ามาเลือกดู ไปหลายคน

    "แล้วพ่อหนุ่มล่ะตอบคำถามของลุงได้ใหม?" ชายคนนั้น นั่งยองๆ ลงหน้าร้านของเขาเอ่ยกับ ออส พร้อมกับยิ้ม

    ออส ไม่ชอบรอยยิ้มเช่นนี้ซักเท่าไรนัก เพราะมันเป็นรอยยิ้มที่ไม่สามารถตีความหมายได้เลย

    "คำถามที่เหมือนจะง่ายของลุง ผมไม่มีปัญญาตอบหรอก เพราะมันเกินสมองอันทึบๆของผมไปหน่อยล่ะ ถ้าถามเกี่ยวกับ อาวุธ หรือ สมบัติแล้วล่ะก็ผมก็ตอบลุงได้แทบทุกอย่างแหละ แล้วที่สำคัญ ผมไม่สนใจรางวัลของลุงซักเท่าไรหรอกนะ ถึงผมจะไม่รู้ว่ามันเป็นอะไรก็ตามที"

    "ตอบได้ ฉลาดมากพ่อหนุ่ม ตอนนี้ยังไม่มีลูกค้า งั้นช่วยตอบคำถามของลุงหน่อยได้มั๊ยล่ะ" ชายลึกลับคนนั้นเอ่ย กับ ชายหนุ่มผมส้ม

    ออส มองหน้าเขาตรงๆ แล้วยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์ "ได้สิ แต่ผมขอค่าตอบ 5 เหรียญทองแดงละกัน ไม่ว่าจะตอบถูกหรือไม่ก็ตาม"

    ชายในชุดทักซิโด้ หยิบ เหรียญเงิน เหรียญหนึ่ง วางลงตรงหน้าออสทันที "ลุงให้เหรียญนี่ 1 เหรียญ คงจะพอค่าเสียเวลาค้าขาย ของพ่อหนุ่มได้ไหม?"

    ออสไม่หยิบขึ้นมาทันที แต่มองอย่างพิจราณา เพราะมันเกินที่เขาคาดหมายไว้ ที่เขาเรียกค่าตอบนั้น ไม่ใช่เพราะเขาอยากได้เงินจำนวนนั้น แต่ เขาต้องการตัดบทขี้เกียจตอบคำถามต่างหาก

    "นี่ลุง ต้องการอะไรกันแน่?" ออสถามตรงๆ

    "ก็แค่เล่นทายปัญหา หรือ 1เหรียญเงินมันน้อยเกินไป" ชายคนนั้นตอบกลับมา

    "มันเยอะเกินไปต่างหาก เหรียญที่วางอยู่นี่ คนธรรมดาอยู่ได้เป็น10วัน ลุงใช้มันเพื่อการเล่นทายปัญหา นี่นะ?" พ่อค้าผมส้มเอ่ยถามอย่างสงสัย

    "สำหรับคนอื่น ลุงไม่รู้ แต่สำหรับลุง เงินทองมันไม่สำคัญเลย ถ้าลุงจะใช้มันเพื่อความพอใจมันผิดด้วยหรือ? "นักเชิดหุ่นผู้ชื่นชอบการทายปัญหา เอ่ยตอบ

    ออส หัวเราะเบาๆ วันนี้เขาก็เจอคนแปลกๆ อีกแล้ว ซึ่งตอนนี้เขาก็พอจะเดาได้แล้วว่า นักเชิดหุ่นคนนี้ ไม่ใช่คนธรรมดาแน่ๆ ดีไม่ดีอาจจะไม่ใช่มนุษย์ ซะด้วยซ้ำ แต่จะเป็นอะไรนั้น เขาก็ไม่รู้เหมือนกัน "หึๆ งั้นก็ได้ ตามศรัทธา แต่ลุงจะถามอะไรล่ะ อย่าให้ มันเกินความสามารถสมองทึบๆ ของผมล่ะ"

    "ต้องอย่างนั้นสิ เห็นพ่อหนุ่มบอกว่า เชี่ยวชาญเรื่องอาวุธ มากพอสมควรเลยนี่ ลุงอยากจะรู้ว่า อาวุธ อะไรแข็งแกร่งที่สุด? " ชายในชุดทักซิโด้สีดำเอ่ยถาม

    " อาวุธที่แข็งแกร่งที่สุดคืออะไรนั้นคืออะไร งั้นหรือ? อืม... อืม... อืม... ไม่รู้ว่าจะถูกรึเปล่านะ แต่จะลองตอบดูละกัน" ออส เอ่ยแบบแบ่งรับแบ่งสู้

    " วัสดุที่ถูกใช้เพื่อสร้างอาวุธ นั้นมีมากมายหลายชนิด แต่ที่นับว่ายอดเยี่ยมที่สุดนั้นก็คือ `โฮริฮารูก้อน` ซึ่งเป็นโลหะที่หายากมากที่สุดใน เอลล์เทอเฟีย แห่งนี้ ด้วยความแข็งแกร่งที่มากกว่าโลหะชนิดอื่นอยู่พอสมควรเลยทีเดียว ด้วยความแข็งแกร่งของโลหะชนิดนี้ ทำให้ผู้ที่จะสร้างมันให้เป็นอาวุธ จำเป็นต้องมีฝีมือที่สูงมาก เท่าที่รู้ปัจจุบันนี้ ไม่มีช่างคนไหนเก่งพอที่จะสร้าง อาวุธ หรือ จะซ่อมแซมอาวุธที่สร้างด้วยแร่ชนิดนี้ เหลืออยู่เลย"

    "อาวุธที่สร้างจากโลหะชนิดนี้จึงนับว่าแข็งแกร่งที่สุด แต่ตัวโลหะ `โฮริฮารูก้อน` ก็ยังถูกแบ่งออกตามสีของตัวมันเอง ซึ่งเท่าที่พอจะคนเคยเห็น แล้วระบุไว้ก็จะมี 3 สี ส่วนจะมีมากกว่านี้หรือเปล่าผมก็ไม่รู้เหมือนกัน "

    "หนึ่ง สีขาว โอริฮารูก้อนสีนี้ จะมีความสามารถ ด้านเกี่ยวกับเวทย์มนต์สูงมาก ไม่ว่าจะลบล้าง ดูดกลืน หรือ ขยายความรุนแรง เท่าที่เคยได้ข่าว อาวุธที่สร้างจากโลหะชนิดนี้ เท่าที่พอจะระบุได้ก็มีอยู่ราวๆ 3 ชิ้น"

    "สอง สีน้ำเงิน โอริฮารูก้อนสีนี้ จุดเด่นของมันก็คือ การเพิ่มแรงกระแทก ส่วนใหญ่มันจะถูกนำไปสร้างเป็นอาวุธที่ไร้คม อาวุธที่ทำจากแร่สีน้ำเงินนี้มีน้อยมากๆ เพราะ คนส่วนใหญ่ไม่นิยมใช้อาวุธไร้คมกันหรอก "

    "สาม สีดำ สีนี้ถูกยกย่องว่าเป็นแร่ที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ อาวุธในตำนานหลายชิ้นก็ถูกสร้างจากแร่ชนิดนี้ แต่ด้วยความแข็งแกร่งที่มีมากเกิน ทำให้อาวุธหลายๆชิ้นที่สร้างจาก โลหะชนิดนี้กลายเป็นอาวุธต้องสาป ไปซะก็หลายชิ้น"

    " เป็นไงลุงคำตอบเป็นไงพอไหวมะ? " ออสเอ่ยถามคนตั้งปัญหา

    "มีความรู้มากกว่าคนหนุ่มทั่วๆไป เลยนะพ่อหนุ่ม ในฐานะที่ชำนาญในด้านนี้ ลุงขอถามอีกข้อ แล้ว อาวุธ ชี้นไหน แข็งแกร่งที่สุดในสายตาของพ่อหนุ่มล่ะ?" นักเชิดหุ่นเอ่นถามพ่อค้าผมส้มอีกข้อ

    "ตอบแบบไม่ต้องคิดเลยลุง ไม่มีอาวุธชิ้นไหนแข็งแกร่งไร้เทียมทานหรอก เชื่อผมสิ" ออสตอบโดยไม่ลังเล

    ชายในชุดดำขมวดคิ้วอย่างกังขา "ทำไมล่ะ?"

    "อาวุธต่อให้ดีแค่ไหน ถ้าคนใช้มันไม่ได้เรื่อง มันก็เท่านั้น อย่างที่คนโบราณเขาว่าไว้ `ดาบต่อให้คมแสนคม ถ้ามันฟันไม่โดนก็ไร้ค่า` จริงไหมล่ะลุง? ถ้าจะให้ตอบจริงๆ ล่ะก็ ฝีมือ และ จิตใจ ของผู้ใช้ต่างหากที่ทำให้อาวุธแข็งแกร่งที่สุด ไม่ว่าอาวุธชิ้นนั้นจะถูกสร้างจากอะไร ถ้ามันอยู่กับคนเก่งมันก็น่ากลัวทั้งนั้นแหละ" ออสสรุป พร้อมกับเสียงตบมือจากเจ้าของปัญหา

    "เยี่ยมมาก ตอบได้เยี่ยม อนาคตของตระกูล `เฮเทรน` คงไม่มืดมนแล้วล่ะ ขอบใจมากพ่อหนุ่มที่เล่นตอบคำถามกับลุง" แล้วนักเชิดหุ่นในชุดทักซิโด้ สีดำก็ลุกออกจากร้านของ ออส เดินหายไป

    โดยปล่อยให้ออส นั่งจ้อง เหรียญเงินที่วางอยู่ตรงหน้าเขาด้วยความสงสัย แล้วเขารู้ได้ยังไงว่า ตัวออสเองเป็นคนของ ตระกูลเฮเทรน ยิ่งคิดยิ่งรกหัวหาคำตอบไม่ได้ สุดท้ายก็ปัดความสงสัยนี่ทิ้งไป เพราะจากประสบการณ์ เรื่องบางอย่างมันไม่ควรที่จะเก็บมาคิดให้รกหัวนัก เพราะต่อให้คิดให้ตายมันก็หาคำตอบไม่ได้อยู่ดี

    วันนั้นทั้งวัน ต่างมีลูกค้าเข้ามาเลือกซื้อสินค้าในร้านของเขา จนหมดแทบทุกอย่าง อาจจะเป็นของในร้านเขา เป็นของดีราคาพอสมควร ไม่ถูกไม่แพง หรือ อาจจะเป็นเพราะทำเลนี้มันดีกว่าที่เดิม ซึ่งออสก็ไม่สนใจนักหรอก แค่ขายของที่ขนมาหมดก็พอใจมากแล้ว ร้านของพ่อค้าผมส้ม ถูกเก็บลงตั้งแต่ยังไม่เย็นมาก

    แต่ ออสยังคงเดินเตร่ อยู่ในลานกว้างแห่งนั้นจนมืด แต่ก็ยังไม่มีอะไรถูกใจเขา หรือ น่าสนใจที่จะซื้อไปขายต่อเลย ระหว่างเดินๆอยู่นั้นเอง ก็มีค้างคาวตัวหนึ่งบินมาเกาะที่ใหล่ของเขา พร้อมๆกับ ม้วนกระดาษที่มันคาบมา ซึ่งพ่อค้าผมส้มก็รู้ได้ทันทีว่ามันเป็นจดหมายจากเพื่อนนักหาข่าว ของเขานั่นเอง

    " รออยู่ที่ร้านเมโลดี้ " นี่คือข้อความสั้นๆที่อยู่ในสารฉบับนั้น

    "ชิ!! ไอ้โทโย เห็นว่าตูจะเลี้ยงเล่นเลือกร้านที่แพงที่สุดในเมืองเลยนี่หว่า กะจะกินให้คุ้มเลยมั๊งเนี่ย" ออสบ่นงึมงัมๆ เพราะร้าน`เมโลดี้` ที่ว่าเนี่ย เป็นร้านอาหารที่หรูที่สุดในเมืองชายน์แห่งนี้แล้ว ซึ่งราคานั้นมหาโหด กินแต่ละมื้อ ต้องมีอย่างต่ำ 1 เหรียญเงิน โดยปกติร้านนี้ก็จะมีแต่พวก คนที่รวยมากๆ หรือ พวกเจ้าเมือง ขุนนางชั้นสูงไปกินกันทั้งนั้น

    "โชคดีที่วันนี้ขายของหมด ไม่งั้นโดนค่าข้าวของเจ้าแวมไพร์นั่นกระเป๋าฉีกแหงๆ" ออสคิดในใจแล้วออกเดินมุ่งหน้าไปทางเหนือของเมืองอันเป็นที่ตั้งของร้าน

    ออสเดินแบกกระเป๋าเปล่าๆ จนมาถึงหน้าร้าน ซึ่งหน้าร้านนั้นถูกประดับด้วยโคมไฟชนิดต่างๆอย่างสวยงามและสว่างไสว ในยามค่ำคืนเช่นนี้ พ่อค้าผมส้มถอนหายใจออกมาเฮือกนึง แล้วก็เดินเข้าไปในร้าน ภายในร้าน ถูกจัดไว้ราวกับพระราชวัง มีพรมสีแดงปู ตามทาง โต๊ะเก้าอี้ ก็เป็นแบบเดียว ที่อยู่ในวัง

    ภายในถูกประดับไว้ด้วยรูปปั้น และภาพเขียนที่มีค่า มากมาย ทุกอย่างถูกจัดไว้อย่างลงตัว ระหว่างที่กวาดสายตาอยู่นั้น ก็มีบริกร คนหนึ่งเดินเข้ามาทักทายอย่างสุภาพ "ไม่ทราบกี่ที่ดีครับ"

    "พอดีนัดเพื่อนไว้น่ะ " ออสตอบกลับพลางกวาดสายตาหาเพื่อนผมทองของเขา พริบตานั้นเองก็มีดาบเล่มหนึ่ง มาจ่อคอของเข้าจากด้านหลัง

    บริกรคนนั้นถึงกับหน้าซีด แต่ออสกลับนิ่ง ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น "อย่าบอกนะว่าแก มากินฟรีอีกคน"

    เจ้าของดาบเก็บดาบของเขาเข้าฝัก แล้วเดินเข้าไปกอดคอ พ่อค้าผมส้มอย่างสนิทสนม "อ๊ะ แน่นอนนานๆที พ่อค้าขี้เหนียวอย่างแกจะเลี้ยงข้าวนี่หว่า พลาดไปเสียดายแย่"

    "เหอๆ เอาก็เอา ที่ใครทีมันนะเฟ้ย ถึงที่ข้าล่ะ แก2ตัวโดนเอาคืนแน่ๆ" ออสหันไปเอ่ยเพื่อนอีกคนหนึ่งของเขา

    ซึ่งเพื่อนของคนนี้ ผมสีดำเหลือบน้ำเงินสั้นชี้ฟูทั้งหัว ดวงตาสีครามกลมโตซุกซน หน้าตาดูกะล่อน ทะเล้นแบบเด็กๆ ทั้งๆที่อายุไม่ต่างจากเขาเท่าไร แต่หน้าตาดูเหมือนเด็กอายุ 15 ไม่มีผิด "ยังเล่นเป็นเด็ก อยู่เหมือนเดิมเลยนะ อเล็กซ์ แล้วแกกลับเข้าฝั่งเมื่อไรละน่ะ"

    "เมื่อเช้าฟ่ะ แวะ ไปกวนเวลานอนเจ้า โทโยมันเล่นๆ ฮาจะตาย มันบอกเพิ่งนอนได้ 2 ชม. ข้าก็ลงไปปลุกมันถึงห้องใต้ดิน หน้าตาอย่างงี้ดูไม่จืดเลยว่ะ" เพื่อนหน้าเด็กของ ออส หัวเราะชอบอกชอบใจ

    "แกนี่จริงๆเลยน๊า โน่นไง เจ้าโทโย กวักมือเรียกอยู่โน่น ว่าแต่ว่าแกถ่อสังขารมาหาเจ้าโทโย ถึงที่นี่มีเรื่องอะไรรึวะ" พ่อค้าผมส้มเอ่ยกับเพื่อนของเขาระหว่างเดินไปที่โต๊ะ

    "ก็ไม่มีอะไรมาก พอดี มีลูกค้า เค้าให้มาตามหาสมบัติ ข้อมูลมันไม่พอว่ะ เลยมาใช้บริการ ของเจ้าผีดูดเลือดนี่ซักหน่อย ไม่คิดว่าจะได้มากินข้าวฟรีที่หรูๆขนาดนี้ด้วย ที่สำคัญ แกเป็นคนเลี้ยงนี่สิแจ๋วสุดๆ" อเล็กซ์เอ่ยพลางนั่งลงข้างโทโยที่คอยอยู่แล้ว

    "แหมๆ พ่อคุณเล่นเลือกร้านซะหรูเชียว กะจะกินกันให้คุ้มเลยล่ะสิ " ออสเอ่ยประชดทันทีที่ลงนั่งเช่นกัน

    "ความคิดชั้นที่ไหน ความคิดเจ้า อเล็กซ์มันโน่น" ชายหนุ่มผมทองโบ้ยให้เพื่อนเขาทันที

    "ตลกและแก ชั้นแค่บอกว่ากินให้มันดีๆหน่อยละกัน ไม่ได้บอกให้เลือกร้านซะหรูสุดกู่แบบนี้นี่หว่า " อเล็กซ์เถียง

    "เออๆ พอเหอะๆ อยากกินอะไรก็สั่งถือว่าเป็นค่าข่าวละกัน ส่วนแก อเล็กซ์ เอาไว้ตูมีธุระเมื่อไร เรือของแกน่ะโดนก่อนใครเพื่อน แน่ๆ " พ่อค้าผมส้มกล่าวตัดบท ก่อนที่ทั้ง2คนจะเถียงกันไปมากกว่านี้

    หลังจากสั่งอาหาร แล้ว ซึ่งทั้ง 3 คนสั่งกันแบบ ชนิดเต็มที่ ไม่มีเกรงใจอะไรทั้งนั้นเพราะรู้จักกันดี ถึงออส จะ ดูเผินๆเป็นคนขี้เหนียว แต่เมื่อรับปากใคร เขาก็พร้อมที่จะทำเต็มที่โดยไม่อิดออด

    แต่การที่ออสจะเอ่ยรับปากใคร หรือจะเลี้ยงใครซักคน มันก็ต้องมีเหตุผลที่สมควร อย่างหนนี้ ตัวออส เองก็อาศัย โทโย หาข่าวมา ตั้งแต่เขาเริ่มออกเดินทาง โดยไม่เคยจ่ายค่าข่าวซักหน เมื่อ เพื่อนเขาจะให้เลี้ยงข้าวซักมื้อ ออสจึงไม่บ่นอะไรมากนัก

    "ว่าแต่ว่า แก อเล็กซ์ กิจการ นักล่าสมบัติในทะเล ของแกเป็นไงบ้างวะ " ออสเอ่ยถามระหว่างที่รออาหารอยู่

    " ก็เรื่อยๆ อ่ะนะ ตอนนี้พ่อฉันก็พักผ่อนอยู่กับบ้าน ปล่อยให้ฉันรับช่วงเรือของท่านต่อเต็มตัว แล้วแกล่ะ ออส เป็นไงบ้างวะไม่เจอกันตั้งหลายปี " นักล่าสมบัติหนุ่มเอ่ยถามกลับมา

    "ก็เรื่อยเปี่อย ไปวันๆน่ะแหละ แต่จากข่าวล่าสุดที่ได้จากเจ้าโทโยมา ตอนนี้ข่าวสารทั้งหมด ก็มีมากพอสมควรแล้วว่ะ จะขาดก็แค่กุญแจ ที่จะไขประตูบุกเข้าดินแดนลึกลับแห่งนั้น" พ่อค้าผมส้มตอบคำถามของเพื่อนเขา

    "นายมั่นใจหรือ ออส อย่างที่ฉันบอกนายไว้ว่ามันเสี่ยงมาก แทบไม่เห็นความหวังที่จะสำเร็จเลยซักนิด " โทโยเอ่ยทักท้วงอีกครั้ง

    " นายก็น่าจะรู้นี่นาว่า ตูมันหัวดื้อแค่ไหน นี่พูดจากใจถึงมันจะเลื่อนลอยไร้ความหวัง แต่ก็คิดว่าไม่ใช่มันเป็นไปไม่ได้นี่นา จริงไหม? ถึงตูจะตายลงไป ก็ไม่เสียใจหรอกนะ เพราะมันเป็น เส้นทางที่เลือกเองนี่หว่า " ออสบอกด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น

    "พอเหอะๆ เลิกพูดเรื่องเครียดๆซักที นานๆเจอกันอย่างคุยอะไรที่มันฟังแล้วรู้สึกแย่เลย " อเล็กซ์ตัดบท เป็นจังหวะเดียวกับ ชายคนหนึ่งซึ่งแต่งตัวคล้ายๆบริกร แต่ดูดีกว่า เล็กน้อยเดินมายังโต๊ะของเขา

    "ท่าทางโต๊ะเราจะมีปัญหาแฮะ" โทโย เอ่ยกับเพื่อนร่วมโต๊ะ

    "ขอประทานโทษนะครับ ท่านสุภาพบุรุษ พอดีมีแขกจากเมืองเวลเจ เขาต้องการจะนั่งโต๊ะตัวนี้ ช่วยย้ายที่หน่อยจะได้ใหมครับ ทางร้านเราจัดโต๊ะอีกตัวไว้แล้ว ด้านหลัง แล้วแขกท่านนั้นก็จ่ายค่าย้ายโต๊ะมาให้พวกท่านด้วย " ชายคนนั้นเอ่ยอย่างสุภาพ พลางวางเหรียญเงิน 5 เหรียญลงบนโต๊ะเบาๆ

    "พี่ชายเป็นผู้จัดการของที่นี่งั้นเหรอ?" ออสเอ่ยถามด้วยเสียงเรียบๆ

    "ไม่ผิดครับท่าน" ชายคนนั้นตอบกลับมา

    " งั้นช่วยไปบอกแขกที่มากจากเวลเจ ท่านนั้นให้ทีนะ ว่าถ้าอยากให้เราย้ายโต๊ะ ไม่ต้องจ่ายเงินหรอก แต่ให้มาบอกกับเราด้วยตัวเอง แล้วช่วยเก็บเงินพวกนี้ไปด้วย " คราวนี้อเล็กซ์บอกกับ ผู้จัดการร้าน

    "ตะ ตะ แต่ เขาเป็นถึงพ่อค้าใหญ่ของเวลเจเลยนะ ครับ" ผู้จัดการร้านถึงกับตกใจพอสมควร กับคำตอบที่ได้รับจากเด็กหนุ่ม ทั้ง3คน

    "เอาน่า พี่ชายไม่มีเรื่องอะไรหรอก แค่ถ้าเขาอยากให้พวกเราย้ายโต๊ะ ก็ควรมาบอกด้วยตัวเอง ไม่ใช่ ใช้คนอื่นมาบอก แล้วแถมยังให้ค่าย้ายโต๊ะ มาด้วยอย่างนี้ มันเท่ากับดูถูกกันชัดๆ จริงไหมครับ " โทโยเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล แต่ทำเอาผู้จัดการร้านเสียวสันหลังวาบ เหงื่อแตกพลั่ก จนต้องควักผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับเหงื่อ

    ออส ล้วงเข้าไปในกระเป๋า แล้ว ยื่นเหรียญ ทองเหรียญหนึ่ง ให้ผู้จัดการร้าน "เอานี้ไปพี่ชาย คิดค่าอาหารจากในนี้ได้เลย ถ้ากลัวเราไม่มีจ่ายค่าอาหาร และ ค่าเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น "

    ผู้จัดการร้าน อึ้งไปอีกครั้ง จนออส เอ่ยเตือน เขาจึงตั้งสติได้ รับเหรียญทองจากมือของออส แล้วเก็บ เหรียญเงินทั้ง 5 เหรียญ แล้วก็เดินกลับไปทางเดิมด้วยสีหน้าไม่สบายใจมากนัก

    "ข้าวปลายังไม่ทันได้กิน เรื่องก็มาหาถึงที่เลยแฮะ เอาไงดีพวก จะลุยเลยรึเปล่า " อเล็กซ์เอ่ยพลาง ดึงดาบสีเงินออกจากข้างตัว วางลงบนโต๊ะ แล้ว หักนิ้วเสียงดัง เตรียมพร้อมมีเรื่องเต็มที่

    "เห็นเป็นเรื่องสนุกเลยนะแก ว่าไง ออส นายจะเอาไงล่ะ? " โทโยถามไปยังเจ้ามือ ของมื้อนี้ ซึ่งแววไม่ได้กินข้าวฉายเด่น

    ออส ยิ้ม อย่างชั่วร้าย "ก็แล้วแต่ฝ่ายตรงข้าม แต่ถ้าเป็นพ่อค้าใหญ่แห่งเวลเจจริงๆ เค้าอาจจะใจดีเลี้ยงข้าวเราก็ได้นะ เรา3คนที่ออกจะหน้าตาดูจ๊น จน ใช่มะ"

    อีก2คนที่เหลือ พอจะเข้าใจในความหมาย ของเพื่อนหัวส้มของเขา จึงยิ้มออกมาอย่างชั่วร้ายไม่แพ้กัน

    ไม่ถึงอึดใจ ก็มี ชายวัยกลางคนร่างท้วม สวมใส่เสื้อผ้าชั้นดี แต่ละนิ้วมีแหวนเพชร เต็มไปหมด สวมสร้อยทองประดับเพชร พลอยเส้นใหญ่ มาพร้อม กับ ชายร่างใหญ่ ท่าทางเป็น นักรบรับจ้าง ถือดาบเล่มใหญ่ เดินเข้ามายังโต๊ะของพวกเขาด้วยท่าทีดุร้าย ทำเอาแขกหลายๆคนเริ่มใจไม่ดี

    "แหม แต่งตัวยังกะร้านทองเดินได้ กลัวเขาไม่รู้รึไงน่ะว่าตัวเองรวย " อเล็กซ์เอ่ยประชดขึ้นมาทันที

    "โทโย แกเก็บเงียบนักรบรับจ้าง ข้างหลังทีสิ แต่อย่าให้ตายนะ ส่วนคนข้างหน้า ปล่อยให้เดินเข้ามา" ออสเอ่ยกับแวมไพร์ผมทองที่นั่งข้างๆเขา ซึ่งพ่อค้าข่าวผมทองก็พยักหน้ารับทราบ แล้วโทโยก็ร่ายมนต์ ทำตามที่เพื่อนนัดแนะทันที อึดใจต่อมาเงาของโทโย ก็ เคลื่อนไหวไปตามพื้นมุ่งตรงไปยัง นักรบรับจ้าง ที่มองตรงมาอย่างดุร้าย

    เงาสีดำสนิทพุ่งเข้าใส่ร่างนั้นอย่างเงียบกริบ พร้อมๆกับรัดทั่วร่างกาย จนนักรบรับจ้างคนนั้น สติหลุดออกจากร่างโดยไม่ได้ร้องซักแอะ แล้วเจ้านายของเขาก็ไม่รู้ตัวเลยซักนิด พ่อค้าร่างท้วมคนนั้น ยังคงเดินตรงมายังโต๊ะ ของเด็กหนุ่ม 3 คน

    " นี่อั๊วบอกให้พวกลื้อย้ายโต๊ะ เงินอั๊วก็ให้ พวกลื้อมีอะไรพอใจงั้นรึ เด็กๆอย่างพวกลื้อ น่าจะย้ายๆไปจะได้ไม่เจ็บตัว นี่อั๊ว ให้10เหรียญเงินเลย ย้ายโต๊ะไปได้แล้วไป " ชายร่าวท่วมคนนั้นเอ่ยทันทีที่ถึงโต๊ะ พร้อมกับโยนเหรียญสีเงิน ลงบนโต๊ะของพวก ออส

    "โอ้ ตั้ง10เหรียญเงินค่าย้ายโต๊ะ สมเป็นพ่อค้าหย่ายยยย แห่งเวลเจ จริงๆ งั้นถ้าพวกเราไม่ย้าย มันจะมีอะไรเหรอ? " อเล็กซ์เอ่ยด้วยน้ำเสียง และ ท่าทางที่ยียวนกวนประสาทเต็มที่

    "พวกลื้อก็เจ็บตัวไง!! เฮ้ย! จัดการพวกมันซะ ค่าเสียหายเดี๋ยวอั๊วจ่ายเอง" พ่อค้าใหญ่แห่งเวลเจคนนั้นตะโกนเรียกนักรบรับจ้างของเขาโดยที่ไม่รู้ว่า เจ้านั่นน่ะนอนสลบอยู่ข้างหลังไปแล้ว

    "เงียบ.... ลูกน้องท่านพ่อค้าหย่ายยย นอนไปซะแล้วสงสัยจะง่วง ฮาๆ" อเล็กซ์ยังคงทำหน้ายียวนกวนประสาทต่อไป

    "ต้องขอโทษแทนเพื่อนผม `อเล็กซานเดอร์ ฟิลแลนดรอส` ด้วยนะครับ อ้อลืมแนะนำตัว ผม `ไดฮาคุ โทโย` ต้องขอโทษด้วยที่เสียมายาท " โทโยเอ่ยด้วยเสีงนุ่มนวลสุดๆของเขาอีกครั้ง

    "อ้อ นึกว่าใคร ที่แท้ก็ ท่าน `โจเซ่` พ่อค้าใหญ่แต่เวลเจนี่เอง หวังว่าคงจะไม่ลืมกันนะครับ เราค้าขายด้วยกันบ่อยนี่นา" ออสเอ่ยขึ้นมาพลางยิ้มทักทาย

    ทันทีที่ได้ยินชื่อของ ทั้ง2คนที่นั่งอยู่ และ เห็นหน้า ออสชัดๆ ชายร่างท้วมคนนั้นถึงกับหน้าซีดเผือดทีเดียว "ตะ ตะ ตะ ต้องขะ ขออภัย นายน้อยทั้ง3คนด้วย "

    ออสยังคงยิ้ม แล้วเดินเข้าไปหาชายร่างท้วมคนนั้นซึ่งตอนนี้หน้าไม่มีสีเลือดไปแล้ว "ไม่เป็นไรหรอก ถ้าอยากจะนั่งโต๊ะตัวนี้ พวกเราย้ายให้ก็ได้ แต่ช่วยเลี้ยงข้าวเราซักมื้อสิ นะท่าน โจเซ่"

    "ดะ ดะ ดะ ได้ครับ เชิญ นะ นะนายน้อยนั่งตรงนี้แหละครับ" ชายร่างท้วมยังคงพูดตะกุกตะกักไม่หาย แล้วรีบเดินออกจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว

    "เดี๋ยว!!! " อเล็กซ์ร้องทัก ทำเอา พ่อค้าใหญ่แห่งเวลเจคนนั้นสะดุ้งสุดตัว อเล็กซ์ ยื่นเหรียญเงินที่พ่อค้าคนนั้น โยนลงบนโต๊ะคืนให้ "ลืมของแน่ะ"

    หลังจากพ่อค้าคนนั้นเดินหายไป ทั้ง3คนก็หัวเราะออกมา ทำเอาแขกคนอื่นๆ รวมถึงพนักงานในร้านทุกคน ลอบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก หลังจากตึงเครียดมานาน

    "โอย อย่างฮา ไม่ไหวแล้ว" อเล็กซ์ หัวเราะจนหน้าแดง

    "ถ้าอยู่คนเดียว อาจจะไม่ขนาดนี้ แต่นี่เล่นอยู่กันครบ3คน ดูๆไปก็น่าสงสารพ่อค้าคนนั้นนะ " โทโยเอ่ยหลังจากหัวเราะอยู่นานดีเดียว

    ออส พยายามหยุดหัวเราะ "ฮ่า ฮ่า ฮ่า ช่วยไม่ได้นี่หว่าดันดวงไม่ดีเอง"

    ซักพักผู้จัดการร้านก็เดินเข้ามาหาพวกเขา 3 คน ด้วยสีหน้าแปลกใจสุดๆ "เอ่อ ท่านครับ เมื่อกี้ท่านพ่อค้าจ่ายค่าอาหารมื้อนี้ให้แล้วนะครับ แล้วนี่ เหรียญทองของท่าน"

    ออส ยิ้มแฉ่ง เพราะไม่ต้องจ่ายค่าข้าวมื้อนี้แล้ว รับเหรียญทองของเขาคืนเก็บลงใส่กระเป๋า "ไม่ทราบ จะรังเกียจใหม ถ้าจะขอทราบว่า พวกท่านทั้ง3 เป็นใครกันแน่ครับ"

    อเล็กซ์ ตอบข้อสงสัยโดยไม่คิดจะปิดบังอะไรนัก "นี่พี่ชาย รู้จัก 3ตระกูลใหญ่ แห่งเวลเจไหม?"

    "รู้จักสิครับ ใครๆ ก็ทราบทั้งนั้น มี ตระกูล`เฮเทรน` ตระกูลแห่งช่างตีดาบ ผู้ควบคุม1 ใน 3 ของเวลเจ ด้านติดกับแม่น้ำเซลว่า "

    "ตระกูล`ไดฮาคุ` ตระกูลแห่งพ่อค้าข่าว ควบคุม 1 ใน3 ของเวลเจ ด้านติดกับทะเลทรายอัลคาน่า "

    "แล้วก็ ตระกูล `ฟิลแลนดรอส ` ตระกูลแห่งนักเดินเรือที่ยิ่งใหญ่ ควบคุม 1 ใน 3 ด้านติดกับ ทะเล เซเน่" ผู้จัดการคนนั้นตอบเท่าที่รู้

    "ถ้าบอกพี่ชาย ว่า เรา3คนนี่หละ เป็นคนที่สืบทอดตระกูลนั้น พี่ชายจะเชื่อไหม? ขืนท่านพ่อค้าใหญ่นั่น ยึกยักท่ามาก ก็แค่กีดกันช่องทางทำมาหากิน นิดๆหน่อยๆ ท่านพ่อค้าหย่ายยย อาจจะกลายเป็นพ่อค้าธรรมดาได้นะเอ้อ " อเล็กซ์เอ่ยแบบทีเล่นทีจริง

    ออสค้านขึ้นมา "แค่2 เฟ้ย ข้าไม่นับ ก็รู้ๆกันอยู่ปู่ข้าตัดออกจากกองมรดก ตั้งแต่ข้าก้าวออกจากบ้านแล้ว คนสืบทอดมันน้องชายข้าโน่น"

    "เออๆ ลืมไป โทษที ว่าแต่ว่ากับข้าว ที่สั่งยังไม่เสร็จอีกเหรอ? " นักล่าสมบัติหนุ่มเอ่ยถามเพราะเขารู้สึกเริ่มหิวแล้ว

    "ขะ ขะ ขอประทานอภัยครับ จะรีบไปจัดให้เดี๋ยวนี้ครับ" ผู้จัดการร้านรีบไปเร่งทางครัวทันที คงไม่ต้องสงสัยว่า อาหารที่จะถูกยกมาเสริฟนั้นมันต้องดีที่สุดในร้านแน่นอน

    ระหว่างรอ อาหารนั่นเองจู่ๆก็มี หญิงสาวคนหนึ่งเดินลงมานั่งลงบนเก้าอี้ที่เหลืออีกตัวหนึ่ง "ขอนั่งด้วยนะคะ คงไม่รังเกียจ"

    เธอคนนั้นยิ้มให้ทุกคน แต่ พวกเขารู้สึกว่ามันเยือกเย็นเหลือประมาณ แล้ว ปฏิกริยาของทุกคนคือ แทบจะลุกวิ่งออกจากโต๊ะ เดี๋ยวนั้นทันที ทั้งๆที่เธอเป็นเด็กสาว ผมสีเงินยาวสลวย ดวงตากลมโตสีแดงสด ดุทับทิมชั้นยอด สวมเสื้อแขนกุดสีดำ มีสายเข็มขัดสีดำรัดต้นแขน ท่าทางอายุคงไม่เกิน 17ปี ดูงดงามเหมือน หลุดออกมาจากเทพนิยายไม่มีผิด

    " ชิบหายแล้วไง!!!! " นี่คือสิ่งที่ทั้ง3 คนคิดเหมือน อยู่ในใจโดยไม่ต้องนัดแนะ




    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~​
  5. joi100

    joi100 นักเดินทางแห่งมิดการ์ด

    EXP:
    478
    ถูกใจที่ได้รับ:
    23
    คะแนน Trophy:
    38
    Re: [ฟิครับสมัคร] Tale Of Light and Shadow

    เรื่องเล่าจากแสงและเงาเรื่องที่1 พ่อค้าหัวส้ม (3)











    ขณะที่ทั้ง3กำลังเลิ่กลั่กๆกันอยู่นั่นเอง ออส ซึ่งตั้งสติได้ก่อนใครเพื่อนก็ ยิ้มอย่างเยือกเย็นไม่ต่างกันออกมา แล้วก็กล่าวทักทาย "เชิญนั่งตามสบายครับ เจ้าหญิง ไม่ทราบว่าวันนี้อุส่าห์ให้เกียรติ มานั่งกับพวกเรา เมื่อวานผมเพิ่งรู้ข่าวของ เจ้าหญิง จาก โทโย ไม่คิดว่าจะได้พบตัวเร็วเช่นนี้ นับว่าโชคดีอย่างยิ่ง" ออสเปิดฉากสนทนาทันที โดยที่อีก2คนยังตั้งตัวไม่ติดนัก

    ประโยคที่ดูเหมือนจะสุภาพแต่เต็มไปด้วยการเสียดสีนิดๆพอเจ็บๆคันๆไม่อาจทำให้ สาวน้อยที่นั่งอยู่ในโต๊ะเปลี่ยนสีหน้าแม้แต่น้อย ตรงข้ามเธอยังคงยิ้มเยือกเย็นเช่นเคยแล้วตอบมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา "น่าจะเป็นทางนี้มากกว่านะคะ ที่ ได้รับเกียรติ ร่วมโต๊ะอาหาร ในร้านสุดหรูกับ คนหนุ่มผู้ยิ่งใหญ่แห่ง เวลเจทั้ง3คน"

    "เจ้าหญิงก็กล่าวเกินไป 2คนนี่เป็นอย่างที่ท่านบอกไม่ผิดครับ แต่ตัวกระผมนั้นเป็นเพียงพ่อค้าเร่ร่อนธรรมดาๆ หาได้มีค่ามากมายเช่นนั้น" ออสตอบกลับมาอย่างสุภาพ

    "ออส เฮเทรน คนที่ถูกเรียกว่า `อสูรร้ายแห่งเวเจ` บอกว่าเป็นเพียงคนธรรมดานี่มันน่าตลกดีจังเลย ว่าไหมคะ" สาวน้อยผมเงินเอ่ยพลางหัวเราะเบาๆ

    "เจ้าหญิงคงเข้าใจอะไรผิดไปแล้วล่ะครับ ตอนนี้ ตัวผมเองไม่ใช่คนในสกุล เฮเทรนอีกแล้ว เป็นเพียงพ่อค้าเร่ นามว่า `ออส บิลฟอร์ด` ช่วยเข้าใจให้ถูกต้องด้วยนะครับ"

    "อ้อ เกีอบเสียมารยาท นี่ครับเมนูอาหาร เชิญสั่งตามสบายนะครับ" ออสเอ่ยพลางยื่นเมนูให้กับสาวน้อยที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขา ซึ่งเธอก็เลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนทีจะรับเมนู แล้วสั่งอาหารอย่างเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งบริกร ก็รีบมาบริการอย่างรวดเร็วทันทีที่เธอกวักมือเรียก

    หลังจากสั่งอาหารเสร็จแล้ว เธอก็หันมายิ้มให้กลับทุกคนมันเป็นรอยยิ้มที่แสนจะเยือกเย็น แล้วน่าหวาดหวั่น เจ้าหนุ่มทั้ง3คนนี่ไม่อยากจะเห็นมันเลยจริงๆให้ตายสิ "ขอบคุณมากนะคะที่เลี้ยงอาหารมื้อนี้ไม่รู้จะตอบแทนทั้ง3คนยังไงดี"

    ทั้งโทโย และ อเล็กซ์ ต่างเห็นแวว วิบัติอยู่รำไร ถึงกับวางสีหน้าไม่ถูก ได้แต่มองหน้ากันเอง2คน แล้วเหมือนทั้งแวมไพร์ และ นักล่าสมบัติหนุ่ม จะหาทางออกได้ จึงพยักหน้าให้แก่กัน

    "ขออภัยนะครับที่ต้องเสียมารยาท คือบังเอิญวันนี้ผมนัดลูกค้าไว้ แต่ลืมไปซะสนิทเลย คงต้องขอตัวก่อน เอาไว้คราวหน้าคงมีโอกาศได้ร่วมทานอาหารกันอีก" โทโยเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลตามแบบฉบับของเขา

    ยังไม่ทันที่โทโย จะพูดจบประโยคดี นักล่าสมบัติหนุ่มก็เอ่ยขึ้นมา "ชั้นเองก็มีธุระ พอดีงานมันเร่งน่ะ คงต้องเสียมารยาทอีกคน หวังว่าคงไม่ว่ากันนะครับ" ท้ายประโยคอเล็กซ์ หันไปเอ่ยกับผู้ร่วมโต๊ะสาว อีก1คน

    ทันทีที่พ่อค้าผมส้มได้ยินประโยค ตัดบท เตรียมชิ่งของเพื่อนเขาทั้ง2 ก็หันไปจ้องหน้าด้วยสายตา เหมือนจะถามว่า "พวกเมิง2คนจะทิ้งกรูดื้อๆอย่างงี้เลยเรอะ?"

    แล้วเหมือนได้รับคำตอบจากแววตาของเพื่อนสมัยเด็กของเขาทั้งคู่ "เมิงรับมือยายเจ๊นี่ไหวก็รับมือไปคนเดียวเถอะพวกตูขอชิ่งก่อนละกัน"

    สาวน้อยผมเงินยิ้มออกมานิดนึง ชนิดเห็นแล้วเสียวสันหลังวาบ พร้อมกับเอ่ย "น่าเสียดายนะคะ แต่ว่า เชิญตามสบายเลยค่ะ มีโอกาสเราคงได้ร่วมทานอาหารกันอีก"

    ทั้งโทโย และ อเล็กขยิบตาให้ออสเล็กน้อยเป็นความหมายกลายๆว่า "เอาตัวรอดให้ได้นะเฟ้ย ไอ้เกลอ พวกตูขอจรลีก่อนล่ะ โชคดีวุ้ย!!"

    แล้วทั้ง2หนึ่งจึงเดินออกจากร้าน เมโลดี้ ชนิดไม่เหลียวหลังกลับมามอง แล้วคงไม่ต้องสงสัยอีกว่า คืนนี้ทั้งอเล็กซ์ และโทโย คงจะรีบเก็บข้าวของโกยแนบ ออกจากเมืองนี้ไปตั้งหลักที่ เวลเจ บ้านเกิดแน่นอน




    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~​





    หลายๆท่านอาจจะสงสัย ว่าทำไมเจ้าพวกนี้ถึงได้หวั่นใจกับสาวน้อยผมสีเงินคนนี้เหลือเกิน ผมคงต้องขอพักเหตุการณ์ อันย่ำแย่ของเจ้าออก บนโต๊ะ อาหาร ในร้านเมโลดี้ เอาไว้ก่อน แล้วมาเล่าถึงความเป็นมาของเจ้าหนุ่ม 3คนนี่ กับ สาวน้อยผมสีเงิน

    แต่ก่อนจะเล่าเรื่องนี้ให้ทุกท่านฟัง ขอแนะนำตัวสาวน้อยผมเงินผู้มีอาชีพไม่สมกับรูปร่างหน้าตาของเธอแม้แต่น้อย

    เพราะอาชีพของเธอคือ "นักฆ่า" ครับไม่ต้องสงสัยหรอก ว่าคุณจะฟังผิดหรือเปล่า เธอคนนี้เป็นนักฆ่า ที่มีฝีมือ และ ค่าหัวจัดว่าสูงที่สุด ติด 1 ใน 10 ของดินแดน เอลล์เทอเฟีย เลยทีเดียว

    ค่าหัวของเธอนั้น ก็คงจะซื้อร้านอาหารสุดหรูอย่างร้าน เมโลดี้ (ที่เจ้า2หนุ่มของเราเพิ่งเผ่นออกมาโดยปล่อยพ่อค้าผมส้มไว้ในนั้นคนเดียวนั่นแหละครับ) พร้อมบ้านหลังใหญ่ๆ แล้วก็มีเงินเหลือชนิดนั่งกินนอนกินได้สบายๆไปตลอดชีวิตเลยทีเดียว

    เล่าถึงเธอมานานยังไม่ได้แนะนำชื่อของเธอเลย ชื่อของเธอก็คือ "จัสมิน ไอล่า ฟอรส์เฟรดส" ครับ

    ซึ่งถ้าเอานามสกุลของเธอไปถามคนที่อยู่ในโลกเบื้องหลังทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นเหล่า นักรบรับจ้าง นักล่าค่าหัว หรือเหล่านักผจญภัย ไม่มีใครไม่รู้จักชื่อของ "ฟอรส์เฟรดส" ตระกูลนักฆ่าที่โด่งดังที่สุดในโลกเบื้องหลัง

    ว่ากันว่าทุกคนในตระกูลนี้ ถูกฝึกฝนเพื่อให้เป็นนักฆ่าตั้งแต่เด็กๆ การจะจ้างคนในตระกูลนี้จะไปสังหารใครจำเป็นต้องผ่าน นายหน้าหลายทอด กว่าจะได้พบตัว แล้วว่าจ้าง แถมยังต้องใช้เงินจำนวนมหาศาล แต่ผลที่ได้รับนั้นว่ากันว่าคุ้มค่ากับเงินที่เสียไป เพราะโอกาสที่ของเหยื่อที่จะรอด มีเพียง หนึ่ง ใน หมื่น เท่านั้น

    จึงไม่ต้องแปลกใจที่ ทั้ง ออส อเล็กซ์ และ โทโย จึงแทบจะโกยแน่บออกจากร้านทันทีที่เห็นหน้าเธอลงมานั่งบนโต๊ะ เพราะสาวน้อยคนนี้เป็น เป็น ลูกสาวคนเล็ก ของตระกูลนักฆ่าที่โด่งดังที่สุดน่ะสิ

    หลายๆท่านอาจจะดูถูกเจ้า3ตัวนี่ว่าปอดแหก ไม่เข้าท่า กลัวเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆไปได้ ใช่ครับถ้ามองเธอจากภายนอก เธออาจจะดูเหมือนเด็กสาวผู้แสนจะงดงามคนหนึ่งเลยที่เดียว แต่ฝีมือของเธอนั้นจัดว่าสูงมาก สูงขนาดไหนงั้นหรือครับก็ ขนาดที่ว่า โทโย และ อเล็กซ์ ซึ่งจัดว่ามีฝีมือพอตัว ชนิดสู้กับคนนับสิบได้สบายๆ เกือบไปเที่ยว ยมโลก เพราะฝีมือเธอคนนี้มาแล้วน่ะสิครับ จึงทำให้ นายน้อยของตระกูล "ไดฮาคุ" กับ "ฟินแลนดรอส" จึงขยาดสาวน้อยผมเงินคนนี้มากทีเดียว

    หลายๆท่านคงจะมีคำถามต่อมาอีกล่ะสิครับ "แล้วเจ้า ออส พ่อค้าผมส้มของเราล่ะทำไมถึงอาจหาญ ถึงขั้นกล้าต่อปากต่อคำกับแม่สาวคนนี้ได้ล่ะ?" ถ้าจะพูดกันถึงเรื่องนี้ มันก็คงเกี่ยวพันกับเรื่องราวที่ผมจะเล่าให้ทุกท่านฟังต่อไปนี้

    ก่อนอื่นต้องขอบอกว่าเรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นที่ "เวลเจ" เมืองแห่งการค้าขายที่ไม่เคยหลับไหล หลายๆท่านอาจจะนึกภาพโดยรวมของเมืองนี้ไม่ออก ผมคงต้องขอเล่าเกี่ยวกับเมืองนี้ ซักหน่อยก่อนจะเข้าเรื่องของเจ้าพ่อค้าผมส้มรอบจัดนามว่า "ออส" คนนี้




    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~​





    ถ้าดูจากแผนที่เวลเจ เป็นเมืองที่ตั้งอยู่บนทำเลที่สะดวกต่อการคมนาคม ไปยังทั่วดินแดนแห่งนี้ มากที่สุด เพราะทิศตะวันตก อยู่ไม่ห่างจากแม่น้ำ"เซลว่า" แม่น้ำสายหลักของดินแดนแห่งนี้ ที่ทอดตัวยาวจากเหนือสุดลงมายังใต้สุด จึงทำให้การขนส่งสินค้า จากหลายๆเมือง หลายๆหมู่บ้าน ที่อยู่ทางต้นน้ำลงมายังเวลเจแห่งนี้สะดวกอย่างยิ่ง เวลเจ ยังเป็น เหมือนสถานีสุดท้ายก่อนที่แม่น้ำสายนี้จะไหลลงไปยังทะเลอีกด้วย

    ด้านทิศใต้ติดกับทะเล "เซเน่" ท้องทะเลอันกว้างใหญ่ทางทิศใต้ของแผ่นดินแห่งนี้ แหล่งรวมทรัพยากรทางน้ำที่สำคัญที่สุดของ เอลล์เทอเฟีย ไม่ว่าจะเป็น สัตว์น้ำต่างๆ รวมไปถึงเหล่าสมบัติที่หลับไหลอยู่ใต้ท้องทะเลแห่งนี้

    ส่วนทางตะวันออก ก็ อยู่ใกล้กับทะเลทราย"อัลคาน่า" ทะเลทราย ที่แสนจะแห้งแล้ง แต่เต็มไปด้วยแร่มีค่ามากมายที่อยู่ภายใต้ผืนทรายอันแสนกว้างใหญ่ การจะมายัง เมืองเวลเจแห่งนี้ สามารถมาได้ทุกทางและสะดวกสบายทุกเส้นทางทีเดียว

    หลังจากเอ่ยกันถึงทำเลที่ตั้งของของเมืองแห่งนี้กันไปแล้ว ผมจะเล่ากันถึงสภาพภายในเมือง ภายในเมืองนี้ก็เหมือนๆ กับเมืองท่าที่เพื่อนๆเคยเห็นในเกมส์ หรือ การ์ตูน แนวแฟนตาซีทั่วๆนั่นแหละครับ แต่จะมีสิ่งที่แตกต่างกันออกไปก็คือ เมืองนี้จะแบ่งออกเป็น3โซนใหญ่ๆ ก็คือ

    1. โซนทางทิศใต้ เป็นโซนของท่าเรือ ที่นี่เป็นตลาดของสดที่สำคัญที่สุดของเอลล์เทอเฟีย ถ้าคุณต้องการอาหารทะเล หรือ ปลาสดๆ ไปทำอาหารแล้วล่ะก็ที่นี่ไม่ทำให้คุณผิดหวัง ไม่เพียง แค่ของทะเลเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึง บรรดา พืช ผัก สมุนไพร ของป่า หรือแม้กระทั่ง สัตว์ป่าทั้งที่ถูกจับมาเป็นๆ หรือ ชำแหละมาแล้ว นับเป็นตลาดที่เหล่าบบรรดาร้านอาหารน้อยใหญ่ต้องแวะมาเยือนแน่นอน ซึ่งเวลาทำการของตลาดแห่งนี้ก็คือ ย่ำรุ่งหรือราวๆตี4 จนไปถึงเที่ยงวัน

    ตลาดแห่งนี้ถูกปกครอง และ ปกป้องโดย ตระกูล "ฟินแลนดรอส" ตระกูลนักเดินเรือที่สืบทอดสายเลือด มาจากโจรสลัดผู้ยิ่งใหญ่ในอดีตตั้งแต่สมัยเมืองนี้ยังเป็นชุมชนของชาวประมงเล็กๆ โดยปัจจุบัน เรือของชาวประมงทั้งหมด ก็ถูกสร้างและซ่อมแซม โดยอู่ต่อเรือของตระกูล ฟินแลนดรอส นี่แหละ ตลาดนี้จึงมีชื่อที่ถูกเรียกกันจนติดปากว่า "ตลาดเช้า"

    2. โซนทางทิศตะวันตก โซนแห่งนี้จะเป็นโซนของ ช่างตีเหล็ก เหล่าบรรดา สรรพวุธ ต่างๆหลากหลายประเภท จากทั่วแผ่นดิน จากถูกส่งลงมาตามแม่น้ำ เพื่อมาขายยัง ตลาดแห่งนี้ ซึ่งเป็นแหล่งรวม เหล่าอาวุธ แร่ธาตุ จนไปถึงช่างตีดาบจากทั่วสารทิศ ที่มักจะมาเปิดร้านอยู่ที่ตลาดแห่งนี้

    นอกจากอาวุธต่างๆแล้ว ก็ยังมี เสื้อผ้าอาภร ชนิดต่างๆ เครื่องประดับ สิ่งประดิษฐ์ แปลกๆมากมายจากเหล่านักประดิษฐ์ สติเฟื่องทั้งหลาย จึงนับเป็นตลาดที่ทุกคนที่อยากจะได้อาวุธซักชิ้น หรือแม้กระทั้งของมีคมเล็กๆน้อยที่จะต้องใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น มีดทำครัว กรรไกรตัดผ้า ฯลฯ เวลาทำการของตลาดแห่งนี้ก็คือ ตั้งแต่ เที่ยงวัน จนไปถึง 2ทุ่ม

    ตลาดแห่งนี้ก็เหมือนกับตลาดแรกก็คือ มีคนที่ปกครอง และ ปกป้องอยู่ ก็คือ ตระกูล "เฮเทรน" ตระกูลช่างตีดาบมือหนึ่ง ที่ย้ายถิ่นฐานมาจากรีเวเรีย ตั้งแต่ในอดีต สมัยที่เมืองแห่งนี้ยังเป็นชุมชนชาวประมงเล็กๆ เพราะทำเลสะดวกสะบายต่อการเดินทาง "ตลาดบ่าย" คือชื่อของตลาดแห่งนี้ที่ถูกเรียกกันจนติดปาก

    3. โซนทางทิศตะวันตก โซนของตลาดยามค่ำคืน เพราะเวลาทำการของตลาดนี้ก็คือ ตั้งแต่2ทุ่มไปจนถึง รุ่งสาง หรือ ราวๆตี4นั่นเอง ตลาดสุดท้ายนี้ออกจะแปลกประหลาดกว่าตลาดทั่วไปซักนิด เพราะเปิดบริการยามค่ำคืน สินค้าที่ถูกค้าขายอยู่ในตลาดแห่งนี้มีทุกชนิด ตั้งแต่ สากเบือยันเรือรบ ของดีมั่ง ของเก๊มั่ง ของโจรก็มีให้เห็นบ่อยๆ

    แต่ก็อย่างที่บอกไว้ เวลายามค่ำคืน แสงสว่างที่พึ่งพาได้ก็มีแต่แสงจากคบไฟ ฉะนั้น การที่จะมาเดินในตลาดแห่งนี้ ถ้าคุณสายตาไม่เฉียบคมพออาจจะโดน ย้อมแมวขาย กันได้ง่ายๆ ฉะนั้นระวังตัวกันด้วยล่ะแล้วจะหาว่าผมไม่เตือน

    นอกจากนี้ ตลาดแห่งนี้ ยังเป็นแหล่งรวมของร้านที่เปิดให้บริการยามราตรี เช่น ร้านอาหาร บาร์ หรือ ร้านเหล้า จึงทำให้ราตรี ณ ตลาดแห่งนี้ไม่ได้เงียบเหงาเช่นที่อื่นๆ แล้วก็ยังคงคึกคักไปด้วยผู้คนที่ไม่ชอบนอนหลับยามค่ำคืน หรือ ไม่อาจหลับไหลได้ในยามราตรีเช่นนี้ได้ ก็จะมาเดินอยู่ในตลาดแห่งนี้

    ก็เหมือนๆกับ2ตลาดที่แล้ว ก็คือที่นี้มีคน ที่คอยปกป้อง อยู่ก็คือ ตระกูล"ไดฮาคุ" ตระกูลที่คนส่วนมากรู้จักกันในฐานะพ่อค้าขายข่าว ที่มีแหล่งข่าวสารที่น่าเชื่อ ถือมากที่สุดบนแผ่นดิน แต่จะมีซักกี่คนที่รู้ว่า แท้จริงพวกเขานั้นไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็น "แวมไพร์" ผู้ยิ่งใหญ่แห่งรัตติกาลที่ไม่อาจจะเดินได้ภายใต้แสงตะวัน แล้วชื่อของตลาดนี้ที่ผู้คนเรียกขานกันโดยทั่วไปก็คือ "ตลาดมืด"

    อาจจะมีคำถามผุดขึ้นมาในใจของหลายๆท่านว่า เมืองใหญ่ๆถูกแบ่งออกเป็น3ส่วนเช่นนี้ ไม่มีเหล่าผู้ที่ปกครองเมืองส่วนใดส่วนหนึ่งอยู่คิดจะครอบครองเมืองส่วนอื่นๆเลยเหรอ? ตอบง่ายๆ มีสิครับทำไมจะไม่มีล่ะ แต่พวกเขาเหล่านั้นคงทำได้แค่คิดเพราะมีสาเหตุหลักๆที่ไม่อาจจะทำได้ อยู่หลายประการ

    หนึ่ง เพราะมันถูกแบ่งออกเป็น3ส่วนนั่นแหละครับที่ทำให้ทำอะไรกันไม่ได้ เพราะถ้าใครซักคนมีท่าทีจะคุกคาม อีก ส่วนหนึ่ง คุณก็ต้องพึงระวังว่า ที่กำลังจะไปยึดเขาน่ะจะไม่โดน อีก1ส่วนที่ว่างอยู่ตลบหลังเอาหรือเปล่า หรือส่วนนั้นอาจจะร่วมมือกับ ส่วนที่เรากำลังจะไปบุกก็ได้

    สอง ข้อนี้สำคัญมาก เมืองนี้เป็นเมืองแห่งการค้าขายที่เต็มไปด้วยอิสระ ใครอยากขายอะไรก็ขาย ถ้าเกิดสงครามกลางเมืองขึ้น ใครเล่าที่อยากจะมาค้าขายในเมืองแห่งนี้? ซึ่งพ่อค้าทุกคนไม่มีใครต้องการให้เกิดเหตุการณ์วุ่นวายเช่นนี้หรอก เพราะพวกเขาเป็นพ่อค้า จะแข่งขันยึดครองก็ทำในทางการค้าดีกว่า ไม่เห็นจำเป็นต้องไปรบกันด้วยมีแต่เสียหายกันทั้ง2ฝ่ายเสียเปล่าๆ

    สาม แต่ละตลาดก็ถูกปกครอง ด้วยตระกูลใหญ่ ซึ่งอยู่เมืองนี้ตั้งแต่มันยังไม่เป็นรูปเป็นร่างของเมืองใหญ่ที่เห็นในทุกวันนี้ จึงทำให้มีคนที่เชื่อมั่นและ นับถือในตัวของตระกูลเหล่านี้อยู่ไม่น้อย ฉะนั้นการจะทำอะไรย่อมไม่พ้นสายตาการรู้เห็นของอีกฝ่ายที่เหลือได้เลย

    สรุป ภายในเวลเจนี่ทั้ง3ตระกูลใหญ่ต่างถ่วงดุลอำนาจอยู่กันเองนั่นเอง แต่นี่เป็นเพียงความคิดเห็นของผมเท่านั้น เพราะจริงๆที่ลึกลงไป มันอาจจะมีอะไรแอบซ่อนอยู่ก็ได้ และที่สำคัญ ทั้ง3ตระกูลใหญ่นี่ต่างรู้จักกันมาช้านานแล้ว เด็กๆภายในตระกูลนี้เล่นหัวคลุกคลีกันมาตั้งแต่จำความได้ นี่อาจจะเป็นส่วนหนึ่งของการถ่วงดุลอำนาจกันก็ได้นะ

    เอาล่ะฟังผมเล่าถึงเรื่องเกี่ยวกับเมืองแห่งการค้าขายนี้มาเสียยืดยาว คงต้องมาคุยกันถึงเรื่องราวของพ่อค้าผมส้มของเราคนนี้ซักที



    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~​





    ต้องขอแนะนำกันคร่าวๆ ถึงตัวเจ้าพ่อค้าผมส้มนี่ก่อน "ออส บิลฟอร์ด" หรือชื่อจริงก็คือ "ออส เฮเทรน" เป็นบุตรชายคนโตของตระกูล "เฮเทรน" ตัวออสเองนั้นกำพร้าแม่ตั้งแต่จำความไม่ได้ ตอน5ขวบ พ่อของเขาก็แต่งงานใหม่ กับสาวงามคนหนึ่ง แล้วก็มีลูกด้วยกัน1คน น้องชายต่าง แม่ ของออสอายุห่างกันถึง6ปี

    ผู้อ่านหลายๆท่านคงจะคิดว่า งั้นก็เข้าข่าย "แม่เลี้ยงใจร้ายงั้นสินะ?" เปล่าครับ เธอคนนั้น รัก ออส ราวกับลูกแท้ๆของเธอทีเดียว แถม ออส เองก็ไม่เคยรังเกียจ แม่เลี้ยง และ น้องชายต่างมารดาของตนเลย ตรงข้าม ยามใดที่น้องเขาเดือดร้อน ออส นี่แหละจะเป็นออกหน้าแก้ใขปัญหาให้น้องชายเขาทุกทีไป

    ทำให้น้องชายคนนี้รักและนับถือ ออส อย่างมาก "งั้นมันก็น่าจะแฮปปี้ ไม่มีปัญหาอะไรนี่หว่า? ทำไม่เจ้าหัวส้มถึงออกจากบ้าน รวมไปถึงถูกตัดออกจากกองมรดกด้วยล่ะ?"

    ปัญหา มันอยู่กับเจ้าบ้านเฮเทรนคนปัจจุบัน ปู่ของเจ้า ออส นี่แหละครับ ออสนับเป็นเด็กหนุ่มที่มีพรสวรรค์ ทางด้านค้าขาย และ ตีดาบมาก จนหาใครในเวเจลมาเทียบ ด้วย ฝีปาก และ สายตาที่เฉียบคม อาวุธ หรือ สมบัติ ชิ้นใดของจริงของปลอม ทำจากอะไรหรือที่ไหน ออสมองเพียงแวบ เดียวก็สามารถ บอกได้หมด แถมยังสามารถต่อรองราคาได้ชนิดที่ว่า เอาไปขายยังไงก็ได้กำไร ทำให้ปู่ของเขาคาดหวังไว้กับเจ้าหนุ่มหัวส้มนี่มากทีเดียว

    แต่สิ่งที่ทำให้ปู่ของเจ้าหมอนี่ไม่พอใจอยู่เสมอๆ ก็คือ อาของเจ้าหมอนี่ หรือ น้องชายของพ่อเขาน่ะแหละ ชื่อของเขาคือ "บิลฟอร์ด เฮเทรน" นักล่าสมบัตินามกระเดื่อง ผู้ไม่เคยอยู่เป็นที่เป็นทาง ลูกนอกคอกซึ่งถูกขับไล่ออกจากตระกูลไปตั้งแต่สมัยยังเป็นวัยรุ่น

    ออสมักจะไปคลุกคลี เรียนรู้สิ่งต่างๆมากมายที่เขาไม่รู้ โดยมีเพื่อนสนิทของเขา2คน คือ อเล็กซ์ และ โทโย ไปด้วยกันเสมอๆ ถึงโทโยจะไปด้วยได้เฉพาะเวลากลางคืนก็เถอะนะ จนเขาสนิทกับอาคนนี้ของเขามาก มากเสียจนปู่ของเขาไม่วางใจกลัวจะเป็นคนนอกคอกตาม อา ของเขาไปอีกคน

    ซึ่งความหวั่นใจของเจ้าบ้านเฮเทรนก็เป็นจริงขึ้นเงียบๆ ตัวออสเองก็รู้ว่าปู่ของเขาหวังจะให้ตัวเขานั้นเป็นคนสืบทอดตระกูลนี้ต่อไปต่อจาก ปู่ และ พ่อของเขา แต่ในใจลึกๆตัวเขาอยากจะออกไปผจญภัยดูโลกกว้างตามหาสมบัติที่เขาไม่เคยพบเห็น หรือ รู้จัก จากเมืองนี้ เมืองแห่งการค้าบ้านเกิดของเขา เวลเจ

    ซึ่งจากที่เขาได้ฟัง อา ของเขาเล่าเรื่องราวและนำสมบัติที่เขาไม่เคยพบเห็น มาให้เขาดูและหลายๆชิ้นอาก็ให้ออส เอาไว้เป็นที่ระลึกทุกครั้งที่แวะมายังบ้านเกิดของเขา นอกจากสมบัติแล้ว ออส ยังได้วิชาการเอาตัวรอดภายในโลกใบนี้จาก อา ของเขามาก็หลายอย่าง ทำให้ความรู้ความสามารถของเด็กหนุ่มผมส้มมันมีมากพอที่จะเป็นนักล่าสมบัติชั้นหนึ่งได้เลยทีเดียว

    ออสยังคงตกอยู่ในความสับสนระหว่างหนทางที่ปู่เขาขีดไว้ซึ่งมันราบเรียบและมั่นคง กับ ความฝันอันเลื่อนลอยที่อาจจะต้องต้องแลกด้วยทุกอย่างที่เขามี ซึ่งระหว่างที่เขายังตัดสินใจไม่ได้ ออสเลือกที่จะเรียนรู้ทุกอย่างเท่าที่เขาอาจจะจำเป็นต้องใช้ ทั้งในการเป็นผู้นำตระกูลเฮเทรน และ การออกผจญภัยตามความฝันของเขา






    จนสุดท้ายสิ่งที่ทำให้เขาตัดสินใจที่จะก้าวเดินก็มาถึง




    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~​





    ฤดูใบไม้ร่วง 5ปีที่แล้ว ณ เมืองเวลเจ





    ราวๆ3ทุ่ม ที่ลานของตลาดด้านทิศตะวันออกของเวลเจ พ่อค้าที่มาตั้งร้านแบกะดิน ซึ่งเป็นรูปแบบของตลาดมืดแห่งนี้มาช้านาน สิ่งที่ลูกค้าที่จะมาจับจ่ายสินค้าราคาถูก แต่ต้องวัดดวงกับสายตาของตนว่าจะมองสินค้าเหล่านั้นออกหรือไม่ ทั้งพ่อค้า และ ลูกค้า เริ่มหนาตาภายใต้แสงจากคบเพลิง ที่ถูกจุดไว้ทั่วบริเวณตลาด

    คืนวันนี้เป็นคืนเดือนมืดท้องฟ้ากระจ่างใส เต็มไปด้วยดวงดาวไม่มีเค้าเมฆฝน ศัตรูตัวฉกาจของเหล่าพ่อค้า แม่ค้าทั้งหลาย เหล่าผู้คนที่แวะเวียนมาที่ตลาดแห่งนี้ บ้างก็เพียงเพื่อเดินเที่ยวในยามค่ำคืน บ้างก็มาหาสิ่งที่ตนต้องการในราคาที่ไม่อาจซื้อได้ตามร้านทั่วไป ทำให้บรรยากาศนับว่าคึกคักพอควรเลยทีเดียว

    แต่สิ่งที่อาจจะเห็นได้ยากซักหน่อยในตลาดแห่งนี้ก็คือเหล่าคนชั้นสูง พ่อค้าใหญ่ทั้งหลายที่แต่งตัวเต็มไปด้วยเครื่องประดับเหมือนกับจะมาอวดความร่ำรวยให้คนอื่นรับรู้ เพราะเสี่ยงกับการลากไปฆ่าเพื่อชิงทรัพย์มากเหลือเกินในเวลาเช่นนี้ คงไม่มีใครกล้าเสี่ยงแต่งตัวอย่างนั้นมาเดินตลาดแห่งนี้นักหรอก

    ณ แผงขายของแผงหนึ่ง ซึ่งเพิ่งจะจัดร้านเสร็จ ก็มีลูกค้าเดินเข้ามาดูของที่ขายทันที ลูกค้าคนแรกของร้านนี้เป็นเด็กหนุ่มผมสีส้ม หน้าตาจัดว่าดีเลยทีเดียว "แร่ชิ้นนี้เท่าไรล่ะพี่ชาย?" ลูกค้าคนแรกของวันเอ่ยขึ้น

    แต่เสียงตอบรับจากคนขายหาใช่ราคาของสินค้าแต่กลับเป็นประโยคเหน็บแนม "ลูกค้าคนแรกดันเป็นแก ท่าทางงวดนี้ดวงไม่ดีแฮะว่าแมะ"

    "แกก็พูดเกินไป อเล็กซ์ ตูเป็นลูกค้าคนแรกมันโชคร้ายขนาดนั้นเชียวรึฟะ" ลูกค้าผมส้มตอบพลางยิ้มให้ภายใต้แสงสลัวๆรอยยิ้มนั้นมันดูน่าขนลุกพิกล

    "แกอย่ายิ้มอย่างนี้ได้มั๊ยวะ ออส มันน่าสยองขวัญพิกล แล้วว่าไงสนใจจะซื้ออะไร?" พ่อค้าที่มีนามว่าอเล็กซ์เอ่ย

    ออสยังคงยิ้มอยู่อย่างนั้น พลางกวาดสายตามองสินค้าในร้านทั้งหมดของเพื่อนชาวทะเลของเขา "ออกเรือ รอบนี้ได้แต่ของดีๆมาทั้งนั้นนี่หว่า หมดนี่50 เหรียญเงินละกัน"

    "ตลกบริโภคแล้วแก 50 ไปซื้อกะป้าแกเหอะไป! ขายหมดนี่ 80 วุ้ย ขืนขายราคานั้นค่าแรงออกไปหายังไม่คุ้มเลย นี่ข้าต้องไปแบ่งพรรคพวกบนเรืออีกด้วยนะ" นักล่าสมบัติจากท้องทะเลเอ่ย

    ออสต่อรองทันที "80เรอะแพงไปป่าวกันเองๆ 60 ละกัน แกก็รู้ว่าตูซื้อไปขายต่อนาเฟ้ย"

    "เหอะๆ ของหมดนี้ไปขายตลาดบ่าย ได้เกิน1เหรียญทองอยู่แล้ว ดีไม่ดีจะถึง2เอาด้วยถ้าฟลุ๊กๆ 80นี่ไม่แพงหรอกอย่าต่อเลยไอ้เพื่อนเฮงซวย" อเล็กซ์แถมท้ายด้วยคำสรรเสริญ(มั๊ง)

    "70 เหรียญเงินขายป่าวขาดตัว80 ไม่ไหวเฟ้ย คุณหนูใหญ่ตระกูลฟินแลนดรอส อย่าขี้เหนียวนักเซ่" พ่อค้าผมส้มยังคงต่อรองเพื่อนสนิทเขาต่อไป

    "ลูกอีช่างต่อจิงวุ้ยเมิงนี่ แล้วคุณชายใหญ่ตระกูลเฮเทรน อยู่บ้านก็นั่งกินนอนกินสบายไปทั้งชาติแล้ว จะออกมาซื้อของตลาดมืดไปขายต่อทำไมให้เมื่อยตุ้มฟะ"อเล็กซ์ ประชดเพื่อนสนิทของเขากลับทันที

    "ก็ตูชอบของตูนี่หว่า จะให้นั่งกินนอนกินฟังคำสั่งปู่ไปวันๆไม่ไหวว่ะ เกิดวันไหนท่านไม่พอใจตูขึ้นมาไล่ออกจากบ้าน ตัดออกจากกองมรดก ก็ไม่มีทุนเลี้ยงชีพสิวะ อดตายกันพอดี ต้องหาเงินเป็นทุนสำรองกันไว้บ้าง ว่าไง 70 เงิน ขายป่าว?" ออสตอบ

    "เหอๆ เห็นปู่แกรักแกอย่างกะอะไรดี แกก็อย่าไปทำให้ท่านโกรธเซ่ ท่านชายใหญ่ตระกูลเฮเทรน.. "

    " เออๆ 70 ก็ 70 แต่คืนนี้แกต้องเลี้ยงข้าวข้าที่ร้านประจำนะเฟ้ย ขี้เกียจเถียงกะแกและเหนื่อย " อเล็กซ์ตกลงขายแต่มีข้อแม้เล็กน้อย

    ออสยิ้มอย่างผู้มีชัยในการต่อรองราคา "ไม่มีปัญหา เลี้ยงข้าวแกยังไงก็ไม่เกิน2เหรียญเงินอยู่แล้ว คิดมุมไหนก็ถือว่าคุ้ม" แล้วจึงส่งถุงเงินให้อเล็กซ์ ซึ่งไม่ต้องนับเพราะรู้จักกันดีว่าถึงออสจะค้าขายเขี้ยวลากดินแค่ไหน แต่ก็ไม่เคยโกงใคร

    อเล็กซ์กวักมือเรียกลูกเรือคนหนึ่งของพ่อเขา ที่อาสาช่วยแบกสินค้ามาที่นี่ พร้อมหยิบเหรียญในถุงส่งให้5เหรียญเงิน "พี่เอาของหมดนี่ไปไว้ที่ร้านของไอหัวส้มนี่ที่ตลาดบ่ายให้ทีนะ แล้วจะไปพักผ่อนที่ไหนก็ตามสบายเลย นี่ส่วนแบ่งคราวนี้ เอาไว้เจอกันพรุ่งนี้ละกัน คืนนี้คงไปนอนค้างแถวๆนี้แหละ"

    แล้ว2หนุ่มก็เดินผ่ากลางตลาดมุ่งตรงไปยังร้านประจำของพวกเขา ระหว่างทางก็แวะเดินดูนู่นดูนี่ไปตามภาษา นักล่าสมบัติ และ พ่อค้า

    "เฮ้ย ออส แกว่าดาบร้านเมื่อกี้มันทำจากมิธริล ตามที่คนขายโฆษนารึเปล่าว่ะ ข้าดูมุมไหนมันก็แค่เหล็กธรรมดานี่หว่าหรือว่าไงวะ?" อเล็กซ์เกริ่นถึงดาบที่เขาทั้ง2แวะดูเมื่อกี้

    "คงกะจะมาต้มหมูเต็มที่เลยมั๊งน่ะ ถ้าดูเผินๆด้วยสายตาคนธรรมดาล่ะก็มันก็คล้ายๆมิธริลอยู่ทีเดียวนะน่ะ แต่ถ้าเอาไปใช้ฟันกับดาบมิธริลของจริง โครมเดียวแตกชัวร์ " พ่อค้าผมส้มตอบข้อสงสัยของเพื่อน

    แล้วทั้งคู่ก็เดินผ่านเหล่าผู้คนที่เริ่มมาจับจ่ายซื้อหาสินค้าที่เริ่มหนาตาขึ้นเรื่อยๆ จนมาถึงเกือบสุดตลาด ก็เห็นกลุ่มคนกำลังมุงดูอะไรบางอย่างอยู่พร้อมเสียงเอะอะ

    นักล่าสมบัติหนุ่มเอ่ยพลางยิ้มออกมา "ท่าทางจะมีเรื่องกันว่ะ สงสัยต้องไปดูซะหน่อยแล้ว"

    "ไปดู หรือ ไปยุ่งเรื่องของเขาเพื่อความสนุกของตัวแกเองกันแน่ฟะ " ออส อดไม่ได้ที่จะเหน็บแนม

    เมื่อทั้งคู่เดินฝ่ากลุ่มคนที่กำลังรุมดูอยู่ก็เห็น 1ในสิ่งที่ไม่ค่อยจะเห็นได้บ่อยนักในตลาดมืดแห่งนี้ ก็คือพ่อค้าคนหนึ่งกำลังโดนเด็กหนุ่มวัยไม่ต่างจากพวกเขานัก แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าชั้นดี พร้อมบอดี้การ์ด2คน ไล่ที่อยู่ทั้งๆ พ่อค้าผู้ดวงไม่ดีคนนั้นตั้งร้าน จัดเรียงสินค้าเรียบร้อยแล้ว

    "โชคร้ายจริงๆเลยนะพ่อค้าคนนั้น ไปตั้งร้านตรงที่ประจำของลูกชายพ่อค้าใหญ่ ว่ากันว่าพ่อของเจ้าเด็กนั่นเส้นสายใหญ่โตทีเดียวนะ" เสียงของพ่อค้าแม่ค้า และ ชาวบ้านที่ซุบซิบกันอยู่ลอยแว่วมาเข้าหู ทั้ง2เกลอ

    พ่อค้าผู้โชคร้ายหน้าซีดถูกกระชากคอเสื้อ แล้วก็โดนตะคอกใส่ "เก็บของแล้วย้ายร้านเป็นซะตรงนี้มันที่ของอั๊ว รึจะให้ลูกน้องอั๊วเก็บให้?"

