[ฟิครับสมัคร] White Knight : Gywnfor Guardian *Update 28/11/10*

กระทู้จากหมวด 'Fiction' โดย derick, 4 พฤษภาคม 2010.

  1. joi100

    joi100 นักเดินทางแห่งมิดการ์ด

    EXP:
    478
    ถูกใจที่ได้รับ:
    23
    คะแนน Trophy:
    38
    คำถาม
    1.คุณคิดว่าอะไรคือศัตรูของคุณ? เพราะเหตุใด?
    พวก งี่เง่า เอาชนชั้นมาแบ่งแยกค่าของคน เพราะมันน่ารำคาญ เข้าใจในสิ่งต่างๆยาก อีโก้สูง
    2.คุณคิดว่าเลือดแต่ละสีมีจุดเด่นอย่างไร ตามความคิดของคุณ
    สีน้ำตาล สูงส่ง เก่งกาจ ไม่น่าคบหา สูงเกินไป อย่าไปยุ่งด้วย
    สีน้ำเงิน ไม่สมบูรณ์ในทุกด้าน แต่ก็อยู่ในระดับสูง เข้าถึงง่าย
    สีม่วง คุยกันรู้เรื่อง พรรคพวก
    สีเขียว มีเยอะ ลูกค้ารายใหญ่
    สีเหลือง ความสามารถต่างๆอาจจะน้อย แต่มีการพัฒนาที่มีความเร็วสูง
    สีขาว ของหายาก น่าจะค้าขายด้วยได้กำไรดี!!
    3.คุณคิดว่าเวทย์มนตร์คืออะไร?(ในฟิคเรื่องนี้)
    ศาตร์ชนิดหนึ่ง ที่ไม่ใช่ทุกคนที่จะใช้ได้ กว่าจะใช้ได้ก็ลำบากเอาเรื่อง แต่มันก็สะดวกดีนะ
  2. alladiya

    alladiya สมาชิกที่ไม่มีอยู่จริง

    EXP:
    1,207
    ถูกใจที่ได้รับ:
    11
    คะแนน Trophy:
    88
    แหม.....หลอกให้อยากแล้วจากไปนี่นา ;;___,;;


    คำถาม
    1.คุณคิดว่าอะไรคือศัตรูของคุณ? เพราะเหตุใด? - 'เวลา' เวลาและวารีที่ไม่เคยรอท่า ทำให้ความหวังในการออกตามหาครอบครัวชาติกำเนิดของตนที่พลัดพรากไปดูเหมือนเป็นการตามหาที่ไร้จุดสิ้นสุดไปเสียแล้ว

    2.คุณคิดว่าเลือดแต่ละสีมีจุดเด่นอย่างไร ตามความคิดของคุณ - นอกจากเลือดสีแดงและขาวแล้วก็ไม่ได้คิดว่าเลือดสีอื่นมีความแตกต่างกันอย่างใด และคิดว่าแม้ว่าจะมีเลือดสีไหนแต่ทุกคนก็ควรมีความเท่าเทียมกัน

    3.คุณคิดว่าเวทย์มนตร์ึคืออะไร? - สิ่งที่มีอยู่ในสายเลือด มีมากน้อยแล้วแต่คนไป โดยแต่ละคนจะมีศักยภาพในการดึงพลังมาใช้ได้ต่างกัน รูปแบบของเวทย์มนตร์ก็ยังแยกย่อยไปเป็นตามแบบเฉพาะตัวบุคคลอีกเช่นกัน
  3. maxlancer

    maxlancer ประธานรุ่น2ตุรกีเชียงใหม่

    EXP:
    1,183
    ถูกใจที่ได้รับ:
    1
    คะแนน Trophy:
    88
    ตอบตามคาร์เลย

    1.คุณคิดว่าอะไรคือศัตรูของคุณ? เพราะเหตุใด?
    >> ศัตรู? ของน่ารำคาญแบบนั้น ไม่อยากมีหรอก ถ้าจะให้มี....ไอ้ "ชนชั้น" นี่แหละ มันเป็นสิ่งเกิดจากสังคมโลกที่น่ารังเกียจ ทำให้เกิดการเอารัดเอาเปรียบคนที่ด้อยกว่า อิสระน่ะ มันหายไปเพราะไอ้สิ่งนี้แหละ ชั้นถึงได้หนีจากบ้านไงล่ะ เพราะพ่อมัวแต่หลงไอ้ชนชั้น และ ชื่อเสี่ยงตระกูล ไม่ยอมวาง เนี่ยแหละ

    2.คุณคิดว่าเลือดแต่ละสีมีจุดเด่นอย่างไร ตามความคิดของคุณ
    >> ถึงโลกนี้มันจะนั่งบ้าความแตกต่างเรื่องสีก็เหอะ แต่ชั้นไม่ได้มาสนใจหรอกว่าใครมีเลือดสีไหน สีไหนเด่นยังไง น่ารำคาญ มันอยู่ที่คนต่างหาก!! เพราะมัวแต่นั่งเทียบเรื่องสีนี่ไง มันถึงได้ไม่มีการพัฒนา!!!

    3.คุณคิดว่าเวทย์มนตร์ึคืออะไร?(ในฟิคเรื่องนี้)
    >> สิ่งมหัศจรรย์ที่โลกนี้ประทานให้แก่มนุษย์ล่ะมั้ง มนุษย์สามารถเค้นเอาสิ่งพิเศษนี้ออกมาได้ ด้วยสิ่งที่เรียกว่าอุตสาหะของตัวเอง ถึงแม้ว่าตูจะห่วยแตกเรื่องนี้ก็เหอะ
  4. train

    train Member

    EXP:
    498
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    16
    คำถาม
    1.คุณคิดว่าอะไรคือศัตรูของคุณ? เพราะเหตุใด?
    - คนที่มาขวางทางตนเอง อาจจะเป็นขวางทางในการทำงานหรือด้านอื่นๆก็ได้ เพราะเจ้าตัวจะเกลียดมากกับการที่ทำอะไรไม่ได้ตามที่คาดหวังไว้หรือตามที่ตั้งเป้าไว้ (อารมณ์ว่าถ้าไซโคมันตั้งใจแล้วยังไงก็ตามมันก็ต้องทำให้สำเร็จให้ได้)
    2.คุณคิดว่าเลือดแต่ละสีมีจุดเด่นอย่างไร ตามความคิดของคุณ
    - แจกแจงทุกสีเลยสินะ สำหรับตัวไซโคแล้วเป็นคนที่มองสิ่งที่ตัวเอง'ไม่สนใจ'จะแค่มองผาดๆไม่ได้เจาะลึกมาก(หรือเรียกง่ายๆว่ามันไม่ใส่ใจ)ก็จะรู้สึกประมาณนี้
    สีน้ำตาล >> เข้มข้น ดูหนักแน่น
    สีน้ำเงิน >> เลือดของคนชั้นสูง อย่างที่เขาเรียกกันไงว่าพวกสายเลือดสีน้ำเงิน.....
    สีม่วง >> สีแห่งความสับสน ปั่นป่วน ดูวุ่นวาย
    สีเขียว >> สีแห่งความกลมกลืน เป็นปกติ
    สีเหลือง >> ความเข้มข้น เจิดจรัส ตรงไปตรงมา
    สีขาว >> ดูบริสุทธิ์สูงส่ง เหมาะกับพวกนักบวชดี
    3.คุณคิดว่าเวทย์มนตร์คืออะไร?(ในฟิคเรื่องนี้)
    - คือความสะดวกสบาย(ในแง่รักษา และแน่นอนละการต่อสู้ด้วย แค่คำร่ายสั้นๆก็ได้พลังแข็งแกร่งแล้ว) ทรงพลัง และแข็งแกร่ง(ในแง่การต่อสู้!)
  5. PaiaAznable

    PaiaAznable มนุษย์ตู้ปลาช้ำรัก

    EXP:
    744
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    86
    ตอบละนะครับผม

    คำถาม
    1.คุณคิดว่าอะไรคือศัตรูของคุณ? เพราะเหตุใด?
    - ความกลัวของตัวเอง เพราะเป็นสิ่งที่ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหน จนบัดนี้ก็ยังก้าวข้ามมันไปไม่พ้น
    2.คุณคิดว่าเลือดแต่ละสีมีจุดเด่นอย่างไร ตามความคิดของคุณ
    - มองไม่เห็นว่าเด่นยังไง นอกจากความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลที่ไม่เท่าเทียมกัน
    3.คุณคิดว่าเวทย์มนตร์ึคืออะไร?(ในฟิคเรื่องนี้)
    - สิ่งที่ขีดเส้นแบ่งระหว่างผู้มีพรสวรรค์กับคนไม่ได้ความ
  6. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    1.คุณคิดว่าอะไรคือศัตรูของคุณ? เพราะเหตุใด?
    - ตัวเอง เพราะคำครหาต่างๆก็เป็นแค่อุปสรรคที่คนอื่นสร้างขึ้น แต่สิ่งที่ต้องสู้ด้วยคือความโกรธ/ความไม่พอใจของตัวเอง เมื่อชนะได้เมื่อไหร่ย่อมก้าวข้ามขีดจำกัดของตนได้

    2.คุณคิดว่าเลือดแต่ละสีมีจุดเด่นอย่างไร ตามความคิดของคุณ (ทุกสี)
    - เลือดก็เป็นเพียงเลือดไม่มีสูงมีต่ำ สิ่งที่ตีค่ามันคือคนในสังคมต่างหาก
    - เลือดของผมน่ะเหรอ? มันก็แค่วิชาและศาสตร์ความรู้ที่สั่งสมมาในตระกูลทำให้มันเกิดขึ้นต่างหาก (หมายถึงคุณสมบัติล้างพิษ)

