เรื่องเล่าที่ร่วงหล่น ตามHDD ที่จากไป [สถาณะตายสนิท]

กระทู้จากหมวด 'Fiction' โดย joi100, 17 พฤศจิกายน 2007.

  1. parwankorn

    parwankorn Member

    EXP:
    60
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    6
    Re: Tale Of Light and Shadow [หมอบ้าเที่ยวล่าสุด (6) ตอนใหม่จ้า]

    สุขสันต์ วันวาเลนไทร์ ขอให้ความรักจงเจริญ
  2. joi100

    joi100 นักเดินทางแห่งมิดการ์ด

    EXP:
    478
    ถูกใจที่ได้รับ:
    23
    คะแนน Trophy:
    38
    Re: Tale Of Light and Shadow [หมอบ้าเที่ยวล่าสุด (6) ตอนใหม่จ้า]

    หลังจากฝ่าดงงานที่กองๆ แล้ว สอบนรก ที่สอบๆวิชานรกแตกหลายวิชาติด อีตานักเดินทางยังหาช่องทางมาลงนิยายอีกจนได้ ยังไม่ว่างทำ สารบัญใหม่ซักทีเลยวึ้ยๆๆๆๆ


    Yoshiki : Shana&Fate


    [action]เหอๆ ลอก ก็ ลอก ว่าไงว่าตามกัน คิดเรื่อง RRR บ้างก้ได้ ไม่ใชคิดแต่ XXX ฮาๆ[/action]
    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
    T VV I N - F E N I2 I R

    [action]เหอๆ ว่าไงอีตาเวก้า คนอ่านเค้าหาว่าไม่เป็นสุภาพบุรุษเลย[/action]

    [action]ราโชม่อน เวก้า : ก็ช่วยไม่ได้นี่ฝ่าใครจะไปรู้ว่าเป็นผู้หญิงล่ะฟะ!!!![/action]
    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
    MaxlanceR : โหมดใกล้จะตาย

    [action]เอ๋อ ผมสงสัยมานานและ ฟิคผมมันกินได้ด้วยรึนี่!!?? อย่าไปคิดเรื่องปริศนาเลยเดี๋ยวมันก็เฉลยเองแหละครับ[/action]
    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
    The Guardian Of Midgard

    [action]เอ่อ จะว่ายังไงดีล่ะ ครับ เอาไปลงที่อื่นก็ ใส่เครดิต แล้ว ลงlink ของที่นั่นไว้ให้ผมด้วยละกันจะได้แวะไปดูบ้าง หรือมีอะไรก็ PM หรือ Msn มาคุยกันได้ครับ[/action]
    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    Near


    [action]งืมๆๆ งืมๆๆ มั่ง อุๆ[/action]
    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    Paia: Slifer Red Duelist

    [action]ตอนต่อไป มาลงให้ชมแล้วนะครับ^^[/action]
    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
    Reno_DanteInside

    [action]ไม่ต้องไปสงสาร อีตาเวก้ามันหรอกครับ มันบ้าฮาๆ[/action]
    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
    -MOKO-เรื่อยๆ เหนื่อยก็พัก

    [/quote]

    [action]ตามสะดวกครับ อย่าลืมสเบียงด้วยล่ะครับเดี๋ยวหิวนะ หุๆ[/action]
    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
  3. joi100

    joi100 นักเดินทางแห่งมิดการ์ด

    EXP:
    478
    ถูกใจที่ได้รับ:
    23
    คะแนน Trophy:
    38
    Re: Tale Of Light and Shadow [หมอบ้าเที่ยวล่าสุด (6) ตอนใหม่จ้า]

    เรื่องเล่าจากแสงและเงา เรื่องที่ 3 หมอบ้าเที่ยวล่าสุด (7)




    เวลาตกใจของราโชม่อน เวก้า มีไม่นานนักเพราะ หญิงสาวตรงหน้าเขาชูดาบสีทองในมือเธอขึ้นอีกครั้ง คราวนี้มันส่องประกาย เจิดจ้า หมอหนุ่มผมแดงผู้ที่ ชำนาญในการต่อสู้ไม่ด้อยไปกว่าการรักษาคนรู้ได้ทันทีว่า อานิรอน กำลังจะทำอะไร

    สันชาตญาณเอาตัวรอดมันสั่งให้เขากระโดดหลบทันที แต่ชั่วพริบตานั้น เวก้าเหลือบไปด้านหลังเขา มันเป็นกลุ่มนักรบออคที่กำลังต่อสู้อยู่หน้าถ้ำ วึ่งหมายความว่าถ้าเขาหลบนักรบออคกลุ่มนั้น ดีไม่ดี อาจจะเป็นชนเผ่าที่เหลืออยู่ในถ้ำนั่นด้วยจะต้องได้รับบาดเจ็บ ไม่ก็ตาย !! เวลาคิดของเวก้าหมดลง มือของหญิงสาวในชุดเกราะสีทองสบัดดาบลง พร้อมกับคลื่นพลังมหาศาลที่พุ่งตรงมายังตัวเขา

    สิ่งที่เขาจะทำได้ตอนนี้ก็คือ รวบรวมพลังทั้งหมดไว้ที่มือทั้ง 2 ข้างแล้วรับพลังเหล่านั้นตรงๆ

    ตูม!!!

    เสียงระเบิดดังสนั่นพร้อมกับร่างในเสื้อคลุมสีขาวที่บัดนี้ขาดวิ่นลอยมาตกบริเวณหน้าถ้ำ ราโชม่อน เวก้า ลุกขึ้นอย่างลำบาก เพราะร่างกายได้รับความบอบช้ำมากพอสมควรเลยทีเดียว ถ้าเขาไม่ใช้พลังทั้งหมดต้านไว้ล่ะก็ ได้ไปเยี่ยม ยมบาลแล้วแน่นนอน

    ชายหนุ่มผมแดงกัดฟันกรอดไม่คิดว่าคนที่เขาตามหานั้นจะมาปรากฏตัวตรงหน้าเขาใน สถาณการณ์เช่นนี้ "อานิรอน เธอไปมีความแค้นอะไรกับเผ่าออค งั้นรึถึงต้องฆ่าล้างเผ่ากันแบบนี้" เวก้าตะโกนถาม

    แต่ไม่ไม่คำตอบใดๆที่ได้รับหญิงสาวผมสีน้ำตาลเบื้องหน้าเขา แต่เธอกลับชูดาบในมือเธอขึ้นอีกครั้ง เป้าหมายก็ยังคงเป็นทิศทางเดิมก็คือถ้ำที่ชนเผ่าออค หลบอยู่นั่นเอง เวก้ากำมือแน่น พลางนึกในใจ "นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ ใครก็ได้ตอบข้าที!!"

    หมอหนุ่มผมแดง เค้นกำลังเฮือกสุดท้าย สำหรับการที่จะพุ่งเข้าใส่ หญิงสาวในชุดเกราะสีทองที่กำลังจะฆ่าล้างเผ่าออค ตรงหน้าเขา เพื่อหยุดเธอด้วยกำลังทั้งหมด แต่ก่อนที่ใครจะได้ลงมือทำอะไร ก็มีเสียงเสียงหนึ่งดังขึ้นจากบนฟ้า

    "พอแล้ว แกรนครูเซเดอร์ อานิรอน ไอชา มิรันเดน เวลานี้ทางเบื้องบนได้มีคำสั่งเปลี่ยนแปลง ถอนกำลังที่เหลือกลับทั้งหมด การทดสอบกองทัพอัศวินเกราะดำจบลงแล้ว แต่ก็น่าชมเชย สมเป็นเผ่าออคที่เก่งกาจ ที่สามารถต่อกรได้ถึงขนาดนี้ ขอขอบใจพวกเจ้ามากที่ทำให้การทดสอบผ่านไปด้วยดี แต่อยากให้พวกเจ้ารู้ไว้นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของของทัพ พวกข้าเท่านั้น" แล้วเสียงนั้นก็เงียบหายไป

    จบประโยค หญิงสาวในชุดกราะสีทองจึงลดดาบลง พร้อมกับ กรีฟอนสีดำ ที่โฉบลงมารับเธอ และ ตัวอื่นๆ ที่ลงมารับอัศวินเกราะดำที่เหลือไม่ถึง 10 ในเวลานี้

    "นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ อานิรอน การทดสอบอะไร? ทำไมเธอถึงไม่พูดอะไรบ้างเลยล่ะ อานิรอน!! ตอบชั้นสิเซ่!! อานิรอนนน!!!!!!"ราโชม่อน เวก้าตะโกนออกมาอย่างบ้าคลั่ง

    แต่ก็ยังไม่มีคำตอบใดๆ ที่ได้รับจากหญิงสาวตรงหน้าเขา มีแต่เพียงใบหน้าที่เย็นชา และ ดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นที่ฉายแววเศร้าๆออกมา แต่มันเพียงพริบตาเดียว ก่อนจะกลับกลายเป็นแววตาที่เย็นชาดุจน้ำแข็งเช่นเดิม ไม่ถึงอึดใจร่างในชุดเกราะสีทอง รวมถึงพวกเกราะดำที่เหลือก็หายไปบนท้องฟ้าที่มืดมิดของป่าอัสร่า

    "โธ่เว้ยยยยยยยย!!!!!!!!!!!!!!!!!" เวก้าตะโกนก้องออกมา แล้วร่างของหมอหนุ่มผมแดงก็ทรุดลงกับพื้น เพราะร่างกายของเขาบาดเจ็บจนยืนแทบไม่ไหวอยู่แล้ว




    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~​





    ราโชม่อน เวก้า รู้สึกตัวอีกที ก็พบว่าตัวเขา นอนอยู่ในถ้ำที่ใช้หลบภัยของเผ่าออคนั่นเอง อาการเจ็บของเขาถึงจะไม่หายไปทั้งหมดแต่ก็ดีขึ้นมากแล้ว

    "ฟื้นแล้วรึ สหายตัวเล็ก น่าตลกดีนะที่คนเป็นหมออย่างเจ้า แต่กลับต้องนอนเจ็บอยู่อย่างนี้" บุตรชายหัวหน้าเผ่าสหายศึกของเขานั่นเองที่เป็นคนพูดประโยคนี้

    "ไลเนลข้าสลบไปกี่วันล่ะนี่ ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่อยากใช้วิชาหมัดอาคมดำแบบต่อเนื่องนานๆซักเท่าไรเลย เปลืองทั้งพลังเวทย์ และ พลังจิตชะมัด" เวก้าตอบพลางสำรวจร่างกายตัวเอง ก็พบว่าบาดแผลถูกพอกด้วยสมุนไพรสำหรับห้ามเลือด และช่วยสมานแผล ที่เขารู้จักดี

    "สมเป็นเผ่าออคที่ชื่นชอบการต่อสู้ วิธีการรักษาคนเจ็บจากการต่อสู้เยี่ยมไปเลย"

    "เจ้าดื่มนี่ซะก่อนเถอะ " ไลเนลยื่นถ้วยยาสีเขียวเข้มให้ หมอหนุ่มผมแดง ซึ่งตัวเขารู้ดีว่ามันคืออะไร และ รู้ดีด้วยว่ารสชาติมันแย่แค่ไหน!

    "แหวะ รสชาติไม่ชวนกระเดือกลงคอเหมือนเดิมเลยแฮะ เจ้ายาแก้ช้ำในเนี่ย" เวก้าบ่นออกมาหลังจากดื่มยาถ้วยนั้นจนหมดถ้วย

    "เจ้าหลับไป 5 วันน่ะ ตั้งแต่เรื่องคืนนั้น เวก้าเจ้ารู้จัก ผู้หญิงที่ใส่ชุดเกราะสีทองคนนั้นงั้นรึ?" ไลเนลถามเวก้าตรงๆ

    เวก้า มองหาสัมภาระของเขาก็พบว่ามันอยู่ข้างๆ พลางล้วงหาอะไรบางอย่างในนั้น "อืม... จะว่าอย่างนั้นก็ไม่ผิดนัก ข้าคงต้องรีบไปแล้วล่ะ ท่าทางข้าต้องมีเรื่องจะต้องไปสะสางกับเธออยู่หลายเรื่องเลยทีเดียว ข้าว่า เจ้าพวกนั้งคงจะไม่มายุ่งวุ่นวายกับเผ่าเจ้าอีกแล้วล่ะ "

    เวก้าดึงถุงผ้าเล็กๆใบนึ่งขึ้นมาพร้อมกับโยนยาเม็ดกลมๆสีดำๆเม็ดหนึ่งเข้าปาก แล้วโยนถุงผ้าใบนั้นให้ นักรบออค ผู้นำที่เหลืออยู่ของเผ่าออค "ยานี่เป็นยาที่ช่วยฟื้นฟูร่างกาย เอาไปให้นักรบของนายที่เหลือกินซะ แล้วข้ามีคำแนะนำว่า ให้นายไลเนล จากที่นี่เดินเท้าขึ้นไปประมาณ 3 วัน จะพบแม่น้ำ แถวนั้นน่าจะเป็นที่ตั้งหมู่บ้านของพวกนาย ดีกว่าแถวนี้ล่ะนะ"

    "ข้าคงขอตัวก่อนล่ะ เอาไว้วันหน้าข้าจะแวะมานั่งกินเหล้ากับเจ้าแล้วกัน" เวก้าไม่เปิดโอกาสให้ ไลเนลถามอะไรต่อ เพราะเวลานี้ในหัวของเขาก็เต็มไปด้วยคำถามเต็มไปหมด หมอผมแดงรีบออกจากถ้ำแห่งนั้น มุ่งตรงไปหาพ่อเขาที่ รีเวเรีย ทันที




    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~​





    ราโชม่อน เวก้า เดินทางอย่างเร่งรีบ จากป่าอัสร่า จนมาถึง รีเวเรีย ในช่วงพลบค่ำ ของอีก 2 วันต่อมา ซึ่งพ่อ และ แม่ของเขากำลังนั่งคุย กันอยู่ที่ห้องนั่งเล่นภายในบ้าน เด็กหนุ่มผมแดง เข้าไปทักทายทั้ง 2 ท่าน แล้วเอ่ยถามสิ่งที่เขาสงสัยอย่างไม่รอช้า

    "พ่อครับ พ่อรู้จัก ดาบสีทอง เล่มไม่ใหญ่มาก ยาวประมาณนี้ แล้วโล่สีฟ้าตัดด้วยเส้นสีทอง เป็นรูปปีกนก หรือเปล่าครับ?" เวก้าเอ่ยถามพลางทำท่าทางประกอบ ถึงดาบและโล่ที่เขาเห็น อานิรอนถืออยู่

    ราโชม่อน อาดิว ทำหน้าครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง จึงตอบบุตรชายของตนไปว่า "น่าจะเป็น ดาบเอ็กคาริเบอร์ และโล่ แองเจอลิคชิล ดาบและโล่ ของพระราชาในตำนาน ของชายน์ ที่ปกป้องชายน์ จากการรุกรานของปีศาจ พ่อจำได้ว่าเคยเห็นรูปของมัน จากในหนังสือตำนานของเมืองชายน์ น่ะ ว่ากันว่ามันถูกสร้างจากฝีมือของเทพเลยล่ะ ทั้งตัวดาบ และ โล่นั่น มีพลังมหาศาลทั้งคู่ เท่าที่พ่อรู้มามันถูกเก็บรักษา ไว้กับสภานักบวชแห่งชายน์ และ ทั้ง 2 สิ่งนี่ คนที่สามารถจะใช้มันได้ก็จะมีแต่ ผู้ที่มีสายเลือด เดียวกับ พระราชาคนนั้น ซึ่ง บนเอลเทอเฟียนี้ไม่น่าจะมีแล้วล่ะ"

    "ทำไมจู่ๆลูกถึงมาถามเกี่ยวกับมันล่ะจ๊ะเวก้า?" ฟิฟฟิเรีย เอ่ยถามบุตรชายตน

    แต่เวก้าไม่ได้ตอบคำถามแม่ของเขา กลับถามต่อไปว่า "แล้ว พ่อกับแม่คิดว่าบน เอลล์เทอเฟียนี่ จะมีคนที่สามารถสร้าง เครื่องจักรที่เคลื่อนไหวและต่อสู้ได้เหมือนอัศวินคนหนึ่ง และ เรียก สัตว์ประหลาดที่ตัวเป็นสิงโต แต่มีหัว ปีก และ ขาเป็น อินทรี ที่ชื่อว่า กรีฟอน ได้ไหมครับ"

    พอจบคำถามนี้ ทำให้ราโชม่อน อาดิว จ้องไปยังลูกชายของเขาเขม็งเลยทีเดียว "เวก้าอย่าบอกพ่อนะ ว่าลูกไปเห็นของพวกนี้มาแล้ว?"

    "นั่นไง ว่าแล้วพ่อจะต้องรู้อะไรเกี่ยวกับเจ้าพวกนี้แน่ๆ อย่างนี้แสดงว่าทางเรื่องนี้มันจะเกี่ยว รีเวเรีย ใช่ไหมครับพ่อ ผมน่ะไม่ใช่แค่เจอหรอก แต่ลงมือซัดกับพวกมันมาแล้วซะด้วยซ้ำ" เวก้าตอบกลับไป

    คำตอบของบุตรชายตนทำให้ ราโชม่อน อาดิว มีสีหน้าเครียดหนักขึ้นไปอีก "แสดงว่าข่าวลือที่ว่า ภายในสภานักบวช ของชายน์ กำลังจะทำอะไรบางอย่าง โดยให้การสนับสนุน พวกนักประดิษฐ์ ใน พลูตรอนิค อยู่อย่างลับๆนั้นเป็นความจริงสินะ"

    "จริงไม่จริงผมไม่รู้ล่ะ ตอนนี้ อัลกรอสอยู่ไหนครับแม่" เวก้าถามถึงอัศวินผมขาว

    "ตอนนี้ก็คงจะอยู่บนห้องของเขาข้างบนล่ะมั๊ง" ฟัฟฟิริเซียบอกที่อยู่ของ อัศวินผมขาวให้บุตรชายของตน

    "ลูกกำลังจะทำอะไรกันแน่ เวก้า?" พ่อของชายหนุ่มผมแดงเอ่ยถามขึ้นมา

    "พอดีผมมีอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ที่ต้องสะสางน่ะครับ" เวก้าตอบกลับมาง่ายๆ แล้วหมอหนุ่มผมแดงก็เดินขึ้นไปชั้น 2 มุ่งตรงไปยังห้องของ อัลกรอสทันที




    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~​





    เมื่อมาถึงห้องของอัลกรอส เวก้า ก็ถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไปทันที เมื่อเข้ามา ก็พบอัศวินหนุ่ม กำลังนั่งอ่านหนั่งสืออยู่บนเตียง ในชุดลำลองสบายๆ

    "ยังไม่มีมารยาทเหมือนเดิมนะ เวก้า" อัลกรอสทักขึ้น

    แต่เวก้าไม่ได้ต่อล้อต่อเถียงอะไรนัก ลากเก้าอี้ มานั่งพร้อมกับมองหน้า เพื่อนของเขาด้วยสีหน้าจริงจัง "อัลกรอส ข้าจะมีเรื่องให้แกช่วยว่ะ พอดีข้ามีปัญหาจะต้องสะสางซักหน่อย แต่คราวนี้มันออกจะเกินกำลังของข้าอยู่พอสมควร แกจะช่วยฉันได้ใหม?"

    คำถามนี้ทำเอา อัลกรอส ถึงต้องขวดคิ้ว เพราะ เขารู้ดีว่า หมอหนุ่มผมแดงตรงหน้าเขานั้น เก่งขนาดไหน ลูกศิษย์ เพียงคนเดียว ของ "ชิเก็น" ชายผู้ถูกเรียกว่าเป็นตำนานคนหนึ่งของ เอลล์เทอเฟีย แต่เรื่อง ที่ทำให้คนอย่างราโชม่อน เวก้า ถึงกับมาเอ่ยปากให้เขาช่วยแล้วล่ะก็ เรื่องนี้เรียกได้เลยว่ามันจะต้องใหญ่มากเลยทีเดียว

    "แล้วนายจะให้ชั้นช่วยอะไรล่ะ เวก้า"

    "ข้าบอกไว้ก่อนเลยนะ เรื่องนี้ถ้าแกจะช่วยข้า แกจะต้องทิ้งคุณธรรม กับ ความเถรตรงเป็นไม้บรรทัดของแกไว้ที่นี่เลย เพราะเรื่องนี้มันออกจะ ขัดกับคุณธรรมของแกพอสมควรทีเดียว ยังไงถึงจะมีแกมาช่วยอีกคนกำลังมันก็ไม่พออยู่ดี จะต้องไปหาคนมาช่วยอีกซัก 2 คน"

    อัลกรอสได้ยินประโยคนี้เข้าถึงกับขมวดคิ้ว ด้วยความสงสัย "นายกำลังจะลงมือทำอะไรกันแน่ เวก้า?"