    "คะ คะ ครับ จะเก็บเดี๋ยวนี้แหละครับ ผู้น้อยไม่รู้จริงๆ" พ่อค้าคนนั้นทันที่ถูกปล่อยคอเสื้อก็รีบกระวีกระวาดเก็บร้านทันที แต่ก็มีเสียงดังทักขึ้นมา

    "จะเก็บร้านไปทำไมพี่ชาย ตลาดตรงนี้มันเป็นตลาดอิสระใครมาก่อนได้ตั้งก่อนไม่ใช่เหรอ? มาทีหลังก็ไปตั้งร้านที่อื่นสิครับ คนค้าขายด้วยกันแท้ๆ ทำไมต้องระรานกันด้วย ที่ว่างก็เหลืออีกตั้งเยอะ" อเล็กซ์นั่นเองที่เอ่ยขัดไว้ ทันใดนั้นแทบทุกสายตาจับจ้องมามองเด็กหนุ่มที่อาจหาญคนนี้เป็นตาเดียว

    "เฮ้ย อเล็กซ์สรุปงานนี้เอาแน่ใช่มั๊ยเนี่ย? " พ่อค้าผมส้มที่ยืนอยู่ข้างๆกระซิบถามทั้งๆที่รู้ว่าเพื่อนลูกทะเลของเขาคนนี้จะทำอะไรต่อไป

    อเล็กซ์ไม่ตอบแต่เดินตรงเข้าไปหา กลุ่มคนที่กำลังมีเรื่องกันอยู่ทันที

    "ไม่ใช่เรื่องของลื้ออย่ามาจุ้นดีกว่า ลื้อคงไม่รู้ใช่ใหมว่าอั๊วอ่ะลูกใคร!!" เด็กหนุ่มคนนั้นหันมาตะคอกใส่ อเล็กซ์

    นักล่าสมบัติหนุ่มยิ้มอย่างที่เขาชอบยิ้มเวลาจะกวนอวัยวะเบื้องต่ำของใครซักคน "คุณยังไม่รู้เลยว่าตัวเองเป็นลูกใครมาถามผม ผมเองก็จนใจที่จะหาคำตอบให้ล่ะนะครับ แต่ว่าช่วยพาคุณไปที่รับฝากเด็กหลงทางได้นะครับ อยู่ไม่ไกลจากที่นี่ซักเท่าไร เพื่อ พ่อแม่ของคุณ จะประกาศตามหาไว้"

    เด็กหนุ่มคนนั้นโกรธจนหน้าเปลี่ยนสี ลูกน้องของเขาทั้งคู่พุ่งเข้าใส่อเล็กซ์ที่เหยียดหยามเจ้านายของเขาทันที แต่ยังไม่ทันที่จะก้าวได้เกิน2ก้าว มันทั้ง2คนก็ทรุดลงกับพื้นดื้อๆ เพราะโดนอะไรบางอย่างชัดเข้าใส่บริเวณท้องอย่างรุนแรง

    พริบตาต่อมา ดาบโค้งสีเงินวาววับสะท้อนกับแสงจากคบเพลิง ก็จ่ออยู่ที่คอของคู่กรณี ทันทีชนิดที่ว่าออกแรงส่งคมดาบเข้าไปอีก1ซม. ก็ปลิดชีพของคนทมี่กำลังถูกจ่อคอหอยอยู่นี้ได้โดยไม่ยากเย็นนัก

    นักล่าสมบัติหนุ่ม นามว่าอเล็กซ์เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบไม่มีแววล้อเล่นเหมือนอย่างที่เขาพูดในเวลาปกติแม้แต่น้อย "ที่นี่เป็นตลาดไม่มีใครอยากจะมีเรื่องหรอกใช่ใหมครับ ผมไม่รู้ว่าคุณจะใหญ่มาจากไหน แต่ที่เวลเจ ที่ ทั้ง3ตลาดทุกคนมีสิทธิ์ที่จะค้าขายเท่าเทียมกัน อย่ามาใช้อำนาจข่มขู่คนอาชีพเดียวกันที่นี่เลย ถ้าจะทำก็ช่วยไปทำที่อื่นดีกว่านะครับ"

    "อ้อ แล้วอีกอย่างถ้าเป็นผม ผมจะรีบไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด เพราะถ้าคนของตระกูล`ไดฮาคุ` ที่ดูแลตลาดแห่งนี้อยู่มาเจอคุณที่มาวางอำนาจแถวนี้เข้า เรื่องมันอาจจะไม่จบแค่แล้วๆกันไปหรอกนะครับ" อเล็กซ์เก็บดาบของเขาเข้าที่เดิม

    คนก่อเรื่องทั้ง3คนนั้น ทันทีที่ตั้งตัวได้ก็รีบหนีไปทันที คงเหลือแต่คนที่มุงอยู่ "เอาล่ะครับ เรื่องจบแล้วเชิญค้าขายกันต่อตามสบายนะครับ" อเล็กซ์เอ่ยกับทุกคนที่มองดูเขาอยู่ ทุกคนจึงแยกย้ายกันไป มีเพียงพ่อค้าที่โชคร้ายยังคงยืนมองเด็กหนุ่มทั้ง2คนนี่อยู่

    "นายน้อย อเล็กซ์ กับ นายน้อย ออส ใช่ใหมครับ ผมจำท่านทั้ง2ได้" พ่อค้าคนนั้นเอ่ยขึ้นหลังจากนึกอยู่ชั่วอึดใจ

    "อ้าวว นี่รู้จักพวกเราด้วยเหรอ ถ้าจะขอบคุณไม่ต้องหรอก ข้าก็แค่เบื่อๆ หาอะไรทำสนุกๆทำน่ะ ไม่มีอะไรแล้วต้องขอตัวก่อนละกันโชคดีขายของดีๆนะ" นักล่าสมบัติหนุ่มเอ่ยลาแล้วจึงรีบเดินออกมาจากที่ตรงนั้น เพราะไม่อยากให้ใครถามอะไรเซ้าซี้มากไปกว่านี้ด้วยอาการขี้เกียจตอบแล้วพรุ่งนี้ วีรกรรมของเขาคืนนี้คงถูกลือไปทั่วเวลเจแหงๆ

    ขณะที่กำลังจะเดินไปร้านเจ้าประจำ ออสก็สะกิดเพื่อนของเขาพร้อมกับแบมือให้ "2เหรียญทองแดง"

    อเล็กซ์ขมวดคิ้วหน้ายุ่ง "แบมืออะไรอีกฟะแกนี่เจ้าหัวส้ม"

    "ค่าช่วยแกเมื่อกี้ไง ล้มไป2 คน ก็2 เหรียญทองแดง" ออสตอบหน้าตาเฉย

    "เวรกรรม ช่วยแค่นี้เก็บตังด้วยรึวะ คราวหน้าไม่ต้องช่วยเลยนะแก" นักล่าสมบัติหนุ่มบ่นๆ

    ออสบอกถึงข้อเท็จจริง "จะไม่ให้เก็บตังได้ไง ก็ที่ตูซัดใส่พุงกระทิจนพวกมันลงไปนอนกอง ก็ใช้เหรียญทองแดงนี่แหละ"

    อเล็กซ์ถึงบางอ้อทีเดียว "อ้อ ไอ้วิชา กระสุนนีนี อะไรของแกอ่ะนะ ทีหลังก็ใช้อย่างอื่นซัดสิฟะ"

    "`กระสุนดัชนี` เว้ย! แล้วอีกอย่างเวลาไม่มีก็ต้องเอาของใกล้ตัวนี่แหละซัดไปก่อน ไม่งั้นปล่อยให้แกซัดกับเจ้า2ตัวนั้น เรื่องใหญ่แน่ๆ ดีไม่ดีจ่ายค่าเสียหายกันกระเป๋าแห้ง 2เหรียญนี่ไม่แพงแล้ว" ออสหว่านล้อมให้เพื่อนเขาจ่ายตังซะ

    "เออ จ่ายก็จ่าย ว่าแต่ว่าจริงๆ แล้วงานนี้ควรเป็นเรื่องของเจ้าโทโยมันหายหัวไปไหนฟะ ตั้งแต่กลับเข้าฝั่งมายังไม่เห็นหัวมันเลย " อเล็กซ์ถามถึงเพื่อนสนิทเขาอีก1หน่อ

    ออสตอบแบบทีเล่นทีจริง "อ๋อ มันไปหาเรื่องตายเล่นๆน่ะ"

    "อะไรของเมิงฟะแจกแจงให้ตูฟังจิ๊" อเล็กซ์ซักถามต่อ

    "ก็เห็นว่ามันได้ข่าววงในว่า นักฆ่าตระกูล`ฟอรส์เฟรดส์ ` จะมาที่นี่น่ะสิ " พ่อค้าผมส้มเริ่มเล่าถึงเรื่องราวของเพื่อนพ่อค้าข่าวของเขา

    "งั้นก็มีคนตายน่ะสิฟะ ถ้าไม่ใช่คนใกล้ตัวเราก็ดีหรอก แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเจ้าโทโยมันล่ะ" นักล่าสมบัติหนุ่มถามต่อมาอย่างสงสัย

    พ่อค้าผมส้มจึงเล่าสิ่งที่เขารู้ให้ฟัง "แกก็น่าจะรู้นิสัยมันนี่หว่าถ้ามันอยากจะรู้อะไรแล้วมันต้องรู้ให้ได้ แล้วคราวนี้สิ่งที่มันอยากจะรู้ก็คือ โฉมหน้าของนักฆ่าตระกูล`ฟอรส์เฟรดส์ ` คนนั้นน่ะสิ"

    "เออ มันไปหาเรื่องตายจริงๆอยู่ดีๆไม่ชอบดันไปยุ่งกับนักฆ่า แถมเป็นนักฆ่าชื่อดังที่สุดในแผ่นดินซะด้วยสิ เจ้าแวมไพร์หัวทองนี่มัน นิสัยเสียแก้ไม่หายจริงๆเลย เรารีบๆไปกินข้าวกันเถอะ ตอนแรกกะว่าจะไปชวนมันไปกินด้วยกันสงสัยไม่ได้เห็นหน้ามันอีกหลายวันแหงๆ"

    แล้ว2หนุ่มก็เดินผ่านถนนยามราตรีอันเต็มไปด้วยแสงสีของเวลเจแห่งนี้ไปยังร้านอาหารอันเป็นจุดหมาย




    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~​
  6. joi100

    joi100 นักเดินทางแห่งมิดการ์ด

    EXP:
    478
    ถูกใจที่ได้รับ:
    23
    คะแนน Trophy:
    38
    Re: [ฟิครับสมัคร] Tale Of Light and Shadow

    เรื่องเล่าจากแสงและเงาเรื่องที่1 พ่อค้าหัวส้ม (4)







    เวลาหัวค่ำ ณ โรงตีเหล็กบ้านตระกูลเฮเทรนที่ตั้งอยู่ด้านหลัง ซึ่งปกติที่นี่มักจะเต็มไปด้วยเปลวเพลิงอันร้อนระอุ และ ดังก้องไปด้วยเสียงของค้อนกระทบกับโลหะที่โดนเผาจนแดงฉาน แต่วันนี้ ทุกอย่างกลับนิ่งสงบทุกคนต่างหยุดกันหมด เพราะที่นี่มีงานใหญ่สองงานด้วยกัน งานแรกก็คืองานวันเกิดของน้องชายเขา และอย่างที่2ก็คือ การประกาศตัวทายาทรุ่นต่อไปถัดจากพ่อเขา ของบ้านตระกูล เฮเทรน ต่อหน้าทุกๆคน

    ทุกคนต่างไปช่วยเตรียมงานกันหมด แต่ตัวเขาเองกลับมานั่งเงียบๆอยู่ตรงนี้เพราะนี่เป็นวันที่ตัดสินชะตาชีวิตเขาทั้งชีวิตทีเดียว ถ้าเกิดเขาเลือกที่จะเข้าไปร่วมงานวันนี้หมายถึงตัวเขาจะเป็น ทายาทรุ่นต่อไปจากพ่อเขาแน่นอน ซึ่งหมายความว่าชีวิตของเขาต่อจากนี้จะสุขสบายไปจนตาย แต่ต้องแลกด้วยกับการผูกติดกับ ความรับผิดชอบ ในฐานะเจ้าบ้าน เฮเทรนคนต่อไป เส้นทางชีวิตแสนจะมั่นคงและราบเรียบ

    พ่อค้าผมส้มนั่งพิงกำแพงอยู่มุมหนึ่งของโรงตีเหล็กเขาหยิบดาบสั้นที่เหน็บหลังไว้เสมอตั้งแต่ได้รับมันมา มันเป็นดาบสั้น ที่ยาวเพียง 50 ซม. มันเป็นดาบที่รูปร่างเรียบๆ ตั้งแต่ใบมีดจนไปถึงด้ามดาบมันมีสีขาวทั้งเล่ม

    "3 ปีแล้วสินะตั้งแต่เราได้รับดาบเล่มนี้มาจากอา แล้ว อาก็หายสาปสูญไปเลย" ออสพึมพัมคนเดียวเบาๆ

    ออสจับดาบเล่มนั่นโยนเล่น เหมือนจะทำเพื่อแก้กลุ้มระหว่างที่ต้องนั่งคิดถึงเส้นทางชีวิตที่เขาจะต้องเลือกเอาทางใดทางหนึ่ง ในคืนวันนี้

    "เมื่อนายจะต้องเลือกเส้นทางที่จะก้าวเดิน อย่าไปสนใจความเห็นของคนอื่น นายจงถามใจของนายแล้วเงี่ยหู ฟังคำตอบจากใจจริงของนายให้ดีๆ เพราะนายจะต้องเดินไปตามเส้นทางนั้นทั้งชีวิต ถ้านายเลือกผิดแม้จะเสียใจเพียงไหนนายก็ไม่สามารถกลับตัวได้แล้ว ฉะนั้นก่อนจะเลือกนายต้องถามตัวนายเองให้ดีๆ"

    คำพูดของอาเขาที่เคยบอกไว้พร้อมมอบดาบสั้นสีขาวสะอาดตาเล่มนี้ให้เขา ซึ่งเขาก็มารู้ทีหลังว่ามันเป็นดาบที่ถูกสร้างจาก โอริดิคอนสีขาวทั้งเล่ม ชื่อของมันก็คือ " แกรนทีน " ดาบสั้นที่จอมเวทย์ทั้งหลายไม่อยากจะเห็นมันซักเท่าไร เพราะความสามารถของดาบสั้นเล่มนี้คือ ดูดซับ แล้วสะท้อนเวทย์มนต์ทุกชนิfกลับไป แล้วเท่าที่เขาเคยลองทดสอบดู รู้สึกว่าเวลาสะท้อนกลับมันจะแรงกว่าเดิมซะด้วย

    หลังจากได้รับดาบเล่มนี้ ออสก็เคยนำมันออกมาใช้นับครั้งได้ เพราะปกติ ชีวิตของพ่อค้าอย่างเขา คงไม่มีโอกาสต้องไปปะทะ กับ จอมเวทย์บ่อยนักหรอก เวลาปกติ วิชาที่อาสอนเขาไว้เพื่อเอาตัวรอดมันก็มากพอแล้วล่ะ

    ซึ่งที่เขาใช่บ่อยที่สุดก็คือ "กระสุนดัชนี" วิชาที่ถ่ายจิตที่มีอยู่ในร่างกายลงไปห่อหุ้มวัตถุ ที่ถูกถือไว้ในมือแล้วซัดออกไปด้วยนิ้ว ซึ่งความเร็วและความรุนแรงในการยิงนั้น ก็ขึ้นกับความชำนาญของผู้ใช้

    ออสยังคงโยนดาบสั้นแกรนทีนในมืออยู่เรื่อยๆพลางครุ่นคิดอย่างหนัก จนสะดุ้งจากภวัง เพราะมีเสียงใครบางคนเปิดประตูแล้วก้าวเข้ามาในโรงตีเหล็กแห่งนี้

    "พี่ออส มาอยู่ที่นี่เองปล่อยให้ผมตามหาซะแทบแย่" เสียงจากเด็กชายผมสีแดงสดที่มีโครงหน้าละม้ายคล้ายกับเขาเป็นอย่างยิ่งยิ้มอย่างยินดีเเมื่อเห็นเขานั่งอยู่ที่นี่

    "มีอะไรรึฟาดัม? ใครใช้มาตามตูอีกล่ะ " พ่อค้าผมส้มถามไปยังน้องชายต่างมารดาของเขา

    น้องชายของเขาคนนี้ก็ค้าขายเก่งพอๆกับเขาน่ะแหละ ดีไม่ดีอาจจะเก่งกว่าเขาซะด้วยซ้ำด้านสายตาในการมองสินค้า แต่ยังขาดประสบการณ์ และ ชั้นเชิง อีกนิดหน่อยซึ่งเวลาจะสอนเขาเอง ร้านของบ้านเฮเทรน ก็มีพ่อกับน้องชายหัวแดงของเขาคนนี้แหละ ที่ค้าขายจนเป็นที่เชื่อถือของคนในตลาดบ่าย เมื่อเห็นหน้าน้องชายของเขา ออสก็ตัดสินใจที่จะก้าวเดินทันที

    เด็กหนุ่มผมแดงนามว่าฟาดัมเดินเขามานั่งข้างๆ "พี่จะไม่ให้ของขวัญวันเกิดผมหน่อยเหรอ? วันนี้วันเกิดผมนะ หรือว่าพี่ออส ลืมไปแล้ว"

    ออสได้ยินประโยคที่ทวงถามถึงของขวัญจึงยิ้มออกมาอย่างเอ็นดู "น้องใครฟะเนี่ย งกชะมัด แล้วอยากได้อะไรล่ะพ่อน้องชายสุดที่ร๊ากพี่"

    "อะไรที่พี่ให้ผมก็ดีใจทั้งนั้นแหละ ถึงตอนนี้ผมอาจจะยังไม่เก่งเท่าพี่ แต่ผมก็รู้นะว่าของแต่ละอย่างในตัวพี่ และ ในกระเป๋าของพี่มันเป็นของดีๆทั้งนั้น " ฟาดัมเอ่ยพลางยิ้มให้พี่ชายของเขาเพราะรู้ว่าของขวัญที่ออสให้มันต้องเป็นของที่ดีแน่ๆ

    "หนอยไอเด็กแสบรู้ดีนักนะแก อ่ะสุขสันต์วันเกิดนะพ่อน้องชาย ถ้าพี่ไม่อยู่ดูแลตัวเองดีๆนะเฟ้ย"ออสเอามือขยี้หัวน้องชายต่างแม่ของเขาอย่างเอ็นดู พลางถอดสร้อยคอของเขาที่เป็นเชือกแขวนเขี้ยวของมังกรสีขาว ซึ่งว่ากันว่าจะช่วยปกป้องให้ผู้สวมใส่จากอันตรายต่างๆได้ วางบนมือฟาดัม

    ทันทีที่ได้ยินประโยคหลัง เด็กหนุ่มหันมาจ้องหน้าพี่ชายเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย "พี่ออสว่าไงนะครับ!!"

    "ไม่มีอะไรนี่ ทำไมต้องทำหน้าตาซีเรียสอย่างนั้นด้วยล่ะ" ออสตอบพลางยิ้มขำๆกับหน้าตาของน้องชายเขา

    "พี่บอกว่าพี่จะไม่อยู่หมายความว่าพี่จะออกไปจากที่นี่แล้วหรือครับ พี่จะไปเป็นนักล่าสมบัติเหมือน อา`บิลฟอร์ด`ใช่ไหมครับ บอกผมสิครับพี่" ฟาดัมถามพี่ชายเขาเป็นชุดอย่างร้อนอกร้อนใจ

    ออสยังคงยิ้ม"แกนี่รู้ดีเหมือนกันนี่หว่าเห็นตัวแค่นี้" พ่อค้าผมส้มก็ยังคงอมยิ้มแล้วเอ่ยออกมาอย่างที่เล่นทีจริง

    "ก็ไม่ดีเหรอ ถ้าตูไม่อยู่แกจะได้เป็นเจ้าบ้านเฮเทรนคนต่อไปไง สบายไปทั้งชาติเลยนา"

    "พี่ออสอย่าพูดเล่นอย่างนั้นสิ คุณปู่ท่านเลือกพี่นะ แล้วที่ผมพยายามเรียนรู้ทุกอย่างจากทุกๆคนก็เพื่อจะได้ช่วยเหลือพี่ไง ผมไม่เคยหวังที่จะแทนที่พี่เลยนะ" ฟาดัมเอ่ยน้ำตาคลอ

    "ลูกผู้ชายเค้าไม่ขี้แยหรอกเฟ้ย ตูไม่ได้ไปตายซักหน่อย แค่ออกเดินไปตามเส้นทางที่เลือก ไว้ซักวันถ้าแกจะต้องเลือกเส้นทางที่จะต้องก้าวเดิน แกก็จะรู้เองแหละว่าควรทำไงดี" พ่อค้าผมส้มลูบหัวน้องชายเขาแล้วเหน็บดาบสั้นไว้ด้านหลังที่เดิม แล้วเขาก็เอ่ยประโยคเดียวกับอาที่เคยพูดกับเขาไว้ เมื่อตอนได้รับดาบสั้นแกรนทีนกับน้องชายเขาเช่นกัน พร้อมลุกขึ้นเดินออกไปด้านนอก แต่เมื่อมองไปก็พบว่านอกจากเขาและน้องชาย ยังมีคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าโรงตีเหล็ก ก็คือปู่เขานั้นเอง พร้อมกับพ่อแม่ และ คนของบ้านเฮเทรนอีกไม่น้อย

    "เป็นอย่างที่คิดจริงๆ ออส นี่แกจะหักหน้าชั้นรึไง!!" ปู่ของเขาตะคอกถาม

    "ขอโทษนะครับปู่ แต่ผมคงเป็นอย่างที่ปู่หวังไว้ไม่ได้ ของให้ท่านปู่ และ คุณพ่อคุณแม่ ดูแล รักษาสุขภาพด้วย เพราะผมคงไม่มีโอกาศได้ดูแลรับใช้ท่านอย่างใกล้ชิดอีกแล้ว" ออสเอ่ยพลางก้มหัวให้กับทุกคน

    คำพูดของออสราวกับเป็นสิ่งที่ยืนยันถึงเส้นทางที่เขาเลือกต่อหน้าทุกๆคนทันที ปู่ของเขาโกรธจนหน้าแดงก่ำ "ก็ได้ เจ้าออส ถ้าแกก้าวออกจากบ้านหลังนี้แม้แต่เพียงก้าวเดียว ชั้นจะถือว่าแกไม่ใช่คนของตระกูลเฮเทรน อีกต่อไป แล้วดูซิ ว่าคนอย่างแกจะทำอะไรได้ในเมืองนี้ ถ้าไม่มีชื่อของเฮเทรน คุ้มกะลาหัวแก!!!"

    ออสไม่ตอบอะไรแต่ก้มหัวคำนับปู่กับพ่อแม่ของเขาอีกครั้ง แล้วค่อยๆเดินมุ่งไปยังประตูทางออกของบ้านหลังนี้ซึ่งเขารู้ดีว่าเส้นทางนี้เขาหันหลังกลับไม่ได้แล้ว แต่ยังไม่ทันที่พ่อค้าผมส้มจะเดินไปได้ไกลนัก

    " จับตัวมันไว้!! " ปู่ของเขาตะโกนสั่งลูกน้อง พริบตาเดียว พ่อค้าผมส้มก็ถูกล้อมกรอบจากทหารรับจ้างร่วมๆ10คนของปู่เขาทันที ซึ่งแต่ละคนก็มีฝีมือทีเดียว

    ออสล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง มืออีกข้างจับด้ามดาบสั้น`แกรนทีน` ที่เหน็บอยู่ที่หลังเขาทันที เพราะเขาจำได้ดีว่า ทหารรับจ้างของปู่เขานั้นมีจอมเวทย์อยู่ด้วย ขณะที่บรรยากาศกำลังตึงเครียด อยู่นั่นเอง ก็มีค้างคาวตัวหนึ่งบินฝ่าท้องฟ้ายามค่ำคืนของเวลเจ มาตกตรงหน้าเค้าดับสภาพยับเยินไปทั้งตัว

    พ่อค้าผมส้มจ้องแทบตาถลน เพราะนี่มันหมายถึงลางร้ายสุดๆจากเพื่อนแวมไพร์นักข่าวจอมอยากรู้อยากเห็นของเขา "ไดฮาคุ โทโย" ออสไม่มีเวลาคิดอะไรต่อไปแล้วเพราะเขารู้ดีว่าคนอย่างโทโยนั้นถ้าไม่จนแต้มจะไม่มีทางขอความช่วยเหลือจากเขาแน่นอน เพราะเขาชอบที่จะเก็บค่าช่วยเหลือเป็นอะไรแปลกๆเสมอๆ

    พ่อค้าผมส้มเงยหน้าแล้วเอ่ยขึ้นช้าๆแต่ดังฟังชัดได้ยินกันทุกคน "หลีกทางด้วยเพื่อนผมกำลังลำบากอยู่" ทุกคนที่ล้อมเค้าอยู่ก็คงยังนิ่งเหมือนไม่ได้ยินคำพูดของเขา

    "บอกให้หลีกไปยังไงเล่า!!!!" ออสตะโกนเสียงดังลั่นพร้อมพุ่งเข้าใส่นักดาบคนหนึ่งที่ยืนขวางทางเขาทันที แต่ยังไม่ทันที่เขาจะถึงตัวนักดาบคนนั้นก็ลงไปนอนกับพื้นเพราะโดนอะไรบางอย่างกระแทกเข้าแสกหน้า แล้วพริบตานั้น ทุกคนที่ล้อมกรอบออสอยู่ก็โดนซัดจนลงไปกองกับพื้นถ้วนหน้า พร้อมๆกับเสียงเหรียญนับ10เหรียญ ที่ตกลงสู่พื้นดังกรุ๊งกริ๊งไปทั่ว

    พ่อค้าผมส้มวิ่งออกจาก บ้านเฮเทรนทางประตูหลังทันที แล้วเขาจะเริ่มที่ไหนดีล่ะ ตอนนี้เพื่อนของเขาอยู่ส่วนไหนของเมืองกันแน่ ออสหันรีหันขวาง จนเห็นสิ่งผิดปกติในยามค่ำคืนเช่นนี้ก็คือ แสงสว่างวาบ แล้วก็เกิดพายุหิมะโปรยปรายอยู่ทางท่าเรือ ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ที่จะมีหิมะในช่วงฤดูร้อนเช่นนี้ แถมเป็นเป็นพื้นที่แคบๆเฉพาะบริเวณท่าเรือด้วย

    "ตระกูลฟรอสเฟรด พายุหิมะ เฮ้ยไม่จริงน่า!!!! ขอให้ไปทันด้วยเถอะ" ออสที่นึกอะไรบางอย่างออก ร้องออกมาแล้ววิ่งผ่าเมืองเวลเจยามค่ำคืนเช่นนี้ซึ่งผู้คนมักจะไปรวมกันอยู่ที่ตลาดมืดกันหมด มันเงียบสงัด เงียบจนน่ากลัวเลยทีเดียว

    ฟาดัมที่จ้องมองของพี่ชายของเขาที่เพิ่งทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างก้าวเดินตามเส้นทางที่เขาเลือกจนหายลับไปจากสายตา แผ่นหลังของพี่ชายผมสีส้มของเขาคนนี้ มันช่างยิ่งใหญ่เหลือ จะมีซักวันมั๊ยนะที่ตัวเขาจะเป็นได้แบบพี่ชายผมส้มของเขาคนนี้บ้าง





    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~​





    ขอย้อนกลับไป ราวๆ1ชม.เศษก่อนที่พ่อค้าผมส้มจะตัดสินใจเลือกทางเดินของตน

    ณ ท่าเรือด้านทิศใต้ของเวลเจ เรือมังกรสมุทร ของตระกูล"ฟินแลนดรอส" ได้จอดเข้าเทียบท่าหลังจากเดินทางออกไปตามหาสมบัติที่ถูกว่าจ้างมา ลูกเรือที่ประจำอยู่ที่ท่าเรือ และบนตัวเรือต่างขนของที่หามาได้ลงจากเรือ

    เด็กหนุ่มหน้าทะเล้นคนหนึ่ง เดินลงจากเรือพร้อมกับพ่อของเขา "มาทันเวลางานวันเกิดน้องไอออสมันเลยนะพ่อ ฝีมือจริงๆพ่อเนี่ยคำนวนเวลาในการเดินเรือ แม่นยำชะมัด"

    "เหอะๆเจ้าตัวดี ไม่ต้องมาทำปากหวานชมพ่อเลย แกจะขออะไรพ่ออีกล่ะคราวนี้ ว่ามาซิ อเล็กซ์" บิดาของนักล่าสมบัติหนุ่มหน้าเป็นเอ่ยดักคออย่างรู้ทัน

    อเล็กซ์เกาหัวแกรกๆเพราะไม่คิดว่าบิดาตนจะดักคอเช่นนี้ จึงบอกถึงแแผนการณ์ของเขาทันที "แหมๆ พ่อรู้ทันผมไปซะทุกเรื่องเลยนะ ขอไม่มากหรอกพ่อแค่คืนนี้ว่าจะลากเจ้าออสกับโทโย ไปโต้รุ่งกันซะหน่อย ดีไม่ดีอาจลากเจ้าฟาดัมไปเสียเด็กด้วยอีกคนอ่ะ พ่อ"

    "เหอะๆ แกนี่จริงๆเลยนะ อายุก็ไม่ใช่น้อยแล้ว ยังชอบทำอะไรแผลงๆอยู่เรื่อย เรื่อง ออส กับ โทโย พ่อไม่ว่าหรอก แต่ ฟาดัม พ่อขอไว้คนละกัน แค่นี้พวกแก3คนก็เป็นที่เลื่องลือไปทั่วเวลเจแล้ว" พ่อของอเล็กซ์ส่ายหัวอย่างระอาในความแสบสันของบุตรชายของเขา

    นักล่าบัติจากท้องทะเลยืดอกพูด "อะโธ่ มีแต่คนชมใช่มะป๋า"

    พลั่ก!! เสียงฝ่ามือฟาดลงกลางหลังเจ้าหนุ่มหน้าเป็นจนหัวคะมำ "มีแต่คนด่าน่ะเซ่! สร้างเรื่องได้ทุกทีสิน่าแก!"

    "โหป๋า ไม่เห็นต้องลงไม้ลงมือเลย" อเล็กซ์ลุกขึ้นมาบ่นงึมงัมๆ

    "เออๆไม่ต้องมาบ่นอะไรแล้ว ข้าจะกลับบ้านไปอาบน้ำแต่งตัวเดี๋ยว จะได้ไปร่วมงานของตระกูลเฮเทรน ส่วนแกจะไปทำอะไรก็ทำ แต่อย่าให้คนอื่นเดือดร้อนล่ะ ไม่งั้นงวดนี้ข้าจับแกไปปล่อยเกาะแน่ๆ"พ่อของจอมทะเล้นประจำเวลเจ เอ่ยตัดบท พลางเดินกลับไปยังบ้านของเขา

    อเล็กซ์ยืนยิ้มอยู่คนเดียวพลางคิดว่าเขาจะชวนเพื่อนๆของเขาป่วนงานคืนนี้ยังไงดีนะ ขณะที่กำลังยืนคิดอยู่นั่นเอง ก็อะไรบางอย่างพุ่งเข้ามาหาเขาอย่างรวดเร็ว นักล่าแห่งท้องทะเล สบัดดาบโปเซดอนสีเงินของเขาออกจากฝักที่เหน็บไว้บริเวณเอวทันที แต่สิ่งที่เขาเห็นก็คือชายหนุ่มผมสีทองใส่ชุดสีดำสนิททั้งตัว เพื่อนผีดูดเลือดของเขานั่นเอง

    อเล็กซ์ลดดาบลงพร้อมร้องทัก "เฮ้ยโทโย ว่าไงวะมารับถึงที่เลยเหรอ?"

    "อเล็กซ์ บอกให้คนของแก กันคนออกจากบริเวณให้หมดเร็ว!! แล้วห้ามใครเข้ามาบริเวณนี้ด้วย!!" โทโย เอ่ยบอกเพื่อนเขาอย่างเร่งร้อน

    "เฮ้ยๆ อะไรของแกวะ ขอคำอธิบายหน่อยเด๊ะ เกิดอะไรขึ้นวะ" นักล่าสมบัติหน้าทะเล้นถามอย่าง งงๆ

    แวมไพร์ผมทองเอ่ยพร้อมๆกับร่ายมนต์ดำที่เขาถนัดทันที "คำตอบมาแล้วล่ะ"

    พริบตาที่ได้ยินคำตอบของเพื่อนผีดิบของเขา สิ่งที่อเล็กซ์รู้สึกได้ก็คือจิตสังหารที่เย็นเฉียบราวกับยืนอยู่กลางพายุหิมะยังไงยังงั้น นักล่าสมบัติหนุ่ม หันหน้าไปตามสันชาตญาณ ก็พบคนในชุดคลุมสีดำสวมหน้ากากสีขาวเกลี้ยงเกลา มีเพียงช่องที่ถูกเจาะไว้เพื่อสำหรับมอง ซึ่งตัดกันกับสีของผ้าคลุมน่าดู

    อเล็กกระซิบถามเพื่อนผู้อยากรู้จนได้เรื่องของเขา "อย่าบอกกรูนะว่านั่นน่ะนักฆ่าตระกูลฟรอสเฟรส"

    โทโยไม่ตอบพียงแต่พยักหน้าเล็กน้อย พลางรวบรวมสมาธิร่ายมนต์ต่อ ซึ่งแค่นั้นก็ทำให้อเล็กซ์รู้แล้วว่าทำไม

    "ชิบหาย!!! ทำไมกรูไม่ซื้อหวยแล้วถูกอย่างงี้บ้างวะ ไอเพื่อนเวร ตรึงไว้ให้ได้นานที่สุดนะเฟ้ย เดี๋ยวตูมาช่วย" อเล็กซ์ร้องออกมา พลางวิ่งไปตะโกนสั่งคนของเขาตามที่โทโยบอกทันที

    ทันที่อเล็กซ์วิ่งไปสั่งคนของเขา คนในชุดดำสวมหน้ากากคนนั้นก็สบัดมือไปทางอเล็กซ์พร้อมๆกับศรน้ำแข็งนับ10ดอก ที่พุ่งตรงไปยังนักล่าสมบัติหนุ่ม

    "เหล่าวิญญาณผู้วนเวียนอยู่ในโลกใบนี้ จงมาตามคำสั่งแห่งข้าเจ้าแห่งรัตติกาล ทำลายอริเบื้องหน้าให้ดับสูญ ดาร์กโซล!!!"

    โทโยปล่อยมนต์สายความมืดที่เขาแสนจะถนัด เข้าใส่คนในชุดดำนั่นทันที ลูกพลังสีดำ 10กว่าลูก พุ่งเข้าปะทะศรน้ำแข็ง แตกละเอียดกลางอากาศ อีกส่วนหนึ่งก็พุ่งเข้าใส่นักฆ่าสวมหน้ากากคนนั้นทันที

    แต่ยังไม่ทันลูกพลังสีดำของแวมไพร์หนุ่มจะถึงตัวนักฆ่าคนนั้นก็หายวับไปทันที แล้วปรากฎตัวหน้าโทโยในระยะประชิด

    "เงาแห่งข้าจงฟาดฟันศัตรูเบื้องหน้า ชาโดวเบลด!!!"

    เงาของแวมไพร์หนุ่มที่เกิดขึ้นจากคบเพลิงที่ถูกจุดอยู่รอบๆท่าเรือแห่งนี้เคลื่นไหวราบกับมีชีวิต พุ่งเข้าใส่นักฆ่าคนนั้นทันที

    ระหว่างที่เพื่อนผมทองของเขากำลังสู้อยู่นั่นเอง อเล็กซ์วิ่งเข้ามาตะโกนสั่งทุกคนที่ยังอยู่บนเรือ แล้วบริเวณท่าเรือ

    "หนีออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุดถ้ายังไม่อยากตาย แล้วห้ามใครเข้ามาเป็นอันขาด แม้แต่พ่อของข้าก็ตามที!" ซึ่งทันทีที่นายน้อยตระกูลฟินแลนดรอสตะโกน ทุกคนที่อยู่บริเวณท่าเรือต่างทำตามคำสั่งของนายน้อยคนนี้ทันที เพราะไม่ใครคิดจะล้อเล่นกับความตาย

    แต่ก็มีลูกเรือที่สนิทกับอเล็กซ์หลายๆคนวิ่งเข้ามาหาเขา เพื่อจะขอสู้ด้วย "ไม่มีแต่ คราวนี้มันเกินกำลังไป ไม่ใช่ดูถูก แต่ทุกคนสู้เจ้าหน้ากากนั่นไม่ได้หรอก รีบไปตามคนของไดฮาคุ มาให้เร็ว ยามค่ำคืนเช่นนี้พวกนั้นเจ๋งสุดแล้ว ข้ากับเจ้าโทโยจะตรึงไว้ให้นานที่สุด"

    สั่งทุกอย่างอเล็กซ์ วิ่งเข้าไปสู่ลานบริเวณท่าเรือซึ่งตอนนี้เป็นสถาณที่ห้ำหั่นกันระหว่าง นักฆ่า กับแวมไพร์พ่อค้าข่าวอยู่ มนต์สายน้ำแข็ง และ สายความมืด ถูกงัดขึ้นมาซัดกันจนบริเวณนั้นเละเทะไปหมด

    นักล่าสมบัติหนุ่มพุ่งเข้าไปตวัดดาบของเขาฟันศรน้ำแข็ง ที่ถูกซัดเข้าใส่ทันทีที่ตัวเขามาถึงที่นี่ สภาพของเพื่อนเขาตอนนี้ ชุดขาดรุ่งริ่งไปหมด เพราะถูกเล่นงานก็ไม่ใช่น้อย "โทโย ให้ค้างคาวของแกไปบอกเจ้าออสมันรึยัง? ลำพังเรา2คนจะยันเจ้านี่ไม่อยู่เอานา"

    โทโยพยักหน้าตอบคำถามของเพื่อนเขาพลางเหลือบขึ้นไปบนท้องฟ้าปรากฏดวงดวงจันทร์กลมโตฉายแสงนวลตา "คืนนี้ไม่ใช่คืนเดือนมืดพลังชั้นใช้ได้ไม่เต็มที่นัก ตอนนี้ก็เหลือไม่เยอะแล้ว ช่วยถ่วงเวลาให้ร่ายมนต์ซัก3นาทีสิ อเล็กซ์"

    "เหอะๆ อะไรๆก็3นาทีทั้งกะปีอ่ะแก ไม่รับรองนะเว้ย แต่จะพยายามให้ถึงละกัน" นักล่าแห่งท้องทะเลหนุ่มผู้ซึ่งผ่านอันตรายมาอย่างโชกโชน พุ่งเข้าใส่นักฆ่าชุดดำอย่างรวดเร็ว แต่ก็ถูกสวนด้วยศรน้ำแข็งนับ10 อเล็กซ์ตวัดดาบสีเงินในมือเพื่อฟันแท่งน้ำแข็งเหล่านั้น ขณะที่ละความสนใจไปยังแท่งน้ำแข็งที่พุ่งเข้าใส่ นักฆ่าในชุดดำสวมหน้ากากคนนั้นก็บุกเข้าประชิดตัวเขาเช่นกันพร้อมๆกับพุ่งมือที่มีเล็บอันเหลมคมเข้าใส่คอของเขา

    นักล่าสมบัติหนุ่มยกขาขึ้นถีบทันทีเพื่อเอาตัวรอด พลั่ก!!! เสียงรองเท้าของเขาปะทะกับร่างในผ้าคลุมอย่างจัง อเล็กซ์รุกกลับทันทีที่ได้จังหวะ ดาบโค้งสีเงินถูกตวัดเข้าแสกหน้า ซึ่งนักฆ่าคนนั้นกระโดดถอยหลังหลบได้อย่างฉิวเฉียด พร้อมๆกับซัดศรน้ำแข็งอีกนับ10 พุ่งตรงเพื่อนที่จะเข้าทิ่มแทงร่างของเด็กหนุ่มหน้าเป็นคนนี้

    คราวนี้อเล็กซ์กระโดดไปทางขวามือของตนสุดชีวิตเพื่อหลบฝูงแท่งน้ำแข็งที่ตรงดิ่งมายังตัวเขา โดยที่ไม่รู้ว่าศัตรูของเขานั้นรอจังหวะนี้อยู่แล้ว ทันทีที่สปริงตัวลุกขึ้น ร่างของเขาก็ถูกประชิดตัวด้วยเงาสีดำ ฉึก!!! มือที่เต็มไปด้วยเล็บอันแหลมคมแหวกเข้าไปในอกด้านซ้ายของนักล่าสมบัติหนุ่ม ซึ่งเบี่ยงตัวหลบจากถูกโจมตีจุดตายก็คือหัวใจได้อย่างเฉียดฉิว เลือดสีแดงสดไหลทะลักออกจากแผลเขากันที

    อเล็กซ์กัดฟันฟาดดาบที่อยู่ในมือขวาเข้าใส่อย่างสุดแรง ทำเอานักฆ่าคนนั้นต้องกระโดดถอยหลังเพื่อหลบอีกครั้ง แค่คราวนี้ดาบสีเงินของอเล็กซ์ตวัดโดนเอาหน้ากากของนักฆ่าคนนั้น พริบตาเดียว ร่างของเขาก็ถูกกระชากให้ถอยหลังออกมาอย่างแรง ซึ่งเหลีอบไปก็พบ โทโย ยืนอยู่ข้างๆ มืออีกข้างของเขาห่อหุ้มไปด้วยคลื่นพลังสีดำสนิท พริบตานั้นเองแวมไพร์หนุ่มใช้มนต์สายความมืดระดับสูงสุดที่เขาจะเรียกใช้ได้ทันที

    "ข้าแด่เจ้าแห่งรัตติกาล ผู้ผูกพันด้วยสัญญาแห่งควมมืด ขอหยิบยืมพลังส่วนหนึ่งของท่าน นำพาศัตรูเพื้องหน้าไปสู่นรกโลกันต์ เงามายาแห่งความมืด ดาร์กอินลูชั่น!!! "

    ในเสี้ยววินาทีที่ร่ายมนต์จบ บริเวณท่าเรือโดยรอบถูกกลืนกินด้วยคลื่นพลังความมืดที่พุ่งเข้าใส่นักฆ่าคนนั้นจากทุกทิศทุกทาง

    แต่จู่ๆก็เกิดพายุหิมะพัดกระหน่ำอย่างรุนแรงเข้าต้านมนต์แห่งความมืดของโทโย พร้อมสะเก็ดน้ำเข็ง ที่พุ่งเข้าใส่พวกเขา ทั้ง2หนุ่มต่างเผ่าพันธ์ ต่างกัดฟันเรียกเอาแรงเฮือกสุดท้ายออกมาใช้เพื่อปัดป้องสะเก็ดน้ำแข็งเหล่านั้น

    ทั้งพายุหิมะและคลื่นพลังความมืด ต่างปะทะกันอย่างรุนแรงเป็นเวลาเกือบ5นาที ไม่ต้องพูดถึงบริเวณท่าเรือแห่งนี้ ซึ่งยับเยินไปหมดด้วย อนุภาพของเวทย์มนต์ระดับสูงทั้ง2สาย จังหวะที่ได้มีเวลาพักหายใจนี่เอง

    นักล่าสมบัติหนุ่มลูกทะเล ก็หยิบยาห้ามเลือด ขึ้นมาราดปากแผลเพื่อให้เลือดหยุดใหล เพราะงานนี้มันไม่จบง่ายๆแน่ สภาพของเจ้าตัวก่อเรื่องที่ใช้พลังเวทย์เกินขีดจำกัดของตัวมันในคืนพระจันทร์เต็มดวง ตอนนี้ก็ทรุดลงไปนั่งคุกเข่าหอบอย่างรุนแรง หน้าซึ่งปกติก็ไม่ค่อยจะมีสีเลือดอยู่แล้วบัดนี้ขาวซีดยิ่งกว่าศพซะอีก

    ทันทีที่พลังเวทย์ทั้ง2อ่อนแรงลง อเล็กซ์กระชับดาบโค้งสีเงินในมือขวาของเขา ซึ่งพอจะขยับไหว ส่วนแขนซ้ายนั้นตอนนี้มันชาไปหมดราวกับไม่มีแขนข้างนั้นติดตัวเลย

    "ไอออสเว้ยเมื่อไรเมิงจะมาวะ พวกตูยันไม่ไหวแล้วนะเว้ย!! งวดนี้เมิงจะเก็บตังเท่าไรกรูก็จ่าย" อเล็กซ์ร้องก้องอยู่ในใจขณะจับจ้องเตรียมพร้อมรับการโจมตี และ ปกป้องเพื่อนแวมไพร์ซึ่งสภาพตอนนี้เขา2คนไม่ต่างจากเหยื่อดีๆนี่เอง

    เคร้ง!! เสียงของอะไรบางอย่างที่ถูกฟาดเข้าใส่ตัวเขาอย่างรวดเร็ว แต่สันชาตญาณเอาตัวรอดทำให้เขายกดาบในมือขึ้นกันทันที และทันทีที่ปะทะกัน ดาบของเขารวมทั้งมือขวาด้วยต่างค่อยๆถูกแช่แข็งลามขึ้นมาเรื่อยๆ

    "เฮ้ย!!" อเล็กซ์อุทานออกมาอย่างตกใจ วินาทีระหว่างความเป็นความตายนั่นเอง ก็มีอะไรบางอย่างลอยเข้ามากระแทก ดาบของเขาอย่างรุนแรง จนน้ำแข็งที่เกาะอยู่แตกกระจาย รวมไปถึงตัวเขาที่กระเด็นไปตามแรงกระแทกนั่นด้วย

    "อย่าแตะต้องกับดาบเล่มนั้นเป็นอันขาดอเล็กซ์ ไม่งั้นเมิงได้เป็นน้ำแข็งใสแน่ๆ" เสียงที่เขาคุ้ยเคยดังมาพร้อมร่างของพ่อค้าผมส้มที่มายืนประจันหน้ากับนักฆ่าคนนั้นทันที เมื่อมองไปยังนักฆ่าคนนั้นที่ถูกเขาฟันหน้ากากให้แตกออก ส่วนผ่านคลุมก็ท่าทางโดนพายุเวทย์มนต์เมื่อกี้กระหน่ำจนขาดไปหมด ปรากฎร่างที่อยู่ภายใต้ผ้าคลุมและหน้ากากนั้นให้เห็น ซึ่งเขาแทบไม่เชื่อสายตาทีเดียว

    เด็กสาว ผมสีเงินยาวสลวย ดวงตากลมโตสีแดงสด ดุทับทิมชั้นยอด สวมเสื้อแขนกุดสีดำ มีสายเข็มขัดสีดำรัดต้นแขน กระโปรงสั้นสีขาว และที่ด้านหลังของเธอมีปีกสีดำเหมือนเทพธิดาแห่งความตายไม่มีผิด แต่สีหน้าของเธอนั้นเหมือนรูปสลักที่สร้างมาจากน้ำแข็งทั้งก้อนมากกว่า

    " `ฟอรส์เฟรดส์นักฆ่าปีกสังหาร` ที่มาของฉายาเป็นเช่นนี้นี่เอง ไม่ทราบจะรังเกียจใหมถ้าผมจะขอเจรจาอย่างสันติ เพราะผมเองก็ไม่อยากเสี่ยงกับดาบ `สโนว เดวิล ` ดาบพลังเวทย์สายน้ำแข็งอีกหนึ่งเล่มที่ถูกจัดขึ้นทำเนียบว่าดีที่สุดในบรรดาดาบพลังเวทย์"

    "ดาบที่ถูกสร้างจาก โอริดิคอนสีขาวทั้งเล่ม ความยาวนับตั้งแต่ด้ามดาบจดปลายดาบ ยาว1เมตรพอดี ที่ปลายด้ามถูกสลักเป็นรูปหัวของปีศาจ ที่กั้นดาบถูกสลักเป็นกงเล็บปีศาจหันปลายเล็บไปทางเดียวกับปลายดาบ โคนดาบสลักเป็นรูปดาบเล่มนี้พร้อมอักขระกำกับ ถ้าผมไม่เข้าใจอะไรผิดกับดาบเล่มนั้น ที่มีอนุภาพที่ทำให้ทุกอย่างที่ดาบนี้สัมผัสเป็นน้ำแข็ง "

    "แล้วครั้งที่2ที่สัมผัสก็คือน้ำแข็งที่ถูกสร้างขึ้นจะแหลกละเอียดเป็นผง" พ่อค้าผมส้มที่เอามือข้างหนึ่งล้วงกระเป๋ากางเกงอยู่ พยายามเจรจา อย่างน้อยก็ถ่วงเวลาให้เขาที่วิ่งมาเต็มกำลังได้พักนิดหน่อย ซึ่งมันก็ได้ผลนักฆ่าสาวน้อยเบื้องหน้า หยุดจ้องหน้าเขาด้วยสายตาเย็นชา หาได้ลงมือโจมตีอย่างต่อเนื่อง

    แล้วเสียงที่แสนจะเย็นชาก็ตอบกลับมาจากปากของสาวน้อยผู้มีปีกสีดำ

    "ไม่มีการเจรจา ในโลกนี้มีเพียง2สิ่งคือ ฆ่าได้...รึไม่ได้เท่านั้น"

    มือของออสที่ล้วงกระเป๋าอยู่นั้นกำเหรียญที่อยู่ในกระเป๋าแน่น เพราะงานนี้ไม่มีสันติวิธีแหงๆ

    "ท่าทางจะแม่หญิงจะเข้าจะอะไรผิดไปเล็กน้อยนะ โลกนี้ไม่ได้มีเพียง2สิ่ง คือฆ่าได้หรือฆ่าไม่ได้เท่านั้น แต่ยังมีอะไรอีกเยอะแยะที่แม่หญิงไม่รู้จัก ที่แน่นนอกจากจำพวกที่ ฆ่าได้ หรือ ฆ่าไม่ได้แล้ว ยังมีอีกอย่างก็คือ "

    "พวกที่หน้าด้านไม่ยอมตาย ฆ่าได้แต่ไม่ยอมให้ฆ่าไงครับ!!!"

    ทันทีที่พ่อค้าผมส้มเอ่ยจบเทพธิดาปีกสีดำตรงหน้าเขาก็ยิ้มเหยียดๆใส่เขา "พวกดีแต่ปาก" เธอพูดออกมาพร้อมพุ่งเขาใส่พ่อค้าผมส้มอย่างรวดเร็ว ออสซึ่งพร้อมรับมืออยู่แล้วดึงมือที่กำเหรียญทองแดงนับ10เหรียญที่เขาเตรียมไว้เวลาฉุกเฉินในกระเป๋ากางเกงทั้ง2ข้างเสมอ แล้วซัดเหรียญในมือเขาสวนเข้าใส่สาวน้อยนักฆ่าแทบจะในเวลาเดียวกัน

    ซึ่งมันก็ได้ผลเธอคนนั้นถึงกับผงะ พุ่งตัวหลบไปอีกทางหนึ่งทีเดียว ออสไม่รอช้าล้วงมืออีกข้างเข้าไปในกระเป๋าสะพายของเขาหยิบหลอดแก้ว เหน็บไว้เต็มร่องนิ้วทั้ง4

    "งวดนี้เทหมดกระเป๋าสู้เลยว้อยย!!"

    พ่อค้าผมส้มแหกปาก พลางโยนขวดที่มีน้ำยาสีเขียวเข้มตกลงไปแตกตรงหน้านักฆ่าผมเงิน พริบตานั้นควันสีเขียวก็กระจายไปรอบตัวเธอคนนั้นทันทีพร้อมๆกับกลิ่นเหม็นเขียว จนเวียนหัว แทบจะอาเจียนทีเดียว เธอคนนั้นกลั้นหายใจหลังจากสูดควันเหล่านั้นเข้าไปถึงจะเล็กน้อย สิ่งที่ออสต้องการมันก็ได้ผลแล้วล่ะ

    เพราะขวดยาเหล่านี้ เขาซื้อมาจากแม่มดพเนจร นักปรุงยาคนหนึ่ง สีเขียวนี่ไว้ใช้กับพวกจอมเวทย์โดยเฉพาะ ถ้าสูดเข้าไปแม้จะเพียงเล็กน้อยมันมีผลต่อการร่ายเวทย์ไม่น้อยเลยทีเดียว สถานเบาก็ร่ายเวทย์ติดๆขัดๆ ได้ฟลุกๆอาจจะถึงร่ายเวทย์ไม่ได้เลยทีเดียว

    นักฆ่าสาวน้อยผมเงินพยายามจะร่ายเวทย์เข้าโจมตีพ่อค้าผมส้ม ทันทีที่หลบออกมาจากกลุ่มควันเหล่านั้น ซึ่งก็ทำให้เธอรู้ทันทีว่าควันสีเขียวเหล่านั้นมันมีผลอย่างไร สายตาที่สีแดงแสนจะเย็นชาของเธอเปลี่ยนเป็นดวงตาของสัตว์ร้ายที่พร้อมจะฉีกศัตรูให้เป็นชิ้นๆ ซึ่งก็เป็นไปตามที่ออสคาดไว้

    "พ่อค้าหรือนักล่าสมบัติ อย่างเราๆไม่มีปัญญาสู้กับพวก นักรบ หรือนักฆ่าตรงๆ หรอก ต้องรู้จักใช้ทุกอย่างที่นายมี กลวิธี ความรู้ และ ของที่มีติดตัวหรืออยู่ใกล้ๆ ให้เป็นประโยชน์มากที่สุด การยั่วยุคู่ต่อสู้ให้โมโหก็เป็น1ในกลวิธีที่น่าใช้" นี่คือ1ในคำสอนเกี่ยวกับการเอาชีวิตรอดจาก อาบิลฟอร์ด ที่เขาจำได้แม่น

    อาจจะเป็นเพราะคู่ต่อสู้ของเขาคราวนี้อายุยังไม่เยอะ หรือ แก่กล้าประสบการณ์นัก ทำให้การยั่วยุของเขาได้ผลตั้งแต่ครั้งแรก ตอนนี้สาวน้อยผู้มีปีกสีดำถูกบังคับกลายๆให้สู้กับ พ่อค้าผมส้มรอบจัดอย่างเขา ด้วยดาบอย่างเดียวเท่านั้น เธอพุ่งเข้าใส่ออสอย่างรวดเร็วพร้อมตวัดดาบเข้าใส่พ่อค้าผมส้ม ออสซึ่งรู้ความสามารถดาบเล่มนั้นดีอยู่แล้วดีดตัวหลบสุดแรง

    พร้อมกับโยนขวดที่เขาเหน็บไว้ที่ร่องนิ้วสวนเข้าใส่เธอซึ่งขวดนี้มีน้ำยาสีดำสนิทอยู่ด้านใน ตูม!!! พอแตกออกก็เกิดระเบิดเสียงดังลั่น พื้นแถวนั้นกลายเป็นหลุม พร้อมๆกับม่านควันและฝุ่นที่ฟุ้งกระจายไปหมด

    แล้วจู่คมดาบที่ถูกพุ่งฝ่าม่านควันเข้าใส่ตัวออสจากด้านหนึ่ง พ่อค้าผมส้มกระโดดเป็นกบ เพื่อหลบดาบเล่มนั้นอีกครั้ง คราวนี้ อีก2ขวดที่เหลือซึ่งมีน้ำยาสีเดียวกับขวดเมื่อกี้ถูกโยน เข้าใส่โดยดักด้านหน้าและด้านหลังของเจ้าของดาบปีศาจหิมะเล่มนั้น ตูม!!! ตูม!!! เสียงระเบิดดังติดๆกัน2ครั้ง ออสก้มลงคว้าเศษหินเล็กๆที่แตกออกเพราะระเบิดขวดของเขามาไว้ในมือหลายชิ้นทีเดียว

    จู่ๆหลังของเขาก็รู้สึกเสียววาบเย็นเฉียบ ออสรู้ได้ทันทีว่าวินาทีเป็นตายมาเยือนเขาจากด้านหลังแล้ว

    พ่อค้าผมส้ม หันหลังกลับพร้อมกระชากดาบสั้นสีขาวของเขาออกมาด้วยความเร็วสูงสุดเท่าที่เขาจะสามารถ ออสเหวี่ยงดาบสั้นในมือเขาเพื่อปัดคมดาบปีศาจหิมะ ให้พ้นจากตัวเขาพร้อมๆกับลากดาบสั้นแกรนทีนในมือเขาใล่จากปลายดาบ ไปยังโคนดาบที่เป็นรูปกงเล็กปีศาจทันที ซึ่งสร้างความตระหนกให้แค่นักฆ่าสาวปีกดำไม่ใช่น้อย

    เพราะแทนนี่ร่างของพ่อค้าผมส้มจะถูกแช่งแข็งด้วยความสามารถพิเศษของดาบเล่มนี้ แต่มันไม่เกิดอะไรขึ้นแม่แต่น้อยตรงกันข้าม ดาบสั้นสีขาวของออสกลับส่องแสงเรืองๆ ทันทีที่ถึงโคนดาบ ออสบิดดาบสั้นในมือเขาให้งัดระหว่างที่กั้นดาบที่เป็นรูปกงเล็บยื่นออกมา กับใบมีดของตัวดาบ ถึงจะเก่งกาจแค่ไหนสาวน้อยก็ยังคงเป็นสาวน้อย ไม่มีทางสู้แรงของเด็กหนุ่มอย่าง ออส ที่จับค้อนตีดาบมาตั้งแต่จำความได้หรอก

    พริบตาเดียวสโนวเดวิลก็หลุดออกจากมือเจ้าของ พร้อมๆกับความตกใจครั้งแรกในชีวิตนักฆ่า ของสาวน้อยผมสีเงินปีกดำคนนี้ ชั่ววินาทีที่ยังตกใจอยู่ในออส ฉวยโอกาส ซัดเศษหินที่กำในมืออีกข้าเข้าใส่ลำตัวอย่างต่อเนื่องและรุนแรง ส่งผลให้การต้อสู้ครั้งนี้จบลงทันที ร่างของสาวน้อยทรุดลงสลบ พร้อมๆกับดาบของเธอที่ตกลงสู้พื้น

    ออสยืนดูผลการต่อสู้ครั้งนี้อยู่อีกอึดใจเพื่อยืนยันว่าเขา เอาตัวรอดจากนักฆ่าสาวคนนี้ได้แล้ว เมื่อเห็นเธอไม่ขยับตัวอีกแล้วถึงถอนหายใจออกมา

    "เฮ้อ หมดตัวๆเกือบไปเที่ยวโลกหน้ากันยกคณะแล้วมั๊ยล่ะพวกแก" ท้ายประโยคหันไปพูดกับเพื่อนของเขาซึ่งนั่งดูอยู่อีกมุมหนึ่ง พลางเดินไปหาเพื่อนของเขาทั้ง2คน แต่ก็ยังระแวงร่างของสาวน้อยที่นอนสลบอยู่เป็นระยะๆ เมื่อเดินมาถึงเขาก็ลงนั่งข้างๆเพื่อนสนิทของเขาทั้ง2คน หันหน้ามองไปยังร่างสาวน้อยที่นอนสลบอยู่

    "งวดนี้ตูคิด1เหรียญทอง ห้ามต่อนะเว้ยไอหัวทอง เพราะก็อย่างที่เห็นตูเทหมดกระเป๋าสู้เลยนะเว้ย" ออสเอ่ยขึ้นประโยคแรกหลังจากนั่งลง

    อเล็กซ์ ซึ่งนั่งปวดแผลอยู่เสริมมาทันที "เออ ตูก็ไม่ให้มันต่อหรอก เกือบม่องเท่งเพราะความอยากรู้อยากเห็นคนเดียวไม่พอดันลากกรู กับ ไอ้ออส เข้าไปเอี่ยวด้วยจนได้อย่างที่มันว่าเกือบตายกันหมดแล้วมั๊ยล่ะนะ"

    "อืมคราวนี้ชั้นผิดเอง ขอโทษๆ จะเรียกร้องอะไรให้ทุกอย่างเลย แต่อย่าเอาเรื่องนี้ไปบอก พ่อ กับ แม่ ชั้นนะ" แวมไพร์หนุ่มผมทองเอ่ยออกมา

    อเล็กซ์หัวเราะหึๆ "ช้าแล้วมั๊งน่ะป่านนี้ท่าน2คนคงกำลังมาที่นี่โดยคิดวิธีการลงโทษไอนิสัยอยากรู้อยากเห็นเกินพอดีของแกไว้แล้วล่ะ ต่อให้พวกตูช่วยแก แล้วจะอธิบายแผลที่อกตู กับท่าเรือที่เละขนาดนี้ว่าไงวะ"

    "ก็พอดีเกิดพายุหิมะหลงฤดูพัดถล่มไง" พ่อค้าผมส้มแทรกขึ้นมาแต่ขณะนั้นเองจู่ๆร่างของสาวน้อยที่นอนสลบอยู่กับพื้น และดาบของเธอก็ถูกใครบางคน พาไปต่อหน้าต่อตาทั้ง3คนอย่างรวดเร็ว แต่ทั้ง3คนหาได้มีความคิดที่จะตามไปแม้แต่น้อย

    "อ้าว ออส แกไม่ตามไปรึไงวะ" นักล่าสมบัติหนุ่มเอ่ยถามเพื่อนผมส้มที่นั่งอยู่ข้างๆ

    "เหอะๆ ตามไปตายเรอะแก รอดมานั่งคุยกันได้ก็บุญแล้ว ว่าแต่ว่าแกไอ้ตัวดีไปทำอีท่าไหนวะ เจ๊แกถึงได้ตามฆ่าแกมาซะขนาดนั้น" ออสเอ่ยถามไปยังแวมไพรืหนุ่งที่นั่งอยู่อีกข้าง

    "ก็ไม่มีอะไร แค่สะกดรอยตามพลาดแค่ทีเดียว ถ้าไม่พลาดก็รู้แล้วว่า ที่อยู่ของนักฆ่าตระกูลฟอรส์เฟรดส์ อยู่ที่ไหนกัน" โทโยตอบคำตาม แต่ทันทีที่ตอบเสร็จเขาก็ถูกอเล็กซ์ยันกระเด็น

    "ไปหาที่ตายชัดๆแล้วยังหนีมาที่นี่อีกรู้งี้ปล่อยให้โดนเจ๊นั่นทำปุ๋ยไปแล้ว เมิงไม่ดูตัวเองและเพื่อนๆเมิงเลย พ่อค้าข่าวที่ถนัดหาข่าว นักล่าสมบัติที่เก่งการเดินเรือและหาสมบัติ พ่อค้าที่เก่งด้านค้าขายและเอาตัวรอด ดูยังไงก็ไม่ใช่พวกที่ถนัดการต่อสู้เลยซักนิด คิดว่าต่อให้3รุมหนึ่ง จะรอดรึวะ ทำอะไรไม่คิด ไอเวร"

    "เอาน่าๆ อเล็กซ์อย่าไปด่ามันเลย ท่าทางตูว่างวดนี้มันคงเข็ดไปอีกนาน แต่อย่าลืมจ่ายตู 1เหรียญทองล่ะ ส่วนอเล็กซ์ท่าทางเมิงต้องไปคุยกะป๋ามันแล้วล่ะ ข้อหาทำคุณชายคนเดียวของตระกูล`ฟินแลนดรอส`เลือดสาดขนาดนี้ นู่น ยกโขยงมากันโน่นแล้ว โทโยแกก็ช่วยตัวเอง เอาละกันตูไปล่ะ โชคดีวุ้ย มีโอกาสคงได้เจอกันใหม่" ออสเอ่ยลาง่ายๆ พร้อมกับรับเหรียญทองที่ โทโย โยนให้เขา

    ซึ่งเพื่อนทั้ง2คนต่างเข้าใจว่าเพื่อนหัวส้มของเขาคนนี้ มันขี้เกียจรับหน้าเลยชิ่งออกไปก่อน แต่จริงๆแล้วนี่เป็นครั้งสุดท้ายที่พวกเขาจะได้เห็นพ่อค้าผมส้มในเวลเจแห่งนี้ แล้วคืนนั้นที่ออส เดินทางไปจากเมืองนี้ตามเส้นทางที่เขาเลือก




    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~​
  7. joi100

    joi100 นักเดินทางแห่งมิดการ์ด

    EXP:
    478
    ถูกใจที่ได้รับ:
    23
    คะแนน Trophy:
    38
    Re: [ฟิครับสมัคร] Tale Of Light and Shadow

    เรื่องเล่าจากแสงและเงาเรื่องที่1 พ่อค้าหัวส้ม (5)







    หลังจากเรื่องที่แสนจะยุ่งเหยิงที่เกิดขึ้น ณ ท่าเรือเมืองเวลเจ เพราะความอยากรู้อยากเห็นของเด็กหนุ่มเพียงคนเดียว ผ่านไปราวๆ 2 ปีเศษๆ

    มุมหนึ่งของเมืองชายน์ เมืองแห่งนักบวช เมืองที่นับว่าใหญ่ที่สุดเมืองหนึ่งของ เอลล์เทอเฟีย มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งผมสีส้มแสดคนหนึ่งยืนอยู่หน้าสำนักงานหลังใหญ่ ของพ่อค้าข่าวคนหนึ่งที่เพิ่งถูกเปิดได้ไม่นาน เมื่อเงยหน้ามองไปรอบๆสำนักงานแห่งนี้ก็พบว่ามันหลังใหญ่ไม่น้อยเลยทีเดียว แถมถูกสร้างขึ้นมาอย่างสวยงาม ดูเผินๆเหมือนปราสาทย่อมๆหลังนึงเลยทีเดียว

    ทั้งๆที่เป็นเวลากลางวัน ถึงจะค่อนไปทางเย็นก็ตามที แต่ที่นี่กลับเงียบเหมือนถูกปิดอยู่ไม่มีผิด เด็กหนุ่มคนนั้นยิ้มออกมาเล็กน้อย ขณะที่กำลังจะผลักประตูไม้บานใหญ่ที่ถูกเเกะลวดลายไว้อย่างสวยงาม เพื่อเปิดเข้าไปด้านในนั่นเอง

    "เฮ้! พ่อหนุ่มที่นี่ยังไม่เปิดหรอกนะ ลองแวะมาอีกทีตอนค่ำๆดูสิ" เสียงของชาวบ้านแถวนั้นคนหนึ่งที่ผ่านมาเอ่ยทักเขาไว้ เมื่อลองออกแรงผลักก็พบว่าประตูบานนี้ถูกล๊อคไว้

    "งั้นเหรอครับ ขอบคุณมากนะครับที่บอก" เด็กหนุ่มผมสีส้มคนนั้นหันกลับไปขอบคุณผู้ที่บอกข่าวสารแก่เขา ทั้งๆที่เขารู้อยู่แก่ใจแล้วว่ามันไม่มีทางที่จะเปิดในเวลานี้ แล้วเด็กหนุ่มผมส้มคนนั้นก็เดินออกจากที่นั่นไป





    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~​






    หลังจากพระอาทิตย์ตกดินไปแล้วเกือบๆ1ชั่วโมง ประตูของสำนักงานแห่งนี้ก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง

    แต่คนที่แวะเข้ามาเยี่ยมกลับเป็นนักเดินเรือหนุ่มหน้าเป็น นามว่า "อเล็กซานเดอร์ ฟินแลนดรอส" เขาเปิดประตูไม้บานใหญ่เข้าไปข้างในก็พบว่า ที่พื้นถูกปูพรมชั้นดีไว้ ระหว่างทางเดินเข้าไป ถูกประดับไว้ด้วยภาพเขียน และโคมไว้อย่างที่เขาประดับไว้ในวัง

    "สร้างได้โอเว่อ ชะมัดเพื่อนตู" อเล็กซ์บ่นงึมงัมแล้วเดินมองโถงทางเดินนั้นทั่วๆ จนไปถึงห้องรับแขกที่ถูกจัดข้าวของไว้อย่างสวยงาม