    3.คุณคิดว่าเวทย์มนตร์ึคืออะไร?(ในฟิคเรื่องนี้)
    - อำนาจของธรรมชาติ, ลมหายใจของโลก, กระแสที่หล่อเลี้ยงสรรพสิ่งบนโลกให้เป็นไปตามกฏของธรรมชาติ
  7. angelgirl

    angelgirl New Member

    EXP:
    69
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    คำถาม
    1.คุณคิดว่าอะไรคือศัตรูของคุณ? เพราะเหตุใด?
    - ความคิดที่ไม่ดี เพราะความคิดที่ไม่ดีเมื่อคิดมากเข้า ก็จะทำให้จิตใจของเราเปลี่ยนไปในด้านลบมากขึ้น และเป็นเหตุทำให้คนเราทำเรื่องเลวร้ายได้
    2.คุณคิดว่าเลือดแต่ละสีมีจุดเด่นอย่างไร ตามความคิดของคุณ (ทุกสี)
    - สีน้ำตาล นึกถึงไม้และดิน อันเปรียบเสมือนส่วนประกอบ รากฐาน ความมั่นคง
    - สีน้ำเงิน นึกถึงมหาสมุทร ท้องฟ้ายามค่ำคืน ความกว้างใหญ่ไพศาล ล้ำลึก และหลากหลาย
    - สีม่วง นึกถึงกลิ่นหอม เสน่ห์อันน่าค้นหา ความเย้ายวนใจ
    - สีเหลือง นึกถึงดวงอาทิตย์ ความอบอุ่น ความสดใส
    - สีขาว นึกถึงกระดาษ/ผ้าสีขาว ความบริสุทธิ์ที่ซักวันจะต้องถูกแต้มด้วยสีสันต่างๆ
    3.คุณคิดว่าเวทย์มนตร์ึคืออะไร?(ในฟิคเรื่องนี้)
    - ก็แค่สิ่งหนึ่งที่ธรรมชาติมอบให้มนุษย์สามารถใช้ได้ เช่นเดียวกับแขนขามือเท้า มันจะมหัศจรรย์พันลึกหรือเรียบง่ายธรรมดาอย่างไรขึ้นอยู่กับผู้ใช้ทั้งนั้น
  8. aurora

    aurora คาตะโอโม่ย

    EXP:
    1,631
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    86
    คำถาม
    1.คุณคิดว่าอะไรคือศัตรูของคุณ? เพราะเหตุใด?
    - ผู้ชายทุกคนที่อยู่ข้างกายและใกล้ชิดกับฟารันต์ เพราะเจ้าตัวหลงรักฟารันต์หัวปักหัวปำ แต่ก็ไม่ได้มองว่าเป็นศัตรูอาฆาตแค้นแต่อย่างใด เป็นศัตรูหัวใจ ที่ถ้าคุยกันถูกคอก็สามารถเป็นมิตรกันได้

    2.คุณคิดว่าเลือดแต่ละสีมีจุดเด่นอย่างไร ตามความคิดของคุณ (ทุกสี)
    - สีน้ำตาล : เลือดของชนชั้นสูงหรือพวกขุนนาง พวกนี้ไม่เคยได้พบกับความลำบากที่แท้จริง และไม่มีวันเข้าใจความทุกข์ยากของคนอื่น
    - สีน้ำเงิน : เลือดของชนชั้นกลางทั่วไป มีจำนวนมากที่สุด
    - สีม่วง : เลือดที่แปดเปื้อนมาจากพวกเลือดสีน้ำเงิน
    - สีเขียว : ลูกครึ่งระหว่างเลือดสีน้ำเงินกับเลือดสีเหลือง
    - สีเหลือง : เป็นชนชั้นที่ต้อยต่ำที่สุด มักถูกชนชั้นอื่นดูถูก
    - สีขาว : เลือดของผู้ที่ถูกชำระบาปทั้งหมดออกในใจแล้ว เป็นเลือดบริสุทธิ์ที่ไม่มีวันแปดเปื้อน

    *แร็กเกลียดการแบ่งชนชั้นด้วยสีเลือดเป็นที่สุด ไม่ว่าจะสูงส่งหรือต้อยต่ำเพียงใด ทุกชีวิตก็มีเพียงชีวิตเดียวที่ไม่มีอะไรมาทดแทนได้

    3.คุณคิดว่าเวทย์มนตร์ึคืออะไร?(ในฟิคเรื่องนี้)
    - พรที่พระเจ้าประทานมาให้แต่กำเนิด สามารถพัฒนาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นได้ แต่ไม่สามารถ ”เพิ่ม” ให้มีมากขึ้นได้ สามารถบันดาลสิ่งต่างๆที่เหนือธรรมชาติให้เกิดขึ้นมา แต่ก็มีขอบเขตที่ไม่สามารถทำได้ เช่น ชีวิต และ เวลา

    เสร็จ -3-
  9. Jelphyr

    Jelphyr แมวจรจัด

    EXP:
    443
    ถูกใจที่ได้รับ:
    5
    คะแนน Trophy:
    38
    มีข้อสอบแบบไม่ทันตั้งตัวด้วย....... ตอบโดยไม่ได้ดูของคนอื่นก่อน จะหลุดจุดประสงค์มั้ยหว่า.........

    1.คุณคิดว่าอะไรคือศัตรูของคุณ? เพราะเหตุใด?
    - ศัตรูในความหมายของคนที่เกลียดหรือเปล่าครับ?.... อืม...คิดว่าไม่มี...ไม่สิ จะให้ถูกคือไม่เคยคิดน่ะครับ แค่คิดเรื่องพยายามพัฒนาตนเองให้เป็นที่พึ่งพาของครอบครัวได้ก็ไม่ว่างนึกถึงเรื่องอื่นแล้ว... ก็อาจจะมีคนที่เห็นผมเป็นศัตรูหรือยืนอยู่คนละฝ่ายกันอยู่บ้างไม่มากก็น้อยตามประสาคนที่จำเป็นต้องแข่งขันกันบ้างล่ะนะครับ แต่ผมไม่ค่อยได้ให้ความสนใจสักเท่าไรน่ะครับ

    2.คุณคิดว่าเลือดแต่ละสีมีจุดเด่นอย่างไร ตามความคิดของคุณ (ทุกสี)
    - ถ้าอ้างอิงจากตำราก็คงต้องพูดว่าผู้ที่มีเลือดที่มีสีใกล้เคียงกับสีแดงก็จะมีอำนาจเวทมนตร์มาก ถ้าเป็นสีขาวก็จะมีอำนาจพลังศักดิ์สิทธิ์มาก สีอื่นๆก็มีอำนาจแฝงอื่นๆต่างๆกันไป... แต่ถ้าเป็นเรื่องนิสัยของคนที่มีเลือดสีนั้นๆผมคิดว่าคงอ้างอิงจากตำราพยากรณ์อย่างเดียวไม่ค่อยได้ เพราะผมคิดว่าสภาพแวดล้อมที่คนๆนั้นเติบโตขึ้นมามีส่วนหล่อหลอมลักษณะนิสัยมากกว่าเรื่องสีของเลือดครับ
    ...ขอโทษครับ ฟังดูแล้วเหมือนจะตอบไม่ค่อยตรงคำถาม แต่รวมๆแล้วผมคิดว่าทางคุณสมบัติพื้นฐานต่างๆคงไม่ค่อยแตกต่างจากที่มีเขียนไว้ในตำราทางชีวศาสตร์ทั่วๆไปสักเท่าไรนะครับ

    3.คุณคิดว่าเวทย์มนตร์คืออะไร?(ในฟิคเรื่องนี้)
    - อำนาจวิเศษที่แฝงอยู่ในเชื้อสายเผ่าพันธุ์ ซึ่งจำเป็นต้องฝึกฝนเพื่อนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดให้กับส่วนรวมครับ
  10. Siegfried

    Siegfried Member

    EXP:
    69
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    6
    มาตอบแล้วจ้า

    คำถาม
    1.คุณคิดว่าอะไรคือศัตรูของคุณ? เพราะเหตุใด?
    - คนที่มาทำให้คนสำคัญ/เพื่อนของเราเสียใจ
    2.คุณคิดว่าเลือดแต่ละสีมีจุดเด่นอย่างไร ตามความคิดของคุณ (ทุกสี)
    - เฉยๆ กับสีเลือดมาก ไม่แบ่งชนชั้น
    3.คุณคิดว่าเวทย์มนตร์คืออะไร?(ในฟิคเรื่องนี้)
    - คือพลังอำนาจ หากพลังเวทย์แข็งแกร่งมากก็สามารถจัดการได้ทุกสิ่ง มันคือสิ่งที่แทบจะกำหนดชะตาชีวิตมนุษย์
  11. aquafay

    aquafay Member

    EXP:
    97
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    6
    คำถาม
    1.คุณคิดว่าอะไรคือศัตรูของคุณ? เพราะเหตุใด?
    -- มิคาห์ "ตัวเราเองนี่แหละคือศัตรู ด้านอ่อนแอที่เอาแต่คิดกับตัวเองว่า "อย่างนั้นไม่ได้สิ" "ทำแบบนี้อันตรายเกินไปนะ" หรือกระทั่งด้านที่เฉลียวฉลาดคิดอะไรให้มากเกินไปจนเข้าข่าย 'หวาดระแวง' ก็จัดเป็นศัตรูต่อตนเองในอีกรูปแบบเหมือนกัน ต้องเอาชนะตนเองให้ได้ก่อน ถึงจะคิดเอาชนะคนอื่น"


    2.คุณคิดว่าเลือดแต่ละสีมีจุดเด่นอย่างไร ตามความคิดของคุณ (ทุกสี)
    -- มิคาห์ "ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องการแบ่งแยกบุคคล (หรือจุดเด่นของบุคคล) ตามสีเลือดหรอก ถ้าว่ากันตามตำราและตามคำบอกเล่าของคนอื่น เลือดสีแดงจัดเป็นเลือดของผู้มีวรรณะสูงสุด แต่ข้าก็ไม่เคยเห็นคนที่มีเลือดสีนี้นะ คิดว่าถ้ามีจริง มันก็คงสวยน่าดูเลย... เอ๋? ไม่คิดแบบนั้นเหรอ? ทำไมมองข้าแบบนั้นล่ะ?? สำหรับข้า สีเลือดไม่ได้เป็นตัวแปรสำคัญในการตัดสินลักษณะของบุคคลคนหนึ่ง แต่ยังไงคนรอบข้างข้าก็ไม่ได้คิดแบบนั้นนี่นะ อืม... ไงดีล่ะ เอาเข้าจริง ข้ามองไม่ค่อยออกนักหรอก พวกการแบ่งแยกโดยใช้สีเลือดเนี่ย แล้วก็ไม่ได้สนใจด้วยล่ะ ไม่มาหาเรื่องข้าก่อนก็พอแล้ว แต่ถ้าจำเป็นต้องตอบจริงๆ ล่ะก็...