    "แกตอบมากก่อนดิว่าจะช่วยหรือเปล่า ถ้าไม่ช่วย ข้าก็จะไม่บอกเรื่องนี้กับแก เพราะจะทำให้วุ่นวายใจเปล่าๆ ถ้าจะฟังก็ต้องช่วยสถานเดียว ว่าไง เจ้าคนเถรตรง" เวก้าตอบกลับมา

    อัศวินผู้ยึดมั่นในคุณธรรม โดนถามเช่นนี้เข้าไปก็ถึงกับต้องหยุดคิด เพราะจากคำพูดก็รู้ได้เลยว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แล้วอัลกรอสก็ยิ้มออกมา "นี่มันก็ออกจะกึ่งๆบังคับไปซักนิดนะเวก้า"

    ราโชม่อน เวก้า ยิ้มๆแล้วตอบกลับ "ไม่ได้บังคับนะเฟ้ยย แต่แค่ถ้าไม่ว่างที่จะช่วยก็อย่างรู้เรื่องนี้เลยจะดีกว่า มันจะปวดหัวโดยใช่เหตุผลซะเปล่าๆ ว่าไงขอคำตอบ เหตุผลอะไรนั้นไม่ต้อง แกจะช่วย หรือ ไม่ช่วย อัลกรอส?"

    "นายก็เป็นเหมือนพี่น้อง ของชั้นคนหนึ่ง ลองมาเอ่ยปากขอให้ช่วยกันอย่างนี้ ก็คงต้องลองดูกันซักหน่อยล่ะนะ เอาล่ะเล่ามาได้แล้ว เวก้า นี่มันเรื่องอะไรกันแน่"

    แต่เวก้ายังไม่ตอบ แต่ลุกขึ้น "ตามข้ามาสิ ข้าจะได้เล่าให้พ่อแม่ ฟังด้วยทีเดียว"

    แล้ว ทั้ง2หนุ่มก็เดินลงไปหา ราโชม่อน อาดิว และ ฟัฟฟิริเซีย ที่กำลังนั่งปรึกษาถึงอะไรบางอย่างกันอยู่ เมื่อลงมาถึง เวก้าไม่รอช้า เล่าเรื่องทุกอย่างที่เขาพบในป่าอัสร่า ให้อีกทั้ง3คน ตั้งแต่ต้นจนจบ แล้วตามคาดเมื่อเล่าจบ ทุกคนตกอยู่ในสภาพที่แทบจะไม่เชื่อเรื่องที่เขาเล่าให้ฟัง

    "นายแน่ใจนะเวก้า ว่าที่นายเห็นน่ะเป็น อานิรอน" อัลกรอสถามขึ้นเป็นคนแรก

    เวก้า หัวเราะหึๆ "ข้าเองก็อยากจะให้ตัวเองตาฝาดเลย ยายนั่นโตขึ้นเยอะ แต่ทั้งโครงหน้า สีผมสีตา ข้าจำไม่ผิดหรอก"

    แล้วความเงียบก็เข้าปกคลุมบริเวณอยู่นานพอสมควร จนหัวหน้าครอบครัวราโชม่อน เอ่ยขึ้นเรียบๆ "เวก้า แล้วลูกคิดจะทำยังไงกับเรื่องนี้?"

    "ผมจะไปหายายนั่งอีกสักครั้ง เพื่อถามถึงความจริงที่เป็นอยู่ และถ้าจำเป็นผมก็จะหยุดยายนั่นให้ได้ด้วยทุกอย่างที่ผมมี ถึงจะไม่รู้ว่าพวกนั้นกำลังจะทำอะไรก็เถอะ แต่มันคงไม่ใช่เรื่องดี แน่ๆ แล้วผมต้องรู้ให้ได้ ว่าจริงๆ แล้ว เมื่อ 8ปีก่อนมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมถึงต้องจับตัว เร็กซ์ และอานิรอนไป แล้วฆ่าล้างหมู่บ้านด้วย" หมอหนุ่มผมแดง ตอบด้วยสายตามุ่งมั่น ปราศจากความหวั่นไหวแม้แต่น้อย

    "แล้วลูกเอาอะไรไปมั่นใจได้ว่าลูกจะทำสำเร็จ จากที่ลูกเล่าให้ฟัง ขนาดกองกำลังอัศวินดำเพียงส่วนหนึ่ง ยังทำให้ลูกบาดเจ็บหนักขนาดนั้น แล้วถ้าเจอมากกว่านี้ลูกจะไม่แย่เอาเหรอ" มารดาของเวก้า เอ่ยถามมาด้วยความเป็นห่วง

    "ข้อนี้ผมรู้ดีครับแม่ แต่คราวนี้ผมไม่ได้ไปคนเดียว ผมน่าจะหาคนมาช่วยได้อีกซัก 2-3 คนน่ะครับ คงต้องขอให้พ่อช่วยอะไรผมบางอย่างแล้ว" เวก้าตอบคำถามนี้ แล้วยิ้มอย่างน่าสงสัยในสิ่งที่เขาจะกระทำยิ่งนัก ซึ่งทุกคนที่รู้จักเขาดีไม่ชอบที่จะเห็นรอยยิ้มเช่นนี้บนใบหน้าของ ราโชม่อน เวก้า เลยซักนิดเดียว เพราะมันหมายถึงเจ้าหมอนี่กำลังจะทำอะไรบางอย่าง ที่ เรียกกันว่า "เหยียบนรก เย้ยสวรรค์" ทุกครั้งเลยน่ะสิ




    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~​





    ภาพของเด็กชายคนหนึ่งกำลังวิ่งอย่างสุดชีวิต เพื่อหนีอะไรบางอย่างที่ไล่ตามหลังเขามาอย่างรวดเร็ว รอบข้างของเขามันเต็มไปด้วยต้นไม้และความมืดมิด เขาวิ่ง วิ่ง วิ่งอย่างสุดกำลัง ไม่รู้ว่าเด็กชายคนนี้เขามาในป่าลึกแค่ไหนแล้ว แต่เบื้องหน้าเขาตอนนี้ มันเป็นโบราณสถาน อะไรบางอย่างที่ทางเข้านั้นมันพาลงไปยังใต้ผืนดิน

    เด็กชายรู้สึกได้ทันทีว่า สิ่งที่ตามเขามานั้น มันยังไม่หยุดที่จะตามเขามา เด้กชายตัดสินใจที่จะก้าวเข้าไปในสถานที่แห่งนั้น เขาหนีเเข้ามาจนถึงส่วนที่น่าจะลึกที่สุดของที่แห่งนี้แล้ว แต่มันก็ยังคงไม่มีตรงไหนที่เขาพอจะหลบซ่อนตัวได้เลย

    เด็กชายมาหยุดตรงหน้าประตูบานใหญ่ สีดำสนิท ความรู้สึกน่าพรึงกลัวแผ่พุ่งมากจากด้านหลังประตูอย่างชัดเจน แต่ไม่รู้ทำไมจู่ๆประตูบานนั้นถึงเปิดออก เผยให้เห็น ห้องโล่งๆ ที่มีดาบเล่มใหญ่ สีดำสนิททั้งเล่ม ถูกโซ่พันไว้รอบด้านตรึงให้มันลอยอยู่กลางอากาศ

    ขณะที่กำลังตกตะลึงอยู่นั่นเอง ด้านหลังของเขาก็ปรากฏร่างของ คนในชุดคลุมสีดำที่ตามเขามา เด็กชายไม่มีทางที่จะหนีอีกแล้ว เขาจึงตัดสินใจที่จะสู้ โดยการวิ่งไปคว้าดาบสีดำเล่มนั้น ทั้งๆที่มันใหญ่เกินที่ตัวเด็กชายจะถือไหวแท้ๆ

    แต่ทันทีที่มือขวาของเขาจับถูกด้ามดาบ ความเจ็บปวดราวกับแขนข้างนั้นถูกฉีกกระชาก จนทำให้เด็กชายหมดสติลง เมื่อลืมตาตื่นอีกครั้งก็พบว่า ทั่วทั้งห้อง แห่งนั้นถูกชโลมไปด้วยเลือด พร้อมกับซากของผ้าคลุมสีดำที่เปื้อนไปด้วยเลือดกองอยู่ตรงหน้าเด็กชายคนนั้น และเมื่อเขาเหลือมองไปยังมือขวาของเขาที่ยังมีอาการเจ็บปวดอยู่ก็พบว่า บัดนี้มันหาใช่มือของเขา แต่กลับเป็นมือของสิ่งที่ผู้คนขนานนามพวกมันว่า "ปีศาจ" ที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือด!!

    ณ โอเอซิส เล็กๆแห่งหนึ่ง บนผืนทรายอันกว้างใหญ่ของทะเลทรายอัลคาน่า มีชายหนุ่มในชุดคลุมสีดำสะดุ้งตื่นจากความฝันในยามราตรี เขายกมือทั้ง 2 ข้างขึ้นมามอง โดยที่มือซ้ายของเขาสวมถุงมือเหล็ก ที่นักรบนิยมใส่กัน แต่มือขวาของเขานั้นกลับมีรูปร่างหน้าตาเหมือนแขนของปีศาจอย่างไม่ผิดเพี้ยน!

    "8 ปีแล้วสินะนับจากวันนั้น" ชายหนุ่มในชุดคลุมสีดำรึพึงออกมาเบาๆ
    8 ปีที่เขาถูกรังเกียจจากผู้คนที่ได้เห็นมือขวาของเขา
    8 ปีที่เขาต้องถูกตามล่าจากผู้ที่ต้องการดาบที่กลืนกินมือขวาของเขา
    8 ปีที่เขาต้องเข่นฆ่าเหล่าผู้คนที่ตามล่าเขา
    ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่เขาชินชากับความมืด มากกว่าแสงสว่าง และ ชอบความโดดเดี่ยว รังเกียจความวุ่นวาย

    และก็ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่เขาถูกผู้คนขนานนามว่า "มัจจุราชแห่งความมืดภายใต้หน้ากากสีแดง" 1 ใน 10 เทพมรณะ แห่งวงการนักฆ่า ทั้งๆที่เขาไม่อยากจะฆ่าใครแม้แต่คนเดียว แต่เพื่อเอาชีวิตรอดเขาจำเป็นต้องทำ

    ชายหนุ่มกวาดสายตาไปรอบๆ แสงจากกองไฟที่เขาก่อไว้เพื่อให้ความอบอุ่น มันสาดไปกระทบกับอะไรบางอย่างที่กำลังเดินเข้ามาหาเขาอย่างช้าๆ จู่ๆร่างนั้นก็นั่งลงหน้ากองไฟตรงข้ามกับเขา

    ชายหนุ่มในชุดคลุมสีดำจ้องมองไปยังแขกผู้มาเยือนยามวิกาล ก็พบว่าเขาเป็น อัศวินหนุ่ม อายุไล่เลี่ยกับเขา อยู่ในชุดเกราะสีขาวสะอาดตาผิดกับตัวเขาลิบลับ "ในที่สุดนายก็มาปรากฎตัวต่อหน้าฉันจนได้ นี่นายจะมาจับฉันไปส่งทางการอย่างนั้นรึ อัลกรอส?"

    "นายอยากจะให้ทำอย่างนั้นรึไงล่ะ?" อัลกรอสตอบกลับมา

    "ก็ไม่รู้สิบางทีชั้นเองก็เหนื่อยกับการถูกตามล่าเหลือเกิน นับวันกลิ่นคาวเลือดมันก็ฝังลึกเขาไปในตัวฉันมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าฉันถึงรอดจนมาถึงทุกวันนี้" ชายหนุ่มในชุดคลุมสีดำเอ่ยพลางถอดผ้าคลุมที่คลุมส่วนหัวของเขาไว้ออก

    อัลกรอสสังเกตได้ถึง สีผมจากในอดีตที่มีสีขาวเช่นเดียวกับตัวเขาเอง บัดนี้มันกลายเป็นสีแดง แต่หาใช่สีแดงดั่งเปลวเพลิงเหมือนของ ราโชม่อน เวก้า แต่มันเป็นสีแดงของโลหิต ดวงตาจากสีฟ้า สดใส บัดนี้มันกลายเป็นสีดำแกมแดง

    "นายเปลี่ยนไปพอสมควรเลยนะนี่ คาเซล แต่ยังไงก็เอาเถอะ นายไม่ได้เลือกอยากที่จะเป็นแบบนี้นี่นา ชั้นเองก็ถูกใช้มา ให้มาขอความช่วยเหลือจากนายน่ะ"

    ประโยคนี้เรียกสีหน้าสงสัยจาก คาเซล ที่ทำหน้านิ่งมาตลอดเวลาได้เลยทีเดียว "ช่วย? นายเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า อัลกรอส คนอย่างฉันจะไปช่วยอะไรใครได้ขนาดตัวฉันเองยังทำได้แค่เอาตัวรอดไปวันๆเลย"

    อัศวินในชุดเกราะสีขาวยักไหล่เล็กน้อย "นั่นสิตัวนายเองยังไม่มั่นใจตัวเองซักเท่าแต่มีคนบ้าอยู่ 1 คนที่ต้องการให้นายช่วยน่ะ ว่าไงนายพอจะช่วยคนบ้าคนนั้นได้หรือเปล่า?"

    "อัลกรอสนายหมายถึง เวก้า น่ะหรือ?" คาเซลตอบกลับมา

    "จะมีใครที่ไหน บ้ากล้าที่จะตามตัวทั้ง `มัจจุราชแห่งความมืดภายใต้หน้ากากสีแดง` และ `แสงเงาสีโลหิต` 2 ใน 10 เทพมรณะ ให้มาช่วยแบบนี้นอกจากเจ้าหมอนั่น ที่ก็ยังคงเห็น ทั้งนาย และ เร็กซ์ เป็นเหมือนพวกพ้องพี่น้อง เหมือนเดิม ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม"

    คาเซลได้ยินประโยคนี้ ถึงกับต้องถอนหายใจออกมา พร้อมกับเงยหน้ามองขึ้นไปยังบนท้องฟ้า "เจ้าหมอนั่นก็ยังคงเป็นเจ้าหมอนั่นอยู่เหมือนเดิมสินะ"

    หลังจากนั่งมองท้องฟ้ากลางทะเลทรายยามค่ำคืนอยู่เงียบๆซักพัก คาเซลก็หันมามองหน้า อัศวินหนุ่มตรงหน้าเขา "แล้วนายล่ะอัลกรอส อัศวิน แห่งแสงอย่างนายมานั่งคุยกับนักฆ่าอย่างฉันมันจะดีรึ? ไม่ขัดกับคุณธรรมของนายรึยังไง"

    "ช่วยไม่ได้นี่นะ ก็เจ้าบ้านั่น มันบอกถ้าจะช่วยมันในงานนี้ให้ทิ้งคุณธรรมไว้ที่บ้าน เพราะงานนี้มันออกจะค่อนข้างขัดกับคุณธรรรมของชั้นพอสมควร แต่ยังไงลูกผู้ชายเมื่อเพื่อฝูงเดือดร้อนช่วยเหลือได้ก็ต้องช่วยเหลือใช่มั๊ยล่ะ" อัศวินหนุ่มตามกลับมาพร้อมรอบยิ้มบางๆ

    คาเซลหัวเราะหึๆ พร้อมจ้องหน้าอัศวินในชุดเกราะสีขาวตรงหน้าเขา แล้วยกมือขวาที่เป็นแขนของปีศาจของเขาขึ้นมาดู "มันก็ตลกดีนะนายที่ได้รับเลือกให้ถือดาบแห่งแสง ไฟนอลแองเจิ้ล มานั่งคุยกับคนที่โดนดาบปีศาจสิงอยู่ที่แขนอย่างฉันเนี่ยนะ"

    "แต่เรื่องนั้นก็ช่างมันเถอะถ้าพวกนายคิดว่าฉันพอจะช่วยเหลือได้จริงๆแล้วล่ะก็ ฉันก็จะช่วยอย่างเต็มที่" คาเซลเอ่ยแล้วยิ้มอกมาอย่างที่เขาไม่เคยทำได้มาเป็นเวลานานเหลือเกิน




    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~​





    ร้านเหล้าเล็กๆแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ชานเมือง ชายน์ โต๊ะตรงมุมร้านมีชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังนั่งดื่นเหล้าอยู่คนเดียวเงียบๆ แต่แลวเขาก็ถูกรบกวนด้วยใครบางคนที่นำกระดาษแผ่นหนึ่งมายื่นให้เขา ชายหนุ่มที่กำลังนั่งดื่มเหล้า เหลืบตามองก็พบ คนสวมผ้าคลุมสีขมุกขมัว เหมือนพวกคนเร่ร่อน

    "ชั้นไม่รู้หรอกนะว่านายมาจากที่ไหน แต่ช่วงนี้ชั้นไม่มีอารมณ์ที่จะรับงานน่ะ รีบกลับไปซะ" ชายหนุ่มที่กำลังดื่มเหล้าเอ่ยขึ้น

    แต่คนในผ้าคลุมสีขมุกขมัวกลับเอ่ยตอบกลับด้วยเสียงเนิบๆมาว่า "ช่างเลือกงานสมคำร่ำลือจริงๆนะ แสงเงาสีโลหิต เร็กซ์ เฮลไซท์"

    "ถึงจะบอกว่าไม่มีอารมณ์ แต่จริงๆแล้วนายชอบที่จะเห็นโลหิตสดๆ สาดกระเซนไปทั่วใช่ใหม่ล่ะ แม้ว่าจะพยายามกลบเกลื่อนเท่าไร แต่สันชาตญาณของนายก็ยังคงร่ำร้องเช่นนั้น ที่พูดมานี่มีอะไรไม่ถูกต้องรึเปล่า?"

    ประโยคเหล่านี้ ทำเอา ชายหนุ่มที่กำลังนั่งดื่มเหล้าที่บัดนี้เขามีเคียวสีแดงยาว อยู่ในมือ มันถูกตวัดเข้าในคนที่เอ่ยประโยคเหล่านั้น แต่แทนที่คมเคียวจะถูกเฉือนเข้าไปร่างที่สวมผ้าคลุมสีขมุกขมัว เพราะเคียวเล่มนั้นถูกหยุดไว้ก่อนที่ใบเคียวจะแตะกับผ้าคลุมผืนนั้นซะอีก

    "ใจเย็นสิฟะแหย่นิดแหย่หน่อยถึงขั้นจะฆ่าแกงกันเลยรึ เร็กซ์?" ประโยคที่คุ้นเคยถูกเอ่ยขึ้น ถึงแม้จะผ่านไปนานแค่ไหน เร็กซ์ก็ยังคงจำได้ดี ว่าบน เอลล์เทอเฟีย มีคนเพียงคนเดียวที่กล้าที่จะพูดแบบนี้กับเขาทั้งๆที่รู้ว่าเขาเป็นใคร

    เร็กซ์ลดเคียวลง แล้วร้องถาม "เวก้า นั่นนายงั้นรึ?"