    ภายในนั้นมีชุดรับแขกดูท่าทางหรูหรา ตั้งอยู่กลางห้องที่ประดับไปด้วย งานศิลปะ ต่างๆ รวมถึงชุดเกราะเปล่าๆที่ถูกจัดไว้อย่างเป็นระเบียบ ภายใต้แสงจากโคมไฟสลัวๆ ทำให้ในห้องรับแขกแห่งนั้นมีมุมมืดอยู่ไม่น้อย ถ้าคนขวัญอ่อน มานั่งที่นี่คงไม่อยากจะอยู่ให้มันนานนัก เพราะมันน่ากลัวพิลึกเลยทีเดียว

    ขณะที่กำลังมองซ้ายมองขวาว่าจะเข้าประตูไหนไปต่อดี จู่ๆก็มีเสียงดังมาจากด้านหลังของเขา มันเป็นเสียงของหญิงสาวที่เขาไม่คุ้นหูซักเท่าไร

    "ไม่ทราบว่ามีธุระให้ที่นี่รับใช้คะ"

    นักล่าสมบัติหนุ่มสาบานได้เลยว่าเขาไม่รู้สึกได้เลยว่าได้หลังเขามีคนอยู่ตั้งแต่เมื่อไรจนได้ยินเสียงเรียกทักนี่แหละ อเล็กซ์หันกลับอย่างรวดเร็ว ก็ผมหญิงสาวหน้าตาหมดจดคนหนึ่ง สูงไล่เลี่ยกับเขา ดูจากหน้าตาแล้วคงอายุมากกว่าเขาไม่กี่ปี ผมสีดำสนิทยาวถึงกลางหลัง ดวงตาสีฟ้าใส สวมชุดสาวใช้สีดำทั้งตัว คงมีแต่ผ้ากันเปื้อน และ ที่คาดผมเท่านั้นที่เป็นสีขาว เธอคนนั้นยิ้มแล้วก้มหัวให้เขาเล็กน้อย

    หลังจากเรียกสติอยู่ชั่วพริบตาลูกทะเลหนุ่มก็เอ่ยถามถึงเพื่อนตัวแสบ ที่เกือบพากันไปตายมาแล้วของเขา " ไม่ทราบว่า `ไดฮาคุ โทโย` อยู่ที่นี่รึเปล่าครับ " เค้าถามไปยังงั้นทั้งๆที่ตัวมันน่ะแหละเป็นคนบอกให้เขามาหาที่นี่

    " ถูกต้องแล้วค่ะ จะให้เรียนว่าใครมาพบดีคะ? " สาวใช้ผมดำเอ่ยถามอย่างสุภาพ

    อเล็กซ์ยิ้มออกมาเล็กน้อย " ฝากพี่สาวคนสวย ช่วยไปบอกว่านักเดินเรือจนๆมาหาคนเลี้ยงข้าวซักมื้อน่ะ "

    ทั้งๆที่เขาอยากจะเห็นสีหน้าแปลกใจจากเธอบ้างเมื่อเจอประโยคของเขา แต่เธอคนนั้นกลับยังคงยิ้มแล้วก็เอ่ยเชิญให้เขานั่งรออยู่ที่นี่ก่อน เธอจะตามนายท่านของเธอมาพบเขา

    "สงสัยสาวใช้คนนี้ไม่ธรรมดาแหงๆ ดูสวยแบบน่ากลัวๆดีแฮะ ทำไมเจอสาวสวยๆที่ไรต้องไม่เป็น นักฆ่า ก็เป็น สาวใช้ลึกลับ ด้วยว๊า จะ จีบก็เกรงใจอยู่ โหยนิ่มโครตๆ สงสัยอันนึงหลายตังนะนี่ " อเล็กซ์บ่นในใจหลังจากนั่งลงบนโซฟาที่แสนนิ่มในห้องรับแขกสุดหรู

    ไม่นานนักเพื่อนแวมไพร์ผมทองก็เดินเข้ามาในห้องรับแขกแห่งนั้น เวลาเดียวกับสาวใช้คนสวยของเขา ที่ยกน้ำชาพร้อมของว่างเข้ามาเสริฟ

    "ไง นายท่านโทโย ไม่เจอซะนาน สำนักงานหรูหราไฮโซเชียวนะแก" อเล็กซ์เอ่ยทักทายหลังจากไม่ได้พบหน้าเพื่อนเขาหลายปีเพราะหลังจากจบเรื่องที่เฉียดตายกันยกคณะที่ท่าเรือคืนนั้นแล้ว เพื่อนผมทองของเขาคนนี้ถูกส่งมาอยู่ที่เมืองนี้ทันที เพื่อความปลอดภัยของตัวมันเอง จาก สาวน้อยนักฆ่าตระกูลฟรอดส์เฟรดส์คนนั้น หรือคนอื่นๆในตระกูลนั้นก็ตามที

    ส่วนตัวเขาเองก็ถูกสั่งให้ตามพ่อเขาออกเรืออยู่ตลอดเวลาแล้วย้ายที่อยู่ ไปยังเกาะส่วนตัวของตระกูลเขาเพื่อความปลอดภัยเช่นกัน ทั้งๆที่ตัวเขาเองก็ไม่เต็มใจนัก แต่เมื่อนึกถึงเรื่องคืนนั้น ถ้าเจ้าพ่อค้าผมส้มรอบจัดของพวกเขา มาไม่ทัน หรือ ล้ม แม่สาวน้อยนักฆ่าปีกดำคนนั้นไม่ลงแล้วล่ะก็คงไม่ต้องสืบถึงชะตากรรมของเขาทั้งคู่เลย

    แวมไพร์หนุ่มผมทองหัวเราะเสียงดังพร้อมเดินเข้ามานั่งข้างๆแล้วกอดคอ อเล็กซ์ "ไม่รู้สิชั้นไม่ได้ออกแบบเองนี่หว่า พ่อชั้นเขาสร้างให้ ส่วนแกเป็นไงบ้างล่ะ น่าจะมาวันเปิดที่นี่นะ จัดงานเลี้ยงอย่างหรู ของกินงี้เพียบเลย"

    " โทษทีว่ะ พอดีช่วงนั้นอยู่กลางทะเลเลย ค้างคาวส่งข่าวของแกก็เก่งนี่หว่า บินไปส่งข่าวให้ถึงกลางทะเล ใจมันก็อยากมาอยู่หรอก พอถึงฝั่งที่เวลเจ ก็ ดันมีงานด่วนเข้ามาอีก ก็เลยมาช้าไปหลายเดือนเลย คงไม่ว่ากันนะ แล้ววันเปิดเจ้าออสมันมารึเปล่าล่ะ? " นักล่าสมบัติหนุ่มถามถึงพ่อค้าผมส้มเพื่อนร่วมก๊วนของเขาอีกคน

    โทโยส่ายหน้าช้าๆ " ชั้นเองก็พยายามตามข่าวของตัวมันนะแต่มันสมเป็นหลานของนักล่าสมบัติชื่อดังจริงๆ ตามตัวไม่เจอเลย พอให้ค้างคาวส่งข่าวตามไป มันก็ไม่อยู่ซะแล้ว ข่าวล่าสุดที่ได้ก็คือ เมื่อ 3 วันก่อนมีคนเห็นเจ้านั่นนั่งขายของอยู่ที่รีเวเรีย "

    " เหอะๆ มันก็ยังเป็นพ่อค้ารอบจัดอยู่เหมือนเดิม ในโลกนี้จะมีพ่อค้าซักกี่คนวะที่ทำเรื่องบ้าๆได้อย่างมัน " อเล็กซ์เอ่ยกัดเพื่อนผมส้มของเขาทั้งๆที่มันไม่อยู่

    แล้วก็มีเสียงอีกเสียงหนึ่ง ดังมาจากมุมมืด ไม่ไกลจากพวกเขานัก " อาจจะมีหลายคนก็ได้นะใครจะไปรู้ จะว่าไปสำนักงานหรูหราซะขนาดนี้ การรักษาความปลอดภัยหละหลวมน่าดูน่ะ ถ้าตูเป็นนักฆ่าที่แอบซุ่มอยู่แกตายไปแล้วล่ะ "

    ยังไม่ทันที่เสียงนั่นจะเอ่ยจบประโยค พริบตานั่นเองร่างของสาวใช้ในชุดดำก็เข้าประชิดตัวเจ้าของประโยคนั้นในมุมมืดทันที พร้อมกับมือที่จับอยู่ที่คอหอย พร้อมกับสายตาอันคมกริบที่จับจ้องไปยังผู้บุกรุก ขัดกับน้ำเสียงที่เอ่ยถามอย่างนุ่มนวล " บุกรุกเข้ามาที่นี่ต้องการสิ่งใดคะ? "

    "ไม่เห็น ต้องมองผมอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้ออย่างนั้นเลยนะพี่สาวคนสวย ผมก็แค่พ่อค้าจนๆมาหาคนเลี้ยงข้าวซักมื้อ" เสียงลึกลับนั้นตอบกลับมาโดยลอกประโยคของอเล็กซ์มาทั้งหมด ถึงจะยังไม่เห็นหน้า แต่เสียงที่แสนจะคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็กที่ไม่ได้ยินมานานทำให้พวกเขารู้ทันทีว่าผู้บุกรุกคนนี้เป็นใคร

    "ปล่อยเขาเถอะ คาริน คนๆนี้ชั้นรู้จักดี แล้วอีกอย่างชั้นเองก็ไม่อยากให้เห็นเธอเจ็บตัว หรือ ห้องรับแขกนี่เละไปด้วยฝีมือของเธอกับเจ้าคนที่เธอจับคออยู่ด้วย" อเล็กซ์เอ่ยกับสาวใช้ของตน ซึ่งเธอก็ทำตามคำสั่งแต่โดยดีโดยไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ พร้อมขอตัวไปนำถ้วยชาและของว่างมาเสริฟเพิ่ม

    "แหมๆ ไม่อยากเห็นเธอเจ็บตัว ชิ! แล้วตูจะเป็นไงก็ช่างหัวมันเรอะ?" ผู้บุกรุกคนนั้นเดินเข้ามานั่งลงบนเก้าอี้รับแขกอีกตัวพร้อมคว้าของว่างซึ่งเป็นขนมปังอบกรอบ ขึ้นมาเคี้ยวกรุบๆ

    "เหอๆ แกนี่น๊าจะมาดีๆเหมือนชาวบ้านเข้าก็ไม่ได้ต้องมาให้ `คาริน` เค้าตกอกตกใจขนาดนั้นด้วย ไม่เห็นหน้าซะนานนะ พ่อค้าผมส้มรอบจัดของเรา " โทโยเอ่ยพลางยกชาขึ้นดื่มอย่างสบายใจ

    อเล็กซ์ย้ายที่นั่งมานั่งกอดคอเจ้าเพื่อนผมส้มของเขาแทน "เฮ้ พี่สาวคนสวยนั่นชื่อ `คาริน` เรอะ รูปก็งามนามก็เพราะ สงสัยไม่ใช่แค่สาวใช้อย่างเดียวแหงๆ"

    "ดูจากเมื่อกี้ก็น่าจะรู้แล้วนี่นา พ่วงตำแหน่ง บอดี้การ์ด เข้าไปด้วยชัวร์ ดีไม่ดีอาจจะแถมตำแหน่งคนดูแลไม่ให้เจ้านี่ไปสอดรู้สอดเห็นเรื่องคนอื่นมากเกินความจำเป็น อนาคตศรีภรรยาที่ดีแหงมๆ" ออสเอ่ยพลางโยนขนมปังกรอบเคี้ยวเล่นต่อ อเล็กซ์ตบมือและผิวปากชอบใจ ส่วนโทโย ถึงกับหน้าแดงทันทีที่เพื่อนของเขาแซว

    "ดิฉันเป็นเพียงสาวใช้ของท่านโทโยเท่านั้นค่ะ นี่ค่ะน้ำชา " จู่ๆเสียงของคนที่พวกเขาพูดถึงกันอยู่ก็ดังมาจากด้านหลัง ทำเอา2หนุ่มที่กำลังจะเอ่ยปากแซวเพื่อนแวมไพร์ของเขาต่อถึงกับสะดุ้งโหยง แล้วเธอก็เดินเข้ามาเสริฟชาหอมกรุ่นในถ้วยให้กับออสซึ่งเพิ่งมาถึง

    "งั้นเชิญตามสบายนะคะ ถ้าต้องการอะไรเพิ่มเติ่มก็เรียกดิฉันได้" สาวใช้นามว่าคารินเอ่ยลาพลางหันหลังกลับกำลังจะเดินออกจากห้อง โทโยก็เอ่ยทักไว้ก่อน "ดะ เดี๋ยวนะคาริน เฮ้ นาย2คนจะกินข้าวเย็นข้างนอก หรือ กินที่นี่ดี ถ้าที่นี่จะได้ให้คารินเตรียมอาหารไว้ให้"

    "อเล็กซ์แกว่าไงฟะ ตูลากสังขารมาจากกรานนาด้าไม่มีแรงไปทัวร์ยามราตรีกับพวกแกหรอกนะเฟ้ย" พ่อค้าหัวส้มหันไปถามเพื่อนลูกทะเลของเขาซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ "ข้าก็ไม่ไหวฟ่ะ เพิ่งกลับจากทะเลถึงท่าที่เวลเจเมื่อเช้านี่เองก็ลากสังขารมารวดเดียวถึงนี่เลยเหมือนกัน สรุปคืนนี้ขอกินข้าวฟรี ในสำนักงานสุดหรูของแกละกัน"

    โทโยพยักหน้างึกๆ พร้อมหันไปสั่งสาวใช้ของเขา "คารินช่วยเตรียมอาหารเย็น ไว้ซัก 5 ที่ละกันนะ อ้อช่วยไปเอาไวน์ที่เก็บอยู่ในห้องเก็บไวน์มาซัก4-5ขวดด้วยนะ" ซึ่งเธอก็โค้งรับคำสั่งแล้วก็เดินออกจากห้องไป

    "โหยอยู่ๆก็โผล่มาเสียวแว๊บเลย มั่นใจนะว่าเป็นสาวใช้อย่างเดียวจริงๆอ่ะ" นักล่าสมบัติจากท้องทะเลหนุ่มเอ่ยถามขึ้นหลังจากเธอเดินออกไปได้ซักพัก

    "ชั้นเองก็ไม่แน่ใจนัก ตั้งแต่เกิดเรื่องคราวนั้นพ่อกับแม่ฉันก็สั่งให้เธอมาอยู่รับใช้ฉันที่นี่ตลอด " พ่อค้าข่าวตอบคำถามของเพื่อนหน้าเป็นของเขา

    ออสซึ่งยกชาขึ้นซด เอ่ยหลังจากวางถ้วยชาลง "งั้นไม่ต้องสืบ นอกจากเป็นสาวใช้แล้วเป็นอย่างที่ตูคาดไว้ชัวร์ ถามอย่างดิพี่สาวคนนั้นเป็นพวกเดียวกับแกใช่มะชั้นรู้สึกได้นะ ถึงจะพริบตาเดียวก็เถอะ "

    "นายนี่สายตาเฉียมคมเสมอเลยนะออส ว่าแต่ว่า นายเข้ามาที่นี่ได้ไงโดยที่ คารินไม่รู้ตัวเพราะปกติถ้าใครผ่านเขตอาคมที่กางไว้รอบสำนักงานหลังนี้ คารินจะรู้ตัวก่อนเสมอเลยนี่นา?" พ่อค้าข่าวผมทองถามเพื่อนเขาอย่างสงสัย

    พ่อค้าผมส้มยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ พลางแบมือ "ความลับทางธุรกิจเฟ้ย อยากรู้จ่ายมา5ทองแดง"

    "แกก็ถามโง่ๆ ลืมไปแล้วเรอะดาบสั้นที่เหน็บหลังมันอยู่มัน `แกรนทีน` เชียวนะเฟ้ย ที่รอดคราวที่แล้วก็เพราะดาบเล่มนี้แหละไม่งั้นก็เป็นปุ๋ยบำรุงต้นไม้ที่ท่าเรือกันยกคณะแล่ว กะอีแค่เขตอาคมเล็กๆรอบบ้านแกมันก็ลบทิ้งตามระเบียบน่ะซี่ นับวันมันจะเหมือน หัวขโมย ไปซะแล้ว" อเล็กซ์ตอบขณะที่กำลังเคี้ยวของว่างอยู่

    "นั่นสินะ อ้อ ว่าแต่ว่านายบอกชั้นซิทำไมนายถึงโดนตัดออกจากตระกูลเฮเทรน เป็น เพราะนายหนีงานประกาศตัวทายาท ไปช่วยพวกชั้นคืนนั้นใช่ใหม?" นายน้อยตระกูลไดฮาคุ เอ่ยถามมาอย่างจริงจัง ซึ่งตัวคนถูกถามก็ถูกเพื่อนผมดำเหลือบน้ำเงินที่นั่งอยู่ข้างๆจ้องมองเหมือนจะถามด้วยเช่นกัน

    พ่อค้าผมส้มไม่ตอบแต่กลับเปลี่ยนเรื่องในทันที "ชานี่อร่อยดีนะสาวใช้ของนายชงชาเก่งดีนะ"

    "ออส เราเป็นเพื่อนกันรึเปล่า? ช่วยตอบคำถามนี้ตามตรง " โทโยซักมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง

    ออสถอนหายใจออกมาเล็กน้อย เขาบยังไม่ตอบคำถาม "ถ้าตูไม่ใช่ ทายาทคนต่อไปของตระกูล`เฮเทรน` พวกนายจะยังนับพ่อค้าธรรมดาๆคนนี้เป็นเพื่อนอยู่หรือเปล่า?"

    "คนอื่นจะเป็นไงชั้นไม่รู้แต่ชั้นกับอเล็กซ์ไม่ได้ตีค่าของมิตรภาพเป็นราคาหรือฐานะหรอกนะ ตอนอยู่เวลเจเรา 3 คนเป็นเพื่อนกันยังไงต่อจากนี้ไปก็ยังคงเป็นอย่างนั้นเสมอ" โทโย ไดฮาคุตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

    "ใช่แล้ว ออส ที่พวกเรารู้จักค่าของเขาไม่ได้มีเพราะเป็นนายน้อยตระกูลเฮเทรน แต่เป็นพ่อค้าผมส้มรอบจัด เขี้ยวลากดิน ต่อได้พ่อต่อแหลก แต่พอถึงเวลาจำเป็นมันไม่เคยทิ้งเพื่อน ถึงจะตามกลับมาเก็บค่าช่วยเหลือแพงลากเลือดทุกทีก็ตามเถอะ คราวหลังก็หันหยวนๆกับเพื่อนฝูงมั่งสิ " อเล็กซ์พูดเสริมขึ้นมาอีกคน

    ออสยิ้มออกมามันเป็นยิ้มที่ยิ้มออกมาจากใจจริง ไม่ค่อยจะได้เห็นได้บ่อยเหมือนกับรอยยิ้มที่แสนจะเจ้าเล่ห์ที่เห็นกันจนชินตา "ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เห็นพวกนาย2คนจะต้องกังวลเลยนี่ว่าข้าเองโดนเฉดหัวมาจากที่นั่นเพราะอะไร ถึงไม่บอกพวกนายก็น่าจะรู้กันดีอยู่แล้วจะถามอีกทำไมจริงมะ"

    แวมไพร์หนุ่มผมทองเอ่ยถามมาอย่างนุ่มนวลพร้อมดักคอเล็กน้อย "แต่เรา2คนต้องการได้ฟังจากปากของนายมากกว่าถึงมันจะเป็นเรื่องที่นายโกโหก หรือ ไม่ก็ตาม ทั้งชั้น และ อเล็กซ์ ก็จะเชื่อเช่นนั้น"

    รอยยิ้มที่แสนจะคุ้นตาของทุกคนปรากฎบนใบหน้าของออสอีกครั้ง " อยากรู้ก็คนละ 5 เหรียญทองแดงถ้าจ่ายสดก็ตอบเลย "

    นักล่าสมบัติหน้าเป็นซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ เอาอวัยวะเบื้องต่ำออกแรงยันร่างของพ่อค้าผมส้มผู้เค็มปี๋ จนกระเด็นตกจากโซฟา " เกินไปแล้วเฟ้ย! "

    แต่โทโยกลับทำสิ่งที่แม้แต่คนเอ่ยเองยังไม่คาดว่าเพื่อนเขาจะยอมจ่ายจริงๆ เหรียญสีเงินแวววับ 1เหรียญถูกวางบนโต๊ะ "ชั้นขอซื้อข่าวสารของนาย ออส ทำไมนายถึงโดนตัดออกจากตระกูลเฮเทรน?"

    ออสมองเพื่อนเขา บรรยากาศภายในห้องภายในห้องตกอยู่ในความเงียบชั่วพริบตา แล้วผู้ถูกตั้งคำถามก็เป็นคนเอ่ยทำลายความเงียบนั้นหลังจาก จ้องหน้าเพื่อนแวมไพร์ของเขาอยู่อึดใจ "บอกก็ได้ฟะ จริงๆตูเองก็ไม่ค่อยอยากจะนึกถึงมันซักเท่าไรหรอก เหตุผลก็ไม่มีอะไรมากแค่ตู เลือกที่จะไม่เดินทางตามที่ปู่ท่านอยากให้เป็นแค่นั้นเอง"

    "ถ้าจะเสริมอีกนิด หลังจากประกาศเส้นทางที่จะเดินต่อหน้าทุกคนแล้ว ตูเองก็ส่งกองทหารรับจ้างที่ปู่ภูมิใจนักภูมิใจหนา ลงไปนอนภายในพริบตา เพราะดันขวางทางถ่วงเวลาที่จะรีบมาช่วยพวกแก2คนยังไงล่ะ ก็เท่ากับข้าเองหักหน้าท่านปู่ถึง2ครั้งติดๆ ซึ่งผลที่ออกมาก็อย่างที่เห็น"

    เพื่อนทั้ง2ต่างไม่คิดว่าสิ่งที่หมอนี่พูดจะเป็นการโม้เลยแม้แต่นิดเดียว เพราะจากเท่าที่พอจะรู้มาเรื่องราวมันเป็นเช่นนี้จิงๆ ถ้าเป็นคนอื่นที่ไม่รู้จักพ่อค้าผมส้มที่นั่งกองอยู่กับพื้นตอนนี้ เพราะโดนเพื่อนเขายันกระเด็นลงไปนั่งที่นั่น อาจจะฟังเป็นเรื่องโกหกคำโต เพราะมีอย่างที่ไหน พ่อค้าธรรมดาๆ จะล้มกองทหารรับจ้างซึ่งมีหน้าที่ต่อสู้โดยเฉพาะได้

    แต่สำหรับ ออส เฮเทรน นั้นมันไม่ใช่เรื่องยากนักหรอก สำหรับเด็กหนุ่มที่ถูกขนานนามว่า "อสูรร้ายแห่งเวลเจ"

    พ่อค้าผมส้มลุกขึ้นจากพื้นเดินมายังโต๊ะที่โทโยวางเหรียญเงินไว้ พร้อมๆกับเลื่อนมันกลับคืนไปยังเพื่อนพ่อค้าข่าวของเขา "คำถามที่แกอยากรู้ตูก็ตอบไปแล้ว ตาข้ามั่งแหละ โทโยช่วยหาข่าวให้ซักข่าวสิได้ไหม?"

    "ว่ามาสิถ้าไม่เกินกำลังไม่มีปัญหา เพราะชั้นเองก็โดนจำกัดไม่ให้ตามขุดคุ้ยเรื่องบางเรื่องเหมือนกัน"

    ออสเอ่ยคำถามที่ทำเอาเพื่อนของเขาได้ฟังถึงกับผงะ " ตูอยากได้ข่าวสารทั้งหมดของ `เอเรียล` เมืองลับแลที่ซ่อนตัวอยู่หุบเขาถูกโอบล้อมด้วยป่ามรณะ "

    "จริงๆก็ไม่อยากเรื่องนี้มารบกวนนายหรอกนะ แต่ 2 ปีมานี่ข้าเองก็เดินทางแทบทั่วเอลล์เทอเฟีย แต่ข่าวสารที่ได้มามันก็เป็นเพียงข่าวโคมลอยบ้าง ข่าวลวงบ้าง หรือไม่ก็เห็นว่าตูเพี้ยน สติไม่สมประกอบไปซะงั้น อาจจะเป็นเพราะเส้นสายในการหาข่าวของตูมันไม่ใหญ่พอล่ะมั๊ง "

    หนุ่มลูกทะเลหน้าเป็น หัวเราะออกมาเสียงดังหลังจากได้ยินบทสนทนาของเพื่อนทั้ง 2 คน "ฮ่าๆๆ ออสแกนี่แน่จริงๆ คิดจะตามหาแม้กระทั่งสิ่งที่คนทั้งแผ่นดินคิดว่าเป็นภาพมายา หลังหุบเขา`โทรัส` ที่ตั้งของ `ป่ากรัม` ป่ามรณะที่ไม่เคยมีใครแล้วรอดกลับมา"

    "ขอด่าซักทีเถอะ แกบ้าไปแล้วเหรอ ทิ้งสมบัติมากมายพอที่จะซื้อเมืองทั้งเมืองได้ มาตามหาสิ่งที่ไม่มีตัวตนอย่างนี้! เห็นปกติแกรักเงินอย่างกับอะไรดีนี่ "

    "ใช่ชั้นเองก็ไม่เห็นด้วยหรอกนะ สิ่งที่รอนายอยู่มีแต่ความตายเท่านั้น ถึงนายจะเก่งกาจแค่ไหนก็ตามทีเถอะ" แวมไพร์หนุ่มช่วยเห็นด้วยเช่นกัน

    " จากสายตาของพวกนายชั้นอาจจะเป็นแค่พ่อค้าหน้าเลือดเท่านั้น แต่ขอบอกไว้ตรงนี้เลยนะ คนอย่างข้าถึงจะชอบเงินมากแค่ไหนแต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต"

    "ลูกผู้ชายอยู่เพื่อความฝัน ถึงจะเป็นฝันลมๆแล้งๆ ตูก็ยินดีที่จะเสี่ยงกับมัน สำหรับคนอื่นไม่รู้ แต่สำหรับตัวข้าเองมันเพียงพอแล้วล่ะ " เพื่อนแต่เยาว์วัยทั้ง 2 ของพ่อค้าผมส้มเพิ่งจะรู้ว่าเพื่อนของเขาคนนี้มีความเชื่อในการใช้ชีวิตเช่นนี้นี่เอง

    โทโยรู้ดีว่าเพื่อนหัวส้มของเขาคนนี้ลองได้ตัดสินใจทำอะไรแล้วล่ะก็ ยากที่จะพูดให้เปลี่ยนใจได้ "ได้ ออส ชั้นรับปากจะหาข่าวสารเรื่องนี้ให้นายเอง แต่ไม่รับปากนะว่าจะได้มากน้อยแค่ไหน เอาเป็นว่าอย่าคาดหวังมากนักล่ะ"

    "แค่นั้นก็พอแล้วล่ะ เอาเป็นว่าได้ข่าวสารครบเมื่อไรจะตอบแทนให้สาสมเลยล่ะ หึ... หึ... หึ... " ออส จ้องเขม็งแล้วเอ่ยกับโทโยแต่ยังไม่ทันจะจบประโยคก็ถูกแทรกโดยเพื่อนเขาอีกคนซะก่อน

    " เหอๆ ตอบแทนให้สาสม ฟังแล้วขนลุกเลยฟ่ะ มันต้องใช้คำว่าตอบแทนให้อย่างงามไม่ใช่รึฟะ "

    "เออนั่นสิ ปกติไม่ค่อยได้ตอบแทนใครซักเท่าไรเลยพูดผิดไปขอโทษทีๆ" ออสตีหน้าซื่อขอโทษขอโพยใหญ่ แต่อีก2คนนี้รู้ดีว่าแกล้งทำไปงั้นแหละ แล้วทั้ง 3 คนก็หัวเราะออกมาเสียงดัง

    ซักพักสาวใช้ลึกลับนามว่า`คาริน` ก็มาเชิญทั้ง 3 ไปร่วมทานอาหารเย็นที่ห้องอาหาร ทั้ง 3หนุ่ม ต่างขุดเอาเรื่องเก่าๆมาคุยกัน รวมถึง เรื่องราว2ปีกว่าๆที่ได้เจอมา จนสุดท้ายคือการคุยกันถึงเหตุการณ์คืนนั้น โทโยบอกข่าวสารที่รู้มาทีหลังว่าคืนนั้นนักฆ่าสกุล"ฟรอดส์เฟรดส์"ที่มาที่เวลเจ ไม่ได้มีแต่ สาวน้อยผมเงินนามว่า "จัสมิน ไอล่า ฟอรส์เฟรดส์" เท่านั้นยังมีพี่ชายของเธออีกคนที่คอยตามดูแลน้องสาวคนเล็กของตระกูลอยู่ด้วยอีกคน ก็คือคนที่พาจัสมินหนีไปต่อหน้าต่อตาพวกเขาน่ะแหละ

    อเล็กซ์เอ่ยขึ้นอย่างแหยงๆ"ดีแล้วที่คืนนั้นไม่ตามไปขืนตามมีหวังไม่รอดชัวร์ คอยตามข่าวพวกนี้ดีๆล่ะโทโย ข้าไม่อยากเจอพวกนี้อีกเป็นหนที่2เลยฟ่ะ"

    "อ้าว เห็นว่าชอบคนสวยไม่ใช่รึ อเล็กซ์ แม่สาวคนนั้นก็สวยสุดๆไปเลยนา " ออสแหย่เพื่อนเขา

    นักล่าสมบัติจากท้องทะเลสวนกลับทันที"มันก็ต้องมีข้อยกเว้นกันบ้างดิ สวยประมาณน้ำแข็งแกะสลักอย่างนั้นตูขอบายฟ่ะ ถ้าเห็นว่าสวยไม่จีบเองล่ะคร๊าบพ่อคุณ"

    ซึ่งทั้ง3คน นี้ไม่มีใครรู้หรอกว่า อีกไม่กี่ปีถัดมาเธอคนที่พวกเขานินทากันอยู่จะมาปรากฎตัวต่อหน้าพวกเขา ณ เมืองแห่งนี้ทั้งๆที่ 3 หนุ่มพยายามจะหลบเลี่ยงกันเธอคนนั้น กันสุดชีวิตแล้วแท้ๆ




    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~​





    หลังจากฟังอดีตของเจ้าพ่อค้าหัวส้มที่มีนามว่า "ออส บิลฟรอส" กับ สาวน้อยนักฆ่า "จัสมิน ไอล่า ฟอรส์เฟรดส์"

    ที่บัดนี้มานั่งอยู่บนโต๊ะอาหารตัวเดียวกัน ณ ร้านเมโลดี้ ร้านอาหารชั้นสูง ที่ได้ชื่อว่าเป็นร้านที่ดีและหรูหราที่สุดในเมือง ชายน์ โดยที่เพื่อนทั้ง 2 คน เคยร่วมชะตากรรมด้วยกันมา ตัดบทชิ่งเอาตัวรอดไปเสียแล้ว ปล่อยให้พ่อค้าผมส้มของเรา เผชิญหน้า กับ โจทก์เก่าแบบตัวต่อตัว

    ตอนนี้บนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารที่ทั้ง3หนุ่มกะว่าจะกินกันเต็มที่ แต่บัดนี้กลับเหลือแค่เจ้ามือของมื้อนี้ กับ สาวน้อยผมสีเงินที่นั่งอยู่ตรงข้าม

    โชคยังดีนิดหน่อยที่ โทโย คนจองที่ เลือกโต๊ะที่อยู่มุมลับตาไม่ค่อยมีคนเดินผ่านมากนัก ไม่งั้นคนที่เดินผ่านโต๊ะนี้ก็คงเห็นภาพที่แสนแปลกประหลาด คือ หนุ่มสาว2คนนั่งอยู่บนโต๊ะดินเนอร์ที่แสนโรแมนติก แต่บรรยาบนโต๊ะนั่น กลับ ตึงเครียดสุดขีด

    " ไม่ทราบว่าองค์หญิง`จัสมิน ไอล่า ฟอรส์เฟรดส์` ให้เกียรติแวะมาเยี่ยมมีธุระอันใดหรือ หวังว่าคงไม่ใช่มาสะสางหนี้สินแต่หนก่อนนะครับ " พ่อค้าผมส้มเอ่ยทำลายความเงียบและบรรยากาศที่สุดแสนจะมาคุ มือซ้ายเขาที่อยู่ใต้โต๊ะขยับไปจับด้ามของดาบสั้นที่เหน็บอยู่ด้านหลังแล้ว เพราะยังไงๆเขาก็มองไม่เห็นมุมอื่นนอกจากเธอมาคิดบัญชีกับเขาแน่ๆ

    สีหน้าที่เย็นชาเหมือนน้ำแข็งของคู่สนทนาเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มที่แสนจะน่าหวาดหวั่น "เหตุใดถึงคิดเช่นนั้นล่ะคะ ท่านออส? บางทีดิฉันอาจจะแค่แวะมาทานอาหารกับคุณเฉยๆก็ได้นะ"

    "เพราะว่าตัวข้าน้อยไม่เห็นเหตุผลอื่นที่จะเป็นอย่างที่องค์หญิงกล่าวแม้แต่นิดเดียวเลยน่ะสิ" พ่อค้าผมส้มตอบกลับมาพลางหัวเราะเบาๆทำให้บรรยากาศมาคุอยู่แล้ว ยิ่งแย่ลงไปอีก ซึ่งในใจคิดว่า "จะเอาไงก็ลงมือเลยเจ๊อย่ามาทำสงครามประสาทเลย"

    "รู้สึกจะคาดการณ์ผิดไปเยอะเลยนะคะ ดิฉันเพียงแค่หลบคนที่ตามกวนใจ แล้วบังเอิญมาพบพวกคุณก็เท่านั้นเอง ส่วนเรื่องเก่าๆดิฉันจำไม่ได้แล้วล่ะค่ะ" คำตอบที่ผิดคาดทำเอาออสอึ้งอยู่พักใหญ่ทีเดียว แต่เขาก็ยังไม่ยอมเชื่อง่ายๆ

    "อาหารมาครบแล้วขอเสียมารยาทลงมือทานเลยนะคะ" แล้วสาวน้อยผมเงินก็ลงมือทานอาหารที่กองอยู่เต็มโต๊ะ ทำเอาออสถึงกับต้องขมวดคิ้ว มันเป็นอย่างที่เธอบอกจริงๆน่ะรึ หรือเป็นแค่แผนการที่จะทำให้เขาตายในแล้วลอบสังหารอย่างรวดเร็วกันแน่

    ออสก็ลงมือทานอาหารตามมารยาทแค่นิดๆหน่อยๆ แต่ก็ยังคงระวังตัวสุดๆ เพราะที่นั่งร่วมโต๊ะของเขาเป็นนักฆ่านามกระเดื่อง ที่เกือบสังหารตัวเขา กับ เพื่อนๆมาแล้ว ผิดกับท่าทีของสาวน้อยผมเงินที่กินอาหารอย่างสบายๆ

    "ขอถามซักข้อนะคะ ไหนๆก็มีโอกาสเจอคุณแล้ว" จัสมินเอ่ยขึ้นหลังจากดื่มน้ำเสร็จ

    "เชิญครับ"

    สาวน้อยผมดึงดาบของเธอมาวางบนโต๊ะอย่างรวดเร็วทำเอาออสสะดุ้งเฮือก! "หวังว่าคุณจะยังไม่ลืมดาบเล่มนี้นะคะ"

    พ่อค้าผมส้มคิดในใจ " ใครจะไปลืมได้เล่าเจ๊! "

    "ทำไมเมื่อ2ปีก่อนที่ท่าเรือเวลเจคืนนั้น คุณถึงไม่ถูกดาบเล่มแช่แข็งล่ะคะ?"

    ออสถอนหายใจพร้อมกับดึง `แกรนทีน` ดาบสั้นของเขาขึ้นมาวางบนโต๊ะเช่นกัน "ที่รอดมาได้คราวนั้นก็เพราะดาบเล่มนี้ มันมีชื่อว่า`แกรนทีน` ในฐานะนักฆ่า และ จอมเวทย์ คนหนึ่ง คงจะเคยได้ยินชื่อของมันมาบ้างนะครับ"

    "มิน่าล่ะ เพราะดาบเล่มนี้นี่เอง ดาบที่ได้ชื่อว่าสร้างมาเพื่อต่อต้านเวทย์มนต์โดยเฉพาะ `แกรนทีน` " จัสมิน จ้องดาบของออสบนโต๊ะอย่างสนใจ แล้วจู่ๆทางรอดของพ่อค้าผมส้มก็ปรากฎออกมาอย่างคาดไม่ถึง

    "มี่จัง! อยู่นี่เองตามหาตั้งนาน" เสียงของชายหนุ่มคนหนึ่งร้องทักขึ้น เมื่อ ออส มองไปต้นเสียง ก็พบชายหนุ่มอายุไล่เลี่ยกับเขา ผมสีดำ นัยตาสีโลหิต สวมโคทหนังสีดำแต่น่าแปลกที่ไม่มีแขนเสื้อข้างขวา สวมเสื้อยืดสีขาวด้านใน ส่วนกางเกงและรองเท้าบูทหุ้มเหล็กเป็นสีเดียวกับเสื้อโคทคือดำสนิท

    พ่อค้าผมส้มยิ้มออกมาอย่างยินดี "เพื่อนของ จัสมินหรือครับเชิญนั่งก่อนสิครับ" ออสเอ่ยเชิญแขกที่เพิ่งมาถึงให้ร่วมโต๊ะ โดยไม่สนใจสายตาจากสาวน้อยร่วมโต๊ะที่จ้องเขาอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ นี่เองคนที่ตามกวนใจนักฆ่าสาวผมเงินคนนี้

    ชายหนุ่มผมดำคนนั้นนั่งลงตามคำเชิญทันที สีหน้าที่เย็นชาดุจน้ำแข็งของจัสมินตอนนี้เปลี่ยนเป็นเบื่อหน่ายถึงขีดสุด ซึ่งออสก็สังเกตเห็นอยู่ "มี่จังแวะมากินข้าวอยู่นี่เองเหรอครับไม่บอกผมก่อนให้ตามหาตั้งนาน"

    "อ้อ เสียมารยาทเลย ผม `เอซ อัลทิโอนิส เพอร์ดิเทีย ` หรือ จะเรียก เอซ ก็ได้ครับ" ชายหนุ่มผมดำแนะนำตัวเองพลางเอาดาบเล่มใหญ่ของเขาพิงไว้ข้างๆเก้าอี้

    พ่อค้าผมส้มผู้ซึ่งคลุกคลีอยู่กับอาวุธมาตั้งแต่จำความได้ก็ย่อมจะสนอกสนใจเป็นพิเศษ เพราะดาบของเขาเล่มนั้นเป็นประเภทดาบขนาดใหญ่ที่ต้องถือ2มือ ใบดาบค่อนข้างกว้าง คมดาบและพื้นที่ 5 ซม.จากคมดาบลึกเข้าไปในส่วนใบดาบเป็นสีทอง ส่วนใบดาบภายในเป็นสีดำ ตรงโคนดาบเป็นรูปโพธิ์ดำสีทองแต่หากดูดีๆแล้วจะเห็นว่าส่วนโคนดาบมีรูปร่างเหมือนกับด้วงสามเขา ความยาวโดยรวม 160 ซม. ซึ่งยาว และ ใหญ่กว่าดาบสั้นของเขาเกือบๆ3เท่า ออสเองเคยเห็นดาบเล่มนี้ในตำราสรรพวุธ ที่อาเขาเป็นคนรวบรวมไว้ ดาบเล่มนี้เป็นดาบชั้นเยี่ยมที่ไร้ชื่อ ถูกสร้างขึ้นด้วยโฮริฮารูก้อนสีดำ กับ หินสะเก็ดดาวที่ว่ากันว่ามันร่วงหล่นมาจากดวงจันทร์

    แค่มองดูก็รู้ว่าดาบเล่มนี้ผ่านศึกมาโชกโชนผิดกับหน้าตาของเจ้าของที่ดูอายุไม่ต่างจากเขานัก แสดงว่าเจ้าหมอนี่ไม่ธรรมดาแน่นอน มิน่าเล่าถึงอาจหาญตามจีบนักฆ่าสาวคนดังแห่งยุค

    "ยินดีที่ได้รู้จักครับ เอซ ผม `ออส บิลฟอร์ด` พ่อค้าเร่ อยากได้สินค้าอะไรบอกกันได้นะครับ จะเสียมารยาทไหมถ้าจะถามว่า ทั้ง2คนนี่เป็นแฟนกันหรือครับ" ออสราดน้ำมันลงบนกองไฟกันต่อหน้าต่อตาเพื่อยั่วจัสมินเล่นๆ เพราะเป็นครั้งแรกที่เห็นหน้ากากน้ำแข็งของเธอแตกออก

    จัสมินหันกลับมาจ้อง ออสอย่างเอาเป็นเอาตาย ขณะที่ เอซ ซึ่งคิดว่าออสหมายความตามที่พูดจริงๆ "น่าดีใจนะครับที่คุณเห็นเป็นอย่างนั้น แต่จริงๆแล้วผมกำลังตามตื้อเธออยู่" ชายหนุ่มผมดำตอบกลับมาตรงๆ

    ออสซ่อนรอยยิ้ม "งั้นพยายามเข้านะครับ อาหารเต็มโต๊ะเชิญตามสบาย อ้อ คงต้องเสียมารยาทซักนิด พอดี ตัวผมนัดเพื่อนไว้คงต้องขอตัว ปล่อยให้หนุ่มสาว2คนสานความสัมพันธ์กันต่อ ไม่ต้องห่วงค่าอาหารนะครับ มื้อนี้มีเจ้ามือจ่ายเงินไปล่วงหน้าแล้วถ้าขาดเหลืออะไรก็สั่งเพิ่มได้เลยนะครับ ขอตัวครับ" พ่อค้าผมส้มของเราตัดบทชิ่งเอาดื้อๆ คว้าดาบสั้นสีขาวของเขาแล้ว เดินออกจากร้านไปทันทีโดยให้ จัสมินจ้องตามหลังเขาอย่างเคืองๆ

    เมื่อออกมาด้านนอกเขาก็เห็นแผงขายสมุนไพรแผงหนึ่งตั้งอยู่ใต้โคมไฟริมถนน ไม่ไกลจากหน้าร้านแห่งนี้ซักเท่าไรนัก ออสจึงเดินเข้าไปทักทายกับหนุ่มเจ้าของร้านผู้มีผมสีเงินเช่นเดียวกับ สาวน้อยที่นั่งอยู่บนโต๊ะอาหารด้านใน ทันที ซึ่งออสรู้ดีว่าเขาคือใคร เพราะโทโย สืบเรื่องพวกนี้มาซะเอียดยิบ

    "สวัสดีครับ ถ้าไม่รังเกียจก็แวะ เข้าไปร่วมโต๊ะอาหารด้านในก็ได้นะครับ ท่าน `ไลอัน โครเซ่ ฟอรส์เฟรดส์` น้องสาวของท่านกำลังทานอยู่ด้านในน่ะครับ"

    แล้วพ่อค้าผมส้มก็เดินจากไปทันทีโดยไม่สนใจท่าทีของคนที่เขาทักทายแม้แต่น้อย " วุ้ย! มากันทั้งพี่ทั้งน้องเลย รีบเผ่นดีกั่ว"

    ออสรีบเผ่นออกจากเมืองชายน์ทันทีเพราะขืนเอาแต่โอ้เอ้นอนค้างที่นี่ล่ะก็ จัสมินตามล่าเขาแน่ๆ เล่นไปยั่วโมโหเธอไว้ซะเยอะนี่นา "ไปไหนต่อดีหว่า คราวนี้มาเมืองนักบวช ต่อไปก็เมืองแห่งอัศวิน`รีเวเรีย` ละกัน"



    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~​





    5วันถัดมา ที่ เมืองรีเวเรีย

    ยามที่อาทิตย์ลับของฟ้าไปแล้ว ออสเก็บแผงลอยของเขา พร้อมๆกับออกเดินทางเพื่อหาที่พักสำหรับคืนนี้ ขณะที่กำลังเดินเรื่อยเปื่อยอยู่ตามถนนนั่นเอง เขาก็สะดุดกับเสียงเพลงที่แสนอ่อนหวาน ลอยมาจากตรอกเล็กๆแห่งหนึ่ง พอลองเดินตามเสียงเข้าไปในตรอกเล็กๆแห่งนั้นก็พบว่าสุดทางเป็นร้านเหล้าเล็กๆ

    เมื่อเขาเงยหน้าก็พบป้ายชื่อร้าน "`อัลบาร์ทรอส` ชื่อเพราะดีแฮะ แวะหาอะไรดื่มซักหน่อยก็ไม่เลวนะ" เมื่อตัดสินใจ ออส ก็เอื้อมมือไปเปิดประตูพร้อมก้าวเข้าไปในร้าน คงจะมีใครรู้หรอก ว่าการเลือกที่เข้าไปนั่งดื่มในร้านแห่งนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของการผจญภัยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตเขา





    จบบทที่1 พ่อค้าผมส้ม




    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~​






    ขอขอบคุณ

    "ออส เฮเทรน" โดยคุณ[Kai_PonG]

    "ไดฮาคุ ไทโย" โดยคุณ~~moko ~~

    "อเล็กซานเดอร์ ฟิลแลนดรอส" โดยคุณฟีโลอาทรอส # ภาค ~* lonely *~

    "ซามุเอล มาริโฮเนต" โดยคุณVincent : Red Pill

    "จัสมิน ไอล่า ฟอรส์เฟรดส์" โดยคุณShinigami : SEED GEASS

    "ไลอัน โครเซ่ ฟอรส์เฟรดส์" โดยคุณ★คิรัว โซลดิกซ์★

    "เอซ อัลทิโอนิส เพอร์ดิเทีย" โดยคุณNagi: Super Saiyan Mode

    "คูก้า เรนน์" โดยคุณ[<WinG_of_FreedoM>]




    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~​
  8. joi100

    joi100 นักเดินทางแห่งมิดการ์ด

    EXP:
    478
    ถูกใจที่ได้รับ:
    23
    คะแนน Trophy:
    38
    Re: [ฟิครับสมัคร] Tale Of Light and Shadow

    เรื่องเล่าจากแสงและเงา นอกรอบ(1)









    ยามที่อาทิตย์ได้ลาจากท้องฟ้าไปปล่อยให้ความมืดเข้าครอบคลุมพร้อมกับแสงดาวที่พร่างพรายทั่วท้องฟ้ามีชายหนุ่มคนหนึ่งยังคงเดินอย่างไร้จุดหมายในยามเช่นนี้

    หลังจากเดินดูป้ายประกาศของ สำนักงานจัดหางานของเหล่าทหารรับจ้างประจำเมืองชานย์มาหลายแห่ง ชายหนุ่มผมยาวสีดำสนิท สวมเสื้อคลุมสีแดงเพลิง ยังคงไม่พบงานที่เขาถูกใจเลยซักชิ้น

    "เฮ้อ ไม่มีงานง่ายๆเงินดีๆบ้างรึไงเนี่ย" เขาพึมพัมกับตนเอง พร้อมกับตัดสินใจเดินตรงไปยังร้านเหล้าซึ่งถ้าเป็นทั่วไปอาจมองเป็นแค่แหล่งรวมของพวกขี้เมา หรือ ที่พักผ่อนหย่อนใจยามเหน็ดเหนื่อย แต่ทหารรับจ้างอย่างเขารู้ดีว่าร้านเหล้ามันยังเป็นแหล่งรวมข่าวสารต่างๆด้วย บางทีเขาอาจจะได้ข่าวของงานดีๆบ้างก็ได้

    ถึงภายในร้านจะมีผู้คนมากมาย แต่ก็หาได้มีข่าวสาร หรืองานที่เขาสนใจเลย เรนน์เลยได้เพียงแค่นั่งดื่มเงียบๆอยู่คนเดียว หลังจากนั่งดื่มอยู่ซักพักใหญ่ก็มีชายคนหนึ่งดูท่าทางก็รู้แล้วว่าเป็นพวกนายหน้ามานั่งร่วมโต๊ะกับเขา

    "ไม่ทราบว่าพี่ชาย ใช่ คูก้า เรนน์ หรือไม่?" ชายวัยกลางคนเอ่ยทักทายเขา

    ชายหนุ่มผมดำขมวดคคิ้วอย่างสงสัยแต่ก็เพียงไม่นานก็ตอบคำถามที่ถูกถามกลับไป "ไม่ทราบว่ารู้ได้อย่างไรชั้นคือ คูก้า เรนน์"

    คู่สนทนาของเขาหัวเราะเบาๆ "คนในวงการต่างรู้จักนักรบรับจ้างมือหนึ่ง อย่างท่านทั้งนั้นแหละ ไม่ทราบว่าตอนนี้มีงานที่ได้เงินดีมาเสนอจะสนใจใหม?"

    ชายหนุ่มผมดำหัวเราะแกนๆ พลางตอบอย่างไว้เชิง "หึๆ ถึงขนาดมาเจาะจงตัวอย่างอย่างนี้คงจะไม่ใช่งานธรรมดาใช่หรือไม่? ถ้าจะถามว่าสนใจมั๊ยสนใจสิ แต่จะรับงานนี้หรือเปล่าก็อีกเรื่องนึง"

    "งานง่ายๆ แค่ล่าค่าหัวของนักฆ่าคนหนึ่งเท่านั้น ตอนนี้ทางเราได้ชักชวนนักรบรับจ้าง และ นักล่าค่าหัวฝีมือดี มารวมตัวกันจำนวนพอสมควรแล้ว เผอิญทราบข่าวว่า ท่านอยู่ในเมืองนี้พอดีก็เลยมาชักชวน" ชายวัยกลางคนคนนั้นบอกถึงจุดประสงค์ของเขา

    เรนน์แสยะยิ้ม "จำนวนหนึ่งงั้นรึ นักฆ่าที่ค่าหัวมากพอที่จะหารกับจำนวนคนพอสมควร โดยได้คุ้มค่าแรงนั้นมีไม่มาก ถ้าจะลงมือเร็วๆนี้ให้ทายว่าเป็น `เครื่องจักรสังหาร` นักฆ่าของตระกูล ฟรอดส์เฟรดส์ ที่ตอนนี้หนีออกจากตระกูลมา ใช่หรือไม่?"

    "สมกับเป็นนักรบรับจ้างมือ1 ตอนนี้กลุ่มของเราก็มีถึง20 กว่าคนแล้วถ้าได้ท่านมาร่วมมืออีกคงจะทำให้กลุ่มของเราแข็งแกร่งขึ้นอีก ไม่ทราบว่าสนใจหรือไม่ ทุกคนหารเท่ากันหมด" คู่สนทนาของเขาเอ่ยชักชวนมาอีกครั้ง

    "ขอบคุณที่หวังดี แต่คงต้องขอรับไว้เพียงน้ำใจ" นักรบรับจ้างผมดำเอ่ยปฎิเสธทันควัน

    ชายวัยกลางคนที่มาชักชวนทำหน้าสงสัย "ท่านทำงานก็ต้องการเงินไม่ใช่รึ หรือข้อเสนอของเราไม่ดีตรงไหน ท่านก็น่าจะรู้ว่าค่าหัวของคนที่เราจะล่านั้นสูงขนาดไหน"

    เรนน์ ลุกขึ้นหันหลังแล้วโบกมือให้พร้อมกับคำพูดทิ้งท้ายแล้วเดินจากไป " เงินต่อให้มากแค่ไหนถ้ามันไม่มีโอกาสจะได้มีชีวิตอยู่ใช้ มันก็ไม่มีค่าอยู่ดี ถึงล้ม `เครื่องจักรสังหาร` ลงได้ ก็ใช่ว่างานจะจบแค่นั้น" ปล่อยให้คู่สนทนาของเขายืนมองด้วยสายตาผิดหวัง และ สงสัย

    "เหอะๆ อยู่ๆจะไปตั้งตัวเป็นศัตรูกับตระกูล ฟรอดส์เฟรดส์ ซะงั้น คงคิดว่าเครื่องจักรสังหารทีมีฝีมือด้อยที่สุดในหมู่ นักฆ่าฟรอดส์เฟรดส์ และหนีออกจากตระกูลมา จะเป็นหมูในอวยให้เชือดสินะ คิดอะไรตื้นๆ ที่นี้ไม่มีงานอะไรน่าทำเลยแฮะ ลองแวะไปที่เวลเจดีกว่า" เรนน์ตัดสินใจได้ก็เดินทางออกจากชายน์ในทันที

    ถึงเป็นเวลาค่ำคืนแล้วที่ริมฝั่งแม่น้ำน่าจะมีเรือที่ล่องลงไปยังเมืองแห่งการค้าให้เขาได้อาศัยติดเรือไปด้วยซักลำ แต่เมื่อมาถึงที่ริมฝั่งแม่น้ำตัวเขาเองก็ต้องผิดหวังเพราะเรือโดยสารลำสุดท้ายที่จะไป `เวลเจ` เพิ่งจะออกไปเมื่อ5นาทีที่แล้ว เหลือแต่เพียงเรือส่วนตัวอีกลำที่ไม่รู้จะจะออกเดินทางเมื่อไร

    ขณะที่กำลังยืนชั่งใจอยู่นั่นเอง เขาก็เห็นชายหนุ่ม 2 คนวิ่งสุดฝีเท้ามุ่งตรงมายังเรือที่จอดอยู่ ทั้ง2คนดูผ่านๆแล้วอายุไม่ต่างจากเขานัก คนหนึ่งนั้นแต่ตัวก็รู้ว่าเป็นพวกชาวเรือแน่นอน ผมสีดำเหลือบน้ำเงินชี้ฟูทั้งหัว ส่วนอีกคนออกจะประหลาดซักนิด เพราะชุดที่สวมใส่นั้นสีดำสนิททั้งตัวตัดกับสีผมซึ่งเป็นสีทองสดใส

    "อเล็กซ์เรือของนายจะไปถึง เวลเจ ก่อนเช้ารึเปล่า" คนในชุดดำเอ่ยถามเพื่อนเขาที่ยืนหอบอยู่ข้างๆ

    "ก่อนถามดูหน้าด้วย ฝีมือระดับนี้แล้ว ยิ่งตอนนี้ต้องเผ่นออกจากที่นี่ให้ด่วนที่สุด จาก ชายน์ไปเวลเจ 4ชม.ก็เหลือแหล่ ไปถึงก่อนตลาดเช้าจะเปิดซะอีก ทีหลังจะถามอะไรก็ดูด้วยเฟ้ย " ชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่าอเล็กซ์ตอบกลับมา

    ขณะที่ทั้ง2ยืนคุยกันอยู่นั้นเอง เรนน์ตัดสินใจเดินเข้าไปเพื่อที่จะอาศัยติดเรือไปด้วย จากประโยคสนทนาทำให้เขาพอเดาได้เลาๆว่าจุดหมายของทั้ง2คนคือที่ไหน "ขอโทษนะครับพี่ชายทั้ง2 พอดีได้ยินว่าพี่ชายทั้ง2จะไปเวลเจ ไม่ทราบว่าจะขออาศัยติดเรือไปด้วย จะรบกวนหรือไม่?"

    ทั้ง2หนุ่มต่างหันมามองเรนน์ อเล็กซ์ซึ่งเป็นเจ้าของเรือเป็นคนเจรจาทันที "ไม่รบกวนหรอก แต่เราจะออกเรือกันทันที ถ้าพี่ชายไม่พร้อมที่จะไปเดี๋ยวนี้ พวกเราคงไม่สามารถที่จะรอได้น่ะ"

    "มาขออาศัยเรือทั้งทีเขาคงไม่ให้เราต้องรอเขาเตรียมตัวหรอก พี่ชายจะอาศัยไปเวลเจก็รีบไปกันเถอะอยู่ที่นี่นานๆ ชั้นไม่ชอบซักเท่าไรหรอก" ชายหนุ่มผมทองในชุดดำเอ่ยพลางเร่งให้รีบออกเรือ

    "ปอดแหกจิงนะแกโทโย ป่านนี้เจ้าออส มันรับหน้าไปแล้วอย่างน้อยๆมันก็ถ่วงได้ซักพักน่ะแหละ พี่ชายมีสัมภาระอีกใหม?ถ้ามีก็ขนมาขึ้นเรือเลย เราจะออกเดินทางกันเดี๋ยวนี้" ท้ายประโยคอเล็กซ์หันไปถามนักรบรับจ้างผู้มาขออาศัยร่วมทางไปด้วย

    หลังจากนั้นไม่ถึง5นาที เรือลำเล็กที่ใช้ล่องตามแม่น้ำของ นายน้อยแห่งตระกูลฟินแลนดรอสก็แล่นไปตามแม่น้ำ`เซลว่า` แม่น้ำสายหลักของดินแดนแห่งนี้

    สายลมยามค่ำคืนบนแม่น้ำเซลว่าพัดผ่านร่างของนักรบรับจ้างหนุ่มที่นั่งอยู่บนดาดฟ้าเรือ ขณะที่เขากำลังเหม่อมองทิวทัศน์2ริมฝั่งแม่น้ำ ชายหนุ่มทั้ง2ที่เขาขออาศัยติดเรือมาด้วย ก็เดินเข้ามาทักทาย

    "โทษทีนะพี่ชายที่ต้องให้มานั่งตากลมอยู่บนดาดฟ้าเรืออย่างนี้ พอดีรอบนี้เจ้าพวกบนเรือมันขนสินค้ากองเต็มท้องเรือไปหมด อ้อลืมแนะนำตัว ข้า `อเล็กซานเดอร์ ฟินแลนดรอส` ส่วนเจ้าหัวทองนี่ชื่อ `ไดฮาคุ โทโย`" อเล็กซ์เอ่ยทักทายด้วยสีหน้าแจ่มใส เพราะยังไงเขา2คนคงจะรอดพ้นจากนักฆ่าสาวผมเงินแล้วล่ะ ส่วนโทโย ยิ้มให้เล็กน้อย

    เมื่อได้ยินชื่อทั้ง2คน นักรบรับจ้างหนุ่มก็ได้คำตอบทันทีว่าทำไมชายหนุ่มอายุไม่ต่างจากเขาถึงได้เป็นเจ้าของเรือลำนี้ "โอ้! เป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่นายน้อยทั้ง2 แห่งเวลเจ อุส่าห์อนุญาติให้โดยสารมาด้วย ผม `คูก้า เรนน์` " เรนน์แนะนำตัวอย่างสุภาพ

    "ไม่ต้องสุภาพขนาดนั้นก็ได้ พวกเรา2คนก็ไม่ต่างจากนายเท่าไรหรอก อย่าเรียกนายน้อยเลย เรียกชื่อเฉยๆก็ได้ พวกเรา2คนถูกเรียกอย่างนี้มาตั้งแต่เกิดเบื่อจะตายจริงไหม? โทโย" นักล่าสมบัติจากท้องทะเลหันไปเอ่ยกับเพื่อนผมทองของเขา

    "คูก้า เรนน์ งั้นเหรอ อืม... ชื่อเสียงของนายดังทีเดียวนะนี่ นักรบรับจ้างมือหนึ่งผู้มากความสามารถ ผ่านภารกิจมาแล้วหลากหลาย แต่ไม่เคยทำงานพลาด แถมมีชื่อเสียงในการกลั่นแกล้งศัตรูด้วยวิธีการสุดพิสดาร ได้ข่าวว่ามีช่วงนึงโดนตามล่าจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด เพราะไปกุมความลับไว้เยอะทีเดียว ว่ากันว่าเจนจัดในอาวุธได้ทุกชนิด แต่พอเห็นตัวจริงแล้ว แทบไม่น่าเชื่อเลยนะครับ" โทโยเอ่ยถึงประวัติเท่าที่เขารู้ ซึ่งมันละเอียดจนเจ้าตัวตกใจอยู่ไม่น้อยที่คนที่เพิ่งเคยพบกันครั้งแรกกลับรู้เรื่องราวของเขาละเอียดขนาดนี้

    อเล็กซ์เห็นสีหน้าของนักรบรับจ้างหนุ่มแล้วยิ้มๆ นี่ก็เป็นนิสัยเสียของโทโย อีกข้อที่แก้ไม่หาย ถ้าเขารู้จักใครแล้วมักจะบอกประวัติของคนคนนั้นเท่าที่จะรู้ ซึ่งก็ทำให้หลายๆคนเป็นเช่นนี้ทุกที "ไม่ต้องตกใจไปหรอก เจ้าบ้านี่มันเป็นจอมอยากรู้อยากเห็นมือวางอันดับหนึ่งเลยล่ะ"

    หลังจากปรับความรู้สึกได้ นักรบรับจ้างหนุ่มจึงเอ่ยขึ้น "ได้ยินชื่อเสียงของพ่อค้าข่าว ไดฮาคุ มานานพอเจอตัวจริงๆรู้สึกว่าที่เขาลือๆกันจะน้อยไปด้วยซ้ำ"

    "พวกคนดังก็งี้แหละ อย่ามัวมาคุยกันถึงเรื่องอะไรพรรคนี้เลย ดื่มด้วยกันซักหน่อยมั๊ยล่ะ" อเล็กซ์ยื่นขวดเหล้าองุ่นที่เขาหิ้วมาจากใต้ท้องเรือให้กับผู้ร่วมทาง และ เพื่อนแวมไพร์ผมทองของเขา

    แล้วทั้ง3คนต่างดื่มและคุยกันถึงเรื่องสรรพเพเหระต่างๆเพื่อฆ่าเวลาระหว่างการเดินทาง ซึ่งทั้ง3 ต่างสนิทกันได้ไม่ยากนักเพราะด้วยวัยที่ใกล้กัน แถม ทั้ง อเล็กซ์ และ เรนน์ เป็นคนประเภทเดียวกันเสียด้วย

    "ขอเสียมารยาทซักนิดนะ ทั้ง2คน คือเมื่อกี้ได้ยินเรียกชื่อ`ออส` ใช่ `ออส บิลฟอร์ด` พ่อค้าผมส้มๆใช่รึเปล่า" นักรบรับจ้างหนุ่มเอ่ยถามหลังจากนั่งคุยมาซักพักมใหญ่

    "หึๆ รู้จักมันด้วยเรอะ?" อเล็กซ์ไม่ตอบคำถามแต่หัวเราะหึๆ

    เรนน์เลยเล่าเหตุการณ์ของเขากับพ่อค้าผมส้มที่ตลาดนัดยามเย็นให้อีก2คนฟัง พอได้ฟังทั้งอเล็กซ์ และ โทโย ต่างหัวเราะลั่น "สุดๆเลยว่ะ ว่าเมื่อก่อนมันมีวิธีขายของแปลกกว่าชาวบ้านแล้วนะ" นักล่าสมบัติหน้าเป็นพูดหลังจากหัวเราะได้ซักพัก

    "แต่มันก็แน่จริงๆน่ะ เจ้าออสน่ะ มองแวบเดียวบอกวัสดุที่ใช้สร้าง แหล่งที่มา ไม่นานแค่ไหนออส ก็ยังคงเป็นพ่อค้าที่เขี้ยวลากดินอยู่ดีแฮะ อ้อ! มัวแต่หัวเราะ พ่อค้าผมส้มคนนั้นเป็นเพื่อนสนิทของพวกเราเอง เรื่องเกี่ยวกับอาวุธหมอนี่นับว่าไม่เป็นรองใครเลยทีเดียว" พ่อค้าข่าวผมทองตอบคำถามของเรนน์ในท้ายประโยค

    "อ้อที่แท้ก็เป็นเพื่อนของทั้ง2คนนี่เองแล้วนี่ไม่ได้มาด้วยกันหรอกเหรอ?"

    ทั้ง2คนที่ถูกถามต่างมองหน้ากันเองแล้วหัวเราะอีกครั้ง ทำเอานักรบรับจ้างผู้ขออาศัยเรือมาด้วยงง กับอาการของทั้ง2คนไม่น้อย"นี่เรนน์ นายรู้จัก `เครื่องจักรสังหาร จัสมิน ไอล่า ฟอรส์เฟรดส์` มั๊ยล่ะ" โทโยเอ่ยถาม

    "รู้จักสิ ก่อนออกจากชายน์ไม่นายยังมีนายหน้ามาชวนให้ไปรวมกลุ่มล่าค่าหัวของเธออยู่เลย" เรนน์ตอบ

    อเล็กซ์แหย่มาทันที "แล้วนายไม่ไปล่ากับเขาล่ะ เงินถึงจะหารซัก100คนมันก็ไม่น้อยอยู่นา"

    นักรบรับจ้างหนุ่มยิ้ม "แล้วทั้ง2คนไม่สนใจเหรอ? โทโยเป็นพ่อค้าข่าว น่าจะรู้ข่าวก่อนนี่นะ"

    "ก็เหตุผลเดียวกับ นายที่ไม่ไปร่วมล่าค่าหัวกับเขาน่ะสิ ไปตายชัดๆ แล้วถ้าเรารู้ว่าเธอคนนั้นจะมาที่นี่ก่อนแล้วล่ะก็ให้ตายเรา2คนก็ไม่ยอมอยู่ที่ชายน์หรอก เท่าที่รู้ถึงเธอคนนั้นจะออกจากตระกูลมา แต่พี่ชายเธอก็ยังตามมาดูแลอยู่ไม่ไกลซักเท่าไร แค่คนเดียวทางรอดก็แทบมองไม่เห็น ถ้าเป็นอย่างที่เรนน์บอก คืนนี้ชายน์ลุกเป็นไฟแน่ๆ หวังว่า ออส มันคงจะเอาตัวรอดได้นะ" โทโยเอ่ยอย่างเป็นห่วงเพื่อนหัวส้มของเขา

    "จะเป็นห่วงมานทามมาย คนอย่างเจ้าหัวส้มนั่นน่ะ หนังเหนียวตายยากจะตาย ดีไม่ดีป่านนี้มันชิ่งไปแล้วมั๊ง เรนน์นายคงไม่รู้เรื่องสินะ คือว่าตอนนี้ ออส มัน นั่งดินเนอร์สุดโรแมนติก ในร้านอาหารสุดหรู กับ เครื่องจักรสังหารคนนั้นแหละ" ลูกทะเลหนุ่มหน้าเป็นพูดแบบทีเล่นทีจริง

    "หา! จริงเหรอน่ะ? แสดงว่ารู้จักกับนักฆ่าคนนั้นงั้นสินะ" นักรบรับจ้างผมดำถามมาอย่างสงสัย

    "จะเรียกว่ารู้จักดีมั๊ยนะ" แล้วทั้ง2คนก็เล่าความสัมพันธ์อันไม่ค่อยน่าจำของพวกเขากับเธอคนนั้น ให้เรนน์ฟัง

    "เป็นอย่างงี้นี่เอง คิดถูกแล้วล่ะที่รีบออกมาจากชายน์คืนนี้ " เรนน์เห็นภาพความวุ่นวายที่จะเกิดที่เมืองของสภานักบวชคืนนี้ชัดเจนทีเดียว แล้วทั้ง3คนก็มองหน้ากันเอง แล้วหัวเราะออกมา แต่เสียงหัวเราะนั้นกลับฟังดูแปร่งๆพิกล

    และนี่ก็เป็นการพบกันครั้งแรก ของนักล่าสมบัติ และ นักรบรับจ้าง ที่อีกไม่นานพวกเขาจะถูกเรียกว่า "2ตัวแสบแห่งท้องทะเล `เซเน่`" ถ้ามีโอกาศผมคงจะได้เล่าเรื่องของพวกเขาทั้ง2คนให้ทุกท่านได้ฟังกัน





    จบบท นอกรอบ(1)




    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~​





    เรื่องเล่าจากแสงและเงา นอกรอบ(2)





    ภายในร้านเมโลดี้หลังจาก ออส โกยแนบออกไปไม่นาน จัสมินก็ทนไม่ไหวที่จะร่วมโต๊ะกับคนที่เธอแสนจะรำคาญเหลือเกิน สาวน้อยผมเงินเลือกที่จะลุกจากโต๊ะ เดินออกไปนอกร้านทันทีโดยไม่สนใจ ชายหนุ่มอีกคนที่ร่วมโต๊ะอยู่ด้วย

    "อ๊ะ! มี่จังรอด้วยสิ" ชายหนุ่มผมดำที่มีนามว่า เอซ เอ่ยขึ้น พลางคว้าดาบของตนเดินตามออกไปทันที ปล่อยให้เหล่าพนักงานในร้านต่าง งง กับ ท่าทีแปลกๆของแขกแต่ละคน ที่ มานั่งยังโต๊ะแห่งนี้ยิ่งนัก

    น้องสาวคนสุดท้องของตระกูล ฟรอดส์เฟรดส์ เดินไปตามถนนยามค่ำคืนของเมืองแห่งนักบวช ที่ยังคงเห็นคนสัญจรผ่านไปผ่านมาประปราย โดยที่เธอพยายามจะไม่สนใจ ชายหนุ่มที่เดินตามเธอต้อยๆและชวนเธอคุยโน่นคุยนี่

    ขณะที่เดินไปได้ซักพัก เธอก็รู้ได้ทันทีว่ามีคนตามเธออยู่ แถมจำนวนไม่ใช่น้อยๆซะด้วย "เชอะ! พวกล่าค่าหัวอีกแล้ว มาก็ดีแล้วกำลังอารมณ์ไม่ดีอยู่เลย" จัสมินเดินเลี่ยงเข้าไปในตรอกเล็กๆ พริบตานั้นเองเธอนึกถึงวิธีการสลัดเจ้าบ้าข้างหลังที่ตามเกาะเธอเหมือนปลิงไม่มีผิดออกในวินาทีนั้น

    เมื่อเลี้ยวเข้าไปในตรอก ก็เป็นไปอย่างที่เธอคาด มีคนกลุ่มหนึ่งเดินตามเธอเข้ามาในตรอก ดูจากท่าทีแล้วคงต้องการค่าหัวของเธอแน่ๆ มารยาหญิงที่เธอไม่คิดที่จะเอาออกมาใช้ก็ถูกแสดงออกมาทันที

    สาวน้อยผมเงินวิ่งเข้าไปเกาะแขนของชายหนุ่มที่เดินตามเธออยู่ ทำเอาเขาหน้าแดงทีเดียว พร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเหมือนกำลังหวาดกลัวอยู่ "เอซ คนพวกนั้นน่ากลัวจังเลย นายต้องปกป้องชั้นจากพวกนั้นนะ"

    หลังจากอึ้งไปพักนึง ชายหนุ่มผู้ตกหลุมรักแม่สาวเย็นชาอย่างหัวปักหัวปำ ก็เอ่ยออกมา "ไม่ต้องห่วงนะครับมี่จัง ผมจะปกป้องคุณด้วยชีวิตของผมทีเดียว"

    "แหวะ นอกจากจะตื้อไม่เลิกยังจะน้ำเน่าอีกนะนายนี่" สาวน้อยผมเงินคิดในใจ แต่ก็ยังคงแสร้งทำท่าหวาดกลัวต่อไป

    เมื่อเห็นท่าทางของสาวน้อยที่เกาะแขนตนอยู่ เขาก็เชื่อสนิทใจ เขาจะรู้บ้างรึเปล่านะว่าเธอที่เกาะแขนเขาทำท่าหวาดกลัวอยู่นั้นคือ นักฆ่าสาวที่ค่าหัวสูงที่สุดคนหนึ่งในดินแดนแห่งนี้ แต่ไม่ว่าเขาจะรู้หรือไม่สิ่งที่ชายนามว่า เอซ ทำก็คือเดินลากดาบของตนเดินสวนเข้าไปหากลุ่มคนเหล่านั้นทันที

    "อย่าได้พบเจอกันอีกเลยนะนายเอซ" ทันทีที่เริ่มตะลุมมบอนกัน สาวน้อยผมเงินเลือกที่จะหลบออกจากที่นั่นไปทันที โดนที่เธอไม่รู้ว่ายังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งยังตามเธออยู่ คนกลุ่มนั้นยังคงทิ้งระยะสะกดรอยตามเธอไปห่างๆ ขณะที่กำลังลอบตามสาวน้อยผมเงิน พวกเขาก็ถูกขวางด้วยชายหนุ่มผมสีเงินเฉกเช่นเดียวกับคนที่พวกเขากำลังตามอยู่

    ชายหนุ่มที่กำลังยืนขวางเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ "สมกับเป็นนักล่าค่าหัวชั้นยอด สามารถสะกดรอยตาม น้องสาวของชั้นได้ แต่คงปล่อยให้ไปมากกว่านี้ไม่ได้หรอกนะ"

    คนกลุ่มนั้นรู้ได้ในบัดดลว่าคนที่ยืนขวางทางพวกเขาเป็นใคร ทุกคนต่างชักอาวุธขึ้นมาในทันที แต่พริบตานั้น ขนนกสีขาวได้กระจายไปทั่วบริเวณพร้อมกับเปลวเพลิงที่ลุกท่วมร่างของนักล่าค่าหัวของคนกลุ่มนั้นทุกคน เสียงร้อยโหยหวนของคนที่ถูกย่างสดดังระงมไปทั่วบริเวณ

    "นี่คือโทษของคนที่จ้องจะทำร้ายน้องสาวชั้น" เสียงราบเรียบถูกทิ้งท้ายไว้พร้อมกับเถ้าถ่าน ที่อดีตเคยเป็นร่างของมนุษย์ ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มผมเงินจะเดินออกจากที่นั่น ก็มีเสียงที่เขาคุ้นเคยทักขึ้น

    "เป็นพี่จริงๆด้วย พี่ไลอัน นี่พ่อกับแม่ให้ออกมาตามหนูกลับหรือไง บอกไว้ก่อนนะหนูจะไม่กลับไปที่นั่นอีกแล้ว"

    เมื่อมองไปยังเจ้าของเสียงก็พบสาวน้อยผมสีเดียวกับเขายืนอยู่บนหลังคาบ้านหลังหนึ่ง "เปล่า พี่ก็แค่เป็นห่วงเธอเลยตามมาเท่านั้นไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ ถ้าพี่จะลากตัวเธอกลับไปมันก็ไม่ยากนักหรอก" จบประโยค ไลอัน ก็เดินหายเข้าไปในความมืดของยามค่ำคืน ณ เมืองแห่งนี้ ปล่อยให้สาวน้อยอีกคนขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจในตัวพี่ชายของเธอนัก


    นี่เป็นเพียงเรื่องราวสั้นๆของพี่น้องผู้มีผมสีเงินที่ผมอยากจะเล่าให้ฟังนิดหน่อยเพื่อฆ่าเวลา




    จบบท นอกรอบ(2)




    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~​





    เรื่องเล่าจากแสงและเงา นอกรอบ(3)




    ค่ำคืนอันแสนยุ่งเหยิง ณ เมืองชายน์เมืองแห่งนักบวช ถนนสายหนึ่งที่ไม่ค่อยจะมีผู้คนสัญจรผ่านไปมา

    ชายหนุ่มผมดำคนหนึ่งกำลังแบกเล่มใหญ่วิ่งหนีกลุ่มคนนับสิบอาวุธครบมือที่กำลังวิ่งไล่เขาอย่างเอาเป็นเอาตาย ก่อนหน้านี้ไม่นานเขากำลังนั่งอยู่ในร้านอาหารหรู กับสาวสวยที่เขากำลังตามจีบอยู่ แต่จู่ๆเธอก็เดินหนีออกมา แล้วก็เหมือนฉากที่เห็นได้ตามละครทั่วไปก็คือมีคนตามมาเพื่อจ้องที่จำทำร้ายสาวน้อยผู้ที่เขากำลังตามจีบ

    สุภาพบุรุษอย่างเขาก็ย่อมจะออกหน้าเพื่อปกป้องอยู่แล้ว แต่มันต่างกันนิดหน่อย เพราะจู่ๆเธอก็หายตัวไปอย่างรวดเร็ว ตัวเขาเองก็จัดว่าเป็นนักรบทีมีฝีมือคนหนึ่งคนหนึ่ง คนเพียงแค่นั้นใช้เวลาไม่นานเขาก็สามารถล้มลงได้หมด แต่มันแย่ตรงที่ กองกำลังของสภานักบวช ที่ดูแลความสงบของเมืองแห่งนี้ดันมาเจอเขา ตอนที่ล้มเจ้าพวกนั้นหมดแล้ว จากสภาพการ ดูยังไงเขาก็เป็นผู้ร้ายแน่นอน ทางเลือกเดียวที่เขาทำได้คือ หนี!!