    "สีน้ำตาล -- เอ่อ... ถ้าตามตำราล่ะก็ ชนชั้นสูงนี่นะ? สังเกตมานานแล้วว่าคนพวกนี้มักจะใช้เวทย์มนตร์ได้เก่งมาก ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่าเหมือนกัน จุดอ่อนส่วนใหญ่มักจะอยู่ที่ความมั่นใจในตัวเองกับศักดิ์ศรี คนเลือดสีนี้ชอบเอาศักดิ์ศรีนำหน้า เลยพูดคุยด้วยง่าย (อารมณ์ราวๆ ว่า เพราะมีศักดิ์ศรี เลยห้ามทำตัวหยิ่งทะนงทำนองนั้น กลับตาลปัตรกับความเชื่อทั่วไปดี) แต่ด้านนี้ก็จัดเป็นจุดอ่อนที่ใช้ทำร้ายได้เหมือนกัน (ว่าแต่อย่าระแวงข้านะ ก็แค่พูดไปตามที่สังเกตมาเท่านั้นแหละ ข้าไม่ไปทำร้ายใครก่อนหรอก เลือดสีไรก็ช่างเถอะ)

    "สีน้ำเงิน -- ไม่ค่อยมีความเห็น อย่างว่าว่าสีเลือดไม่ได้จำกัดลักษณะด้านอื่นๆ ของคนเรานี่นะ บางคนก็พูดจาด้วยง่าย บางคนก็... ไม่เข้าใกล้จะดีกว่า ว่าแต่เป็นคนเลือดสีน้ำเงินนี่น่าจะวางตัวในสังคมลำบากไม่ใช่น้อยเหมือนกัน เพราะสังคมไม่รู้จะมองเป็นชนชั้นสูงดี หรือชนชั้นกลางค่อนไปทางสูงดี ที่พูดแบบนี้ ก็เพราะข้าเคยเห็นคนเลือดสีน้ำเงินบางคนมองจุดนี้เป็นปมด้อยด้วยล่ะ แต่อย่างน้อย เลือดสีน้ำเงินก็มักใช้เวทย์มนตร์กันเก่ง หรืออาจจะคิดไปเองอีก...

    "สีม่วง -- สังเกตว่าคนเลือดสีนี้พลังเวทย์มนตร์ไม่ค่อยสูงเท่าไหร่ แต่พละกำลังร่างกายนี่มักจะสูงลิ่วติดเพดานกันทั้งนั้นเลย ถือเป็นลักษณะที่น่านิยมนับถือไม่ใช่น้อยเลยล่ะ

    "สีเขียว -- สีเลือดของข้า... ให้บรรยายนี่ยากแฮะ เหมือนให้วิพากษ์วิเคราะห์บ้านเกิดของตนเอง หรือให้ตรงอีกก็วิเคราะห์ตนเองต่อหน้าคนเป็นสิบๆ มันก็ทำไม่ค่อยได้ ใช่ไหมล่ะ ผ่านไปแล้วกันนะ

    "สีเหลือง -- ไม่มีความเห็น เพื่อนของข้าส่วนใหญ่ก็มีเลือดสีนี้ แต่ละคนก็พูดคุยด้วยง่าย ไม่เคยมีปัญหากระทบกระทั่งหรืออะไร

    "สีขาว -- สีของพระและแม่ชีสินะ.... อ๋า.. ทำไมข้าเรียกแบบนี้น่ะเหรอ ก็แค่จะได้จำง่ายๆ เวลาจะเข้าห้องสอบน่ะ สีนี้ก็เป็นอีกสีที่ใช้เวทย์มนตร์ได้เก่งมาก รู้สึกว่า... เวทย์มนตร์ที่ถนัดที่สุดจะเป็นธาตุแสง อาจจะคิดไปเอง อ้อ! เวลาข้าอยู่กับคนพวกนี้ ไม่ค่อยกล้ายกประเด็นศาสนามาพูดเลย ถ้าไม่ถูกบ่นเรื่องไม่ค่อยมีความนับถือพระเจ้าจนหูชา ก็จะถูกตีตัวออกห่างทันที สำหรับข้า ธรรมชาติเป็นทุกสิ่งทุกอย่างน่ะ สิ่งที่อยู่เหนือกฎเกณฑ์ธรรมชาติไปอีกทีอย่างพระเจ้าของคนอื่นๆ ข้าไม่ค่อยเข้าใจนักหรอก

    "เฮ้อ... ตอบหมดจนได้ ว่าแต่สงสัยมานานแล้วว่าทำไมสีเลือดแตกต่างกันแบบนี้ แต่ผิวพรรณภายนอกยังดูคล้ายคลึงกันเหมือนเดิมนะ? ทำไมล่ะ? ท่านไม่สงสัยบ้างเลยรึ? อาจเป็นเวทย์มนตร์ หรืออาจเป็นกฎเกณฑ์ที่บิดเบี้ยวไปของธรรมชาติก็ได้... ล่ะมั้งนะ ว่าแต่อยากเห็นคนเลือดสีแดงจังแฮะ ยังคิดเหมือนเดิมว่ามันคงสวยน่าดูเลยน่ะ พวกสัตว์ป่าก็มักมีเลือดสีแดงกันนะ แต่เป็นแดงเข้มๆ ไม่น่าพิศมัยเท่าไหร่หรอก เพราะอย่างนั้น อย่าทำให้พวกเขาหลั่งเลือดออกมาเลยแล้วกัน อ๊ะ... ตอบเกินขอบเขตคำถามอีกแล้ว"


    3.คุณคิดว่าเวทย์มนตร์ึคืออะไร?(ในฟิคเรื่องนี้)
    -- มิคาห์ "เวทย์มนตร์คือ... สิ่งที่ข้าไม่เข้าใจ อ่า... ไม่ใช่สิ ก็ตามที่เรียนรู้มา มันคือการควบคุมธาตุต่างๆ ได้ดั่งใจนึก โดยธาตุที่ผู้ใช้เวทย์มนตร์จะควบคุมได้ดีที่สุด คือธาตุประจำกายตนเอง... หรือเปล่า (ว่าแต่ข้าสอบตกวิชาด้านนี้มาสองรอบแล้ว จะผ่านปีสองไหมเนี่ย *ซึม*) สำหรับข้า ถ้าเจอคนที่ใช้เวทย์มนตร์ล่ะก็ เล่นงานด้วยการยิงแสกกลางหน้าผากก็พอแล้ว ถ้ามีม่านป้องกัน ก็โจมตีจากทางด้านหลัง มันก็ได้ผลตลอด แต่ว่านี่ไม่ใช่คำตอบของคำถามนี่นา มองข้ามๆ ไปแล้วกัน"
  12. Randolp

    Randolp Member

    EXP:
    56
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    6
    มาตอบแล้วคร้าบ เจี๊ยกๆ

    1. อะไรคือศตรูของคุณ >> ตอบว่า 'ตัวเราเอง' ครับ เพราะถ้าตอบตามคาร์ เพราะคาร์ ของผมจะมีพลังด้านมืดด้วย ซึ่งบางครั้งก็ยังควบคุมไม่ได้ และถ้าอ้างถึงความเป็นจริงก็คือ คนเรามีศัตรูคนแรกคือตัวเอง เพราะต้องเอาชนะความชั่ว ความโกรธ ความเห็นแก่ตัว ที่มีอยู่ในตัวเองให้ได้ครับ โดยรวมก็เหมือนพลังมืดของคาร์ นั่นเองครับ

    2. เลือดแต่ละสีมีความพิเศษอย่างไร >> เลือดสีน้ำตาล ความพิเศษคือ มีพลังเวทย์อาจจะเป็นทางสายศักดิ์สิทธิ์ หรืออาจมีผลต่อจิตใจของคนเลือดสีน้ำตาล เช่น ใจดี เป็นต้น

    เลือดสีน้ำเงิน ในความหมายทั่วไปคือผู้มีเชื้อสาย ซึ่งในฟิคอาจหมายถึงผู้ที่มีความสามารถด้านการปกครอง

    เลือดสีม่วง สีม่วงเป็นสีของความลึกลับ อาจสื่อถึงบุคคลที่ลึกลับ หรือบ่งบอกพลังในตัวเอง เช่น พลังด้านมนตร์ดำ

    เลือดสีเขียว เป็นเลือดพิเศษของผู้ที่มีกำเนิดเกี่ยวข้อง กับธรรมชาติ เช่น เอลฟ์

    เลือดสีเหลือง อาจหมายถึงผู้ที่มีความสามารถ หรือสายเลือดของการรบ

    เลือดสีขาว ก็อย่างที่คุณเจ้าของเรื่องบอกแหละครับ เป็นเลือดบริสุทธิ์ ซึ่งอาจจะเป็นยาวิเศษได้ด้วย

    สรุปง่ายๆคือเลือดทุกสี มีความสามารถเร้นลับแฝงอยู่อย่างเท่าๆกันละครับ

    3.คุณคิดว่าเวทย์มนตร์คืออะไร(ในฟิคนี้)

    ผมคิดว่าเวทย์มนตร์ในฟิคนี้ ก็คือพรสวรรค์หรือของที่เกิดมาคู่กับบุคคล ต่างๆ ซึ่งพรสวรรค์เหล่านี้จะมากหรือน้อยก็ต่างกันไป แต่เป้าหมายคือ ใช้เวทย์มนตร์เหล่านั้น ในการปกป้องผู้อื่น ใช้ในทางที่มีคุณค่า ตามแบบของ ไวท์ไนท์ละครับ
  13. swanton

    swanton Dragon on Board

    EXP:
    1,424
    ถูกใจที่ได้รับ:
    69
    คะแนน Trophy:
    113
    ฟารันต์ตอบ

    1.คุณคิดว่าอะไรคือศัตรูของคุณ? เพราะเหตุใด?
    - ใจเรานี่แหละคือศัตรูที่สำคัญที่สุด เพราะไม่ว่าคนอื่นจะทำอะไร ตราบใดที่ใจเรายังกล้าแกร่ง เราก็จะไม่มีวันแพ้ใคร แต่ถ้าเมื่อไรที่ใจเราอ่อนแอ แม้ไม่มีใครมาระราน แต่เราก็จะพ่ายแพ้ไปโดยปริยาย ดังนั้น ฉันจะต้องเข้มแข็ง และฉันจะเอาต้องชนะทุกสิ่งให้ได้!