    ผ้าคลุมถูกถอดออกเผยให้เห็นชายหนุ่มผมสีแดง ในชุดสีขาว "ก็เอออ่ะดิ แกคิดว่าบนเอลล์เทอเฟีย จะมีใครกล้าล้อเล่นกับ แสงเงาสีโลหิต นอกจากคนบ้าอย่าข้า กรั๊กๆ"

    แล้วท้ง 2 หนุ่มก็นั่งลงดื่มเหล้ากัน "เร็กซ์ ข้าขอโทษด้วยว่ะ กับเรื่องเมื่อ 8 ปีที่แล้ว" เวก้าเอ่ยออกมาง่ายๆ หลังจากดื่มเหล้าแก้วแรกรวดเดียวหมด

    คำขอโทษง่ายๆ ของหนุ่มผมแดงทำเอาคู่สนทนาของเขาถึงกับอึ้งๆ ไปพักหนึ่งเลยทีเดียว "นายไม่จำเป็นต้องขอโทษนี่ เวก้า เพราะนายก็ไม่ได้ทำผิดอะไรนี่"

    "ตรงข้ามต้องเป็นชั้นซะอีกที่ต้องขอโทษนาย เพราะ ชั้นเป็นอีก1 สาเหตุ ที่ทำให้ทุกคนต้องเจอเรื่องแบบนั้น" เร็กซ์เอ่ยตอบกลับมาพลางยกแก้วขึ้นดื่มบ้าง

    เวก้าหัวเราะหึๆ "ข้าแค่อยากจะเอ่ยคำๆนี้เท่านั้นแหละ แกไม่ต้องเก็บไปคิดมากหรอกนะ เพราะตัวข้าเองยังไม่เคยคิดเลย ฮ่าๆ ถามจริงๆ เหอะ 8 ปีนี่แกเจออะไรมาบ้างฟะ ถึงกลายเป็น แสงเงาสีโลหิต 1ใน10 เทพมรณะ แห่งวงการ?"

    "ไม่รู้สิ เท่าที่จำได้ ชั้นอาศัยจังหวะที่เจ้าพวกชุดดำนั้นเผลอ หนีออกมา แต่พวกนั้นดันไหวตัวได้ แล้วส่งคนตามมา ชั้นเองก็โตนต้อนซะจนมุมอาวุธก็ไม่มี แล้วจู่ๆชั้นก็วูบไป รู้สึกตัวอีกที เจ้าคนที่ตามล่าชั้นมาก็เป็นเศษเนื้อ ไปซะแล้ว" เร็กซ์เล่าพลางรินเหล้าใส่แก้ว ของเวก้า

    "มันก็น่าอยู่หรอก คืนนั้นมันคืนจันทร์เต็มดวงนี่หว่า เท่าที่ได้ข่าวมาเดียวนี้แกไม่ต้องรอพระจันทร์ก็อาละวาดได้ตามใจฉันนี่หว่า?" เวก้ารับแก้วเหล้ามาวางไว้ตรงหน้าตัวเอง

    "ก็ราวๆนั้น เรื่องหลังจากนั้นมันก็เหมือนที่เขาลือ เกี่ยวกับชั้นน่ะแหละ ชั้นก็แค่เอาตัวรอดไปเรื่อยๆ แต่สงสัยจะฆ่ามากไปหน่อยมั๊ง ถึงได้ฉายาอย่างนั้นมา แล้วนายไม่กลัวบ้างเรอะมานั่งคุยกับนักฆ่าเลือดเย็นแบบฉัน"

    "กลัว? นักฆ่าเลือดเย็น? แล้วทำไมข้าต้องเชื่ออย่างนั้นด้วยล่ะ? ในเมื่อฉันเห็นว่ามันไม่จริงซักนิดเดียว แกเลือกทำงานจะเป็นจะตายจริงๆนี่นา แถมถ้าจำไม่ผิด 2-3 ปี ก่อนก็เกือบตายเพราะโดนเด็กตัวเล็กๆ เอามีดทำครัวเสียบพุงด้วยนี่นา ถึงยังงั้นแกก็ยังไม่ฆ่าเด็กคนนั้น จริงรึเปล่าล่ะ เหอๆ"

    "มันก็ช่วยไม่ได้ล่ะน่ะ ชั้นไม่ต้องการให้ใครมาประสบเหตุการณ์แบบพวกเราอีกแล้ว ถ้ามันไม่จำเป็น แล้วนายหาชั้นเจอได้ไงเนี่ย คิดว่าจะมีแต่พวกนายหน้าซะอีกที่ ตามตัวชั้นเจอ"

    "กว่าจะตามหาแกได้นี่ก็เล่นเอาเหนื่อยเหมือนกันนะนี่ แกลืมไปแล้วหรือไงว่า บิดาตูชื่อ ราโชม่อน อาดิว นาเฟ้ย ท่านคอยตามข่าวพวกแกอยู่ตลอดน่ะแหละ เข้าเรื่องเลยดีกว่า ข้ามีงานให้แกช่วยว่ะ เร็กซ์ แกตอบได้ 2 อย่างคือ ช่วย และ ไม่ช่วย เท่านั้น ข้าจะไม่อธิบายอะไรก่อนทั้งนั้น" เวก้าไม่ชักช้ารำลึกความหลังอะไรกันมากกว่านั้น ลากเข้าประเด็นทันที

    "เหอะๆ นายพูดอย่างนี้ทีไรเท่าที่ชั้นจำได้มันไม่มีเรื่องดีๆ เลยซักครั้ง แต่ก็เอาเถอะ มันคงจะไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่า ที่ชั้นเจอมาแล้วล่ะมั๊ง เมื่อนายขอให้ช่วยชั้นก็จะช่วย ถึงชั้นจะรู้อยู่แก่ใจดีว่ามันต้องเป็นเรื่องที่ใหญ่มากๆก็ตามที เอ้าดื่ม" เร็กซ์ และ เวก้า ชนแก้ว แล้วดื่มเหล้ารวดเดียวหมด




    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~​
  4. pop30711

    pop30711 New Member

    EXP:
    1,155
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    Re: Tale Of Light and Shadow [ลงตอนใหม่ หมอบ้าเที่ยวล่าสุด (7)]

    อานิรอน.... เธอโดนล้างสมองแล้วจริงๆสินะ จากสาวน้อยผู้น่ารักกลายเป็นหญิงโหด....

    สรุปว่าตอนนี้คือตอนรวมญาติสินะ มากันหมดทุกคนเลย

    จะรออ่านต่อไปครับ
  5. near

    near Member

    EXP:
    334
    ถูกใจที่ได้รับ:
    4
    คะแนน Trophy:
    18
    Re: Tale Of Light and Shadow [ลงตอนใหม่ หมอบ้าเที่ยวล่าสุด (7)]

    รู้สึกเวก้านี้จะคอทองแดงจังนะ

    เอะอะอะไรก็กินเหล้า 55+

    สงสัยเครียดจัด...
  6. yoshiki

    yoshiki FATE

    EXP:
    862
    ถูกใจที่ได้รับ:
    17
    คะแนน Trophy:
    38
    Re: Tale Of Light and Shadow [ลงตอนใหม่ หมอบ้าเที่ยวล่าสุด (7)]

    ไอ้เจ้าเวก้า มันยอดคนจริงๆชอบแกมากเลยฟ่ะ !!!

    [action]เอาไป 100 คะแนน[/action]

    สุดท้ายเลยไม่มีฉาก XXX เลย ไม่เอาใจคนอ่านเลยพี่จ้อย RRR ก็ยังดีนะ T T
  7. parwankorn

    parwankorn Member

    EXP:
    60
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    6
    Re: Tale Of Light and Shadow [ลงตอนใหม่ หมอบ้าเที่ยวล่าสุด (7)]

    ดีจังเลยเดียวก็ได้พบกันแล้ว

    แต่อานิรอน หนอไปโดนอะไรมา

    พาคนอื่นเครียดไปหมดเลย
  8. maxlancer

    maxlancer ประธานรุ่น2ตุรกีเชียงใหม่

    EXP:
    1,183
    ถูกใจที่ได้รับ:
    1
    คะแนน Trophy:
    88
    Re: Tale Of Light and Shadow [ลงตอนใหม่ หมอบ้าเที่ยวล่าสุด (7)]

    สงสัยท่านยังค้างคาใจจากตอนแรกๆสิน่ะ เหอะๆๆ

    ฟิคแรกฉลองวันผมสอบเสร็จ^^

    ป.ล.ฟิคกินได้ด้วยจินตนาการ
  9. moko

    moko New Member

    EXP:
    27
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    Re: Tale Of Light and Shadow [ลงตอนใหม่ หมอบ้าเที่ยวล่าสุด (7)]

    แวะมาดู อุ้ย อัพแล้วแหะ เ้อาไว้ก่อนนะ ขออ่านหนังสือสอบก่อนเดียวมาอ่านตาามที่หลังจ้า
  10. PaiaAznable

    PaiaAznable มนุษย์ตู้ปลาช้ำรัก

    EXP:
    744
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    86
    Re: Tale Of Light and Shadow [ลงตอนใหม่ หมอบ้าเที่ยวล่าสุด (7)]

    ชะรอยว่าอานิรอนอาจจะโดนสะกตจิตหรือล้างสมองก็ได้นะอีแบบนี้ = ='a

    งานนี้รวมมิตร มากันหมดเลยแฮะ โอเฮะ... จะรอชมตอนต่อไปขอรับ

    ปล.เฮียโยชิกิล่ะก็ คิดไปได้เนอะ =w="
  11. Hell

    Hell Member

    EXP:
    405
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    16
    Re: Tale Of Light and Shadow [ลงตอนใหม่ หมอบ้าเที่ยวล่าสุด (7)]

    โอ้ตอนใหม่มาแล้วผมขออ่านรวดเดียวเลยล่ะนะ

    ปล.มีคำผิดนิดนึงเน่อ

    "8 ปีที่เขาต้องถูกตามล่าจากผู้ที่ต้องการดาบที่กลืนกินมือขวาของขา"<<<ตรงนี้เน่อ
  12. joi100

    joi100 นักเดินทางแห่งมิดการ์ด

    EXP:
    478
    ถูกใจที่ได้รับ:
    23
    คะแนน Trophy:
    38
    Re: Tale Of Light and Shadow [ลงตอนใหม่ หมอบ้าเที่ยวล่าสุด (7)]

    ในที่สุด เรื่องเล่า เรื่องที่3 ก็จบลงจนได้ โดยอีตานักเดินทางจะอู้ พักร้อนซัก 2 เดือนน่ะครับ นอกรอบของบทนี้คงจะด้านอ่านกันกลางๆ เดือน5 โน่นแนะ ขอบคุณทุกคนที่ติดตามกันเสมอมาครับ

    [action]แขวนป้ายลาพักร้อน จนถึงเดือน 5[/action]


    T VV I N - F E N I2 I R


    [action]คำตอบที่สงสัยคงได้คำตอบส่วนหนึ่งแล้วนะครับ[/action]
    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
    Near

    [action]เหล้าก็กิน บุหรี่ก็สูบ เด็กๆไม่ควรเอาอย่างอีตานี่นะครับหุๆ แต่หลายๆหนมันไม่เครียดก็เห็น ซดสุราทุกที ฮาๆ[/action]


    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
    Yoshiki : Fate Sugoi !!!

    [action]XXX ไม่ไหวฟ่ะพี่น้องเดี๋ยวโดนสอยแหงๆ เอาแค่หอมปากหอมคอและกันนะ[/action]
    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
    Stay With Loyal



    [action]อ่านจบตอนนี้คงจะหายสงสัยแล้วนะครับ[/action]
    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    MaxlanceR : Freedom Mode


    [action]หวังว่าตอนใหม่นี่คงจะอร่อยนะครับ[/action]
    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    -MOKO-เรื่อยๆ เหนื่อยก็พัก

    [action]เรื่องสอบสู้เขานะครับ[/action]
    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
    Paia: อยากดู Toki Den ว้อย!!!

    [action]อย่าไปสนใจตาโยมากเลยครับฮาๆ[/action]
    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
    !~Hell~!

    [action]แก้คำผิดแล้วนะครับ สงสัยตอนใหม่ผิดเพียบแหงไม่มีเวลาแก้เลย[/action]
    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
  13. joi100

    joi100 นักเดินทางแห่งมิดการ์ด

    EXP:
    478
    ถูกใจที่ได้รับ:
    23
    คะแนน Trophy:
    38
    Re: Tale Of Light and Shadow [ลงตอนใหม่ หมอบ้าเที่ยวล่าสุด (7)]

    เรื่องเล่าจากแสงและเงา เรื่องที่ 3 หมอบ้าเที่ยวล่าสุด (8)




    พลูตรอนิค เมืองที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือสุดแผนที่ของ ทวีป "เอลเทอเฟีย" เมืองที่อยู่ติดภูเขาเลด้า เมืองที่หนาวเย็นตลอดทั้งปี แต่ถึงกระนั้นเมืองนี้ก็ยังคงเป็นแหล่งรวม ช่างฝีมือหลากหลายแขนง ทำให้เมืองนี้ถูกหลายๆคนเรียกขานว่าเมืองแห่ง"ช่าง" ถ้าคุณอยากได้เครื่องมือ หรือ อาวุธชั้นดีแล้วล่ะก็ การฝ่าลมหนาวมายังเมืองแห่งนี้จะไม่ทำให้คุณผิดหวังหรอกครับ

    แต่เรื่องที่จะเล่าคราวนี้นี้มันเกิดขึ้นที่ ถ้ำบริเวณชานเมืองแห่งนี้ ถ้ำที่ทอดตัวไปในเทือกเขา เลด้า เทือกเขาที่ทอดตัวยาวจากทิศตะวันออก จด ทิศตะวันตกปิดด้านทิศเหนือของ เอลเทอเฟียไว้ บัดนี้หน้าถ้ำแห่งไร้นามที่ไม่มีใครรู้จัก มีมังกรบินฝูงหนึ่ง มาหยุดตรงหน้าถ้ำแห่งนั้น พร้อมอัศวิน 1 กองร้อย ที่ลงมายืนบนพื้น แล้วบุกเข้าไปด้านในถ้ำทันที

    และเมื่ออัศวินกลุ่มนั้น มาถึงโถงใหญ่ของถ้ำแห่งนั้น เขาก็พบในสิ่งที่ไม่คาดคิดมาก่อน ซึ่ง มันก็คือ ซากของ อัศวินเกราะสีดำที่เป็นเครื่องจักร แหลงเป็นชิ้นๆ กองเกลื่อนกราดไปหมด มิหนำซ้ำทั่วบริเวณนั้น มีร่องรอย การต่อสู้อย่างรุนแรง จนถ้ำบางส่วนถล่มลงมา หลังจาก แยกย้ายไปสำรวจ ก็ไม่พบสิ่งใดมากไปกว่านี้ ทำให้อัศวินคนหนึ่ง ยืนกอดอก กวาดสายตามองโดยรอบ อย่างข้องใจ

    "ท่านอาดิว นอกจากซาก เหล่านี้ ภายในถ้ำแห่งนี้ พวกเราไม่พบอะไรเลยครับ" อัศวินหนุ่ม ผมสีทองบลอนด์ยาวระดับสะโพก ที่อยู่ในชุดเกราะเบาของพวกอัศวินสีเขียวเข้มรายงาน หลังจากแยกย้ายกันไปสำรรวจโดยรอบพักใหญ่ๆ

    "เจ้าเด็ก 4 คนนั้นไม่ฟังคำเตือนของผู้ใหญ่เลย ให้ตายสิ `มุทสึกิ เรนเกลิซท์` เรียกกำลังทุกนาย ถอนกำลังออกจากที่นี่เดี๋ยวนี้ " ราโชม่อน อาดิว เอ่ยกับ อัศวินหนุ่มเกราะสีเขียวเข้มตรงหน้าเขา

    "เอ๋ ท่านอาดิว ถอนกำลัง? หมายความว่ายังไงกันครับ? จู่ๆก็มีคำสั่งลับ ระดมพลอัศวินฝีมืดีทั้ง รีเวเรีย แล้วจู่ๆจะถอนกำลังกลับอย่างนี้หรือครับ" อัศวินเกราะเขียว นามว่า `มุทสึกิ เรนเกลิซท์` เอ่ยทักท้วง

    แต่ยังไม่ทันที่ ราโชม่อน อาดิว จะตอบอะไร ก็มี ชายหนุ่มผมสีดำ นัยตาสีโลหิต สวมโคทหนังสีดำแต่น่าแปลกที่ไม่มีแขนเสื้อข้างขวา สวมเสื้อยืดสีขาวด้านใน ส่วนกางเกงและรองเท้าบูทหุ้มเหล็กเป็นสีเดียวกับเสื้อโคท เดินมาตบบ่า มุทสึกิ พร้อมเอ่ยอะไรบางอย่าง

    "ก็งานที่พวกเราจำเป็นต้องทำ มันกลายเป็นซากเศษเหล็กกองเกลื่อนไปหมดแล้วนี่นา`เรน` แต่ว่า งานก็ไม่ได้ทำอย่างนี้ ผมจะได้ค่าแรงไหมครับ? ท่านอาดิว พอดีช่วงนี้จนกรอบจริงๆ"

    "ไม่ต้องกังวลไปหรอก `เอซ อัลทิโอนิส เพอร์ดิเทีย` ทางรีเวเรียก็ยังคงจ่ายค่าแรงตามที่ตกลงกันไว้ " ราโชม่อน อาดิวตอบคำถาม ทำเอา เอซ ยิ้มแป้น เพราะ ไม่ต้องเหนื่อยก็ได้ตังใช้

    อัศวินหนุ่มเกราะเขียว กวาดสายตามองไปรอบๆอีกครั้ง แล้วหันกลับมาถาม "ท่านอาดิวครับ ผมถามอีกครั้งเถอะครับ ท่านบอกว่า มีคนล่วงหน้า มาถึงที่นี่ก่อนพวกเรา 4 คน นี่มันหมายความว่า เศษซากพวกนี้ มันเป็นฝีมือของคนเพียง 4 คนแค่นั้นหรือครับ?"

    ราโชม่อน อาดิว ไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไรเพียงแต่พยักหน้าแทนคำตอบ ทำเอา มุทสึกิ ต้องกวาดสายตามมองไปรอบๆอีกครั้ง

    เอซเดินเข้ามากอดคอ อัศวินเกราะเขียวไว้ "นายจะไปสงสัยอะไรมากนักหือ เรน?"

    "แล้วนายไม่แปลกใจงั้นหรือ เอซ จำนวนซากอัศวินเกราะดำพวกนี้มันไม่ถ้าไม่ถึงมันก็เฉียดๆ 1000 ตัวเชียวนะ"

    "แล้วไงอ่ะ?" เอซตอบกลับมาทั้งๆที่ยืนกอดคอเพื่อนเกราะเขียวของเขาอยู่

    "นี่ตกลงฉันประสาทไปเอง รึ นายสติไม่เต็มกันแน่ เอซ? จากรายงาน พวกมัน1ตัว ความสามารถ เทียบเท่าอัศวินคนหนึ่งเชียวนะ พวกมันยังไม่เครื่องจักรไม่รู้จักความเจ็บปวด ไม่มีความกลัว ตัวเดียว ชั้นก็ว่าไม่ค่อยดีแล้ว นี่ พวกมัน เป็นพันตัวเชียวนะ" มุทสึกิ เรนเกลิซท์ หันไปถามเพื่อนตัวเอง

    ชายหนุ่มผมดำ ดวงตาสีโลหิต ส่ายหน้าช้าๆ "ทำไมนายไม่คิดกลับกันว่า เพราะมันเป็นเครื่องจักรไม่มีชีวิต ทำให้คนที่ต่อสู้ด้วย ไม่จำเป็นต้องยั้งมือ ฟาดฟันโดยไร้ความปราณี สามารถทำลายพวกมันได้โดยไม่รู้สึกผิดบ้างล่ะ?"

    "ถ้าชั้นจะบอกว่า บนเอลเทอเฟียนี้ยังมีผู้คนอีกมากมาย ที่เก่งพอที่จะ ถล่มเจ้าพวกเครื่องจักรเดินได้พวกนี้ได้ อย่างน้อย ชั้นว่าชั้นพอจะรู้จัก อยู่ 2-3 คนล่ะนะ 1 ในนั้นก็เพื่อนชั้นเองแหละ " เอซ ตอบกลับแบบเนือยๆไม่จริงจังมากนัก

    "ไม่ต้องอะไรมาก พวกเราทุกคนที่นี่ รู้ทั้งรู้ว่าศัตรูเป็นอะไร มีจำนวนประมาณไหน แต่กลับ เดินดุ่มๆบุกเข้ามาที่นี่ ด้วยกำลัง แค่ 1 กองร้อย ถ้าไม่ติดว่าเป็นคำสั่งจากเบื้องบน ชั้นว่า คุณอาดิว พาอัศวินมาที่นี่ไม่กี่10 คนซะด้วยซ้ำ ใช่มั๊ยครับ คุณอาดิว จะว่าไปอยากจะเจอพวกเขาดูซักครั้งจังเลยน๊า......"