    การจะจัดการเจ้าหน้าที่ของสภานักบวชที่วิ่งตามเขาอยู่นี่มันไม่ยากนักหรอก แต่ทันทีที่เขาลงมือ ก็เท่ากับเขาประกาศตัวเป็นศัตรูกับสภานักบวช 1 ใน 2 ขั้วอำนาจใหญ่ของดินแดนแห่งนี้ แล้วทีนี้เขาคงอยู่ที่ไหนก็คงไม่เป็นสุขแน่ๆ สิ่งที่ทำได้ตอนนี้คือ วิ่ง! วิ่ง! และ วิ่ง!

    "ทำไมมันซวยอย่างนี้~~~~~~~" เสียงชายหนุ่มคนนั้นร้องออกมาขณะที่กำลังวิ่งสุดฝีเท้า

    ขณะที่เขาร่ำร้องอยู่นั่นเอง ตัวเขาไม่มีทางรู้หรอกว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของเรื่องราวที่สุดแสนจะยุ่งเหยิง ของ เขา กับ สาวน้อยผมสีเงินคนนั้น





    จบบท นอกรอบ(3)




    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~​
  9. yoshiki

    yoshiki FATE

    EXP:
    862
    ถูกใจที่ได้รับ:
    17
    คะแนน Trophy:
    38
    Re: [ฟิครับสมัคร] Tale Of Light and Shadow

    เฮ้อ เปลี่ยนบอร์ดกันทีย้ายบ้านกันวุ่นวาย แต่พอกลับมาอ่านตอนหลังก็คิดถึงสาวน้อยนักฆ่าคนนี้ขึ้นมาเลย โหะๆ น่ารัก
  10. PaiaAznable

    PaiaAznable มนุษย์ตู้ปลาช้ำรัก

    EXP:
    744
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    86
    Re: [ฟิครับสมัคร] Tale Of Light and Shadow

    ย้ายบ้านทีชวนนึกถึงแม่นักฆ่าผู้น่ารัก 555+ /me ว่าแต่คุณเธอมารึยังเนี่ย = ='a

    รอชมครึ่งหลังต่อไปพี่ท่าน สู้ๆแง้บบบ ^^b
  11. joi100

    joi100 นักเดินทางแห่งมิดการ์ด

    EXP:
    478
    ถูกใจที่ได้รับ:
    23
    คะแนน Trophy:
    38
    Re: [ฟิครับสมัคร] Tale Of Light and Shadow

    เรื่องเล่าจากแสงและเงา เรื่องที่2 อัจฉริยะในห้องสมุด (1)




    เรื่องเล่าเรื่องนี้เริ่มที่ "ริมุเน่" เมืองขนาดกลางที่ตั้งอยู่ บริเวณ ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปแห่งนี้ ดินแดนที่ถูกเรียกขานว่า "เอลล์เทอเฟีย"

    เมืองแห่งนี้เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรม ที่ย้อนยุคกลับไปซัก 50 ปี ผู้คนส่วนใหญ่ของเมืองแห่งนี้ ล้วนไช้เวทย์มนต์ได้ไม่มากก็น้อย ส่วนเวทย์มนต์เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเมืองไม่ใหญ่ ไม่เล็ก แห่งนี้ไปซะแล้ว

    ด้านทิศเหนือของเมือง เป็นเทือกเขา "เลด้า" ขุนเขาสูงใหญ่ตั้งตระหง่าน พาดผ่านจากตะวันตกสุดทวีป ไปยังตะวันออกสุดของทวีปเช่นกัน สถานที่สำคัญๆต่างๆของเมืองนี้ ต่างถูกสร้างให้ฝังเข้าไปใต้หุบเขาแห่งนี้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น วังของท่านเจ้าเมือง ห้องสมุดของเมืองนี้ที่ว่ากันใหญ่ และมีหนังสือมากที่สุดใน เอลล์เทอเฟีย ทีเดียว

    เฉพาะขนาดของห้องสมุดนั้นกินพื้นที่เกือบๆ 1 ใน 6 ของเมืองไปแล้ว ภายในห้องสมุดแห่งนี้ถ้าคนที่ไม่คุ้นเคยอาจจะหลงทางได้ง่ายๆลยทีเดียว บรรณารักษ์ ของที่นี่นอกจะมีหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยของห้องสมุดแล้ว ยังมีหน้าที่ต้องเชคจำนวนคนที่เข้าและออกด้วยเพื่อกันคนตกค้าง หลงทางอยู่ในห้องสมุดแห่งนี้

    ริมุเน่ เป็นเมืองที่เหล่า เด็กๆ และ ผู้คนที่ใฝ่ฝันว่าจะเป็นจอมเวทย์ จะต้องแวะมาเยี่ยมเยือนซักครั้ง เพราะที่นี่เป็นเพียงแห่งเดียวของเอลล์เทอเฟีย ที่มีโรงเรียนสอนวิชาเกี่ยวกับเวทย์มนต์ ชื่อของโรงเรียนแห่งนี้ถูกตั้งตามชื่อเมืองแห่งนี้คือ "ริมุเน่" จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่เมืองขนาดกลาง และอยู่ห่างไกล เช่นนี้จะมีผู้คนจากหลากหลายสถานที่แวะมาเยี่ยมเยือน โดยเฉพาะฤดูใบไม้พลิ ที่เป็นช่วงเวลา ที่โรงเรียนสอนเวทย์มนต์แห่งนี้จะมีนักเรียนที่สำเร็จการศึกษา และทำการรับสมัครนักเรียนใหม่ อันเป็นช่วงเวลาที่เมืองนี้คึกคัก มากที่สุด

    แต่บนโลกอันกว้างใหญ่แห่งนี้ ก็มีหลายๆคนที่อาจจะไม่ได้จบ จากโรงเรียนแห่งนี้ แต่ก็ถูกยอมรับว่าเป็นจอมเวทย์เต็มตัว ซึ่งอาจจะเก่งกว่าหลายๆคนที่จบจากที่นี่ด้วย และ ก็มีอีกหลายๆ คนที่มีความสามารถมากมายชนิดที่ว่าเรียนจบในชั่วระยะเวลาไม่นานนัก เรื่องเล่าคราวนี้ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ เมืองแห่งนี้ "ริมุเน่" เมืองแห่งเวทยมนต์

    เสียงจั๊กจั่น ร้องระงม ดังมาตามสายลมที่พัดผ่านป่าอัสร่า มายังเมืองแห่งนี้ซึ่งตั้งอยู่ริมผืนป่าที่ใหญ่ที่สุดในแผ่นดิน เป็นสัญลักษณ์ของฤดูร้อน อันมีไม่ค่อยจะนานนัก เพราะดินแดนแห่งนี้ตั้งอยู่ทางเหนือของทวีป และติดกับหุบเขา ทำให้ สภาพอากาศไม่ค่อยจะร้อนนัก ตรงข้าม หน้าหนาวของที่นี่กลับหนาวเย็น และ ยาวนานกว่าดินแดนที่อยู่ลงไปทางทิศใต้ พอสมควรเลยทีเดียว

    ภายในห้องเรียนของ นักเรียนชั้นปีที่2 ซึ่งมีนักเรียนอยู่ไม่ถึง10 คน เพราะเป็นที่รู้กันดีว่า คนที่จะจบจากโรงเรียนแห่งนี้จะต้องเป็นผู้ที่มีความสามารถและรอบรู้ ในทางนี้เป็นอย่างมาก ฉะนั้น ปีหนึ่งๆ จะมีคนจบไม่ถึง10คนเท่านั้น ซึ่งนับว่า ปีนี้นักเรียนที่สอบผ่านมาจากชั้นปีที่หนึ่งในมีปีนี้น้อยกว่าทุกๆปี ซึ่งทางโรงเรียน ริมุเน่ แห่งนี้ จะแบ่งออกเป็น 3 ระดับชั้น คือ ปี1 ปี2 และ ปี3 ทุกๆปีจะมีการทดสอบเพื่อเลื่อนระดับ แต่ส่วนใหญ่มักจะสอบไม่ผ่านกันทั้งนั้นเลยต้องเรียนซ้ำ กันทุกปี บางคนสอบไม่ผ่านซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนยอมแพ้ลาออกไปก็มี แต่ก็ยังมีเหล่า ผู้มีพรสวรรค์ที่เรียนจบภายในระยะเวลาอันสั้น บางคนเรียนเพียงปีเดียว ก็สอบเลื่อนระดับรวดเดียว3ขั้นเลยด้วยซ้ำ

    นอกเรื่องกันมามากแล้วกลับไปยังห้องเรียนของชั้นปีที่2 ที่ผมจะเล่าถึงกันเลยดีกว่า ขณะที่เหล่านักเรียนยังจับกลุ่มคุยกันเพื่อฆ่าเวลารออาจารย์ ที่จะเข้ามาสอน ก็มีเด็กสาวคนหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบ เข้ามาในห้องห้องเรียน เมื่อทุกคนในห้องหันไปมอง ก็เจอสาวสวย ผมสีม่วงแกมแดง ดวงตากลมโตสีแดงสด อยู่ในเสื้อสีม่วงเข้ม กระโปรงสีขาวสั้นเหนือเข่าเล็กน้อย ถือไม้คทาสีชมพูที่มีปลายเป็นรูปหัวใจสีแดง ตรงฐานของหัวใจเป็นปีกสีขาวเล็ก2อัน ดูจากท่าทางแล้วอายุคงจะราวๆซัก17-18ปีได้

    "ชั้นมาสายหรือเปล่าเนี่ย" สาวสวยคนนั้ยเอ่ยถามหลังจากยืนหอบอยู่เล็กน้อย พลางเดินไปนั่งที่ของตน แต่ยังไม่ทันที่ใครจะเอ่ยตอบคำถามของเธอ ก็มีเสียงตอบมาจากนอกห้อง

    "ยังสายหรอกนะจ๊ะ คุณหนู ลุนลุน มิเนอร์ว่า แต่เกือบไปแค่นั้นเอง" เสียงนั้นดังมาพร้อมกับ หญิงสาวอีกคน เดินเข้ามาในห้อง สาวน้อยคนที่เพิ่งเดินเข้ามานั้นมีผมสีทองยาวสลวย ถูกรวบเป็นหางม้าไปทางด้านหลัง2ข้าง ซึ่งตรงโคนที่รวบผมนั้นถูกผู้ไว้ด้วยริบบิ้นสีดำทั้ง2ข้าง ดูอายุน้อยกว่า ลุนลุน ซะด้วย แต่สิ่งที่เตะตาคือชุดที่เธอใส่อยู่ ผ้าคลุมสีขาวสะอาดตาบริเวณชายผ้าขลิบด้วยสีน้ำเงินเข้ม อันเป็นเครื่องหมายของจอมเวทย์ ที่จบจากโรงเรียนแห่งนี้ไปแล้ว เมื่อประกอบกับชุดที่สวมอยู่ใต้ผ้าคลุม ที่เป็นเสื้อเครื่องแบบของกองทหารเวทย์สีน้ำเงินเข้มขลิบขอบด้วยสีขาว กระโปรงสั้นสีเดียวกัน ทำให้หญิงสาวที่ก้าวเข้ามาในห้องนั้นดูงามสง่ายิ่งนัก

    "สวัสดีทุกคน หลายๆคนอาจจะรู้จักฉันแล้ว แต่ขอแนะนำตัวอีกทีละกันนะ " สาวน้อยผมทองหันไปเขียนบนกระดานตัวใหญ่ๆว่า `เฟท เรนเกล`

    "วันนี้ชั้นมีข่าวดีกับ ข่าวร้ายจะมาแจ้งให้ทราบ อยากฟังอย่างไหนก่อนดี" เธอเอ่ยถามไปยังทุกๆคน

    ลุนลุนยกมือขึ้น " อยากฟังข่าวดีก่อนนะเฟทจัง"

    เฟทบอกข่าวดีแก่ทุกคน " ข่าวดีก็คือ อาจารย์ที่สอนพวกคุณทุกคนไปเตรียมงานใหญ่ที่จะจัดขึ้นเร็วๆนี้ "

    "งาน `แข่งขันจอมเวทย์` ที่จัดขึ้นทุกๆ5ปีหรือคะ เฟทจัง " เด็กสาวในชั้นเรียนเอ่ยขึ้น

    "ใช่แล้วล่ะ ตอนนี้อาจารย์แทบทุกคนในโรงเรียนยุ่งกันหมดทุกคนเลย รวมถึงนักเรียนปี3ด้วย"

    แล้วสาวสวยผมม่วงก็เอ่ยถามขึ้นมาอีกครั้ง "แล้วข่าวร้ายล่ะ เฟทจัง"

    "ก็ไม่มีอะไรมาก คือ ทางผู้ใหญ่ ให้ฉันมาสอนแทนที่ ชั้นปี2นี่ ตลอด 2 สัปดาห์ จนกว่าจะจบงานน่ะสิ"

    "ว้าว~~~" ทุกคนในชั้นต่างร้องออกมาพร้อมกัน

    นี่ไม่ใช่ข่าวร้ายหรอกแต่เป็นข่าวดีต่างหาก เพราะ "เฟท เรนเกล" คนนี้เป็นลูกสาวของ ท่านอุปราชของที่นี่ ผู้คนต่างเลื่องลือกันว่า เธอเป็นอัจฉริยะในด้านเวทย์มนต์ไม่ต่างจากพ่อของเธอเลยทีเดียว เพียง1 ปี เธอก็ผ่านการทดสอบทั้ง 3 ระดับของที่นี่ จนได้รับการบรรจุเป็นกองทหารเวทย์ อันทรงเกียรติ ของ "ริมุเน่" ซึ่งเป็นความฝันอันสูงสุดของนักเรียนหลายๆคนที่เรียนอยู่ที่นี่ การเรียนกับคนวัยใกล้เคียงกัน มันต้องสนุกกว่าเรียนกับตาแก่ขี้บ่นอันเป็นครูประจำชั้นปีที่2 มากว่าเป็นไหนๆ

    โดนเฉพาะ ลุนลุน เธอสนิทกับ เฟท มาตั้งแต่เด็กๆถึงหลายๆครั้งต้องยอมรับว่า เธออิจฉา ความเก่งกาจของเพื่อนรุ่นน้องเธอคนนี้ อยู่เหมือนกัน เพราะตัวเธอเองนั้น กว่าจะผ่านการทดสอบ ขึ้นปี2ได้ ใช้เวลาตั้ง 3ปี แต่สุดท้ายเธอยังรักเพื่อนสาวของเธอคนนี้อยู่ดี เพื่อนของเธอคนนี้ แม้ดูภายนอกจะเป็นคนเงียบๆ แต่เมื่อถึงเวลางาน หรือ ยามเพื่อนเดือดร้อนเธอจะลงมือทำโดยไม่เคยเกี่ยงงอนเสมอ การที่ตัว ลุนลุน สอบผ่านขึ้นปี2มาได้ ก็เพราะ เฟท ยอมหยุดงานไปติวเธอก่อนสอบเป็นอาทิตย์ เลยทีเดียว

    " อาจารย์เฟท ครับ แล้ววันนี้จะสอนอะไรหรือครับ " นักเรียนในห้องอีกคนเอ่ยถาม

    เฟทเอ่ยกับทุกคน "ไม่ต้องเรียนฉันว่า `อาจารย์` หรอก เพราะยังไงฉันก็ไม่ใช่ครูเต็มตัว แล้วอีกอย่าง อายุฉันน้อยกว่าหลายๆคนด้วย เรียก เฟทจัง เหมือนทุกทีน่ะดีแล้ว มานั่งรวมๆกันตรงหน้าห้องดีกว่า มีกันอยู่แค่7 คนเองนี่นา แต่ห้ามใช้มือเลื่อนนะ"

    แล้วทุกคนในห้องจึงเริ่มร่ายเวทย์ ลากโต๊ะของตนเอง ที่จัดไว้เป็นระเบียบภายในห้อง มากระจุกคนที่หน้าห้อง ซึ่งเวทย์มนต์เคลื่อนย้ายสิ่งของ ที่เป็นอีก1 ในเวทย์มนต์เบื้องต้นที่ทุกคนต้องสอบเพื่อเลื่อนชั้นในปีที่1

    เฟทตบมือเบาๆ "สมเป็นนักเรียนปี2จริงๆ ใช้เวทย์มนต์ได้คล่องแคล่วแล้วนี่นา วันนี้จะพูดถึงการแบ่งระดับเวทย์มนต์ หลายๆคนอาจจะรู้มาพอคร่าวๆแล้ว คราวนี้จะบอกอย่างละเอียดๆให้ทุกคนฟัง ใครอยากจดก็จดได้ตามสบายนะ บอกได้เลยว่าตอนสอบขึ้นปี3 มีคำถามนี้ในการสอบข้อเขียนแน่นอน ใครไม่เข้าใจตรงไหน เอาไว้เล่าจบแล้วค่อยมานั่งคุยกันนะ" ซึ่งพอจบประโยคทุกคนก็นั่งฟังอย่างตั้งใจ พร้อมหยิบกระดาษกับปากกามาจด

    "เวทย์มนต์ ในเอลล์เทอเฟียนั้น ถูกจัดแบ่งโดยเหล่านักปราชญ์ในอดีตกาล ออกเป็นทั้งหมด7ระดับ ซึ่งหลายๆคนใช้เวทย์มนต์ได้โดยไม่รู้ถึงเรื่องนี้เลย ว่า เวทย์มนต์ที่พวดเขาใช้อยู่นั้นได้ถูกแบ่งระดับไว้แล้ว ซึ่งแต่ละระดับดับนั้นถูกแบ่งตามความยากง่ายในการใช้งาน"

    "ระดับที่1 เวทย์มนต์พื้นฐานที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่นการเคลื่อนย้ายสิ่งของ ที่ทำกันเมื่อกี้นี้ หรือ การสร้างลูกไฟเล็กๆเพื่อก่อกองไฟ"

    "ระดับที่ 2 นี้จะเป็นเวทย์มนต์พื้นฐานของสายต่างๆ เช่น เวทย์สายโจมตีก็จะเป็น จำพวก ศรเพลิง ศรน้ำแข็ง ศรสายฟ้า ส่วนเวทย์สายรักษา ก็จะเป็น การสมานแผลเล็กๆน้อยๆ"

    "ระดับที่3 เวทย์มนต์ขั้นนี้เห็นได้บ่อย เวลาต่อสู้ เพราะจอมเวทย์ส่วนมากจะไช้เวทย์มนต์ระดับนี้ได้อย่างคล่องแคล่ว เช่น บอลเพลิง คมมีดสายลม ลูกบอลน้ำ ส่วนเวทย์รักษานั้นจะเป็น การรักษาบาดแผล การห้ามเลือด หรือ การถอนพิษ"

    "ระดับที่4 เวทย์มนต์ขั้นกลางที่มีระยะการใช้งานกว้างพอสมควรเช่น เวทย์ฝนเพลิง การสร้างพายุหมุน ส่วนเวทย์รักษานั้นจะเป็น เวทย์เสริมกำลัง ความเร็ว และอื่นๆ"

    "ระดับที่5 เวทย์ชั้นสูงทีมีอำนาจในการทำลายล้าง และ ขอบเขต สูงมาก รวมไปถึงการเรียกใช้งานก็ยากเช่นกัน เวทย์ในระดับนี้การ ร่ายเวทย์นั้น ต่อให้เป็นผู้ชำนาญ เวลาร่ายก็ไม่ต่ำกว่า3นาทีทั้งนั้น เช่น เวทย์เรียกอุกกาบาต เวทย์ระเบิดเพลิง ถ้าเป็นสายรักษาก็จะเป็น เวทย์ถอนคำสาป การรักษา และ พื้นพลังกายผู้คนที่อยู่ในอณาเขตทั้งหมด "

    "ระดับที่6 มหาเวทย์โบราณ เวทย์มนต์เหล่านี้ มีผู้ที่สามารถเรียกใช้นับคนได้ ในเอลล์เทอเฟีย ซึ่งตัวฉันเองก็ยังไม่เคยเห็น เวทย์มนต์ระดับนี้ด้วยสายตาของตนเองซักที ว่ากันว่า ในเวทย์สายรักษานั้น เวทย์ที่ถูกจัดอยู่ในระดับนี้ คือเวทย์ที่ชุบชีวิตคนที่ตายไปแล้วได้ "

    "และ ระดับสุดท้าย ระดับที่7 เวทย์มนต์ ระดับ พระเจ้า หรือ จอมราชาปีศาจ เวทย์มนต์ที่สามารถลบ เมืองใดซักเมืองให้หายไปจากแผนที่ ซึ่งมีเพียงเรื่องเล่าเกี่ยวกับเวทย์มนต์เหล่านี้ บันทึกไว้ในตำนาน เท่านั้น "

    "เอาล่ะ ใครสงสัยอะไรถามมาได้" ครูสาวจำเป็นเอ่ยถามหลังจากให้ทุกคนจดจดเสร็จหมดทุกคน

    ซึ่งคนที่ยกมือถามคนแรก ก็คือ ลุนลุน "เฟทจัง แล้วคนปกติโดยทั่วไปนั้นจะใช้เวทย์ได้ถึงระดับไหนกันเหรอ?"

    สาวผมทองตอบแบบไม่ต้องคิด "ระดับ4 จะมีจอมเวทย์ชั้นสูงไม่กี่คนเท่านั้นที่ใช้เวทย์ ระดับ 5และ 6ได้ ซึ่งเดี๋ยวจบการเรียนกับฉัน 2อาทิตย์ จะได้เรียนภาคปฎิบัติ แล้วจะรู้ ว่าแค่เวทย์ระดับ2 นั้น การจะเรียกใช้ก็ไม่ใช่ง่ายๆแล้ว"

    "แล้วเฟทจังใช้เวทย์มนต์ได้ถึงระดับไหนเหรอ?" นักเรียนในห้องคนหนึ่งถามอย่างอยากรู้

    "ถ้าบอก ว่าระดับ5 ทุกคนจะเชื่อรึเปล่าล่ะ แต่ระดับ5 ฉันใช้ได้แค่บทเดียวเองนะ แถมกว่าจะได้ใช้ ต้องร่ายเวทย์ เกือบๆ5นาที" หลังจากอึกอักไม่ยอมตอบอยู่พักใหญ่ๆ สุดท้ายก็ต้องยอมตอบเพราะถูกทุกคนเซ้าซี้ถาม

    "โห เฟทจังเก่งจังเลย" สาวผมม่วงนามว่าลุนลุน เอ่ยชื่นชมเพื่อนสาวของเธอ หลังจากนั้นทุกคนต่างซักถามในสิ่งที่ตนเองอยากรู้ อย่างเป็นกันเอง จนหมดเวลาเรียน หลังจากทุกคนแยกย้ายกลับไปทานอาหารเที่ยง ที่ร้านใกล้ๆโรงเรียนบ้าง หรือตรงกลับบ้านบ้าง เพราะช่วงที่เตรียมตัวจัดงานแข่งขันจอมเวทย์นี้ เหล่าอาจารย์ต่างยุ่งๆ จนต้องลดเวลาเรียนเหลือเพียงครึ่งวันเท่านั้นเอง

    "เฟทจังๆ ไปกินข้าวกันใหม?" ลุนลุนเอ่ยถามขณะที่กำลังเดินไปตามทางเดินเพื่อ ออกจากโรงเรียน ซึ่งเพื่อนสาวของเธอก็พยักหน้าตอบรับ ขณะที่ทั้ง2สาวกำลังเดินออกจากโรงเรียน ก็ถูกใครบางคนเอ่ยทักไว้

    "เอ่ยขอเวลาซักเดี๋ยวได้ใหม? ทั้ง2สาว" เมื่อหันไปตามเสียงเรียก็ พบชายหนุ่ม รูปร่างสมาท ผมสีน้ำตาลอ่อน หน้าตาหล่อเหลาเหมือนเจ้าชายที่หลุดออกมาจากหนังสือนิทาน อยู่ในชุดเดียวกับเฟท ก็คือผ้าคลุมสีขาว แล้วชุดด้านในสีน้ำเงินเข้ม แต่เปลี่ยนจากกระโปรงเป็นกางเกงขายาวเท่านั้น ซึ่งมันเป็นเครื่องแบบของกองทหารเวทย์นั่นเอง

    "องค์ชาย เซเน็ต!" ทั้ง2สาวอุทานออกมาแทบพร้อมกัน พร้อมกับทำท่าจะถอนสายบัวคำนับตรงนั้น แต่ก็ถูกเจ้าชายผมสีน้ำตาลคนนั้น ห้ามไว้เสียก่อน "ไม่ต้อง ทำขนาดนั้นก็ได้ ตอนนี้ไม่ได้อยู่ในเวลาทางการซักหน่อย นี่นา เอ้าลุกขึ้นเร็วเดี๋ยวคนอื่นจะแตกตื่นซะเปล่าๆ"

    ทั้ง2สาวจึงยืนขึ้น แล้วเฟทจึงเอ่ยถามขึ้น " มีธุระอันใดหรือเพคะ ถึงเสด็จมาดักรอพวกเราที่นี่ องค์ชาย เซเน็ต วาเลท "

    "เธอนี่จริงจังเกินไปแล้วนะ เฟท ทั้งๆที่เรา3คนก็รู้จักกันมาตั้งแต่เด็กๆเวลาปกติไม่เห็นต้องพูดซะเหินห่างขนาดนี้เลยนี่นา หรือตอนนี้เรากลายเป็นคนอื่นกันไปแล้ว หือ เฟท? ลุนลุน?" เจ้าชายผมน้ำตาลอ่อน เอ่ยตัดพ้อ

    สาวผมม่วงรีบแก้ตัวมาโดยเร็ว"พวกเราไม่ได้คิดอย่างนั้นเลย พี่เซเน็ต อย่างพูดอย่างนั้นสิ ลุนลุนฟังแล้วรู้สึกไม่ค่อยดีเลยใช่ใหมเฟทจัง?"

    "ถ้าทำให้องค์ชายรู้สึกไม่สบายพระทัยหม่อมชั้นก็ต้องขออภัยด้วยเพคะ แต่ให้หม่อมชั้นอาจเอื้อมไปเรียกท่านอย่างเมื่อในอดีตคงไม่ได้แล้วเพคะ หม่อมชั้นรู้ดีว่าตนเองอยู่ในฐานะอะไร แล้ว องค์ชายอยู่ในฐานะอะไร" สาวน้อยผมทองเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

    เซเน็ตถึงกับต้องถอนหายใจ เพราะเขารู้จัก เฟท เรนเกล คนนี้ถึงจะดูสุขุมเป็นผู้ใหญ่เกินตัวแต่บางทีเธอก็ดื้อรั้นเหมือนเด็กสาวทั่วๆไปเป็นเช่นกัน แล้วที่เธอพูดจาห่างเหิญกับเขาเช่นนี้คงเป็นเพราะเมื่อ3 วันก่อนเขาเองผิดนัดที่จะไปชิมอาหารฝีมือเธอ เพราะธุระด่วน แน่นอน

    "เธอยังโกรธพี่เรื่องเมื่อ3วันก่อนใช่ใหมล่ะ พี่ขอโทษนะเราดีกันเถอะ" เซเน็ตใช้มุขดั้งเดิมของชายหนุ่มเวลาที่จะง้อหญิงสาวที่โกรธตอนอยู่ ก็คือเอาดอกไม้มาง้อนั่นเอง ดอกลินลี่สีชมพูอ่อนช่อหนึ่งถูกยื่นให้สาวน้อยผมทองเพื่อ งอนง้อทันที

    ถึงสีหน้าขอเฟทจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก แต่เซเน็ตก็สังเกตแววตาของเธอฉายแสงแห่งความยินดีที่เก็บซ่อนไว้ไม่มิด "เอาเป็นว่าพี่ขอไถ่โทษโดยการพาทั้ง2คนไปเลี้ยงข้าวละกันนะ" เจ้าชายเอ่ยชวนทันทีที่เห็นการง้อของเขาได้ผล

    สาวผมม่วงเอ่ยปฏิเสธทันทีเพราะอยากจะให้เพื่อนเธอไปตามลำพังกับชายในดวงใจ 2 ต่อ 2 "เป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่เจ้าชายองค์โตแห่งริมุเน่ ว่าที่เจ้าเมืองคนต่อไป เชิญไปทานอาหารได้ แต่คงต้องขอปฎิเสธนะคะ พอดี ลุนลุน มีนัดแล้วน่ะค่ะ พี่เซเน็ต"

    "น่าเสียดายจริงๆ เอาไว้โอกาสหน้าละกันนะ"

    "ค่ะ แล้วเจอกันนะเฟทจัง" ลุนลุนเอ่ยลาเพื่อนสาวของเธอ พลางกระซิบเบาๆที่ได้ยินกันเพียง2คน "อย่างอนมากนักสิ เฟทจัง เดี๋ยวเขาไม่ง้อขึ้นมาจะยุ่งเอาน๊า กินข้าวกับหวานใจให้สนุกนะจ๊ะ"

    เมื่อจบประโยค หน้าของสาวน้อยผมทองก็กลายเป็นสีแดง เหมือน ลูกตำลึงสุก "บ้าพูดอะไรก็ไม่รู้ ลุนลุน เนี่ย" แล้วสาวผมม่วงก็วิ่งไปตามถนนอย่างรวดเร็ว โดยปล่อยให้ชายหนุ่ม และ หญิงสาวอยู่ด้วยกันตามลำพัง

    "เหมาะสมกันจริงๆเลยน๊า เมื่อไรเราจะเจอเนื่อคู่กับเขาบ้างหล่ะนี่" ลุนลุนพึมพัมอยู่คนเดียวขณะเดินไปตามถนนเพื่อกลับบ้านนั่นเอง เธอก้ได้ยินเสียงเด็กร้องให้ เมื่อเดินไปตามต้นเสียงก็พบเด็กชายคนหนึ่งหกล้มนั่งกับพื้นร้องให้อยู่

    "โอ๋ๆไม่ต้องร้องนะจ๊ะ ไหนก็พี่ดูแผลหน่อย แผลเล็กนิดเดียวเองเดี๋ยวก็ไม่เจ็บแล้ว" สาวผมม่วงเอ่ยปลอบโยนเด็กน้อยพร้อมกับยกคทาของเธอ แล้วร่ายมนต์รักษาบาดแผลเบื้องต้นทันที ไม่นานนักแสงสีขาวนวลดูอบอุ่นก็ค่อยๆทำให้ความเจ็บปวดลดลง และ ค่อยๆสมานบาดแผล ไม่นานนักเด็กคนนั้นก็ยิ้มออกมพร้อมกับเอ่ยคำขอบคุณ

    "ขอบคุณมากนะครับพี่สาวจอมเวทย์"

    ลุนลุนยิ้มหน้าบาน เพราะความใฝ่ฝันตั้งแต่เด็กๆของเธอก็คือการถูกเรียกว่า`จอมเวทย์` นี่แหละ "ที่หลังก็ระวังๆหน่อยนะจ๊ะ"

    "ครับ งั้นผมไปก่อนนะครับ ต้องรีบไปเดี๋ยวดูเชิดหุ่นไม่ทัน เพื่อนๆผมก็ไปกันหมดแล้ว" แล้วเด็กชายคนนั้นก็วิ่งไปอย่างรวดเร็ว "พวกนักแสดงเร่มาเชิดหุ่นให้ดูอย่างนั้นเหรอ? น่าสนใจดีนะ ยังไงๆก็ว่างอยู่แล้วแวะไปดูดีกว่า" แล้วสาวผมม่วงก็เดินไปตามทางที่เด็กน้อยวิ่งไปเมื่อกี้นี้

    เมื่อเดินไปได้ไม่ไกลนัก เธอก็เห็นเด็กๆจับกลุ่มรุมล้อมนักแสดงที่กำลังจะเชิดหุ่นให้พวกเขาดู นักแสดงคนนี้แต่ตัวผิดแปลกจากคนอื่นๆอยู่ไม่น้อย สวมชุดทักซิโด้สีดำ ผูกโบว์กระต่ายดำ เชิ้ตดำ กางเกงขายาวสีดำ สวมหมวกทรงสูงสีเดียวกัน ใบหน้าฉาบไปด้วยรอยยิ้ม แต่มันเป็นรอยยิ้มที่เธอไม่ค่อยจะชอบนักเพราะมันตีความหมายไม่ออกเลยนี่นา

    ละครหุ่นที่เขาแสดงอยู่นั้น มันเป็นเรื่องราวของ เจ้าหญิงผู้งดงาม ถูกจอมมารลักพาตัวไป แล้วก็มีผู้กล้าไปช่วยเจ้าหญิงออกมา แล้วทั้ง2 ก็ลงเอยกันด้วยดี แต่สิ่งที่ลุนลุนสนใจไม่ใช่เนื้อเรื่องซักเท่าใดนัก แต่เป็นการเคลื่อนไหวของหุ่นพวกนั้นมากกว่า เพราะหุ่นเหล่านั้นถูกเชิด และ มีเสียงพูดราวกับมีชีวิตจริงๆ ขณะที่กำลังดูเพลินๆนั่นเอง ลุนลุนก็เหลือบไปเห็นเด็กสาวคนหนึ่ง รีบวิ่งมาอย่างรวดเร็ว

    ซึ่งรูปร่างของเธอเป็นที่สะดุดตายิ่งนัก ผมยาวถึงกลางหลังสีขาวราวไข่มุกหยักศก ดวงตากลมโตฉายแววขี้เล่นสีแดงสดราวกับไฟ ใบหน้ารูปไข่ ผีวสีแทนเข้ม หน้าตาคมคาย ริมฝีปากบาง คิ้วโก่ง จมูกโด่งเป็นสัน มีลักยิ้มเล็กข้างแก้ม ใส่ชุดกระโปรงฟูฟ่อง สีกรมท่าเข้มสลับขาว ชายกระโปรงยาวประมาณเข่า มีเครื่องประดับผมสีทองประดับด้วยอัญมญีสีเข้มจนเกือบดำ ดูท่าทางอายุรุ่นเดียวกับเธอ

    เธอมาหยุดยืนดูอย่างสนอกสนใจ ไม่นากนักก็มีหญิงสาวอีกคนหนึ่งเดินตามมา เธอคนนี้ ผมตรงยาวประไหล่สีน้ำตาลออกแดง ดวงตากลมโตสีน้ำตาลเข้ม อยู่ในชุดคลุมสีขาวที่ชายของชุดคลุมเป็นรูปสามเหลี่ยมสีแดงเรียงต่อๆกัน อันเป็นชุดเครื่องแบบของจอมเวทย์สายรักษาทั้งหลาย หรือ ที่เรียกกันติดปากว่า "จอมเวทย์ขาว" นั่นเอง สาวผมม่วงเลิกสนใจละครหุ่นแต่กลับมาหยุดมองผู้ที่เพิ่งมาถึงทั้ง2คนนี้แทน

    "องค์หญิง `โรวีเนีย` เพคะที่หลังอย่างทำอย่างนี้อีกนะคะหม่อมชั้นจะหัวใจวายตายเอา อยู่ๆก็พาหม่อมชั้นหนีออกมาจากขบวนสเด็จอย่างนี้ ถ้าท่านเจ้าเมืองรู้เข้าจะตำหนิเอานะคะ" จอมเวทย์ขาวผมน้ำตาลแดงบ่นยาวเหยียดทันทีที่ถึงตัว

    "โถ่ `อเมทิส` นี่ก็ จริงจังไปได้แค่แวะลงมาแป๊ปเดียวไม่เป็นอะไรหรอก แล้วอีกอย่างชั้นไม่เคยเห็นเค้าแสดงอย่างนี้นี่นาขอดูจนจบก่อนนะ" พูดจบสาวน้อยผมสีไข่มุกก็หันไปตั้งใจดูการแสดงของชายในชุดทักซิโด้สีดำ

    "ที่แท้ก็ลูกสาวของท่านเจ้าเมือง รีเวเรีย นี่เอง คงจะมาแข่งขันงานประลองที่จะจัดขึ้นล่ะสิเนี่ย ตัวแทนของเมืองนี้จะเป็นใครกันนะ คงไม่พ้น `องค์ชายเซเน็ต วาเลท` แน่ๆ ก็ออกจะเก่งขนาดนั้นนี่นา ขนาดพ่อของ เฟทจัง ยังเอ่ยปากชมบ่อยๆเลยนี่นา จะว่าไปก็อิจฉาเฟทอยู่เหมือนกันน๊า อนาคตราชินีของเมืองนี้แหงๆ เป็นเพื่อนของว่าที่ราชินี นี่ก็เท่ใช้ได้เลยแฮะ" แล้วความสนใจในการแสดงหุ่นเชิดของลุนลุนก็หมดไปปล่อยความคิดให้จมอยู่กับความฟุ้งซ่าน เดินออกมา คิดโน่นคิดนี่ไปตลอดทางจนถึงบ้าน




    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~​





    จะมีไม่กี่คนในรีเวเรีย นอกจากพวกคนที่ใกล้ชิดกับท่านเจ้าเมืองแล้ว ที่จะรู้ว่าจริงๆแล้ว นอกจากองค์รัชทายาทเซเน็ต ผู้แสนจะเพอร์เฟค ซึ่งเป็นที่หมายปองของทั้งสาวน้อย สาวใหญ่ ทั้งในเมืองและต่างเมือง ยังมีเจ้าชายองค์รองอยู่อีกคน ซึ่งน้อยคนนักที่จะรู้จักเขาเพราะเขามักจะเก็บตัวอยู่ในห้องสมุดอยู่เสมอๆ

    ชั้น3 ของห้องสมุดประจำเมือง "ริมุเน่" ที่โต๊ะริมหน้าต่างมุมหนึ่งของห้องสมุดในชั้นนี้ คนที่แวะเข้ามาอ่านหนังสือที่นี่บ่อยๆก็มักจะเห็นภาพเหล่านี้จนชินตา ก็คือ ภาพของ หนังสือต่างๆที่กองเต็มโต๊ะตัวไปหมด ถ้าสังเกตดีๆหลังกองหนังสือเหล่านั้น จะเห็นชายหนุ่มผมกระเซิงๆ สีฟ้าอ่อน ใส่แว่นสายตาอันเล็กๆ ในชุดเสื้อคลุมของเหล่าจอมเวทย์สีฟ้าอ่อนเช่นเดียวกับผมของเขา กำลังอ่านหนังสืออย่างขมักเขม้นอยู่ตลอดเวลา

    วันนี้ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่คนที่ผ่านมาบริเวณนี้ได้เห็นภาพเหล่านั้นเหมือนเช่นทุกๆวัน "ในที่สุดก็อ่านครบทุกเล่มซักที วันนี้ต้องมีเรื่องดีๆเกินขึ้นแน่" ชายหนุ่มผมสีฟ้าอ่อนคนนั้น ปิดหนังสือซึ่งเป็นเล่มสุดท้ายที่เขาอ่านจนครบทุกเล่มภายในห้องสมุดที่แสนจะกว้างใหญ่ และมีหนังสือจำนวนมหาศาล เขาขยับแว่นเล็กน้อย เมื่อเห็นชายคนหนึ่งในชุดของกองทหารเวทย์ อันเป็นกองกำลังหลักที่ปกป้องเมืองแห่งนี้

    ชายคนนั้นมาหยุดตรงหน้าโต๊ะแล้วทำความเคารพ พร้อมกับยื่นจดหมายปิดผนึกให้ฉบับหนึ่ง"องค์ชายเลซาท นี่เป็นจดหมายที่ท่านเจ้าเมืองฝากมาให้ขอรับ"

    "ขอบคุณมากนะครับที่เป็นธุระเอาจดหมายมาส่งให้ถึงที่นี่"ชายหนุ่มผมสีฟ้าอ่อนรับจดหมายฉบับนั้นแล้ววางมันบนโต๊ะอย่างไม่ค่อยใส่ใจนัก

    "เอ่อ องค์ชายเซเน็ต ท่านฝากกำชับให้ข้าน้อยรออยู่จนท่านแกะจดหมายฉบับนี้อ่านด้วยน่ะครับ"

    "เอ๋? พี่ชายน่ะเหรออืมๆ ผมจะแกะอ่านเดี๋ยวนี้แหละ เชิญไปทำธุระของท่านต่อเถอะครับ" เลซาท รับคำพร้อมหยิบจดหมายฉบับนั้นขึ้นมาอ่าน เมื่อเห็นเช่นนั้นนายทหารคนนั้นจึงหันหลังเดินกลับไป หลังจากอ่านข้อความในจดหมายฉบับนั้น แล้วเขาก็วางมันลงพร้อมกับถอนหายใจ แล้วหยิบนาฬิกาพกสีเงินขึ้นมาดูเวลา "บ่ายโมงแล้วรึนี่ เอาว่าเก็บหนังสือก่อนดีกว่า" แล้วจอมเวทย์ผู้หมกตัวอยู่ในห้องสมุดมาเป็นเวลานาน ก็ค่อยๆ หยิบหนังสือที่กองอยู่บนโต๊ะของเขา ไปเก็บยังชั้นอย่างชำนาญ


    ผ่านไปเกือบ 4 ชั่วโมงโต๊ะที่เต็มไปด้วยหนังสือบัดนี้เหลือแต่เพียงโต๊ะเปล่าๆ จอมเวทย์หนุ่มก้มหัวเหมือนจะทำความเคารพหนังสือเหล่านั้น "ขอบคุณนะครับที่ให้ความรู้กับผมมากมาย ถ้ามีโอกาสผมคงต้องมารบกวนพวกคุณอีก" เมื่อหยิบนาฬิกาขึ้นมาดูก็พบว่าอีก20 นาทีก็จะ5โมงเย็นแล้ว เลซาท วาเลท จึงเดินออกจากห้องสมุดแห่งนั้น ที่เขาอยู่กับมันตั้งแต่เขาเริ่มอ่านหนังสือออก

    วังของท่านเจ้าเมืองที่ตั้งอยู่ทางเหนือสุด ฝังตัวเข้าไปในหุบเขาเลด้าอันยิ่งใหญ่ บันนี้ภายในห้องทำงานของท่านเจ้าเมือง ก็มี ชาย 3คนที่ต่างวัยกัน นั่งอยู่ในห้องนั้น นอกจากบนโชฟารับแขกที่มีร่างขององค์ชายเซเน็ตกำลังอ่านหนังสือฆ่าเวลาอยู่ ที่โต๊ะทำงานก็มี ชายวัยกลางคน กับ ชายสูงวัย กำลังสนทนากันอยู่ ชายวัยกลางคนมีผมสีน้ำตาลอ่อนแต่บัดนี้ก็เริ่มมีสีขาวขึ้นแซมบ้างประปราย แต่ไม่ทำให้บุคลิกอันน่าเคารพเชื่อถือ ของเขาลดลงไปเลย

    ส่วนชายสูงวัยนั้นอยู่ในชุดผ้าคลุมสีน้ำเงินเข้ม ผมบัดนี้กลายเป็นสีดอกเลาไปหมดแล้ว แต่มันก็ทำให้เขาดูทรงภูมิเต็มไปด้วยความรู้ ถึงคนที่เคยพบกันเพียงครั้งแรก ก็คงบอกได้ทันทีว่าเขาคนนั้นต้องเป็นนักปราชญ์ หรือไม่ก็จอมเวทย์แน่ๆ

    และในทันทีนาฬิกาเรือนใหญ่ภายในห้อง ส่งเสียงดัง5ครั้งอันหมายถึงเป็นเวลา5โมงเย็นแล้ว ประตูไม้บานใหญ่ของห้องนั้นก็ถูกเปิดออก พร้อมๆกับจอมเวทย์ ในชุดคลุมสีฟ้าอ่อนเดินเข้ามาในห้อง

    "มาแล้วหรือพ่อน้องชาย มาตรงเวลาเหลือเกินนะ ถ้าไม่ให้คนไปตามคงจะไปกินอยู่ที่ห้องสมุดเลยรึเปล่าน่ะ หืม?" เซเน็ตปิดหนังสือ แล้ว เอ่ยทักทายทันที

    "สวัสดียามเย็นครับ ท่านพ่อ ท่านอาจารย์อัลฟรีด และก็ ท่านพี่เซเน็ต" เลซาทเอ่ยทักทายพร้อมทำความเคารพ พ่อ อาจารย์ และ พี่ชาย ของเขา

    "ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกพี่ชาย วันนี้ผมอ่านหนังสือที่มีอยู่ภายในนั้นจนครบทุกเล่มแล้วล่ะครับ" เลซาทเอ่ยพลางเดินไปนั่งลงข้างๆพี่ชายของเขา

    "ไม่ทราบว่าให้คนไปตามผมมีธุระอะไรหรือเปล่าครับ?"

    "เดี๋ยวก่อนนะ นายว่าอะไรนะเลซาท อ่านหนังสือหมดห้องสมุดแล้วงั้นรึ จริงหรือน่ะ?" เจ้าชายผมน้ำตาลอ่อนหันไปจ้องหน้าน้องชายของตน ที่มีสีผมเหมือนแม่ไม่มีผิด

    "ครับ" เลซาทพยักหน้ารับคำสั้นๆ

    "โอยกลัวใจเลยจริงๆ เจ้าหมอนี่" เซเน็ตส่ายหน้าช้าๆ

    "เอาล่ะๆ 2พี่น้องนี่หยุดก่อนละกัน เลซาทลูกรู้ข่าวของงานประลองที่จะจัดที่เมืองของเราหรือเปล่า?" ท่านเจ้าเมืองที่นั่งอยู่บนโต๊ะทำงานเอ่ยถาม

    "ทราบครับ แล้วเห็นว่า ตัวแทนของเราที่ไม่ต้องแข่งรอบคัดเลือก จับฉลากได้ ต่อสู้กับตัวแทนจากรีเวเรียที่ผ่านรอบคัดเลือกโดยไม่ต้องแข่งมาด้วยเช่นกัน ในรอบแรกเลยไม่ใช่หรือครับ" เลซาทตอบตามที่เขารู้

    แล้วอุปราช อัลฟรีด เรนเกล บิดาของ เฟท ผู้เป็นอาจารย์สอนเวทย์มนต์แก่องค์ชายทั้ง2 ก็เอ่ยเสริมขึ้นมา "ตัวแทนของ ริเวเรีย คราวนี้นั้น คือ `โรวีเนีย แอสเทรล แรนดอร์ฟ` องค์หญิงแห่งรีเวเรีย ผู้ซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็น `ซัมมอนเนอร์มาสเตอร์` ที่เก่งกาจที่สุดในเวลานี้ และยังไม่เคยแพ้ใครเลย"

    ทันทีที่ได้รับฟังเช่นนี้ ตัวเลซาทรู้ดีว่าตัวเขาถูกเรียกมาด้วยเรื่องอะไร แววยุ่งยากมันฉายเด่นมาแต่ไกลเลยทีเดียว "นี่หมายความว่า จะให้ผมเป็นตัวแทนของ `ริมุเน่` ลงไปแข่งขันสินะครับ?"

    "ซึ่งผมเองก็พอจะรู้ว่าทำไม"

    "ไหนลองบอกสิ่งที่นายรู้ให้ฟังหน่อยสิ เลซาท" เซเน็ตเอ่ยถาม

    " 1. การที่ตัวแทนคราวนี้ไม่ใช่พี่เซเน็ตเพราะว่า การต่อสู้กับเด็กผู้หญิง ถึงจะเป็นการแข่งขันมันก็ไม่สมควรที่รัชทายาทของเมืองนี้ จะกระทำ เพราะภาพลักษณ์ในสายตาประชาชนจะดูแย่ลงทันที"

    " 2. การที่พี่เซเน็ต ไม่ลงแข่งนั้น เพราะมันเป็นการแข่งขันที่ลำบากใจมากๆ ไม่ใช่เพราะคู่ต่อสู้เก่งกาจ แต่เพราะเป็นเด็กผู้หญิงต่างหาก ถ้าชนะ ก็อาจจะถูกประนามว่ารังแกผู้หญิง แต่ถ้า เสมอ หรือ แพ้ ก็จะถูกหยามเหยียดว่า ไม่สามารถเอาชนะเด็กผู้หญิงได้ "

    " 3. เธอเป็นเจ้าหญิงแห่งรีเวเรีย ซึ่งเจ้าเมืองแห่งรีเวเรียก็มาดูการแข่งครั้งนี้ด้วย ถ้าทำอะไรผิดพลาดไปอาจจะกลายเป็นความบาดหมางระหว่าง ริมุเน่ และ รีเวเรียได้"

    " และเหตุผลข้อสุดท้ายก็คือ ท่านพ่อ ท่านอาจารย์ และ ท่านพี่ อยากจะรู้ว่าฝีมือการใช้ เวทย์มนต์ของผมอยู่ในระดับไหน และ จะหาทางออกจากการแข่งขันที่แสนจะลำบากใจครั้งนี้ยังไง ที่ผมพูดนี่มีอะไรผิดใหมครับ " เลซาทวิเคราะห์สถานการณ์แล้วแจกแจงออกมา ให้ทุกคนฟัง

    เซเน็ต เอามือตบหลังน้องชายเขา "นี่แล้วก็ดี คราวนี้พี่ฝากด้วยละกัน มีน้องชายฉลาดๆก็ดีอย่างนี้แหละไม่ต้องอธิบายมาก"

    "ยังไงผมก็ไม่มีทางเลือกอยู่แล้วนี่ครับ แต่ผมมีข้อแม้เล็กน้อยกับทุกคนน่ะครับ " เลซาท วาเลท เอ่ยขึ้นแล้วสบตากับทุกคนในห้อง

    "ไม่ว่าการแข่งครั้งนี้จะจบลงยังไง ผมอยากจะขออนุญาติ ออกเดินทาง ถึงใครๆจะว่าที่ห้องสมุดของเมืองเราจะรวบรวมหนังสือจากทั่วแผ่นดินไว้ แต่ผมก็ยังเชื่อว่า ภายนอกจะต้องมีหนังสือที่ผมยังไม่เคยอ่านอยู่น่ะครับ "

    ทุกคนภายในห้องต่างหันไปมองหน้าจอมเวทย์หนุ่มผมสีฟ้าอ่อน ภายในห้องเงียบกริบ เหลือแต่เพียงเสียงนาฬิกาเรือนใหญ่ภายในห้องที่ยังคงทำงานและส่งเสียงดังสม่ำเสมอ ในที่สุดท่านเจ้าเมืองก็เอ่ยออกมา

    "ในที่สุดก็ถึงเวลาแล้วสินะ พ่อไม่คัดค้านหรอกนะเลซาท แต่เจ้าต้องแสดงให้พ่อเห็นว่า เจ้าสามารถเอาตัวรอดจากอันตรายต่างๆได้ ซึ่งการแข่งครั้งนี้จะเป็นเครื่องพิสูจน์ ที่สำคัญเรื่องนี้เจ้าต้องไปบอกแม่ของเจ้าด้วยตัวเอง"

    "ขอบคุณครับเสด็จพ่อ" เจ้าชายคนรองเอ่ยพลางก้มหัวเคารพ

    "เอ้า! พี่ให้นาย จริงๆแล้วพี่ใช้มันได้ไม่ค่อยดีนักหรอก" เซเน็ตหยิบกล่องไม้สีขาวใบหนึ่งยื่นให้น้องชายเขา ซึ่งเลซาทก็รับมางงๆ แล้วเปิดดูก็พบว่าภายใน เป็นแหวนสีขาวสะอาดตา 2 วง ตัวแหวนถูกลงอักขระโบราณไว้โดยรอบ

    "พี่เซเน็ต นี่มัน แหวนคู่ `เอลล์เทอเฟีย` ล้ำค่าของเมืองที่จะมอบให้ รัชทายาทคนต่อไปพร้อมๆไม้เท้าปีกแห่งแสง ผมคงรับไว้ไม่ได้หรอกครับ" เลซาทปิดกล่องแล้วยื่นกลับคืนทันที

    พี่ชายของเขาดันกล่องกลับ "พี่ปรึษากับ ท่านอาจารย์อัลฟรีด และ ท่านพ่อแล้ว แหวน2วง นี่เหมาะสมกับนายมากที่สุด เพราะถ้าเป็นนายของใช้ความสามารถของมันได้เต็มที่ สำหรับตัวพี่ แค่ไม้เท้าปีกแห่งแสงอันเดียว ก็ใช้พลังเวทย์ทั้งหมดแล้ว ขืนใส่แหวนนี่ไปด้วยมีหวังพลังเวทย์หมดตัว"

    เลซาท วาเลท หันไปมอง พ่อ และ อาจารย์ ของเขาซึ่งท่านทั้ง 2 ก็พยักหน้าแทนคำตอบ

    "เลซาท ท่านแม่ตอนนี้คงกำลังง่วนอยู่ในครัว ยุ่งกับการเตรียมอาหารมื้อค่ำ ที่จะเลี้ยงท่านเจ้าเมือง รีเวเลีย เรื่องที่นายจะออกเดินทางเอาไว้หลังอาหารค่ำ ค่อยไปบอกท่านแล้วกันนะ แล้ววันนี้นายต้องเข้าร่วมด้วยนะห้ามเบี้ยวล่ะ" เซเน็ตเอ่ยกำชับ แล้ว ทั้ง2พี่น้องก็ ขอตัวเดินออกไปจากห้อง ปล่อยให้ท่านเจ้าเมือง และ อุปราช อัลฟรีด ปรึกษาเรื่องการเตรียมงานกันต่อ




    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~​
  12. joi100

    joi100 นักเดินทางแห่งมิดการ์ด

    EXP:
    478
    ถูกใจที่ได้รับ:
    23
    คะแนน Trophy:
    38
    Re: [ฟิครับสมัคร] Tale Of Light and Shadow

    เรื่องเล่าจากแสงและเงา เรื่องที่2 อัจฉริยะในห้องสมุด (2)







    ณ ห้องนั่งเล่นภายในวังเจ้าเมืองริมุเน่ บนโชฟาตัวใหญ่สีน้ำตาล ที่เพียงดูด้วยตาก็รู้แล้วว่ามันนุ่มมาก มีร่างของเด็กสาว ผมยาวถึงกลางหลังสีขาวราวไข่มุกหยักศก ดวงตากลมโตฉายแววขี้เล่นสีแดงสดราวกับไฟ ใบหน้ารูปไข่ ผีวสีแทนเข้ม กำลังนั่งอยู่พลางครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

    แต่แล้วเธอคนนั้นก็ถูกปลุกขึ้นจากห้วงแห่งความคิดของเธอ ด้วยเสียงประตูบานใหญ่ของห้องนี้ที่ถูกเปิดออกอย่างช้าๆ พร้อมๆกับเสียงทักทายของ หญิงสาวที่อยู่กับเธอมาตั้งแต่เด็ก "องค์หญิง โรวีเนีย อยู่ที่นี่เองหรือเพคะ เดี๋ยวก็ได้เวลาอาหารค่ำแล้วยังไม่ไปเตรียมตัวอีกหรือเพคะ?"

    องค์หญิงแห่ง รีเวเรีย หันไปมองร่างของนางกำนัลประจำตัว แต่ไม่เคยเลยซักครั้งที่เธอคิดว่าสาวจอมเวทย์ขาวคนนี้ เป็นนางกำนัลของเธอ อเมทิส เป็นเหมือนทั้งเพื่อน และ คนดูแล ซะมากกว่า "ชั้นเตรียมตัวพร้อมตั้งนานแล้วล่ะ นี่แค่มานั่งรอเวลาเฉยๆน่ะ"

    "นี่อเมทิส เธอนึกคำตอบของคำถามที่คนเชิดหุ่นถามเมื่อตอนบ่าย ออกแล้วหรือยังน่ะ?"

    จอมเวทย์ขาวส่ายหน้า "ถ้าถามดิฉันเกี่ยวกับเรื่องรักษาคนเจ็บยังพอจะตอบได้บ้าง แต่คำถามกึ่งๆปรัชญาแบบนี้ไม่ไหวหรอกเพคะองค์หญิง"

    แล้วบทสนทนาของทั้ง2 สาวก็ถูกขัดด้วยมหาดเล็กคนหนึ่งที่มาเชิญทั้ง2ไปร่วมรับประทานอาคารค่ำ เมื่อทั้ง2สาวเดินมาถึงก็พบ บิดาของตน ท่านเจ้าเมืองริมุเน่ พร้อมกับ ภรรยา และ เจ้าชายเซเน็ต ทุกคนพร้อมหน้าอยู่ที่โต๊ะอาหารแล้ว

    "ต้องขออภัยด้วยนะคะทุกท่าน ที่ทำให้ทุกท่านต้องรอ นี่หนูคงมาช้าที่สุดเลย" โรวีเนียเอ่ยขอโทษทุกคนทันทีเมื่อเข้ามาในห้องอาหารที่ถูกจัดไว้อย่างสวยงาม

    "ไม่เป็นไรหรอกเจ้าหญิงน้อย พวกเราทุกคนก็เพิ่งมาถึงแล้วนี่ก็ไม่ใช่งานเลี้ยงอย่างเป็นทางการด้วย ไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรมากนักหรอก" เจ้าเมืองริมุเน่เอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

    "แล้วที่สำคัญเธอไม่ใช่คนสุดท้ายที่มาถึงที่นี่หรอกนะยังมีอีกคนที่ยังไม่มา" เซเน็ตเอ่ยพลางยิ้มอย่างเป็นกันเอง

    เจ้าหญิงแห่งแห่งรีเวเรียถามกลับมาทันทีอย่างสงสัย"เอ๋? ยังมีใครที่ยังไม่มาอีกเหรอคะพี่เซเน็ต เท่าที่หนูดูก็น่าจะครบแล้วนี่คะ"

    "หนูโรวีเนียลืมลูกชายคนเล็กของป้าไปแล้วหรือจ๊ะ?" แม่ของเซเน็ตเอ่ยขึ้น

    "อ๋อ ใช่แล้วพี่เซเน็ตยังมีน้องชายอยู่อีกคนนี่นา แต่หนูยังไม่พบเลยซักครั้งเลยนะคะ" โรวีเนียเอ่ยขึ้นหลังจากนึกอยู่พักใหญ่

    แล้วบิดาของโรวีเนีย ที่นั่งฟังอยู่นานก็เอ่ยขึ้น "หลังจากได้เจอกันตอน10ขวบ แล้วก็ไม่ได้พบ เลซาทอีกเลย ไม่รู้ว่าโตขึ้นแค่ไหนแล้วนะ หลานชายของฉันคนนี้"

    "ตอนนี้ก็โตเป็นหนุ่มแล้วล่ะค่ะ วันๆเห็นขลุกอยู่แต่ในห้องสมุดไม่ ก็ ลานฝึกซ้อมเวทย์มนต์ ไม่ค่อยได้ออกงานสังคมซักเท่าไรหรอกค่ะพ่อลูกชายคนนี้ ส่วนมากจะโยนให้พี่ชายเค้าทำตลอด" ภรรยาท่านเจ้าเมืองริมุเน่ผู้มีผมสีฟ้าอ่อน ยาวสลวยถึงกลางหลัง รับกับใบหน้าอันแสนงดงาม แลดูอ่อนเยาว์ จนแทบไม่น่าเชื่อว่า มีบุตรชายที่โตเป็นหนุ่มแล้วถึง2คน เอ่ยถึงลูกชายคนเล็กของตน

    แล้วเซเน็ตเอ่ยขึ้นมาบ้าง "ท่านแม่เชื่อหรือเปล่าวันนี้เจ้าหมอนั่นบอกว่าอ่านหนังสือในห้องสมุดครบทุกเล่มแล้ว ถ้าคนอื่นพูดหม่อมชั้นไม่มีทางเชื่อเป็นอันขาด แต่พอเป็นเจ้าหมอนี่พูดผมกลับเชื่อโดยไม่สงสัยเลยซักนิด"

    เจ้าหญิงแห่งรีเวียเรียอุทานออกมา "หา!! อ่านหนังสือในห้องสมุดของริมุเน่ที่ว่าใหญ่ที่สุดในเอลล์เทอเฟีย มีหนังสือหลายหมื่นเล่ม จนครบทุกเล่ม ไม่น่าเชื่อนะคะนี่"

    "ถ้าเห็นกิจวัตรประจำวันของเจ้าหมอนี่ก็จะไม่แปลกใจหรอก ตื่นเช้ามากินข้าว แล้วก็ไปห้องสมุด แล้วก็อยู่นั้นจนเย็นดีไม่ดี นอนอยู่ที่นั่นเป็นเดือน ถ้าท่านแม่ไม่ให้คนส่งข้าวส่งน้ำไปให้กิน มีหวังอดตายคาห้องสมุด" เซเน็ตเล่าพลางหัวเราะเบาๆ

    "อย่างนั้นเขาคงจะมีความรู้มากเลยน่ะสิคะ พอดีหนูถูกถามคำถามมาเมื่อบ่ายแต่ยังหาคำตอบไม่ได้เลย"โรวีเนียจึงเล่าเหตุการร์เมื่อบ่ายที่ไปดูหุ่นเชิดให้ทุกคนฟัง

    "แล้วคนเชิดหุ่นก็ถามว่า สิ่งที่ตรงข้ามกับพัฒนา นั้นคืออะไร"

    "แล้วโรจังตอบไปว่าอะไรล่ะ" เซเน็ตถามต่อ

    "หนูตอบไปว่า การถดถอย แต่คนเชิดหุ่นเขาบอกว่านั่นยังไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้อง นี่หนูนั่งคิดตั้งนานยังไม่ได้คำตอบเลย"

    "เป็นคำถามที่น่าสนใจมากๆเลยนะ โรวีเนีย แม้ตัวคำถามจะดูเรียบง่ายแต่ก็แฝงความนัยไว้ พ่อว่าคำถามนี้มันขึ้นอยู่กับมุมมองของผู้ตอบมากกว่า หรือคิดว่าไงทุกท่าน" เจ้าเมืองรีเวเรียเอ่ยหลังจากฟังเรื่องจบ ซึ่งทุกคนก็เห็นด้วย

    แล้วแขกคนสุดท้ายก็มาถึงห้องอาหารพร้อมกับเอ่ยคำขอโทษทุกๆคนที่ทำให้ต้องคอย แต่ทุกคนต่างสังเกตได้ว่าที่แขนซ้ายของเขามีผ้าพันแผลพันตั้งแต่ปลายนิ้วไล่จนหายเข้าไปในแขนเสื้อที่อยู่ใต้ผ้าคลุมเลยทีเดียว ซึ่งทุกคนเดาสาเหตุที่จอมเวทย์หนุ่มผมฟ้าอ่อนนี่มาช้าได้ทันที

    "เลซาทแขนซ้ายลูกไปโดนอะไรมา!" แม่ของเขาเอ่ยถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง

    เลซาทชูมือซ้ายของเขาขึ้นพลางหัวเราะหน้าเจื่อนๆ "เอ่อ... ผมทดสอบอะไรนิดหน่อยแล้วมันผิดพลาดไปเล็กน้อยน่ะครับ ทุกคนไม่ต้องเป็นห่วงไม่เป็นอะไรมากหรอกครับ"

    "เจ้านี่จริงๆเลยนะ ชอบทำให้แม่เจ้าใจคอไม่ดีอยู่เรื่อย ทุกท่านนี่ลูกชายคนรองของผม เลซาท แล้วนี่ท่านเจ้าเมืองรีเวเรีย กับลูกสาวของท่าน โรวีเนีย และคนติดตาม อเมทิส" เจ้าเมืองริมุเน่เริ่มแนะนำให้ทุกๆ รู้จักเลซาท

    "ยินดีที่ได้รู้จักทุกท่านครับ ต้องขออภัยอีกครั้งที่ทำให้ทุกท่านต้องรอ" จอมเวทย์หนุ่มผมฟ้าเอ่ยขึ้นพร้อมๆกับก้มหัวให้เล็กน้อยแล้วจึงไปนั่งเก้าอี้ข้างๆเซเน็ตที่ยังว่างอยู่

    เมื่อทุกคนมาพร้อมหน้าอาหารก็เริ่มถูกจัดมาเสริฟ ทุกคนรับประทานพลางคุยกันเบาๆ จนมาถึงของหวานซึ่งเป็นอาหารอย่างสุดท้าย ขณะที่ทุกคนต่างคุยกันอยู่นั่นเอง เซเน็ตก็เล่าเรื่องคำถามที่ โรวิเนีย ยังหาคำตอบไม่ได้ "ว่าไง เลซาท นายพอจะรู้คำตอบรึเปล่า?"

    "อืม... ผมเองก็ไม่แน่ใจนะครับว่าจะเป็นคำตอบที่ถูกหรือเปล่า แต่ก็อย่างที่คนเชิดหุ่นคนนั้นบอกก็ถูกแล้ว สำหรับผมสิ่งที่ตรงข้ามกับ`พัฒนา` นั่งไม่ใช่ การ `ถอดถอย` หรอกนะครับ แต่เป็นการ `หยุดนิ่ง` หรือ `ไม่เปลี่ยนแปลงต่างหาก` "

    "อืม คำตอบน่าสนใจมากองค์ชายเลซาท ลองอธิบายความคิดเห็นให้ฟังหน่อยได้หรือไม่?" เจ้าเมืองรีเวียเรียเอ่ยถามมาอย่างสนใจ

    เลซาท วาเลท จึงบอกตามเห็นของเขา "สำหรับคนอื่นผมไม่ทราบ แต่สำหรับผมการถดถอยก็เป็นรูปแบบหนึ่งของการพัฒนา เช่น การที่หางของลูกอ๊อดหดสั้นลง แล้วขึ้นจากน้ำมาอยู่บนบก แต่ละชีวิตนั้นต่างมีรูปแบบในการใช้ชีวิตต่างกัน การปรับตัวให้เข้ากับวิถีของชีวิตที่เป็นอยู่ หาได้มีเพียงการงอกเงย หรือเติบโตเท่านั้น แต่ยังมาการ หดสั้น หรือ ถดถอยรวมอยู่ในนั้นด้วย "

    "การเปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะอย่างใด ก็ถือเป็นการพัฒนาด้วยเช่นกัน ฉะนั้นสิ่งที่ตรงข้าม ผมว่ามันคือการหยุดนิ่งไม่ยอมเปลี่ยนแปลงสิ่งใดเลยต่างหาก และสำหรับผม คำตอบของคำถามนี้คือการ `หยุดนิ่ง` เป็นไงบ้างครับสำหรับของคำตอบของผม" เลซาทเอ่ยถามทุกคน

    ถึงว่าจะดูเหมือนการถามตอบธรรมดา แต่ทุกคนที่อยู่ภายในห้องนั้นต่างเป็นบุคคลชั้นมันสมองทั้งนั้น จึงตีค่าของจอมเวทย์หนุ่มผมฟ้าอ่อนผู้ตอบคำถามนี้ได้ทันที หรือแม้กระทั่ง เซเน็ต เองที่เขาคิดว่าตัวเองรู้จักน้องชายของเขาดีพอสมควรแล้ว ยังรู้สึกเลยว่าเขาต้องมองน้องชายผู้ที่ขลุกอยู่ในห้องสมุดมานานนับปีนี่ใหม่ซะแล้ว ความคิดมุมมองของเจ้าหมอนี่ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว แล้วเซเน็ตแอบยิ้มพลางคิดในใจ "งานนี่สนุกแน่ `ซัมมอนเนอร์มาสเตอร์` สาวผู้ไร้พ่าย กับ อัจฉริยะในห้องสมุด"

    นอกจากเซเน็ตที่แอบยิ้มอยู่ภายในใจ ยังมีสาวน้อยอีกคนหนึ่งที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับ จอมเวทย์หนุ่มผู้ตอบคำถามนี้ ที่คิดอะไรบางอย่างอยู่ในใจ

    โรวีเนีย แอสเทรล แรนดอร์ฟ เธอเองก็ตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมเธอถึงรู้สึกไม่ถูกชะตา กับ เลซาท วาเลท คนนี้เอาซะเลย ทั้งที่เจอกันเป็นครั้งแรกแท้ๆ ความรู้สึกนี้ไม่เคยมีกับ เซเน็ต วาเลท พี่ชายของเขาแม้แต่น้อย อาจเป็นเพราะสายตาสีฟ้าอ่อนคู่นั้นก็ได้มั๊ง มันเป็นสายตาที่ราวกับมองทะลุเข้าไปภายในจิตใจของเธอ ซึ่งโรวีเนีย ไม่ชอบสายตาเช่นนี้เลยจริงๆ

    "คนบ้าจ้องอยู่ได้ไม่มีมารยาท" สาวน้อยผมสีใข่มุขต่อว่าอยู่ภายในใจ

    แล้วอาหารค่ำมื้อนั้นก็ผ่านไปด้วยดี ทุกคนต่างแยกย้ายกันไปพักผ่อน ไม่มีอะไรเกิดขึ้นมากมายนอกจากความคิดของแต่ละคนในแต่ละมุมมอง กับ เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นบนโต๊ะอาหารมื้อนี้

    ณ ที่ห้องนอนของเจ้าเมืองแห่งริมุเน่ เลซาท วาเลท เดินมาหยุดอยู่หน้าห้อง ซึ่งทหารรักษาการทั้ง2คนเห็น ก็ทำความเคารพ แล้วเลซาทก็ เคาะประตู

    "เลซาทเหรอจ๊ะ เข้ามาสิ" เสียงที่เขาแสนจะคุ้นเคยดังมาจากในห้อง แล้วจอมเวทย์หนุ่มก็เปิดประตูแล้วเดินเข้าไป ก็พบมารดาของตนกำลังหวีผมสีเดียวกับเขาอยู่หน้ากระจกที่โต๊ะเครื่องแป้ง ส่วนบิดาของเขากำลังเขียนอะไรบางอย่างอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสืออีกมุมของห้อง "มีธุระอะไรหรือจ๊ะ ลูกแม่มาหาซะดึกดื่นเชียว"

    "ขอโทษที่มารบกวนเวลาพักผ่อน นะครับท่านพ่อท่านแม่" เลซาทเอ่ยขึ้นประโยคแรกหลังจากเข้ามาในห้อง แล้วเขาก็ถูกมารดากวักมือเรียกให้ไปหา

    "มีอะไรจะมาสารภาพผิดจ๊ะ พ่อหนุ่มน้อยของแม่" แม่ของเขาถามพลางยิ้มให้อย่างอ่อนโยน

    เลซาท หลังจากคิดทบทวนในสิ่งที่ตัวเองจะพูดกับมารดาของเขามาหลายรอบ จึงเอ่ยขึ้น "แม่ครับ แม่รู้แล้วหรือยังว่างานประลองคราวนี้ ตัวแทนของริมุเน่ เป็นผมเอง ไม่ใช่พี่เซเน็ต"

    "เรื่องนี่พ่อบอกกับแม่แล้วล่ะ ทำไมอยู่ๆลูกถึงยอมลงแข่งล่ะจ๊ะ เห็นปกติมีงานที่มีคนเยอะๆที่ไร ลูกชายของแม่หลบเลี่ยงทุกทีเลยนี่นา มีข้อแม้อะไรกับพ่อเขาไว้หรือ แม่ถามเท่าไรพ่อเขาก็ไม่ยอมบอก พูดแต่ว่าเดี๋ยวลูกจะมาเป็นคนบอกด้วยตัวเอง"

    จอมเวทย์หนุ่มหลบสายตามารดาของเขา เขารู้ดีว่าแม่ของเขารักและเป็นห่วงเขามากแค่ไหน ด้วยนิสัยที่ออกจะผิดแปลกจากคนอื่นพอสมควร ไม่สิต่างมากเลยต่างหาก ทำให้แม่เขากังวลเกี่ยวกับตัวเขาเสมอๆ

    หลังจากอึกอักพูดไม่ออกอยู่พักใหญ่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงของบิดา "เลซาทลูกผู้ชายตัดสินใจอะไรแล้วต้องกล้าที่จะทำด้วย อย่ามัวมาแต่อึกอักพูดไม่ออกอยู่เลย"

    แม่ของเขาได้ยินเช่นนั้นจึงมองทั้ง2พ่อลูกด้วยสายตาสงสัย "นี่พ่อลูก2คนนี้มีอะไรปิดบังกันหรือเปล่า?"