    2.คุณคิดว่าเลือดแต่ละสีมีจุดเด่นอย่างไร ตามความคิดของคุณ (ทุกสี)
    - เอ ม..มันมีความหมายด้วยเหรอเนี่ย ฉันคิดว่านะ
    สีน้ำตาล - พวกเลือดหายาก คนพวกนี้ต้องมีอยู่น้อยแน่ๆ พวกเขาน่าจะมีฐานันดรพิเศษหรือมีภูมิหลังที่เกี่ยวข้องกับการเมืองของอาณาจักร แต่ฉันไม่คิดว่าพวกเขาจะมีพลังพิเศษเหนือพวกเราอะไรหรอก
    สีน้ำเงิน สีม่วง สีเขียว สีเหลือง - ไม่มีความเห็น ฉันคิดว่าไม่มีความแตกต่างกันมากในกลุ่มนี้ อาจจะเหมือนความแตกต่างในรายละเอียด การบ่งบอกอัตลักษณ์ของคน (เหมือนเลือดกรุ๊ป O A B AB) มากกว่าจะบอกว่ามีอะไรโดดเด่น อ๊ะ แต่ฉันว่าคนเลือดสีเหลืองเป็นคนเก่งนะ :3 (ชมเลือดสีตัวเอง)
    สีขาว - พวกเลือดศักดิ์สิทธิื์ พวกนี้น่าจะเป็นคนของศาสนา และใช้เวทมนตร์ธาตุแสงเก่ง ทำไมไม่รู้ แต่ฉันคิดว่าไวท์ไนท์หลายคนน่าจะมีเลือดสีนี้

    3.คุณคิดว่าเวทย์มนตร์ึคืออะไร?(ในฟิคเรื่องนี้)
    - มันคือสิ่งที่เรามีติดตัวมาอยู่ตั้งแต่เกิด แต่จะถูกดึงออกมาได้ผ่านการฝึกฝน และฉันเชื่อว่าเวทย์มนตร์ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน มันเป็นสิ่งเฉพาะตัวมากๆ และพลังอำนาจของมันสามารถทำลายหรือปกป้องผู้คนได้ (แต่ฉันจะใช้มันเพื่อคนอื่น ฉันมั่นใจ!)
  14. shinkyoto

    shinkyoto Well-Known Member

    EXP:
    580
    ถูกใจที่ได้รับ:
    3
    คะแนน Trophy:
    88
    1.คุณคิดว่าอะไรคือศัตรูของคุณ? เพราะเหตุใด?
    - ความเมตตา ในโลกที่คนแข็งแกร่งที่สุดเขมือบย้ำคนอ่อนแอกว่า ความเมตตา (แต่ไม่ใช่ความเลือดเย็น) นั้นทำให้คนอ่อนแอลง และผลของมันคือความตายเท่านั้น

    2.คุณคิดว่าเลือดแต่ละสีมีจุดเด่นอย่างไร ตามความคิดของคุณ (ทุกสี)
    - เลือดจะสีอะไรไม่สำคัญ เพราะผู้ประสบความสำเร็จทุกคนไม่ได้ใช้เลือดของตนเพื่อให้ได้มาซึ่ง ความสำเร็จของตนเอง

    3.คุณคิดว่าเวทย์มนตร์ึคืออะไร?(ในฟิคเรื่องนี้)
    - อาวุธที่หากอยู่ในคนที่ถูกต้องจะเป็นอาวุธที่ทรงพลัง แต่หากตกในมือของผู้กระหายอำนาจสุดท้ายมันเป็นดาบที่ปลิดชีพผู้มีมัน
  15. onikuro13

    onikuro13 Sadistic Queen

    EXP:
    299
    ถูกใจที่ได้รับ:
    7
    คะแนน Trophy:
    38
    คำถาม
    1.คุณคิดว่าอะไรคือศัตรูของคุณ? เพราะเหตุใด?
    - ความอ่่อนแอในจิตใจของตนเอง เพราะหากมีความอ่อนแอเกิดขึ้นมาจะทำให้เราไม่สามารถพัฒนาตัวเองได้ ไม่สามารถเข้มแข็งได้ สุดท้ายก็จะไม่สามารถทำอะไรได้เลย

    2.คุณคิดว่าเลือดแต่ละสีมีจุดเด่นอย่างไร ตามความคิดของคุณ (ทุกสี)
    - ไร้สาระ...สีอะไรก็เหมือนกันหมดนั่นแหละ

    3.คุณคิดว่าเวทย์มนตร์ึคืออะไร?(ในฟิคเรื่องนี้)
    - ของแถมที่บางทีถึงจะไม่อยากใช้แต่ก็ต้องถูกบังคับให้ใช้จนได้นั่นแหละ
  16. logon

    logon New Member

    EXP:
    59
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    แจกข้อสอบกันแบบไม่ให้ตั้งตัวเลยนะ คุณผอ. - -"

    คำตอบ
    1.คุณคิดว่าอะไรคือศัตรูของคุณ? เพราะเหตุใด?

    -- หืมมม.... ไม่มีแฮะ ผมไม่ถือใครหรืออะไรเป็นศัตรูของผมอ่ะ มีแค่ตอนนี้ผมชอบหรือไม่ชอบมัน ก็เท่านั้น จะมีศัตรูไปทำไมให้หนักสมองกัน? อย่างมากถ้าหมั่นไส้นักก็ซัดกันเลยดีกว่า

    2.คุณคิดว่าเลือดแต่ละสีมีจุดเด่นอย่างไร ตามความคิดของคุณ (ทุกสี)
    -- ไม่มีความเห็นครับ ...มันก็แค่สีเลือดไม่ใช่รึไง?
    คุณไปเปิดหนังสือประวัติศาสตร์อาณาจักร ไม่ก็พวกหนังสือชีววิทยาทั้งหลายนั่นอ่านเอาไม่ได้เรอะ? ...อ่า ไม่ได้สินะครับ นี่มันปัญหาของคุณเองแท้ๆนา ไม่ใช่ของผม ....เฮ้อ ผมต้องตอบจริงๆใช่มั้ยเนี่ย
    สำหรับเลือดสีน้ำตาลนั่น ส่วนใหญ่พวกชนชั้นสูงจะมีเลือดสีนี้กัน ไปๆมาๆเลยมีข่าวลือขึ้นมาว่าพวกเลือดสีน้ำตาลใช้เวทเก่งซะงั้น.. ไม่เห็นจะเกี่ยวซักนิด พวกเลือดสีน้ำเงินนั่นบางคนยังใช้เวทได้เก่งกว่าตั้งเยอะไป
    ผมว่าพวกเลือดสีม่วงน่าจะขี้งกนะ ฮ่าๆ พวกพ่อค้าที่บ้านเกิดผมแถวแดนใต้แต่ละคนเลือดม่วงกันทั้งนั้น ส่วนเลือดสีเขียวกับเลือดสีเหลืองน่าจะเก่งด้านการต่อสู้ไม่ก็เป็นพวกแรงควาย เพราะพ่อผมเป็นนักรบจากแดนตะวันตก ป๋าแกเลือดเขียวปี๋จนสัตว์ประหลาดยังอาย สีเหลืองกับเขียวมันก็คล้ายๆกัน น่าจะครือๆกันนั่นแหล่ะ...
    สุดท้ายพวกเลือดสีขาว ... ผมไม่เห็นมันจะมีอะไรพิเศษ นอกจากช่วยให้ผมใช้เวทด้านการรักษาได้ดีกว่าชาวบ้านเค้านั่นล่ะ -*- ...ไม่ก็ผมยังใช้งานมันไม่เป็นล่ะมั้ง 555 ก็ในครอบครัวผม นอกจากตัวผมแล้วก็ไม่ใครเลือดขาวเลยนี่หว่า ...มั้ง?
    ที่แย่คือผมไม่ชอบที่เลือดคนเรามันมีหลายสีนักหรอก คิดถึงเลือดสีเขียวๆแบบป๋าผมไหลออกมาจากตัวสาวน้อยน่ารักซักคนดูดิ.... เฮ้อ มันทำให้ผมหมดอารมณ์ได้เลยนะนั่น แต่มันก็มีข้อดีนะ เพราะผมเลือดขาว แค่ผมใส่เสื้อขาวเวลาเลือดไหลก็ไม่มีใครเห็นแล้ว ... บางทีมันก็สนุกดีแปลกๆนะ รึคุณว่าไง?

    3.คุณคิดว่าเวทย์มนตร์คืออะไร?(ในฟิคเรื่องนี้)
    -- จะมีหรือไม่มี ไม่ได้ส่งผลอะไรกับชีวิตผมนะ แต่ถ้าผมไม่มีเวทรักษาบางครั้งอาจจะมีคนอื่นตายได้ครับ (ฮา)
  17. derick

    derick Member

    EXP:
    339
    ถูกใจที่ได้รับ:
    1
    คะแนน Trophy:
    18
    บทเรียนที่ 4 : ว่าด้วยเรื่องของความลึกลับ 1







    ร่างในชุดนักเรียนสีขาวเต็มยศก้าวยาวอย่างว่องไวบนทางเดินชั้นสามของปราสาทแห่งมังกร ผ่านบานกระจกใสซึ่งเรียงรายเป็นทิวแถวยาวตลอดแนว เพียงแค่แลมองออกไปก็จะเห็นทะเลสาบอันกว้างใหญ่ส่องแสงระยับรับกับดวงอาทิตย์ยามอัสดง มันงดงามจนอยากหยุดฝีเท้าเพื่อชื่นชมนัก

    หากไม่ใช่ในเวลานี้ ....