    "ถ้ามีวาสนา ต่อกัน ยังไงก็ต้องได้พบกัน มุทสึกิ บางครั้งการต่อสู้ หรือ การรบจำนวนมันก็ไม่ใช้ สิ่งที่ชี้นำผล แพ้ ชนะ หรอกนะ มันยังมีอีกหลายอย่างที่ตัวตัวชี้ผล ของพวกนี้ประสบการณ์ จะสอนเธอเอง เอาล่ะรวมพล แล้ว ถอนกำลังกลับได้แล้ว " ราโชม่อน อาดิว ยิ้มพลางตอบเรียบๆ พร้อมหันหลังเดินออกจากถ้ำแห่งนั้น





    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~​





    2 ชม. ก่อนหน้านั้น บริเวณหน้าถ้ำ ชานเมืองด้านทิศเหนือ ของ พลูตรอนิค มีชายหนุ่มสีคนนั่งซุ่ม ดูลาดเลาอยู่ ท่ามกลางหิมะ ที่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ

    "เอาไงดีเวก้า บุกเข้าไปเลยมะ ไหนๆก็มาถึงที่แล้วนี่" ชายหนุ่มผมสีดำ ถือเคียวเล่มใหญ่สีแดงฉาน เอ่ยถาม ชายหนุ่มผมแดง ที่กำลังนั่งสูบบุหรี่อยู่

    "ไม่ได้นะเร็กซ์ คุณอาดิวบอกให้เรารอกำลังเสริมก่อน แล้วค่อยบุกเข้าไป เพราะจากข่าวที่ได้มา ศัตรูมีจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว" ชายหนุ่ม ผมสีขาว ในชุดเกราะสีขาว ที่ดูกลมกลืนกับหิมะที่ปกคลุมไปทั่วบริเวณเอ่ยทักท้วงไว้

    "แกจะรอให้หนาวตายก่อนรึไงฟะ อัลกรอส แกแหกตาดูดิ อุณหภูมิแถวนี้เย็นจัดขนาดไหน แล้วจะให้มานั่งรอ อีก มันต้องอะไรทำเพื่อให้ร่างกายอบอุ่นสิ" ชายหนุ่มเผ่า แวล์วูฟ เร็กซ์ เฮลไซท์ ย้อนกลับมา

    อัลกรอสยิ้มแบบเย้ยหยัน "ทำเป็นพูดดีไปจริงๆแล้วนายก็แค่ อยากจะอาละวาดจนทนรอไม่ใหวแล้วใช่ไหมล่ะ?"

    "ถ้าใช่แล้วจะทำไม?" เร็กซ์ตอบกลับพร้อมกับท่าทางที่กวนอวัยวะเบื้องต่ำเป็นที่สุด ราวกับจะเป็นการจุดชนวนการวิวาทกับคนตรงหน้า

    "แก 2 ตัวนี่ไม่ว่ากี่ปีผ่านไปอยู่ด้วยกันทีไรหาเรื่องกัดกันตลอด เลยจริงๆให้ตายสิ" ราโชม่อน เวก้า ถอนหายใจออกมาเล็กน้อย พร้อมกับดีดก้นบุหรี่ลงกับพื้น พลางหันหน้าไปถาม ชายหนุ่มในผ้าคลุมสีดำที่นั่งอยู่ข้างๆเขา

    "แล้วนายเอาไงดีล่ะ คาเซล?"

    "ยังไงก็ได้" ชายหนุ่มในผ้าคลุมสีดำ เอ่ยออกมาง่ายๆ ทำเอา เวก้า ถึงขั้นเกาหัวแกรกๆ

    "ชิ!! แต่ละคนเอาเข้าไป แก 2 คนไม่ต้องกัดกันแล้ว เอางี้ อัลกรอส แกบอกให้รอกำลังเสริม แกก็รออยู่ตรงนี้ไปละกัน ส่วนข้า กับ เร็กซ์ จะเข้าไปลุยข้างในเดี๋ยวนี้แหละ แล้วคาเซล แกเลือกทางไหนก็เรื่องของแก" เวก้า สรุปแบบไร้ความรับผิดชอบสุดๆ ทำเอา ชายหนุ่มอีก3คน ถึงกับพูดไม่ออกกับคำตอบของหมอหนุ่มผมแดงคนนี้

    แต่ก่อนที่ใครจะท้วงอะไร ราโชม่อน เวก้า ก็ ล้วงถุงมือสีน้ำเงินสด มาสวมทั้ง2ข้าง พร้อมเดินผ่าลมหนาวของ พลูตรอนิค มุ่งตรงไปยังถ้ำที่ได้รับการยืนยันข่าวว่าเป็นแหล่งซ่องสุม เจ้าพวกอัศวินเกราะดำที่ไร้ชีวิตจิตใจ แล้ว เธอคนนั้นที่ทุกคนรู้จักดีก็อยู่ที่นี่ด้วย

    เร็กซ์ เฮลไซท์ วางเคียวสีแดงขนาดใหญ่ของตนพาดบนบ่า พร้อมกับเดินตาม ชายหนุ่มในชุดคลุมสีขาวมุ่งหน้าไปทางถ้ำอีกคน ซึ่งก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ คาเซล คาซอฟ ราเฟีย สบัดมือขวาของเขาที่เป็นมือของปีศาจ ปรากฎ เป็นดาบยาวใหญ่มาก สีดำสนิท บริเวณด้ามจับเป็นลักษณะของกระดูกขามนุษย์ บริเวณตัวดาบมีคำสลักด้วยตัวอักษรที่อ่านไม่ออกแต่ให้ความรู้สึกน่าขนลุกแบบสุดๆ แล้วคาเซลก็เดินลาก ดาบเล่มนั้น มุ่งตรงไปยังถ้ำ

    อัลกรอส ที่มองเพื่อนๆ เขาทั้ง 3 คน บุกเข้าไปตรงๆอย่างบ้าระห่ำทั้งๆที่รู้ศัตรูเป็นอะไร และ มีจำนวนมากแค่ไหน ถ้าเป็นคนอื่นต้องคิดว่า 3 คนที่กำลังเดินไปหาที่ตายชัดๆ แต่ อัลกรอส รู้ดีว่าทั้ง 3 คนนั้นไม่ได้มีความคิดว่าจะพ่ายแพ้อยู่ในหัวซักนิดเลย ถ้าเป็นเวลาปกติแล้วล่ะก็เขาต้องห้ามเจ้าพวกนี้อย่างสุดกำลังแน่ๆ แต่สิ่งที่เวก้าขอไว้ ก่อนรับปาก ช่วยเหลือ เพื่อนผมแดงเลือดเดือด ของเขาในครั้งนี้ทำให้อัลกรอสได้แค่ ยืนมอง

    "จริงๆแล้ว เราเองอาจจะอิจฉาพวกนายที่สามารถทำในสิ่งที่อยากจะทำ โดยไม่ต้องไปยึดติดกับอะไรมากมายอย่างตัวเราเองก็ได้นะ" อัลกรอส แกรนดิส อาร์มีเดียส คิดในใจ พร้อมๆกับ ดึงดาบที่ยาวเกือบ 2 เมตร ที่เขาพกติดตัวไว้เสมอออกจากฝัก มันมีด้ามสีทอง ตัวดาบเป็นสีขาวส่องสว่างไปทั้งตัวดาบ เดินตามทั้ง 3 คนนั่นมุ่งตรงเข้าไปในถ้ำแห่งนั้น





    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~​




    ทั้ง 4 คนต่างเดินมาตามทางอย่างระมัดระวัง ถึงจะไม่มีใครบอก ทุกคนก็รู้สึกได้ ว่า หนทางมันกำลังทอดต่ำลงไปใต้ผืนดิน บรรยากาสอับชื้น อากาศถ่ายเทไม่สะดวก ทำให้ทุกคนหายใจกันไม่ค่อยสะดวกนัก ยังไม่รวมถึงอากาศที่หนาวเย็นราวกับเดินอยู่ในถ้ำน้ำแข็งไม่มีผิด ทั้งๆที่บริเวณโดยรอบก็เป็นก้อนหินหาใช่น้ำแข็งไม่ ทั้ง 4 คนมีความเห็นตรงกันว่า สถานที่แห่งนี้มันไม่เหมาะให้สิ่งมีชีวิตอยู่อาศัยอย่างยิ่ง

    ทุกคนเดินฝ่าความมืดมิดขอถ้ำที่ไร้แสงสว่าง โดยมี เร็กซ์ เป็นคนนำทาง เพราะเจ้าหมอนี่จะมีแสงสว่าง หรือ มืดสนิท ก็ไม่เป็นปัญหากับ แวล์วูฟ ที่มองเห็นในที่มืดได้อย่างชัดเจน อย่างเจ้าหมอนี่ซักเท่าไรนัก ทุกคนต่างเดินจนมาถึง ส่วนหนึ่งของถ้ำที่มีแสงสว่างลอดออกมา เป็นสัญญาณว่า เบื้องหน้าของพวกเขานี่แหละ คือ จุดหมายปลายทาง

    ทุกคนต่างย่างเท้าอย่างเงียบกริบตรงไปยังแสงสว่างตรงหน้า เพื่อดูลาดเลา สิ่งที่พวกเขาเห็นตรงหน้าพวกเขาโถงของถ้ำขนาดใหญ่มาก จากการคาดคะเนโดยสายตามันน่าจะ ใหญ่ได้ซักครึ่งหนึ่งของเมือง กรานาด้า เลยด้วยซ้ำ แต่มันก็ไม่น่าตกใจเท่ากับสิ่งที่ยืนกันเต็มพรืด กลางโถงถ้ำแห่งนั้นกองทัพ อัศวินในชุดเกราะสีดำจำนวนมหาศาล พร้อมด้วย สัตว์ประหลาดในนิทานตัวมหึมา ที่มีหัว และ ขา เป็นนก อินทรี แต่มี ตัวเป็นสิงโต `กรีฟอน` จำนวนอีกหลาย 100 ตัว

    ทั้ง 3 คนถูกเร็กซ์สะกิด พลางบุ้ยปากไปทางหนึ่งของถ้ำห่างจากพวกเขาพอสมควร ถ้าไม่สังเกตดีๆจะไม่เห็นซะด้วยซ้ำ ตรงนั้น มีกลุ่มคนในผ้าคลุมสีดำ 4 คน พร้อม อัศวินในชุดเกราะสีทองคนหนึ่ง ยืนอยู่

    " พวกมันกำลังคุยกันถึง จำนวนของ กรีฟอน ที่ไม่พอสำหรับการ ขนเจ้าพวกหุ่นเหล็กพวกนี้ไปถล่ม ริมุเน่ " เร็กซ์ด้วยเสียงอันดังไม่เกินกระซิบ

    "แวล์วูฟอย่างแกนี่หูดีเกินคาดเลยแฮะ ว่าแต่ว่าพวกมันจะ ไปบุกเมืองเล็กๆอย่าง ริมุเน่ ทำไมกันล่ะ ถ้าจะขยายอำนาจของสภานักบวชก็น่าจะเป็น รีเวเรีย ไม่ใช่หรือที่เป็นเป้าหมายหลัก" เวก้าตอบกลับมาด้วยเสียงดังไม่เกินกระซิบเช่นกัน

    ข้อสงสัยข้อนี้ ถูกตอบโดย อัลกรอส "เพราะกองกำลังแค่นี้มันไม่พอที่จะบุกรีเวเรียยังไงล่ะ แล้วอีกอย่างที่ ริมุเน่ จากข่าววงในว่ากันว่า ที่เมืองนั้นได้ผนึกอะไรบางอย่างที่มีพลังอำนาจมหาศาลไว้ด้านหลังของเมืองด้วย"

    คาเซล ที่เงียบอยู่นานเอ่ยขึ้นมาเป็นครั้งแรก "ท่าทาง เจ้าพวกนั้นจะรู้แล้วว่าสิ่งนั้นคืออะไร แล้ว เอาออกมาใช้ยังไงซะด้วยสิ ถึงได้เตรียม การขนาดนี้"

    ขณะที่กระซิบกันอยู่นั้น เองทุกคนต่างสังเกตได้ถึงสีหน้า ของเร็กซ์ ที่เปลี่ยนไปทันที

    "เร็กซ์ เกิดอะไรขึ้น?" เวก้าที่นั่นใกล้ที่สุดสะกิดเพื่อนครึ่งหมาป่าของเขา

    เร็กซ์พยายาม กระซิบด้วยเสียงที่บังคับไม่ให้สั่นอย่างเต็มที่ "พวกมันบอกว่า การที่อัญเชิญเจ้าพวกกรีฟอนไม่ได้ตามจำนวนที่ต้องการ เพราะพลังวิญญาณ ที่ใช้อัญเชิญไม่เพียงพอ ถึงจะได้เด็กที่มีสายเลีอดเดียวกับ ราชาแห่งชายน์ ในอดีต ทำให้นำเอาดาบและโล่ในตำนานของชายน์ ออกมาใช้ได้ แต่ความผิดพลาดคราวนั้น ทำให้เด็กลูกครึ่งหมาป่าที่มีพลังชีวิตเหลือเฟือ ที่สมควรจะต้องมาเป็น แหล่งพลังแหล่งใหญ่ในการเชิญหนีไปได้"

    จบประโยคทำให้พวกเขารู้ได้ทันที ว่าทำไม 8ปีก่อน หมู่บ้านของพวกเขาถึงถูกฆ่า ยกหมู่บ้าน และรู้ได้ทันที่ว่า ผู้ที่บงการให้เกิดเหตุการณ์ครั้งนั้นอยู่ตรงนั้นนี่เอง!!!

    " พวกมันเลยใช้พลังชีวิตของเด็กๆที่บริสุทธิ์ มาใช้เรียกเจ้าพวกกรีฟอนนี่แทน นี่หมายความว่า ไม่ได้มีแค่พวกเราเท่านั้นที่เจอเหตุการณ์อย่างนั้น ยังมีเด็กอีกหลายคนที่ต้องทรมาณ และ ตายไป " เร็กซ์กำหมัดแน่ กัดฟันกรอด พยายามกลบจิตสังหารของตนไม่ให้รุนแรงจนฝ่านตรงข้ามรู้ตัว

    แต่มันก็ช้าไปแล้ว อัศวินในชุดเกราะสีทองทั้งตัวซึ่งพวกเขาทั้ง 4 คน ว่าภายใต้ชุดเกราะนั้นคือใคร หันกลับมายังทิศทางที่พวกเขาซุ่มอยู่ทันที พริบตาเดียวนั้นเองที่จิตสังหาร และ จิตต่อสู้ จำนวนมหาศาลถูกปล่อยออกมาจากชายหนุ่มทั้ง 4 คน!

    "เร็กซ์ แก กวาดเจ้า ตัวอุบาทว์ มีปีกนั่นซะทั้งหมด แล้ว ฝ่า ไปช่วยคนที่ถูกจับมาเท่าที่เหลืออยู่ อัลกรอส คาเซล ข้าวานแก 2คน เปิดทาง แล้ว ถล่มเจ้าพวกหุ่นเสร็งเคร็งนี่ให้หมด ส่วนยายนั่น ขอข้าไปเคลียร์แบบ ตัวๆเถอะ" เวก้า เอ่ยด้วยน้ำเสียงแบบสะกดกลั้นอารมณ์อย่างเต็มที่

    เวลานี้ "มารร้ายเสื้อขาว" "มัจจุราชแห่งความมืด" "แสงเงาสีโลหิต" และ "ดาบแห่งคุณธรรม" กำลังพิโรธกันอย่างเต็มที่!!

    ก่อนที่ฝ่ายตรงข้ามจะได้ขยับตัวสั่งการอะไร อัศวินเกราะดำที่ยืนเต็ม โถงถ้ำแห่งนั้น นักฆ่ารับจ้างชุดดำที่ถูกเรียกว่าเป็น เทพมรณะ ชูดาบสีดำขนาดใหญ่ขึ้นเหนือศรีษะ พร้อมๆกับ อัศวินที่เพิ่งถูกแต่งตั้ง ในชุดเกราะสีขาวก็ชูดาบ เล่มไม่เล็กไปกว่าคนข้างๆเลยแม้แต่น้อย ขึ้นเหนือศรีษะเช่นกัน

    "วงแหวนแห่งความมืด!!!The Ring of Darknas" "คมหอกจันทรา!!! Lunatic Stab "

    เสียงชายหนุ่ม 2 คนตะโกนก้องพร้อมกับตวัดดาบ สีดำ และ ขาว ในมือของคนทั้งคู่ลง วงแหวนพลังของความมืดรูปจันทร์เสี้ยว และ คบดาบแห่งแสงสีนวลดุจแสงจากดวงจันทร์ พุ่งตรงเข้าทำลาย อัศวินเกราะดำตรงหน้าพินาศไปทั้งแถบ พร้อมๆที่คนทั้งคู่ พุ่งตรงเข้าใส่ กองทัพอัศวินเกราะดำที่ กรูกันเข้า หมายจะกำจัดผู้บุกรุก แต่ก็พวกมันราวกับใบไม้ที่ปลิดปลิว ลงจากต้นเวลาที่เจอลมพายุ อัศวินเกราะดำตัวแล้วตัวเล่าที่ถูกทำลาย จากนักฆ่ารับจ้างที่ถือดาบปีศาจสีดำ และ อัศวินแห่งแสง ที่ถือดาบของเหล่าเทพ เพียง 2 คนเท่านั้น!

    ชั่วพริบตาเดียวกัน เหล่ากรีฟอนที่กำลังจะแตกตื่นด้วยการโจมตีอย่างไม่คาดคิด หลายตัวไม่มีโอกาศแม้แต่จะขยับตัว หรือ กางปีกบิน มันก็กลายเป็นซากที่ไร้วิญญาณ โลหิตสีแดงสด จากเหล่ากรีฟอนสาดกระจายไปทั่วบริเวณ หลายๆตัวที่กางปีกบินขึ้นบนอากาศ มันก็ถูกเคียวสีแดงขนาดใหญ่ ลอยหมุนด้วยความเร็วพุ่งเข้าตัดหัว จนหลุดกระเด็นอกกจากที่ที่มันควรจะอยู่อย่างรวดเร็ว กลางฝูงกรีฟอน เวลานี้ มีมนุษย์หมาป่า ขนสีขาว ดวงตาสีทอง ถือเคียวสีแดงขนาดใหญ่ ที่บัดนี้ชุ่มไปด้วยเลือด กำลังไล่เข่นฆ่า เหล่าสัตว์ประหลาดที่หลุดออกมาจากนิทานก่อนนอน

    ซึ่งภาพในเวลานี้มันไม่ใช่การต่อสู้ แต่มันเป็นการ"สังหารหมู่" โดยคนเพียง 3 คนต่างหาก!!!