    เลซาท วาเลทจึงตัดสินใจที่จะพูด "แม่ครั้งหลังจากจบงานแข่งครั้งนี้ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไรไม่ว่า แพ้ หรือ ชนะ ผมจะออกเดินทางไปจากเมืองนี้ครับ "

    มารดาของ2พี่น้องวาเลทจ้องมองบุตรชายผมสีฟ้าอ่อนของตนด้วยสายตาจริงจัง "ทำไมล่ะเลซาทอยู่ที่นี่ลูกลำบากใจเหรอ?"

    "ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับท่านแม่คือผม อยากจะออกไปดูโลกกว้างไปค้นหาหนังสือที่ผมยังไม่เคยอ่าน ผมเองรู้ตัวดี ว่าไม่ใช่ผู้นำที่ดีได้อย่างพี่เซเน็ต และ ไม่เคยหวังที่จะเป็นผู้ปกครองเมืองนี้อย่างท่านพ่อเลยซักครั้ง ผมอาจจะมีความรู้มากกว่าคนอื่นอยู่บ้าง ก็เพียงแค่เพราะอ่านหนังสือมากเท่านั้นเอง ผมอยากจะออกไปดูโลกกว้างของจริงไม่ใช่แค่รู้จากในหนังสือเท่านั้นน่ะครับ ผมเชื่อว่ายังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่ผมยังไม่รู้ และมีหนังสืออีกหลายเล่มนี่ผมยังไม่ได้อ่าน"

    มารดาของเขานิ่งไปซักพักแล้วเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน "ในที่สุดวันนี้ก็มาถึงสินะวันที่ลูกจะออกจากอ้อมอกของแม่ไปยังโลกกว้าง แม่คงห้ามอะไรลุกไม่ได้หรอก เพราะแม่รู้ดีว่าก่อนที่ลูกจะพูด หรือ ทำอะไรลงไป ลูกคิดแล้วคิดอีก พ่อของลูกก็ยังไม่คัดค้านอะไรด้วยแม่ยิ่งห้ามลูกไม่ได้เลย แต่ขอให้ลูกรู้ไว้ว่าแม้จะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม แม่ก็ยังคอยลูกกลับมาอยู่เสมอ เมื่อใดก็ตามที่ลูกเหนื่อยก็ขอให้กลับมามาแม่นะจ๊ะ"

    เลซาทเอนตัวลงซบตักของแม่เขาที่นั่งอยู่ "ครับแม่ถ้าผมเหนื่อยเมื่อไรผมจะกลับมาครับ"

    นอกจากทั้ง3คนในห้องแล้วยังมีอีกคนที่รู้เห็นเหตุการณ์นี้ด้วยอีก1คน ก็คือ องค์ชายเซเน็ต วาเลท ที่บัดนี้เป็นเป็นคนยืนเฝ้าประตูแทนทหารทั้ง2คนไปซะแล้ว "ขอให้สนุกกับการเดินทางนะเลซาท" เซเน็ตพึมพัมเบาๆแล้วก็เดินกลับไปยังห้องพักของตน




    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~​





    ยามเช้า ที่ริมุเน่วันนี้ต่างมีผู้คนมากมายมารวมตัวกันที่นี่ ทั้งๆที่ไม่ใด้ฤดูกาลเปิดรับสมัครนักเรียนโรงเรียนจอมเวทย์ซึ่งก็คือฤดูใบไม้ผลิของทุกๆปี เพราะว่าพรุ่งนี้จะมีงานประลองครั้งใหญ่ของเหล่าจอมเวทย์ที่ถูกจัดขึ้นทุกๆ 5 ปี ถ้าพลาดโอกาศก็ต้องรอไปอีกนานทีเดียว จึงไม่น่าแปลกใจนักที่จะเห็นผู้คนที่สนใจในเวทย์มนต์มากมายจากทั่วทุกสารทิศมารวมตัวกันที่นี่

    และที่ใดที่มีผู้คนรวมตัวมากมายย่อมเป็นโอกาศดีทั้งหลายของเหล่าบรรดาพ่อค้าเร่ที่จะมาจับจองพื้นที่ตั้งแผงขายสินค้า จึงทำให้วันนี้ ริมุเน่ คึกคักเป็นพิเศษ ณ มุมหนึ่งของเมือง มีหญิงสาวคู่หนึ่งกำลังเดินดูสินค้าต่างๆตามแผงลอยของพ่อค้าเร่ทั้งหลาย

    แล้วทั้งคู่ก็เหลือบไปเห็นโต๊ะของหมอดูคนหนึ่งอยู่ในชุดสีดำคาดขอบด้วยสีแดง สวมแว่นหนาเตอะ กำลังนั่งดูดวงชะตาให้ลูกค้าอยู่

    "อเมทิสๆ พวกเราไปดูดวงกันเถอะจะได้ถามถึงการแข่งพรุ่งนี้ด้วยไง" สาวน้อยผิวสีแทนผมสีใข่มุขดึงแขนจอมเวทย์ขาวที่กำลังจะเดินไปอีกทาง

    จอมเวทย์เวทย์ขาวถอนหายใจเล็กน้อย "เอาอีกแล้วนะคะ องค์หญิงโรวีเนีย คราวที่แล้วพวกเราก็ไปดูหมอกันอย่างนี้ไม่เห็นว่าจะแม่นเลยซักนิด ดิฉันว่าไปดูอย่างอื่นกันดีกว่านะเพคะ"

    "น่านะ อเมทิส คราวนี้อาจจะแม่นก็ได้นะ แล้ว อีกอย่างจะได้ให้ขอดูเรื่องเนื้อคู่ด้วยไง อเมทิสก็ยังไม่มีแฟนไม่ใช่เหรออาจจะได้เจอเนื้อคู่จากการทำนายนี่ก็ได้นะ" สาวน้อยผมสีใข่มุขพูดจาหว่าล้อม

    "ไม่ต้องเอาดิฉันมาอ้างเลยนะคะองค์หญิงจริงๆแล้วองค์หญิงอยากจะทราบเกี่ยวกับเนื้อคู่เองซะมากกว่าใช่ใหมเพคะ อย่างองค์ชายคนรองของเมืองนี้ ไม่สนใจหรือเพคะองค์หญิง"

    โรวีเนียส่ายหน้าทันควัน "ยกเว้นนายนั้นไว้คนเถอะ รู้สึกไม่ถูกชะตายังไงก็ไม่รู้ ดูอย่างเมื่อคืนสิจ้องฉันอยู่ได้"

    "คนสวยอย่างองค์หญิงหนุ่มๆก็ต้องมองเป็นธรรมดาน่ะสิเพคะ" อเมทิสแย้งกลับมา

    เจ้าหญิงแห่งรีเวเรียระบายความอึดอัดใจให้คนสนิทฟัง "ไม่จริงเลย สายตานั่นไม่ใช่สายตาที่ชื่นชมในความงามแน่นอนมันเป็นสายตาที่ราวกับพยายามอ่านทะลุเข้าไปจิตใจอย่างงั้นแหละ"

    "องค์หญิงคิดมาไปเองรึเปล่าเพคะ"

    "ไม่รู้ล่ะ โน่นร้านว่างแล้วเราไปดูดวงกันเถอะ" โรวีเนียตัดบทพลางจูงมืออเมทิสตรงไปยังโต๊ะดูหมอที่ว่างลงทันที เมื่อทั้ง2นั่งลงตรงหน้าหมอดูคนนั้น พอได้เห็นหน้าชัดก็พบว่าเป็นหมอดูหญิงผมสีดำแต่ตรงปลายกลับเป็นสีขาวดวงตากลมโตที่อยู่ภายใต้แว่นหนาเตอะอันนั้นมีสีม่วงเข้มดูลึกลับไม่ใช่น้อย "ยินดีต้อนรับสู้ร้านทำนายดวงชะตาของ ฟรีเดล ซาโดซ่า นะคะ ก่อนจะทำนายขอทราบชื่อของทั้ง2ท่านก่อนได้ใหม?"

    "ฉันชื่อ โรวีเนีย ส่วนเพื่อนฉันชื่อ อเมทิส ค่ะ"สาวน้อยผมสีไข่มุขชิงตอบขึ้นมาทันทีก่อนที่อเมทิสจะพูดอะไรขึ้น

    "ขอบคุณที่มาใช้บริการนะคะ คุณ โลมาเนียน และ คุณ เป็นอาทิตย์"

    ทั้ง2สาวถึงกับสะอึกที่หมอดูคนนี้เรียกชื่อผิดชนิดไปคนละทาง อเมทิสจึงบอกชื่อของพวกตนไปอีกครั้งช้า "ไม่ใช่ค่ะ โรวีเนีย กับ อเมทิส ค่ะ"

    "ค่ะคุณ โซมาเนีย และ อาเรคีส "

    ทั้ง2สาวผมหน้ากันเหมือนจะถามกันเองว่าดูดวงคราวนี้จะไปรอดใหมเนี่ย แต่ยังไม่ทันที่ทั้ง2คนจะพูดอะไรออกมา หมอดูคนนั้นก็เอ่ยขึ้นทันที "ไม่ทราบทั้ง 2 ท่านจะมาดูดวงเรื่องอะไรดีคะ?"

    โรวีเนียจึงบอกสิ่งที่เธออยากรู้ไปทันที "คือพรุ่งนี้ฉันจะต้อลงแข่งงานประลองพรุ่งนี้น่ะค่ะอยากจะรู้ว่าจะประสบความสำเร็จไหมน่ะค่ะ?"

    "งั้นหรือคะขออวยพรให้โชคดีในการแข่งนะคะ เอามือข้างที่ไม่ถนัดตัดไพ่เลยค่ะ" หมอดูที่มีนามว่าฟรีเดล ซาโดซ่า สลับไพ่ในมือแล้ววางลงตรงหน้าของผู้ถามคำถาม เจ้าหญิงแห่งรีเวเรียจึงทำตาม แล้วฟรีเดลจึงเรียงไพ่จากกองที่โรวีเนียตัดเป็นรูปดาว5แฉก แล้วจึงค่อยๆเปิดไพ่ทีละใบ เมื่อเปิดจนครบทุกใบ ฟรีเดลถึงกับต้องขยับแว่นตาเพื่อให้ดูหน้าไพ่เหล่านั้นชัดๆเผื่อว่าเธอจะมองผิดไป แต่ไม่ว่าจะมองยังไงหน้าไพ่เหล่านั้นก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง

    "เป็นไงบ้างคะคุณฟรีเดล ไพ่ของหนูไม่ค่อยดีเหรอคะทำหน้าเคร่งเครียดเลย" สาวน้อยผมสีไข่มุขเจ้าของคำถามเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นเงียบไปนาน

    "ฉันซึ่งเป็นหมอดูพูดแบบนี้อาจจะดูแปลกๆ แต่อยากจะบอกว่านี่เป็นเพียงการทำนายอาจจะ แม่นยำ หรือ ไม่แม่นยำ ก็ได้อยากจะให้ฟังคำทำนายเหล่านี้แบบฟังหูไว้หู ไม่ต้องเก็บไปคิดมากแต่ก็ขอเตือนว่าอย่าประมาทนะคะ"

    "หน้าไพ่ของหนูไม่ใช่ไม่ดีหรอกค่ะ แต่มันเลวร้ายเลยต่างหาก" แล้วหมอดูในชุดดำชี้ไปที่ไพ่ที่ถูกหงายขึ้นไปแรก เป็นเป็นรูปหอคอยกำลังถูกฟ้าฝ่า มีหมายเลขกำกับไว้

    XVI The Tower "ไพ่ใบที่16 เดอะทาวเวอร์ `หนึ่งสรรพสิ่งจักล่องลอย คืนสู่หอคอยอัสนีบาต` "

    "ในการแข่งครั้งนี้จะเกิดการล้มเหลว และ สูญเสียขึ้นแต่ดิฉันก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่าจะเกิดขึ้นกับตัวคุณหนูเองหรือเปล่า" แล้วเธอก็ชี้ไปยังใบที่ 2 ที่ถูกหงายขึ้น มันเป็นรูป ปีศาจ และมีหมายเลขกำกับไว้เช่นกัน

    XV The Devil "ไพ่ใบที่15 เดอะเดวิล `เมื่อจิตใจเป็นที่สิงสู่ของปีศาจจักบั่นทอนอำนาจแห่งชีวิต` "

    "ในการแข่งขันครั้งจะมีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นกับตัวคุณหากปล่อยให้ปีศาจเข้าครอบงำจิตใจ" แล้วเธอก็ชี้ไปไพ่ที่ถูกหงายเรียงกันใบต่อไป มันเป็นรูป โครงกระดูกถือเคียวอันใหญ่ และหมายเลขที่กำกับไพ่ใบนี้ก็คือ

    XIII The Death " ไพ่ใบที่13 เดอะเดส `จุดจบของชะตาชีวิตคือบทลิขิตแห่งชะตากรรม` "

    "สิ่งร้ายแรงที่จะเกิดขึ้น หรือ สิ่งที่คุณจะสูญเสียมันอาจจะหมายถึงชีวิตของคุณ " ฟรีเดลจึงชี้ที่ไพ่อีก2ใบที่เหลือ มันเป็นรูป กงล้อ X Wheel Of Fortune และ ที่เป็นรูปจอมเวทย์ถือไม้เท้าอยู่ I The Magicain "

    ไพ่ใบที่10 วิลออฟฟอจูน `กงล้อแห่งโชคชะตาจักนำพาชีวิตให้เจิดจรัส` และ ไพ่ใบที่1 เดอะ เมจิเชี่ยน `ฤทธิ์เดชแห่งจอมขมังเวทย์คือมนต์วิเศษสะกดชีวิต`"

    "ไพ่2ใบนี่ หมายถึงสิ่งร้ายแรงที่จะเกิดขึ้น อาจจะพลิกผันไปในทางที่ดี โดยมีผู้วิเศษมาช่วยเหลือ สรุปก็คือการแข่งขันพรุ่งนี้ไม่ราบรื่นดังที่เคยคิดไว้ แต่ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไรก็ตามของให้คุณอย่าปล่อยใจให้ตกอยู่ใต้อำนาจแห่ง โทสะ หรือ ทิฐิ ไม่อย่างนั้นสิ่งที่เลวร้ายอาจจะเกิดขึ้น แต่ไม่ต้องกังวลไปหากมันเกิดขึ้นแล้ว จะมีคนมาช่วยเหลือคุณจากเหตุการณ์ครั้งนี้แน่นอน คำทำนายของฉันก็มีแค่นี้แหละค่ะ" หมอดูสาวเอ่ยขึ้นพลางมองหน้าลูกค้าทั้ง2คนของเธอแล้วพูดทิ้งท้าย

    "แต่ก็อย่างที่ฉันบอกไว้แล้วนี่เป็นเพียงการทำนายทายทักเท่านั้นไม่ต้องเก็บไปคิดมากหรอกค่ะ แต่ก็อย่าประมาทนะคะ"

    โรวีเนียตอนนี้มีสีหน้าครุ่นคิด ผิดกับ อเมทิส ซึ่งมีสีหน้าราวกับเพิ่งตื่นจากฝันร้าย แล้วทั้ง3คนจึงเงียบไปซักพัก องค์หญิงแห่งรีเวเรียจึงเอ่ยขึ้น แล้ว วางเหรียญสีเงิน1เหรียญลงบนโต๊ะ "ขอบคุณมากนะคะสำหรับคำทำนาย นี่ค่ะค่าทำนาย"

    เมื่องเห็นเงินที่วางอยู่บนโต๊ะ หมอดูจึงทักขึ้นทันที "เดี๋ยวก่อนนะคะคุณ โรมาเนีย ค่าทำนายแค่ 5 เหรียญทองแดงเท่านั้นเอง ฉันไม่มีทอนหรอกนะ"

    "หนูชื่อ โรวีเนีย ค่ะ เรียกไม่เคยถูกซักครั้งเลยนะคุณหมอดูฟรีเดล ไม่ต้องทอนหรอกค่ะ ขอตัวก่อนละกันนะคะ อเมทิสเราไปกันเถอะ" แล้วทั้ง 2 สาวจึงลุกขึ้นแล้วเดินออกจากร้านหมอดูของ ฟรีเดล ซาโดซ่า

    หลังจากเดินออกมาซักพักหนึ่ง อเมทิส จึงเอ่ยขึ้นว่า "องค์หญิงเพคะ หม่อมชั้นว่า อย่าลงแข่งการประลองในครั้งนี้เลยนะเพคะ"

    โรวีเนีย จึงหันมามองหน้าคนสนิทของตน "อเมทิส นี่เธอกังวลกับคำทำนายมากไปแล้วนะ คุณฟรีเดลเขาก็เป็นบอกเองนี่ ว่ามันเป็นแค่คำทำนายเท่านั้นนี่"

    "นี่องค์หญิงไม่เข้าใจเจตนาที่เธอพูดเช่นนั้นหรือเพคะ "

    "รู้สิ แต่เธอก็น่าจะรู้ว่าฉันยังไงก็ถอนตัวไม่ได้ ไม่งั้นชื่อเสียงของ รีเวเรีย จะเสื่อมเสียเอาซะเปล่าๆ ฉันไม่อยากทำให้ท่านพ่อผิดหวังหรอกนะ เพราะนี่เป็นเพียงสิ่งเดียวที่ฉันพอจะทำได้ตอนนี้เพื่อตอบแทนบุญคุณของท่าน"

    "ชื่อเสียงของรีเวเรียยังไงมันก็สำคัญน้อยกว่า ความปลอดภัยของ องค์หญิงนะเพคะ ถ้าองค์หญิงเป็นอะไรไปท่านเจ้าเมืองคงไม่ยินดีกับชื่อเสียงที่ได้มาแน่ๆ"

    "ชั้นไม่เป็นอะไรหรอกเชื่อสิ อเมทิส แล้วอีกอย่างในคำทำนายก็บอกแล้วไงว่าเดี๋ยวก็มีคนมาช่วย อย่ากังวลในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นเลยน่าเชื่อฉันสิ"

    แล้วบทสนทนาของทั้ง2คนก็ถูกขัดขึ้นด้วยการมาของชายกลุ่มหนึ่งซึ่งดูจากการแต่งตัวก็รู้ว่าเป็นพวกนักรบรับจ้าง มาล้อมหน้าล้อมหลังพวกเธอ2คนไว้ ส่อเจตนากึ่งๆบังคับทันที "น้องสาว 2 คนสนใจไปเดินเที่ยวชมเมืองนี้กับพวกพี่ใหมจ๊ะ?" ประโยคทักทายเดิมๆก็ถูกเอ่ยขึ้น

    โรวีเนียตีหน้าไร้เดียงสา "สนใจสิจ๊ะพวกพี่ไปคุยกับหนูที่หลังตึกนี่ก่อนนะคะ" แล้วสาวน้อยผมสีไข่มุขก็จูงมือคนสนิทของเธอเดินนำชายกลุ่มใหญ่ไปยังด้านหลังตึกเพื่อหลบสายตาผู้คน ซึ่ง อเมทิสรู้ดีว่าเจ้าหญิงของเธอตั้งใจจะทำอะไรต่อไป เมื่อหลบสายตาผู้คนเข้ามา โรวีเนียจึงหันมาเผชิญหน้ากับชายกลุ่มนั้นพร้อมๆกับหันไปพยักหน้ากับจอมเวทย์ขาวคนสนิทของเธอ

    "พวกพี่สนใจไปเทียวกับสาวๆเพื่อนของหนูด้วยไหมล่ะคะ?" โรวีเนียเอ่ยถามไปยังชายกลุ่มนั้นด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบ พร้อมกับดึงดาบรูปร่างสีดำสลับดาบที่เหน็บอยู่ที่เอวเธออกมา พร้อมกับปล่อยมันหลุดจากมือปักลงกับพื้น

    "ข้าในนามบุตรีแห่งสรวงสวรรค์ขออัญเชิญผู้ที่ทำพันธสัญญาแก่ข้า เทพอสูรแห่งสายฟ้า และ น้ำแข็ง ให้ปรากฎตัว ณ บัดนี้"

    ทันใดนั้นแสงสว่างเจิดจ้า พร้อมกับการปรากฎตัวของ หญิงสาว2คนยืนอยู่ตรงหน้า สาวน้อยผิวสีแทนผมสีใข่มุข

    คนแรกเป็น หญิงสาวผิวเข้มผมดำยาวรวบไว้ที่ต้นคอด้วยโบว์สีขาว ตาสีเพลิง แต่งชุดมิโกะแบบญี่ปุ่น ส่วนอีกคนนั้น เป็น หญิงสาวผู้งดงาม มีผมสีทองอร่ามดัดเป็นลอนๆ ตาสีฟ้าเข้ม หน้าตาเหมือนกับไรโคราวกับพิมพ์เดียวกัน สวมกระโปรงฟูฟ่อง

    "โรโค เซลซิอุส พี่ชายพวกนี่เค้ามาชวนไปเที่ยวน่ะต้อนรับเขาหน่อยสิ อย่าให้รุนแรงมากนักล่ะ เดี๋ยวผู้คนจะแตกตื่นเอา" โรวีเนียเอ่ยกับทั้ง2สาวที่เพียงปรากฎตัว ตรงหน้าเธอ

    "ค่ะ ท่านโรวีเนีย" สาวสวยในชุดมิโกะแบบญี่ปุ่นรับคำ "ได้เลย โรวีเนียจัง จะเอาเย็นมากเย็นน้อยสั่งมาได้เลยนะจ๊ะ" สาวในชุดกระโปรงฟูฟ่องอีกคนเจื้อยแจ้วตอบกลับมา บัดนั้นเอง ชายกลุ่มนั้นรู้ตัวได้ทันทีว่า จากที่จะมาล่าเหยื่อ กลับกลายเป็นพวกเขาต่างหากที่เป็นเหยื่อแทน

    ก่อนที่ชายกลุ่มนั้นจะได้ขยับตัว ขาของทุกคนก็ถูกน้ำแข็งผนึกไว้กับพื้นจนขยับไม่ได้ซะแล้ว ยังไม่ทันที่ความตกใจจะหายไป ท้องฟ้าที่สดใสบริเวณนั้นอยู่ๆก็มืดครึ้ม แล้วสายฟ้าก็ฝ่าลงมาตัวตัวชายกลุ่มนั้น พริบตาเดียวทุกคนก็ลงไปนอนกองอยู่กับพื้นหายใจรวยริน

    "นี่โรโค มันไม่รุนแรงไปหน่อยเหรอ?" อเมทิสเอ่ยถามสาวสวยในชุดมิโกะ

    โรโคอสูรแห่งสายฟ้าส่ายช้าๆ แล้วเอ่ยขึ้นเรียบๆ "ไม่หรอกค่ะคุณ อเมทิส ถ้ารุนแรงจริงๆ ป่านนี้เจ้าพวกไม่รู้ที่สูงที่ต่ำนี่เป็นซากไปแล้ว"

    "เอาเถอะ พวกเราไปเดินเที่ยวกันต่อเถอะ โรโค กับ เซลซิอุส ไปด้วยกันนะ" โรวีเนียเอ่ยตัดบทพร้อมกับออกเดินนำทุกคนไปทันที

    "จริงเหรอ โรวีเนียจังไปสิๆ เซลซิอุส อยากเดินเที่ยวอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว" เซซิอุส อสูรแห่งน้ำแข็งร้องออกมาอย่างยินดีพลางหันไปจูงฝาแฝดของตนโรโค และ อเมทิสให้เดินตามไป

    แต่ขณะที่เดินผ่านกลุ่มคนที่นอนสลบอยู่นั้น ก็มีชายคนหนึ่งยังไม่สลบดี ลุกขึ้นแล้วสบัดดาบของตนใส่เจ้าหญิงแห่งรีเวเรีย อย่างรวดเร็ว "ระวังองค์หญิง!!!!" เสียงของอเมทิสหวีดร้องเสียงดัง พร้อมๆกับกระชากตัวเจ้าหญิงของเธอเพื่อให้พ้นวิถีของดาบ แล้วเอาตัวเองบังไว้แทน

    เสี้ยววินาทีก่อนที่คมดาบจะถึงตัวนั่นเอง จู่ๆเจ้าหมอนั้นก็กระตุกวูบทั้งตัวโดยไม่รู้สาเหตุ แล้ว พริบตาต่อมาร่างนั้นก็ถูกแช่แข็ง แล้ว ซ้ำด้วยสายฟ้าอย่างรวดเร็ว ทุกอย่างมันเกิดขึ้นในช่วงเวลาไม่ถึง 3 วินาที เมื่อเหตุการณ์ผ่านพ้นไปทุกคนจึงกรูเข้าไปจับตัวโรวีเนียไว้ พลางซักถามอย่างเป็นห่วง

    สาวน้อยผมสีไข่มุขเอ่ยขึ้นหลังจากตอบคำถามซ้ำๆกันจากทั้ง3อยู่นาน "ไม่เป็นไรๆ ไม่ต้องตกใจหรอก แต่ว่าเจ้าหมอนั่นไม่ตายแน่นะ พวกเธอใส่กันแบบไม่ยั้งเลยนี่นา"

    "ไม่ทราบหรอกคะท่านโรวีเนีย เวลามันกระชั้นชิด ทั้งชั้น และ เซลซิอุส ยั้งมือไม่ทัน " โรโคเอ่ยหลังจากสอบถามจนแน่ในแล้วว่าเจ้านายของตนไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร "เอาล่ะ พวกเรารีบๆออกไปจากที่นี่เถอะ ขืนพวกทหารมาเจอเข้ามีหวังโดนท่านพ่อดุเอาแน่ๆ เรื่องอื่นไว้คุยกันทีหลัง" แล้วทั้ง4สาว หรือจะ เรียก2สาว กับ 2 อสูรสาว ก็ได้ จึงเดินออกจากที่นั่น

    หลังจากนั้นไม่นาน เหล่าทหารจอมเวทย์ผู้ดูเมืองนี้ก็ มาถึงที่เกิดเหตุก็พบกลุ่มคนนอนกองอยู่เท่านั้น ไม่เห็นแม้แต่เงาของหญิงสาวที่ถูกบังคับให้เข้ามาแต่อย่างไร และคงไม่ต้องถามถึงที่อยู่ของเจ้าพวกที่นอนกองอยู่ตรงนั้นว่าคืนนี้จะต้องไปนอนที่ไหน เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจาก โรงพยาบาล เพราะสภาพแต่ละคนดูไม่จืดเลย โดยเฉพาะคนสุดท้ายที่เกือบจะทำร้ายองค์หญิงแห่งรีเวเรียสำเร็จ ซึ่งสภาพหมอนี่ไม่เดี้ยง ก็ เกือบๆล่ะนะ

    แล้ว การเดินตลาดอันแสนจะวุ่นวายของเจ้าหญิงแห่งรีเวเรีย "โรวีเนีย แอสเทรล แรนดอร์ฟ " ก็ดำเนินต่อไปจนถึงยามเย็นซึ่งเป็นเวลาที่เธอต้องกลับที่พักเพื่อเตรียมตัวที่จะแข่งขันใหญ่ที่จะเปลี่ยนชะตากรรมของเธอ ในวันพรุ่งนี้




    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~​
  13. joi100

    joi100 นักเดินทางแห่งมิดการ์ด

    EXP:
    478
    ถูกใจที่ได้รับ:
    23
    คะแนน Trophy:
    38
    Re: [ฟิครับสมัคร] Tale Of Light and Shadow

    เรื่องเล่าจากแสงและเงา เรื่องที่2 อัจฉริยะในห้องสมุด (3)






    วันนี้เป็นอีก1ในที่เหล่าจอมเวทย์ และ ผู้เกี่ยวข้องทั้งหลายกับการจัดงานประลอง ยุ่งกันสุดใจ เพราะวันพรุ่งนี้จะมีการแข่งขันแล้วฉะนั้นทุกอย่างจะต้องเรียบร้อยทั้งหมดภายในคืนนี้ ไม่ว่าจะเป็นสนามแข่ง ที่นั่งของผู้ชม และ แขกผู้มีเกียรติที่ถูกเชิญมาชมการแข่งหนนี้ การรักษาความปลอดภัย และอื่นๆอีกมากมาย ถ้าคุณเคยเตรียมงานอะไรซักอย่าง วันที่ยุ่งที่สุดก็คือวันก่อนงานเริ่ม1วันนี่แหละ

    ขณะนี้ ภายในเมืองริมุเน่ บริเวณ ลานกว้างของโรงเรียนสอนเวทย์มนต์ต่างพลุกพล่านไปด้วยผู้คนที่ตระเตรียมความพร้อมกันอยู่ เลซาท วาเลท นั่งมองภาพเหล่านั้นอยู่เงียบๆเพียงลำพัง บนที่นั่งที่เตรียมไว้สำหรับคนดูที่จะมาชมการแข่งในวันพรุ่งนี้ ขณะที่กำลังนั่งเหม่อมองภาพความวุ่นวายเหล่านั้นอยู่ จอมเวทย์หนุ่มผมสีฟ้าอ่อนก็รู้สึกว่ามีใครบางคนมานั่งลงข้างๆเขา

    เมื่อหันไปมองก็พบว่าเป็น ท่านอุปราช แห่งริมุเน่ อาจารย์ผู้สอนเวทย์มนต์แก่เขานั่นเอง "สวัสดีครับท่านอาจารย์ อัลฟรีด" เลซาทลุกขึ้นพลางก้มหัวคำนับ จอมเวทย์ผู้ได้ชื่อเป็นมหาปราชญ์ แห่ง เอลล์เทอเฟีย ผู้เจนจบในศาสตร์ทุกแขนง

    "เจ้ากังวลสิ่งใดอยู่ หรือ เลซาท วาเลท?" อัลฟรีดเอ่ยถามลูกศิษย์ของตน

    เลซาทยิ้มออกมาฝืดๆ "หามิได้ครับ ท่านอาจารย์ เพียงแต่ผมรู้สึกว่าการที่ผมมัวแต่หมกตัวอยู่แต่ในห้องสมุด หลายปีมานี้ทำให้ผมพลาดโอกาสหลายๆอย่างไป ไม่รู้ว่าการที่ผมคิดจะเริ่มต้นมันตอนนี้จะสายเกินไปหรือไม่?"

    มหาปราชญ์ ผู้เป็นอาจารย์หัวเราะเบาๆ แล้วเอ่ยออกมาว่า "เลซาท เอ๋ย ไม่มีคำว่าสายสำหรับผู้ที่คิดจะเริ่มต้นหรอก ข้าได้ทราบจากท่านเจ้าเมือง บิดาของเจ้าแล้วว่าหลังจากจบงานแข่งครั้งนี้ เจ้าจะออกเดินทางอย่างนั้นหรือ?"

    "ครับท่านอาจารย์ ขอลาท่านอาจารย์ตรงนี้เลยนะครับ และ ผมขอขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านสอนสั่งผมเสมอมา ถึงผมอาจจะไม่ใช่ลูกศิษย์ที่ดีอย่าง พี่เซเน็ต แต่ความรู้ต่างๆที่ท่านอาจารย์สั่งสอนผมเสมอมานั้นมันมีค่ามากมายยิ่งนัก"

    อัลฟรีดยิ้มให้กับลูกศิษย์ของเขาแล้วเอ่ยขึ้นว่า "เจ้าอาจจะไม่รู้ตัวนะเลซาท แต่เจ้าเองมักจะใช้พี่ชายของเจ้าเป็นบรรทัดฐานในการตีค่าของตัวเองเสมอๆ ทั้งๆที่เจ้าก็มีสิ่งที่เฉพาะตัวเจ้าเท่านั้นที่จะทำได้ ในสายตาของคนอื่นข้าไม่รู้ แต่ในสายตาของตัวข้าเอง เลซาท เจ้ามีค่ามากกว่าที่ตัวเจ้าคิดมากนัก"

    "ข้ายินดีนะที่เจ้าคิดที่จะออกไปดูโลกกว้าง เมื่อเจ้าออกไปก็จะค้นพบว่าในโลกใบนี้ยังมีคนอีกหลายคนที่ด้อยกว่า และ พยายามอยากจะเป็นเช่นอย่างที่เจ้าเป็น ฉะนั้นในฐานะอาจารย์ ข้าจะบอกอะไรเจ้าบางอย่าง"

    "ความรู้ที่เจ้าได้จากการอ่านหนังสือหลายปีมานี้ มันเป็นเพียงสิ่งที่บันทึกไว้เท่านั้น แต่ในความเป็นจริงนั้น อาจจะมีหลายๆสิ่งหลายๆอย่างที่ค้าน กับ ข้อความในหนังสือที่เจ้าได้อ่าน บางครั้งเจ้าต้องใช้หัวใจของเจ้าตัดสินเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกระทำของผู้คน จงอย่าตัดสินการกระทำของคนอื่นด้วยเหตุผล และ มุมมองของเจ้าเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เพราะถ้าเจ้าไม่ได้อยู่ในสถาณการณ์เช่นเดียวกับเขา เจ้าจะไม่มีทางรู้เลยว่าอะไรคือสิ่งที่เป็นเหตุผลกระทำเช่นนั้น"

    เลซาท รับรู้ได้ทันทีว่าอาจารย์ของเขาต้องการจะสอนเขาเกี่ยวกับสิ่งใด

    "อาจารย์ครับคนที่อยู่แต่ในห้องสมุดอย่างผมจะมีเพื่อนกับเขาได้ไหมครับ?" จอมเวทย์หนุ่มถามด้วยคำถามที่ดูโง่ๆแต่มันเป็นสิ่งที่เขาไม่สามารถหาคำตอบได้เลย และ มันก็ติดค้างอยู่ในใจเสมอมา

    อุปราชแห่งริมุเน่ มองหน้าลูกศิษย์ของตน ถึงความรู้ของ เลซาท วาเลทอาจจะเรียกได้ว่า ไม่ได้ด้อยไปกว่าเขาเลย แต่ยังไงลูกศิษย์เขาคนนี้ก็ยังเป็นเพียงเด็กหนุ่มคนหนึ่งเท่านั้น " ได้สิ ความเป็นสหายนั้นขึ้นอยู่กับวาสนา ถ้าจริงใจต่อกันก็สร้างความเป็นสหายขึ้นได้ "

    "คนเรานั้นถ้าไม่จริงใจต่อกัน ต่อให้คบกันจนผมหงอก ก็เหมือนคนแปลกหน้า ถ้าจริงใจต่อกัน ถึงคุยกันครั้งแรก ก็เหมือนสหายสนิทที่รู้ใจ"

    เลซาทได้พังจึงครุ่นคิดแล้วจึงแย้งขึ้น " อาจารย์ครับ สังคมทุกวันนี้ ช่างยอกย้อนสับสน ผู้คนนับวันจิตใจยากหยั่งรู้ วันนี้มิตร พรุ่งนี้เป็นศัตรู วันนี้เป็นศัตรู พรุ่งนี้เป็นมิตร ต่างแสวงหาประโยชน์จากกันและกัน เดี๋ยวคบเดี๋ยวแตกแยก ผลิกผันไปมา จนไม่อาจทราบได้ว่า ใครคือมิตรสหายที่แท้? "

    "การที่เจ้ารู้มากจนเกินไปคงทำให้เจ้าขลาดเขลาที่จะคบผู้อื่นสินะ มิน่าเล่าเจ้าจึงหลีกเลี่ยงการพบปะผู้คนไปหลบซ่อนอยู่ในห้องสมุด"

    "ลูกศิษย์ผมสีฟ้าอ่อนของข้าเอ๋ย เรื่องราวของมิตรภาพนั้น ไม่มีใคร หรือ หนังสือเล่มใดสอนเจ้าได้หรอก เจ้าต้องเรียนรู้ด้วยตัวตนของเจ้า บางครั้งอาจผิดพลาดจนทำให้เจ้าเจ็บปวด แต่จงอย่าให้ความผิดพลาดเหล่านั้นตามมาหลอกหลอนเจ้าจนหวาดกลัวที่จะคบผู้อื่น แต่จงให้มันบทเรียนที่ทำให้เจ้าก้าวเดินต่อไปอย่างมั่นคง"

    "ทองคำหมื่นชั่งนั้นหาง่าย แต่เพื่อนที่รู้ใจนั้นหายาก คำกล่าวนี้คนโบราณได้กล่าวไว้ ถ้อยคำนี้แม้ผ่านมานานแค่ไหนแต่มันก็ยังคงทรงคุณค่า เลซาท วาเลท"

    "มิตรภาพนั้นหาใช่เรื่องของความรู้ มันเป็นเรื่องของจิตใจ จงหยุดใช้มันสมองอันแสนจะเฉลียวฉลาดของเจ้าซะบ้าง แต่จงใช้หัวใจของเจ้าแทน เพราะมิตรภาพนั้นพื้นฐานมันตั้งอยู่บนความจริงใจ หากเจ้าไม่หยิบยื่นความจริงใจให้แก่ผู้อื่น แล้วจะมีผู้ใดหยิบยื่นความจริงใจตอบแทนกลับมายังเจ้า?"

    "เอาล่ะข้าต้องไปจัดการเรื่องต่างๆให้เรียบร้อยการที่งานแข่งจะเริ่มในวันพรุ่งนี้ ขอให้ลูกศิษย์แห่งข้า เลซาท วาเลท จงเดินไปตามทางที่เจ้าเลือกเดินอย่างมั่นคง และไตร่ตรองทุกอย่างด้วยจิตใจซื่อตรง ไม่ใช้ความรู้ของเจ้าเอารัดเอาเปรียบผู้อื่น" อัลฟรีด ลุกขึ้นแล้วกล่าวคำอวยพรแก่ เลซาท ซึ่งจอมเวทย์หนุ่มก็ยืนขึ้นเช่นกันแล้วก้มหัวทำความเคารพอย่างนอบน้อม

    หลังจากอุปราชแห่งริมุเน่ผู้เป็นอาจารย์ของเขาเดินจนลับตาไป เขานั่งลงแล้วนึกทบทวนบทสนทนาที่เกิดขึ้นเมื่อกี้อย่างไตร่ตรอง ถึงจะเป็นการพูดกันชั่วระยะไม่นานนัก แต่ทุกๆประโยคมันมีความนัยแฝงเร้น อาจเป็นเพราะ ท่านอาจารย์อัลฟรีดต้องการที่จะสั่งสอนเค้าครั้งสุดท้ายก่อนจะออกเดินทางนั่นเอง

    เลซาท วาเลท นั่งคิดตรึกตรองอยู่เช่นนั้นจนรู้สึกตัวอีกที่ก็พบว่าท้องของเขาเริ่มร้องเรียกหาอาหารเที่ยงเสียแล้ว จอมเวทย์หนุ่มผมสีฟ้าอ่อน จึงลุกขึ้นแล้วเดินมุ่งหน้าไปยังตลาดหาอะไรรับประทาน เพื่อหยุดเสียงร้องเรียกจากกระเพาะของเขาเสียที

    อาจจะเพราะพรุ่งนี้ที่ริมุเน่นี้จะมีงานแข่งขันใหญ่ของเหล่าจอมเวทย์ที่จัดขึ้นทุกๆ5ปีล่ะมั๊ง จึงทำให้วันนี้ภายในเมืองคึกคักไปด้วยผู้คนมากมาย หลังจากทานอาหารเรียบร้อยแล้ว เลซาท จึงเดินดูร้านค้าต่างๆที่พ่อค้าเร่ นำมาจำหน่ายเรียงราย2ข้างทาง

    หลังจากเดินดูไปซักพัก เขาก็มาสะดุดตาที่ร้านค้า ที่มีเพียงผ้าปูไว้กับดินเท่านั้น แต่สินค้าที่ถูกจัดวางอยู่บนผ้าผืนนั้น มันหลากหลายมากๆ ไม่ว่าจะเป็น อัญมณี เครื่องประดับชนิดต่างๆที่ดูสวยงาม ขัดกับอาวุธหลากหลายชนิดที่วางอยู่อีกมุมหนึ่งของผืนผ้า นอกจากนั้นยังมีสมุนไพร และ ชิ้นส่วนของสัตว์ ตากแห้ง อีกด้วย แต่ที่เตะตาของจอมเวทย์หนุ่มมากที่สุด ก็คือม้วนกระดาษเก่าๆม้วนหนึ่ง

    เลซาทหยุดเดินแล้วเปลี่ยนทิศทางเดินเข้าไปนั่งดูในทันที "ไม่ทราบว่าจะขอดูม้วนกระดาษนี้หน่อยได้หรือไม่ครับ" จอมเวทย์หนุ่มเอ่ยกับเจ้าของร้าน ที่เป็นเด็กหนุ่มอายุดูท่าทางไม่ต่างจากเขาเท่าไรนัก แต่การแต่งกายต่างจากพ่อค่าเร่ทั่วไปอยู่เล็กน้อย ใส่เสื้อขาวสวมทับด้วยเสื้อกั๊กสีเทา ที่มีกระเป๋าสำหรับใส่อุปกรณ์ต่างๆอยู่เต็มไปหมด กางเกงขายาวสีน้ำตาลทำจากผ้าคุณภาพดีกันแดดกันฝน มีกระเป๋ากางเกงมากมาย โดยเฉพาะผมสีแสด ที่มีผ้าคาดหัวสีขาว นั้นสะดุดตายิ่งนัก กำลังนั่งอยู่ด้านหลังร้าน

    "ตามสบายเลยครับ แต่ระวังหน่อยนะมันเก่ามาก ถ้าเกิดขาดระหว่างดูขึ้นมาพี่ชายต้องจ่ายค่าเสียหายให้ผมโดยไม่รู้ตัวได้นะ" พ่อค้าคนนั้นตอบกลับมา

    "กระดาษม้วนนี้ผมเจอตอนเข้าไปสำรวจวิหารโบราณแห่งนึง ในป่าอัสร่า ข้างในเป็นภาษาอะไรก็ไม่รู้ อ่านไม่ออกเหมือนกัน คิดว่าน่าจะเป็นตัวอักษรโบราณ ก็เลยเอามาขายที่นี่เผื่อจะมีคนสนใจมันบ้าง ถ้าพี่ชายสนใจผมขายถูกๆเลย 1 เหรียญเงิน"

    "1 เหรียญเงินเชียวหรือครับ?" เลซาทลองนับดูในกระเป๋าของเขาก็พบว่า มีเหรียญทองแดงอยู่เพียง20 กว่าเหรียญเท่านั้น แต่เขาอยากได้ม้วนกระดาษม้วนนี้มาก เพราะหลังจากเปิดดูภายในก็พบว่าอักษรโบราณเหล่านี้มันบอกถึง เวทย์มนต์ที่เขาไม่รู้จักมาก่อน ซึ่งตัวอักษรโบราณเหล่านี้ไม่ได้เป็นปัญหากับเขาเลยแม้แต่น้อย เพราะตัวเขาเองก็เป็น 1 ในไม่กี่คน ที่อ่านภาษานี้ออก หลังจากที่เขาต้องศึกษาภาษาเหล่านี้ถึง3ปีเต็มๆ

    จอมเวทย์หนุ่มค้นตัวเองอยู่พักใหญ่ๆก็พบว่า ตัวเขามีเงินไม่เพียงพอที่จะซื้อม้วนกระดาษม้วนนี้ จึงเอ่ยถามว่า "ตอนนี้ในตัวผมมีเพียง 20 เหรียญทองแดงเท่านั้น ไม่ทราบว่า จะขอใช้มันเป็นมัดจำ เพื่อจองม้วนกระดาษม้วนนี้ได้หรือเปล่าครับ? เดี๋ยวผมจะกลับไปเอาเงินส่วนที่ขาดมาให้"

    พ่อค้าคนนั้นเหลือบมองเลซาทอย่างพิจราณา "แล้วพี่ชายไม่กลัวผมเชิดเงิน แล้วหนีไปเลยรึ 20 เหรียญทองแดงนี่ก็ไม่ใช่น้อยๆเลยนะ "

    "ไม่หรอกครับ เพราะผมรู้ว่าคุณพ่อค้าไม่ใช่คนประเภทนั้น นี่ครับ20เหรียญทองแดง เดี๋ยวผมจะเอาที่เหลือมาให้ ไม่นานหรอกครับ " จอมเวทย์หนุ่มเอ่ยแล้วยื่นถุงใส่เงินของเขาให้พ่อค้าคนนั้น

    "หึๆ เชื่อเลยจริงๆ พูดอย่างนี้ก็ดักทางกันหมดเลยน่ะสิ ในเมื่อพี่ชายกล้าที่จะซื้อชั้นก็กล้าที่จะขาย เงินส่วนที่เหลือไม่ต้องหรอก เพราะม้วนกระดาษเก่าๆนี้ ขนาดตั้งราคาไว้10 เหรียญทองแดง ยังไม่มีคนจะสนใจมันเลย ถามจริงๆพี่ชายอ่านตัวอักษรยึกยือพวกนี้ออกงั้นรึ?"

    "ครับ มันเป็นภาษาโบราณ ทุกวันนี้มีคนที่รู้จัก หรือ อ่านมันออก ไม่กี่คนหรอกครับผมเองก็เสียเวลากับมันถึง3ปีเต็มๆกว่าจะเข้าใจภาษาพวกนี้" จอมเวทย์ผมฟ้าตอบกลับมาตรงๆ

    "งั้นกระดาษเก่าๆม้วนนี้ผมขายในราคา 20 เหรียญทองแดงนี่แหละ เพียงแต่ว่า พี่ชายช่วยบอกผมหน่อยได้ไหมว่ามันเขียนอะไรไว้บนกระดาษแผ่นนั้น? ข้อแม้ง่ายๆแลกกับ 80 เหรียญทองแดง พี่ชายคิดว่าคุ้มหรือเปล่า?" พ่อค้าคนนั้นบอกข้อเสนอของตน

    เลซาทยิ้มละไม " จริงๆแล้วไม่จำเป็นต้องลดราคาให้ผมก็ได้นะครับ ถ้าคุณอยากจะรู้ข้อความที่เขียนอยู่ข้างในผมจะบอกให้ฟังก็ได้ครับ ผมเคยอ่านเจอในหนังสือนะครับว่า พวกนักล่าสมบัติ กว่าจะได้สมบัติมาได้แต่ละชิ้น ต้องฝ่าอันตราย มากมายกว่าจะได้ สมบัติ แต่ละชิ้นมา เท่าที่ดูๆคุณพ่อค้าเป็นนักล่าสมบัติ ด้วยใช่ไหมครับ? "

    "ก็ไม่ผิดนักหรอก แต่ชั้นก็ไม่ใช่นักล่าสมบัติ เต็มตัวซะทีเดียวหรอกนะ แต่ชั้นกำลังตามหาเบาะแสของบางสิ่งอยู่ ที่ม้วนกระดาษนั่นอาจจะมีข้อมูลที่ชั้นต้องการอยู่ก็ได้ ที่เอามันออกมาวางโชว์ แล้วตั้งราคาซะสูงลิบ ก็เพียงเพราะอยากจะเห็นคนรู้ค่าของมัน หรือ อ่านมันออก เท่านั้นแหละ" พ่อค้าคนนั้นตอบกลับมา

    "งั้นหรือครับ งั้นท่าทางจะแย่หน่อยนะครับ เพราะในนี้มันบอก เกี่ยวกับเวทย์มนต์ น่ะครับ" เลซาทตอบกลับไป

    พ่อค้าคนนั้นมีสีหน้าผิดหวังเล็กน้อย "งั้นเหรอ? ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ช่วยอ่านให้ฟังหน่อยได้ไหมว่ามันเขียนอะไรไว้ ชั้นเองก็อยากรู้เหมือนกัน ว่าเจ้าม้วนกระดาษที่ต้องเสี่ยงชีวิต ฝ่ากับดัก และ สัตว์ประหลาดเฝ้าทาง เข้าวิหารพังๆในป่าอัสร่านั่น มันเขียนว่าอะไร"

    เลซาท คลี่ม้วนกระดาษแผ่นนั้น แล้วอ่านอย่างละเอียดอีกครั้ง หลังจากผ่านไปอึดใจใหญ่ๆ เขาก็บอกเกี่ยวกับข้อความข้างใน "ข้างในเขียนเกี่ยวกับ การรวมเวทย์มนต์2ชนิดเข้าด้วยกัน เพื่อเพิ่มอำนาจทำลายล้าง น่ะครับ ซึ่งผู้ที่จะทำเช่นนี้ได้ จะต้องเป็นจอมเวทย์ ที่ร่ายเวทย์มนต์ได้2บทพร้อมๆกัน นอกจากนั้นจำเป็นต้องถ่วงดุลเวทย์ทั้ง2บทใช้สมดุลกันทั้งมือซ้ายและมีขวาด้วย ไม่เช่นนั้น เวทย์มนต์ข้างที่รุนแรงกว่า จะย้อนมาทำร้ายผู้ใช้ทันที"

    พ่อค้าหนุ่มคนนั้นนั่งฟังอย่างตั้งใจ "เดี๋ยวนะ ที่ชั้นเคยได้ยินมาปกติ นักเวทย์ทั้งหลายจะร่ายเวทย์มนต์ได้ทีละบท และแถมยังต้องร่ายผ่านไม้เท้า หรือ อะไรก็ตามสี่เป็นสื่อ เพื่อขยายความรุนแรงของเวทย์มนต์ไม่ใช่หรือ?"

    " แถมเวทย์มนต์ที่ยิ่งรุนแรงเท่าไรต้องเสียเวลารวบรวมสมาธิเพื่อร่ายเวทย์นานขึ้นอีกนี่นา ชั้นเองก็รู้จัก คนใช้เวทย์อยู่คนนึง เวทย์มนต์กวาดล้างสูงสุดของมันต้องใช่เวลาร่ายมนต์ตั้ง3นาที แล้วอย่างงี้จะมีใครแยกสมาธิเพื่อร่ายมนต์ยาก ได้ทีเดียว 2บทได้ล่ะ?"

    "ที่คุณพ่อค้ารู้ไม่ผิดหรอกครับ เท่าที่ฟังดูมนต์ที่เพื่อนคุณพ่อค้าใช้ นั้นคงจะจัดอยู่ในระดับ4 หรือ 5 แน่นอนครับ" ยังไม่ทันที่จอมเวทย์หนุ่มผมฟ้าจะพูดจบประโยค พ่อค้าที่นั่งฟังอยู่ก็แทรกขึ้นมา "เวทย์มนต์นี่มีการแบ่งระดับด้วยงั้นรึ?"

    "ครับ เพียงแต่ว่าคนทั่วไปจะไม่รู้เลยว่าจริงๆแล้วเวทย์มนต์นั้น ต่างถูกแบ่งระดับออกเป็นทั้งหมด7ระดับ" แล้ว เลซาทก็ ค่อยๆอธิบายถึงระดับของเวทย์มนต์ ตั้งแต่ระดับ 1จนถึงระดับ 7 ให้พ่อค้าคนนั้นฟัง นอกจะนั่งฟังเฉยๆ แล้วเขายังหยิบสมุดเล่มหนึ่งออกมาจด อย่างตั้งอกตั้งใจ

    หลังจากอธิบายจบ เลซาทจึงกลับเข้าเรื่องต่อ "จากที่ผมลองคิดๆดูแล้ว สิ่งที่เขียนไว้ต้องการจะบอกคนรุ่นหลังคงจะเป็น การรวมเวทย์มนต์2ชนิด เพื่อเพิ่มพลังของมัน จริงๆแล้วเวทย์มนต์ตั้งแต่ระดับ 4 ขึ้นไปนั้นต่างมีพลังทำลายสูงมาก แต่ก็ต้องแลกด้วยความยากในการเรียกใช้ และ ควบคุม ถ้าคุณพ่อค้าสังเกตก็จะเห็นว่า เวทย์มนต์ยิ่งรุนแรง และ ขอบเขตในการทำลายยิ่งกว้างเท่าใด การควบคุมก็ยิ่งยาก หรือ บางครั้งไม่อาจจะควบคุมได้เลย คือพอร่ายจบก็ปล่อยมันทำลายทุกอย่างในอณาเขตของมัน โดยไม่สนใจว่าเป็นพวกเดียวกันหรือไม่"

    "ผมคิดว่า สิ่งที่เขียนไว้น่าจะหมายถึงการนำเวทย์ระดับต่ำๆที่ร่ายมนต์ได้รวดเร็ว และ ควบคุมง่ายๆ มารวมกันเพื่อเพิ่มอำนาจของมันเสียมากกว่า" จอมเวทย์หนุ่มบอกในสิ่งที่เขาคิด

    "ถ้าทำได้ก็น่ากลัวใช้ได้เลยนะ เวทย์ที่เรียกใช้ และ ควบคุมได้ ดั่งใจนึก แต่อำนาจในการทำลายไม่แพ้เวทย์มนต์ใหญ่ๆ ว่าแต่ว่านายทำได้รึใช้เวทย์ 2 บทพร้อมๆกัน แถมยังต้องเอามารวมกันอีกขนาดชั้นไม่ค่อยมีความรู้ทางนี้เท่าไร แค่ฟังดูๆยังรู้เลยว่ามันยากจะเป็นจะตาย" พ่อค้าคนนั้นเอ่ยขึ้นหลังจากฟังจบ

    เลซาท ชูมือซ้ายที่เต็มไปด้วยผ้าพันแผลของเขาให้ดู พร้อมกับพูดว่า "จริงๆ การนำเวทย์ 2 บทมารวมกันเพื่อเพิ่มพลังทำลายนั้นผมเองก็ทดลองอยู่เหมือนกัน แต่เพิ่งรู้ว่า ต่างชนิดกันก็นำมารวมกันได้ด้วย เพราะผมเคยแต่ลองนำเวทย์ชนิดเดียวกันมารวมกันเท่านั้น แล้ว แขนซ้ายนี่ก็เป็นผลแห่งความผิดพลาด ที่เกิดขึ้น ผมลองนำเวทย์บอลเพลิง ที่เป็นระดับ 3 ลองมารวมกันดู ผมพลาดไปเผลอ เพิ่มพลังเวทย์มือขวา มากไปหน่อย ผลก็อย่างที่เห็นแหละครับ แขนซ้ายผมก็โดนเผาเกรียมทีเดียว ถึงจะรักษาแล้วแต่ก็ยังต้องพันผ้าไว้จนกว่าจะหายดีแหละครับ"

    "ไม่ธรรมดาทีเดียวนะนายนี่ คุยกันมาตั้งนานยังไม่รู้จักชื่อเลย ชั้น ออส นายหล่ะ" พ่อค้าหนุ่มแนะนำตัว

    จอมเวทย์หนุ่มเอ่ยชวน "ผมชื่อ เลซาท ครับพรุ่งนี้จะลงแข่งงานประลองจอมเวทย์ที่นี่ด้วยถ้าไม่รังเกียจก็แวะไปดูได้นะครับ"

    "ต้องขอโทษทีด้วยนะ เลซาท เดี๋ยวคืนนี้ต้องออกจากเมืองนี้ไป กรานาด้า แล้วล่ะ พอดีต้องเอาสินค้าไปส่งให้ลูกค้าน่ะ ขอโทษด้วยจริงๆน่ะ เอ้านี่ เงินของนาย20เหรียญ ส่วนม้วนกระดาษนั้น ชั้นยกให้ฟรีๆ เลย นอกจากจะแปลแล้วยัง อุส่าห์มาอธิบายเรื่องเกี่ยวกับเวทย์มนต์ ให้พ่อค้าที่ไม่มีความรู้เรื่องนี้เลยให้ฟังตั้งนาน ข่าวสารพวกนี้มีค่ามาก ขอบใจนะ" ออสเอ่ยพลางยื่นถุงเงินคืนให้

    เลซาทกลับส่ายหน้า พลางดันถุงเงินในมือออสคืน "ไม่ได้หรอกครับของซื้อของขาย แล้วสิ่งที่ผมได้รู้จากม้วนกระดาษม้วนนี้มันก็มีค่ามากสำหรับผมเช่นกัน อย่าว่า 20 เหรียญทองแดงเลย ต่อให้ราคาเต็ม 1 เหรียญเงินที่ คุณออส ตั้งไว้ตอนแรกผมก็ยินดีจ่ายให้"

    ออสมองดูสีหน้าและสายตา ของจอมเวทย์หนุ่มคนนี้อย่างทึ่งๆ นานๆครั้งจริงๆที่เขาเจอคนที่ถูกชะตาอย่างนี้ เพราะปกติพวกจอมเวทย์ที่เขาเจอ มันจะทะนงตัว ว่าตนเองมีความรู้เยอะ เลยมองพวกพ่อค้าเร่อย่างเขาว่าเป็นคนชั้นต่ำกว่าความรู้น้อย เป็นแต่ค้าขาย ไม่ค่อยอยากจะพูดคุยด้วย เพิ่งจะมีเจ้าหมอนี่และ นี่ยอมมานั่งคุยกับเขาเป็นวรรคเป็นเวร ซึ่งเขาก็รู้สึกถูกชะตากับเจ้าหมอนี่พอสมควรเลยทีเดียว ถึงจะดูนิ่มๆไปนิด แต่ ออสก็รู้ดีว่าหมอนี่ฝีมือพอตัวทีเดียว ดีไม่ดี เก่งกว่าเจ้าเพื่อนผีดิบของเขาซะด้วยซ้ำ

    "งั้นชั้นรับไว้ไม่เกรงใจล่ะนะ แต่ว่าชั้นขอเลี้ยงข้าวนายซักมื้อละกัน ถือเป็นสิ่งตอบแทนน้ำใจเล็กๆน้อยๆ เดี๋ยวเย็นๆนายมาหาชั้นที่นี่ ช่วงนี้นายจะไปเดินเล่นฆ่าเวลาก่อน ซักพักละกันนะ ขอขายของหาเงินอีกซักนิดเป็นค่าข้าวค่าน้ำ" พ่อค้าผมส้มเอ่ยกับ เลซาท

    จอมเวทย์หนุ่ม รีบปฎิเสธทันที "จะดีเหรอครับ ผมแค่บอกในสิ่งที่ผมรู้เท่านั้นเอง ไม่ได้ต้องการออะไรตอบแทนเลย คุณไม่ต้องเลี้ยงข้าวหรอกครับ เกรงใจแย่ ของก็ลดราคาให้ จะให้คุณออส มาเลี้ยงข้าวอีก"

    "ฮ่าๆ นายนี่มันคุณหนูจริงๆ ถูกใจชั้นมาก บอกแล้วไงราคาที่ตั้งไว้ตอนแรกตั้งขู่ไว้เฉยๆ จริงๆแล้วไม่คิดจะขายด้วยซ้ำ แต่เห็นนายอ่านมันออก แล้วยังยอม อธิบายให้ฟังอีก นับว่าเป็นน้ำใจมากแล้วล่ะ จะยกให้ฟรีก็ไม่เอา บางครั้งเงินทองมันก็ไม่สำคัญเท่าน้ำใจที่มีให้กันหรอกนะ นายแว่น เอาเป็นว่าจะยังไงก็ตาม ก่อนชั้นจะไปจากที่นี่ขอเลี้ยงข้าวนายซักมื้อ หรือนายรังเกียจ พ่อค้ากระจอกๆอย่างชั้นว่าไม่ควรร่วมโต๊ะอาหารกับจอมเวทย์ผู้ปราดเปรื่องอย่างนายหือ?" ออสเอ่ยด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง

    เลซาทรีบแก้ตัวอย่างรวดเร็ว "ปะ เปล่านะครับ ผมไม่ได้คิดอย่างนั้นเลย ผมเองปกติก็เอาแต่อ่านหนังสืออยู่ในห้องสมุด ไม่ได้ปราดเปรื่องอย่างที่คุณว่าเลยซักนิด แค่รู้มากกว่าคนอื่นเค้านิดหน่อยเท่านั้นเอง จะให้เลี้ยงผมทั้งๆที่เพิ่งรู้จักกัน แถมถ้าจะเทียบผมที่เกิดที่นี่ กับ คุณที่มาจากต่างเมือง ผมก็เหมือนเจ้าบ้าน คุณก็เปรียบดั่ง แขก ของผม ขอให้ผมเป็นฝ่ายเลี้ยงคุณออสดีกว่าครับ จริงๆผมเองก็มีเรื่องถามคุณในสิ่งที่ผมไม่รู้หลายๆอย่างเหมือนกันนะครับ"

    "ยังมีสิ่งที่นายไม่รู้อีกงั้นรึ? แต่เอาเถอะถ้านายสบายใจที่จะเลี้ยง ชั้นเองก็ไม่เกรงใจหรอกนะ พ่อค้าจนๆอย่างชั้นชอบกินข้าวฟรีอยู่แล้วล่ะ ยังไงก็เจอกันที่นี่ละกันนะ ค่าข้าวไม่ต้องจ่ายแล้ว ก็ขอค่าเดินทางคืนนี้อีกซักนิดละกัน " พ่อค้าผมส้มเอ่ยพลางร้องเรียกลูกค้าที่เดินผ่านมา ส่วนเลซาทเลือกที่จะเดินไปดูตลาดระหว่างทางที่มุ่งไปยังบ้านของเขา เผื่อจะโชคดีเจอหนังสือที่เขาไม่เคยอ่าน มาวางขายอยู่อีกบ้าง

    เลซาทเดินมาเรื่อยๆจนถึงวังของเจ้าเมืองริมุเน่ ซึ่งก็คือบ้านของเขานั่นเอง ระหว่างทางเขาก็เจอ สาวน้อยผมสีทองผูกโบสีดำในชุดกองทหารเวทย์ กำลังยืนคุยอยู่กับพี่ชายของเขา พร้อมๆกับสาวน้อยผมสีม่วงอีกคน

    "สวัสดีครับ คุณเฟท คุณลุนลุน แล้วก็พี่เซเน็ต" จอมเวทย์หนุ่มผมฟ้าเอ่ยทักทายทุกคนทันทีที่มาถึง ซึ่งทุกคนก็หันมามองเขา ส่วนสาวน้อยผมม่วง นักเรียนปี2ของโรงเรียนเวทย์มนต์นามว่า ลุนลุน นั้นมีสีหน้า งงๆ ที่จู่ๆถูกคนไม่คุ้นหน้ามาทัก

    เฟทเองก็สังเกตเห็นท่าทีของเพื่อนจึงสะกิดแล้วกระซิบกับเธอ "ลุนลุน นี่ลุกชายคนเล็กท่านเจ้าเมือง น้องชาย องค์ชายเซเน็ตไงล่ะ" ลุนลุนถึงนึกออก ว่าเธอเคยรู้จัก จอมเวทย์หนุ่มผมฟ้านี่อยู่ในสมัยเด็กๆก่อนที่เขาจะไปหมกตัวอยู่ในห้องสมุด

    หลังจากตั้งสติได้ ลุนลุน จึงทักทายกลับไป "สวัสดีค่ะ คุณเลซาทไม่เจอกันนานเลยนะคะ" เมื่อสาวผมม่วงทักทาย เฟทจึงทักทายบ้าง "สวัสดีค่ะคุณเลซาท เพิ่งทราบจากท่านเซเน็ตว่าคุณเป็นตัวแทน ลงแข่งในวันพรุ่งนี้ ดิฉันเอาใจช่วยนะคะ"

    "ขอบคุณนะครับ ว่าแต่ว่าถ้ามีธุระอะไรก็เชิญคุยกันต่อเลยนะครับผมไม่รบกวนแล้วครับ" เลซาทตอบกลับมาอย่างสุภาพ

    "ดูสิหายหน้าไปนานจนเค้าลืมกันหมดแล้วว่าฉันยังมีน้องชายกับเขาอยู่อีกคน แถมยังพูดตัดรอนกันเหลือเกินนะพ่อน้องชาย พอดีลุนลุน เค้ามาชวนเฟทไปทานข้าว พี่ก็เลยอาสาเป็นเจ้ามือมื้อนี้ซะเลย นายก็ไปด้วยกันสิเลซาท พี่เลี้ยงเอง" เซเน็ตเอยชวนน้องชายตน

    เลซาทยิ้มพลางกล่าวปฎิเสธ "ขอบคุณที่ชวนครับพี่ แต่ต้องขอโทษนะครับเผอิญผมก็มีนัดเช่นกัน"

    "เอ๋!? นายนี่นะมีนัดน่าแปลกนะนี่ แต่ก็เอาเถอะถ้าเปลี่ยนในก็ตามมาละกันนะ ร้านประจำของพี่น่ะแหละ" เซเน็ตเอ่ยพลางเดินเข้ามาตบไหล่น้องชายเบาๆ แล้วเดินนำออกไป โดยที่อีก2สาวก็มาเอ่ยลากับเขา

    หลังจากเดินกลับมายังห้องของตนเพื่อหยิบเงินมาเพิ่มแล้ว องค์ชายคนรองแห่งริมุเน่ จึงเดินกลับเข้าไปในเมืองอีกครั้งโดยเลือกอ้อมไปอีกทาง เพื่อดูสินค้าตามรายทางที่พ่อค้าเร่ต่างมาตั้งขาย โดยคำนวนไว้ว่า คงจะถึงร้านของออส ที่นัดไว้ เย็นๆ พอดี ขณะที่เดินเล่นอยู่นั่นเอง เขาก็เห็นชายกลุ่มใหญ่ กำลังล้มหน้าผู้หญิง2คนอยู่ ซึ่ง 2 คนนั้นเป็นคนที่เขารู้จักเสียด้วยสิ ผู้หญิง 2 คนนั้นก็คือ องค์หญิง แห่ง รีเวเรีย "โรวีเนีย แอสเทรล แรนดอร์ฟ " และผู้ติดตาม "อเมทิส โวเลนเต้" ขณะที่เลซาทยังคงยืนอยู่นั้นจู่ๆเขาก็เห็น ทั้ง2คนนั้นเดินนำผู้ชายกลุ่มใหญ่เข้าหายไปในมุมตึก

    ขณะที่ยังประเมินสถาณการณ์ไม่ตกนั้นเอง เลซาทเลือกที่จะวิ่งตามเข้าไปทันที เมื่อเขาไปถึงเป็นจังหวะเดียวกันที่ โรวีเนีย เชิญเทพอสูรทั้ง2ตนออกมา ซึ่งเลซาทก็ทราบได้ทันทีว่าทำไมทั้ง2สาวถึงต้องเข้ามาในที่ลับตาคนด้วย เลซาทจึงได้แต่ยืนแอบมองอยู่เงียบๆ เรื่องน่าจะจบลงอย่างเรียบร้อย

    แต่จังหวะที่สาวๆกำลังจะเดินออกจากที่นี่ เขาก็เหลือบไปเห็น ชายคนหนึ่งซึ่งยังไม่สลบดีนัก กำดาบในมือแน่ แกล้งนอนนิ่งรอให้เจ้าหญิงโรวีเนีย เดินเข้าไปใกล้ๆ แทบไม่ต้องคิด เลซาท วาเลท ร่ายมนต์แห่งสายลมทันที แล้วซัดเข้าใส่จังหวะเดียวกับที่เจ้าหมอนั้นลุกขึ้น จนมันหยุดชะงักเคลื่อนไหวไม่ได้ในชั่วพริบตา

    จากนั้นเขาก็เห็น เจ้านั่นถูกแช่แข็ง และ ซ้ำด้วยสายฟ้าจนเจ้านั่นหมดสภาพทันที จอมเวทย์หนุ่มผมฟ้ารู้ดีว่าทุกอย่างคงจบลงแล้วล่ะ ขณะที่ทุกคนกำลังรุมล้อมถามถึงอาการของเจ้าหญิงแห่งรีเวเรีย เขาจึงเดินกลับออกจากที่นั่นอย่างเงียบๆ พลางคิดในใจ

    "มิน่าเล่า เธอถึงถูกเรียกว่า `ซัมมอนเนอร์มาสเตอร์สาวผู้ไร้พ่าย` อัญเชิญอสูรในชั่วพริบตา ได้ครั้งละมากกว่า 1 ตน แถมอสูรแต่ละตนนั้น เป็นเทพอสูรชั้นสูงทั้งนั้น แล้วเราจะเอาอะไรไปสู้กันล่ะนี่ คงจะต้องใช้หลักการรวมเวทย์มนต์ที่เพิ่งรู้เมื่อกี้ช่วยแล้วล่ะมั๊ง เวลาซ้อมก็ไม่มี สงสัยต้องวางแผนรับมือให้รัดกุมเท่าที่จะทำได้ล่ะนะ"

    ความคิดที่จะเดินเที่ยวตลาดหมดลงทันที ขณะที่กำลังเดินอยู่นั่นเองจู่ๆก็มีอะไรบางอย่างปลิวมาตกลงตรงหน้าเขา เมื่อก้มลงไปเก็บก็พบว่ามันเป็นไพ่สำหรับทำนายดวงชะตาที่พวกหมอดูใช้กัน 2 ใบมาคว่ำอยู่ตรงหน้าเขา เมื่อหยิบพลิกขึ้นมาดูก็พบว่า ใบแรกเป็นรูปนักเวทย์ถือไม้เท้า มีอักษรเขียนไว้ว่า I The Magicain ใบที่ 2 เป็นรูปกงล้อ และมีตัวอักษรเขียนไว้เช่นกัน X Wheel Of Fortune

    เมื่อมองไปก็เห็นหมอดูหญิงผมสีดำแต่ตรงปลายกลับเป็นสีขาวดวงตากลมโตที่อยู่ภายใต้แว่นหนาเตอะ ในชุดสีดำคาดขอบด้วยสีแดง กำลังนั่งเก็บไพ่ทำนายของเธอที่ปลิวตกอยู่บริเวณโต๊ะ เลซาทจึงเดินเข้าไฟพร้อมกับยื่นไพ่ที่เขาเก็บได้ทั้ง2ใบให้ "นี่คงเป็นของคุณสินะครับ มันปลิวไปตกตรงหน้าผมพอดี"

    "ขอบคุณมากนะคะ พอดีชั้นเหม่อลอยไปหน่อย นั่งสิคะ ชั้น ฟรีเดล ซาโดซ่า จะดูดวงชะตาให้คุณเป็นสิ่งตอบแทน" หมอดูคนนั้นรับไพ่จากมือของจอมเวทย์หนุ่ม

    เลซาทยิ้มให้พลางปฎิเสธ "ไม่ต้องหรอกครับเรื่องเล็กน้อยเท่านี้เอง ผมขอตัวก่อนนะครับ"แล้ว เลซาทจึงเดินออกไปยังโรงเรียนสอนเวทย์มนต์ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลนัก

    แม่หมอ ฟรีเดล ซาโดซ่า มองไพ่ที่รับมาจากเลซาทพลางมองตามหลังเขาไป แล้วพึมพัมกับตนเอง "ไพ่ใบที่สิบ กงล้อแห่งโชคชะตาจักนำพาชีวิตให้เจิดจรัส และ ใบที่หนึ่ง ฤทธิ์เดชแห่งจอมขมังเวทย์คือมนต์วิเศษสะกดชีวิต งั้นหรือ?"