    พื้นหินอ่อนมันวาวสะท้อนเงาของบุคคลทั้งสาม ตัวผืนผ้าคลุมสีแดงยังคงพริ้วไหวตามท่วงท่าที่แม้รีบเร่งแต่ยังคงแฝงด้วยความสงบและสง่างามไว้

    สายตาเย็นชาจ้องไปยังบานประตูไม้สีน้ำตาลเข้มที่อยู่ปลายสุดของเส้นทาง ยังไม่ทันถึงมันกลับเปิดอ้าออกต้อนรับเสมือนรู้ว่าผู้มาเยือนนั้นคือใคร และทันทีที่ทั้งหมดก้าวข้ามผ่าน บานประตูเดิมก็ปิดตัวลงด้วยความแผ่วเบา เงียบนิ่งจนแทบไม่ได้ยินแม้เสียงของกลไกซึ่งคอยทำงานอยู่

    “มันเกิดอะไรขึ้น?” ประธานสายนักรบเดินตรงเข้าหาเจ้าของเส้นผมสีฟ้าจางดูยุ่งเหยิงที่ขัดกับใบหน้าอันอ่อนโยนแลเป็นมิตร

    ผู้รอการมาของเขายื่นจดหมายซองจนหมายสีดำสนิทให้ นัยต์ตาราวท้องฟ้ายามกลางวันสดใสยังคงแย้มยิ้ม

    ประกายตานิ่งเฉยวาบขึ้นเล็กน้อย “มาถึงเมื่อไหร่?” ชายหนุ่มรับสิ่งนั้นไว้ในมือ ก่อนพลิกดูด้านหลัง มันประทับตราสัญลักษณ์คุ้นเคยสีแดงเลือดปิดผนึกอยู่

    “ประมาณ 10 นาทีที่แล้วครับ”

    อานิลถอนหายใจเฮือกยาว “เรียกรวมแสงขาวแล้วใช่ไหม?”

    “เรียบร้อยครับ แต่ที่ติดภารกิจ....” ชายคนเดิมอธิบาย รูปร่างที่ดูสูงสมส่วนของเขาขยับเข้าใกล้ผู้ที่เดินไปหย่อนกายนั่งบนเก้าอี้ประจำตัวอย่างเคยชิน

    มือของผู้มีตำแหน่งสูงกว่ายกขึ้นห้ามเหมือนต้องการบอกกล่าวว่าเข้าใจในสิ่งที่กำลังจะได้ยิน “ไม่เป็นไร”

    ซองจดหมายสีดำสนิทถูกเปิดออกเพียงแค่เลือดสีน้ำตาลซึ่งหลั่งจากปลายนิ้วเรียวของประธานสายนักรบแตะลงบนตราผนึกสีแดง มันสว่างวาบหนึ่งครั้งก่อนรูปแบบของมันจะเปลี่ยนแปลงไป เป็นสาส์นฉบับยาวประมาณหนึ่งช่วงแขน

    เขามองตัวอักษรสีเข้มที่วิ่งขึ้นบนกระดาษเป็นแถวแนวราวกับมีผู้กำลังเขียนมันอยู่ต่อหน้า ไม่นานนักมันก็จบลงพร้อมเพลิงสีขาวซึ่งลุกไหม้จนไม่เหลือแม้เศษเถ้าธุลี

    “นายไปกับฉันลูเนีย” น้ำเสียงเรียบเอ่ยแผ่ว แล้วลุกขึ้นยืนก้าวเดินนำออกไปยังประตูที่ตนเพิ่งผ่านเข้ามาได้ไม่นานนี้อีกครั้ง

    มันไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไรที่จะได้รับ ‘จดหมายปิดผนึกสีดำ’ หากแต่อานิลคิดว่ามันไม่น่ามาเอาในช่วงสำคัญแบบนี้ การดูแลนักเรียนใหม่ต้องอาศัยเวลาและความเอาใจใส่สูง จำต้องให้พวกเขาเรียนรู้อะไรต่าง ๆ ให้มากที่สุดก่อนการเป็นนักเรียนของกวินฟอร์อย่างเต็มตัว

    จดหมายปิดผนึกเป็นภารกิจระดับสูงที่มักต้องเก็บเป็นความลับ มันจะถูกส่งมายังผู้ที่ถูกระบุโดยตรง จากนั้นต้องใช้เลือดของคน ๆ นั้นเพื่อเปิดผนึกขึ้นอ่านเนื้อความ พอตัวอักษรที่ซ่อนไว้ไล่ครบทุกกระเบียดนิ้ว มันก็จะทำลายตัวเองลงในทันที

    เนื้อความส่วนใหญ่จึงจะเป็นข้อความสั้น กระชับ ได้ใจความชัดเจน “ไม่เข้าใจเลยจริง ๆ” อานิลยกมือนวดขมับเบา ๆ ขณะยังคงเดินไปยังส่วนลึกสุดของพื้นที่ ไปยัง ‘ปราการสีขาว’ ซึ่งเห็นอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล

    ปราการสีขาว คือหอคอยพิเศษ จะอยู่ในส่วนด้านหลังสุดหรือคือทิศเหนือของปราการทั้งสี่อันได้แก่ ปราการสีดำบริเวณทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ปราการสีน้ำเงินบริเวณทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ปราการสีม่วงบริเวณทิศตะวันออกเฉียงใต้ และปราการสีแดงบริเวณทิศตะวันตกเฉียงใต้

    ปราการแต่ละปราการนั้นจะเป็นปราการที่แบ่งแยกตามชั้นปี เป็นสถานที่ไว้ใช้สำหรับประกอบพิธี จัดกิจกรรมหรือเก็บรวบรวมสิ่งของข้อมูลเฉพาะเจาะจงชั้นปีนั้น ๆ เพื่อให้ง่ายต่อการค้นหาและแบ่งแยกประเภทหมวดหมู่ให้ชัดเจน

    ลักษณะของปราการแต่ละหลังจะไม่ต่างกัน เป็นเหมือนสิ่งก่อสร้างคล้ายป้อมปราการขนาดเล็ก ล้อมกรอบด้วยต้นไม้ขนาดสูงใหญ่ รั้วธรรมชาติที่รังสรรค์ขึ้นเพื่อไม่ให้สถานที่ดูมืดหม่นจนเกินไป

    จุดน่าสนใจของปราการทั้งสี่ไม่ได้อยู่ที่ตัวสิ่งก่อสร้าง มันกลับอยู่ที่พื้นซึ่งพวกมันตั้งหลักปักฐานอยู่ต่างหาก ว่ากันว่าหากปราการทั้งสี่พังทลายลง จะปรากฏวงเวทย์คำสาปขนาดใหญ่เท่ากับสนามแข่งขันกีฬากล้างแจ้งหนึ่งสนามขึ้น วงเวทย์ที่ถูกขนานนามว่า ‘ประตูแห่งโลกันต์’

    ไม่มีใครรู้ว่าวงเวทย์นั้นคืออะไรและจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้น มันเป็นเพียงสิ่งที่เล่าขานกันมาเพื่อให้คนภายในเกิดความสามัคคีกันเท่านั้นเอง

    กระนั้นหลายคนกลับสงสัยว่าหากไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรงอะไรจริง ๆ เหตุใดจึงต้องตั้งปราการสีขาวไว้ แม้ไม่ได้ซ้อนทับจุดแห่งโลกันต์ซึ่งอยู่ใจกลางของปราการทั้งสี่ แต่ในรากฐานตามบทพื้นที่ยุทธศาสตร์แห่งการปกป้องแล้ว ปราการสีขาวจะอยู่ในตำแหน่ง ‘กุญแจดอกสุดท้าย’ พอดิบพอดี

    “ไม่ว่าจะมากี่ครั้งก็ช่างเป็นที่ที่เต็มไปด้วยมนขลังเสียจริง...” จู่ ๆ ลูเนียก็พึมพำขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม ในขณะที่เดินตามหลังอานิลมาถึงยังจุดประตูแห่งโลกันต์

    คนได้ยินเลิกคิ้วน้อย ดวงตายังคงจ้องมองไปยังหอคอยสีขาวสูงเสียดฟ้าเบื้องหน้า “งั้นรึ?”

    ปราการสีขาว แม้จะรู้ว่าตั้งอยู่ยังจุดใดของพื้นที่ แต่กลับไม่มีใครเคยเห็นมันสักครั้ง เพราะมันถูกสร้างให้สามารถมองเห็นได้เฉพาะ ‘ผู้ได้รับอนุญาตเท่านั้น’

    ตัวหอคอยมีทั้งหมดหนึ่งร้อยเก้าสิบเจ็ดชั้น การจะเข้าไปภายในจำเป็นต้องอาศัย ‘กุญแจจากผู้ที่ถูกเชื้อเชิญ’ เป็นกุญแจลักษณะพิเศษที่ต้องทำสัญญาจึงจะสามารถจับต้องและใช้งานได้

    อาจฟังดูยุ่งยาก อานิลเองเคยคิดเช่นนั้นในวินาทีแรกที่ได้ยิน แต่หากลองทบทวนดี ๆ จะพบว่าความยุ่งยากนั้นคือม่านป้องกันภัยชั้นดีที่หนาแน่นเสียยิ่งกว่าลงกลอนร้อยดอกพันดอก

    อานิลหยุดยืนหน้าบานประตูไม้ธรรมดาที่ไม่ได้วิเศษไปกว่าประตูไม้ตามหอคอยทั่วไป “เชื่อมด้วยพันธะ...” เสียงนุ่มเอ่ยแผ่ว แสงสว่างสีขาวปรากฏห้อมล้อมกุญแจดอกหนึ่งในมือ