    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~​





    ราโชม่อน เวก้า ซึ่งไม่รู้ว่าเขามายืนประจันหน้ากับอัศวินในชุดเกราะสีทองที่มี กรีฟอน สีดำสนิทตัวใหญ่อยู่ข้างๆ ตั้งแต่เมื่อไร บัดนี้ เหล่าคนในผ้าคลุมสีดำได้หายไปหมด ทำให้บริเวณนั้น เหลือเพียง แค่เขา กับเธอในชุดเกราะสีทอง พร้อมกับ ดาบและโล่ ที่ว่ากันว่า เป็นของในตำนาน แห่งชายน์ เท่านั้นเอง

    กรีฟอนสีดำตัวนั้นกางปีก พุ่งถลาเข้าใส่ หมอชุดขาวผมสีแดงแทบจะในทันที ที่เขามายืนตรงหน้าเจ้านายมัน แต่หัวขนาดใหญ่ของมันก็ต้องสะบัดราวกับโดนฆ้อนยักษ์ ฟาดเข้าเต็มเหนี่ยว ด้วยมือเล็กๆสวมถุงมือที่สีน้ำเงินสด ที่ต่อยเข้าบริเวณด้านข้างของหัวมัน หลังจากขยับตัวหลบการโจมตี จากเจ้ากรีฟอนสีดำตัวนี้ เป็นผลให้มันเซถลา ลงไปนอนแน่นิ่ง วิญญาณออกจากร่างตามพวกของมันที่โดน `เร็กซ์ เฮลไซท์` ส่งล่วงหน้าไปรอที่โลกโน้นแล้ว

    "อานิรอน ชั้นขอถามเธอง่ายๆ ว่าทั้งๆที่รู้ว่ามันเป็นอย่างนี้ ทำไมเธอถึงเลือกที่จะเดินเส้นทางที่เต็มไปด้วยการทำลายล้างเช่นนี้" ราโชม่อน เวก้า เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบ

    อัศวินเกราะสีทองที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา ค่อยๆถอดหมวกเกราะออก เผยให้เห็น หญิงสาว ผมตรงยาวประไหล่สีน้ำตาลออกแดง ดวงตากลมโตสีน้ำตาล แววตาคู่นั้นมันยังคง เย็นชาไร้อารมณ์ ราวกับน้ำแข็ง เช่นเดียวกับที่เขาเห็นที่ป่าอัสร่า

    "ชั้นมีทางเลือกด้วยหรือเวก้า? ชั้นซึ่งไร้กำลังมีทางเลือกด้วยหรือ? แต่เวลานี้มันไม่ใช่แล้ว ซั้นซึ่งมีพลัง สามารถควบคุมได้ทุกอย่าง ถึงจะเป็นพวกนาย 4 คนก็ไม่มีทางมาขวางทางชั้นได้ ผู้ได้รับคำบัญชาจากพระเจ้าได้ ตรงนี้ไม่มี อานิรอน ที่นายรู้จักแล้ว"

    "มีเพียง `แกรนครูเซเดอร์ อานิรอน ไอชา มิรันเดน` ผู้สืบสายเลือดราชวงค์แห่งชายน์ นักรบผู้รับใช้พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น" เสียงอันเย็นชาถูกเอ่ยขึ้นเป็นครั้งแรกหลังจากไม่ได้พบกันเป็นเวลานาน

    "แม้ว่าคำบัญชาของพระเจ้าของเธอนั้น คือการทำลายล้าง การสังเวยผู้บริสุทธิ์ อย่างนั้นหรืออานิรอน?" ราโชม่อน เวก้า เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย เช่นเดิม

    อานิรอนยิ้มอย่างเย็นชา "ใช่แล้ว โลกใบนี้มันโสมมจนเกินไปแล้ว ต้องการทำการชำระล้างกวาดล้างสิ่งที่ชั่วร้ายออกไป บางครั้งการทำการใหญ่ต้องมีผู้เสียสละกันบ้าง"

    "ฝากไปบอกพระเจ้าของเธอด้วยนะว่า เป็นพระเจ้าก็อยู่ส่วนพระเจ้าบนสวรรค์ไปซะ อย่ามายุ่งวุ่นวายบนโลกมนุษย์อันโสมมนี่เลย ถึงโลกใบนี้มันจะไม่สะอาดงดงามเหมือนในคัมภีร์คำสอนก็จริง แต่หลายคนก็พยายามใช้ชีวิต ต่อสู้กับชะตากรรมของตนเองอย่างเต็มที่ ต่อให้เป็นพระเจ้าก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปเหยียบย่ำทำลาย ความเพียรพยายามของผู้คนเหล่านั้น"

    "ถ้าสิ่งที่เธอทำคือคำบัญชาของพระเจ้าแล้วล่ะ เพื่อปกป้องผู้คนที่ชั้นอยากจะปกป้องแล้วล่ะก็ ชั้นยอมที่จะเป็นมารร้าย ที่จะหยุดตัวแทนของพระเจ้าอย่างเธอ ด้วยทุกอย่างที่ชั้นมี" เวก้าเอ่ยพร้อมกับจิตการต่อสู้ที่ห่อหุ้มไปทั่วร่างกาย มันเป็นแสงสลัวๆสีน้ำเงิน ให้ความรู้สึกเย็นยะเยือก น่าสะพรึงกลัว ดุจดวงไฟแห่งปีศาจ บัดนี้"มารร้ายในชุดขาว"ยืนอยู่ตรงหน้า อานิรอนแล้ว

    "งั้นชั้นก็ต้องสังหารมารร้าย ที่ขวางทางแห่งพระผู้เป็นเจ้าสินะ" น้ำเสียงเย็นชาของอานิรอนถูกเอ่ยขึ้น พร้อมๆกับดาบและโล่ในมือของเธอ เปล่งแสงเจิดจ้า ปลดปล่อยพลังอันมหาศาลจนแผ่นดินสั่นสะเทือนไปทั่วบริเวณ

    พริบตา ร่างในชุดเกราะสีทองของอานิรอน ก็พุ่งเข้าหาอย่างรวดเร็วพร้อมๆกับตวัดดาบสีทองในมือเข้าใส่ ราโชม่อน เวก้า อย่างรวดเร็วและรุนแรง หมอผมแดงรู้ดีว่า ถ้าเขาเกิดรับการโจมตีตรงๆแล้วล่ะก้ สิ่งเดียวที่รอเขาอยู่คือความตายแน่นอน

    เวก้า เบี่ยงตัวหลบได้อย่างฉิวเฉียดพร้อมๆกับ ก้าวเท้าเข้าประชิดตัว ต่อยเข้าใส่ร่างในชุดเกราะสีทองนั้น แต่มันไม่ง่ายอย่างที่เขาคิดโล่ในมืออีกข้างถูกยกขึ้นมากัน แต่เหมือนหมอผมแดงจะรู้ล่วงหน้าอยู่แล่ว เขาชะงักหมัดของตน บิดลำตัวเตะเข้าบริเวณชายโครง เป็นผลให้ หญิงสาวผมน้ำตาลในชุดเกราะสีทองกระเด็นออกไปไกลพอสมควร หมอหนุ่มผมแดงไม่รอช้าพุ่งเข้าใส่ทันที

    แต่อานิรอน สบัดดาบในมือเธอ ปล่อยคลื่นพลังเข้าใส่ ในจังหวะที่เวก้าเกือบจะถึงตัวเธอยู่แล้ว กลายเป็นว่า เวก้าพุ่งเข้าหาคลื่นพลังที่จะกระชากวิญญาณของเขาออกจาร่างด้วยตัวเขาเองเสียนี่ ในชั่ววินาทีดับจิตนี้เอง ราโชม่อน เวก้า เลือกที่จะกระทืบเท้าสุดแรง เพื่อจะดีดตัวเองให้พ้นคลื่นพลังนั่น

    แต่ด้วยเวลาที่กระชั้นชิดจนเกินไปทำให้หมอหนุ่มผมแดง ไม่สามารถหลบคลื่นพลังได้ทั้งหมด ถึงจะโดนเฉียดๆก็ส่งผลให้ ร่างของหมอหนุ่ม ลอยเคว้งไปกระแทกผนังถ้ำ ยังไม่ทันที่ร่าง เวก้า ลงแตะพื้น หญิงสาวในชุดเกราะสีทอง ก็พุ่งเข้ามารอพร้อมง้างดาบสีทองในมือเธอ ที่เวลานี้มันเปล่งแสงเจิดจ้าจนแสบตา

    ราโชม่อน เวก้า รู้ดีว่าคู่ต่อสู้ของเขานั้นหมายจะจบภายในการโจมตีครั้งนี้ ถึงจะโดนเฉียดๆคราวนี้เขาก็ไม่น่าจะรอดเหมือนเมื่อกี้ เวก้า เลือกที่เสี่ยงดวง พุ่งเข้าประชิดตัวในจังหวะที่อานิรอนกำลังจะสบัดดาบปลดปล่อยพลัง ด้วยความเร็งสูงสุดเท่าที่เขาจะทำได้ พร้อมๆเหวี่ยงขาเตะเข้ามือข้างที่เธอถือดาบสุดแรงเกิด

    ราวกับว่านรกยังไม่ต้องการตัวป่วน อย่างหมอหนุ่มผมแดงคนนี้ เสี้ยววินาทีที่พลังมหาศาลกำลังจะถูกปลดปล่อยออกจากดาบสีทองในมืออานิรอน ที่มีชื่อว่า "เอ็กคาริเบอร์" ดาบในตำนานของเมืองชายน์ เป็นผลทำให้ดาบเล่มนั้นหลุดออกจากมือของ หญิงสาวในชุดเกราะสีทอง พลังทำลายที่อัดแน่นอยู่ในดาบเล่มนั้น ถูกปล่อยออกมาอย่างไร้การควบคุมส่งผมให็ถ้ำบริเวณนั้น ถล่มลงมา

    เศษหิน ฝุ่นควันปลิวพุ่งไปทั่ว ราโชม่อนไม่ปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดลอย พุ่งหา อานิรอนที่ไร้อาวุธในมือ มือขวาของหมอหนุ่มผมกำหมัดแน่น พร้อมกับเปล่งแสงสีดำห่อหุ้มถุงมือสีน้ำเงินสด

    "วิชาหมัดอาคมดำ ราชันย์ปีศาจสังหาร!!!"

    ราโชม่อน เวก้า ต่อยเข้าใส่หญิงสาวในชุดเกราะสีทองอย่างรุนแรง แต่การโจมตีหาได้แตะต้องตัวเธอมัน โล่สีฟ้า ขลิบด้วยเส้นสีทองเป็นลวดลายปีกของนางฟ้า ที่ถูกเรียกขานว่า "แองเจอลิคชิล" ถูกยกขึ้นมากันการโจมตีของหมดหมุ่มผมแดง

    จู่ๆสถาณการณ์ก็กลับตาลปัดทันที ไม่เพียงแต่การโจมตีอย่างสุดกำลังครั้งนี้ของ ราโชม่อน เวก้า ไม่ได้ส่งผลอะไรกับ อานิรอน เลยแม้แต่น้อย ตรงข้าม หมอผมแดงรู้สึกได้ทันทีที่หมัดของเขาแตะกับตัวโล่ พลังทำลายที่ควรจะถูกส่งไปยังตัวโล่ มันย้อนกลับทำร้ายเขาทั้งหมด!!

    ตูม!!!

    ร่างในเสื้อคลุมสีขาว ลอยละลิ่วไปกระแทกผนังถ้ำอย่างรุนแรงอีกครั้ง ราโชม่อน เวก้า ร่วงลงมากระแทกกับพื้นดั่งนกที่ปีกหัก ตกลงมาจากท้องนภา "ดาบก็พลังสูงจนขี้โกงแล้ว ยังมีโล่ที่สะท้อนการโจมตีได้อีก ของในตำนานนี่โกงดีชะมัด" หมอหนุ่มผมแดงเอ่ยในใจขณะสติเลือนลางเต็มทน

    "นี่เจ้าหลานชายข้าจะบอกอะไรให้ ถุงมือคู่นี้มันมีชื่อว่า `ชูรัม` ถูกทอขึ้นจากเส้นใยโฮริฮารูก้อนสีน้ำเงิน ด้วยฝีมือของช่างทอผ้าชั้นสูง" ภาพในตอนที่เขาได้รับถุงมือสีน้ำเงินสำคู่นี้ลอยเข้ามาในหัว แล้วเสียงของ คุณตาของเขาที่พูดถึงถุงมือคู่นี้จู่ๆก็ไม่มีเสียง อาจเป็นเพราะเขาไม่ได้ตั้งใจฟังด้วยล่ะมั๊งเลยนึงคำพูดช่วงนี้ไม่ออก

    "ถ้าแกเจอพวกอาวุธชั้นสูง ระดับพวกของในตำนานแล้วล่ะก็ไม่ต้องไปกลัว เพราะถุงมือคู่นี้ก็เป็น ส่วนหนึ่งของตำนานเช่นกัน อย่าไปหวาดกลัวหรือสิ้นหวัง จำเอาไว้ในโลกใบนี้ไม่มีอะไรที่สมบูรณ์แบบ ไม่มีขีดจำกัดของมัน เพียงแต่มันจะมากแค่ไหนก็เท่านั้นเอง และ ไม่มีอะไรที่จิตใจอันมุ่งมั่นเอาชนะไม่ได้" คำพูดสุดท้ายของอาจารย์เขาที่ดังขึ้นมาอีกครั้ง

    "มันง่ายเหมือนพูดมันก็ดีน่ะสิคุณตา หลานของท่านกำลังจะไปเที่ยวโลกหน้าอยู่รอมร่อ" เวก้าพึมพัมกับตัวเองพลางกันฟันฝืนยืนขึ้นมาอีกครั้ง ก็พบว่าบัดนี้คู่ต่อสู้ของเขา หยิบดาบของเธอขึ้นมา พร้อมๆกับพุ่งเข้าใส่เขา

    ราโชม่อนเวก้า พยายามหลบ แต่สังขารในตอนนี้มันไม่เป็นใจเอาซะเลย ดาบในมือของอานิรอน เสียบทะลุบริเวณไหล่ซ้าย เหนือหัวใจไปนิดเดียว ทำเอาหมอหนุ่มผมแดงสะดุ้งเฮือก! ด้วยความเจ็บปวด แต่ก็ทำให้สติที่กำลังจะหลุดลอยอยู่แล้ว กลับคืนมาอีกครั้ง

    เวลานี้ใบนี้ใบหน้าของเวก้า และ อานิรอน ห่างกันไม่ถึงคืบ "หึๆ ยิ่งโตยิ่งสวยนะเธอเนี่ย อานิรอน ดูยังเธอก็ไม่เหมาะกับการใส่เกราะหนัก เทอะทะเป็นตู้เย็นแบบนี้เลยให้ตายสิ"

    "ทำไมเธอถึงไม่ซัดคลื่นพลังเข้าใส่ชั้นเหมือนทุกทีล่ะ อานิรอน รึเธออยากจะเห็นเลือดสาดกระเซ็น เหมือนอย่างเจ้าครึ่งหมาโรคจิตเร็กซ์ แต่ชั้นว่ามันไม่ใช่หรอกนะ"

    "คำตอบมีเพียงอย่างเดียว เพราะเธอใช้พลังจิตจนหมดแล้วยังไงล่ะ จึงทำให้เธอต้องพุ่งเข้าโจมตีชั้นด้วยดาบอย่างนี้ หึๆ" ราโชม่อน เวก้าถามเองตอบเอง แล้วก็หัวเราะเหมือนคนสติไม่เต็ม

    ทั้งๆที่ยังไงก็ดูหมอหนุ่มผมแดงไม่มีทางเอาชนะ หญิงสาวในชุดเกราะสีทองได้เลย แต่สันชาตญาณจากส่วนลึกมันร่ำร้องให้เธอรีบกระชากดาบแล้วถอยห่างจาก ศัตรูตรงหน้าให้เร็วที่สุด แต่เธอไม่อาจทำได้อย่างที่คิด เพราะมือซ้ายของ ราโชม่อน เวก้า บัดนี้มันกำใบดาบสีทองที่เสียบทะลุร่างของเขาไว้แน่น ชนิดที่ว่าถ้าไม่มีถุงมือที่ทอจากวัสดุชนิดเดียวกันแล้วล่ะก็ ป่านนี้ มือของหมอหนุ่มคนนี้คงจะขาดวิ่นไปแล้วล่ะ

    "อานิรอน เธอพลาดแล้วล่ะที่เข้ามาประชิดตัวคนบ้าอย่างชั้น หึๆ" เวก้าหัวเราะเหมือนคนจิตหลุด ทำเอา อานิรอนถึงกับตกใจไปชั่วพริบตา
    ทีเดียว ถึงจะเป็นชั่วพริบตาที่หญิงสาวในชุดเกราะสีทองตกใจ มันก็เพียงพอแล้วล่ะ ราโชม่อน เวก้า กัดฟันฝืนความเจ็บปวดที่บริเวณไหล่ซ้าย อย่างเต็มที่ เตะเข้าที่บริเวณข้อมือข้างที่ถือโล่แองเจอลิคซิล อย่างจัง ถึงจะสวมเกราะอยู่ แต่แรงกระแทก ที่ถูกเล็งเข้าจุดเปราะของมือ เป็นผล ให้โล่ในตำนานอันนั้น หลุดจากมือ หญิงสาวผมสีน้ำตาลทันที

    "ขอโทษ นะครับคุณตา ที่ผมฝ่าฝืนข้อห้ามอีกแล้ว ครั้งนี้ถ้าเธอไม่ร่วง ชั้นก็ตายล่ะเฟ้ย!" วินาทีนั้นเอง ราโชม่อน เวก้า ได้เอาชีวิตตัวเองวางเดิมพัน กับผลแพ้ชนะครั้งนี้ ด้วยการใครใช้วิชาที่ อาจารย์เขาสั่งห้ามนักห้ามหนาว่าห้ามใช้ถ้าไม่ถึงที่สุดจริงๆ

    "พิภพ! สวรรค์! โลกันต์! ข้าแต่ เจ้าทั้งโลกทั้ง 3 ข้าขออัญเชิญ พวกท่านมาสถิตยังแขนขวาของข้า โดยข้าจะจ่ายชีวิตตนเองเป็นเครื่องเซ่นสังเวย!!!"

    "เคล็ดต้องห้ามวิชาหมัดอาคมดำ ราชา! เทวา! อสุรา! ล่าสังหาร!!!!"