    "นี่! สวรรค์ท่ากำลังจะบันดาลให้อะไรเกิดขึ้นพรุ่งนี้กันแน่?"

    จอมเวทย์หนุ่มผมฟ้าอ่อนเดินมาถึงลานฝึกเวทย์มนต์ ซึ่งตอนนี้ไม่มีใครอยู่เลยซักคน แล้วจึงนั่งลงกางม้วนกระดาษโบราณมา แล้วขยับแว่นเพื่ออ่านอย่างละเอียดอีกครั้ง จากการที่เขาเคยทดลองการรวมเวทย์มนต์มาก่อน ทำให้เข้าใจได้ในเวลาไม่นานนัก "เวทย์ทั้ง2บท ไม่ว่าจะสายเดียวกันหรือต่างกัน ต้องมีพลังที่สมดุลกันถึงจะสามารถรวมกันได้ เราคงพลาดในจุดนี้นี่เอง" องค์ชายคนรองแห่งริมุเน่พึมพัมอยู่คนเดียว

    จอมเวทย์โดยทั่วไปนั้นใช้เวทย์มนต์ได้อย่างมากก็เพียง1-2 สาย เท่านั้น แต่จะมีซักกี่คนที่รู้ว่า เลซาท วาเลท นั้นใช้เวทย์มนต์ได้แทบจะครบ ทุกบท ทุกสาย! ฉะนั้นการที่พี่ชายของเขา เรียกเขาว่า "อัจฉริยะ" นั้น ไม่ใช่คำพูดที่ยกยอเกินจริงเลยแม้แต่น้อย

    เลซาทลุกขึ้นพลาง ลองเรียก เวทศรเพลิง และ ศรสายฟ้า จากมือซ้ายและมือขวาพร้อมกับตรึงพลังเวทย์ให้ยังคงคาอยู่บนมือ จากนั้นก็ประกบมือเข้าด้วยกันเพื่อรวมศรเวทย์ทั้ง2ชนิดเข้าด้วยกัน แต่มันไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะตัวเลซาทเองนั้น ถนัดเวทย์สายไฟมากกว่าสายอื่นๆอยู่พอสมควรเลยทีเดียว จึงทำให้เวทย์ศรเพลิงในมือขวามีพลังมากกว่า ศรสายฟ้าในมือซ้าย ทำให้เปลวเพลิงลามเข้าสู่แขนซ้ายทันที่

    แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เป็นเช่นนี้ เขาลองผิดลองถูกจนมือซ้ายเกรียมไปข้างหนึ่งแล้วไม่ยอมผิดซ้ำรอยเดิมเป็นอันขาด จอมเวทย์หนุ่มผมฟ้าอ่อน ลดพลังเวทย์เพลิงที่มือขวาลงทันที ทันทีที่เวทย์ทั้ง2บทมีพลังสมดุลกันแล้ว เวทย์ทั้ง2จึงรวมตัวกันในพริบตานั้นเอง

    เลซาท ปล่อยศรเวทที่รวมกันระหว่าง เปลวเพลิง และ สายฟ้า พุ่งเข้าใส่หุ่นที่ไว้สำหรับซ้อม ที่อยู่ไม่ห่างจากเขาเกินไปนัก ศรเวทย์มนต์สีแดงฉานที่มีประจุไฟฟ้าแล่นอยู่โดยรอบ พุ่งเข้าใส่หุ่นอย่างรวดแร็ว ทันทีที่สัมผัส ความร้อนของเปลวเพลิง และ อำนาจในการทำลายของสายฟ้า ก็สำแดงอำนาจของมัน ทำลายครึ่งบนของหุ่นตัวนั้นในทันที

    ขณะที่ตัวผู้ใช้ยังคงยืนดูผลของมันอย่างไม่เชื่อสายตา เพราะโดยปกติหุ่นซ้อมเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นจากโลหะที่ต้านทานพลังเวทย์ถ้าไม่ใช้เวทย์มนต์ตั้งแต่ระดับ4ขึ้นไปไม่มีทางทำลายได้เป็นอันขาด เลซาทไม่รอช้า ลองทดสอบอีกครั้ง คราวนี้ยังคงใช้เวทย์ระดับ2 ซึ่งเป็นเวทย์พื้นฐาน เขาใช้เวลาร่ายไม่ถึง3วินาที แต่เปลี่ยนเป็น ใบมีดสายลม และ ศรน้ำแข็ง แทน ทันทีที่ประกบมือเวทย์ทั้ง2ก็รวมตัวเข้าด้วยกันทันที แล้วจอมเวทย์หนุ่มก็ ปล่อยมันเข้าใส่หุ่นตัวเดิมที่เหลือเพียงครึ่งล่าง คราวนี้ครึ่งล่างของหุ่นนั้นถูกฉีกขาดออกจากฐานของมัน พร้อมๆกับน้ำแข็งที่เกาะซากตัวหุ่น และ ฐานของมันเต็มไปหมด

    หลังจากนั้นเขาก็ทดลองสิ่งที่เขาเพิ่งจะทำได้ หลายๆแบบ โดยใช้เวทย์พื้นฐานระดับ2ทั้งหมด สำเร็จบ้างล้มเหลวบ้าง พอรู้สึกตัวอีกทีก็พบว่าพระอาทิตย์กำลังจะตกดินแล้ว เมื่อหยิบนาฬิกาขึ้นมาดูก็พบว่า อีกไม่นานก็จะเป็นเวลา 6 โมงเย็น จากที่เขารู้มาพ่อค้าเร่ ส่วนใหญ่จะเก็บร้านเมื่อลูกค้าหมด หรือ มองไม่เห็นสินค้าแล้ว คือช่วงพระอาทิตย์ตกดินไปแล้วนั่นเอง

    เขาจึงหยุดทดลองสิ่งที่เขาเพิ่งค้นพบ แล้วมุ่งหน้าไปยังห้องพยาบาลของที่นี่ เพราะ ตอนนี้มือซ้าย และ มือขวาของเขา ต่างเต็มไปด้วยแผลที่เกิดจากเวทย์มนต์ ถึงมันจะไม่ใหญ่โต และ ร้ายแรงอะไรนัก เหมือนครั้งที่เผาแขนซ้ายเขาทั้งข้าง เพราะจับหลักได้แล้ว แต่ไปทานอาหารสภาพนี้ออกจะเสียมารยาทอยู่ไม่น้อย หลังจากจัดการทำแผลเรียบร้อยแล้ว เลซาทจึงมุ่งไปยังที่ตั้ง ร้านของคนที่เขานัดไว้ทันที

    เมื่อมาถึงเลซาทก็เห็น พ่อค้าผมส้มกำลังเก็บร้านอยู่ เมื่อเห็นเลซาทมาถึงเขาจึงเอ่ยทักทาย "มาเร็วดีนี่ รอแปปนะ เลซาท ขอเก็บร้านก่อน" แล้วทั้ง2หนุ่มก็เดินไปยังร้านอาหารที่อยู่ไม่ไกลนัก

    หลังจากนั่งคุย เลซาทจึงได้บอกว่า หลังจากจบงานแข่งคราวนี้แล้วเขาจะออกเดินทางบ้าง จึงขอคำแนะนำเกี่ยวกับการเดินทางจากออส ซึ่งเป็นพ่อค้าเร่ เดินทางมาแล้วเกือบๆทั่ว เอลล์เทอเฟีย

    "ล้อเล่นกันรึเปล่าเนี่ย จะให้พ่อค้าอย่างชั้นไป สอน จอมเวทย์ที่รอบรู้ขนาดอ่านภาษาโบราณออก อย่างนายเนี่ยนะ"

    เลซาทขยับแว่นตามความเคยชิน "ได้ยินไม่ผิดหรอกครับ ความรู้ของผม ก็มีเฉพาะที่รู้จากหนังสือเท่านั้นแหละครับ ส่วนประสบการณ์จริงนั้น ผมแทบไม่มีเลย อย่างน้อยก็ถือว่าแนะนำมือใหม่ ละกันนะครับ"

    "ปกติชั้นเห็นแต่จอมเวทย์หยิ่งๆ คิดว่าตัวเองรู้ไปหมดทุกอย่าง เพิ่งจะเคยเจออย่างนายนี่แหละ ถึงกับมาขอร้องพ่อค้าอย่างชั้นให้สอน ใครรู้เข้าจะขายขี้หน้าเอานา นายแว่น" ออสหัวเราะหึๆ พลางยกน้ำขึ้นดื่ม

    แต่เลซาทกลับส่ายหน้า "ไม่หรอกครับ ไม่มีใครรู้ไปหมดทุกอย่างหรอก แล้วผมก็ไม่อายด้วยที่จะให้คนอื่นสอนในสิ่งที่ผมไม่รู้ อาจารย์สอนผมไว้ว่า ถ้าไม่รู้อย่าหวาดกลัวที่จะถาม เพราะถ้าไม่ถามใครจะรู้ว่าเราอยากรู้อะไร ถ้าถามแล้วเขาไม่รู้ หรือ ไม่ตอบ อย่างมากก็กลับมาที่จุดเดิม คือไม่รู้ ก็ไม่มีอะไรที่เสียหายนี่ครับ"

    "ฮ่าๆ คำคมมากนายแว่น ความคิดนายนี่ต่างจากคนอื่นๆทีเดียวนะนี่ ไหนก็ถามมาแล้วชั้นจะไม่ตอบมันก็ดูจะกระไรอยู่" แล้วพ่อค้าผมส้มก็แนะนำเกี่ยวกับเดินทางเท่าที่เขาจะรู้ให้จอมเวทย์ผมสีฟ้าอ่อนฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ พร้อมให้แผนที่ของ เอลล์เทอเฟีย แก่เลซาท1ฉบับด้วย

    "แผนที่นี้ชั้นไม่ค่อยได้ใช้มันนักหรอก เพราะเส้นทางต่างๆมันอยู่ในหัวหมดแล้ว แผนที่นี่ถูกเขียนโดยจ้าวแห่งแผนที่ `เครส แทมเพอร์ ` เชียวนา มีรายละเอียดเกี่ยวกับสถานที่ต่างๆระบุอยู่บนแผนที่ด้วย สำหรับคนที่ไม่ค่อยรู้อะไรเกียวกับสถานที่ต่างอย่างนายมันจะมีประโยชน์กับนายมากทีเดียว เชื่อขนมกินได้เลย"

    หลังจากเหลือบมองนาฬิกาที่แขวนอยู่ในร้านก็พบว่าใกล้ได้เวลาออกเดินทางของออสแล้ว "ถ้ามีวาสนาเราคงได้เจอกันอีก น่าเสียดายถ้าไม่ติดธุระชั้นเองก็อยากจะอยู่ดูนายแข่งเหมือนกันนะนี่ ไปก่อนละ" พ่อค้าผมส้มร่ำลาง่ายๆ

    "คุณออสครับ ผมจะขอนับว่าคุณเป็นเพื่อนได้ใหมครับ?" เลซาทเอ่ยถามมาอย่างซื่อๆ

    ออส มองหน้าจอมเวทย์หนุ่มใส่แว่นผมฟ้าอ่อนคนนั้นอย่างสงสัย ว่าล้อเล่นอะไรหรือเปล่า ก็ไม่พบอะไรในสีหน้าและแววตานั้นเลย "ชั้นล่ะตามนายไม่ทันจริงๆ ถ้านายจะไม่รังเกียจพ่อค้าเร่ร่อนอย่างชั้นแล้วล่ะก็นะ ส่วนชั้นมีถ้าเพื่อนเป็นจอมเวทย์ผู้รอบรู้มันเท่จะตายไป ไปก่อนละ สหาย"

    "ถ้ามีวาสนาเราคงได้เจอกันอีก ลาก่อน เพื่อน" เลซาทโบกมือลาพร้อมรอยยิ้ม ในที่สุดเขาก็เข้าใจในสิ่งที่อาจารย์พูดกับเข้าอย่างแจ่มแจ้ง "คนเรานั้นถ้าไม่จริงใจต่อกัน ต่อให้คบกันจนผมหงอก ก็เหมือนคนแปลกหน้า ถ้าจริงใจต่อกัน ถึงคุยกันครั้งแรก ก็เหมือนสหายสนิทที่รู้ใจ"

    แล้วอีกหนึ่งวันที่มีค่ามากที่สุดของจอมเวทย์ผู้ขลุกอยู่ในห้องสมุดมาตลอดอย่างเขา นอกจะได้รู้ถึงวิธีการใช้เวทย์มนต์ใหม่ๆแล้ว ที่สำคัญเขามีเพื่อนแล้ว ถึงจะเป็น เพื่อนที่รู้จักกันในเวลาสั้นๆ และ ไม่รู้จะได้เจอกันอีกใหม

    แต่เลซาทก็ยินดีที่จะเรียกพ่อค้าผมส้มคนนั้นว่า "เพื่อน" เลซาท วาเลท ทิ้งตัวลงบนเตียงของเขาและหลับไปในช่วงเวลาไม่นานนัก เขาไม่รู้ว่า พรุ่งนี้จะเป็นวันที่ชีวิตเขาจะต้องเปลี่ยนไปตลอดกาล และ เป็นวันที่คำว่า "ปีศาจจอมมนต์ดำ" กลายเป็นฉายาของเขา




    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~​
  14. joi100

    joi100 นักเดินทางแห่งมิดการ์ด

    EXP:
    478
    ถูกใจที่ได้รับ:
    23
    คะแนน Trophy:
    38
    Re: [ฟิครับสมัคร] Tale Of Light and Shadow

    เรื่องเล่าจากแสงและเงา เรื่องที่2 อัจฉริยะในห้องสมุด (4)






    เช้ามืด วันที่จะพลิกผันชะตากรรมของใครบางคนก็มาถึง ลายลมพัดเบาๆ ทำให้รู้สึกถึงความสดชื่นจากน้ำค้าง และ อากาศที่เย็นสบาย เลซาท วาเลท กำลังก้มๆเงยๆ สำรวจ บริเวณ ของ สนามแข่งทั้งหมด การที่เขาทำเช่นนี้ เพราะ เมื่อคืนในร้านอาหาร ตัวเขาได้รับคำแนะนำจาก เพื่อนพ่อค้าผมส้มนั่นเอง

    "นี่ นายแว่น พรุ่งนี้ นายจะลงแข่งแล้วใช่ใหม?" ออสเอ่ยถามขึ้น ขณะคุยกันในเรื่องทั่วๆไปกันอยู่

    "ครับ พรุ่งนี้ผมจะแข่งเป็นคู่แรก กับ ตัวแทนจากรีเวเรีย เลยน่ะครับ" จอมเวทย์ผมฟ้าตอบกลับมา

    "อ้อ เจ้าหญิง ผิวแทนผมขาว หน้าตาน่ารักๆ ที่ชื่อ `โรวีเนีย` ใช่หรือเปล่า ใครๆก็ว่าเธอเป็นจอมเวทย์รุ่นใหม่ ที่เก่งกาจที่สุดบน เอลล์เทอเฟีย เลยนี่นา นายจะไหวรึน่ะ" พ่อค้าผมส้มพูดพร้อมหัวเราะ

    "ผมก็ว่างั้นแหละครับ เธอ อัญเชิญ มนต์อสูรชั้นสูงได้ทีละ 2 ตน แถม ใช้เวลาร่าย เพียงนิดเดียว คำว่า `ไร้พ่าย` ของเธอนั้น ไม่ได้มาเพราะคู่แข่งเกรงใจในฐานะที่เป็นองค์หญิง แห่ง รีเวเรีย เท่านั้น แต่เป็นฝีมือของเธอจริงๆ" เลซาทเอ่ยพลางหัวเราะออกมาเช่นกัน

    "พูดอย่างนี้แสดงว่ากะจะไม่ชนะ งั้นสิ ขืนแพ้เดี๋ยวนายจะไม่ได้ออกเดินทางตามที่หวังไว้เอานา"

    เลซาทยิ้มๆ "ไม่หรอกครับ ตอนผมตกลงที่จะเข้าแข่งขัน ผมบอกไว้ชัดเจนไว้เลยว่า `ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ` ผมก็จะออกเดินทาง แถม ทุกคนที่รู้ว่าผมจะลงแข่ง ก็ไม่มีใครหวังว่าผมจะชนะ นี่รวมไปถึงคนดูทั้งสนามตอนแข่งจริงด้วยล่ะครับ"

    "เจ๋ง!! นายนี่แน่มาก แต่ชั้นคิดว่าถ้านายแพ้ คงเป็นเพราะนายจงใจจะแพ้มากว่า"

    "เพื่อเป็นการรักษาหน้าของทั้ง 2 ฝ่ายใช่ใหมล่ะ ที่เลือก เอาองค์ชายคนรองอย่างนายเข้าแข่ง แทนที่จะเป็นพี่ชายของนาย ใช่หรือเปล่าครับ เลซาท วาเลท องค์ชายคนเล็ก ของ ริมุเน่ เมืองแห่งเวทย์มนต์" ออสเรียกชื่อเต็มของคู่สนทนาของเขาทำเอา จอมเวทย์ผมฟ้าชะงักไปเล็กน้อย

    "ไม่ต้องตกใจขนาดนั้น ก็ได้ ที่จู่ๆชั้นรู้ว่านายเป็นใคร ชั้นเป็นพ่อค้าพบปะผู้คนมากมาย ข่าวสารเล็กน้อยแค่นี้หาไม่ได้ ขายขี้หน้าเขาตาย ที่ฉันมานั่งคุยกับนายตรงนี้ เวลานี้ ไม่ใช่เพราะชั้นรู้ว่านายเป็นเจ้าชายของที่นี่ แต่เป็น เพราะชั้นถูกชะตากับนายมากกว่า ถึงจะเป็นแค่พ่อค้าเร่จนๆ แต่ถ้าจะให้นั่งกินข้าวกับคนที่ไม่ชอบขี้หน้า ต่อให้อาหารหรู แค่ไหน คงต้องขอผ่านล่ะนะ " เลซาทได้ยินดังนั้น จึงยิ้มออกมาได้

    "ว่าแต่ว่า นายแว่น จริงๆแล้วนายกะว่าจะแพ้ในการแข่งพรุ่งนี้จริงๆ น่ะรึ?" ออสพูดจบแล้วมองหน้าของจอมเวทย์หนุ่มผมฟ้าที่ร่วมโต๊ะอาหารกับเขา "ในใจลึกๆแล้ว นายอยากจะใช้โอกาสนี้ทดสอบใช่ใหมล่ะ ว่าตัวเองจะมีความสามารถอยู่ในระดับไหน จริงไหม?"

    เลซาท วาเลท ยังคงยิ้มอยู่แล้วก็เอ่ยถามกลับไป "แล้วคุณออสทราบได้อย่างไรว่า ผมน่ะมีฝีมือพอที่จะสู้กับ ซัมมอนเนอร์มาสเตอร์ผู้ไร้พ่ายคนนั้น? ผมเป็นเพียง ผู้ใช้เวทย์มนต์ที่ไร้ชื่อเสียงไม่มีคนรู้จักก็เท่านั้นเอง"

    พ่อค้าผมส้มหัวเราะเสียงดัง "เพราะนายเป็นคนประเภทเดียวกับชั้นยังไงล่ะ พวกเสือซ่อนเล็บ ดาบซ่อนคม มองแวบเดียวก็รู้แล้ว ดีไม่ดีนายเองยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ ว่าจริงๆ แล้วฝีมือของตัวเองมีมากแค่ไหน"

    "อย่างที่คิดไว้เลย คุณออสเองก็คงไม่ใช่พ่อค้า หรือ นักล่าสมบัติธรรมดาๆ จริงๆสินะครับ ถึงได้มีสายตาเฉียบคมขนาดนี้ ก็อย่างที่คุณออส พูดน่ะแหละครับ ผมเองยังไม่เคยใช้ความสามารถ ทั้งหมดที่มีของผมในการต่อสู้ เลยจริงๆจังๆซักครั้ง เพราะผมไม่รู้จะใช้มันเพื่ออะไร คุณออส พอจะบอกผมได้ไหมครับ?" เลซาทตอบกลับมา

    "หึๆ นายนี่น่ากลัวชะมัด ชั้นเองก็ไม่รู้เหมือนกันแต่ถ้าจะให้ตอบแล้วล่ะก็ สำหรับชั้น เวลาที่ต้องเอาจริง คือเวลาที่ต้อง ปกป้องอะไรซักอย่าง ที่เราคิดจะปกป้องด้วยชีวิตยังไงล่ะ" ออส ตอบพร้อมกับหัวเราะหึๆ

    "ปกป้องด้วยชีวิต? เช่นนั้นหรือครับ" จอมเวทย์หนุ่มเอ่ยขึ้นมาลอยๆ

    "อืม มันอาจจะไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องที่สุด แต่ชั้นถ้าจะให้ตอบก็ต้องเป็นสิ่งนี้แหละ นี่นายแว่น พรุ่งนี้นายจะแข่งแล้วสินะ ชั้นมีคำแนะนำให้เอามะ?"

    เลซาทเลิกคิ้ว "คำแนะนำอะไรหรือครับ?"

    "ในฐานะแข่งในถิ่นของนาย นายลองใช้สิ่งนี้ ลักไก่ ชิงความได้เปรียบดูสิ ก่อนแข่งลองไปสำรวจสนามแข่งเพื่อจะมีอะไรใช้ประโยชน์ได้ในการแข่งจริง" ออสบอกมาด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง

    "คงหมดหวังล่ะมั๊งครับ เพราะสนามแข่งเป็นเพียงพื้นหินปูเรียงกันเรียบๆไม่มีอะไรเลย ซึ่งเป็นแบบนี้มาตั้งแต่โบราณแล้วล่ะครับ" เลซาทตอบตามความจริง

    "งั้นรึ ถ้ามันไม่มีนายก็สร้างมันขึ้นมาเองสิ หึๆ" พ่อค้าผมส้มบอกพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

    จอมเวทย์ผมฟ้าอ่อน ขยับแว่นเล็กน้อย "วิธีนี้คงจะไม่เหมาะกับผมหรอกครับ ถึงยังไงผมก็อยากจะแข่งแบบยุติธรรมมากกว่า"

    ออสหัวเราะ กึกๆ ในความซื่อของเพื่อนร่วมโต๊ะอาหารของเขา "นายนี่ยุไม่ขึ้นเลยน๊า แต่ก็เอาเถอะ นายตีความหมายผิดไปนิดนึงนะนายแว่น ชั้นไม่ได้ให้นายเล่นตุกติกกับสนามแข่ง แต่หมายถึงให้ไปสำรวจให้ดี แล้วเวลาแข่งนายจะไห้มีตัวช่วยบ้าง คนฉลาดอย่างนายคงจะเข้าใจที่ชั้นพูดใช่แมะ"

    และนี่แหละ คือสิ่งที่เขาต้องมาสำรวจสนามแข่งแห่งนี้อย่างละเอียดทุกซอกทุกมุม "เป็นก้อนหิน ตัดเป็นสีเหลี่ยมวางเรียงกัน เป็นรูปสีเหลี่ยมจตุรัส กว้าง ยาวประมาณ 100 เมตรอย่างนั้นหรือ เวทีใหญ่ทีเดียวเลยนะนี่ ตัวเวทียกสูงจากพื้นดินประมาณ 1 เมตร อืมๆ" เลซาท วาเลท พึมพัมอยู่คนเดียว ท่ามกลางแสงสลัวๆ จากคบเพลิง และ แสงของดวงอาทิตย์ที่เริ่มฉายจากขอบฟ้าบ้างแล้ว

    แล้วตัวเขาเองก็เดินออกจากสนามแข่งแห่งนั้น กลับไปยังห้องพัก เพื่อเตรียมตัวเพื่อที่เข้าร่วมการแข่งขัน ที่จะเริ่มในเวลา 10 นาฬิกา พร้อมๆกับแผนการรับมือ ซัมมอนเนอร์มาสเตอร์สาว ที่ ได้ชื่อว่า"ไร้พ่าย" ไม่ต่ำกว่า20แผนการในหัวของเขา


    หลังจากพักผ่อน และทำธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว เลซาทก็ นั้งลงบนเตียงนอนของเขา มองกล่องไม้ที่วางอยู่บนตัก ภายในของมันมี แหวนสีขาวสะอาดตา 2 วงวางสงบอยู่ภายในกล่อง "ปกป้องในสิ่งที่เราอยากจะปกป้องด้วยชีวิตอย่างงั้นเหรอ? ตัวเราเองอยากจะปกป้องสิ่งใดกันนะ?" นี่เป็นคำถามที่ดังขึ้นภายในใจของจอมเวทย์หนุ่มผมสีฟ้าอ่อน ผู้อยู่ในห้องสมุดมา เกินครึ่งหนึ่งของชีวิตเขา

    ขณะที่ยังนั่งเหม่อมอง แหวนทั้ง2วงอยู่นั้นเอง เขาก็ถูกปลุกจากภวังด้วยเสียงเคาะประตู "องค์ชายเลซาท ได้เวลาแล้ว ขอเชิญไปที่ห้องเตรียมตัวของผู้เข้าแข่งด้านทิศเหนือ ของสนามแข่งเวลานี้เลย พะย่ะค่ะ"

    เลซาท มองแหวนที่ยัง 2 วงอีกครั้ง พร้อมกับหยิบมัน หย่อนลงไปในกระเป๋ากางเกงของเขาทั้ง2วง และเดินไปเปิดถุงผ้าใบหนึ่งที่วางอยู่บนโต๊ะของเขา ข้างในเป็น ศิลาเวทย์มนต์ หลากสี อุปกรณ์เวทย์มนต์ ชิ้นหนึ่งใช้ประกอบในการร่ายเวทย์มนต์บางชนิด ซึ่งศิลาเหล่านี้ถ้าอยู่ในมือของผู้ที่ชำนาญใช้มันแล้วก็น่ากลัวพอสมควรเลยทีเดียว หลังจากหยิบก้อนหินสีสุกใส จำนวนหนึ่งใส่ลงไปในกระเป๋ากางเกงเช่นเดียวกัน พร้อมเดินออกจากห้องพักของเขา ก็พบว่ามีมหาเล็กคนหนึ่ง ยืนรออยู่แล้ว

    "นำทางไปได้เลยครับ ผมพร้อมแล้ว"

    เมื่อมาถึงห้องพักของผู้เข้าแข่งด้านทิศเหนือ ก็พบว่าภายในห้องนั้น มีพี่ชายของเขานั่งรออยู่แล้ว "ว่าไงเลซาท ดูท่าทางนายจะไม่ตื่นเต้นอะไรกับเขาเลยนะ?"

    เลซาทมองไปรอบๆห้องเมื่อพบว่าไม่มีใครนอกจากพี่ชายของเขา จึง เดินเข้าไปหาแล้วเอ่ยด้วยเสียงดังไม่เกินกระซิบ "การแข่งที่รู้ผลตั้งแต่ไม่ลงสนาม ผมจำเป็นต้องตื่นเต้นด้วยหรือครับ?"

    เซเน็ตได้ยินเช่นนั้นจึงหัวเราะออกมาเบาๆ "นายคิดว่าทุกคนส่งนายลงไปแพ้หรือไงนะพ่อน้องชาย?"

    "หรือว่าไม่จริงรึครับ? ทุกคนที่รู้ว่าผมจะลงแข่งแทนพี่ ไม่มีใครคิดว่าผมจะชนะ หรอกครับ" เลซาทกล่าวพร้อมๆกับนั่งลงข้างๆพี่ชายเขา

    "ไม่ใช่ทุกคนหรอก เว้นไว้ 4 คน ที่พวกเขาไม่คิดว่านายจะแพ้" ซึ่งประโยคนี้ทำเอาจอมเวทย์หนุ่มผมฟ้าขมวดคิ้วด้วยความกังขา "เอ๋? มีด้วยหรือครับ"

    เซเน็ตตอบพร้อบชู4นิ้ว " อาจารย์อัลฟรีด ท่านพ่อ ท่านแม่ และ ตัวพี่เอง ยังไงล่ะ สารภาพมาซะดีๆ นายไปทำอะไรไว้ที่ห้องซ้อมเวทย์มนต์ในโรงเรียน ทำเอาหุ่นซ้อม20กว่าตัว พังเกือบหมด รู้ใหม? เรื่องนี้ทำเอา ท่านพ่อ พี่ และอาจารย์ ต้องไปดูด้วยตัวเองเลยนะนี่"

    "มีอะไรหรือครับ ปกติห้องนั้นก็เอาไว้ซ้อมเวทย์มนต์อยู่แล้วนี่ครับ ผมก็ไม่ได้ทำผิดกฎอะไร ก่อนเข้าใช้ผมก็ลงชื่อไว้แล้วนะครับ" เลซาทถามกลับมาอย่างสงสัยว่าเขาทำอะไรผิดน่ะ

    เซเนตถอนหายใจออกมาเล็กน้อย "นายไม่ได้ทำอะไรผิดหรอก แต่เค้าสงสัยกันว่านายใช้เวทย์อะไรกันแน่ ถึงได้พังหุ่นซ้อมซะแหลกขนาดนั้น จะว่าเป็นเวทย์ระดับ 5ขึ้นไปก็ไม่น่าจะใช่เพราะ หุ่นแต่ละตัวนั้นสภาพเสียหายต่างกัน ทุกคนเค้าเลยสงสัยว่านายทำอะไรกับหุ่นพวกนั้นกันแน่ หือ เลซาท?"

    "ไม่มีอะไรมากแค่ทดสอบทฤษฎีอะไรบางอย่างนิดหน่อยน่ะครับ" จอมเวทย์หนุ่มผมสีฟ้าอ่อนตอบกลับมาง่ายๆ ทำเอาคนถามแทบจะลุกไปเขกกะโหลก น้องชายของเขาซักที

    "นี่พ่อคุณพ่อน้องชายสุดที่รัก นายกำลังจะทำอะไรกันแน่หือ? ชั้นว่าดูท่าทางไม่เหมือนคนที่กำลังจะไปแพ้เลยซักนิดเดียว"เซเน็ตเอ่ยประชดขึ้นมาทันที

    เลซาทขยับแว่นเล็กน้อยแล้วตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆ "ผมแค่อยากจะทดสอบดูว่าลำพังกำลังและความรู้ที่ผมมีอยู่ตอนนี้มันจะมีมากพอที่จะต้านทาน คนที่ใครๆก็ต่างเรียกเธอว่า สุดยอดจอมเวทย์สายอัญเชิญ ที่ได้ชื่อว่า `ไร้พ่าย` ซักแค่ไหนกันเท่านั้นเองแหละครับ"

    เซเน็ตถามย้อนกลับมา"โดยไม่ใช้แม้กระทั่ง ไม้เท้าเพื่อเสริมพลังเวทย์งั้นหรือ? "

    "ครับ ผมถือว่านี่เป็นการทดสอบครั้งสำคัญ ก่อนที่ผมจะออกเดินทางไปดูโลกกว้างจริงๆ ไม่ว่าตัวผมเองนั้นจะมีฝีมือระดับไหน แต่ผลการแข่งขั้นครั้งนี้ก็จะออกมาตามแบบที่ทุกคนคาดหวังไว้แน่นอนล่ะครับ" น้องชายผมสีฟ้าอ่อนตอบพี่ชายของตน

    "ถ้านายชนะ นายจะได้ทั้งชื่อเสียง และ เกียรติยศ นะ ยิ่งถ้านายชนะเลิศขึ้นมา รางวัลก็ไม่ใช่น้อยๆเลยนะ นายไม่สนใจเลยรึ" องค์ชายคนโตแห่งริมุเน่เอ่ยถามน้องชายของเขา

    "แล้วพี่เซเน็ตคิดว่าผมสนใจสิ่งเหล่านั้น หรือครับ? พี่ก็น่าจะรู้คำตอบของคำถามนี้อยู่แล้วนี่ครับ" คำตอบนี่ทำเอาคนเป็นพี่ชายถึงกับเงียบไปพักใหญ่

    "เลซาท พี่ไม่รู้หรอกนะว่านายคิดยังไง แต่สำหรับตัวพี่แล้ว นายเป็นน้องชายที่ตัวพี่ภูมิใจมาก การแข่งขันครังนี้ ไม่ว่าผลจะเป็นยังไงก็ตาม อยากให้นายรักษาตัวด้วยล่ะ ขืนนายเป็นอะไรไป มีหวังพี่โดนท่านแม่ โกรธเอาแหงๆ"

    "ขอบคุณนะครับพี่ชาย" เลซาทตอบสั้นๆพร้อมรอยยิ้ม แล้วการสนทนาของ2พี่น้องก็ถูกขัดจังหวะ ด้วยเสียงเคาะประตู

    "ขณะนี้ได้เวลาแล้วขอให้ นักกีฬา ลงสนามแข่งได้แล้วค่ะ"

    "งั้นผมขอตัวก่อนนะครับพี่" เลซาทเดินไปที่หน้าประตูทันที "เดี๋ยวก่อนแล้วแหวนคู่ เอลล์เทอเฟียล่ะเลซาท" จอมเวทย์หนุ่มผมสีฟ้าอ่อนได้ยินคำถามของพี่ชายจึงล้วงเข้าไปในกระเป๋าแล้วชูแหวนทั้ง2วงขึ้นมา พร้อมยื่นให้พี่ชายของเขา "พี่ชายจะเอาคืนแล้วหรือครับ?"

    "ชั้นให้นายไปแล้วมันก็เป็นของนายแล้วล่ะสิ นึกว่านายจะลงสนามตัวเปล่าๆจริงๆซะอีก" เซเน็ตเอ่ยทักยิ้มๆ

    "ผมแค่พกติดตัวไว้เพื่อฉุกเฉินเท่านั้นแหละครับ ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ผมก็ไม่คิดจะเอามันขึ้นมาใช้หรอกครับพี่เซเน็ต" เมื่อได้ฟังคำตอบของน้องชายผู้ขลุกอยุ่แต่ในห้องสมุดของเขา เซเน็ต วาเลท ถึงกับหัวเราะ หึๆ

    "ถ้าคนที่คิดว่านายจะต้องแพ้แน่นอนทั้งหลาย มาได้ยินนายพูดอย่างนี้ คงจะหัวเราะแทบเป็นแทบตายเลยล่ะมั๊ง เอาล่ะไปดีมาดีล่ะเจ้าน้องชาย"

    "ครับพี่" เลซาทรับคำสั้นๆ พร้อมกับเดินออกจากห้องไปตามทางเดินเพื่อมุ่งเข้าสู่สนามแข่งทันที




    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~​





    วันนี้ลานกว้าง ของโรงเรียนสอนเวทย์มนต์ ริมุเน่ เวลานี้แน่นขนัดไปด้วยผู้คนที่ต่างเข้ามาชมการแข่งขันเวทย์มนต์ที่จัดขึ้น เพียง1ครั้ง ในรอบ 5 ปี เหล่าผู้คนที่สนใจในเวทย์มนต์รวมไปถึง ผู้ใช้เวทย์มนต์ จากทั่วทุกสารทิศมารวมตัวกันที่นี่ ซึ่งหลังจากท่านเจ้าเมือง ริมุเน่ ผู้กล่าวเปิดการแข่งขั้นแล้ว โฆษก ก็ขึ้นมาบนเวที พร้อม ประถึงการแข่งขันคู่แรก ทำเอาเรียกเสียงฮือฮาๆไปทั่วทั้งสนาม

    "การแข่งขั้นคู่แรกสำหรับการแข่งขันเวทย์มนต์ในครั้งนี้ ได้แก่ ตัวแทนจากริมุเน่ ปะทะ ตัวแทนจากริเวเรีย" สิ้นเสียงโฆษก เสียงผู้คนที่เข้ามาชมก็ดังกระหึ่มขึ้นทันที เพราะเกือบทั้งหมดที่นั่งอยู่ในสนามแข่งแห่งนี้ต้องการ ชมการแข่งขันของ จอมเวทย์สาวตัวแทนจากรีเวเรีย "โรวีเนีย แอสเทรล แรนดอร์ฟ " เจ้าของฉายา "ซัมมอนเนอร์มาสเตอร์สาวผู้ไร้พ่าย" และตัวแทนจาก ริมุเน่ ซึ่งได้รับการคาดเดาว่าต้องเป็น "เซเน็ต วาเลท" เจ้าชายของเมืองแห่งเวทย์มนต์ หัวหน้าของกองทหารเวทย์ กองทหารที่แข็งแกร่งที่สุดของ ริมุเน่ กันทั้งนั้น

    โฆษกอ่านรายชื่อของผู้เข้าแข่งขันในมือพร้อมประกาศเชิญ ทันที

    " จากทิศใต้ ตัวแทนจากรีเวเรีย โรวีเนีย แอสเทรล แรนดอร์ฟ "

    พอประกาศจบ ร่างของสาวน้อย ผู้มีผมยาวถึงกลางหลังสีขาวราวไข่มุกหยักศก ดวงตากลมโตฉายแววขี้เล่นสีแดงสดราวกับไฟ ใบหน้ารูปไข่ ผีวสีแทนเข้ม หน้าตาคมคาย ริมฝีปากบาง คิ้วโก่ง จมูกโด่งเป็นสัน มีลักยิ้มเล็กข้างแก้ม เดินเข้ามาในสนามด้วยท่าทางอันสง่างาม สมกับเป็นองค์หญิงแห่งรีเวเรีย เธอเดินขึ้นมาบนเวที พร้อมๆกับเสียง เชียร์ดังกระหึ่มขึ้นทั้งสนาม

    เมื่อเห็นโรวีเนียเดินขึ้นบนเวทีเรียบร้อยแล้ว โฆษกจึงประกาศผู้เข้าแข่งอีกคนทันที

    "จากทิศเหนือ ตัวแทนจากริมุเน่ เลซาท วาเลท"

    เมื่อสิ้นเสียง จอมเวทย์หนุ่มผมสีฟ้าอ่อน เดินเข้าสู่สนามแข่ง พร้อมกับเสียงที่เงียบกริบไปอึดใจ แล้วตามมาด้วยเสียงพูดคุยกันด้วยความประหลาดใจ ซึ่งอาการประหลาดใจนี้ก็รวมไปถึง สาวน้อยผมสีใข่มุขที่ยืนอยู่บนเวทีด้วยเช่นกัน นอกจากจะไม่ใช่ เซเน็ต วาเลท ดั่งที่ทุกคนคาดกันไว้แล้ว จอมเวทย์หนุ่มผมสีฟ้าอ่อนที่ไม่มีใครรู้จักคนนี้เดินขึ้นมาบนเวทีตัวเปล่าๆ ไม่มีแม้กระทั่งไม้คทาเวทย์มนต์ดั่งเช่นจอมเวทย์ทั่วไปซะด้วยซ้ำ

    บนที่นั่งพิเศษซึ่งมีแต่ผู้ที่ได้รับเชิญเท่านั้นที่จะได้มานั่งที่นี่ เซเน็ต วาเลท ผู้ซึ่งทุกคนในสนาม คาดไว้ว่าเขาจะปรากฎตัวขึ้นในฐานะตัวแทนจาก ริมุเน่ เดินเข้ามาถึงที่นี่ บิดา มารดา ของเขา ไม่ห่างออกไปนัก ก็มี มหาอุปราชอัลฟรีด อาจารย์ของเขา นั่งอยู่ข้างๆ ท่านเจ้าเมืองรีเวเรีย บิดาของสาวน้อยที่ยืนอยู่ในสนามขณะนี้อีกฝั่งหนึ่ง ก็มี เฟท และ ลุนลุน ที่ถูกเขาชวนมาให้นั่งดูตรงนี้ กำลัง คุยอยู่กับ อเมทิส นอกนั้นก็เป็นขุนนางน้อยใหญ่ และ แขกผู้มีเกียรติทั้งหลายของเมืองนี้

    เมื่อทุกคนเหลือบเห็นเขา คนแรกที่ทักขึ้นมาก็คือ บิดาของเขา เจ้าเมืองริมุเน่ นั่นเอง "เซเน็ต น้องชายของเจ้าว่ายังไงบ้าง?"

    เซเน็ตเอ่ยตอบบิดาของตน"เจ้าหมอนั่นก็เหมือนปกติน่ะแหละครับ ไม่มีอาการตื่นเต้นหรือกังวลอะไรทั้งนั้น เดินสบายใจลงสนามไปเลยล่ะครับ"

    เมื่อตอบจบเขาก็เลือกเดินไปนั่งลงที่นั่งข้างๆ เฟท และ ลุนลุน ซึ่งอเมทิสที่อยู่ใกล้ๆกัน ก็ก้มหัวเล็กน้อยทำความเคารพ แล้วก็ย้ายที่นั่งไปนั่งข้างๆท่านเจ้าเมืองรีเวเรีย โดยที่ เซเน็ตจะเอ่ยทักท้วงให้นั่งดูด้วยกันไม่ทันเสียแล้ว

    สาวผมม่วง นักเรียนเวทย์มนต์ชั้นปีที่2 นามว่า ลุนลุน ขยับมาชิด เจ้าชายคนโตของเมืองนี้พร้อมเอ่ยถามด้วยเสียงกระซิบ ซึ่งเฟทเองก็มองอยู่เหมือนจะพูดกับเขาด้วยคำถามนี้เช่นกัน

    "พี่เซเน็ต เลซาทเค้าจะไหวเหรอคะ จากที่หนูได้คุยกับอเมทิส องค์หญิง โรวิเนีย นี่ท่าทางจะเก่งมากๆเลยนะคะ "

    เซเน็ตหัวเราะหึๆ พลางยิ้มอย่างอารมณ์ดี ตอบกลับทั้ง2สาวไปว่า "เธอ 2 คนคิดว่าในริมุเน่นี่ ถ้าไม่นับ อาจารย์ อัลฟรีด ใครเก่งกาจที่สุดในเรื่องของเวทย์มนต์"

    ทั้งเฟท และ ลุนลุน ตอบแทบพร้อมกัน "ก็พี่เซเน็ตไงคะ / องค์ชายยังไงล่ะเพคะ"

    เซเน็ตยังคงยิ้มอยู่เช่นเดิม "ผิดแล้วล่ะทั้ง2คน เจ้าหมอนั่นต่างหากล่ะ ถ้าสู้กันด้วยเวทย์มนต์ล้วนๆ ตัวต่อตัว ตัวพี่เองยังไม่มั่นใจเลยว่าจะเอาชนะหมอนั่นได้เลยซักนิด คอยดูเถอะ การแข่งขันครั้งนี้ สนุกแน่ๆ ที่สำคัญวันนี้ผลแพ้ชนะมันไม่สำคัญกับเจ้าหมอนั่นซักนิด" แล้วเขาก็บอกให้ทั้ง2สาวดูการแข่งให้สนุกดีกว่า

    กลับมาที่เวทีการแข่ง ซึ่งขณะนี้เสียงเซงแซ่ของเหล่าผู้คนซาลงไปแล้ว

    เมื่อเลซาทเดินขึ้นมายืนเผชิญหน้ากับ โรวีเนียแล้ว โฆษก ก็ประกาศขึ้น "เพื่อความปลอดภัยของผู้เข้าแข่งขัน ซึ่งเป็นประเพณีสืบทอดกันมาในทุกๆครั้งของการแข่งขันเวทย์มนต์ของริมุเน่ ทางเราได้จัดเตรียมเครื่องรางสำหรับป้องกันให้ผู้แข่งขันทั้ง2ฝ่าย และจะมีเจ้าหน้าที่เตรียมพร้อมที่จะหยุดการแข่งทันทีเมื่อรู้ผลแพ้ชนะ หรือจะมีผลอันตรายถึงชีวิตของผู้เข้าแข่งขัน"

    หลังจากโฆษกเอ่ยขึ้นก็มี หญิงสาวคนหนึ่งถือถาดซึ่งวางเครื่องรางทำจากผลึกสีขาวขุ่น ซึ่งเป็นผลึกเวทย์มนต์ มีอำนาจในการป้องกันเวทย์มนต์ได้ในระดับหนึ่ง ขึ้นมาบนเวทีมาหยุดตรงหน้าผู้เข้าแข่งทั้ง2คน ซึ่ง โรวีเนียก็เลือกที่จะหยิบก่อนโดย เลือกอันซ้ายมือของเธอติดไว้กับเสื้อ ซึ่งเลซาทก็หยิบอันที่เหลือทำแบบเดียวกัน

    โฆษกยังคงกล่าวต่อไป "และเพื่อความปลอดภัยของผู้เข้าชมการแข่งในครั้งนี้ ทางเราได้จัดเตรียมจอมเวทย์ไว้ทั้ง4ทิศของสนามแข่ง เพื่อกางกำแพงเวทย์มนต์เพื่อป้องกันลูกหลงจากภายในเวทีเข้ามาทำอันตรายเหล่าผู้ชมทั้งหลายนะครับ" ในเวลานั้น ก็มีทหารของกองทหารเวทย์มนต์ผู้ที่ถูกคัดเลือก มายืนที่มุมเวทีทั้ง4ด้าน มุมละ2คน ซึ่ง1คนจะเป็นคนกางกำแพงเวทย์ และอีกคนจะเป็นเจ้าหน้าที่เพื่อที่จะหยุดการแข่งถ้ามันรู้ผลแล้ว หรือ อันตรายจนเกินไป

    "เอาล่ะครับเวลาที่ทุกท่าน รอคอยได้ใกล้จะมาถึงแล้ว เมื่อโฆษกลงจากเวที จอมเวทย์ทั้ง 4 ทิศจะกั้นกำแพงเวทย์มนต์ และนั้นก็คือสัญญาเริ่มการแข่งขัน ณ บัดนี้" เมื่อพูดจบโฆษกก็เดิน ลงจากเวที แล้วกำแพงเวทย์มนต์ก็ถูกกางขึ้นกั้นทั้ง4ทิศ โดยเปิดโล่งด้านบนไว้

    โรวิเนียเหลือบมองไว้ยังคู่ต่อสู้ของเธอ ที่ยืนอยู่อีกมุมหนึ่งเวที เขาคนนั้นก็มองมายังเธอเช่นกัน เมื่อสบตากัน จอมเวทย์หนุ่มสีฟ้าอ่อน สวมเสื้อคลุมเดียวกับสีผม ก็เอ่ยขึ้น

    "เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้แข่งขันกับจอมเวทย์คนดังแห่งยุค" พร้อม ก้มหัวให้เธอเล็กน้อย แล้วยิ้ม ซึ่งไม่รู้ทำไมเธอถึงไม่ชอบท่าทีของผู้ชายคนนี้เลยจริงๆ

    "ถึงจะไม่ใช่องค์ชายเซเน็ต แต่เป็นตัวแทนของริมุเน่ ฝีมือคุณคงจะไม่ธรรมดาแน่ๆ คุณ เลซาท ถ้าดิฉันออม มือคงเป็นการเสียมารยาท ต่อคุณสินะคะ งั้นขอลงมือแบบไม่เกรงใจเลยละกัน" สาวน้อยผิวสีแทนผมสีใข่มุข เอ่ยขึ้นพร้อมกับ ดึงกุญแจอัญเชิญอสูร ของเธอมาไว้ในมือ

    เลซาทยังคงยิ้มอยู่ พร้อมตอบกลับมาเรียบๆ "เชิญตามสบายเลยครับผมเองก็คาดหวังไว้ว่าเช่นนั้น" แต่กลับยั่วโมโหคนฟังได้โดยที่ตัวเขาเองไม่ได้คิดเช่นนั้นเลย

    โรวิเนีย รู้สึกฉุนกึก ขึ้นมาในทันทีเพราะ เธอก็เคยผ่านการแข่งขัน หรือ การประลองเวทย์มนต์ มาพอสวมควร จนชื่อเสียงเป็นที่รู้จักไปทั่ว แต่นี่เป็นครั้งแรก จริงๆ ที่เจอคู่ต่อสู้แบบนี้

    "ถ้าอย่างนั้นจะหาว่ารุนแรงเกินไปไม่ได้แล้วนะ คุณ เลซาท วาเลท" โรวิเนียเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบซะจนน่าหวาดหวั่น

    "ข้าในนามบุตรีแห่งสรวงสวรรค์ขออัญเชิญผู้ที่ทำพันธสัญญาแก่ข้า เทพอสูรแห่งสายฟ้า และ น้ำแข็ง ให้ปรากฎตัว ณ บัดนี้"

    เมื่อเอ่ยจบ กุญแจสีขาว สลับ ดำที่รูปร่างเหมือนดาบ ก็ถูกปล่อยมันหลุดจากมือ ปักลงกับพื้น

    ทันใดนั้นแสงสว่างเจิดจ้า พร้อมกับการปรากฎตัวของ หญิงสาว2คนยืนอยู่ตรงหน้า สาวน้อยผิวสีแทนผมสีใข่มุข

    คนแรกเป็น หญิงสาวผิวเข้มผมดำยาวรวบไว้ที่ต้นคอด้วยโบว์สีขาว ตาสีเพลิง แต่งชุดมิโกะแบบญี่ปุ่น โรโค อสูรแห่งสายฟ้านั่นเอง

    ส่วนอีกคนนั้น เป็น หญิงสาวผู้งดงาม มีผมสีทองอร่ามดัดเป็นลอนๆ ตาสีฟ้าเข้ม หน้าตาเหมือนกับไรโคราวกับพิมพ์เดียวกัน สวมกระโปรงฟูฟ่อง ซึ่งก็ไม่ใช่ใครอื่น อสูรแห่งน้ำแข็ง เซลซิอุส

    เลซาท วาเลท หาได้ร่ายเวทย์มนต์เช่นที่คู่ต่อสู้ของเขาคิด แต่กลับยืนนิ่ง จับตามอง ทั้ง 3 คนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเขาเงียบๆ พร้อมกับคิดถึงแผนการรับมือที่มีมากกว่า20แผนในหัวของเขา ที่มีโอกาศสำเร็จสูงสุด เพื่อจะนำมาใช้ บนเวทีแห่งนี้ ซึ่งอากัปกริยาเช่นนี้ ทำเอาคนทั้งสนามต่าง งงงวยในการกระทำของจอมเวทย์หนุ่มผมสีฟ้าอ่อน ยิ่งนัก

    "โรโค เซลซิอุส โจมตีหมอนั่นเต็มกำลัง ไม่ต้องมีการยังมือทั้งนั้น" โรวิเนียสั่งเทพอสูรของเธอทั้ง 2 ด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด เพราะอารมณ์ที่ไม่ค่อยจะดีนัก ซึ่ง ทั้งเซลซิอุส และ โรโคต่างพยักหน้ารับคำของเจ้านายง่ายๆ

    เมื่อได้รับคำสั่ง ทั้งเทพอสูรแห่งสายฟ้า และ น้ำแข็ง ต่าง ซัดพลังเข้าใส่ จอมเวทย์หนุ่มที่ยังคงยื่นนิ่งอยู่ทันที ศรสายฟ้า และ ศรน้ำแข็ง ไม่ต่ำกว่า 20 ดอกพุ่งเข้าใส่ในพริบตา ซึ่งก็เป็นพริบตาเดียวกับ เลซาทเริ่มลงมือเช่นกัน

    "มวลอากาศที่สงบนิ่งอยู่รายรอบตัวข้า ขอบัญชาให้พวกเจ้าเคลื่อนไหวสร้างพายุหมุนรายรอบตัวข้า ณ บัดนี้ ทอนาโด!!!"

    สิ้นเสียง เวทย์มนต์ลมพายุระดับ 4 ก็แสดงอำนาจของมันทันที ลมพายุกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง ปัดศรเวทย์ที่ถูกยิงใส่ ให้กระเด็นไปคนละทิศคนละทาง แต่แค่นี้ก็ไม่อาจจะหยุดยั้งการโจมตีของเทพอสูรสาวทั้ง 2 ได้ เซลซิอุส สร้างกำแพงน้ำแข็งขึ้นเพื่อต้านลมพายุที่พัดกระหน่ำพวดเธอทั้ง2คนอยู่ จังหวะนั้นเอง โรโค ก็วิ่งไต่ขึ้นไปตามกำแพงที่พุ่งขึ้นจากพื้นดินในพริบตา เทพอสูรแห่งสายฟ้าในชุดมิโกะ ลอยตัวอยู่กลางอากาสเบื้องหน้าพายุหมุน พร้อมกับร่ายเวทย์สายฟ้าที่เธอถนัดเข้าโจมตีทันที

    "ข้าขอบัญชา แสงสายฟ้าผู้ที่เดินทางจากนภา ลงสู้ พสุธา ย้อมท้องฟ้าสีดำ ด้วยแสงสว่างเจิดจ้า จงทำลายศัตรูเบื้องหน้าในบัดดล "

    สิ้นเสียงของโรโค ท้องฟ้ากลับมืดสนิทด้วยเมฆฝนสีดำทมึน สายฟ้าจำนวนมาก พุ่งจากท้องฟ้าลงสู้ พื้นดินที่ เลซาท ยืนอยู่ พร้อมกับเสียงท้องฟ้าที่ร้องคำรามกึกก้อง

    พริบตานั้นเองจู่ๆลมพายุได้หายไป ปรากฎให้เห็น จอมเวทย์หนุ่มซึ่งกำลังทรุดตัวลงเอามือทั้ง2ข้างแตะกับพื้น

    "ข้าขอวิงวอนแด่ ไกอา พระแม่แห่งพื้นดิน หยิบยืมพลังแห่งท่านด้วยเถิด มิดเดิ้ล สเปีย!!!"

    แผ่นหินที่ถูกสร้างเป็นเวทีที่ทุกคนยืนอยู่ต่างสั่นไหวอย่างรุนแรง แตกร้าวไปทั่ว พร้อมๆกับเกิดเสาดินที่งอกจากรอยแรกแหล่านั้น พุ่งเข้าสู่ท้องฟ้า ที่สายฟ้าจำนวนมากกำลังพุ่งลงมา สายฟ้าเหล่านั้นต่างพุ่งเข้าใส่ เสาดินทันที พร้อมๆกับไหลลงสู่พื้นพสุธา ตามหลักธรรมชาติ ที่ไฟฟ้าย่อมไหลกลับไปยังพื้นดินเสมอ

    เลซาท ร่ายมนต์ต่อเนื่องทันที เพราะเบื้องหน้าเวลานี้ มีเวทย์น้ำแข็งจำนวนมากพุ่งเข้าหา เพื่อที่จะหยุดการเคลื่อนไหวของเขา จอมเวทย์หนุ่มผมสีฟ้าอ่อน ร่ายเวทย์เวทย์สายที่เขาถนัดที่สุดทันที

    เปลวเพลิงถูกเรียกออกมาเพื่อปะทะกับเวทย์เยือกแข็ง พร้อมกับ ร่ายเวทย์เรียกกำแพงดิน ขึ้นมาป้องกันลูกบอลสายฟ้าที่ โรโคซัดเข้าใส่เขา ทันทีที่ขาของเทพอสูรแห่งสายฟ้า แตะ ลงบนพื้นเวทีที่ยับเยินไปถึง เกือบๆครึ่ง เลซาท วาเลท ลงมือรุกคืนทันที

    ศิลาเวทย์มนต์สีแดง ถูกล้วงขึ้นจากกระเป๋า 2 ก้อนพร้อมกับเวทย์มนต์ที่ถูกร่ายขึ้น ในชั่วเสี้ยววินาที ที่ ทั้งโรโค และ เซลซิอุสกำลังจะลงมือโจมตีต่อ คาถาท่องลม เวทย์มนต์ที่ช่วยเสริมความเร็วถูกร่ายใส่ตัวเอง พร้อมๆกับศรเพลิง มากกว่า30ดอก ที่ถูกซัดเข้าใส่ ทั้ง 2 เทพอสูรที่ยืนอยู่คนละฝั่งของเวที ซึ่งก็เป็นไปตามที่ ตัวเขาคาดไว้ ศรเพลิงทั้งหมดถูกทำลายโดยไม่ยากเย็นอะไรนัก

    จังหวะที่โรโค และ เซลซิอุส เบนความสนใจไปยังศรเพลิงของเขา เลซาท ซึ่งร่ายคาถาเสริมความเร็วใส่ตัวเองแล้ว เลือกที่จะพุ่งเข้าใส่ โรโค ในพริบตา แต่มันไม่สามารถพ้นสายตาของเทพอสูรแห่งสายฟ้าไป ได้ หลังจาก ทำลายศรเพลิงหมดแล้ว เธอ ยิง ลูกบอลสายฟ้า 5 ลูกติดๆ กันใส่จอมเวทย์หนุ่มที่กำลังพุ่งเข้าหาตัวเธอด้วยความรวดเร็ว

    แต่เพียงพริบตาก่อนที่ ลูกบอลสายฟ้าจะได้สำแดงฤทธิ์เดชของมัน จู่ๆ ก็เกิดพายุล้อมรอบตัวเลซาทอีกครั้ง

    "ไร้ประโยชน์เปล่าๆ" โรโคคิดในใจ เพราะทันทีที่ลูกบอลสายฟ้าลูกแรก ปะทะเข้ากับพายุหมุน ก็เกิดเสียงระเบิดดังสนั่น พร้อมๆกับลมพายุที่ถูกทำลาย แล้วลูกบอลสายฟ้า อีก4ลูกที่เหลือต่างพุ่งเข้าใส่ อย่างรวดเร็วทันที แต่ตรงนั้นหาได้มีร่างของเลซาท วาเลท ยืนอยู่ตรงนั้นแล้ว ลูกบอลสายฟ้าเหล่านั้น ต่างพุ่งเข้าใส่ความความว่างเปล่า

    ซึ่ง ในทิศทางนั้นมีร่างของ เซลซิอุส ยืนอยู่ ทำเอาโรโคถึงกับร้องตะโกน "เซลซิอุส ระวัง!!!"

    เทพอสูรสาวผู้สวมกระโปรงฟูพ่อง ถึงจำเป็นต้องกระโดดหลบเพื่อให้พ้นการโจมตีของลูกบอลสายฟ้าเหล่านั้น ซึ่งสุดท้ายพวกมัน ก็พุ่งเข้าปะทะกับกำแพงเวทย์มนต์ที่ถูก กางล้อมเวทีไว้เสียงดังสนั่น

    หลังจากผ่านพ้นวิกฤตมาได้ ก่อนที่ โรโคจะได้ลงมืออะไรต่อไป ก็มีอะไรบางอย่างจากบนฟ้า ตกลงมาใส่เธอ พร้อมๆกับเสียงของเลซาท

    "ข้าขอปลดปล่อยเวทย์มนต์ที่สถิตอยู่ในศิลาเวทย์มนต์ เดี๋ยวนี้ "

    เลซาท วาเลท ซึ่ง ไม่รู้ว่าอาศัยแรงลมจากเวทย์พายุหมุนของเขาลอยตัวอยู่ เหนือตัวโรโคตั้งแต่เมื่อไร ขว้างศิลาเวทย์มนต์เข้าใส่ โรโค ในพริบตาที่เธอเบนความสนใจทั้งหมดไปที่ เซลซิอุส เมื่อสิ้นเสียงของจอมเวทย์หนุ่ม ก็ เกิดต้นไม้จำนวนมาก งอกขึ้นจาก พื้นเวทีที่แตกร้าวบริเวณนั้นด้วยฝีมือของเขาเอง พุ่งเข้ารัดร่างของ เทพอสูรแห่งสายฟ้าโรโค อย่างแน่นหนาทันที

    ทันทีที่เซลซิอุสเห็นฝาแฝดของตนเสียท่า ก็พุ่งเข้าหา เลซาท วาเลท อย่างรวดเร็วพร้อมๆซัดศรน้ำแข็งไม่ต่ำกว่า 50 ดอกเข้าใส่อย่างรวดเร็ว ซึ่งศรน้ำแข็งเหล่านั้นลูกละลายหายไปในพริบตาด้วยกำแพงไฟขนาดใหญ่ที่ถูกเรียกขึ้นมาเพื่อป้องกัน

    และถ้าเธอสังเกตซักนิดก็คงจะเห็น ศิลาเวทย์มนต์ก้อนหนึ่งที่วางอยู่ใต้เท้า ระหว่างทางที่เธอพุ่งเข้าไปหาจอมเวทย์หนุ่มผมสีฟ้าอ่อน แต่โรโคซึ่งอยู่อีกมุมสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน ร้องตะโกนเตือนกันที "อย่าเข้ามาเซลซิอุส!!!"

    แต่มันช้าไปเสียแล้ว เลซาทซึ่งยืนอยู่หลังกำแพงไฟเอามือขยับแว่นตาเล็กน้อย พร้อมๆกับเอ่ยอะไรบางอย่างออกมาออกมา "ปลดปล่อยกับดักอัคคีวินาศ!!" พริบตาเดียวร่างของเทพอสูรแห่งน้ำแข็งถูกขังด้วยเสาเพลิงที่พุ่งขึ้นมาจากพื้นดินล้อมกรอบเธอไว้

    เลซาทซึ่งยังอยู่ในอำนาจของเวทย์เสริมความเร็วที่เขาร่ายไว้ วิ่งเข้าหาร่างของคู่แข่งของเขาทันที ในขณะที่อัญเชิญเทพอสูรชั้นสูงออกมาต่อสู้ เป็นอันที่รู้กันว่าต้องใช้พลังจิตถ่ายทอดไปยังเทพอสูรเหล่านั้น ยิ่งโจมตีรุนแรง และต่อเนื่องเท่าใด ผู้อัญเชิญต้องรวบรวมสมาธิส่งพลังอย่างต่อเนื่อง ทำให้ขยับตัวไม่ได้ ซึ่งเป็นจุดบอดอีกข้อหนึ่งของผู้ใช้เวทย์สายนี้ นอกจากใช้พลังจิตมหาศาลแล้ว

    ขณะที่เลซาทพุ่งเข้าหาโรวิเนียอย่างรวดเร็วนั่งเอง จู่ๆก็เกิดแสงสว่างจ้าจากกุญแจอัญเชิญที่ปักอยู่กับพื้น พร้อมๆกับเสียงจากร่างของโรวิเนียที่ยืนอยู่

    "อัญเชิญ โลกิ เทพแห่งเปลวเพลิงจงปรากฎตัว ณ บัดนี้"

    แล้วร่างของ บุรุษหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง หน้าตาหล่อเหลา ดวงหน้าคมเข้ม ผมสีแสด นัยน์ตาสีทอง ก็ปรากฎตัวขึ้นพร้อมๆกับ ปล่อยวิหคเพลิงขนาดมหึมา พุ่งสวนเข้าใส่เลซาท ที่กำลังวิ่งเข้าหาโรวิเนีย ด้วยความรวดเร็วซึ่งเป็นผลจากคาถาท่องลม

    เลซาทรู้จักเวทย์บทนี้ดี มันคือ "ไกเซอร์ฟินิกซ์!!!" เวทย์สายไฟระดับ 5 ทีมีอานาจที่จะเผาเมืองได้ทั้งเมืองถ้าผู้ใช้ต้องการเช่นนั้น!!

    วิหดเพลิงสีแดงฉาน อ้าปากกว้าง สยายปีก พร้อมๆกับถลาเข้าใส่ร่างของจอมเวทย์หนุ่มในชั่วพริบตา ซึ่งเขาไม่อาจจะหลบเลี่ยงได้เลย "เก่งกาจจริงๆ เลซาท วาเลท ที่บังคับให้ดิฉันถึงกับต้องอัญเชิญ เทพอสูรถึง 3 คน แต่มันจบแล้วล่ะ" โรวีเนีย แอสเทรล แรนดอร์ฟ พึมพัมเบาๆ

    เสี้ยววินาทีตัดสินทุกอย่าง เลซาท ที่พุ่งเข้าหานกไฟที่แสนจะใหญ่โต ด้วยความรวดเร็วของ ตัวเขาเองที่พุ่งสวนกับ ความเร็วของ วิหคเพลิง ที่จะปะทะกันในพริบตา คนทั้งสนามต่างก็คิดว่าการแข่งครั้งนี้จบลงแล้ว ยกเว้นตัวเขาเองเท่านั้น ที่ไม่ยอมแพ้ ร่ายเวทย์มนต์เยือกแข็งระดับ 3 ด้วยมือทั้ง2ข้าง พร้อมจับมันรวมเข้าด้วยกันเพื่อเสริมอำนาจถึงขีดสุด

    พลังเวทย์ในมือขวาที่มากกว่ามือซ้ายอยู่เล็กน้อย ทำให้เกล็ดน้ำแข็งกัดกินมือซ้ายของเขาทันทีเจ็บเจ็บปวดแล่นเข้าสู่ตัวเขา ในเวลานี้ที่ต้องการอำนาจทำลายสูงสุด เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะกัดฟันต่อความเจ็บปวดเร่งพลังในมือซ้ายขึ้น และในที่สุดก็สำเร็จ ในเวลาเดียวกับที่ ไกเซอร์ฟินิกซ์ เวทย์สายเพลิงระดับ 5 ที่มีอำนาจแผดเผาทุกอย่างให้เป็นจุล ถึงตัวเขาพอดี เลซาท วาเลท ปลดปล่อยพลังทั้งหมดเข้าปะทะทันที

    ตูม!!! เสียงระเบิดดังสนั่น พร้อมๆกับหมอกไอน้ำที่เกิดขึ้นจากความแตกต่างของอุณหภูมิอย่างสุดขั้วของเวทย์ทั้ง2บท แผ่กระจายไปทั่วสนามแข่งจนมองไม่เห็นภาพในสนามแข่ง ทั้งสนามต่างเงียบกริบเพื่อรอดูผลของการแข่งขันอันแสนดุเดือดครั้งนี้

    โรวิเนีย ที่มองไม่เห็นสิ่งใดนอกจากหลังของ โลกิ เทพอสูรแห่งเปลวเพลิงที่กำลังยืนกวาดสายตาไปรอบด้าน รู้สึกได้เลยว่าพลังจิตของเธอนั้นถึงขีดสุดแล้ว การเรียก เทพอสูรตนที่ 3 นั้นใช้พลังจิตที่เหลือทั้งหมดเลยทีเดัยว

    และก็มีอะไรบางอย่างที่เคลื่อนไหวเข้าใส่เธอ ศรเพลิง นับ10ดอก พุ่งแหวกสายหมอกพุ่งมายังสาวน้อยผมสีใข่มุกอย่างกระทันหัน ทำเอาโลกิ ต้องซัดพลังเข้าทำลาย เพื่อปกป้องเจ้านายของตน แต่แล้วจู่ๆก็สิ่งที่เธอไม่คาดฝัน เลซาท วาเลท ในสภาพที่ยับเยินพอสมควร ผ้าพันแผลบนแขนทั้ง2ข้างของเขาหลุดหลุ่ย ผ้าคลุมบางส่วนใหม้เกรียม ปรากฎขึ้นข้างกายเธอ พร้อมเอามือของเขาแตะต้นแขนของสาวน้อยที่ยืนตะลึงอยู่

    "สายลมที่แสนอ่อนโยนจงพันธนาการผู้ที่อยู่เบื้องหน้าข้าด้วยเถิด วินด์ ดีเทรน!!"

    แล้วร่างกายของ ซัมมอนเนอร์สาวก็ถูกยึดด้วยสายลมจมไม่อาจขยับได้ ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับไอน้ำที่จางลง เทพอสูรทั้ง 3 จู่ก็หายตัวไปเพราะผู้อัญเชิญใช้พลังจิตจนหมดเสียแล้ว คนทั้งสนามต่างตกตะลึง ที่เห็นผลออกมาเช่นนี้ ร่างของซัมมอนเนอร์ไร้พ่ายที่ถูกพันธนาการด้วยสายลม กับ ชายหนุ่มที่ยืนอยู่อีกคนที่อยู่ในสภาพยับเยิน

    "ขออภัยด้วยนะครับที่เสียมารยาทแตะต้องตัวขององค์หญิง " นี่เป็นคำพูดประโยคแรกที่การแข่งขันรู้ผล พร้อมๆกับปลดเวทย์พันธนาการออก

    โรวิเนีย จ้องหน้าจอมเวทย์ที่กำลังพูดอยู่กับเธอด้วยสายตาไม่เป็นมิตร "จะพูดอะไรก็พูดไปเถอะ ยังไงชั้นก็แพ้แล้ว สิ่งที่พอจะตอบแทนบุญคุณท่านพ่อได้ก็ทำไม่ได้ซะแล้ว"

    "ผมไม่เห็นว่า จะต้องยึดติดกับ คำว่าแพ้ชนะถึงขนาดนั้นเลยนี่ครับ แค่คุณเป็นคนดี ไม่สร้างความหนักใจแก่พ่อแม่ ไม่สร้างความเดือดร้อมให้คนอื่น นั่นก็ตอบแทนท่านได้แล้วล่ะครับ" เลซาทเอ่ยด้วยน้ำเสียงปลอบโยน

    โรวิเนียตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน ซึ่งเธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงเจ็บใจมากขนาดนี้ที่ต้องแพ้แก่ จอมเวทย์หนุ่มผมสีฟ้าอ่อนคนนี้ "ใช่สิ! นายเป็นคนชนะ พูดอะไรก็ถูกทั้งนั้นแหละ"

    "ชัยชนะ มันสำคัญกับ องค์หญิงขนาดนั้นเชียวหรือครับ?" เลซาทเอ่ยถามด้วยความไม่เข้าใจจริงๆ

    แต่คนฟังนั้นกลับตีความด้วยอารมณ์ ว่าเขากำลังเยาะเย้ยเธออยู่ไปซะแล้ว "เลิกเย้ยหยั่นชั้นซักที่เถอะ นายจะดูถูกฉันไปถึงไหน คุณเลซาท วาเลท" โรวิเนียตอบพร้อมจ้องเลซาทเขม็ง ซึ่งจอมเวทย์หนุ่มเห็น น้ำใสๆที่คลออยู่ในดวงตาสีทับทิมคู่นั้น ทำเอาทำอะไรไม่ถูก

    "เข้าใจผิดไปใหญ่แล้วล่ะครับ ผมไม่ได้คิดอย่างั้นเลยแม้แต่น้อยจริงๆนะครับ" เลซาท รีบพูดแก้ไขสถาณะการณ์ทันที แต่มันก็ไร้ผลเพราะตอนนี้อารมณ์ของสาวน้อยตรงหน้าเขาไม่อยู่กับร่องกับรอยซะแล้ว

    ขณะที่ยังไม่รู้จะทำยังไงดี เลซาทก็เลือกที่จะทำในสิ่งที่คนทั้งสนามแข่งต้องตกใจจนอ้าปากค้าง โดยพูดออกมาเสียงดังพอสมควร

    "คณะกรรมการทุกท่าน ผม เลซาท วาเลท ตัวแทนแห่ง ริมุเน่ ของประกาศยอมแพ้ครับ!"