    เสียงดังแกร็กเบา ๆ บ่งบอกว่ากลไกที่ปิดตายได้ถูกเปิดออกแล้ว ชายหนุ่มออกแรงผลักบานประตูช้า ๆ เสียงดังเอี้ยดอ๊าดสะท้อนก้องภายในห้องโถงทรงกลมใหญ่

    นัยน์ตาสีน้ำตาลทองจ้องมองไปยังเสาหินตรงกลางห้องซึ่งสูงจรดยอดหอคอยด้านบน มันถูกล้อมกรอบด้วยบันไดวนนับพันนับหมื่นลักษณะเหมือนงูโอบรัดเหยื่อ

    “ไปกันเถอะ....” เขาเอ่ยอีกครั้ง คนข้างกายพยักหน้ารับ




    ===============================​





    ไม่รู้ว่าพวกเจ้าหญิงเจ้าชาย ขุนนางหรือผู้รากมากดีทั้งหลายจะมองหอพักแห่งนี้ว่าอย่างไร แต่สำหรับเหล่านักเรียนใหม่ที่กำลังยืนนิ่งอ้าปากค้างอยู่ตรงนี้มันคือ วิมานบนดินดี ๆ นี่เอง ทั้งความงดงามจากการตกแต่งภายใน ความหรูหรา แม้กระทั่งพื้นยังเป็นหินอ่อนที่ปูทับด้วยพรมกำมะหยี่ชั้นเลิศ

    ต่อให้มีคนเดินมาบอกว่าต้องนอนตรงนี้ บนผืนพรมนี่โดยไม่มีเตียงสักหลังหรือฟูกสักผืนพวกเขาก็ยอมล่ะนะ...

    หอพักนี้แบ่งออกเป็นสองฟาก ตรงกลางเป็นห้องโถงโล่งมีโซฟารับแขกตั้งเรียงรายอยู่ทั่ว ผ่านตรงจุดโถงกลางขึ้นด้านเหนือจะเป็นบานประตูไม้หนาทึบเดินลายด้วยทองคำสลัก ด้านบนบานประตูนั้นมีรูปของใครบางคนประดับอยู่ ในมือของชายชราผู้นั้นถือนาฬิกาพกทรงกลม เข็มของมันยังคงขยับไปมาบ่งบอกเวลาต่าง ๆ ของวันได้ปกติ

    ทางซ้ายมือด้านล่างเป็นห้องครัวกับห้องอาหารขนาดใหญ่พอประมาณ คะเนจากสายตามันน่าจะจุคนได้มากสุดเกือบร้อยคน แต่ที่เขาไม่เข้าใจคือทำไมหอพักต้องมีห้องครัวด้วยล่ะ??

    ด้านขวามือถูกตีขนาบกำแพงให้แคบเข้ามาเหมือนกับตัวระเบียงที่ใช้ร่มเงาของตัวตึกชั้นสองเป็นหลัก ขึ้นไปมีทางเข้าที่ค่อนข้างแบ่งแยกอย่างชัดเจน ด้วยประตูสองบานซึ่งมีแผงไม้กั้นเป็นกิจจะ

    หลังจากถูกปล่อยร่วมกับนักเรียนใหม่คนอื่น ๆ ได้พักหนึ่ง ผู้ดูแลหอพัก เอล์ฟหนุ่มนามเอเรียสก็เดินกลับเข้ามาพร้อมรุ่นพี่ทั้งสอง “ขอโทษด้วยที่ทำให้พวกท่านต้องรอนาน” ใบหน้างามเกินมนุษย์ยิ้มกริ่ม

    “เอาล่ะ! ฉันจะอธิบายสถานที่ให้พวกนายทุกคนพอเข้าใจคร่าว ๆ ก็แล้วกัน” เรนเซ่ว่า เขาค้อมคำนับน้อย ๆ ให้ผู้กล่าวตอนแรกเป็นเชิงของอนุญาต ก่อนเดินมาด้านหน้า

    “ตรงที่พวกเราอยู่นี้คือโถงกลาง พวกนายสามารถใช้มันได้ตลอดเวลาตราบใดที่ทนความง่วงไหว” ดวงตากวาดมองโดยรอบ แขนยกขึ้นกอดอก “ส่วนประตูด้านเหนือนั้นเป็นห้องสมุด มันจะมีหนังสือให้อ่านฆ่าเวลาได้พอสมควร”

    เรนเซ่ก้าวเดินพรวด ๆ ไม่กี่ก้าวก็ถึงยังบานประตูไม้หนาทึบซึ่งตนเพิ่งแนะนำไป “มันจะเปิดและปิดตัวเองลงเมื่อถึงเวลาที่กำหนด” เขาชี้ให้ทุกคนมองไปยังนาฬิกาพกทรงกลมซึ่งอยู่ในมือของรูปชายชราเหนือศรีษะตน “มันจะเปิดตอน 6 โมงเช้าและปิดลงตอนเที่ยงคืน โดยยึดนาฬิกาเรือนนั้นเป็นหลัก”

    “รุ่นพี่คะ!!!” เด็กสาวตัวเล็กชูมือสุดแขน แค่ได้ยินเสียงเหล่าเพื่อนนักเรียนใหม่ทุกคนก็รู้ว่าเธอคือใคร “คนในรูปคือใครหรือคะ??”

    “อ้า....คงเป็นชายผู้ซึ่งพบรักกับหญิงงามภายในหอพักนี้ แต่แล้วก็ต้องผิดหวังเมื่อสตรีนางนั้นได้พบรักใหม่ที่ดีกว่าตน ด้วยความเสียใจอย่างมิอาจห้ามจึงตัดสินใจจบชีวิตตนเองลงภายในห้องสมุดแห่งนี้ โดยทิ้งไว้เพียงสมุดบันทึกเล่มเล็ก ๆ และนาฬิกาพกที่เป็นดั่งเครื่องหมายความรักของคนทั้งสอง....”

    จู่ ๆ ใครคนหนึ่งก็ลุกพรวดขึ้นยืนจากกลุ่ม เขามีเส้นผมสีน้ำตาลเข้มกับดวงตาสีฟ้าสดใส มือข้างหนึ่งวาบทาบบนตำแหน่งหัวใจ มืออีกข้างวาดไปมาราวกวีที่ท่องบทลำนำ หากแต่บทไพเราะที่ควรจะได้ยินนั้นดันกลายเป็นเรื่องเล่าซึ่งทุกคนลงความเห็นว่ามัน ‘ไร้สาระที่สุด’

    “เลยกลายเป็นวิญญาณเฝ้าหอสมุดสินะคะ....หวาย....” ฟารันต์ต่อบท ทำให้เรื่องอันน่าเบื่อนั้นกลายเป็นเรื่องน่าขบขันเพราะเหตุการเชื่อคนง่ายของเธอทันที

    “ใช่เลยครับคุณผู้หญิง...” เด็กหนุ่มคนนั้นก้าวข้ามไปอย่างสนใจเพื่อน ๆ ที่นั่งอยู่ ก่อนคุกเข่าลงตรงหน้าฟารันต์ “และถ้าหญิงสาวใจร้ายคนนั้นเป็นคุณ ผมเองก็คงไม่อาจฆ่าโทษอะไรได้และยอมที่จะตายไปพร้อมกับความรักที่มีอยู่”

    “งี่เง่าสิ้นดี....” เรนเซ่บ่นพึมพำ “ไม่มีใครบ้าที่ไหนมาสร้างตำนานรักอะไรทั้งนั้น คน ๆ นี้คือท่านอธิการบดีคนแรกของโรงเรียนเรา”

    “อธิการบดี??” ฟารันต์ที่มองชายแปลกหน้าอยู่หันขวับกลับมาสนใจฟังเรื่องที่ผู้เป็นรุ่นพี่บอกต่อ

    “สมัยก่อนกวินฟอร์ไม่ได้เป็นโรงเรียนเต็มตัวครับ เป็นเพียงสถาบันสอนวิชาศาสตร์การต่อสู้เท่านั้น” ผู้เป็นหนึ่งในแสงขาวที่ได้รับภารกิจให้ช่วยดูแลรุ่นน้องกล่าวตอบความสงสัยนั้นบ้าง

    พอเห็นว่าเรื่องราวมันชักจะเลยเถิดออกไปไกลโดยที่เวลายังคงไหลไปเรื่อยอย่างหมดประโยชน์เรนเซ่จึงตัดบททุกอย่างลงอีกครั้ง ใช้สิทธิอำนาจที่ได้รับมาจัดการเรื่องทุกอย่างตามหน้าที่ของตนอย่างว่องไว

    “เอาเป็นว่าไม่มีเรื่องอะไรไร้สาระทั้งนั้นในที่นี้!” เขาเปล่งเสียงขัดการพูดคุยที่ดังระงมขึ้นทั่วห้องโถง “ทางซ้ายเป็นห้องครัวกับห้องอาหาร ใครทำอาหารเป็นก็สามารถใช้งานมันได้ มันจะเปิดตอน 6 โมงเช้าและปิดตอน 4 ทุ่มเพื่อความเป็นระเบียบ”

    เรนเซ่ชี้นิ้วไปทางด้านซ้าย ก่อนวาดไปทางขวาต่อ “ส่วนนั่นก็อย่างที่เห็น เป็นสวนไว้สำหรับนั่งเล่น ส่วนประตูสองบานที่อยู่เหนือขึ้นไปก็คือห้องอาบน้ำรวม มันจะเปิดตลอด พวกนายสามารถใช้มันได้มากเท่าที่ต้องการ แต่โดยปรกติหลัง 4 ทุ่มจะเป็นเวลาทำความสะอาด”

    เขาอธิบายถึงสิ่งจำเป็นต่ออีกเล็กน้อย ก่อนจะเริ่มให้นักเรียนหลายคนทยอยขึ้นไปห้องพักด้านบนชั้นสอง โดยผู้หญิงอยู่ทางขวา ผู้ชายอยู่ทางซ้าย จัดสรรห้องพักได้ตามใจต้องการ ซึ่งเรนเซ่ย้ำว่าให้ใช้โอกาสที่มีอยู่น้อยนิดนี่ให้คุ้ม เพราะมันคือ ‘อิสระครั้งสุดท้าย’ ที่จะได้รับกัน

    “เอาล่ะ พวกนายทุกคนมีเวลา 2 ชั่วโมงในการเลือกห้องและพักผ่อนอย่างอิสระ จากนั้นให้ทุกคนมารวมกันที่ห้องอาหารด้านล่างเพื่อทานมื้อค่ำ” เรนเซ่เอ่ย “แต่เนื่องด้วยห้องอาหารนี้คงมีขนาดไม่พอจะจุพวกนายทั้งหมด ฉะนั้นเราจะยอมแหวกกฎให้สักครั้ง พวกนายทุกคนหลังจากรับอาหารแล้วสามารถนำไปทานที่ใดก็ได้ภายในบริเวณหอพักแห่งนี้”

    เขากวาดตามองอยู่พักจนแน่ใจว่าทุกคนรับรู้ในสิ่งที่เขาพูดหมดแล้วจึงว่าต่อ “แล้วพบกันตอน 2 ทุ่ม จำไว้ให้ดีว่ากวินฟอร์เคร่งครัดเรื่องเวลาเป็นอย่างมาก และอีกอย่าง....”