    พลังจิต พลังชีวิตที่เหลืออยู่ทั้งหมดของ ราโชม่อน เวก้า ถูกรวมไว้ที่แขนขวาของเขา ที่บัดนี้มันมีคลื่นพลังสีขาวสว่างจ้า ปกคลุมอยู่ อานิรอน ที่กำลังจะปล่อยมือออกจากดาบของเธอแล้วหลบการโจมที่ที่ใช้ชีวิตตัวเองเป็นเดิมพันครั้งนี้ของเวก้า แต่ทุกอย่างมันช้าไปแล้ว เพราะหมัดของเวก้า ต่อยแข้ากลางสำตัวที่สวมเกราะหนักสีทองของ หญิงสาวผมสีน้ำตาล พริบตานั้นเอง เกราะสีทองชุดนั้น ไม่สามารถ รับแรงปะทะอันมหาศาล ของการต่อยครั้งนี้ของเวก้าได้ แตกละเอียด พร้อมกับร่างของหญิงสาวที่ลอยเคว้งไปกระแทกผนังถ้ำ ลงมานอนนิ่งกับพื้น สติหลุดลอยออกจากร่างทันที




    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~​




    หญิงสาวรู้สึกตัวอีกทีก็พบว่าตัวเอง อยู่บนเตียง ในห้องที่บรรยากาศที่แสนจะคุ้นเคย ขณะที่กำลังสับสน อยู่นั่นเอง ประตูห้องก็ถูกเปิดออก ทำให้ หญิงสาวผมสีน้ำตาล ดีดตัวเองลุกขึ้นจากเตียงไปยืนอยู่มุมห้อง แต่เมื่อเห็นคนที่เดินเข้ามาในห้อง เธอถึงกับทรุดลงกับพื้นแล้วพึมพัมออกมา "คุณฟัฟฟิริเซีย" ตรงหน้าเธอคือภาพของผู้หญิงที่เปรียบเสมือน `แม่` ของเธอ แต่ภาพนั้นจู่ๆก็พร่ามัว ด้วยน้ำตาที่น่าจะเหือดแห้งไปจากดวงตาของเธอไปแล้ว บัดนี้มันกลับไหลนองเต็มใบหน้าของหญิงสาว

    ผู้หญิงในชุดจอมเวทขาวที่เดินเข้ามาในห้อง ค่อยๆเดินเข้าไปโอบกอด หญิงสาวผมสีน้ำตาลที่บัดนี้กำลังร้องให้สะอึกสะอื้น ราวกับว่าเธอกลับไปเป็นเด็กหญิงตัวเล็กๆอีกครั้ง ความเจ็บปวดต่างๆที่เธอเก็บกดไว้ในส่วนลึกที่สุดของจิตใจ ซึ่งเธอเธอน่าจะลืมเลือนมันไปแล้ว เวลาที่มันกลับพรั่งพรูออกมาพร้อมกับน้ำตา

    ไม่รู้ว่าเธอร้องให้จนหลับไปตั้งแต่เมื่อไร แต่รู้สึกตัวอีกที ก็พบว่า ตอนนี้แสงแดดยามเย็นได้ย้อม ทุกอย่างให้เป็นสีส้มไปหมด เธอกวาดสายตาไปก็พบ ชายหนุ่ม 4 คนกำลังบ้างนั่ง บ้างยืนกำลังคุยกันอยู่ในห้อง ซึ่งในสมัยเด็กเวลาที่เธอไม่สบายถึงขั้นต้องนอนซม เวลาเธอพื้นไข้ขึ้นมาก็จะพบ บรรยากาศเช่นนี้ทุกครั้ง

    "ฟื้นแล้วรึ เจ้าหญิง? เป็นไงฝันดีรึเปล่า?" ชายหนุ่มผมแดง ที่ตอนนี้มีผ้าพันแผลเต็มตัวไปหมดกล่าวยิ้มแล้วกล่าวทักทาย พร้อมกับเดินมานั่งลงที่ปลายเตียง

    หญิงสาวผมน้ำตาลเห็นสภาพของชายหนุ่มตรงหน้าถึงกับสีหน้าสลดลงไปทันที ห้องตกอยู่ในความเงียบงัน "ทำไมนายต้องช่วยไว้ด้วยละเวก้า ทั้งที่ชั้นเกือบจะฆ่านายแล้วแท้ๆ ซ้ำยังทำให้นายบาดเจ็บขนาดนี้" อานิรอนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นๆ

    ชายหนุ่มที่โดนตั้งคำถาม ถึงกับหันไปมองเพื่อนๆของเขาอีก 3 คนเหมือนจะหาตัวช่วยจากคำถามที่ตอบยากเป็นบ้า คำถามนี้ แต่ไม่มีใครสบตาเขาซักคน สุดท้าย ราโชม่อน เวก้า ก็เกาหัวแกรกๆ พลางนั่งนึกอยู่ซักพัก แล้วตอบออกมาว่า

    "ก็แค่อยากจะช่วยไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น การจะช่วยใครซักคนบางครั้งมันก็ไม่มีเหตุผลอะไรมากมายหรอกนะอานิรอน"

    คำตอบง่ายๆ แต่ทำเอาอีก 3 หนุ่มถึงขั้นอมยิ้มกับการตอบแบบแถเถือกของ หมอผมแดงคนนี้

    "นี่ อานิรอน เธอบอกชั้นว่าเธอไม่มีทางเลือกใช่ไหม?" เวก้าวางดาบและโล่ ที่เก็บมาจากถ้ำแห่งนั้นวางลงตรงหน้าอานิรอน พร้อมๆกับ ชุดคลุมสีขาวขลิบขอบด้วยลายสามเหลี่ยมสีแดง อันเป็นเครื่องแบบของ จอมเวทย์ขาว และไม้เท้าที่เหล่าจอมเวทย์ใช้กัน

    "พวกชั้นเอาทางเลือกมาให้เธอเลือกแนะ ตอนนี้เธอมีโอกาสที่จะเลือกทางเดินแล้วล่ะ"

    อานิรอนมองหน้าเพื่อนวัยเด็กของเธอทีละคน ทีละคน "เวก้า? เร็กซ์? อัลกรอส? คาเซล? ชั้นเลือกได้จริงๆเหรอ?"

    ทุกคนต่างยิ้มให้หญิงสาวผมสีน้ำตาล

    "ขอบคุณมากนะทุกคน" อาริรอนหยิบเสื้อคลุมสีขาวตัวนั้นขึ้นมากอดไว้แน่นน้ำตาคลอ

    ราโชม่อน อาดิว กลับมาบ้านหลังจากไม่ได้กลับมา 3 วันเพราะต้องตามเคลียร์หลายๆเรื่อง กว่าจะเสร็จแล้วกลับบ้านได้ เมื่อกลับมาถึงบ้านของตนก็ต้องประหลาดใจ เพราะที่บ้านของเขาวันนี้ดูครึกครื้น ผิดจากปกติอยู่พอสมควร พอเข้ามาด้านในทุกคนต่างรอเขาเพื่อทางอาหารเย็นอยู่ ซึ่งวันนี้ไม่ได้มีเพียงภรรยาของเขาที่มานั่งทางอาหารเหมือนทุกครั้ง แต่กลับมี ชายหนุ่มและ หญิงสาวร่วมทางอาหารด้วย

    นานแล้วจริงๆที่ตัวเขาไม่ได้เจอกับสิ่งเหล่านี้ บรรยากาศความอบอุ่น ถึงแม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ เพราะเขารู้ดีว่า แต่ละคนต่างก็มีทางเดินที่ต้องเดินไป และชะตากรรมที่ต้องเผชิญ แต่ช่วงเวลาเหล่านี้แหละที่จะเป็น กำลังใจ เวลาที่ท้อแท้ พวกเขาทุกคนก็รู้ว่าพวกเขายังมีเพื่อนฝูงที่พึ่งพาได้ ยังมีบ้านให้กลับ ยังมีคนที่เป็นห่วงพวกเขาอยู่ ถึงจะไม่ได้เกี่ยวข้องกันทางสายเลือด แต่ทุกคนที่นั่งร่วมรับประทานอาหารอยู่ตรงนี้ ทั้งเขา และ ฟัฟฟิริเซีย ต่างห่วงใยเหมือนลูกชาย และ ลูกสาว

    ขณะที่นั่งทานอาหารอยู่นั่นเอง เวก้าก็สะกิด บิดาของตน "เป็นไงป๋า ฝีมือๆ ถึงจะเจ็บตัวไปนิดก็ถือว่าคุ้ม" ราโชม่อน อาดิว ขยี้หัวลุกชายผมแดงสุดห่ามของเขาอย่างเอ็นดู





    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~​






    ความรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างเข้ามาใกล้ ปลุกราโชม่อน เวก้าให้ตื่นจากห้วงความคิด เมื่อมองไปยังต้นเสียงก็พบว่า เร็กซ์ นั่นเอง พร้อมกับผู้มาเยือนเพิ่มอีก 2 คน

    "เฮ้ย นี่มันวันรวมญาติรึไงฟะนี่ ถึงแห่มาอยู่นี่กันหมด อัลกรอส คาเซล?"

    ชายหนุ่มในชุดสีดำคลุมทั้งตัวหัวเราะเหอะๆ "ก็อัลกรอสน่ะสิ จู่ๆไปตามหาตัวชั้น บอกว่าได้ข่าวว่า นายกับเร็กซ์ รวมตัวกันหายเข้ามาในป่านี่ สงสัยจะกลัวนาย 2คนแอบไป ทำอะไรมันส์ๆ แล้วไม่ชวน"

    "นายก็พูดไปคาเซล ชั้นแค่ระแวงกลับว่า นาย 2 คนจะทำอะไรที่ไม่ดีต่างหาก" อัลกรอสรีบแก้ตัวทันที

    "แกเลิกทำตัวเป็นผู้พิทักษ์คุณธรรมกับพวกข้า ซะทีเหอะ ก็รู้ๆกันอยู่ พวกข้ามันพวกชอบแหกกฎทำอะไรตามใจฉัน เอาหูไปนา เอาตาไปไร่หน่อยไม่ได้รึไงฟะ เจ้าไม้บรรทัด" เวก้าเหน็บสวนไปทันควัน

    "พวกนายไปที่บ้านชั้นก่อนเถอะ แล้วชั้นจะเล่าเหตุผลที่ชั้นต้องตามเวก้ามาให้ฟัง" เร็กซ์พูดจบเดินนำหน้าตรงไปยังกระท่อมหลังน้อยของเขาทันที

    แล้วทุกคนก็มีนั่งรวมกันอยู่บนโต๊ะฟังถึงสาเหตุ ที่เวก้าโดนตามตัวมาที่นี่ หลังจากฟังจบคาเซลถึงกับหลุดมาดนิ่งหัวเราะออกมาทีเดียว ส่วนอัลกรอสมองหน้าเวก้า ด้วยสายตาไม่ไว้ใจ

    "วิธีรักษามันก็ไม่ยาก นี่แกไม่ต้องมองข้าอย่างนั้นเลยนะเฟ้ย อัลกรอส นี่จริงจังนะเฟ้ยดูหน้าๆ" เวก้าเอ่ยพลางรินเหล้าใส่แก้ว

    "มันน่าไว้ใจที่ไหนเล่า มีอย่างที่ไหนวิธีการรักษา ลามกอย่างนั้น" อัลกรอสรับแก้วจากเวก้ามาดื่ม

    "บ๊ะ! เจ้านี่!ไปถามอาจารย์ตูเลยไป ถ้าหาแกเจออ่ะนะ" เวก้า รินเหล้าแล้วส่งให้ คาเซล อีกคน

    คาเซลเอ่ยขึ้นขนาดรับแก้ว "แต่วิธีการรักษามัน ออกจะประหลาดไปหน่อยๆจริงๆ นะวิธีการอย่างนี้น่ะ"

    แล้วทั้ง 4 หนุ่ม ต่างคุยกันถึงเรื่องวิธีการรักษาอย่างออกรส โดยที่ไม่รู้ว่า มีสาวน้อยอีกคนแอบฟังอยู่



    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~​





    หลังจากดื่มอย่างเต็มคราบ เพราะไม่ได้อยู่กันพร้อมหน้ามานาน เวก้า อัลกรอส และ คาเซล ต่างเมาพับ อยู่แถวๆโต๊ะนั่นแหละ เหลือเพียงแต่เร็กซ์ ที่ยัง ไม่รู้สึกอะไรนัก เพราะด้วยความเป็นห่วง "อาเรีย" ทำให้เขาดื่มไม่ค่อยลงนัก เร็กซ์ค่อยๆ เดินขึ้นไปด้านเพื่อกลับห้องนอนของตน แต่ก็อดไม่ได้ที่จะแวะไปดูอาการของสาวน้อยสีทองอ่อนนัยน์ตา2สี

    เมื่อเข้ามาในห้องก็พบว่า อาเรีย นั่งอยู่บนเตียง เหม่อมองท้องฟ้ายามค่ำคืนนอกหน้าต่าง ครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ เร็กซ์แกล้งเคาะประตูเพื่อปลุกสาวน้อยจากภวังแล้วเดินเข้าไปนั่งบนเตียงข้างๆเธอ

    "ยังไม่นอนอีกหรอ อาเรีย?"

    "คือวันนี้หนูนอนมาทังวันแล้วเลยนอนไม่หลับน่ะค่ะ พี่เร็กซ์"สาวน้อยก้มหน้าตอบไม่กล้าสบตาชายหนุ่มตรงหน้าเธอซักเท่าใดนัก

    เร็กซ์เห็นอาการของสาวน้อย ผิดปกติไปจึงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง "ไม่สบายตรงใหนหรือเปล่าอาเรีย ถึงไม่มองหน้าพี่เลย เดี๋ยวพี่จะไปปลุกเวก้าขึ้นมาดูอาการให้นะ"

    เร็กซ์ที่ทำท่ากำลังจะลุกขึ้นจากเตียง ถูกมือเล็กๆของสาวน้อยที่ก้มหน้าดึงชายเสื้อไว้ "มะ มะไม่ต้องหรอกค่ะพี่เร็กซ์"

    "งั้นก็เงยหน้ามองพี่สิ อาเรีย มีอะไรไม่สบายใจงั้นหรือ? บอกพี่ได้นะพี่จะช่วยเอง" เร็กซ์ เอ่ยกับสาวน้อยตรงหน้าเขาอย่างอ่อนโยน

    สาวน้อยกำผ้าปูที่นอนแน่นแล้วรวบรวมความกล้า บอกกับชายหนุ่มตรงหน้าตัวเอง "คือหนูได้ยินเรื่องที่พวกพี่ๆคุยกันด้านล่างหมดแล้วน่ะค่ะ"

    ประโยคนี้ทำเอาเร็กซ์ถึงกับอึ้งพูดอะไรไม่ออก ลิ้นพันกันขึ้นมากระทันหัน "คะ คะ คือ อะ อืม.. จะ "

    อาเรียเงยหน้าของเธอมองหน้าชายหนุ่มตรงหน้า ถึงแสงไฟจากตะเกียงที่จุดอยู่ในห้องเธอจะไม่สว่างนัก แต่ก็บังใบหน้าที่แดงก่ำไปด้วยเลือดฟาดไม่มิด "ถ้าเป็นพี่เร็กซ์ หนูก็ไม่รังเกียจหรอกนะคะ"

    1 ในเทพมรณะอย่าง เร็กซ์ เฮลไซท์ ถึงกับผงะตกจากเตียงเลยทีเดียว "เดี๋ยวๆ อาเรีย เธอเข้าใจความหมายของมันหรือเปล่าน่ะ" เร็กซ์เอ่ยออกมาอย่างร้อนรน ไม่ว่าเผชิญกับอะไรไม่เคยทำให้เขาเหวอถึงขั้นทำอะไรไม่ถูกขนาดนี้มาก่อนเลย

    สาวน้อยก้มหน้าซ่อนความอาย "เข้าใจสิคะ รึว่าพี่เร็กซ์รังเกียจหนู" ท้ายประโยคสาวน้อยเงยหน้ามองเร็กซ์น้ำตาคลอ

    เร็กซ์เอานิ้วของตนเช็ดน้ำตาของสาวน้อยอย่างแผ่วเบา "ใครจะรังเกียจกันล่ะ พี่รักเธอนะอาเรีย" แล้วเร็กซ์ก็ค่อยๆโน้มตัวลง บรรจงจูบสาวน้อยตรงหน้าเขาอย่างอ่อนโยน


    ภายในห้องจะเป็นเช่นไรต่อไม่มีใครรู้ แต่ด้านนอกห้องเวลานี้ มีชายหนุ่ม 2 คนยืนแอบฟังการสนทนาของหนุ่มสาวภายในห้องอยู่

    "แม่ม ให้ลุ้นซะตั้งนาน เพื่อนเรานี่ก็ทึ่มใช้ได้เลยนะนี่ เอาล่ะไปกินเหล้ากันต่อเถอะคาเซล ทุกอย่างลงตัวแล้วนี่" เวก้าตบบ่าเพื่อนเขาแล้วพากันเดินไปโต๊ะด้านล่าง ที่อัลกรอสนอนฟุบอยู่





    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~​




    ณ ทางเดินปราสาทเจ้าเมืองรีเวเรีย

    มีเด็กสาวคนหนึ่ง ผมยาวถึงกลางหลังสีขาวราวไข่มุกหยักศก ดวงตากลมโตฉายแววขี้เล่นสีแดงสดราวกับไฟ ใบหน้ารูปไข่ ผีวสีแทนเข้ม หน้าตาคมคาย ริมฝีปากบาง คิ้วโก่ง จมูกโด่งเป็นสัน มีลักยิ้มเล็กข้างแก้ม ใส่ชุดกระโปรงฟูฟ่อง สีกรมท่าเข้มสลับขาว ชายกระโปรงยาวประมาณเข่า มีเครื่องประดับผมสีทองประดับด้วยอัญมญีสีเข้มจนเกือบดำ กำลังเดินมุ่งหน้าไปยังห้องพักของเธอ

    ข้างๆเธอนั้น หญิงสาวอีกคนหนึ่งเดินตามมา เธอคนนี้มี ผมตรงยาวประไหล่สีน้ำตาลออกแดง ดวงตากลมโตสีน้ำตาลเข้ม อยู่ในชุดคลุมสีขาวที่ชายของชุดคลุมเป็นรูปสามเหลี่ยมสีแดงเรียงต่อๆกัน อันเป็นชุดเครื่องแบบของจอมเวทย์สายรักษาทั้งหลาย หรือ ที่เรียกกันติดปากว่า "จอมเวทย์ขาว"

    "นี่ๆ พี่อเมทิส อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันเกิด ของ พี่อเมทิสแล้วนี่นา อยากได้อะไรเป็นของขวัญวันเกิดล่ะ เดี๋ยวหญิงจะไปหามาให้?" สาวน้อยผมสีใข่มุขเอ่ยกับคนที่เดินอยู่ข้างๆเธอ

    อเมทิส ส่ายหน้าช้าๆ "ไม่ต้องลำบากหรอกเพคะ องค์หญิงโรวีเนีย แค่ทางท่านเจ้าเมือง อุส่าห์จะจัดงานวันเกิดให้ก็เกินพอแล้วล่ะค่ะ"

    จังหวะนั้นเองก็มีนางกำนัลคนหนึ่ง เดินตรงเข้ามาหาทั้ง 2 คนแต่ก็มาหยุดยืนรอทั้ง 2 คนคุยจบ

    องค์หญิงโรวีเนียเห็นเช่นนั้น จึงเอ่ยถามนางกำนัลคนนั้น "มีธุระอะไรหรือเปล่า?"

    นางกำนัลทำความเครพ "คือว่ามีคนมาขอพบ ท่านอเมทิส เพคะองค์หญิงโรวีเนีย"

    ทั้ง 2 สาวต่างทำหน้าแปลกใจเล็กน้อย เพราะตั้งแต่ อเมทิสมาเป็นผู้ติดตามของ โรวีเนีย ก็มีครั้งนี้เป็นครั้งแรกนี่แหละ ที่มีคนมาขอพบเธอ

    "ถ้าอย่างนั้น พี่อเมทิส รีบไปพบแขกก่อนเถอะค่ะ หญิงว่าจะไปพักผ่อนซักหน่อย" โรวีเนียเอ่ยพลางยิ้มให้

    อเมทิสย่อตัวเล็กน้อยทำความเคารพองค์หญิงน้อยตรงหน้าเธอ "งั้น ดิฉันขอตัวก่อนนะเพคะ องค์หญิง"

    อเมทิสเดินตามนางกำนัล มาจนถึง สวนหลังปราสาท

    "เขารออยู่ภายในสวนนี่แหละค่ะ ท่านอเมทิส" แล้วนางกำนัลก็เดินหายไป

    จอมเวทย์ขาวเดินเขามาภายในสวน ก็พบร่างของใครบางคนยืนกอดอกพิงต้นไม้อยู่ และทันทีที่ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวจากเธอ เขาก็หันกลับมาพร้อมเอ่ยทักทาย

    "เป็นไงสบายดีมั๊ย `อานิรอน` เอ๊ย! ต้องเรียก `อเมทิส โวเลนเต` สินะ แม่ฉันนี่ เล่นตั้งชื่อตามสิ่งที่เธอชอบเลยนะนี่ แต่ก็เพราะดีนะ ได้ข่าวว่าก่อนหน้านี่ ที่ริมุเน่ วุ่นวายหน้าดูเลยนี่นา"

    "ก็ไม่เท่าไรนะ พอดีที่นั่นมีคนที่แก้ปัญหาโดยเอาตัวเข้าแลกเหมือนนายอยู่น่ะ แล้วลมอะไรถึงหอบ คนอย่าง ราโชม่อน เวก้า ให้แวะมาถึงที่นี่ได้ล่ะคะ?" สาวใจชุดจอมเวทย์ขาวตอบกลับไปยิ้มๆ

    "แบมือสิ" เวก้าเอ่ย แล้วก็วางสร้อยเงินที่ประดับด้วยจี้หินสีม่วง ลงบนมือของหญิงสาวตรงหน้าเขา

    "สุขสันต์วันเกิดนะ นี่ชั้นซื้อมาจาก กรานาด้าเลยนะนี่ ถึงจะได้ลดราคาก็เหอะ แต่มันแพงอยู่นา ไม่ถูกใจอย่าเอาไปทิ้งถังขยะล่ะ อย่างน้อยไปขายกินก็ยังดี เอิ๊กๆ แค่นี้แหละไปล่ะ" หมอหนุ่มผมแดง โบกมือลาง่ายๆ แล้วเดินออกจากที่ปล่อยให้หญิงสาวยืนงง เพราะตั้งตัวไม่ทัน

    "ขอบใจนะเวก้า ถูกใจชั้นมากเลย" เธอตะโกนไล่หลังชายหนุ่มในชุดสีขาวไปซึ่งเขาก็ยกมือโบกตอบรับโดยไม่ได้หันกลับมา




    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~​





    "ไปไหนต่อดีว๊า" ราโชม่อน เวก้า ที่เดินแกร่ว อยู่ในเมืองรีเวเรีย เพราะไม่รู้จะไปไหนดีพึมพัมออกมา พลางล้วงเหรียญทองแดงในกระเป๋าออกมา 1 เหรียญ

    "ออก หัวไปกินเหล้าที่อัลบาร์ทรอส ออกก้อย ก็กลับบ้านเพราะไม่รู้จะไปไหนช่วงนี้ฮาๆ" แล้วเหรีญทองแดงก็ถูกดีดลอยเคว้งขึ้นบนท้องฟ้า แล้วตกลงมาหมุนติ้วตรงหน้าหมอหนุ่มผมแดง เมื่อเหรียญหยุด เวก้าจึงเหลือบมองพลางก้มลงไปเก็บ

    "ออกหัวอย่างนั้นรึ งั้นไปกินเหล้าที่อัลบาร์ทรอสสินะ" แล้วหมอหนุ่มผมแดง ที่มีนามว่า ราโชม่อน เวก้าเดินตรงไปยังร้านเหล้าที่เขาไปอุดหนุนประจำ โดยที่ไม่รู้เลยว่า การไปกินเหล้าครั้งนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของการออกผจญภัยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอีกครั้งหนึ่งในชีวิตเขา




    จบเรื่องเล่าจากแสงและเงา เรื่องที่ 3 หมอบ้าเที่ยวล่าสุด




    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~​


    ขอขอบคุณ

    "อานิรอน ไอซา มิรันเดน" โดยคุณMobster

    "อเมทิส โวเลนเต้" โดยคุณYoshiki : Fate Sugoi !!!