    "ที่นี้องค์หญิงก็ได้ชัยชนะอย่างที่หวังไว้แล้วนะครับ สำหรับผมชัยชนะไม่ได้สำคัญอะไรเลย ล่ะครับ ต้องขอโทษจริงๆที่ให้องค์หญิงรู้สึกแย่ ขอโทษจริงๆนะครับ" เลซาท ขอโทษขอโพย โรวิเนีย ที่ยืนก้มหน้านึ่งใหญ่ โดยไม่รู้ว่าตอนนี้บนที่นั่งชั้นพิเศษพี่ชายของเขาหัวเราะเสียงดังอยู่ จนทุกคนต่างหันมามอง

    "ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า! เจ้าหมอนี่มันซื่อบื้อจริงๆ ทีเรื่องอื่นล่ะฉลาดไปซะหมด เรื่องนี้ดันไม่ได้เรื่องเลย คิดว่าทำอย่างนี้เค้าจะดีใจที่ชนะ แล้วหายโกรธอย่างนั้นล่ะสิ มีหวังโดนโกรธหนักกว่าเดิมแน่ๆเจ้าซื่อบื้อเอ๊ย" เซเน็ตหัวเราะชอบอกชอบใจ

    "นี่ไม่ใช่เวลามาหัวเราะนะท่านเซเน็ต อย่างนี้ไม่ดีแน่ๆ ถ้าโรวิเนียโกรธขึ้นมาเรื่องใหญ่แน่ๆ" ท่านเจ้าเมืองรีเวเรียเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเป็นกังวล

    เซเน็ตปรับสีหน้าเป็นปกติ แล้วบิดาของเขาก็เอ่ยถามขึ้นแทน พร้อมๆกับทุกคนที่หันมาสนใจ "มีอะไรอย่างนั้นหรือ?"

    "ถ้าโรวิเนียโกรธจนขาดสติแล้วล่ะก็เธอจะกลายเป็น เทพแห่งความพินาศ ไปเลยน่ะสิ" ยังไม่ทันที่ท่านเจ้าเมืองริเวียเรียเอ่ยถึงบุตรสาวของตนจบประโยคดี สิ่งที่เขาหวาดหวั่นก็บังเกิดขึ้นแล้ว

    "จะดูถูกกันมากเกินไปแล้วนะ!!!!!!" โรวิเนียตะโกนก้องด้วยความโกรธแค้น เธอฝึกซ้อมอย่างหนักถึงจะได้ชัยชนะ และมาอยู่ในจุดนี้ได้ แต่ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเธอตอนนี้ทำราวกับว่าสิ่งที่เธอได้ความยากลำบากนั้นไม่มีค่าเอาเสียเลยแม้แต่นิดเดียว ทั้งๆที่ชนะเธอไปแล้ว กลับมายอมแพ้ในการแข่งขันไปเช่นนี้ ตั้งแต่เกิดมา เธอก็เพิ่งเคยดูถูกเหยียดหยามอย่างรุนแรงมากขนาดนี้!

    เลซาท วาเลท ได้แต่ยืนตกตะลึงจากผลที่เขากระทำซึ่งมันได้ผลตรงกันข้ามกับที่เขาคิดชนิดคนละด้านเลยทีเดียว "ดะ ดะ เดี๋ยวนะครับผมไม่ได้ดูถูกองค์หญิงเลยนะครับ"

    "ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว!!" โรวิเนียเงยหน้าขึ้นดวงตาทับทิม บัดนี้มันกลายเป็นสีน้ำเงินสด ที่ข้อมือและข้อเท้าจะมีสิ่งที่คล้ายกลีบดอกไม้สีแดงเข้ม แล้วเธอก็ยื่นมือเข้าไปในช่องว่างระหว่างมิติที่ถูกเปิดขึ้นข้างตัวเธอ พร้อมๆกับดึง เคียวยักษ์ที่มีความยาวกว่า2.5เมตร ทำจากกระดูกของมนุษย์ ด้ามจับเป็นกระดูกโคนขาหลายท่อน ส่วนหัวประกอบด้วยหัวกระโหลกมนุษย์ขนาดเท่าเด็กทารก(ของจริง) 48หัว และหัวกะโหลกขนาดใหญ่เท่าของคนโตเต็มวัยอีก1หัว หัวนี้มีแสงสีแดงคล้ายนัยน์ตา ฝั่งหนึ่งของตัวหอกมีซี่โครงแหลมยื่นโค้งออกมาคล้ายกงเล็บสามารถใช้เป็นอาวุธได้ ใบหอกทำจากเหล็กกล้าบางที่ตีด้วยความร้อนจัดจนกลายเป็นสีขาว ออกมาถือไว้ในมือ

    "โชคร้ายซะแล้วเจ้าหนุ่มนายจะต้องพินาศตรงนี้แหละ เมื่อข้าปรากฎตัวขึ้นบนโลกใบนี้ ฮ่า ฮ่า ฮ่า" หัวกะโหลกบนเคียวนั่นเอ่ยกับ จอมเวทย์หนุ่มผมที่ฟ้าอ่อนที่ยืนทำอะไรไม่ถูกอยู่

    แล้ว ดวงตาสีน้ำเงินสดของ โรวีเนีย แอสเทรล แรนดอร์ฟ ก็จับจ้องมายังตัว เลซาท วาเลท ราวกับเทพแห่งความหายนะ จ้องมองผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ เวทย์เสริมความเร็วถูกร่ายใส่ร่ายตัวของ สาวน้อยผิวสีแทนผมสีใข่มุข ผู้ซึ่งบัดนี้ โกรธจนขาดสติไปเสียแล้ว และเธอก็พุ่งเข้าใส่ เลซาทวาเลท ด้วยความเร็วอันเหลือเชื่อ!!




    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~​
  15. joi100

    joi100 นักเดินทางแห่งมิดการ์ด

    EXP:
    478
    ถูกใจที่ได้รับ:
    23
    คะแนน Trophy:
    38
    Re: [ฟิครับสมัคร] Tale Of Light and Shadow

    เรื่องเล่าจากแสงและเงา เรื่องที่2 อัจฉริยะในห้องสมุด (5)






    เพียงชั่วพริบตา ร่างของเลซาท ก็ถูกบุกเข้าประชิดตัวทันที พร้อมกับเคียวขนาดยักษ์ ที่ถูดตวัดเข้าใส่ด้วยความเร็วที่ไม่น่าเชื่อว่าเป็นของเด็กสาวตัวเล็กๆ

    แต่จอมเวทย์หนุ่มผมสีฟ้าอ่อนไม่ได้ตกตะลึงถึงขั้นขาดสติยอมโดนโจมตีเต็มๆ เสี้ยววินาทีก่อนที่เคียวอันนั้นจะผ่าร่างเขาออกเป็นชิ้นๆ เลซาท วาเลท ร่ายกำแพงเวทย์มนต์ขึ้นป้องกัน แต่กำแพงนั้นก็แตกกระจายในพริบตาพร้อมกับร่างของจอมเวทย์หนุ่มที่ลอยละลิ่วไปกระแทกกับกำแพงเวทย์ ที่ถูกกางอยู่รอบเวที ท่ามกลางอาการตกตะลึงของคนทั้งสนาม

    โรวีเนีย แอสเทรล แรนดอร์ฟ ซึ่งบัดนี้เรียกได้ว่ากลายเป็นเทพธิดาแห่งความพินาศไปเรียบร้อยแล้ว ยืนจ้องร่างของจอมเวทย์หนุ่มผมสีฟ้าที่นอนกองอยู่อีกมุมหนึ่งของเวที ด้วยสายตาเย็นชา จนน่าหวาดหวั่น


    ขณะที่คนทั้งสนามต่าง งงๆกับภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ขณะนี้ เซเน็ต วาเลท จ้องตาแถบถลนไปยังเคียวที่เจ้าหญิงแห่งริเวเรียถืออยู่ พร้อมๆกับเอ่ยขึ้นอย่างลืมตัว

    "เป็นไปไม่ได้!!! เอนลิลิส แซคซิฟา เคียวต้องสาปแห่งป่าอัสร่า มันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน!"

    ยังไม่ทันที่ใครจะเคลื่อนไหวอะไร ร่างของเซเน็ต ก็กระโดดลอยตัวจากที่นั่งชั้นพิเศษลอยละลิ่ว ลงไปลานประลองทันทีพร้อมตะโกน สั่งการทันที "ปลดผนึกกำแพงเวทย์ออก ยุติการแข่งขันเดี๋ยวนี้!"

    แต่คำสั่งนั้นก็ถูกเสียง ของใครบางคนขัดไว้ "ไม่ได้นะครับ! พี่เซเน็ต ตอนนี้องค์หญิงโรวิเนีย ถูกความโกรธ และ เคียวอันนั้นครอบงำจนควบคุมตัวเองไม่ได้ไปซะแล้ว ถ้าปลดกำแพงออก คนดูที่อยู่เต็มสนามอาจได้รับอันตรายก็ได้ " เลซาท เอ่ยออกมาขณะพยายามลุกขึ้นอย่างลำบากไปไม่ใช่น้อย

    "แล้วตัวนายล่ะเลซาท ความปลอดภัยของตัวนายล่ะ พี่รับปากท่านแม่ไว้แล้ว ว่านายจะต้องปลอดภัยในการแข่งขันครั้งนี้ ถ้านายเป็นอะไรไปพี่จะไปบอกกับท่านแม่ว่างอย่างไร" เซเน็ตเอ่ยกับน้องชายเขาอย่างร้อนใจ

    เลซาท ยิ้มให้กับพี่ชาย "ขอให้พี่ชายเชื่อในตัวผมซักครั้ง สถาณการเช่นนี้ไม่ใช่ว่าผมไม่ได้คาดเดาไว้ก่อนว่าจะเกิดขึ้น แต่มันผิดไปนิดหน่อย แทนที่ที่จะเป็นเทพอสูรที่เก่งการในการต่อสู้ระยะประชิด แต่กับเป็นตัวองค์หญิงโรวีเนียซะเอง แถมยังมีเคียว เอนลิลีส แซคซิฟา ในมือ ที่สำคัญเรื่องนี้ผมเป็นคนก่อขึ้น ขอให้ผมรับผิดชอบจนถึงที่สุดด้วยเถอะครับ"

    ยังไม่ทันที่เซเน็ตจะได้ตอบอะไรกลับไป โรวีเนีย ที่ยืนอยู่ยิ้มออกมาอย่างน่าสะพรึงกลัว พร้อมพุ่งเข้าใส่เลซาทซึ่งยืนอยู่อีกมุมหนึ่งของเวทีอีกครั้งอย่างรวดเร็ว

    คราวนี้เลซาท ก็ไม่ยอมให้เข้าประชิดตัวเขาง่ายๆ กำแพงไฟขนาดมหึมาถูกกางกั้นขวางไว้ทันที แต่ องค์หญิงแห่งรีเวเรีย กลับสบัดเคียวในมือทำลายกำแพงไฟอันนั้นอย่างง่ายดาย แต่ก็ต้องชะงัก เพราะทันทีที่ผ่านกำแพงไฟมาได้ จู่ๆบริเวณนั้นก็เกิดลมพายุพัดกระหน่ำอย่างเกรี้ยวกราด

    เลซาท ฉวยโอกาศนี้ ร่ายคาถาท่องลม เพื่อเสริมความเร็วตัวเองอีกครั้ง พร้อมกับคิดถึงแผนรับมือที่เขาเตรียมไว้ล่วงหน้าหลายสิบแผน ว่าแผนใดเหมาะสม และ เกิดความเสียหายน้อยที่สุด ซึ่งเวลาในการตัดสินใจก็มีไม่มากซักเท่าไรนัก เพราะทันทีที่แรงลมอ่อนลง ร่างของเจ้าหญิงแห่งรีเวเรียก็ถลาเข้าหาตัวเขาทันที

    ศรเพลิง นับ10ดอกถูกระดมยิงเข้าใส่ แต่ก็ถูกปัดป้องไว้ได้ทั้งหมด ชั่วพริบตาที่เคียวถูกง้างก่อนที่จะฟาดฟันลงมายังร่างของ เลซาท วาเลท นั่นเอง จอมเวทย์หนุ่มผมสีฟ้าอ่อน ที่ร่ายเวทย์รออยู่แล้ว จัดแจงรวมเวทย์ศรเพลิง และ ศรสายฟ้า เข้าด้วยกันพร้อมๆกับปลดปล่อยมันให้พุ่งสวนเข้าใส่ ตัวของโรวิเนียในระยะประชั้นชิด

    แต่เป้าหมายของเวทย์มนต์บทนี้หาใช่ตัวองค์หญิงแห่งรีเวเรียไม่ แต่เป็นเคียวต้องสาปแห่งป่าอัสร่าต่างหากเล่า!

    ตูม!! เสียงระเบิดดังขึ้น พร้อมๆกับเคียวที่ลอยละลิ่วขึ้นบนอากาศ แต่ตัวโรวิเนียกลับไม่ได้ชะงักดั่งที่เลซาทคาดไว้ เธอกระโดดขึ้นไปคว้าเคียวเล่มนั้น พร้อมๆกับฟาดมันลงมาอย่างรวดเร็ว!

    ในเสี้ยววินาทีดับจิตเช่นนี้เลซาท ไม่มีทางเลือกนอกจาก อาศัยคาถาเสริมความเร็วที่ยังคงมีผลติดตัวอยู่ กระโดดหลบอย่างจวนตัว แต่มันก็ยังไม่พ้น ถึงจะไม่โดนเต็มๆแต่แขนซ้ายของเขาก็ถูกคมเคียว เฉีอนเข้าไปจนเห็นกระดูก เลือดสีแดงฉานไหลนองลงมาตามบาดแผลทันที

    อ๊าก!!! เสียงของจอมเวทย์หนุ่มที่ร้องออกมาอย่างเจ็บปวด แต่ความเจ็บปวดก็ไม่ได้ทำให้ตัวเขาสิ้นสติ เลซาท วาเลท กัดฟันต่อความเจ็บปวดร่ายเวทย์มนต์ต่อทันที

    "ข้าแด่เจ้าแห่งรัตติกาล ผู้ผูกพันด้วยสัญญาแห่งควมมืด ขอหยิบยืมพลังส่วนหนึ่งของท่าน บังคับเลือดที่หลั่งรินเจิ่งนองทั่วพสุธา ให้กลายเป็น เขี้ยวเล็บแห่งข้าฟาดฟันศัตรูด้วยเถิด คารามิสตี้บลัด!!!"

    เวทย์มนต์สายความมืด ระดับ5 สำแดงอนุภาพของมันทันทีที่ร่ายจบ เลือดสีแดงสดที่ไหลออกจากร่างกายของเลซาท วาเลท บัดนี้มันกลายเป็น คมมีดโลหิต พุ่งเข้าใส่ ร่างของสาวน้อยผิวสีแทนผมสีใข่มุขจากทุกทิศทุกทาง

    จากฝ่ายไล่ล่าถูกพลิกกลับต้องเป็นผู้ตั้งรับในเสี้ยววินาที แต่คมมีโลหิตจำนวนมหาศาลก็มิอาจ ผ่านเคียวที่ถูกเหวี่ยงอย่างรวดเร็ว เข้าไปสะกิดผิวเทพธิดาแห่งความพินาศได้อยู่ดี

    แต่คาถาบทที่แสนจะน่าสะพรึงกลัวบทนี้มันกลับเป็นแค่นกต่อ เพื่อถ่วงเวลาของจอมเวทย์หนุ่มผมสีฟ้าอ่อนที่มีนามว่า เลซาท วาเลท เท่านั้นเอง ศิลาเวทย์มนต์หลากสี จำนวน5ก้อนถูกเหวี่ยงไปด้านหน้าของตัวเขาเอง แล้วตัวเขาก็ถอยหลังจนหลังพิงกำแพงเวทย์พร้อมกับเริ่มร่ายเวทย์มต์อะไรบางอย่างทันที

    องค์หญิงแห่งรีเวเรียที่กำลังควงเคียวอันใหญ่ปัดป้องคมมีดโลหิตอยู่ อย่างรวดเร็วโดยที่เจ้าตัวเองก็คาดไม่ถึงว่า แผนการทั้งหมดของจอมเวทย์หนุ่มผมสีฟ้าอ่อน มันเริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อไร

    หลังจากที่ปัดคมมีดโลหิตจนหมดแล้วเธอก็ทะยานเข้าใส่เลซาทที่ยืนหลังพิงกำแพงอยู่ทันทีโดยที่ไม่มีใครคิดมาก่อนเลยว่า การที่ผู้ล่ากระโจนเข้าหาเหยื่อนในครั้งนี้มันจะเป็นกับดัก ที่ถูกวางไว้ล่วงหน้าแล้ว

    ทันทีที่ร่างของ โรวีเนีย ก้าวเข้าในอนาเขตที่ถูกกางไว้ล่วงหน้าโดยมีศิลาเวทย์มนต์ เป็นตัวกำหนดขอบเขต วงแหวนเวทย์รูปดาว5แฉกที่ปรากฎขึ้นที่พื้นบริเวณนั้นทันที พร้อมกับเสียงของจอมเวทย์ที่ยืนพิงกำแพงเวทย์อยู่ริมสนามก็ดังก้องขึ้น

    "ข้าแด่ เทพผู้มีผมสีแดงฉาน โคโรนอส ผู้ควบคุมกาลเวลา ในนามแห่งข้าขอหยิบยืมพลังแห่งท่าน ฝ่าฝืนข้อกำหนดแห่งธรรมชาติ หยุดยั้งเวลาในขอบเขตที่ได้กั้นเอาไว้ คาถาทรายแห่งกาลเวลา!!!"

    ฉับพลั้นร่างที่กำลังเคลื่องไหวอย่างรวดเร็วของ สาวน้อยผมสีใข่มุข หยุดชะงักในพริบตา ด้วยกาลเวลาที่หยุดนิ่ง พร้อมๆกลับร่างของ เลซาท ที่ทรุดลงนั่งกับพื้นอย่างหมดแรง

    เซเน็ต วาเลท ที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างใกล้ชิด ถึงกับอุทานออกมา "ใช้เวทย์พร้อมกัน2บท แถมยังเอามารวมกันเพื่อเพิ่มอนุภาพอีก แกมันปีศาจชัดๆเลซาท เวทย์มนต์สายความมืด และ สายกาลเวลา ที่แทบจะไม่มีมนุษย์คนไหนใช้ได้ แต่แกกลับ ใช้ มนต์ระดับ5 ติดกันถึง2บท นายแน่มากเจ้าน้องชาย"

    ขณะนี้ความเจ็บปวดกลายเป็นความชาด้านไปเสียแล้ว เลซาท ฉีกปลายชายผ้าคลุม ออกมาพันแผลไว้ แต่เลือดก็ยังไหลซึมออกมาอยู่ดี แต่เวลานั้นเองก็ก็ต้องตกใจเล็กน้อย เพราะกำแพงเวทย์ที่กำลังนั่งพิงอยู่ จู่ๆก็หายไป พร้อมกับใครบางคนที่มาขยี้หัวเขาอย่างเอ็นดู ซึ่งก็ไม่ใช่ใครอื่น พี่ชายเขานั่นเอง ขณะที่2พี่น้องยังไม่ทันที่จะเอ่ยปากพูดอะไรกัน ก็มีสาวสวย2คนวิ่งเข้ามาหาพวกเขา อเมทิส และ เฟท นั่นเอง จอมเวทย์ขาวที่วิ่งมารีบถามจอมเวทย์หนุ่มผมสีฟ้าที่นั่งอยู่กับพื้นทันที พร้อมๆกับหยิบคทาประจำกายของตนออกมา แล้วเริ่มลงมือรักษาบาดแผลที่ตอนนี้เลือดก็ยังคงไหลซึมออกมาเรื่อยๆ

    "แผลลึกมากเลยนะคะนี่ท่านเลซาท ดิฉันเสียใจกับเรื่องนี้จริงๆนะคะ ต้องขอโทษแทนองค์หญิงโรวีเนียด้วย แล้วองค์หญิงจะเป็นอะไรไหมคะ? แล้วทำอย่างไรดิฉันถึงจะเข้าไปตรวจดูอาการขององค์หญิงได้? แล้วองค์หญิงจะได้รับผลกระทบอะไรจากการหยุดเวลาหรือเปล่าคะ?" อเมทิสยิงคำถามเป็นชุดขณะแกะชายผ้าคลุมที่ชุมโชกไปด้วยเลือดออกพร้อมกับรักษาด้วยมนต์ขาว

    เซเน็ตยิ้มๆกับอาการร้อนใจของผู้ติดตามองค์หญิงคนนี้ เลยตอบแทนน้องชายตนซึ่งกำลังมึนๆไม่รู้จะตอบคำถามไหนก่อนดี

    "ใจเย็นๆนะครับคุณอเมทิส ก็อย่างที่เห็น โรวีเนียนั้นไม่ได้รับบาดแผลอะไรเลย แล้วคาถาทรายแห่งกาลเวลานั้นเป็นเวทย์สายกาลเวลาระดับ5 ที่หยุดเวลาในอณาเขตที่กำหนดไว้ ไม่ต้องห่วงเวทย์บทนี้ไม่มีผลกระทบใดๆกับผู้ที่โดนหยุดเวลาหรอกครับสบายใจ ส่วนที่เหลือต้องถามเจ้าหมอนี่เอา เพราะผมเองก็ไม่สันทัดเรื่องของเวทย์มนต์สายนี้ซักเท่าไร"

    เลซาท จึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล "เดี๋ยวอีกซักครู่ อำนาจของเวทย์ก็จะเสื่อมแล้วล่ะครับ เวทย์บทนี้ มีผลเพียงแค่ 2-3 นาทีเท่านั้น ขอบคุณมากนะครับ ที่ช่วยรักษาบาดแผลให้ผม ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นนั้น สาเหตุส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะตัวผมเองด้วยไม่ต้องกังวลไปหรอกครับ"




    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~​





    แต่ยังไม่ทันที่จะถึงเวลาที่เลซาทคาดการไว้ว่าคาถาจะเสื่อมลง ก็เกิดเหตุการณ์ที่ทุกคนไม่คาดฝันว่ามันจะเกิดขึ้น จู่ๆ เงาสีเทาดำเล็กๆรูปร่างคล้ายปีกที่ลอยอยู่ทั้ง10อัน ด้านหลังร่างของสาวน้อยผิวสีแทนผมสีใข่มุขเวลาของเธอถูกตรึงให้หยุดนิ่งอยู่ ก็เกิดเปล่งแสงสว่างจ้า แล้วร่างที่หยุดนิ่งก็ขยับตัวโดยการปักคมเคียวในมือลงกับพื้น แล้วพื้นบริเวณนั้นก็เปล่งแสงเป็นรูปวงแหวนเวทย์ดาว6แฉก ซึ่งจอมเวทย์ระดับสูงทุกคนรู้มันหมายถึงอย่างอื่นไม่ได้เลยนอกจากการอัญเชิญปีศาจระดับสูง!

    "กองทหารเวทย์ทุกคนรับคำสั่งเร่งด่วน!! นำกำลังทั้งหมด อพยพ คนดูในสนามแข่งทั้งหมดออกจากสนามแห่งนี้ให้เร็วที่สุด! แบ่งกำลังส่วนหนึ่งไปคุ้มกัน แขกที่อยู่บนที่นั่งชั้นพิเศษด้วย" เซเน็ตแทบไม่ต้องคิดอะไรแล้ว ตะโกนสั่งการด้วยความรวดเร็ว แล้ว ความโกลาหล ก็เกิดขึ้นในสนามทันที คนดูเกือบทั้งหมดถูกกองทหารเวทย์ ที่ประจำการอยู่ทุกจุดในสนาม ต้อนให้ออกจากสนามแข่งอย่างรวดเร็วที่สุด เซเน็ตหันมาบอกกับ2สาว

    "เฟท อเมทิสไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอย่าอยู่ห่างจากชั้นเป็นอันขาด แล้วเลซาท นายมีแผนการอะไรไหมพ่อน้องชาย?"

    "คงต้องดูล่ะครับว่า ที่ถูกอัญเชิญมานั้นคือตัวอะไรล่ะครับ" เลซาทซึ่งเวลานี้ลุกขึ้นมายืนข้างๆพี่ชายของเขาเอ่ยขึ้น จู่ๆท้องฟ้าที่แจ่มใสก้กลายเป็นมืดครึ้มทันที พร้อมกับร่างของกิ้งก่าขนาดใหญ่ไม่ต่ำกว่า10เมตร สีดำสนิทก็ปรากฎตัวขึ้น แต่สิ่งที่ทำให้ผู้พบเห็นนั้นถึงกับขนลุกซู่ก็คือ มันมีหัวถึง9หัว แต่ละหัวของมันนั้นเหมือนงูที่มีหูเป็นพังพืด และมีเกล็ดหนาสีดำเลื่อม ปกคลุมเต็มไปหมด

    "ฮะ ฮะ ฮะ มังกรปีศาจเทียแมท นี่ล้อกันเล่นใช่มั๊ยเนี่ย" องค์ชายคนโตแห่งริมุเน่หัวเราะเสียงแปร่งๆ

    เลซาทที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็ยิ้มเจื่อนๆ "ผมเองก็อยากให้เป็นเรื่องล้อเล่นเหมือนกันแหละครับ พี่เซเน็ต"

    แล้วการสนทนาของ2พี่น้องก็ถูกขัดขวางด้วยเสียงคำรามอันดังก้อง ของมังกรปีศาจที่ถูกเรียกมาตัวนั้น และทันทีที่เสียงคำรามของมันดังขึ้นก็ปรากฎตัวปีศาจที่มีรูปร่างครึ่งคนครึ่งงู ที่มีส่วนล่างเป็นเป็นงูส่วนบนเป็นมนุษย์เพศหญิงและมีผมเป็นงูตัวเล็กๆมากมาย ซึ่งทุกคนต่างรู้จักดีในนาม "กอลกอน (Gorgon)" เต็มรอบเวทีไปหมด แทบไม่ต้องคิดอะไรกันมากทันทีที่เจ้าพวกนี้ปรากฎตัว กองทหารเวทย์ที่อพยพผู้คนอยู่นั้น แบ่งกำลังส่วนหนึ่ง เข้าต่อสู้กับปีศาจเหล่านี้ทันที

    "ข้าขอบัญชาภูตแห่งวายุด้วยสัญญาแต่กาลก่อน จงกลายเป็นคมดาบแห่งข้าฟาดฟันอริร้ายให้พินาศสิ้น สตอมเบลด!!!"

    สิ้นเสียงของ เซเน็ต วาเลท ซึ่งบัดนี้หยิบไม้เท้าสีขาวตรงปลายมีผลึกเวทย์มนต์สีน้ำเงินสด และปีกสีเทวดาสีขาวสะอาดตาโอบล้อมอยู่ ไม้เท้าปีกแห่งแสง หลักฐานของรัชทายาทแห่งเมืองนี้ถูกสบัดออก พร้อมๆ พายุขนาดใหญ่ ที่พุ่งตรงพัดพาร่างของ ครึ่งคนครึ่งงูจำนวนนับ10ตัว ลอยขึ้นสู่ฟากฟ้าพร้อมฉีกกระชากจนแยกเป็นชิ้นๆ

    ในเวลานั้นเอง เลซาทเข้ามาจับแขนของทั้ง เฟท และ อเมทิส พร้อมกับเอ่ยออกมา "ผมรู้ว่าเป็นการเสี่ยง ที่ต้องดึงคุณอเมทิสเข้ามาร่วมด้วย แต่ไม่มีทางเลือก มันไม่ดีแน่ๆ ถ้าจะปล่อยร่างอันไร้สติของ องค์หญิงโรวีเนีย นอนอยู่กลางเวทีใกล้ๆกับมังกรปีศาจเทียแมท ทันทีที่ผมเปิดทางแล้วเบี่ยงเบนความสนใจของ มังกรปีศาจตัวนั้น คุณทั้ง2 รีบไปนำร่างของเจ้าหญิง แล้วมุ่งต้องหลบเข้าที่กำบังเพื่อตรวจรักษาได้ทันทีเลย "

    "เฟท ผมคงทำได้แค่เปิดทาง และ เบนความสนใจให้เท่านั้น ที่เหลือต้องฝากด้วยนะครับ" เลซาทหันไปเอ่ยกับเฟท ซึ่งเธอก็พยักหน้ารับคำ หร้อมกับกระชับไม้เท้าเวทย์มัลดิสในมือของเธอแน่ "พี่เซเน็ตช่วยคุ้มกันทีนะครับ" แล้วเลซาทก็ตะโกนบอกกับพี่ชายเขาซึ่งตอนนี้กำลัง กระหน่ำเวทย์เข้าใส่ เหล่าปีศาจที่กำลังกรูเข้ามาโจมตีทุกคนที่มันเห็น

    โดยที่ไม่ต้องรอคำตอบจากพี่ชายเขา เลซาท ร่ายเวทย์เข้าเปิดทางและโจมตี มังกร9หัวสีดำที่ยืนตระหง่านอยู่กลางเวที

    "ข้าวิงวอนแด่วิหคแห่งเพลิงผู้ปกปักทางทิศเหนือ ขอน้อมอัญเชิญท่าน ปรากฏตรงหน้าข้าเพื่อแผดเผาศัตรูแห่งข้าให้มอดใหม้เป็นจุล ไกเซอร์ฟินิกซ์!!!"

    วิหคเพลิกแบบเดียวกับเทพอสูรแห่งเพลิงโลกิปล่อยใส่เขา ถูกปล่อยเข้าใส่มังกรปีศาจเทียแมทในพริบตา นกไฟตัวใหญ่บินเข้ากวาดล้าง ครึ่งคนครึ่งงูจำนวนไม่น้อยที่ขวางทางอยู่ก่อนจะถึงตัวมังกร9หัว แล้วเสียงระเบิดก็ดังสนั่นขึ้น พร้อมกับ หัวของเทียแมทที่หายไปถึง3หัว "เฟท อเมทิส ตอนนี้แหละ!!!"

    ทั้ง2สาววิ่งตรงไปยังร่างของ โรวีเนีย แอสเทรล แรนดอร์ฟ ที่นอนไม่ได้สิอยู่ทันที เลซาทร่ายคาถาท่องลมเพื่อเสริมความเร็วทั้งคู่ทันที ดวงตาสีแดงฉาน ทั้ง 6คู่ที่เหลือต่างจับจ้องมายังจอมเวทยหนุ่มผมสีฟ้าอย่างกราดเกรี้ยว ในขณะที่ทั้ง3หัวที่โดยทำลายไปก็ค่อยๆ งอกขึ้นมาใหม่ มันเงยหน้าทั้ง6ขึ้นเล็กน้อย เลซาท วาเลทรู้ดีว่ามันหมายถึงการเตรียมตัวปล่อยลมหายใจของมังกร ซึ่งมีความรุนแรงเทียบเท่าเวทย์ระดับ 5 ยิ่งถ้าถูกปล่อยพร้อมๆกันถึง6แล้วล่ะก็ บริเวณนี้ทั้งหมดคงพินาศสิ้นแน่ๆ

    ทุกอย่างถูกตัดสินกับเวลาในการร่ายเวทย์ของเขา เลซาท วาเลท ร่ายเวทย์คมมีดวายุ และ ศรเพลิง จำนวนมากและใช้เวลาสั้นที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ อัคคี และ วายุถูกรวมเข้าด้วยกัน เพื่อเสริมซึ่งกัน และ กัน ทั้งหมด ถูกปล่อยเข้าระเบิดหัวที่เหลือทั้ง6ของเทียแมทในชั่วพริบตา ก่อนที่มันจะพ่นลมหายใจของมันออกมา ส่งผลให้หัวของมันทั้งหมด กุดด้วนไปหมด แต่มันก็แค่เป็นการถ่วงเวลาเท่านั้น เพราะหัวแต่ละหัวของมันกำลังซ่อมแซมตัวเอง ค่อยๆงอกออกมาใหม่ อีกไม่นานมันคงจะกลับเป็นปกติแน่ๆ

    เวลานี้เองที่เลซาท ล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงของตน หยิบแหวน2วง นามว่า "เอลล์เทอเฟีย" ที่เป็นของล้ำค่าที่สืบทอดกันมาในตระกูลของเขา ขึ้นมาสวมไว้บนมือทั้ง2ข้า แล้วเขาก็รู้สึกได้ว่าใครบางคนมายืนอยู่ด้านหลังเขา พร้อมกับปล่อยเวทย์มนต์เข้าโจมตีปีศาจครึ่งคนครึ่งงูที่ยังแทบจะไม่ลดปริมาณลงเลย

    "ตลกดีนะที่เรา2คนที่น้องต้องหลังชนกันต่อสู้กับศัตรูที่หลุดออกมาจากตำนานแบบนี้ ในที่ที่เหมือนลานกว้างหน้าบ้านของเราเอง เลซาท นายมีแผนการอะไรก็ว่ามาเลย ปล่อยไปอย่างนี้เรื่อยๆไม่ดีแน่ๆ เจ้าลูกน้องพวกนี้ก็พอๆกับหัวหน้ามันเลย ถ้าไม่แยกใช้เป็นผง มันก็พื้นตัวใหม่ได้เรื่อยๆ ถึงตอนนี้พวกเราจะยังดูได้เปรียบอยู่นิดหน่อยก็เถอะ แต่ก็แค่ทำได้แค่ตั้งรับเท่านั้น "

    "เท่าที่ผมคิดได้ 16-17 แผนไม่มีแผนไหนมีอัตราสำเร็จเกิน20%เลยซักแผนเดียว พี่จะยอมเสี่ยงกับผมไหมล่ะครับ?" จอมเวทย์หนุ่มผมสีฟ้าอ่อนหันกลับมาถามพี่ชายตน

    "ยังไงวันนี้ก็เป็นวันของนายนี่ว่าไงก็ว่าตามกันเลย " เซเน็ตรับคำง่ายๆเพราะจากที่เห็นการแข่งของน้องชายเขาในวันนี้ต้องยอมรับเลยว่านอกจากความสามารถในการใช้เวทย์มนต์ที่ยากจะหาใครเทียบแล้ว น้องชายของเขาคนนี้มันยังเป็นจอมวางแผนโดยแท้จริง

    "พี่ช่วยถ่วงเวลาให้ผม 4 นาที อืมถ้าจะให้ถูกต้องก็ 3นาที40วินาที พอครบเวลาพี่ทำยังไงก็ได้ให้มันลอยเหนือพื้นเวที ไม่ต่ำกว่า15เมตร ย้ำนะครับต้องมากกว่า15เมตร ไม่งั้นทุกอย่างที่ทำมาจะสูญเปล่าทั้งหมด" เลซาทเอ่ยถึงแผนการกับพี่ชายเขาทันที

    "ไม่มีปัญหาเริ่มนับกันได้เลย" เซเน็ตพูดจบก็ตะโกนบอกให้ทหารเวทย์จำนวนหนึ่งคุ้มกันด้านหลังขณะที่เขาหันหน้าไปเผชิญกับมังกรปีศาจเทียแมทที่เริ่มจะเปิดฉากโจมตีพวกเขาอีกแล้วหลังจากที่หัวของมันงอกใหม่ออกมา

    "ในนามแห่งผู้ควบคุมวายุ สายลมผู้อ่อนโยน จงเคลื่อนไหวอย่างกราดเกรี้ยว กลายเป็นคมมีดนับล้านเฉือดเฉือนอริร้ายให้ขาดวิ่น มินเลี่ยนสแลส!!!"

    สิ้นเสียงของ เซเน็ต วาเลท รอบๆตัวเขาก็เกิดคมมีวายุจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งเข้ากระหน่ำเข้าใส่มังกรเก้าหัวสีดำตัวนั้นทันที เวทย์มนต์วายุระดับ5 สำแดงอำนาจของมันไม่ได้มากนัก เพราะถึงจะหน้าตาไม่เหมือนมังกรซักเท่าไรแต่เทียแมทก็เป็นมันกรอยู่ดี เกล็ดหนาสีดำเลื่อมของมันแข็งแกร่งทนทานไม่ต่างเหล็กกล้าซักเท่าใดเลย แต่ก็ด้วยจำนวนคมมีดวายุ นับไม่ถ้วนมันก็มีผลทำให้มันตั้งตัวไม่ได้เช่นกัน

    เซเน็ตรู้ดีอยู่แล้วว่าคมมีดวายุเหล่านี้ไม่มีผลต่อมันซักเท่าไรหรอก แต่ยังไงจุดมุ่งหมายของเขาไม่ใช่ทำลายล้างมันอยู่แล้ว เพราะเวทย์มนต์ทีมีอำนาจล้างสูงสุดของเขาก็ไม่อาจสังหารเทียแมทลงได้อย่างเฉียบขาดอยู่ดี ตอนนี้เขาได้แต่ฝากความหวังไว้กับน้องชายซึ่งพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าตัวเขานั้นเป็นสุดยอดจอมเวทย์อีกคนของแผ่นดินเลยทีเดียว

    "แสงพิสุทธิ์จากฟากฟ้าพาดผ่านลงมายังพสุธา จงน้อบรับคำวิงวอนจากข้า เรียกร้องสายฟ้าแห่งความยุติธรรม ลงมากำราบ อริร้ายแห่งข้าให้สิ้นสูญ มหาอัสนีบาตไพรีพินาศ!!!"

    ท้องฟ้าที่มืดครึ้ม บัดนี้ถูกย้อมด้วยแสงสว่างเจิดจ้า ซึ่งรวมกันเป็ดจุดเดียวเหนือ หัวทั้ง9ของเทียแมทซึ่งตอนนี้กำลังโดนกระหน่ำด้วยคมมีดวายุ แล้วบัดนั้น สายฟ้าจำนวนมากรวมกันเป็นเส้นลำแสงเจิดจ้าลงมากระหน่ำใส่มังกรปีศาจเทียแมท ต้อให้เป็นมังกรปีศาจในตำนาน แต่โดนเวทย์มนต์ระดับ 5 กระหน่ำซัดติดๆกันถึง 2 บทแบบนี้ก็เสียหายไปไม่น้อยเช่นกัน

    เซเน็ต วาเลท คำนวนเวลาแล้วจึงเริ่มลงมือร่ายเวทย์มนต์ต่อเนื่องเพื่อทำตามแผนการที่วางไว้ทันที พลางนึกในใจ "15 เมตรเป็นอย่างต่ำอย่างนั้นรึ เจ้าหมอนั่นมันจะทำอะไรกันแน่นะ" เมื่อเหลือบไปดูก็พบว่าน้องชายของเขา ยืนนิ่งรวมรวมสมาธิโดยที่ไม่สนใจภายนอกซักนิด เขาจึงตัดสินใจลงมือทันที

    "ข้าขอบัญชาให้มวลอากาศที่อยู่ในบริเวณนี้ทั้งหมด น้อมรับคำสั่งจากตัวแทนแห่งวายุเทพ จงหมุนวนอย่างคลุ้งคลั่ง และ กราดเกรี้ยว กวาดล้างพสุธาเบื้องหน้าให้ราบ อันลิมิตไซโคลน!!!"

    พายุขนาดใหญ่ อันเกิดจากเวทย์มนต์ พัดกระหน่ำเข้าใส่มังกรปีศาจเทียแมท ซึ่งกำลังฟื้นฟูตัวเองหลังจากโดนถล่มด้วยเวทย์2บทเมื่อกี้อยู่ ร่างของมันถูกงัดลอยขึ้นไปบนฟากฟ้าด้วยกำลังลมอันมหาศาล และในเวลานั้นเอง เลซาทก็ปลดปล่อยพลังเวทย์มนต์อันมาหาศาลจนทุกคนในบริเวณนั้นต้องหันมามอง

    ทุกคนต่างเห็นภาพ ของจอมเวทย์หนุ่มผมสีฟ้าอ่อน มือซ้ายมีก้อนพลังเยือกแข็ง มือขวาเป็นก้อนพลังเปลวเพลิง แล้วในวินาทีนั้น เลซาท กำมือขวาจนเปลวเพลิงเหยียดยาวออกมาเหมือนคันธนู แล้วมือซ้ายที่กำอยู่เช่นกันก็มาประกบกับมือขวา แล้วค่อยๆดึงออก เหมือนการง้างคันธนูไม่มีผิด

    แรงกดดันจากพลังเวทย์มนต์ที่รุนแรงอยู่แล้ว กลับรุนแรงขึ้นมากกว่าเดิมจนหลายๆคนเริ่มอึดอัด พื้นเวทีรอบๆที่เลซาทยืนอยู่แตกร้าวไปหมด สะเก็ดหินรอบตัวเลซาทลอยขึ้นมาเหนือพื้นเล็กน้อย บอกได้ทันทีว่าเวทย์มนต์บทนี้ทรงพลังแค่ไหน แล้ว เลซาท วาเลท ก็เงยหน้ามองร่างของเทียแมทที่ตอนนี้ลอยละลิ่วอยู่กลายอากาศ พร้อมตะโกนออกมาสุดเสียง

    "ธนูแสงสังหาร เมโดรอา!!!"

    เลซาทแบมือทั้ง2ข้างพร้อมปล่อย พลังเวทย์มนต์ทั้งหมด เข้าใส่มังกร9หัว ที่ว่ากันว่าเป็นอมตะ ในทันที ก่อนให้เกิดเส้นสำแสงสว่างจ้าสาดไปทั่วบริเวณ จนต้องหลับตาเพราะสู้แสงเหล่านั้นไม่ไหว เมื่อแสงสว่างจากลง ทุกคนก็พบว่า ทุกอย่างได้หายไปหมด ราวกับเมื่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่นาทีก่อนนั้นเป็นเพียงฝันร้ายเท่านั้นเอง

    เลซาททรุดลงกองกับพื้น อย่างหมดเรี่ยวแรง แขนทั้ง2ข้างของเขานั้นสภาพดูไม่ได้เลยทีเดียว ข้างหนึ่งนั้น ถูกเผาจนเต็มไปด้วยรอยใหม้ ส่วน อีกข้างนั้นถูกน้ำแข็งกัด จนเป็นแผลเหวอหวะไปหมดเช่น กัน เซเน็ต วิ่งมาประคองร่างของน้องชายเขาไว้ อย่างทันท่วงที ก็พบว่าน้องชายของเขาตอนนี้ นอกจากเสียพลังเวทย์มนต์ไปทั้งหมดแล้ว ยังมีอาการเสียเลือดไปมากอีกด้วย

    "เลซาท!! เฮ้ เลซาท!! ใครก็ได้ รีบตามหน่วยพยาบาลมาเร็ว!!" เซเน็ตตะโกนออกมา และนี่ก็เป็นสิ่งสุดท้ายที่เลซาท วาเลท รับรู้ก่อนที่จะหมดสติไป





    "สุดท้ายจอมเวทย์ เอาก็ชนะปีศาจร้ายที่นางฟ้าเป็นคนเรียกออกมาสินะ สวรรค์ท่านต้องการเล่นตลกกับชะตาชีวิตจอมเวทย์หนุ่มผมสีฟ้าอ่อนคนนี้กันแน่นะ" เสียงของแม่มดสาวคนหนึ่งในชุดสีดำที่นั่งอยู่บนไม้กวาด ดูเหตุการณ์ทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบ เอ่ยออกมาพร้อมๆกับขยับแว่นอันหนาเตอะของเธอเล็กน้อย แล้วก็ขี่ไม้กวาดของเธอหายลับไป




    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~​





    ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด เลซาทรู้สึกตัวอีกที่ก็พบว่าตนเอง อยู่ในห้องพักของตน ข้างๆ มีมารดาของเขานั่งเฝ้าอยู่ "เลซาท ตื่นแล้วหรือจ๊ะ รู้มั๊ยว่าลูกหลับมานานแค่ไหน"

    เลซาทความมือไปทั่วเพื่อหาแว่นตาของเขา เมื่อมารดาของเขาเห็นดังนั้นจึงหยิบแว่นที่วางอยู่บนโต๊ะข้างหัวเตียงส่งให้ "ผมหลับไปนานขนาดนั้นเลยหรือครับ?"

    "2วันเต็มๆเลยนะจ๊ะที่ลูกนอนหลับอยู่อย่างนี้" มารดาของเขาตอบพลางลูบใบหน้าของเลซาทด้วยความเป็นห่วง "งั้นแม่คงเฝ้าผมตลอดเลยสินะครับ แม่ไปพักผ่อนเถอะครับ ผมไม่เป็นอะไรแล้วล่ะครับ"

    เลซาทเกลี้ยกล่อมจนมารดาของเขากลับห้องของตนไปพักผ่อน หลังจากที่มารดาของเขาออกไป ไม่นานนักพี่ชายของเขาก็เดินเข้ามาในห้องพร้อมเอ่ยทักทาย "ว่าไงเลซาท พี่นึกว่านายจะไม่ตื่นเหมือนโรวีเนียไปอีกคนซะแล้ว"

    "เอ๋? เกิดอะไรขึ้นกับองค์หญิงโรวีเนียหรือครับ " เลซาทถามกลับไปยังพี่ชายเขางงๆ

    เซเน็ตถอนหายใจออกมาเล็กน้อย "หลังจากงานแข่งที่ต้องยกเลิกไป คนเจ็บมีเพียง2คนเท่านั้น คือนาย กับ โรวีเนีย นายเจ็บหนักหน่อย แต่โรวีเนียนี่ไม่ว่า อเมทิส จะพยายามยังไงก็หาสาเหตุที่เธอไม่ยอมตื่นขึ้นมาได้เสียทีตอนนี้ทุกคนยังกลุ้มใจกันอยู่เลย แต่ชื้นใจขึ้นมาหน่อยยังนายก็ตื่นขึ้นมาแล้วสินะ พักผ่อนให้เต็มที่เถอะ งานนี้คนที่เหนื่อยมากที่สุดคงไม่พ้นนายล่ะน่ะ เออ แล้วรู้ใหมตอนนี้นายดังแล้วนะ"

    "ดัง? ยังไงหรือครับพี่เซเน็ต"

    "ก็งานนี้นายเล่นโชว์ฝีมือซะขนาดนั้น แล้วนี่ ตอบพี่ทีสิว่าคาถาที่นายซัดใส่เทียแมทนั่นมันคาถาอะไรกันแน่ พี่ไม่รู้จักมันมาก่อนเลย"

    เลซาทตอบคำถามของพี่ชายเขา"อ้อ มันเป็นคาถาสูงสุดในการรวมเวทย์2บทเข้าด้วยกันน่ะครับ ผมเองก็รู้จักมันได้โดยบังเอิญ จากการอ่านแผ่นกระดาษที่เขียนด้วยภาษาโบราณน่ะครับ"

    "เวทย์สายเปลวเพลิงนั้น คือการใช้พลังเวทไปในทางขั้วบวกมากๆเร่งการเคลื่อนไหวของโมเลกุลโครงสร้างสสารให้มากขึ้นเรื่อยจนกลายเป็นเปลวเพลิงที่แผดเผาทุกอย่างให้มอดใหม้"

    "ส่วนเวทย์สายน้ำแข็งนั้น ก็คือใช้พลังเวทไปในทางขั้วลบแบบสุดๆ เพื่อการเคลื่อนไหวของโมเลกุลโครงสร้างสสารใช้ช้าลง เฉื่อยลง"

    "และถ้าเรานำพลังงาน2ขั้วนี้มาสปาร์ก จะทำให้เกิดสุดยอดพลังทำลายสสารทั้งปวงได้ไม่มีข้อยกเว้น ชื่อของมันคือ คาถา เมโดรอา ครับ แต่ก็มีข้อแลกเปลี่ยนิดหน่อยนอกจากจะใช้พลังเวทย์มหาศาลแล้ว ถ้าผิดพลาดในการร่ายเวทย์บทนี้แม้แต่นิดเดียว พลังเวทย์ทั้งหมดจะย้อนกลับมาทำร้ายผู้ใช้ทันทีครับ"

    " หึๆ สมควรแล้วล่ะที่ตอนนี้ใครๆต่างพากันเรียกนายว่า `ปีศาจจอมมนต์ดำ` พี่ไปก่อนนะ" แล้วเซเน็ตก็ลุกออกไปดื้อๆโดยปล่อยให้น้องชายเขาจมอยู่ในภวังความคิด




    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~​





    เวลาผ่านไปจนพลบค่ำ




    เลซาทก็เหมือนคิดอะไรบางอย่างตก จึงค่อยๆ ลุกออกจากเตียงของตน ออกจากห้องมุ่งหน้าไปห้องที่ โรวีเนีย แอสเทรล แรนดอร์ฟ นอนไม่ได้สติอยู่

    พอเคาะประตูห้องก็พบว่า อเมทิส ที่ดวงตาแดงช้ำไปหมดเป็นคนออกมาเปิดประตู เมื่อเห็นว่าเป็นเขา เธอก็เชิญเข้าไปด้านใน ที่นั่นเลซาทก็พบบิดาของเขา อาจารย์อัลฟรีด และท่านเจ้าเมือง รีเวเรีย กำลังปรึกษากันสีหน้าเคร่งเครียด เมื่อทั้ง3คนเห็นเลซาท จึงเข้ามากล่าวทักทาย สอบถามถึงอาการของเขา ซึ่ง เขาก็ตอบไปว่าไม่เป็นอะไรแล้ว

    "ผมขอล่วงเกินองค์หญิง โรวีเนีย แอสเทรล แรนดอร์ฟ ซักนิดนะครับ " เลซาทจู่ๆก็เอ่ยขออนุญาติท่านเจ้าเมืองรีเวเรียขึ้น พร้อมๆกับเดินเข้าไปแหวกเส้นผมที่ละเอียดดุจไหมสีเดียวกับใข่มุข แล้วเหลือมองบริเวณด้านหลังต้นคอ ก็พบอักขระโบราณ 3ตัวอยู่บริเวณต้นคอด้านหลัง เมืองเห็นดังนั้นเลซาทก็พึมพัมออกมาเบาๆ

    "เป็นไปอย่างที่คิดไว้จริงๆด้วย"

    เลซาทหันมาสบตากับบิดา และ อาจารย์ ของเขา "ท่านพ่อ และ ท่านอาจารย์ คงรู้ถึงสาเหตุว่าทำไม องค์หญิง โรวีเนีย ไม่พื้นซักทีแล้วสินะครับ"

    ทั้ง2 คนมีแววตาลำบากใจอย่างใจอย่างชัดเจน พลางพยักหน้าตอบรับง่ายๆ

    "การอัญเชิญปีศาจ นั้นต่างจากการ เรียก เทพอสูรที่ทำสัญญาเอาไว้ ที่จ่ายค่าตอบแทนเป็นพลังจิตของตน"

    "แต่สิ่งที่ต้องจ่ายในการเรียกปีศาจนั้นคือ ชีวิต ไม่ก็โดน คำสาปแช่ง เป็นค่าตอบแทน และคำสาปที่องค์หญิงโรวีเนีย โดนสาปนั้น ก็คือ `คำสาป100ราตรีไม่มีหวนกลับ` คำสาปที่ร้ายแรงที่สุดและไม่มีทางแก้ใขคนที่ถูกสาปจะเสียชีวิตทันทีเมื่อครบกำหนด100วัน"

    "ถึงคำสาปบทนี้จะไม่มีผลกระทบอะไรต่อร่ายกายของผู้ถูกสาปจนกว่าจะครบกำหนด 100 วัน แต่ด้วยร่างกายที่อ่อนแอมากๆ ของ องค์หญิงโรวีเนียในเวลานี้ทำให้คำสาปนี้ส่งผลกระทบมากทีเดียว ใช่ใหมครับ" เลซาทเอ่ยขึ้นเรียบๆ

    แต่ยังไม่ทันที่จะได้รับคำตอบนั้น เลซาทก็เอื้อมมือไปแตะต้นคอบริเวณอักขระโบราณเหล่านั้น พร้อมร่ายมนต์อะไรบางอย่าง แสงสว่างเรืองๆฉายขึ้นจากร่างของโรวีเนีย ค่อยๆไหลมายังตัว เลซาท แล้วทุกอย่างก็กลับสู่สภาวะปกติ ท่ามกลางอาการตกตะลึงของ ทั้ง บิดา และ อาจาย์ของเขา หลังจากตั้งสติได้ บิดา ของเขาก็ปราดเข้ามาจับใหล่ของเขาไว้แน่

    "เลซาทรู้ไหมลูกทำอะไรลงไป! การย้ายคำสาปมายังตัวเองนั้นถึงจะรักษาผู้ถูกสาปได้ก็จริง แต่ผู้ที่ใช้มันจะต้องใช้ตัวเองรับผลของคำสาปแทนนะ!"

    เลซาท วาเลทยิ้มอย่างเยือกเย็น "ผมคิดดีแล้วล่ะครับท่านพ่อ จริงๆแล้วท่านพ่อและท่านอาจารย์ ก็รู้อยู่แก่ใจว่า ทางนี้คือทางออกที่ดีที่สุด เพียงแต่ไม่พูดออกมาเท่านั้น"

    "ถ้าองค์หญิงโรวีเนียเป็นอะไรไปแล้วล่ะก็ ชื่อเสียงของริมุเน่ ได้เสื่อมเสียแน่ๆ แต่นี่ก็ยังไม่ใช่เรื่องสำคัญ ใครๆต่างก็รู้ โรวีเนีย แอสเทรล แรนดอร์ฟ คือ ทายาทเพียงคนเดียวของราชวงค์ รีเวเรีย ถ้าเป็นอะไรไปความมั่นคงที่มีอยู่ตอนนี้ของ รีเวเรีย จะต้องสูญเสียไปอย่างแน่นอน"

    "และเมื่อรีเวเรีย ที่ถ่วงดุลอำนาจครึ่งหนึ่งจากสภานักบวช แห่งชายน์ ไว้ระส่ำระสายแล้วล่ะก็ทีนี้ไม่ใช่แค่ ริมุเน่ เท่านั้น แต่เป็นทั้งเอลล์เทอเฟียวุ่นวายแน่ๆ "

    บิดาของเขาเอ่ยขัดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่สบายใจยิ่งนัก "แต่ทำไมลูกต้องด่วนตัดสินใจเองด้วยล่ะ เลซาท"

    เลซาทส่ายหน้าช้าๆ "ผมไม่ได้ด่วนตัดสินใจหรอกครับ ท่านพ่อ และ ท่านอาจารย์ต่างก็รู้ดีว่า มนต์เคลื่อนย้ายคำสาปนั้น ในริมุเน่ เวลานี้ คนที่ใช้มันได้ มีเพียง 4 คนเท่านั้น"

    "คนแรก คือ ท่านอาจารย์อัลฟรีด คนที่2ก็คือ ท่านพ่อ คนที่3ก็คือพี่เซเน็ต และ คนสุดท้ายก็คือผมเอง ท่านพ่อ และ ท่านอาจารย์ แต่เป็นเสาหลักที่ทำให้ริมุเน่สงบสุขเสมอมา ส่วนพี่เซเน็ตก็เป็นถึง รัชทายาท ผู้ครองเมืองคนต่อไป และ หัวหน้ากองทหารเวทย์ ที่คอยปกป้องเมืองนี้ เมื่อเทียบความสำคัญกันแล้ว แม้แต่เด็กเล็กๆก็บอกได้ทันทีเลยว่า ใครควรเป็นคนที่จะต้องเสี่ยงชีวิตรับคำสาปนี้มา"

    "ถึงผมจะไม่ได้รู้จักผู้คนมากมายนัก เอาแต่อ่านหนังสืออยู่ในห้องสมุด แต่ผมเองก็ถือว่าตัวเองก็เป็นลูกผู้ชายคนหนึ่ง การที่เรื่องมันวุ่นวายบานปลายจนถึงขั้นนี้ ผมเองก็มีส่วนด้วยเช่นกัน ฉะนั้นการจะปัดภาระให้คนอื่นนั้น หรือ ทำไม่รู้ไม่สน จนต้องมีคนตายไปแล้วล่ะก็ ผมคงไม่มีความสุขไปตลอดชีวิต สู้ผมยอมรับคำสาปนี้มาเองแล้วหาทางแก้ใขด้วยตัวเองดีกว่า"

    "ผมมีเวลาถึง100วันในการหาทางแก้คำสาปนี้ ซึ่งถ้าเทียบกับหลายๆคนมันก็ถือว่าเยอะพอสมควรเลยทีเดียว ผมไม่ยอมแพ้ง่ายๆหรอกนะครับ"

    "ท่ามกลางความมืดมิด ถ้าเราไม่ยอมแพ้ซะอย่าง ต่อให้เป็นเพียงแสงเล็กๆจากหิ่งห้อย มันก็อาจจะพาเราไปสู่ทางออกได้ไม่ใช่หรือครับ?"

    "แล้วถึงผมจะพ่ายแพ้ต่อคำสาป มันก็จะเป็นแค่การหายสาปสูญไประหว่างเดินทางเท่านั้นเอง ซึ่งมันเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้วล่ะครับ ถึงตัวผมเองจะต้องแตกดับลงไปก็ตามที ผมก็ไม่เสียใจในสิ่งที่ผมทำหรอกนะครับ แล้วผมอยากจะขอร้องอะไรอีกอย่าง เรื่องนี้ขอให้รู้กันเพียงแค่4คน ผมไม่อยากให้เรื่องนี้กลายเป็นบาดแผลภายในจิตใจของใครหลายๆคน โดยเฉพาะ องค์หญิง โรวีเนีย" เลซาท เอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลพร้อมๆกับท่าทีอันสงบนิ่ง

    ทั้ง4คนภายในห้องนั้น ถึงกับจนมุมต่อเหตุผลของ จอมเวทย์หนุ่มผมสีฟ้า และ ประเมินจิตใจของชายหนุ่ม ที่ชื่อ เลซาท วาเลท ได้เลยว่าไม่ใช่แค่พลังเวทย์มนต์ และความรอบรู้เท่านั้น แต่จิตใจก็ถือว่าเป็นลูกผู้ชายจริงๆคนหนึ่งเลยทีเดียว

    "ท่านพ่อครับ ผมรู้ดีว่าไม่มีพ่อคนไหมยินดีหรอกที่จะต้องเห็นลูกชายของตน ตายไปก่อนตัวเอง แต่ครั้งนี้มันไม่มีทางเลือก ท่านพ่อไม่ต้องโทษตัวเองหรอกนะครับ เพราะทุกอย่างเป็นการตัดสินใจด้วยตัวผมเอง ที่เลือกทางนี้ หลังจากที่ผมออกเดินทางแล้ว 1ปีให้หลังถ้าผมยังไม่กลับมาเยี่ยมพวกท่าน ให้เอาจดหมายฉบับนี้ให้ท่านแม่ และ พี่เซเน็ตอ่านด้วยนะครับ" เลซาทยื่นซองกระดาษสีขาวให้บิดาของเขา

    ท่านเจ้าเมืองริมุเน่ ลูบหัวบุตรชายของตนอย่างแพ่วเบา "ขอให้รู้ใว้ เลซาท เจ้าคือลูกชายที่พ่อภูมิใจไม่แพ้พี่ชายของเจ้าแม้แต่นิดเดียว" เลซาทก้มหัวเล็กน้อยลาทุกๆคนแล้วเดินออกจากห้องไปเงียบๆ หลังจากที่เขาออกไปไม่นาน โรวีเนีย ก็พื้นขึ้นมา ทำให้ทุกคนสบายใจขึ้นมานิดหน่อย


    ส่วนเลซาทพอออกจากห้อง ก็มุ่งตรงไปยังห้องของตนคว้าสัมภาระที่เขาจัดเตรียมไว้แล้ว มุ่งหน้าออกจากเมืองไปเงียบๆทันที โดยที่ไม่ได้ล่ำลา มารดา และ พี่ชายของเขา เลย เพราะ กลัวว่าจะไม่สามารถตบตาทั้ง2คนได้ ซึ่งนี่เป็นการออกผจญภัยครั้งแรกของ เลซาท วาเลท องค์ชายคนเล็กแห่งริมุเน่ และมันอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตของเขาด้วย




    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~​






    หลังจากออกเดินทางได้หลายวัน ในที่สุดเขาก็เลือกที่จะแวะมาที่ เมืองแห่งอัศวิน รีเวเรีย ขณะที่กำลังเดินเตร่ดูโน่นดูนี่อยู่นั้น เขาก็ได้ชาวบ้าน2คนคุยกัน

    "นี่รู้รึเปล่า 5 วันก่อนที่ชายน์เกิดเรื่องวุ่นวายใหญ่เลยล่ะ"

    "อ้อ ที่ว่ากันว่า นักฆ่าตระกูลฟรอสเฟรส ปรากฏตัวขึ้น แล้วพวกนักล่าค่าหัวไปล่า แต่กลับโดนฆ่าเรียบเลยใช่ใหม?"

    "อืม เขาว่ากันว่างานนี้ สภานักบวชถึงกับเต้นเป็นเจ้าเข้าเลยนะที่เกิดเรื่องวุ่นวายขนาดกลับจับตัวใครไม่ได้เลย"

    เลซาท ได้ยินประโยคเหล่านี้โดยบังเอิญก็รู้สึกสนใจอยู่เหมือนกัน จึงนึกถึงคำแนะนำของ เพื่อนพ่อค้าผมส้มที่เคยแนะนำไว้ว่า ถ้าอยากรู้ข่าวสารอะไรซักอย่างให้เริ่มต้นแวะไปที่ร้านเหล้า เพราะที่นั่นเปรียบเหมือน แหล่งพักผ่อนของผู้คนหลากหลายอาชีพ ขณะที่กำลังหันรีหันขวางเพื่อจะหาร้านเหล้าอยู่นั้น เขาก็ได้ยินเสียงเพลงอ่อนหวานแผ่วพริ้วดังลอยมาตามสายลม

    เมื่อย่างเท้าก้าวตามไปยังที่มาของเสียงเพลงนั้น ก็พบว่าตัวเองอยู่ในตรอกเเคบๆ ด้านหน้าเป็นร้านเหล้าเล็กๆเมื่อเงยหน้ามองป้ายชื่อร้าน "อัลบาร์ทรอส ชื่อนกนักล่าแห่งท้องทะเล"เลซาทพึมพัมออกมาเบาๆ พร้อมๆกับเปิดประตูก้าวเข้าไปในร้านที่จะเป็นจุดเริ่มต้นการผจญภัยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขา




    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~​





    ขอขอบคุณ

    "เลซาท วาเลท" โดยคุณนักเดินทางแห่งมิดการ์ด (คิดเองเขียนเองจะขอบคุณไปทามมายหว่า - -*)​

    "โรวีเนีย แอสเทรล แรนดอร์ฟ " โดยคุณยูคิฮิเมะ~ Gespenst Jaeger

    "เฟท เรนเกล" โดยคุณ!+~ZGMFS~+!

    "อเมทิส โวเลนเต้" โดยคุณYoshiki : โหมดรักษามือ

    "ลุนลุน มิเนอร์ว่า" โดยคุณpoupée : seed destin"Y"

    "ฟรีเดล ซาโดซ่า" โดยคุณReno_INside




    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~​
  16. joi100

    joi100 นักเดินทางแห่งมิดการ์ด

    EXP:
    478
    ถูกใจที่ได้รับ:
    23
    คะแนน Trophy:
    38
    Re: [ฟิครับสมัคร] Tale Of Light and Shadow

    เหตุการณ์ทั้งหมดที่จะเล่าต่อไปนี้ เกิดขึ้นในคืนที่ จอมเวทย์หนุ่มผมสีฟ้าอ่อน นามว่า เลซาท วาเลท ออกเดินทางจากบ้านเกิดของเขา เมือง`ริมุเน่` โดยที่ตัวเขาเองไม่รู้เลยแม้แต่น้อยเลยว่า ขณะที่เขากำลังจะออกไปผจญภัยยังโลกกว้างนั้น เบื้องหลังของเขา ก็มีเหตุการณ์เกิดขึ้นมากมาย






    เรื่องเล่าจากแสงและเงา นอกรอบ(4)




    หลังที่ ทุกคนเห็นอาการของ องค์หญิงแห่งรีเวเรียปลอดภัยดีแล้ว จึงแยกย้ายกันไปพักผ่อน โดยมี อเมทิส คอยดูแลอยู่ไม่ห่าง ขณะที่เธอเดินไปปิดหน้าต่าง เมื่อหันกลับมาก็พบว่า โรวีเนีย แอสเทรล แรนดอร์ฟ นายน้อยของเธอนั้นลืมตาแล้วลุกขึ้นกึ่งนั่งกึ่งนอน อยู่บนเตียง

    "สบายดีแล้วหรือเพคะองค์หญิง" ประโยคแรกเธอร้องทักด้วยความยินดี แต่ก็ต้องชะงักไปเพราะเห็นสีหน้าอันเศร้าหมอง "องค์หญิงเป็นอะไรไปเพคะ ยังเจ็บตรงไหนอยู่เหรอเพคะ" อเมทิส เดินเข้าไปจะตรวจดูอาการของโรวิเนีย แต่ก็ถูก องค์หญิงน้อยแห่งรีเวเรียคว้าตัวเข้ามากอดไว้แน่น จากนั้นโรวิเนียก็ร้องให้ออกมา อเมทิส ต้องปลอบอยู่นานกว่าจะหยุดร้อง

    "เอาล่ะไม่เป็นไรแล้วนะเพคะองค์หญิง ไม่เป็นแล้ว ทุกอย่างเป็นปกติแล้วนะคะ" อเมทิส พูดพลางลูบหัวเจ้าหญิงของเธอเบาๆ โรวิเนียซึ่งดวงตาแดงช้ำเพราะการร้องไห้ ก็เอ่ยออกมาเป็นประโยคแรกพร้อมเสียงสะอื้น "แต่หญิงทำให้หลายคนบาดเจ็บ และเกือบมีคนตายนะ"

    "ใครๆก็เคยทำผิดมาทั้งนั้น แล้วทุกคนก็ไม่มีใครติดใจถือสาองค์หญิงเลยนะคะ" อเมทิสเอ่ยด้วยน้ำเสียงปลอบโยน

    "อเมทิส แต่เขาคนนั้นกำลังจะตายเพราะหญิง ทำไมเขาต้องมาช่วยหญิงด้วยทั้งๆ ในการประลองหญิงเป็นคนที่ทำให้เขาบาดเจ็บ และ เกือบจะสังหารเขา ทำไมล่ะอเมทิส ทำไมเขาต้องทำแบบนี้ด้วย" โรวิเนียร้องออกมาอย่างอัดอั้น พร้อมน้ำตาที่คลออยู่ในดวงตากลมโตของเธออีกครั้ง

    "นะ นะ นี่องค์หญิงรู้เรื่องนี้ด้วยหรือเพคะ" อเมทิสถามกลับไปอย่างตะกุกตะกัก

    "หญิงรู้สึกตัวตั้งนานแล้ว แต่ไม่สามารถขยับตัวได้ ในเวลานั้น แม้กระทั่งลืมตายังทำไม่ได้เลย แต่ก็ได้ยินทุกอย่างที่เกิดขึ้นในห้องแห่งนี้ รู้ว่าทุกคนเป็นห่วงหญิงแค่ไหน และก็รู้ว่าเขาคนนั้นเป็นคนช่วย หญิงไว้ โดยการรับคำสาปที่ไม่มีทางแก้ไว้กับตัวเอง ทำไมล่ะอเมทิส ทำไม?" แล้วโรวิเนียก็เริ่มร้องให้สะอึกสะอื้นอีกครั้ง อเมทิสรอจนองค์หญิงของเธอซึ่งบัดนี้ไม่เหลือเค้า `ซัมมอนเนอร์สาวไร้พ่าย` เลยแม้แต่น้อย เป็นเพียงเด็กสาวตัวเล็กๆที่กำลังร้องให้อยู่เท่านั้นเอง

    คราวนี้อเมทิสไม่ได้รอให้ โรวีเนีย หยุดร้องให้ "ถ้าเช่นนั้นองค์หญิง ก็คงได้ยิงเหตุผลที่เขาชี้แจงแล้วนี่เพคะ แล้วเขายังอุส่าห์กำชับว่าไม่ให้ใครบอกเรื่องนี้แก่องค์หญิง เพราะเขาไม่ต้องการให้องค์หญิง มาโศกเศร้าคอยโทษตัวเอง เช่นตอนนี้ยังไงล่ะเพคะ "

    โรวิเนีย หยุดสะอึกสะอื้นเงยหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตามองหน้าคนสนิทของตน "หญิงไม่เข้าใจทำไมเขาต้องทำอย่างนี้ เขาต้องเอาชีวิตตัวเองมาทิ้งเพียงเพราะเหตุผลเพียงแค่นี้น่ะเหรอ?"