    “หวังว่าพวกนายจะอ่านหนังสือ ‘ว่าด้วยกฎระเบียบและข้อห้าม’ ซึ่งมีจัดไว้ให้ภายในห้องพักทุกห้องให้จบก่อนเราเริ่มวันใหม่” เขายิ้มกริ่ม “แล้วเจอกันน้องใหม่ทุกคน”

    เล่นเอาผู้ได้ยินคิดกันไปต่าง ๆ นานา บ้างถึงกลับกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก บ้างถึงขนาดคิดว่าตนตัดสินใจผิดพลาดอะไรไปรึเปล่าที่เข้ามาเรียนที่นี่ แต่ทุกคนก็ไม่มีแววจะหันหลังกลับ ต่างมุ่งหน้าเดินเข้าสู่ห้องพักที่เปิดอ้ารอไว้

    มันไม่ได้มีแค่สองชั้น หากแต่มีทั้งหมดสามชั้น แบ่งเป็นชั้นละประมาณยี่สิบห้อง โดยมีทั้งห้องที่เป็นเตียงเดี่ยวและเตียงคู่ ทำให้คิดว่าความยาวของไอ้เจ้า ‘ปราสาท’ หลังนี้นี่มันจะกินพื้นที่ไปสักแค่ไหนกัน

    เสียงยังคงดังโหวกเหวกจากการเลือกสรรห้องพักของน้องใหม่ทั้งหลาย มันถือเป็นเวลาและโอกาสอันแสนดีที่ทุกคนจะได้ทำความรู้จักกันให้แน่นแฟ้นขึ้น อย่างน้อยก็เพื่อทำให้การเข้าเรียนจริงนั้นไม่ดูน่าเบื่อหน่ายหรือเดียวดายเพราะความเงียบเหงาจนเกินไป

    “นอนด้วยกันนะ” ดวงตากลมใสเป็นประกายจ้องมองเพื่อนคนใหม่ของเธอ น้ำเสียงเจือความออดอ้อนร้องบอกออกมาขณะก้าวยืนเต็มเท้าบนพื้นชั้นสองของตัวหอพัก

    กราเซียร์สจ้องมองฟารันต์ ท่าทางของอีกฝ่ายทำให้เธอหัวเราะออกมาเบา ๆ “เอาสิคะ อยากนอนห้องไหนล่ะ?”

    “เย้!” คนตัวเล็กกว่าร้องรับ แล้วก็จูงมือเรียวยาวนั้นไปตามทาง มองหาห้องว่างที่ประตูยังคงเปิดอยู่

    ฟารันต์พากราเซียร์สขึ้นไปบนชั้นสามเมื่อเห็นว่าห้องในมุมที่เธอชอบในชั้นสองนั้นมีเจ้าของเสียแล้ว เด็กสาวย่ำเท้าไวจนแทบวิ่ง จ้องมองอย่างมาดมั่นไปยังประตูเป้าหมายที่เปิดอ้าออกเรียกรอยยิ้มกว้างให้แต่งแต้มบนใบหน้าน่ารัก

    หากว่ามันกลับปิดลงก่อนหน้าเธอจะไปถึงเพียงไม่กี่วินาที ฟารันต์ซึ่งกำลังเอื้อมมือแตะบานประตูถึงกับอ้าปากค้างเติ่ง ยืนนิ่งจนคนที่มาด้วยรู้สึกเป็นห่วง

    “ไม่เป็นไรนะคะ ถึงยังไงเราก็พักแค่ชั่วคราวเอง” กราเซียร์สเอ่ยปลอบประโลม

    คนยืนคอตกค่อย ๆ เบนหน้าแหงนมอง นัยน์ตาสดใสคลอด้วยน้ำตาน้อย ๆ “แต่ว่า....มันริมสุดเลยนะ....” เธอชี้นิ้วไปยังบานประตูตรงหน้า

    “ถึงเราได้นอนห้องริมสุดไป แต่ใช่ว่าตอนจัดหอพักจริง ๆ เราจะได้นอนในตำแหน่งเดิมนี่คะ” เธอยิ้ม “เอาเป็นว่า ฝึกความคุ้นเคยกันก่อนดีไหม?”

    ฟารันต์มองเพื่อนหญิงของตนสลับไปมากับห้องที่หมายปอง แล้วก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “นั่นสินะ” ดวงตากลับมาส่องประกายอีกครั้ง “เกลพูดถูก! เอาล่ะไปหาห้องว่างกันเถอะ!!”

    อีกฝ่ายพยักหน้ารับด้วยความยินดี ชั่ววูบหนึ่งเธอคิดว่าเพื่อนใหม่ของเธอคนนี้คงเป็นคนสำคัญไม่น้อยแน่ ๆ ในอนาคต ด้วยความเข้มแข็งและจิตใจที่มุ่งมั่นนั่น....

    “ห้องไหนดีล่ะคะ?” เธอถามก่อนเดินเคียงข้างฟารันต์ไป

    ทางฝั่งนักเรียนชายไม่ได้วุ่นวายอย่างที่คิด ทุกคนต่างพร้อมใจกันเข้าห้องที่ว่างอยู่ตรงหน้า ไม่เรื่องมากหรือเลือกสรรอะไรให้มากความ พวกเขาต่างล้มตัวลงนอนด้วยความเหนื่อยอ่อน ถ้าเกิดห้องไหนที่เป็นเตียงคู่ก็จะเปิดรอให้มีคนอื่นเข้ามาโดยไม่สนใจว่าคน ๆ นั้นจะเป็นใคร

    แต่ใช่ว่ามันจะไม่มีคนแปลกแยกเลย รีเวลล์นวดขมับช้า ๆ เมื่อมองกุฟานที่เดินวนไปมาอยู่บนชั้นสามได้พักใหญ่ หน้าบานประตูที่ปิดสนิทเหมือนต้องการจะทำอะไรสักอย่าง

    เหตุการณ์มันเกิดขึ้นในตอนที่เขากำลังจะหาห้องพัก จู่ ๆ อีกฝ่ายก็โผล่มาแล้วลากถูเขาให้ตามไปโดยพูดเพียงประโยคสั้น ๆ ว่า ‘มานอนด้วยกัน!’

    ไอ้เขาพอเข้าใจความหมายที่พูดเพราะหยั่งได้จากนิสัยความก้าวร้าวนั่น แต่คนอื่นไม่ใช่...พวกนักเรียนคนอื่นที่ได้ยินต่างมองเขาทั้งคู่เป็นตาเดียว ไม่เว้นแม้กระทั่งชายผู้เสนอหน้าเล่าเรื่องราวไร้สาระเพื่อตอบคำถามของแม่สาวจอมวุ่นวายนั่นกลางห้องโถง

    “อะไรกัน ๆ คู่รักนั่นยังไม่ได้ห้องอีกรึ? เดี๋ยวเสียเวลาจู๋จี๋หรอก” คนพูดหัวเราะ ยืนพิงบานประตูห้องตรงข้ามกับที่พวกเขายืนอยู่อย่างสบายอารมณ์

    “ไม่ใช่ครับ” รีเวลล์ตอบทันควัน ไม่คิดให้มากความ มันไม่ใช่ก็คือไม่ใช่ แต่ยังไม่ทันได้อธิบายอะไรต่อตัวต้นเรื่องผู้เอ่ยคำพูดชวนเข้าใจผิดก็แทรกขึ้นมา

    “คู่รักอะไรของแก?” กุฟานว่า

    “อ้าว ๆ ก็นายเป็นคนพูดไม่ใช่เหรอว่า ‘ให้มานอนด้วยกัน’ น่ะ” เจ้าของผมสีน้ำตาลเข้มเอ่ยด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ

    ดวงตาสีแดงจ้องมองการสนทนาแทนที่จะเอ่ยแก้ไขอะไรต่อ เพราะเขารู้ดีว่าหากแทรกอะไรขึ้นไปแบบไม่คิดมีหวังกุฟานต้องได้ทำอะไรให้เสียเรื่องมากขึ้นเป็นแน่ ฉะนั้นเฉยไว้แล้วรอดูสถานการณ์ก่อนจะดีกว่า ยอมให้ความอึดอัดใจของตนคงอยู่ต่อไปแบบนั้นก่อน

    “แล้วมันแปลกตรงไหนวะ?” คนตัวเล็กสุดในที่นั้นว่าอย่างหัวเสีย แม้ความสูงจะเหลื่อมล้ำกันไม่มากแต่มันก็พอเห็นได้ไม่ยากนัก

    คนเริ่มเอ่ยแซวยังคงหัวเราะ “ฉันไม่เคยได้ยินใครชวนให้ผู้ชายมานอนด้วยกันเลยนะ”

    “แล้วจะชวนให้มันมานั่งด้วยกันรึไง? ห้องพักนะเว้ยไม่ได้ห้องกินข้าว”