    "เร็กซ เฮลไซท์" โดยคุณMaxlanceR : Freedom Mode

    "คาเซล คาซอฟ ราเฟีย" โดยคุณStay With Loyal

    "อัลกรอส แกรนดิส อาร์มีเดียส" โดยคุณT VV I N - F E N I2 I R

    "อาเรีย ลาเวียนเวย์" โดยคุณLavianway : SEED Destiny

    "กราดิอุส ไกอา" โดยคุณVincent : Yaoi Addicted

    "โลว์ แซนด์วอคเกอร์" โดยคุณNear

    "อลิสเบ็ธ ริชเชอร์" โดยคุณ• SûmiyØ VåleñtinÈ •

    "เอซ อัลทิโอนิส เพอร์ดิเทีย" โดยคุณPaia: อยากดู Toki Den ว้อย!!!

    "มุทสึกิ เรนเกลิซท์" โดยคุณNaoki Kagami : PEACEMAKER

    "คาซาน ราจา" โดยคุณZan~Naz อิ๊แน่ะ!!

    "โรวีเนีย แอสเทรล แรนดอร์ฟ " โดยคุณยูคิฮิเมะ~ Gespenst Jaeger

    "ฟรีเดล ซาโดซ่า" โดยคุณReno_INside

    ถ้ามีตัวไหนตกหล่น ทักท้วงกันได้นะครับ


    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~​
  14. near

    near Member

    EXP:
    334
    ถูกใจที่ได้รับ:
    4
    คะแนน Trophy:
    18
    Re: Tale Of Light and Shadow [ลงตอนใหม่ หมอบ้าเที่ยวล่าสุด (7)]

    ยะโฮ่ จะหายไปตั้ง 2 เดือน เลยเหรอนี้

    จะคอยติดตามครับผม!!
  15. maxlancer

    maxlancer ประธานรุ่น2ตุรกีเชียงใหม่

    EXP:
    1,183
    ถูกใจที่ได้รับ:
    1
    คะแนน Trophy:
    88
    Re: Tale Of Light and Shadow [ลงตอนใหม่ หมอบ้าเที่ยวล่าสุด (7)]

    คลานมาดูหลังจากปั่นของตัวเองเสร็จมาดๆ มึนสุดๆตอนนี้=="

    ตอนนี้ก็ เหอะๆๆๆ มีRจนได้สิน่ะ (แต่เราเกือบคิดไปถึงขั้นH==" อารมณ์มันให้)สมใจนายแล้วละสิ โยชชี่เอ๋ย? แอบฮาเจ้าเร็กซ์เจอเด็กสาวรุกไปก้าวเดียวผงะเลย เอิ้กๆๆ

    แต่เจ้าคาเซลกับเวก้านี่ สุภาพบุรุษกว่าที่คิดแฮะ ไอ้เรานึกว่ามันจะแอบดู =="

    และ แล้ว บทหมอบ้าก็จบไปด้วยดี เหอะๆๆ
  16. parwankorn

    parwankorn Member

    EXP:
    60
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    6
    Re: Tale Of Light and Shadow [ลงตอนใหม่ หมอบ้าเที่ยวล่าสุด (7)]

    ฮ่าๆๆ

    จบไปอีกหนึ่งบท

    น่าติดตามทุกช่วงทุกตอนเลย

    เป็นกำลังใจให้นะครับ
  17. yoshiki

    yoshiki FATE

    EXP:
    862
    ถูกใจที่ได้รับ:
    17
    คะแนน Trophy:
    38
    Re: Tale Of Light and Shadow [ลงตอนใหม่ หมอบ้าเที่ยวล่าสุด (7)]

    พักนี้อ่านฟิคแล้วรู้สึกเลือดจะหมดตัว ถูกใจโว้ยยยยยยยยยยยยยยยย

    เพิ่งเจอฟิคแม็กคุงเอาผมสะอีกแล้วมาอ่านพี่จ้อยต่อ H อีกรอบ ยอดจริงๆพี่น้อง T T

    เฮ้ย แล้วไงอานิรอนกับอเมทิสสุดที่รักของผมเป็นคนเดียวกันไปได้ล่ะเฮ้ย !!! ท่านพี่ยอดจริง อึ้งไปเลยนะเนี่ย

    เที่ยวให้สนุกนะพี่ชายไว้เจอกันอีกสองเดือน

    ปล.เห็นด้วยกับแม็กคุงไอ้ผมก็นึกว่ามันจะแอบดูซะแล้ว
  18. pop30711

    pop30711 New Member

    EXP:
    1,155
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    Re: Tale Of Light and Shadow [ลงตอนใหม่ หมอบ้าเที่ยวล่าสุด (7)]

    ตอนนี้นี่ มันส์สุดๆเลยแฮะ

    ที่คาดไม่ถึงคือ ไหงอเมทิสกับอานิรอนกลายเป็นคนเดียวกันได้ล่ะเนี่ย

    อีก 2 เดือนหน้าจะกลับมาอ่านอีกนะครับ จะรอๆ
  19. alladiya

    alladiya สมาชิกที่ไม่มีอยู่จริง

    EXP:
    1,207
    ถูกใจที่ได้รับ:
    11
    คะแนน Trophy:
    88
    Re: Tale Of Light and Shadow [ปิดบทที่3+แก้คำผิดก่อนลาพักร้อน]

    กร๊ากกก โรวีเนียอุตส่าห์โผล่มากับเค้าด้วย เอิ้กๆ

    อานิรอน กับอเมทิส เหนือความคาดหมายจริงๆแฮะเนี่ย
  20. PaiaAznable

    PaiaAznable มนุษย์ตู้ปลาช้ำรัก

    EXP:
    744
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    86
    Re: Tale Of Light and Shadow [ปิดบทที่3+แก้คำผิดก่อนลาพักร้อน]

    เอซจะโผล่มาเพื่ออะไรละนี่ - -'a แออึ้งนิดๆ สรุปว่า อานิรอน = อเมทิสหรอกเรอะ - -'a

    ในที่สุดเจ้าเร็กซ์ก็ได้ภรรยาสมใจ(รึเปล่า)...... [action]มือเผลอประสานอินเตรียมจะปล่อยคาถาไฟด้วยความอิจฉาซะงั้น = ="a[/action]

    ได้ฉากตามสมใจอยากแล้วสินะเฮียโย -_-" ในที่สุดก็จบเรื่องราวของเจ้าหมอคนนี่แล้วสินะ โอ้ หยุดยาวสองเดือนเลยรึ ขอให้สนุกกับการพักผ่อนนะขอรับ ^^b

    ปล.เมื่อไหร่จะมีคนเรีกชื่อเราด้วยชื่อเก่าซะทีฟระเนี่ย =[]=!!!!!
  21. kadajjang

    kadajjang New Member

    EXP:
    3
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    Re: Tale Of Light and Shadow [ปิดบทที่3+แก้คำผิดก่อนลาพักร้อน]

    อุ๊บ....
    พลาดตอนสำคัญไปตั้งเยอะ (ขอเน้นๆ คำนี้ครับถูกใจมาก "เหยียบนรก เย้ยสวรรค์" สุดยอด)
    พี่นักเดินทางไปพักร้อนซะล่ะ....เสียดายจัง
    ยังไงก็เจอกัน เดือน 5 ครับ
    จะติดตามต่อไปครับพี่
  22. joi100

    joi100 นักเดินทางแห่งมิดการ์ด

    EXP:
    478
    ถูกใจที่ได้รับ:
    23
    คะแนน Trophy:
    38
    Re: Tale Of Light and Shadow [ปิดบทที่3+แก้คำผิดก่อนลาพักร้อน]

    กลับมาจากพักร้อนแล้วครับ แต่หาได้ขึ้นบทใหม่แต่อย่างใด ขอเก็บบทนอกรอบที่อยากจะเขียนก่อนนะครับ^^ ขอบคุณทุกๆท่านที่ติดตามกันเสมอมาถึงจะเหลือแต่คนกันเองแล้วก็ตามทีเถอะฮาๆ


    Near


    [action]กลับมาแล้วครับผม เป็นไงบ้างสบายดีใหมครับ[/action]
    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
    MaxlanceR : Freedom Mode

    [action]แหมๆ ขั้นH เลยเหรอ อุส่าห์เขียนให้มันไม่ล่อแหลมมากแล้วนะนี่ฮาๆ[/action]


    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
    Stay With Loyal


    [action]ขอบคุณสำหรับกำลังใจครับผม[/action]
    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
    Yoshiki : Fate Sugoi !!!



    [action]เห็น เจ้าเวก้า เป็นคนยังงั้นได้ยังไงล่ะครับน่ะเค้าออกจะเป็นคนดี๊ดี~~~ เนอะ^^[/action]
    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    Twin-Fenrir


    [action]ดีใจที่อ่านแล้วสนุกครับผม^^[/action]
    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    ยูคิฮิเมะ~ Gespenst Jaeger

    [action]ขอบคุณที่ยังแวะมาติดตามกันอยู่ครับผม^^[/action]
    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
    Paia: Yusei (5D's) Mode

    [action]เร็วๆนี้ล่ะมั๊งครับ เอิ๊กๆ[/action]
    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
    Reno_DanteInside

    [/quote]

    [action]ยินดีที่ชอบครับผม ขอบคุณที่ติดตามกันอยู่เสมอครับ[/action]
    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
  23. joi100

    joi100 นักเดินทางแห่งมิดการ์ด

    EXP:
    478
    ถูกใจที่ได้รับ:
    23
    คะแนน Trophy:
    38
    Re: Tale Of Light and Shadow [ปิดบทที่3+แก้คำผิดก่อนลาพักร้อน]

    เรื่องเล่าจากแสงและเงา นอกรอบ (6)

    ณ สวนด้านหลังปราสาท รีเวเรีย

    หญิงสาวคนหนึ่งกำลังยืนจ้องสร้อยคอสีเงินที่ประดับด้วยจี้ที่เป็นหินสีม่วง ที่ชื่อเหมือนกับชื่อของเธอในเวลานี้ "อเมทิส" หญิงสาวยิ้มออกมาเล็กน้อย พลางหันไปด้านหลัง แล้วเอ่ยไปทางพุ่มไม้ไม่ห่างจากตัวเธออกไปนัก "ไหนว่าจะไปพักผ่อนไม่ใช่รึเพคะองค์หญิง?"

    ชั่วอึดใจต่อมา ก็มีมีเด็กสาวคนหนึ่ง เดินออกมาจากหลังพุ่มไม้ซึ่งมิใช่ใครอื่น องค์หญิงแห่ง รีเวเรีย "โรวีเนีย แอสเทรล แรนดอร์ฟ" นั่นเอง

    "ก็หญิงอยากรู้นี่นาว่าใครกันน๊าที่อุส่าห์มาหา พี่เอเมทิส ถึงที่นี่" สาวน้อยตอบกลับมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม "ว่าแต่นั่น ราโชม่อน เวก้า ลูกชายของท่าน อาดิวคนสนิทของเสด็จพ่อไม่ใช่หรือคะ? ผมสีอย่างนั้นเหมือนคุณฟัฟฟิริเซียไม่มีผิดเลย"

    "ใช่แล้วเพคะองค์หญิง " อเมทิสตอบกลับไป ขณะเดียวกับองค์หญิงน้อยของเธอเดินมาชโงกดูสร้อยที่เธอถืออยู่ในมือ

    "สร้อยสวยมากเลยนะนี่ ท่าทางจะแพงน่าดู สงสัยเค้าต้องแอบชอบพี่สาวของหญิงอยู่แน่ๆเลย ถึงจะดูเถื่อนๆไปนิดแต่หญิงก็ว่าเค้าก็หล่อเหมือนกันน๊า" สาวน้อยผมสีใข่มุขเอ่ยกระเซ้าเย้าแหย่

    "ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ดีสิเพคะ ในสายตาของเขาดิฉันคงเป็นเพียงแค่น้องสาวคนหนึ่ง แล้วดิฉันก็เห็นเขาเป็นดั่งพี่ชายเช่นกัน" หญิงสาวในชุดจอมเวทย์ขาวเอ่ยตอบกลับมาพร้อมรอยยิ้มบางๆที่ไม่อาจตีความได้

    "โกหกตัวเองไม่ดีนะคะพี่อเมทิส" องค์หญิงแห่งรีเวเรียเอ่ยขึ้น "ว่าแต่ว่า เมื่อกี้หญิงได้ยินเขาเรียก พี่อเมทิสว่า อานิรอน นั่นเป็นชื่อเก่า ของพี่หรือคะ ทำไมต้องเปลี่ยนชื่อด้วยล่ะคะ หญิงว่าชื่อ อานิรอนก็เพราะดีออก" แต่คำพูดเจื้อยแจ้วของสาวน้อยผมสีใข่มุขก็สะดุดลงเมื่อเห็นสีหน้าเศร้าๆของหญิงสาวในชุดจอมเวทย์ขาว

    โรวิเนียหน้าเจื่อนลงทันที "หญิงขอโทษนะคะที่ทำให้พี่อเมทิสไม่สบายใจเพราะคำพูดของหญิง"

    อเมทิสเงยหน้าขึ้นมองเจ้าหญิงน้อยของเธอ พร้อมรอยยิ้มเศร้าๆ นี่คงถึงเวลาแล้วล่ะมั๊งที่เธอต้องเล่าให้ เด็กสาวตรงหน้าของเธอได้รับรู้ถึงอดีตอันไม่น่าจดจำซักเท่าใดนักของเธอ เพราะการที่เธอเล่าด้วยปากของตนเองคงจะดีกว่าให้ สาวน้อยคนนี้รู้จากคนอื่นซึ่งนั่นอาจจะทำให้องค์หญิงของเธอรู้สึกแย่กว่าการได้ยินจากปากของเธอหลายเท่านัก

    "กลับห้องพักก่อนเถอะเพคะ หม่อมชั้นมีเรื่องบางอย่างให้องค์หญิงฟัง เกี่ยวกับเรื่องราวที่องค์หญิงอยากจะทรงทราบ" แล้วหญิงสาวทั้ง2คนก็เดินกลับห้องพักโดยที่ไม่ได้พูดอะไรกันอีกเลย





    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~​





    สาวน้อยผมสีใข่มุขทิ้งตัวลงนั่งบนที่นอนอันแสนนุ่มของเธอ มองดูหญิงสาวอีกคนในชุดจอมเวทย์ขาวกำลังเลื่อนเก้าอี้มานั่งตรงหน้าเธอ

    "เอาล่ะค่ะ หม่อมชั้นจะเล่าเรื่องในอดีตของตัวหม่อมชั้นเอง ให้องค์หญิงฟังเพคะ" เอเมทิส โวเลนเต้ เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แล้วจึงค่อยๆ เล่าเรื่องราวอดีตของตนนับตั้งแต่วัยเด็ก จนถึง เรื่องราวที่เธอเกือบจะฆ่า คนที่เพิ่งจะมอบของขวัญวันเกิดให้เธอเมื่อกี้นี้ แล้วเมื่อเล่าจบแล้ว ทันที่ที่หญิงสาวในชุดจอมเวทย์ขาวเงยหน้ามองสาวน้อยตรงหน้า

    อเมทิส โวเลนเต้ ก็ถูกสาวน้อยผิวสีแทนผมสีใข่มุข โผเข้ามากอดไว้แน่น พร้อมเสียงสะอื้นน้อยๆ "พี่อเมทิสคงเจ็บปวดมากสินะคะ"

    อเมทิส ลูบหัวเจ้าหญิงของเธออย่างอ่อนโยน "หม่อมชั้นไม่เป็นอะไรมากหรอกเพคะองค์หญิง แต่องค์หญิงไม่รังเกียจรึเพคะ ที่มีผู้ติดตามที่มีอดีตเช่นนี้?"

    โรวิเนีย ส่ายหน้าหลังจากได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด ทำให้เธอรู้ว่าทำไมหลายๆครั้งที่เธอเห็นสายตาอันเศร้าสร้อยจากจอมเวทย์ขาว แล้วทำไมหลายๆครั้งพี่สาวของเธอคนนี้ กล้าที่จะเสี่ยงอันตรายในแบบที่ จอมเวทย์ขาวทั่วๆไปไม่น่าจะทำเป็นอันขาด ซึ่งเธอก็รู้สึกมานานแล้วว่าอเมทิสนี่ค่อนข้างจะแตกต่างจากจอมเวทย์สายรักษาที่เธอรู้จักทั่วไปอยู่พอสมควรเลยทีเดียว

    "หญิงจะรังเกียจพี่สาวของตัวเองได้ยังไงกันล่ะคะ ก็พี่สาวคนนี้ออกจะแสนดีคอยเป็นห่วงเป็นใย น้องสาวที่มักจะสร้างปัญหาให้อยู่เสมอๆคนนี้นี่คะ คนอื่นจะคิดยังไงหญิงไม่รู้นะคะ สำหรับหญิงนับตั้งแต่วันนั้น อเมทิส โวเลนเต้ คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าหริงเวลานี้ ไม่ใช่แค่คนติดตามหรอกนะคะ แต่เป็นพี่สาวคนหนึ่งของหญิงต่างหากล่ะคะ" โรวีเนีย ยิ้มให้กับหญิงสาวตรงหน้าเธอมันเป็นรอยยิ้มที่ออกจากใจจริง ซึ่งน้อยคนจริงๆจะได้เห็นรอยยิ้มเช่นนี้จาก เจ้าหญิงแห่งรีเวเรีย ผู้ถึงได้รับฉายา"ซัมมอนเน่อไร้พ่าย"

    อเมทิสมองเด็กสาวตรงหน้าเธอรอยยิ้มเช่นนี้แหละที่เธอสาบานไว้กับตัวเองไว้ว่าเธอจะปกป้องมันอย่างสุดกำลังเท่าที่เธอสามารถจะทำได้




    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~​





    4 ปีก่อนหน้านั้น

    ณ สถานพญาบาลเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ในเมืองรีเวเรีย แต่ก้เป็นที่รู้จักดีของชาวเมืองรีเวเรีย เพราะผู้ที่ดูแล สถานที่แห่งนี้และให้การรักษาคนป่วยอยู่ก็คือ "ราโชม่อน ฟัฟฟิริเซีย" ซึ่งปกจะมีเพียง ฟัฟฟิริเซีย ที่อยู่ดูแลรักษาคนป่วยอยู่เพียงลำพัง แต่เวลานี้ ที่นี่มีผู้ช่วยเพิ่มอีกหนึ่งคน เป็น หญิงสาว ผมตรงยาวประไหล่สีน้ำตาลออกแดง ดวงตากลมโตสีน้ำตาล อยู่ในชุดผ้าคลุมสีขาวขลิบลายรูปสามเหลี่ยมตรงชายผ้าคลุมอันเป็นชุดแต่กายทั่วไปของ "จอมเวทย์สายรักษา" หรือที่เรียกกันติดปากว่า "จอมเวทย์ขาว" นั่นเอง