    อเมทิสส่ายหน้าช้าๆ "มันไม่ใช่เหตุผลเพียงแค่นี้ อย่างที่องค์หญิงเข้าใจหรอกเพคะ สำหรับหลายๆคนแล้ว การปกป้องในสิ่งที่เขาอยากจะปกป้อง มันไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลมากมายหรอกนะเพคะ แล้วถ้าองค์หญิงลองคิดดูดีๆ การที่เขาทำเช่นนี้มันเป็นทางออกเพียงทางเดียวที่จะมีผลเสียน้อยที่สุด ถึงจะเป็นทางเลือกที่ต้องเอาชีวิตของตนเองวางเป็นเดิมพันก็ตามที พวกผู้ชายก็เป็นอย่างนี้เสมอล่ะค่ะ"

    หญิงสาวในชุดจอมเวทย์ขาว เดินไปหยุดที่หน้าต่าง แล้วเหม่อมองออกไปด้านนอกด้วยสายตาเศร้าๆ "ดิฉันเองก็เคยทำผิดพลาดครั้งใหญ่ในชีวิตมาเช่นกันเพคะ ในครั้งนั้นก็มีคนที่เป็นเหมือนเพื่อน และ พี่ชาย มาช่วยไว้โดยที่เขาเอาชีวิตตัวเองเข้ามาเสี่ยงเช่นกัน และการที่ดิฉันได้มาเป็นผู้ติดตามขององค์หญิงเช่นนี้ก็เพราะเขาช่วยเหลืออีกเช่นกัน "

    "ดิฉันเคยถามเขานะคะว่าทำไมต้อง ช่วยเหลือดิฉันขนาดนี้ด้วยทั้งๆที่ตั้งแต่รู้จักกันมา ดิฉันมักจะเป็นคนก่อปัญหาให้เขาอยู่เสมอ" แล้วเสียงของอเมทิสก็หายไปในลำคอ

    โรวิเนียซึ่งบัดนี้ลืมเรื่องเศร้าของตนเองไปชั่วคราวเลยทีเดียว เมื่อเห็นสีหน้าและน้ำเสียงของ อเมทิสในเวลานี้ เอ่ยขึ้นเบาๆ "แล้วเขาตอบว่ายังไงล่ะคะ"

    อเมทิสหันกลับมามอง โรวิเนียแล้ว ยิ้มออกมาเล็กน้อย "เค้าตอบดิฉันกลับมาว่า `ก็แค่อยากจะช่วยไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น การจะช่วยใครซักคนบางครั้งมันก็ไม่มีเหตุผลอะไรมากมายหรอก` มันเป็นเหตุผลที่ง่ายๆแค่นี้จริงๆ สำหรับเขาคนนั้น"

    "แล้วตอนนี้เขาคนนั้นอยู่ที่ไหนล่ะอเมทิส" องค์หญิงแห่งรีเวเรียถามต่อมาอย่างสนอกสนใจ

    "ไม่รู้สิเพคะ อาจจะเป็นที่ไหนซักแห่งบนแผ่นดิน เอลเทอเฟีย แห่งนี้ เอาล่ะเพคะ ไม่ต้องโทษตัวเองต่อไปอีกแล้ว เพราะไม่มีใครไม่เคยทำผิดมาก่อนหรอกเพคะ แต่เราอย่าทำผิดซ้ำแบบเดิมอีก" อเมทิสเอ่ยพลางเดินมานั่งลงข้างองค์หญิงแห่งรีเวเรีย

    โรวิเนียคว้าตัวคนสนิทของเธอเข้ามากอดไว้แล้วเริ่มร้องไห้เบาๆอีกครั้ง

    จบบท นอกรอบ(4)




    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~​





    เรื่องเล่าจากแสงและเงา นอกรอบ(5)



    อีกมุมหนึ่งของวังเจ้าเมืองแห่งริมุเน่ก็ยังมีอีกคนที่ไม่สามารถข่มจิตใจตนเอง แล้วหลับลงได้ ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนกำลังกอดอกยืนอยู่ที่ระเบียง มองน้องชายของเขาเดินออกจากบ้านเกิดไปจนลับสายตาเขาก็ยังคงยืนอยู่ตรงนั้นพลางครุ่นคิดเรื่องราวๆต่างๆมากมาย เขารู้ดีว่าทำไมน้องชายของเขา ถึงออกเดินทางไปเงียบๆ โดยไม่บอกใครเลย และนี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะได้เห็นน้องชายของเขาซะด้วยซ้ำ

    แต่เขาไม่อาจจะทำอะไรได้ ตำแหน่ง หัวหน้ากองทหารเวทย์มนต์ หรือ รัชทายาทของเมืองนี้ มันไม่ได้ช่วยอะไรเลย หนำซ้ำมันกลับเป็นหนึ่งในตัวการที่บังคับให้น้องชายของเขาทำเช่นนี้ซะด้วย การที่พี่ชายคนหนึ่งต้องทนดูน้องชายของตน เผชิญหน้ากับความตาย โดยที่ตนเองได้แต่ยืนมอง และรอคอย มันทรมานเหลือเกินสำหรับ "เซเน็ต วาเลท"

    ขาเคยสัญญากับมารดาของตนว่าจะปกป้องน้องชายของเขาคนนี้อย่างดีที่สุด แต่สุดท้ายมันกลับกลายเป็นว่า น้องชายของเขาต้องเสียสละตัวเองเพื่อปกป้องทุกอย่าง แล้วเขาจะไปบอกกับมารดาของเขาได้ยังไงกัน

    สุดท้ายภวังความคิดทั้งหมดก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงเคาะประตู เมื่อเปิดออกก็พบ สาวน้อยผมสีทองยาวสลวย ถูกรวบเป็นหางม้าไปทางด้านหลัง ซึ่งตรงโคนที่รวบผมนั้นถูกผู้ไว้ด้วยริบบิ้นสีดำทั้ง2ข้าง ซึ่งเขารู้จักเธอคนนี้ดี

    "เอ่อ ดิฉันเห็นว่าตั้งแต่จบเรื่อง องค์ชายยังไม่ได้รับประทานอะไรเลย ดิฉันเตรียมอาหารไว้ที่ห้องอาหารแล้ว ถ้าองค์ชายหิวก็แวะไปทานได้นะเพคะ" เฟท เรนเกลเอ่ยขึ้นหลังจากชั่งใจอยู่พักใหญ่

    เซเน็ตไม่ได้ตอบอะไรกลับไปแต่เขาเดินเข้าไปจนชิดตัวของสาวน้อยผมทอง แล้วก้มลงซบกับไหล่เล็กๆของเธอ "ขอโทษนะเฟท ขอพี่อยู่อย่างนี้ซักพักเถอะ"

    เฟท เรนเกล ถึงเธอจะไม่รู้ว่า เซเน็ต วาเลท กำลังคิดอะไรอยุ่ แต่ก็รู้ว่าตอนนี้เขากำลังไม่สบายใจอย่างมาก แต่เธอก็ทำได้แค่ยืนนิ่งๆเท่านั้นเอง




    จบบท นอกรอบ(5)




    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~​
  17. joi100

    joi100 นักเดินทางแห่งมิดการ์ด

    EXP:
    478
    ถูกใจที่ได้รับ:
    23
    คะแนน Trophy:
    38
    Re: [ฟิครับสมัคร] Tale Of Light and Shadow

    เรื่องเล่าจากแสงและเงา เรื่องที่ 3 หมอบ้าเที่ยวล่าสุด (1)






    ทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเอลเทอเฟีย ทุกคนต่างรู้ดีว่าที่ตรงนั้น มันเป็นพื้นที่ของทะเลทราย"อัลคาน่า" ทะเลทรายที่ใหญ่ที่สุดของแผ่นดิน กินอนาบริเวณถึง 1ใน 6 ของทวีป กลางวันร้อนระอุดุจเตานรก แต่กลางคืนนั้นอากาสกลับเย็นจนจับไขกระดูก สภาพอากาศที่ทารุณต่องสิ่งมีชีวิตทุกชนิดของที่นี่ ทำให้ถ้าไม่จำเป็นไม่มีใครอยากจากเดินทางผ่านทะเลทรายแห่งนี้ซักเท่าไร


    แต่เรื่องเล่าเรื่องที่3 นี่เรื่องราวมันเริ่มต้นจากทะเลทรายแห่งนี้


    ยามพระอาทิตย์จะลาลับขอบฟ้าไป ผืนทรายอันกว้างใหญ่แห่งนี้ถูกย้อมเป็นสีแดงไปทั่วบริเวณ ในเวลานี้มีใครบางคนสวมผ้าคลุมสีขมุกขมัวเดินย่ำฝ่าผืนทรายอันกว้างใหญ่ ขณะที่เขากำลังเดินย่ำผืนทรายอยู่นั่นเอง เขาก็เหลือบมองเห็น โอเอซิสแห่งหนึ่ง หลังจากจ้องมองจนแน่ใจแล้วว่าไม่ใช่ภาพหลอน เขาจึงเดินมุ่งตรงไปยังโอเอซิสแห่งนั้น

    เมื่อมาถึงขณะที่กำลังจะเดินไปดื่มน้ำในบ่อนั่นเอง เขาก็เห็นเงาสะท้อนอยู่อีกฝั่งของแอ่งน้ำ เมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็พบ ชายหนุ่มผมสีเทา ดวงตาสีเดียวกับสีผม ในชุดสีดำดูเผินๆคล้ายชุดของทหาร เมื่อรวมกับผล้าคลุมสีดำที่ชายขาดวิ่น ทำให้ดูน่าหวาดหวั่นอยู่ไม่น้อย และที่สุดดุดตาอย่างมากคือ เขาพกดาบอยู่ถึง 5 เล่มด้วยกัน

    "ท่านนักเดินทาง อีกมานานก็จะมืดแล้ว สถาณที่บริเวณนี้จะอันตรายมาก ขอให้ท่านดื่มน้ำแล้วรีบออกเดินทางไปจากที่นี่ก่อนตะวันตกดินเถิด" น้ำเสียงราบเรียบจากคนที่ยืนอยู่ฝั่งของแอ่งน้ำเอ่ยมา

    แต่คนที่สวมผ้าคลุมสีขมุกขมัวกลับไม่ใส่ใจกับคำพูดนั้นซักเท่าไรก้มลง วักน้ำขึ้นมาดื่มเพื่อดับกระหาย แล้วก็ถอดผ้าคลุมที่ใส่เพื่อกันทรายออก เผยให้เห็น ชายหนุ่มผมสีแดงสดตั้งๆสวมที่คาดผมสีขาวธรรมดาๆ ไว้ ตาสีเขียวมรกต หน้าตากวนๆ ใส่เสื้อแขนกุดสีขาว สวมเสื้อคลุมสีขาวมีฮูดทับไว้อีกที กางเกงขายาวสีดำ ดูรัดกุมทะมัดทะแมง เขายิ้มออกมาเล็กน้อย

    "นายคงคือ `ทูตแห่งทะเลทราย` ที่เขาลือกันสินะ จริงๆน่าจะเรียกว่า `พ่อค้าขายดาบ`มากว่าแฮะ คนเดียวพกดาบซะ 5 เล่ม พอดีฉันเดินลากสังขารฝ่าทะเลทรายเฮงซวยนี่มาทั้งวันแล้ว คงไปต่อไม่ไหวแล้วล่ะคืนนี้ขอพักซักหน่อยละกัน" ชายหนุ่มชุดขาวเอ่ยขึ้น

    นักดาบในชุดดำทำสีหน้าลำบากใจ แต่ก็เพียงแป๊ปเดียว สีหน้าเขาก็กลับมาเป็นปกติ "ถ้าท่านนักเดินทางอยากจะพักที่นี่ ถือว่าเป็นคำขอร้อง คืนนี้ไม่ว่าท่านจะได้ยินเสียงอะไรก็ตาม กรุณาอย่าออกจากบริเวณโอเอซิสแห่งนี้เป็นอันขาด" เมื่อจบประโยคร่างในชุดผ้าคลุมสีดำก็หายไปอย่างรวดเร็ว

    ชายหนุ่มผมสีแดงไม่สนใจอะไรมาก เลือกต้นไม้ต้นหนึ่งใกล้ๆแอ่งน้ำลงไปนั่งพิงเพื่อพักผ่อนความเหนื่อยล้าที่สะสมมาทั้งวัน ขณะที่กำลังจะเคลิ้มหลับนั่งเอง เขาก็รู้สึกได้ถึงความดำมืดของเหล่าปีศาจร้ายที่มารวมตัวกันบริเวณไม่ห่างออกไปนัก ชายหนุ่มผมแดงขมวดคิดอย่างสงสัย พร้อมๆกับพึมพัมกับตัวเอง "นี่ล่ะมั๊งสาเหตุที่เจ้านั่นเตือนเรา แต่จะให้นั่งอยู่เฉยๆก็น่าเบื่อเกินไปแฮะ"

    ชายหนุ่มในชุดสีขาวลุกขึ้นแล้วเดินมุ่งหน้าไปทางที่เขาจับความรู้สึกได้ เมื่อเดินห่างออกมาจากโอเอซิส เขาก้ได้ยินเสียงการต่อสู้ เมื่องมองไปยังต้นเสียงก็พบชายหนุ่มผมสีเทาคนนั้นกำลังต่อสู้กับปีศาจที่มีตัวเป็นคนแต่หัวเป็นสุนัขสีดำ ถือดาบโค้งสีเงินวาววับ จำนวนเกือบๆ50ตัว "โอ้โห ซัดกันเละเลยแฮะหมอนี่เก่งชะมัดเลยแฮะ" ชายหนุ่มผู้เพิ่งมาถึงพึมพัมพลางกอดอกยืนดูการต่อสู้อย่างสบายใจ ดูเจ้าปีศาจหัวสุนัข ค่อยๆโดยคู่ต่อสู้ทำลายจนกลายเป็นทรายไปทีละตัว ทีละตัว

    แต่ปีศาจเหล่านั้นราวกับรับรู้ได้ว่ามีสิ่งมีชีวิตอีกตัวมาอยู่ในอณาเขตของมันด้วย ปีศาจ ส่วนหนึ่งหันกลับมาแล้วกรูเข้าใส่ชายหนุ่มอีกคนที่กำลังยืนกอดอกดูอยู่ในทันที แต่ชายหนุ่มคนนั้นกลับไม่มีท่าทีตกใจหรือหวาดกลัวแต่อย่างใด ตรงข้าม เขากลับแสยะยิ้มออกมา

    "กำลังคันไม้คันมืออยู่พอดี เมื่อคุณขอมาเราก็จัดให้" จบประโยคเพียงพริบตาเดียวร่างในชุดสีขาวก็พุ่งเข้าประชิดตัวปีศาจตัวที่อยู่ใกล้ที่สุดทันที พร้อมๆกับต่อยเสยเข้าเต็มปลายคาง เปริ้ยง!! เสียงดังสนั่นพร้อมกับร่างของเจ้าปีศาจชะตาขาดที่กลายเป็นกองทราย จากนั้นเขาก็ย่อตัวเตะกวาดเจ้าปีศาจอีกตัวจนมันเสียหลักล้มลง ซึ่งเป็นพริบตาเดียวกับที่เขาดีดตัวเข้าไปเตะเต็มๆหัวของมัน เสียงดังสนั่นดังขึ้นอีกครั้งซึ่งคราวนี้ดึงความสนใจของปีศาจจำนวนไม่น้อยกรูเข้าใส่เขาทันที

    ชายหนุ่มผมสีแดงพุ่งสวนเข้าใส่เหล่าปีศาจเหล่านั้นทันที "เคล็บวิชาหมัดอาคมดำ หมัดทะลวงหลัง!!!" สิ้นเสียงหมัดขวาของเขาก็เปล่งแสงจางๆพร้อมต่อยสวนเข้าเต็มๆลำตัวของปีศาจตัวแรกแล้วส่งแรงกระแทกไปยังตัวด้านหลังเป็นลูกโซ่ ส่งผลให้เจ้าหัวสุนัขทั้งหลายกลายเป็นทรายไม่ต่ำกว่า4-5ตัว จากนั้นก็ราวกับเทศกาลล่า ไม่ถึง5นาที ทุกอย่างก็จบลงมีเพียงชายหนุ่มในชุดสีดำ1คน และ สีขาวอีก1คนยืนมองหน้ากันอยู่

    จากนั้นทั้ง2คนก็เดินกลับไปยังโอเอซิสที่อยู่ไม่ห่างออกไปนั้น เมื่อถึง ชายในชุดสีขาวก็เอ่ยขึ้น "นี่นายโดนคำสาปอย่างนั้นสิ ถ้าจะให้เดานายคือ `โลว์ แซนด์วอคเกอร์` สินะ " เมื่อหันกลับไปก็พบชายหนุ่มที่ มีนามว่า โลว์ มีสีหน้าแปลกใจพอสมควรเลยทีเดียว "เหอะๆ ไม่ต้องแปลกใจไปหรอก พอดีฉันเองก็ศึกษาเรื่องพวกนี้มาพอสมควร แล้วชื่อนายมันก็ดันไปโผล่ อยู่ในตัวอย่างของคำสาปที่สามารถเรียกปีศาจออกได้ และตอนนี้ยังไม่มีใครรู้วิธีถอนคำสาปชนิดนี้"

    "ฉัน ราโชม่อน เวก้า หมอพเนจร ยินดีที่ได้รู้จัก" ชายหนุ่มผมสีแดงที่มีนามว่า เวก้าเอ่ยแนะนำตน

    "หมอ? นายเป็นหมอจริงๆน่ะรึ?" โลว์ถามกลับมาอย่าง งงๆ

    เวก้าล้วงบุหรี่ขึ้นมา 1มวนแล้วจุดสูบ หลังจากพ่นควันอย่างสบายใจก็ตอบกลับมาว่า "อืม ถึงท่าทางฉันจะไม่คอยเหมือนซักเท่าไรก็ตามทีเถอะ ยังไงฉันก็เป็นหมออยู่ดี ดูท่าทางนายนี่ก็ลำบากไม่เบาเลยนะ ต้องมาซัดกับเจ้าพวกนี้ทุกคืนๆ "

    โลว์ยิ้มออกมาอย่างเศร้าๆแต่ก็ไม่ตอบอะไรแล้วเดินหายไปเงียบๆ เวก้ามองตามหลังไป

    "เฮ้อ อมทุกข์ชะมัดเลยเจ้าหมอนี่แต่ก็ว่าไม่ได้ล่ะน่ะ มีคำสาปอย่างนั้นติดตัวจนโดนขับไล่ออกมาอยู่กลางทะเลทราย ยิ้มร่าหัวเราะได้ก็บ้าแล้วล่ะ" จากนั้นเวก้าก็จัดการเสบียงแห้งที่นำติดตัวมาแล้วก็เอนตัวนอนหลับไปง่ายๆ

    เมื่อตื่นเช้ามาเขาก็ไม่พบแม้แต่เงาของโลว์แม้แต่น้อย มีเพียงเสบียงเล็กๆน้อยๆ วางอยู่ที่ริมน้ำ เวก้ายิ้มออกมาเล็กน้อย พร้อมตะโกนดังไปทั่วบริเวณ

    "เฮ้ โลว์ แซนด์วอคเกอร์ ขอบใจมากนะ ไว้ถ้าฉันรู้ทางแก้คำสาปของนายเมื่อไร จะมาช่วยถอนคำสาปให้ แต่ไม่รู้เหมือนกันนะว่าเมื่อไร ฮ่าๆ"

    จากนั้นเวก้าก็สวมผ้าคลุมสีขมุกขมัวเดินฝ่าทะเลทรายยามเช้าซึ่งยังคงไม่ร้อนมากนักเดินตรงไปยัง กรานาด้าเมืองแห่งทะเลทราย ตามที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่แรก




    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~​





    ยามบ่าย ณ เมือง "กรานาด้า" เมืองเล็กๆที่ตั้งอยู่กลางทะเลทราย "อัลคาน่า" แสงแดดที่แผดจ้า อุณภูมิที่ร้อนระอุ ความแห้งแล้งของทะเลทรายอันทารุน สิ่งเหล่านี่คือสิ่งที่หลายๆคนนึกถึงเมื่อ เอ่ยชื่อสถานที่ทั้ง 2 แห่งนี้ แต่กระนั้น "กรานาด้า " ก็ยังมีคนแวะไปเยี่ยมเยียนอยู่เสมอ ด้วยสาเหตุต่างๆมากมาย เรื่องที่จะเล่าในคราวนี้ก็เช่นกัน

    ก่อนอื่น ก็คงต้องเล่าถึงกรานาด้าแห่งนี้เสียก่อน ตามสเตปของอีตานักเดินทางฯ ที่ต้องเล่าถึงเมืองต่างๆเสียก่อน ผมรู้นะหลายๆคนมักจะอ่านข้ามแถวๆนี้ไปเสมอ แต่ก็เอาเถอะไม่เป็นไรไม่ว่ากัน นอกเรื่องมาเยอะและ ลุยกันต่อเลย

    กรานาด้า มีจุดเริ่มต้นจาก ชนเผ่าเร่ร่อนเล็กๆชนเผ่าหนึ่ง ที่มาลงหลักปักฐานบริเวณโอเอซิสขนาดใหญ่ จากนั้นก็ขยายขนาดขึ้นจนกลายเป็นเมืองเล็กๆเมืองหนึ่ง กำแพงที่สูงตระหง่านล้อมรอบทั้ง 4 ด้านถูกสร้างขึ้น เพื่อความปลอดภัยของคนใจเมืองจาก พายุทราย และ การรุกรานของศัตรู แม้จะเป็นเมืองกลางทะเลทราย แต่ก็ยังคงมีคนแวะมาที่เมืองนี้อยู่เสมอๆ เพราะว่า ที่แห่งนี้เป็นตลาดของอัญมณีอันโด่งดังเลยทีเดียว ขึ้นชื่อว่าอัญมณีนั้น ก็ยังคงเป็นที่ต้องการของตลาดอยู่เสมอๆ ไม่ว่าจะสมัยไหนก็ตามที

    เป็นอันรู้กันว่า ทะเลทรายอัลคาน่านั้นเป็นแหล่งผลิตอัญมณีที่ใหญ่ที่สุดของ เอลเทอเฟีย แต่การค้นหา แล้วนำมันมาเจียรไนให้งดงามนั้น เป็นศาสตร์ที่สืบทอดกันมาในชนเผ่าของ กรานาด้า เท่านั้น การที่อยากจะได้ อัญมณี ที่สวยๆแล้วราคาไม่แพงมากนัก ขอให้มาที่ กรานาด้า นี่เถอะครับแล้วคุณจะไม่ผิดหวัง

    แม้จะเป็นเมืองเล็ก แต่กองกำลังของที่นี่ก็แข็งแกร่งมากทีเดียว ทุกๆปีคนหนุ่มผู้อยากจะเป็นทหาร จากที่นี่ จะถูกส่งไปยังรีเวเรีย เพื่อฝึกฝน และมีหลายๆคนที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอัศวิน แล้วที่สำคัญถึงจะไม่มีใครประกาศ ออกมา แต่ทุกคนต่างรู้ดีว่า กรานาด้า กับ รีเวเรีย นั้นมีความสัมพันธ์ ทีดีต่อกัน ฉะนั้นใครที่คิดจะรุกราน กรานาด้า ก็เท่ากับประกาศตนเป็นศัตรู กับ รีเวเรีย 1ใน2 ขั้วอำนาจแห่งเอลเทอเฟียทีเดียว ซึ่งความสัมพันธ์นี่ก็ เช่นเดียว กับ ที่รีเวเรีย มีกับ ริมุเน่ เมืองแห่งเวทย์มนต์ ที่ผมเล่าถึงไปในตอนที่แล้ว



    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~​




    ประตูทางทิศเหนือ ของ เมืองกรานาด้า




    แม้จะเป็นเวลาบ่าย แสงแดดก็ยังคงร้อนระอุ ตามของธรรมชาติที่นี่ แต่ถึงกระนั้น ที่ประตูก็ยังคงมีทหารยาม ยืนเฝ้าอยู่อย่างเข้มแข็ง ซึ่งพวกเขามีหน้าที่ตรวจสอบทุกคนที่จะเข้าไปในเมือง เพื่อความปลอดภัย และความสบายใจของทุกคน แต่ในเวลานี้ พวกเขาต่างก็ว่างงานพอสมควรเพราะว่า แดดร้อนขนาดนี้คงไม่มีใครอยากจะเดินทางฝ่าทะเลทรายมาช่วงเวลานี้ซักเท่าไร แต่ในวันนี้กลับมี ใครบางคนเดินฝ่าทะเลทรายอันกว้างใหญ่มาหยุดพักอยู่ใต้เงาของประตูเมืองทางทิศเหนือ

    ทหารยาม เดินเข้ามาทำตามหน้าที่ทันที "ยินดีต้อนรับสู่กรานาด้า และต้องขออภัยในความไม่สะดวกด้วยนะครับ ทางเราขอตรวจสอบสัมภาระของท่าน และช่วยถอดผ้าคลุมของท่านด้วยนะครับ"

    คนในผ้าคลุมพยักหน้ารับ พร้อมกับถอดผ้าคลุกสีขมุกขมัวของเขา ทีถูกฝุ่นทรายเกาะเต็มไปหมดออก ปรากฎให้เห็น ชายหนุ่มผมสีแดงสดตั้งๆสวมที่คาดผมสีขาวธรรมดาๆ ไว้ ตาสีเขียวมรกต หน้าตากวนๆ ใส่เสื้อแขนกุดสีขาว สวมเสื้อคลุมสีขาวมีฮูดทับไว้อีกที สวมกางเกงขายาวสีดำ เขายิ้มออกมาเล็กน้อยพร้อมกับยื่นถุงสัมภาระให้ แล้วรับขวดน้ำจากทหารยามคนนั้น ไปดื่มอย่างกระหาย

    "นี่น้องชาย ไม่ร้อนบ้างเหรอ คิดยังไงเนี่ยเดินลุยทะเลทรายแดดร้อนเปรี้ยงๆ แบบนี้ ขนาดพี่เกิดที่นี่แท้ๆถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ให้ไปเดินลุยแบบนี้เห็นที่จะไปเอาด้วยคน" ทหารยามคนนั้นชวนคุยขณะตรวจสัมภาระ

    หลังจากดื่มน้ำจนอิ่ม ชายหนุ่มผมแดงก็ตอบกลับมา "โธ่ ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ผมก็ไม่ทำแบบนี้หรอกพี่ชาย มีคนตามให้ผมมาที่นี่น่ะสิ แถมให้เวลา 3วัน จาก เวลเจ มายังที่นี่ จะรอขบวนรถ ก็ไม่ทันเวลา จะเช่ามังกรบิน ที่เวลเจก็หาไม่ได้ ก็เลยต้องเดินลุยมาเนี่ย"

    "โห 3วันจากเวลเจ ถึงที่นี่น้องชายนี่ไม่ธรรมดานะนี่" ทหารยามที่กำลังตรวจสัมภาระอยู่ตอบกลับมา

    ชายหนุ่มผมแดง ล้วงหยิบซองบุหรี่ขึ้นมา "เหวย หมดซะแล้ว เมืองนี้มีบุหรี่ขายมั๊ยเนี่ยพี่ชาย"

    ทหารยามคนนั้นหัวเราะออกมาเล็กน้อย "เสียใจด้วยนะน้องชาย คนที่นี่เขาไม่ค่อยนิยมสูบบุหรี่ซักเท่าไร เพราะอากาศร้อนๆ น้ำก็หายาก สูบบุหรี่มีแต่จะทำให้หิวน้ำเร็วขึ้น"

    "อย่างนี้นี่เอง มันก็จริงแฮะ เป็นไงบ้างพี่ชาย มีอะไรผิดกฎบ้างใหม?" หนุ่มเสื้อขาวถาม

    ทหารยามคนนั้นกวาดตามมอง สัมภาระของหนุ่มคนนี้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสมุนไพรตากแห้ง แล้วก็ชิ้นส่วนของสัตว์ต่างๆตากแห้ง "มีแต่ของปรุงยานี่น้องชายเป็นหมองั้นรึ? หรือแค่มาส่งของให้คนที่นี่เฉยๆ"

    "ผมนี่แหละหมอ ถึงจะไม่มีใบรับรองจากทางการก็ตามทีเถอะ เพราะดันไปซัดหน้าคนคุมสอบซะก่อน" หนุ่มผมแดงตอบอย่างภูมิอกภูมิใจ

    "เหอะๆ จะเชื่อถือได้ไหมนี่น้องชาย ขืนมาทำคนตายที่นี่ พี่จับขังลืมเลยนา" ทหารยามเอ่ยขณะเก็บสัมภาระทั้งหมดกลับเข้าที่

    "ฮ่า ฮ่า ฮ่า เห็นอย่างนี้ก็เถอะ ผมไม่เคยรักษาใครมั่วๆจนตายเลยนา ถ้าไม่ร่อแร่ขนาดต้องไปต่อรองกับมัจจุราช แล้วล่ะก็ หายทุกราย ถ้าจะมีคนตายก็เป็นเพราะ ผมต่อยมันตายหองเพราะเรียกให้ถ่อสังขารข้ามทะเลทรายด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องนี่แหละ" ชายหนุ่มผมแดงตอบพลางหัวเราะแค่นๆ

    "น้องชายที่คุยสนุกดีนะ เอาล่ะ พี่ขอของที่เอาติดตัวมาหน่อยสิขั้นตอนสุดท้ายและ มันเป็นหน้าที่คงไม่ว่ากันนะ" ทหารยามส่งสัมภาระคืนให้

    ชายหนุ่ม ล้วงของที่มีติดตัว ก็มีเพียงแค่ถุงเงิน ซองบุหรี่เปล่าๆ ไฟแซ๊ก แล้วก็ถุงมือสีน้ำเงินสดอีกคู่เท่านั้น

    ทหารยามมองชายหนุ่มตรงหน้าทึ่งๆ "นี่น้องชายเดินฝ่าทะเลทรายมาโดยไม่มีอาวุธติดตัวเลยงั้นรึ? "

    "มีสิทำไมจะไม่มี นี่ไงอาวุธผม" ชายหนุ่มผมแดงชูกำปั้นให้ดู

    "อ้อ นอกจากเป็นหมอ ยังเป็นนักสู้ ด้วยเหรอ? น้องชายนี่แปลกๆดีนะ เอาล่ะเรียบร้อยแล้ว ขอพูดอีกครั้งแล้วกัน ยินดีต้อนรับสู่ กรานาด้า" ทหารยามผายมือเข้าไปในเมือง

    ขณะที่กำลังจะออกเดินไปนั่นเองเหมือนชายหนุ่มผมแดงจะนึกอะไรบางอย่างออก "อ้อ!! นี่พี่ชายถามอะไรอย่างสิ ถ้าจะ หา `มุทสึกิ เรนเกลิซท์` นี่จะไปหาได้ที่ไหนอ่ะ มันบอกให้ถามทหารยามที่เฝ้าประตูแล้วเขาจะบอกทางเอง "

    "นี่ จะมาหา เรน น่ะรึ ป่านนี้คงอยู่บ้านพักล่ะมั๊ง น้องชายเดินตรงไปจนเจอลานกว้างแล้วเลี้ยวซ้าย เดินไปมองหลังคาบ้านสีแดงๆไว้ หลังนั้นแหละแถวนั้นมีหลังเดียวไม่ต้องกลัวผิดหลัง นี่เป็นเพื่อนกับ เรนงั้นหรือ?" ทหารยามคนนั้นตอบกลับมา

    "ตอนนี้อ่ะยังเป็นเพื่อนไม่ผิดหรอกพี่ชาย แต่ถ้ามันเรียกมาด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องแล้วล่ะก็ สถาณะ เปลี่ยนแน่ๆ เหอๆ ขอบคุณนะพี่ชาย สำหรับน้ำและ การบอกทาง" แล้วชายหนุ่มผมแดงก็เดินไปตามทางที่ถูกบอกมา



    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~​




    ขณะที่เดินอยู่นั่นเอง เขาก็สะดุดตากับร้านขายอัญมณีร้านหนึ่งที่ตั้งอยู่ระหว่างทางนั่นเอง ชายหนุ่มผมแดงหยุดดูจี้ที่ทำจากพลอยสีม่วงเส้นหนึ่งวางโชว์ไว้หน้าร้าน

    "นี่ก็ใกล้วันเกิดยายนั่นแล้วนี่นา ไหนๆก็มาถึงที่นี่แล้วซื้อไปฝากซักหน่อยละกัน" หลังจากหยุดยืนคิดอยู่พักใหญ่ๆเขาจึงเลือกที่จะเลี้ยวแวะ เข้าไปในร้านแห่งนั้นก่อนที่จะไปหาเพื่อนตามที่ตั้งใจไว้

    เมื่อเข้ามาเขาก็ต้องแปลกใจเพราะเจ้าของร้านแห่งนี้ ไม่ใช่มนุษย์ แต่ กลับเป็น เอลฟ์สาวผมสีบลอนด์ยาวรวบไปข้างหลังแล้วปักด้วยปิ่นปักผม ตาสีฟ้าออกม่วง ท่อนล่างเป็นกระโปรงหนังสีน้ำตาลรัดรูปยาวเหนือเข่าขึ้นมา 3 นิ้ว รองเท้าบู๊ตหนังสีน้ำตาลยาวครึ่งน่อง ดูยังไงก็ไม่เหมือนเจ้าของร้านขายอัญมณีซักนิด

    "ยินดีต้อนรับไม่ว่าสนใจอะไรคะ" เอลฟ์สาวเจ้าของร้านเอ่ยทักทายทันที่ที่เขาก้าวเข้าไปในร้าน

    ชายหนุ่มผมแดงนิ่งอยู่เล็กน้อยก่อนจะตอบกลับไป "ขอโทษนะครับอยากทราบถึงราคาของสร้อยจี้ที่วางโชว์ไว้ด้านหน้าหน่อยน่ะครับ"

    "เส้นไหนล่ะคะมีตั้งหลายเส้นตรงนั้น"เอลฟ์สาวเจ้าของร้านถามกลับมาอีกครั้ง

    ชายผมแดงตอบพร้อมกับชี้ไปยังสร้อยเส้นนั้น "เส้นที่ทำจากพลอยสีม่วงนั่นน่ะครับ"

    "อ้อ เส้นนั้นนี่เอง 2เหรียญเงินค่ะ" เธอตอบกลับมาสีหน้ายิ้มแย้ม แต่ทำเอาคนถามต้องหยุดคิดทันที

    "โหยต้อง 2 เหรียญเงินไม่ขูดเลือดไปหน่อยเหรอคุณ อลิซาเบธ ริชเชอร์ เห็นแปลกหน้าหน่อยกะฟันกันเลยรึไงเจ๊" แต่นี่หาใช่ประโยคที่หลุดออกมาจากปากของชายหนุ่มผมแดง มันดังมาจากชายหนุ่มอีกคนที่เพิ่งเดินเข้ามาในร้าน ซึ่งการแต่ตัวของเขาก็ไม่เหมือนคนพื้นเมืองที่นี่เลยซักนิด ผมสีส้มแสด โพกไว้ด้วยผ้าผืนใหญ่สีดำ ใส่บูธหนังสีน้ำตาล กางเกงขายาวสีน้ำตาลทำจากผ้าคุณภาพดีกันแดดกันฝน มีกระเป๋ากางเกงมากมาย เข็มขัดมีที่ห้อยดาบสั้น ใส่เสื้อขาวสวมทับด้วยเสื้อกั๊กอีกตัว

    "นี่ตาออสมาถึงก็ปากหมาเลยนะเจ้าคะ คนจะค้าขายมาพูดจาอย่างนี้เดี๋ยวแม่ก็ปาดคอทิ้งซะหรอก แล้วของที่สั่งได้หรือเปล่า อ้อ! คุณลูกค้าคอยซักครู่นะคะ" ท้าประโยคเธอหันไปเอ่ยกับชายหนุ่มผมแดงที่ยังคงยืนดู ชายหญิง2คนนี้เริ่มเปิดสงครามย่อยๆกันตรงหน้าเขา

    "แล้วเจ๊คิดว่าถ้าของที่เจ๊สั่งไม่ได้แล้วกระผมจะถ่อสังขารข้ามทะเลทรายมา ด้วยมังกรบินที่ราคาค่าบริการแพงระยับ ให้ขาดทุนเล่นรึไง ถามอะไรแปลกๆ นี่ได้กินปลาบ้างรึเปล่าเนี่ย ดูIQ ลดลงจากเจอกันคราวที่แล้วเยอะเลยนี่เจ๊" ชายหนุ่มที่เพิ่งมาถึงตอบมาอย่างกวนอวัยวะเบื้องล่างเป็นที่สุด พร้อมกับโยนถุงบางอย่างไว้บนโต๊ะ

    "ปากคอเหมือนสุนัขเข้าไปทุกวันนะ ออส ซักวันฉันจะเอาโซ่ล่ามคอนายเอามาไว้เฝ้าร้าน" เอลฟ์สาวนามว่า ริชเชอร์ เอ่ยพลางเเกะถุงก็พบว่าข้างในเป็นอัญมณีที่เจียรไนแล้วอยู่เต็มถุง

    "เหอะ มีหมาเฝ้าบ้านที่ไหนจะหล่อขนาดนี้เจ๊เข้าใจอะไรผิดรึเปล่านี่" ชายหนุ่มนามว่า ออส ตอบกลับมาพลางกวาดสายตามองไปรอบๆร้าน

    "จ้าๆ พ่อคนหล่อ เอ้านี่ค่าจ้าง รับๆแล้วก็รีบๆไปจากร้านฉันได้แล้ว เสียลูกค้าหมด" ริชเชอร์ โยนถุงเงินใส่พร้อมๆกับโบกมือไล่

    ออส ตอบกลัมาอย่างยียวน "โหยเจ๊น้ำใจอ่ะมีใหม มาตั้งไกล หมดธุระแล้วเฉดหัวส่งเลยรึไง เลื้ยงข้าวซักมื้อดิ"

    "นี่!! นาย ออส บิลฟรอส ค่าจ้างฉันก็ให้นาย ยังต้องมาเลี้ยงข้าวนายอีกรึเนี่ย ไม่หน้าด้านไปหน่อยรึยะ" เอลฟ์สาวตอบกลับมาอย่างเอือมระอา

    "เอาน่าเจ๊ ทำใจหลวมตัวจ้าง มาแล้วนี่ ทำไงได้ รีบเอาของไปส่งเหอะ เดี๋ยวเฝ้าร้านให้แป๊ปนึง ของในร้านเจ๊จำราคาได้หมดทุกชิ้นแหละ" ชายหนุ่มผมส้มโบกมือไล่อีกฝ่ายบ้าง

    เอลฟ์สาว ถอนหายใจ พลางส่ายหน้าเล็กน้อย "ยังไงก็อย่าขายแบบ ขาดทุนล่ะ ไม่งั้นข้าวเย็นนายได้กินทรายแน่ๆ" พูดจบเธอก็เดินหายไปหลังร้าน แล้วชายหนุ่มนามว่าออสก็หันมาคุยกับคนที่ยืนรออยู่

    "โทษที่นะพี่ชายที่ให้ยืนดูคนบ้า2คนเถียงกันตั้งนาน ผม ออส บิลฟรอส แล้วพี่ชายล่ะ" ชายหนุ่มผมส้มคนนั้นแนะนำตัว

    คนที่ยืนรออยู่ยิ้มออกมาเล็กน้อย "เวก้า `ราโชม่อน เวก้า`"

    ออสเริ่มขายของทันทีโดยไม่รอช้า "นี่พี่ชายเวก้า สนใจสร้อยเส้นนั้น ใช่ใหม มันทำจากพลอยสีม่วง ราคาออกจะสูงอยู่ซักหน่อย ถ้าเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น ราคาจะถูกลงพอสมควรเลยนา บางเส้น 50เหรียญทองแดง ก็ได้ สร้อยสวยๆซักเส้นแล้ว ในร้านนี้ก็มีหลายเส้น ให้แนะนำเอาใหมพี่ชาย?"

    ชายหนุ่มในชุดสีขาวส่ายหน้าเล็กน้อย "ขอบคุณในความหวังดีนะ แต่อยากได้เส้นนั้นมากกว่า"

    "พี่ชายเจาะจง ขนาดนี้จะซื้อไปฝากคนพิเศษอย่างนั้นรึ? แฟนล่ะสิ" ออสแซวมาทันที

    "ไม่หรอก เรียกว่าน้องสาวดีกว่า ซัก1 เหรียญเงินนี่พอจะซื้อเสร้อยเส้นนั้นได้ไหม?"

    "ขอ อีกซัก 20 ทองแดงได้ไหมล่ะพี่ชาย ว่ากันตรงๆ เลย ทุนมาก็ 1เหรียญเงินแล้ว ขืนขายไม่มีกำไรมีหวัง ยายเจ๊ริซ เชือดทิ้งแหงๆ" ออสตอบกลับมาแบบทีเล่นทีจริง

    เวก้าหยิบถุงเงินของเขาออกมาพร้อมกับหยิบเงินจำนวนนั้นวางบนโต๊ะ ชายหนุ่มผมส้มพ่อค้าเฉพาะกิจของร้านนี้ จึงเดินไปหยิบสร้อยเส้นนั้นมาห่ออย่างคล่องแคล่ว "ขอบคุณที่อุดหนุนนะพี่ชายเวก้า" ออสเอ่ยขณะที่ยื่นของให้

    "ขอบใจนะที่ลดราคาให้"

    "ไม่เป็นไร ต่อให้ขายของในร้านนี้ขาดทุนมันทุกชิ้น ยายเจ๊ริช แกก็ไม่อดตายอยู่ดี เชื่อสิ " ออสตอบกลับมาแบบขำๆ เวก้าฟังแล้วยิ้มออกมาเล็กน้อยแล้วจึงเดินออกมาจากร้านนั้น พลางนึกในใจ "อลิซาเบธ ริชเชอร์ เอลฟ์สาวเจ้าของฉายา เจ้าแม่แห่งทะเลทราย อย่างนั้นรึ มาซื้อของที่ร้านไม่ธรรมดาเข้าซะแล้วสินะ"




    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~​





    หลังจากเดินตามทางที่ทหารยามบอก ราโชม่อน เวก้าจึงมาหยุดยืนหน้าบ้านที่มีหลังคาสีแดง ซึ่งน่าจะเป็นบ้านของของ เพื่อนเขา "มุทสึกิ เรนเกลิซท์ " เวก้าไม่รอช้า เอื้อมมือไปเคาะประตูทันที ไม่นานนักประตู ก็เปิดออก โดย ชายหนุ่ม ผมสีทองบลอนด์ยาวระดับสะโพก ที่อยู่ในชุดเกราะเบาของพวกอัศวินสีเขียวเข้ม

    "อ้าว เวก้า เขามาก่อนสิ" ชายหนุ่มคนนั้นอุทานออกมา พลางเรียกเวก้าเข้าไปในบ้าน เวก้าจึงเดินตามเจ้าหมอนั่นมาจนถึงโต๊ะกินข้าว จากนั้นเจ้าของบ้านก็หยิบเหยือกน้ำมารินใส่แล้ว พร้อมวางบุหรี่ให้อีกซอง

    "แหมๆ รู้ใจจริงนะแก ที่นี่ไม่มีบุหรี่ขายก็เจือกไม่บอกก่อน เอาล่ะตอบมาได้แล้ว ว่าเรียกตูมาที่นี่ทำไม ท่าน มุทสึกิ เรนเกลิซท์ ขืนเหตุผลไม่เข้าท่า มีหวังโดนต่อยลงไปนอนเลือดกลบปากแน่ๆแก" เวก้า เอ่ยขึ้นหลังจากดื่มน้ำจนหมดแก้ว แล้ว แกะบุหรี่ขึ้นมาสูบ

    "ใจเย็นๆสิพวก ข้าไม่เรียกแกเดินฝ่าทะเลทรายมาเล่นๆหรอกน่ะ มีคนใข้จะให้รักษาน่ะ" เรนนั่งลงตรงข้ามกับผู้มาเยือน

    เวก้าหัวเราะลั่น "อย่ามาตลกน่ะแก เรน ข้าไม่เชื่อหรอกนะว่าที่เมืองนี้จะไม่มีหมอซักคน แล้วอีกอย่างทำไมอัศวินแห่ง ริเวเรีย อย่างแกถึงต้องมาอยู่กลางทะเลทรายอย่างนี้ด้วย เล่าความจริงมาซะดีๆ แกกำลังเจอปัญหาอะไร อยู่ถ้าจะให้เดา ปัญหานี้มันไม่ธรรมดาซะด้วย ถึงขนาดให้ สายข่าวของ `ไดฮาคุ` ควานหาตัวข้า แล้ว ส่งข่าวมาอย่างนี้"

    "ยังเดาแม่นเหมือนเดิมนะ ว่ากันตรงๆ ตอนนี้มีคนรู้จักของข้าคนหนึ่งกำลังไม่สบาย และ โดนตามฆ่าจากนักฆ่า `แสงเงาโลหิต` " ขณะที่กำลังเล่า เรน ก็ถูกเวก้าขัดขึ้น "อ้าวเฮ้ย!! ไม่ใช่ ฟรอสเฟรส รึน่ะ ได้ข่าวว่า ซี้แก เจ้าเอซ ตามจีบน้องสาวคนสุดท้องของฟรอสเฟสอยู่ไม่ใช่เรอะ"

    "เหอะๆ เจ้าหมอนั่นปล่อยมันไปคนเหอะ ขืนเรียกเจ้านั่นมาช่วย มีหวังที่นี่เละ เจ้านั่นมันยั้งมือไม่ค่อยเป็นซะด้วยเวลาสู้ ว่าไงเวก้า ไม่ได้ให้ช่วยฟรีๆหรอกนะ นี่ค่าตอบแทน" เรนโยนถุงผ้าเล็กๆใบหนึ่งให้เวก้า

    ชายหนุ่มผมแดง รับไว้ จึงรู้ว่ามันเป็นถุงใส่เงินนี่เอง เขาเลิกคิ้วถามกลับไปทันที "แกคิดว่า จะใช้เงินซื้อ คนอย่างข้างั้นรึ เรน?"

    "เปล่า ข้ารู้ดีต่อให้เอาเงินมากองตรงหน้าถ้าแกจะไม่ช่วยซะอย่าง ใครก็ทำอะไรไม่ได้ ถือว่าช่วยเพื่อนซักหนละกัน เพราะพรุ่งนี้ ข้าต้องกลับไปรีเวเรียแล้ว ซึ่งคาดว่านักฆ่าคนนั้นจะลงมือตอนนั้นนี่แหละ"เรนเอ่ยน้ำเสียงขอร้อง

    เวก้าเปิดถุงเงิน แล้วหยิบออกมาเพียงครึ่งเดียว แล้วโยนกลับไปยังเรน "ขอกันกินมากว่านี้ ข้าเอาแค่ครึ่งเดียวละกัน แต่ ต้องปิดร้านเลี้ยงเหล้าที่ อัลบาทรอส คืนนึงนะเฟ้ย แล้วข้าต้องทำอะไรบ้างล่ะ"

    "เขานอนป่วยอยู่ข้างบนบ้านหลังนี้ แหละแค่ช่วย รักษาเขาจนหาย โดยไม่โดนฆ่าเสียก่อน แล้ว อีก 3 วันชั้นจะกลับมาที่นี่ แล้วนายก็ไปกินเหล้าฟรีที่อัลบาร์ทรอส ได้เลย" เรนอธิบาย

    เวก้าหัวเราะขึ้นแกนๆ "ไอ้รักษาให้หายนี่ไม่รับปากนะเฟ้ย แต่โดนฆ่ามั๊ยน่ะไม่โดนแน่ๆ เชื่อถือได้ ต้องขอดูอาการคนไข้ก่อนละกัน นำทางไปดิ"

    เรนมองหน้าเพื่อนเขา "แล้วใจคอนายจะไม่ถามอะไรมากกว่านี้เลยเหรอ?"

    "งานของข้า คือ หมอ ไม่ว่าคนป่วยจะเป็นใครข้าก็ต้องรักษาอยู่ดี จะถามไปทำซากอะไรฟะ แกก็มีงานของแก ข้าก็มีงานของข้า ถ้ามันเล่าได้ ป่านนี้แกก็คงเล่าให้ฟังจนหมดแล้ว ว่า ทำไมเจ้าคนป่วยของแกถึงโดนตามฆ่าอยู่อย่างนี้ ในเมื่อรู้ทั้งรู้ว่าถามไปก็ไม่ได้คำตอบ จะถามทำไมให้เปลืองน้ำลาย" เวก้าตอบกลับมาง่าย ๆ

    "หึๆ นั่นสินะ" เรนหัวเราะขึ้นแล้วเดินนำขึ้นไปยังชั้น2ของบ้านหลังนั้น




    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~​
  18. PaiaAznable

    PaiaAznable มนุษย์ตู้ปลาช้ำรัก

    EXP:
    744
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    86
    Re: [ฟิครับสมัคร] Tale Of Light and Shadow

    โอ๊ะ ลงครบแล้วเหรอครับนี่ @-@

    ยังคงเมนต์เหมือนเดิม อยากรู้แล้วแฮะว่าใครกำลังนอนป่วยซมแถมยังโดนจ้องจะลอบสังหารอีก รอตอนต่อไปเช่นเคยงับ >w<b

    ปล.ผมเปลี่ยนชื่อแล้วน่อจาก Nagi: Super Saiyan Mode เป็น Paia Aznable ^^'a
  19. maxlancer

    maxlancer ประธานรุ่น2ตุรกีเชียงใหม่

    EXP:
    1,183
    ถูกใจที่ได้รับ:
    1
    คะแนน Trophy:
    88
    Re: [ฟิครับสมัคร] Tale Of Light and Shadow

    ลงครบแล้วเหรอ???? เร็วจัง ของผมยังคาที่อยู่เลย ไม่ไปไหน==

    ไพอาคุงเปลี่ยนบ่อยจังนิ จำไม่หวาดไม่ไหว เหอะๆๆ

    /action เมื่อไหร่ตัวข้าน้อยจะปรากฏน่อ...
  20. near

    near Member

    EXP:
    334
    ถูกใจที่ได้รับ:
    4
    คะแนน Trophy:
    18
    Re: [ฟิครับสมัคร] Tale Of Light and Shadow

    ถึงลงใหม่ผมก็ยัง มาเมนต์เหมือนเดิมครับ ติดตามตลอดไปครับ
  21. pop30711

    pop30711 New Member

    EXP:
    1,155
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    Re: [ฟิครับสมัคร] Tale Of Light and Shadow

    ลงครบแล้ว

    จะยังคงมาเมนต์เหมือนเดิมนะครับ

    ตอนหน้ามาเร็วๆด้วยเถิด
  22. Yukimura

    Yukimura New Member

    EXP:
    151
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    Re: [ฟิครับสมัคร] Tale Of Light and Shadow

    =[]=!!!~พึ่งว่างมานั่งอ่านอีกรอบงงเลยมาทีบอร์ดเปลี่ยน

    = ='~ตอนนี้ข้าพเจ้ายังอ่านอยู่แค่บท2ช่วง3เองแฮะ=='~ ลงเยอะเหลือเกิน@@
  23. philoatros

    philoatros Member

    EXP:
    220
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    16
    Re: [ฟิครับสมัคร] Tale Of Light and Shadow

    หวัดดีครับ มิดการ์ดคุง

    โทษทีนะครับ ที่ไม่ได้ติดตามอ่านเลย พอดีว่าไม่ได้เข้าบอรืดมาหลายเดือนแล้วอ่ะครับ

    ยังไงตอนนี้ก้เริ่มว่างๆ แล้ว เดี๋ยวจะอ่านย้อนเอานะครับ ^^
  24. joi100

    joi100 นักเดินทางแห่งมิดการ์ด

    EXP:
    478
    ถูกใจที่ได้รับ:
    23
    คะแนน Trophy:
    38
    Re: [ฟิครับสมัคร] Tale Of Light and Shadow

    ยินดีๆ ตอนใหม่ๆ บอร์ดใหม่ๆ เข็นมาลงแล้ว เอิ๊กๆ ขึ้นบอร์ดใหม่ประเดิมลงตอนใหม่เสียหน่อย เห็นหลายๆคนกลับมาลงชื่อ คนเขียนก็รู้สึกยินดีครับที่ยังจำ นิยายอันไร้แก่นสาร ของ อีตานักเดินทางคนนี้กันได้

    เอาเป็นว่ายินดีต้อนรับทุกคนครับ ทำตัวตามสบายคิดว่าเป็นบ้านตัวเองก็แล้วกัน หุ หุ หุ


    yoshiki : Nietono no Shana
    [action]ยุ่งๆอยู่กับการย้ายบ้านเหมือนกันสินะ[/action]
    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
    Paia Aznable
    [action]ครึ่งหลังคงเห็นแล้วสินะ หุๆ เปลี่ยนชื่อบ่อยจริงเน้อ -_-[/action]
    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
    MaxlanceR : Hyper Mode!!
    [action]อ่านตอนใหม่นี่น่าจะได้คำตอบแล้วนะนี่ เหอๆ[/action]
    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
    Near
    [action]ขอบคุณที่ยังมาติดตามกันครับ[/action]
    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    [ PiALo ]
    [action]ไม่ต้องรีบค่อยอ่านตามสบายเลยครับ แต่ เอ่อ ชื่อในบร์อดเก่าของคุณ [ PiALo ] นี่อะไรเหรอครับ ผมรู้สึกไม่ค่อยคุ้นตากับชือเลยน่ะครับ แฮะๆ[/action]
    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    OoPHILEoO # ภาค ~* lonely *~
    [action]โอ้ไม่เจอกันนานเลยนะครับ ว่างๆก็แวะมาเยี่ยมเยือนกันได้ครับ เรียกผม "อีตานักเดินทาง" ก็ได้ครับ "มิดการ์ดคุง" มันดูแปลกๆอ่ะครับ เอิ๊กๆ[/action]
    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
  25. joi100

    joi100 นักเดินทางแห่งมิดการ์ด

    EXP:
    478
    ถูกใจที่ได้รับ:
    23
    คะแนน Trophy:
    38
    Re: [ฟิครับสมัคร] Tale Of Light and Shadow

    เรื่องเล่าจากแสงและเงา เรื่องที่ 3 หมอบ้าเที่ยวล่าสุด (2)



    เมื่อเดินขึ้นมาถึงชั้น2 เวก้าก็เดินตาม เพื่อนอัศวินของเขาเข้าไปในห้องพัก ด้านในสุด เมื่อเข้าไปถึงเขาก็พบใครบางคนนอนหายใจรวยริน เป็นชายหนุ่มดูจากหน้าตาหน้าตาน่าจะอายุ ไม่ถึง20ซะด้วยซ้ำ เส้นผมสีเทาเงินเล็กละเอียดหยักศกยาวระบ่าบางขณะถ้ารำคาญก็จะมัดรวบสูงเป็นหางม้าสั้นๆ ทิ้งปอยผมระใบหน้าใบหน้าออกจะเอนเอียงไปทางเชื้อสายอาหรับ สูงราว180cm รูปร่างติดไปทางผอมเล็กน้อย นอนอยู่บนเตียง บริเวณท้องมีผ้าพันแผลพันไว้เลือดสีแดงชุ่มไปหมด

    เวก้าเดินเข้าไปตรวจดูอาการทันที ซึ่งมันก็ทำให้เขาเห็นใบหูที่มีปลายแหลม แต่ก็ไม่ถึงยาวยาวเรียวเหมือนเอลฟ์แท้ๆ "ไม่ใช่คนนี่หว่า เจ้าหมอนี่เป็นฮาล์ฟเอลฟ์สินะ แล้วไม่หาอะไรมารักษาบาดแผลหรือห้ามเลือดก่อนฟะ ดูจากอาการแล้ว ถ้าไม่หยุดเลือดที่ซึมออกมาเรื่อยๆ เจ้านี่ไม่มีทางที่จะได้เห็นพระอาทิตย์ของวันพรุ่งนี้แน่นอน"

    เรนถอนหายใจออกมา พร้อมๆกับตอบคำถามของเพื่อนเขา "ไม่ใช่ชั้นไม่พยายาม แต่ไม่ว่าจะรักษาวิธีใดทั้งใช้สมุนไพร หรือ เวทย์มนต์ เลือดจากบาดแผลของเขาก็ไม่ยอมหยุดไหลซักที ชั้นเองก็จนปัญญาเหมือนกัน หวังแต่จะพึ่งนายนี่แหละ เวก้า ถ้านายยังส่ายหน้า เค้าก็คงไม่ได้เห็นพระอาทิตย์ของวันพรุ่งนี้อย่างที่นายว่าจริงๆน่ะแหละ"

    "เป็นอย่างนี้มานานแค่ไหนแล้ว" เวก้าถามมาพลางแกะผ้าพันแผลออก ปรากฎให้เห็นแผลขนาดใหญ่บริเวณช่องท้อง ดูแวบเดียวก็รู้ว่าได้รับการรักษามาแล้ว แต่เลือดก็ยังไหลซึมออกมาจากแผลอยู่เรื่อยๆ

    เรนนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่งในห้องพลางตอบด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก "ก่อนหน้าที่นายจะได้รับข่าวจากชั้น ราวๆ 6 ชม.ชั้นเองก็ไม่มั่นใจเหมือนกันเรื่องเวลา"

    "ถ้าไม่ใช่ฮาล์ฟเอลฟ์ ที่มีพลังในการฟื้นฟูร่างกายมากกว่ามนุษย์ แต่เป็นคนธรรมดาคงตายตั้งแต่คืนแรกที่เสียเลือดขนาดนี้แล้วล่ะ ถึงจะเป็นฮาล์ฟเอลฟ์ แต่คงทนได้ไม่เกินคืนนี้แล้วล่ะ ถ้าหยุดเลือดไม่ใด้ล่ะนะ"

    "เอาล่ะ เจ้าเรน ตอนแรกข้ากะจะไม่เอี่ยวเรื่องนี้กับแกด้วย แต่ดูจากอาการขนาดนี้แล้ว ไม่ว่าแกอยากจะเก็บความลับ เพราะไม่อยากให้ข้าไปเดือดร้อนไปด้วย ยังไงแกก็ต้องง้างปากเล่าเรื่องนี้ให้ข้าฟังแล้วล่ะ เพราะแผลของเจ้าหมอนี่มันไม่ใช่แผลที่เกิด จากฝีมือของมนุษย์ธรรมแน่นอน ถ่างตาดูซะ" จบประโยคเวก้าแบมือเหนือบาดแผล พร้อมกับร่ายอะไรบางอย่าง

    แสงสว่างผู้ชี้นำหนทางเอ๋ย จนเปิดเผยตัวตนของผู้หลบซ่อน

    สิ้นประโยค มือของเวก้าก็เปล่งแสงเรืองๆ พร้อมกับมืออีกข้างที่พุ่งเข้าไปจับตัวอะไรบางอย่างออกมากจากบริเวณปากแผล หมอผมแดงโยนมันลงพื้นพร้อมๆกับเหยียบมันจนเละ

    "หึๆ ต่อให้แกรักษาให้ตาย ถ้าไม่เอาเจ้าหนอนปรสิตนรกนี่ ออกจากปากแผลก่อนแล้วล่ะก็ ไม่มีวันที่เลือดจะหยุดไหลเป็นอันขาด ลำพังไอแผลนี่ไม่เท่าไรหรอก แต่เจ้ามันจะหนอนนรกนี่มันจะคอย กัดกินบาดแผลทีละน้อยๆ นี่เหตุผลว่าทำไมบาดแผลไม่สมานซักที" เวก้าหัวเราะพลางรักษาบาดแผลนั้นด้วยเวทย์มนต์สายรักษาที่เขาพอจะใช้ได้ ซึ่งเป็นผลให้คนเจ็บมีสีหน้าดีขึ้นเรื่อยๆ

    แล้วหมอผมแดงก็ล้วงอะไรบางอย่างขึ้นมาจากกระเป๋าของเขา พร้อมๆกับเดินไปรินน้ำจากเหยือกน้ำที่อยู่โต๊ะเล็กข้างๆเตียงใส่แก้ว แล้วจัดการยัดมันเข้าไปในปากของคนเจ็บแล้วกรอกน้ำตาม ทำเอาคนเจ็บที่นอนไม่ได้สติอยู่ถึงกับสำลักทีเดียว

    "บอกไว้ก่อนนาเวทย์รักษานี่ตูใช้ได้แค่ห้ามเลือดเบื้องต้นเท่านั้น นี่ก็ให้กินยาบำรุงไปแล้ว แต่ต้องให้เจ้าหมอนี่นอนเดี้ยงอยู่เฉยๆอย่างนี้อีก ซัก4-5วันได้ถึงจะลุกไปไหนมาไหนได้ " เวก้าเอ่ยกับเพื่อนเขา พลางจุดบุหรี่ขึ้นมาสูบแล้วนั่งลงแถวๆปลายเตียง

    เรนที่กำลังก้มดูซากของเจ้าสิ่งมีชีวิตที่เวก้าลากมันออกจากบาดแผลของคนเจ็บ เงยหน้ามามองเพื่อนผมแดงของเขาแบบงงๆ "ทำไมคนที่มารักษาก่อนหน้านี้ถึงไม่รู้สึกตัวล่ะมันมันมีเจ้าตัวพวกนี้อยู่ที่บาดแผลของคนเจ็บ"

    "ถามอะไรโง่ๆ คนที่แกตามมารักษา น่ะเป็นจอมเวทย์ขาวไม่ก็ หมอสมุนไพร จะรู้เรื่องการจับจิตของสิ่งมีชีวิตที่ซ่อนตัวอยู่ได้ไงฟะ เรื่องพวกนี้มันเป็นความรู้ของพวกนักสู้ หรือ นักรบ ไม่ใช่เรอะ แถม เจ้าหนอนนรกนี่มันมีความสามรถพลางตัวอยู่ในระดับสุดยอด ถ้าข้าไม่เคยได้ยินอาจารย์สอนมาก่อนแล้วละก็เจ้าหมอนี่ก็คงไปเที่ยวโลกฝั่งโน้นแล้วแหงแซะ"

    "เอาล่ะเจ้าเรนบอกมาได้แล้วว่า เจ้าฮาล์ฟเอลฟ์ กับแกมีความสัมพันธ์กันยังไง แล้วไปทำอีท่าไหนถึงถูกสั่งเก็บ?" เวก้าเอ่ยพลางพ่นควันบุหรี่ออกมา




    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~​



    ห้องนั่งตกอยู่ในความเงียบงันไปพักใหญ่ๆ เวก้าก็ไม่ได้เร่งรีบอะไรเพื่อนเขา แต่คงยังสูบบุหรี่อยู่เรื่อยๆจนหมดมวน แล้วดีดมันออกไปนอกหน้าต่าง ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับ เพื่อนอัศวินเกราะเขียว จะเรียบเรียงเรื่องราวจบ พร้อมที่จะเล่าให้ฟังแล้ว

    "เจ้าหมอนี่ ชื่อ คาซาน ราจา เห็นอย่างนี้อายุรุ่นเดียวกับพ่อชั้นเลยล่ะ ชั้นรู้จักเค้าโดยบังเอิญตอนที่มาอยู่ที่นี่ จริงๆแล้วเรา2คน ปะ ปะ เป็นคู่เกย์!!!" จบประโยคอัศวินหนุ่มโดนเท้าของใครบางคนเตะเข้าเต็มๆ

    "เฮ้ย!! จริงจังหน่อยสิวะ อย่ามาปล่อยมุขฝืดๆของแกตอนนี้ เดี๋ยวพ่อส่งไปนอนจมกองเลือดซะหรอก" เวก้านั่นเองเจ้าของเท้าลึกลับที่เตะ เรน

    "อะไรของแกวะเห็นว่าซีเรียส จะได้ผ่อนคลายซะหน่อย" เรนลุกขึ้นจากพื้นขึ้นมานั่งที่เดิม

    เวก้าหัวเราะแค่นๆ "ขำตายล่ะแก เข้าเรื่องเลย คนรู้จักของแกคนนี้คือ หมาป่าทะเลทราย คาซาน ราจา สินะ ถ้าจะให้เดา เจ้าหมอนี่ดันไปรู้ในสิ่งที่ไม่สมควรจะรู้ ซึ่งเรื่องนี้มันเกี่ยวกับ รีเวเรีย เต็มๆ มันเป็นเรื่องอะไรกันแน่"

    ทันทีที่เวก้ายิงคำถามนี้ออกมา มุทสึกิ เรนเกลิซท์ ก็ตกอยู่ในสถาพอึกอัก อึกอัก พูดไม่ออกทันที แต่เวก้าไม่สนใจท่าทีเหล่านั้นนัก

    "เกี่ยวกับ สภานักบวช แห่ง ชายน์ ใช่ไหม? คราวนี้พวกมันจะทำอะไรอีกล่ะหือ?"

    เรน อุทานออกมา "นายรู้ได้ไงน่ะเวก้า?"

    "ไม่เห็นจะแปลก เรื่องที่แกไม่อยากจะลากข้า และ เจ้าเอซ ไปเอี่ยวจะมีซักกี่เรื่องกัน เอาล่ะ ง้างปากของแกบอกมาได้แล้ว ว่ามันเป็นไงมาไงกันแน่" หมอผมแดงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบๆ พลางล้วงบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบอีกมวน

    "ยังไงก็มาถึงขั้นนี้แล้ว พูดกันตรงๆเลยละกัน ชั้นถูกพ่อขอให้ ตามสืบเรื่องเกี่ยวกับ สภาพนักบวช โดยมี คาซ มาช่วยสืบด้วยอีกคน "

    เรนลดเสียงลงจนเกือบเป็นกระซิบเหมือนกับว่ากลัวใครจะได้ยินในสิ่งที่เขาพูดต่อจากนี้ "ตอนนี้ข้างในทางสภานักบวช มีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง ทางสภาเบื้องหลัง เริ่มเคลื่อนไหวเพื่อทำอะไรบางอย่างอยู่เงียบๆ ซึ่งชั้นก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคืออะไร ซึ่งคาซรู้ถึงเงื่อนงำอะไรบางอย่าง แต่ก็พลาด ทำให้พวกนั้นไหวตัวก่อน แล้วก็เป็นอย่างที่เห็น ต้องระเห็จมาหลบภัยอยู่ที่นี่"

    "นึกว่าเรื่องอะไรสุดท้ายก็เรื่องเดิมๆ ทางสภาเบื้องหลังจะทำอะไรก็ให้มันทำไปสิฟะ จะไปตามสืบทำไมให้เมื่อตุ้ม ถึงเวลาเดี๋ยวคำตอบมันก็ออกมาเองแหละ ถึงแกจะรู้ว่าพวกมันจะทำอะไรอยู่ ทางรีเวเรียจะทำอะไรได้ หืม? อย่างมากก็หาทางรับมือ ไม่มีทางหยุดเจ้าพวกนั้นได้อยู่แล้ว" เวก้าเอ่ยออกมาทำเอา เรน อึ้งไปอีกพักนึงเลยทีเดียว

    เรนแย้งกลับมา "มันก็จริงอย่างนายว่าล่ะนะ ถึงรู้ไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้นอยู่ดี แต่การรู้ตัวล่วงหน้ามันก็ทำให้วางแผนรับมือได้ง่ายขึ้นไม่ใช่เหรอ?"

    "ฮะๆ จะว่างั้นก็ได้ล่ะนะ งั้นจะบอกข่าวอะไรบางอย่างให้ ดีไม่ดีอาจจะเป็นข่าวเดียวกับที่พวกแก เสี่ยงชีวิตไปสืบซะด้วยซ้ำ" เวก้าหัวเราะขำๆ

    "ตอนนี้ ทาง ชายน์ ได้ร่วมมือ กับ พลูตรอนิค กำลังสร้างอะไรบางอยู่ จำนวนไม่น้อยเสียด้วย ซึ่งหลายๆคนก็จับตามองอยู่ว่ามันเป็นอะไรกันแน่ แต่ข้าพอจะรู้ล่ะนะว่ามันคืออะไร และ สร้างมันขึ้นมาเพื่อทำไม" หมอผมแดงตอบด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง ทำเอาเพื่อนเขาจ้องหน้าเขม็ง เพราะไม่แน่ใจว่าเจ้าหมอนี่พูดเล่นหรือพูดจริงกันแน่

    "นายอยากจะบอกอะไรของนายกันแน่"

    "จะรีบกังวลใจไปทำไม ช่วง 1-2 ปีนี่ จะไม่มีเหตุการณ์ที่ทางสภาเบื้องหลัง เคลื่อนไหวใหญ่โตอะไรนักหรอก แต่ถ้าผ่านช่วงนี้ไปก็ไม่แน่ ช่วงนี้ก็ฮาๆขำๆ กินเหล้าให้สบายใจดีกว่า"

    "นายรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไงเวก้า? แล้วอะไรทีทำให้นายมั่นใจขนาดนั้น"

    เวก้าดีดก้นบุหรี่ตัวที่2ทิ้งออกไปนอกหน้าต่าง แล้วเหลือบไปมองฮาล์ฟเอลฟ์ ที่นอนอยู่บนเตียงที่เหมือนจะรู้สึกตัวแล้ว "ความลับทางธุรกิจว่ะ คนใข้ของแกตื่นแล้ว อยากถามอะไรก็รีบๆถาม ตอนเบลอๆ นี่แหละหลอกง่ายดีนักล่ะ ฮ่าๆ"

    แล้วหมอผมแดงก็หัวเราะ แล้วโบกมือเดินออกไปจากห้อง โดยทิ้งให้เพื่อนของเขางงเป็นไก่ตาแตก อยู่นั่นเอง




    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~​




    เวก้าเดินลงมา นั่งกินเหล้าเงียบๆอยู่ชั้นล่างของบ้านพักของเพื่อนเขา แล้วเหมือนว่า หมอผมแดงจะรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง จึงวางสัมภาระทั้งหมดไว้บนโต๊ะแล้วหยิบเพียงแค่ ถุงมือสีน้ำเงินสดของเขาติดตัวไปเพียงอย่างเดียว เดินออกจากบ้านหลังนั้น มาหยุดยืนอยู่หน้าบ้านแล้วเงยหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืน ก็พบว่า คืนนี้เป็นคืนพระจันทร์เต็มดวง หรือ คืนวันเพ็ญนั้นเอง แล้วเขาก็เดินหายเข้าไปในเมือง

    ห่างจากบ้านพักของ เรนไปไม่ไกลนัก บนหลังคาบ้านหลังหนึ่ง มีคนในชุดคลุมสีดำทั้งตัวกำลังยืนจ้องมองบ้านหลังนั้นอย่างพิจราณา แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อมีเสียงใครบางคนร้องทักเขามาจากข้างๆนั่นเอง

    "ไม่ทราบว่ามีธุระอะไรกับคนในบ้านหลังนั้นหรือพี่ชาย มีอะไรฝากข้อความเข้าไปใด้นะ ที่หลังจะมาดักฆ่าใครก็นอกจากลบจิตสังหารแล้ว ช่วยลบกลิ่นสาปด้วยล่ะ นั่งๆกินเหล้าอยู่ยังรู้สึกได้เลย"

    คนในชุดดำกระโดดออกห่างจากที่มาของนั่นไปยืนบนหลังคาบ้านอีกหลัง และรู้ได้ว่าเจ้าของเสียงนั่นเป็น ชายหนุ่มผมสีแดงสดตั้งๆสวมที่คาดผมสีขาวธรรมดาๆ ไว้ ตาสีเขียวมรกต หน้าตากวนๆ ใส่เสื้อแขนกุดสีขาว สวมเสื้อคลุมสีขาวมีฮูดทับไว้อีกที กางเกงขายาวสีดำ ดูรัดกุมทะมัดทะแมง เขายิ้มออกมาเล็กน้อยพร้อมๆกับสุดบุหรีขึ้นมาสูบ1ตัว

    "พี่ชายคงเป็น นักฆ่า`แสงเงาสีโลหิต` ไม่เห็นกันพักใหญ่ชื่อเสียงโด่งดังทีเดียวนะ จะมาตามเก็บเจ้าฮาล์ฟเอลฟ์ ที่นอนเดี้ยงอยู่ ในบ้านหลังนั้นล่ะสิ? "

    คนในผ้าคลุมนั้นตอบกลับมา "ใช่แล้วจะทำไมนายจะขวางอย่างนั้นรึ ราโชม่อน เวก้า?"

    "จะว่างั้นก้ได้ ข้าเพิ่งฉุดกระชากลากถูเจ้าฮาล์ฟเอลฟ์ นั่นกลับมาจากโลกโน้น จะปล่อยให้ไปเที่ยวอีกทีก็ใช่ที่ล่ะนะ ว่าไง งานนี้รับมาเท่าไรล่ะ เดียวจ่ายค่าเสียเวลาให้ด้วย ยังไงมันก็ไม่ใช่ตังตูอยู่ดี เพื่อนเก่าไม่เจอกันตั้งนาน ไปนั่งกินเหล้ากันก่อนดีไหม?" เวก้าเอ่ยพลางสูบบุหรี่สบายใจเฉิบ ทั้งๆ ที่เป็นการคุยกับนักฆ่า ต่อรองถึงชีวิตคนอยู่แท้ๆ

    "คงไม่ได้เพราะงานครั้งนี้ ชั้นมีความจำเป็นต้องทำให้สำเร็จ ถึงจะเป็นนายชั้นก็ไม่ยอมให้ขวางหรอกนะ"

    เวก้าทิ้งบุหรี่ลงพื้นแล้วขยี้จนดับ "งั้นก็เหลือทางเดียว คือการละเลงเลือดแบบทีนายชื่นชอบสินะ `เร็กซ์ เฮลไซท์` วันนี้พระจันทร์เต็มดวงเสียด้วยคงสนุกดีพิลึกล่ะ เพื่อนสมัยเด็กไม่ได้เจอหน้ากันหลายปี สิ่งแรกที่เมื่อเจอกันคือฆ่ากันให้ตายไปข้าง ฮ่าๆๆๆ"

    "เอาไง จะซัดกันตรงนี้เลยมั๊ย หรือ จะไปนอกเมืองจะได้ไม่ต้องมีคนมาวุ่นวาย"

    คนในผ้าคลุมตอบกลับมา "ทำไมชั้นต้องรับข้อเสนอของนายด้วยล่ะ เวก้า?"

    "ง่ายๆ เพราะข้าจะไม่มีทางปล่อยให้งานสำเร็จแน่นนอน เรามาตกลงกันง่ายๆดีกว่า ถ้าแกชนะ จะต้มยำทำแกอะไรคนในบ้านนั้นยังไงก็เชิญ แต่ถ้าข้าชนะ ก็รามือไปซะ ง่ายดีมะ" เวก้ายื่นข้อเสนอ

    "ถ้าไม่ตกลง หมออย่างนายจะทำอะไรชั้นได้?" คนในผ้าคลุมที่มีชื่อว่า เร็กซ์ เฮลไซท์ เอ่ยกลับมา

    "อืมไม่แน่ใจเหมือนกัน อย่างน้อยก็พอส่งแกไปนอนจมกองเลือดได้ล่ะมั๊ง น่าจะทำได้นะ" เวก้าซึ่งไม่รู้มาข้ามฝั่งหลังคาบ้านมายืนข้างๆคนในผ้าคลุมตั้งแต่เมื่อไรตอบกลับมา

    แต่คนในผ้าคลุมไม่ได้ตกใจอะไรมากมายนัก "ไม่มีทางเลือกสินะ งั้นตกลงแต่ถ้าพลาดพลั้งฆ่านายตายไปก็อโหสิด้วยละกันนะ เลือกสถานที่เอาเลย"

    "อืม ถ้านายทำได้ล่ะนะ งั้นเราไปละเลงเลือดกันข้างนอกเถอะ ข้าไม่อยากให้ใครมากวนเวลาจะฆ่ากันอ่ะนะ" แล้ว ทั้งเวก้า และ นักฆ่า แสงเงาสีโลหิต เร็กซ์ เฮลไซท์ ก็หายไปจากที่ตรงนั้น




    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~​

Share This Page