    รีเวลล์คิดว่ามันคือการถกเถียงที่ไร้สาระที่สุดเท่าที่เคยเจอมา เขาถอนหายใจหนักและเป็นฝ่ายเริ่มกล่าวอะไรบ้าง “ขอโทษนะครับดูเหมือนว่าคำพูดของกุฟานจะทำให้เข้าใจผิด แต่ความจริงแล้วผมเพิ่งเจอกับหมอนี่เมื่อตอนเข้ารับการทดสอบ และอาจเป็นเพราะนิสัยของหมอนี่ทำให้ไม่มีใครเป็นเพื่อน”

    เขาเว้นจังหวะ “ด้วยเหตุนี้เองทำให้เขาชวนผมมานอนพักห้องเดียวกัน” เด็กหนุ่มเน้นคำ

    “โอ้....แบบนี้นี่เอง” คนกอดอกพิงประตูพยักหน้าหงึกหงัก “แต่ท่าทางคนอื่นจะไม่ได้เข้าใจแบบนั้นล่ะนะ”

    “ก็พอจะทราบล่ะครับ” ดวงตาสีแดงของรีเวลล์กวาดมอง “แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร เพราะอีกไม่นานข่าวลือก็จะหายไปเอง” สองขายาวก้าวเดินไปยังห้องที่เปิดอ้าอยู่อย่างไม่สนใจ “แล้วพบกันครับ”

    “อ้าวเฮ้ย!! เดี๋ยวสิวะ!! นี่แกหลอกด่าฉันเรอะรีเวลล์!!!” กุฟานที่ไม่มีช่องให้สอดโวยขึ้นเมื่อทบทวนคำพูดขอคนที่เดินหนีไปแล้วได้

    “ฉันแร็กน่า ร็อคนะ!!”

    พอได้ยินคนกวนบาทาตอนแรกเอ่ยแนะนำตนเอง กุฟานและรีเวลล์ก็พร้อมใจกันหันมอง นัยน์ตาของทั้งสองสื่อความได้ประมาณว่า ‘ใครไปอยากรู้จักเอ็งวะ?!’

    พอเห็นแบบนั้นหนุ่มนามแร็กน่า ร็อคก็หลุดขำพรืดออกมา ในใจชวนให้นึกว่าชีวิตการอยู่ในโรงเรียนกวินฟอร์แห่งนี้คงไม่ได้น่าเบื่ออย่างที่คิด “ต้องบอกว่ามันไม่น่าเบื่อตั้งแต่แม่สาวนั่นแล้วมากกว่า” เขาว่าเสียงเบาก่อนจะกลับเข้าห้องพักตนไป







    ==================================​












    ตอนใหม่ ๆ 5 5 5 ต้องบอกก่อนว่าตอนนี้ผมแทบไม่มีเวลาแต่งเลยจริง ๆ ปัญหาอยู่ที่นิยายเรื่องหลักที่จำเป็นต้องคลอดออกมาให้จบด้วย ทำให้เวลาในการแต่งเรื่องอื่น ๆ ลดลงตาม แต่จะพยายามมาต่อไม่ให้ขาดครับ

    จริง ๆ ตอนนี้ต้องเป้นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับแสงขาว แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้มันต้องถูกตัดออกโดยไปปริยาย และค่อย ๆ ทยอยลงทีละนิด ๆ แทน สำหรับในตอนนี้ก็ยังคงเป็นอะไรที่ไร้สาระเช่นเดิม กร๊ากกกกกกกก มีสาระมากเกินไปก็น่าเบื่อเนอะ [action]โดนคนอ่านถีบ[/action]

    ตอนหน้าจะเข้าสู่พลอตหลักที่วางไว้จริง ๆ ล่ะ และคิดว่าคงได้มีการสลับกันไปมาระหว่างเรื่องของปี 1 และปีอื่น ๆ

    ขอบคุณสำหรับตัวละครที่ออกในตอนนี้ และอยากบอกเช่นเดิมสำหรับผู้ที่ยังไม่ออกให้รออีกสักหน่อยนะครับ

    ท้ายสุดขออนุญาตไม่ลงว่ามีใครออกบ้างในแต่ละตอน เพราะผมเชื่อว่าถ้าคนตามอ่านคงจะรู้เอง (ไม่รู้ก็ไปเปิดดูกระทู้รับสมัครซะเถิดจะเกิดผล)


    :medance.:



    EDIT : ขอบคุณยูสำหรับคำผิดจ้า
  18. alladiya

    alladiya สมาชิกที่ไม่มีอยู่จริง

    EXP:
    1,207
    ถูกใจที่ได้รับ:
    11
    คะแนน Trophy:
    88
    บรรทัดสุดท้ายนี่ขำจริงอะไรจริง อัตตา หิ อัตโน นาโถ สินะ -3-





    เจอคำผิดตัวนึง

    “ส่วนประตูด้านเหนือนั้นเป็นห้องสมุด มันจะมีหนังสือให้อ่านคร่าเวลาได้พอสมควร"

    ฆ่า เน้อ
  19. train

    train Member

    EXP:
    498
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    16
    ฟิคมี๊นี่ท่ามีภาพประกอบคงอลังการไม่น้อยเลยทีเดียว!!!

    แต่เอาเถอะ แค่วาดภาพตามคำบรรยายก็หรูหราแล้ว
    ในส่วนของตัวละครถ้าถามว่าอ่านแล้วสับสนไหมล่ะก็ ไม่ค่อยนะครับ ถ้าตัวละครออกใหม่ผมก็จะมึนๆนิดหน่อยแต่หลังๆก็โอเคแล้วล่ะ
    คำผิดที่เตะตาก็อย่างที่ยูบอกเด้อ *w*/

    รอตอนต่อไปปปป
  20. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    อ่านๆดูแล้วก็เป็นระบบหอพักที่อิสระน่าดูเหมือนกันนะเนี่ย ไม่มีเคอร์ฟิวเวลานอนอยากนั่งเล่นในห้องโถงยันเช้าก็ได้เนี่ย >_<
  21. aquafay

    aquafay Member

    EXP:
    97
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    6
    ในขณะที่เด็กใหม่มีความสุขกัน ข้างฝ่ายโรงเรียนเองก็ดูมีอะไรไม่ชอบมาพากลอยู่แฮะ กำลังนั่งคิดอยู่ว่าจะมาเกี่ยวข้องกับแต่ละตัวละครในรูปแบบไหนหนอ ^^"

    ตอนนี้ ไม่มีคอมเมนท์อะไรมากมาย รอตอนต่อไปเน้~



    ป.ล. แอบเห็นด้วยกับเทรนว่า ถ้ามีภาพประกอบ คงอลังการสุดๆ ไปเลย
  22. aurora

    aurora คาตะโอโม่ย

    EXP:
    1,631
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    86
    ยิ่งอ่านก็ยิ่งมั่นใจว่า พี่นุ๊กเขียนบรรยายสถานที่ต่างๆได้เก่งมากๆ อ่าแล้วจินตนาการได้ถึงความหรูหราอลังกาลยิ่งใหญ่ของสถานที่นั้นๆจริงๆ สุดยอดมากๆครับ

    แร็กนี่มันเปิดตัวได้กวนมาก ท่าทางมันจะกวนบาทาไม่น้อยทีเดียว

    รออ่านต่อไป !!
  23. Siegfried

    Siegfried Member

    EXP:
    69
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    6
    ว้าว มาแล้ว

    แค่จดหมายนี่ต้องละเอียดขนาดนั้นเลยเนอะ ฮ่าาาาา

    แล้วในหอจะมีเรื่องกิ๊กกั๊กกันตั้งเริ่มเลยงั้นหรือนี่ :medance.:

    P.S.กระทั่งกวินฟอร์ยังมีตำนานผี อืม.... ที่ไหนมีโรงเรียน(หอพัก)ที่นั่นต้องมีเรื่องผีจริงๆ=A=b
  24. swanton

    swanton Dragon on Board

    EXP:
    1,424
    ถูกใจที่ได้รับ:
    69
    คะแนน Trophy:
    113
    จินตนาการล้ำเลิศมากนุ๊กกี้ เป็นผลพวงมาจากการแต่งแฟนตาซีจนชำนาญสินะ ทั้งระบบกุญแจของทางเข้าประตูโลกันตร์ ทั้งสารปิดผนึก ทั้งรูปอธิการถือนาฬิกา จะบอกว่ามันแฮรี่ พอตเตอร์ ย่อมๆเลยนะเนี่ย!
    ขณะที่ทุกคนกำลังวุ่นวายกับเด็กปีหนึ่ง ทางพวกระดับสูงก็มีเรื่องน่ากังวลใจเกิดขึ้นสินะ สนุกดีนุ๊กกี้ ผมจะจำการวางพล็อตให้น่าสนใจแบบนี้ไว้เป็นโมเดลแต่งฟิคนะ (มันทำให้ฟิคน่าติดตามมากๆ ผมยังอยากรู้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่)

    ชอบการเอาใจใส่รายละเอียดความแตกต่างระหว่างผู้ชายกับผู้หญิง ประมาณว่าผู้หญิงเรื่องมาก แต่ผู้ชายอะไรก็ได้ ขอให้ได้หลับก่อน (ฮา) เกลน่าสงสารง่ะ โดนฟารันต์ลากไปโน่นมานี่ตลอดเลย (แต่เกลก็เป็นคนดีนะ ผมชอบเกลซะแล้ว)
    แร็กน่า........ ไอ้คำพูดกับท่าทางแบบนั้นมันแทบทำเอาตรูกินข้้าวไม่ลงเลย (เลี่ยนจัด)

    รอคอยฟังผลการจัดหอพักต่อไปเน้อ
  25. PaiaAznable

    PaiaAznable มนุษย์ตู้ปลาช้ำรัก

    EXP:
    744
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    86
    ด้านนึงเข้าเรื่องซีเรียส อีกด้านก็ยังคงความคอมเมดี้ไว้เช่นเดิม >w<

    เห็นการบรรยายห้องโถงแล้วชักอยากนอนในห้องโถงแล้ววุ้ย เหอๆๆๆ

    ปล.เจ้าแร็กน่าจะน้ำเน่าไปไหน.... เห็นแล้วกินข้าวไม่ลง OTL

Share This Page