    "คุณลุงต้องนอนพักผ่อนให้มากๆนะคะ แล้วทานยาที่จัดให้ตามเวลา ไม่นานก็หายป่วยแล้วล่ะค่ะ" หญิงสาวผมสีน้ำตาลเอ่ยกับคนใข้ของเธอ น่าจะเป็นสุดท้ายของวันนี้ เพราะเวลานี้ก็เย็นมากแล้ว หลังจากเก็บข้าวของเสร็จแล้ว เธอก็เดินเข้าไปในครัวเพื่อเตรียมอาหารเย็นให้กับคนทั้ง2คนที่เปรียบเหมือน ทั้ง พ่อ และ แม่ ของเธอ ซึ่งวันนี้ทั้งคู่ได้แวะเข้าไปภายในวัง เพราะท่านเจ้าเมืองเรียกตัวไป ซึ่งจากการคาดเดาของเธอก็น่าจะเป็นการปรึกษาถึงอะไรบางอย่าง

    กับข้าวถูกจัดเรียงบนโต๊ะอาหารสำหรับ 4 ที่เพราะเห็นว่าวันนี้อัลกรอส จะกลับมาทานอาหารเย็นที่บ้านด้วย แต่ก็เป็นเหมือนธรรมเนียมไปซะแล้วสำหรับอาหารเย็นที่ต้องทำเพื่อไว้นิดหน่อยเสมอ เพราะมักจะมีแขกที่ไม่ได้แจ้งล่วงหน้า แวะมาทานอาหารเย็นบ้างเป็นครั้งคราว

    หลังจากโต๊ะอาหารเสร็จ สาวผมน้ำตาลก็มีเวลาว่างที่จะนั่งมองออกไปนอกหน้าต่าง ดูพระอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้าไป ย้อมทุกสิ่งให้เป็นสีส้ม นี่ก็ ปึนึงแล้วสินะ นับตั้งแต่ที่เธอหลุดจากฝันร้าย คุณอาดิว และ คุณฟัฟฟิริเซีย ต่างเห็นว่า เธอควรจะทิ้งชื่อเก่าไปซะจะได้ไม่มีปัญหาภายหลังแล้วปล่อยข่าวออกไปว่า "อานิรอน ไอซา มิรันเดน" ได้เสียชีวิตไปแล้วในการต่อสู้ที่ พลูตรอนิค

    โดยคุรฟัฟฟิริเซียตั้งชื่อให้ตามพลอยสีม่วงที่เธอชอบว่า "อเมทิส โวเลนเต้" ซึ่งเธอก็ชอบชื่อนี้พอสมควรเลยทีเดียว หลังจากกลับมาเรียนรู้เกี่ยวกับการรักษาคนอีกครัง เวลานี้เธอก็สามารถสอบใบอนุญาติในการรักษาคน ที่หมอแทบทุกคนที่จำเป็นต้องสอบเพื่อจะได้เป็นที่ยอมรับในการรักษาผู้คน ซึ่งการสอบจำเป็นต้องไปสอบที่ "ชายน์" ซึ่งถือว่าเสี่ยงพอสมควรสำหรับเธอ กับ การกลับไปยังเมืองแห่งนั้น

    แต่ทุกอย่างก็ราบรื่นไปด้วยดี โดยที่เธอมารู้ภายหลังว่า วันที่เธอไปสอบนั่น ทั้ง เวก้า อัลกรอส คาเซล และ เร็กซ์ ต่างตามเธออยู่ห่างๆ เพื่อดูแลความปลอดภัยโดยไม่ให้เธอรู้ตัว แล้วการไปสอบครั้งนี้ทำให้เธอรู้ถึง วีรกรรม ของ ราโชม่อน เวก้า ที่สร้างไว้ด้วย

    ตอนนี้เธอรู้สึกมีความสุขมากเลยทีเดียว แต่ก็รู้สึกถึงความเคว้งคว้างด้วยเช่นกัน เพราะเธอไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรต่อไปในอนาคตดี ซึ่งเรื่องนี้เธอเคยนำไปปรึกษากับทั้งคุณ อาดิว และ คุณฟัฟฟิริเซีย แต่คำตอบที่เธอได้คือรอยยิ้มอันอ่อนโยน และคำตอบที่ว่า "เรื่องนี้เธอต้องเป็นคนหาความหมายด้วยตัวเอง ยังไม่ต้องรีบร้อนเพราะซักวันหนึ่งเธอต้องรู้ความหมายของการมีชีวิตอยู่ของเธอย่างแน่นอน"

    "แล้วเมื่อไรนะที่ชั้นนะรู้ความหมายของสิ่งนั้น" อเมทิสรำพึงกับตนเอง แล้วสาวผมสีน้ำตาลก็ถูกปลุกให้ตื่นจากภวัง ด้วยเคาะประตู คนที่กลับเข้ามาในบ้านแห่งนี้ เธอจึงเดินออกไปเปิดประตูต้อนรับ

    ไม่นานนักทุกคนก็ต่างพร้อมหน้ากันรับประทานอาหารเย็นที่จัดเตรียมไว้ หลังจากทานกันอิ่มแล้ว จึงนั่งคุยกันถึงเรื่องทั่วๆไปซักพักใหญ่ๆอัลกรอสจึงขอตัวกลับไปยังที่พักของเขา ขณะที่อเมทิสกำลังเก็บ จาน ชาม ไปทำความสะอาดอยู่นั่นเอง ราโชม่อน ฟัฟฟิริเซีย ได้เดินเข้ามาในครัวพร้อมกับเอ่ยอะไรบางอย่างกับหญิงสาวที่กำลังล้างจานอยู่

    "อเมทิสจ๊ะ เดี๋ยวเรียบร้อยแวะไปที่ห้องนั่งเล่นด้วยนะจ๊ะ พวกเรามีเรื่องจะคุยด้วยน่ะ"

    สาวผมสีน้ำตาลตอบรับกลับมาอย่างง่ายๆ พร้อมกับเร่งมือทำความสะอาด และ เก็บทุกอย่างให้เรียบร้อย แล้วจึงเดินไปที่ห้องนั่งเล่น เมื่อมาถึง ก็พบบุคคลทื่เธอเคารพทั้ง2คนนั่งรออยู่

    อเมทิสจึงเดินไปนั่งลงบนโซฟา ตรงข้ามที่ทั้ง2คนนั่งอยู่ "มีธุระอะไรหรือคะ"

    "คือว่า ทางท่านเจ้าเมืองท่านอยากได้ ผู้ติดตามขององค์หญิง โรวิเนีย น่ะ หนูพอจะรับหน้าที่นี้ได้ไหม อเมทิส" อาดิวเอ่ยออกมา

    "หนูคงไม่มีค่ามากพอที่จะทำงานที่มีเกียรติขนาดนั้นหรอกคะ" สาวผมน้ำตาลเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เศร้าสร้อย พลางหลบสายตาของบุคคลตรงหน้าเธอทั้ง2คน

    จู่ๆเธอก็รู้สึกได้มีใครบางคนโอบกอดเธอไว้ เมื่อเงยหน้าขึ้นมาเธอก็พบรอยยิ้มอันอบอุ่นจากผู้หญิงที่เปรียบเสมือนแม่ของเธอ "อย่างดูถูกตัวเองอย่างนั้นสิจ๊ะ อเมทิส ไม่มีใครหรอกนะที่ไม่เคยทำผิด แต่ถ้าเรามัวแต่จมอยู่กับความผิดของตัวเองในอดีต ชีวิตของคนคนนั้นก็คงจะมีแต่ความเศร้าหมอง ไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้อีกครั้ง"

    "หนูต้องรู้จักให้อภัยตัวเองสิจ๊ะ อย่างให้ความผิดในอดีตมาตามหลอกหลอนจนไม่สามารถเริ่มต้นใหม่ได้ แต่ให้มันเป็นบทเรียนที่สอนให้เราเข้มแข็งขึ้นสิจ๊ะ " ฟัฟฟิริเซียเอ่ยกับเด็กสาวที่เธอโอบกอดไว้ ด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยน เมื่อได้ยินดังนั้นอเมทิส ก็กอดคนที่เธอรักเหมือนแม่แท้ๆของเธอไว้แน่น

    "หนูควรจะเริ่มต้นใหม่ซักนะอเมทิส ที่สำคัญ องค์หญิงโรวิเนียคนนี้ออกจะมีปัญหาอยู่ซักหน่อย ฉันเชื่อว่าหนูต้องทำหน้าที่ได้แน่ๆ เพราะตอนนี้ไม่ว่าจะส่งใครเป็นผู้ติดตาม ไม่มีใครอยู่กับองค์หญิงคนนี้ได้เกิน3วันเลย ถือว่าช่วยกันหน่อยละกันนะ อเมทิส" อาดิวเอ่ยเกลี้ยกล่อยมาอีกคน เพราะเขาก็ได้คำขอร้องจากท่านเจ้าเมืองมาโดยตรงทีเดียว ว่าให้ช่วยหาผู้ติดตามให้บุตรสาวของท่าน

    หลังจากตรึกตรองอยู่ชั่วอึดใจสาวผมสีน้ำตาลในชุดคลุมสีขาว จึงตอบรับคำขอร้องในครั้งนี้ "ค่ะหนูจะไปลองพบองค์หญิงคนนั้นดู แต่หนูไม่ทราบเหมือนกันนะตะว่าจะทำได้ดีแค่ไหน สำหรับคนอย่างหนู แต่จะทำให้ดีที่สุดค่ะ"

    จากนั้นทั้ง 3 คนก็นั่งพูดคุยอยู่ซักพักใหญ่ๆ จึกแยกย้ายกันไปพักผ่อน โดยที่อเมทิสรู้ดีว่า วันพรุ่งนี้จะเป็นอีก1วันที่หนักหนาสาหัสสำหรับเธอแน่ๆ กับการต้องไปเป็นผู้ติดตามขององค์หญิงคนนี้




    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~​





    ขณะนี้ อเมทิส โวเลนเต้ ได้เดินตามนางกำนัลคนหนึ่งจนมาหยุดอยู่หน้าห้องซ้อมเวทย์มนต์ที่ชั้นใต้ดินภายใต้ปราสาทแห่งรีเวเรีย

    "องค์หญิงโรวิเนีย ทรงกำลังซ้อมเวทย์มนต์อยู่ภายในห้องนี้แหละค่ะ ขอให้โชคดีนะคะ" นางกำนัลคนนั้นเอ่ยแล้วก็เดินจากไป

    จอมเวทย์ขาวผมน้ำตาลยกมือค่อยๆเปิดประตูบานนั้นพร้อมเดินเข้าไปด้านใน ก็พบ เด็กสาวผิวสีแทน ผมสีใข่มุข ใส่ชุดกระโปรงฟูฟ่อง สีกรมท่าเข้มสลับขาว ชายกระโปรงยาวประมาณเข่า มีเครื่องประดับผมสีทองประดับด้วยอัญมญีสีเข้มจนเกือบดำ กำลังยืนอยู่กับ หญิงสาวผิวเข้มผมดำยาวรวบไว้ที่ต้นคอด้วยโบว์สีขาว ตาสีเพลิง แต่งชุดมิโกะแบบญี่ปุ่น ทั้งคู่หันมามองเธอเป็นตาเดียว

    "เธอคงเป็นคนที่เสด็จพ่อส่งให้มาเป็นผู้ติดตามฉันสินะ กลับไปซะเถอะฉันไม่ต้องการผู้ติดตามหรอกนะฉันดูแลตัวเองได้" เด็กสาวผมสีใข่มุข คนนั้นเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยเป็นมิตรนัก

    อเมทิส ซึ่งคาดเดาได้ว่าต้องเจอปฏิกริยาเช่นนี้ ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ "คงต้องขออภัยด้วยนะเพคะ องค์หญิงโรวิเนีย ที่ดิฉันไม่อาจทำตามพระประสงค์ขององค์หญิงได้ เพราะดิฉันได้รับปากคนสำคัญของดีฉันไว้แล้วว่า จะมาเป็นผู้ติดตามเพื่อดูแลองค์หญิง"

    เด็กสาวผิวสีแทนซักสีหน้าไม่พอใจทันที "ฉันไม่ชอบพูดอะไรซ้ำๆซากหรอกนะ เธอกลับไปซะไม่อย่างนั้นจะหาว่าฉันร้ายกาจไม่ได้นะ"

    อเมทิสตีหน้านิ่งสนิท หาได้มีความหวาดหวั่นในสีหน้าและแววตาแม้แต่น้อย "ถ้าหากเป็นผู้อื่นคงจะหวาดกลัวคำขู่ของ องค์หญิงที่เป็นถึงจอมเวทย์สายอัญเชิญที่ถูกกล่าวถึงว่าเก่งกาจที่สุดใจขณะนี้ แน่ๆเลยนะเพคะ แต่มันคงใช้กับดิฉันไม่ได้หรอกนะเพคะ"

    โรวิเนีย ขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจและขัดใจยิ่งนัก จอมเวทย์ขาวผมสีน้ำตาลที่อยู่ตรงหน้าเธอเวลานี้ดูแตกต่างจากผู้ติดตามก่อนหน้านี้มาทีเดียว และนี่ยังเป็นครั้งแรกที่มีคนทำท่าที่เฉยเมยขนาดนี้กับเธอ "ได้ถ้าเธอยากลองดีกับฉันแล้วล่ะก็" สาวน้อยผมสีใข่มุขเอ่ยลอดไรฟันออกมา พร้อมกับหันไปพยักหน้าให้เทพอสูรในร่างของ หญิงสาวผิวเข้มผมดำยาว ที่ยืนอยู่ข้างๆเธอ

    พริบตานั้นเอง ศรสายฟ้านับ10ดอก ลอยตรงไปยังจุดที่ อเมทิสยืนอยู่ทันที พร้อมกับเสียงระเบิด และฝุ่นคละคลุ้งไปหมด และเมื่อฝุ่นจากการโจมตีครั้งนี้จาก ร่างของจอมเวทย์ขาวก็ยังคงยืนอยู่ที่เดิมหาได้ขยับไปไหน และยังคงมีสีหน้านิ่งสนิทปราศจากความหวาดกลัวจากการโจมตีเมื่อกี้แม้แต่นิดเดียว

    "การโจมตีเมื่อกี้เป็นแค่การขู่ให้ดิฉันกลัวเท่านั้นสินะเพคะองค์หญิง " สาวผมน้ำตาลในชุดคลุมสีขาวค่อยเดินตรงเข้าไปหาองค์หญิงโรวิเนียอย่างไม่หวาดหวั่น

    "การสวมหน้ากากองค์หญิงผู้น่ากลัว พระองค์ทำเพื่อสิ่งใดเพคะองค์หญิง? พระองค์ทรงอยากอยู่เพียงลำพังจริงๆหรือเพคะองค์หญิง? "

    "หรือพระองค์เพียงหวาดกลัวสายตาของผู้อื่นที่มองพระองค์ ว่าทั้งสีผม สีตา สีผิวต่างจากผู้อื่น พระองค์ไม่รู้สึกโดดเดี่ยวบ้างหรือเพคะ?" จบประโยคอเมทิสเดินมาถึงตัวสาวน้อยผมสีใข่มุขพอดี เธอค่อยๆย่อตัวลงเอื้อมมือไปแตะบาดแผลบริเวณขาที่เกิดจากการซ้อม พร้อมๆกับร่ายเวทย์สมานบาดแผล

    อเมทิสเงยหน้าขึ้นสบตากับองค์หญิงตรงหน้าเธอ "ไม่มีใครชอบที่จะอยู่เพียงลำพังจริงหรอกนะองค์หญิง บางครั้งคนเราก็ต้องการเพื่อนที่จะพูดคุยหรือระบายความทุกข์ใจบ้าง องค์หญิงอายุยังน้อยแต่กลับต้องแบกภาระอันใหญ่หลวงไว้ คงจะเหนื่อยล้ามากสินะเพคะ"

    "ดิฉัน อเมทิส โวเลนเต้ ขอให้ดิฉันเป็นผู้ติดตามขององค์หญิงนะเพคะ ดิฉันขอสาบานว่าจะดูแลองค์หญิงอย่างสุดความสามารถเท่าที่ดิฉันจะทำได้" จอมเวทย์ขาวคุกเข่า เอามือซ้ายแนบที่หน้าอกพร้อมๆ กับก้มหัวให้เจ้าหญิงตรงหน้าเธอ

    "ทำไมคุณต้องทำขนาดนี้ด้วย?" โรวิเนียเอ่ยขาวจอมเวทที่คุกเข่าตรงหน้าเธอ

    "เพราะดิฉันทราบดีถึงความน่ากลัวของการอยู่เพียงตามลำพังยังไงล่ะเพคะองค์หญิง" อเมทิสเอ่ยตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

    สาวน้อยผิวสีแทนผมสีใข่มุขสบัดหน้าไปอีกทางหนึ่ง พร้อมกับเอ่ย แล้วเดินออกจากห้องซ้อม พร้อมกับร่างเทพอสูรของเธอที่หายไป"ฉันยังไม่ยอมรับเธอหรอกนะ แต่เธออยากจะอยู่ที่ไหนมันก็เรื่องของเธอไม่เกี่ยวกับฉัน"

    อเมทิสยิ้มออกมาเล็กน้อย "เพคะองค์หญิง" แล้วเธอก็เดินตาม องค์หญิงโรวิเนียออกไป





    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~​





    "พี่อเมทิสๆใจลอยไปไหนแล้วคะ" เสียงใสๆที่คุ้นเคยปลุก สาวผมสีน้ำตาลให้ตื่นจากห้วงความคิดของเธอ

    อเมทิสยิ้มให้กับเจ้าหญิงน้อยตรงหน้าเธอ "ดิฉันนึกถึงครั้งที่ได้พบกับองค์หญิงครั้งแรกยังไงล่ะเพคะ ตอนนั้นองค์หญิงน่ากลัวจนดิฉันใจเต้นไปหมดเลยล่ะเพคะ"

    เมื่อนึกถึงเหตุการณ์คราวนั้น โรวิเนียถึงกับวางสีหน้าไม่ถูก "แหม!! พี่อเมทิสอย่างเอาเรื่องเก่าๆมาแซวหญิงสิคะ แล้วตอนนั้นพี่อเมทิสไม่เห็นจะทำท่าจะกลัวหญิงเลยซักนิด "

    "แต่หญิงต้องขอขอบคุณพี่อเมทิสจริงๆนะคะ ที่ทำให้หญิงไม่ต้องทนอยู่กับความโดดเดี่ยวของการไม่มีใคร" โรวีเนียยิ้มกว้างให้กับจอมเวทย์ขาวที่นั่งอยู่ใกล้ๆเธอ

    "แต่กว่าองค์หญิงจะเปิดใจให้ ก็ทำเอาดิฉันเหนื่อยตามตื้ออยู่เกือบปีเลยนะเพคะ" อเมทิสเอ่ยพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ

    องค์หญิง โรวีเนีย แอสเทรล แรนดอร์ฟ ก็ยิ้มตอบกลับมาให้กับผู้ติดตามที่เปรียบเสมือนพี่สาวของเธอคนหนึ่ง ถึงจะรู้ว่าอดีตของพี่สาวคนนี้ว่ามันเลวร้ายแค่ไหน แต่เธอไม่สนใจเรื่องราวในอดีตหรอก




    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~​
  24. near

    near Member

    EXP:
    334
    ถูกใจที่ได้รับ:
    4
    คะแนน Trophy:
    18
    Re: Tale Of Light and Shadow [กลับมาพร้อมบทนอกรอบให้หายคิดถึง]

    กลับมาแล้ว ดีใจๆสุดๆ 55+ ^^

    [action]สบายดีครับ พี่นักเดินทางสบายดีไหมครับ[/action]
  25. Hell

    Hell Member

    EXP:
    405
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    16
    Re: Tale Of Light and Shadow [กลับมาพร้อมบทนอกรอบให้หายคิดถึง]

    ในที่สุดก็กลับมาแล้ว หลังจากหายไปนานพอดูเลยทีเดียว
    กลับมาคราวนี้อ่านค่อนข้างจุใจเลยทีเดียว

Share This Page