[ประกวดฟิคสั้น] Many Colors

กระทู้จากหมวด 'ประกวดเรื่องสั้นครั้งที่ 4 "ขอบคุณ"' โดย aquafay, 30 พฤศจิกายน 2010.

  1. aquafay

    aquafay Member

    EXP:
    97
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    6
    Many Colors




    เมืองเล็กๆ ที่มาเรียเกิด และเติบโตมา ก็ไม่มีอะไรโดดเด่นเป็นที่น่าสนใจนักหรอก นอกเสียจากว่า มันเป็นเมืองเขตชนบทที่สงบมากจนเข้าขั้นเงียบเหงาเท่านั้น ถนนหนทางในเมืองยังเป็นดินทรายแน่นแข็ง ไม่ใช่คอนกรีตแบบนครใหญ่ที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบไมล์ บ้านเรือนก็ยังเป็นบ้านเรือนทรงเก่าแก่ เคยมีสภาพอย่างไรในยุคอาณานิคมบุกเบิก ยามนี้ ซึ่งเป็นศตวรรษที่ยี่สิบ ก็ยังคงอยู่แบบนั้น


    มาเรียเพิ่งจะอายุครบสิบขวบเมื่อวานซืน ที่จริง เธอไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเธอสมควรจะลงท้ายเลขอายุของเธอด้วยคำว่า ‘ปี’ หรือ ‘ขวบ’ ดี แม่บอกว่า ‘ขวบ’ ไว้ใช้ลงท้ายอายุของเด็กๆ แล้วอายุเลขสิบนี่จัดว่าเป็นผู้ใหญ่หรือยังนะ มาเรียเป็นลูกคนเดียว ไม่มีพี่หรือน้องไว้ให้เปรียบเทียบ แถมเธอยังไม่ค่อยมีเพื่อนอีก เด็กคนอื่นในโรงเรียนไม่ได้ช่างคิดเหมือนเธอ พวกเขายังชอบวิ่งกระโดดโลดเต้นไปมาในสนามเด็กเล่น มาเรียไม่ได้เป็นแบบนั้น กิจกรรมเช่นนั้นไม่อาจให้ความสำราญต่อเธอได้ ดังนั้น เธอจึงมักปลีกตัวจากเด็กอื่น และหาความสุขเองตามลำพัง


    โรงเรียนอยู่ค่อนข้างไกลจากบ้าน เดิม พ่อจะเป็นคนไปรับไปส่งมาเรีย แต่ในวันเกิดครบรอบสิบขวบที่ผ่านมา พ่อให้ของขวัญเธอเป็นจักรยานสีฟ้าใหม่เอี่ยมอ่องคันหนึ่ง ไว้ให้เธอปั่นไปโรงเรียนเอง โดยไม่ต้องพึ่งผู้ใหญ่ ปรกติ การปล่อยเด็กๆ ให้ไปไหนมาไหนคนเดียว เป็นเรื่องไม่สมควร แต่เมืองแห่งนี้ไม่มีอาชญากรรมเกิดขึ้นมานมนานหลายต่อหลายสิบปีแล้ว บรรดาผู้ปกครองเลยค่อนข้างไว้วางใจให้เด็กๆ ดูแลกันและกันเอง


    และในยามนี้ เช้าวันอันสดใสวันหนึ่งในหน้าร้อน มาเรียปั่นจักรยานคันใหม่ของเธอเวียนไปเวียนมาบนถนนหน้าบ้าน แดดส่องแสงเจิดจ้า แต่หมวกฟางประดับริบบิ้นสีฟ้าสดของเธอก็ช่วยบังแสงไม่ให้แยงตาได้เป็นอย่างดี


    คุณนายออสวอลด์ เพื่อนบ้านทางฝั่งซ้าย กำลังตัดตกแต่งพุ่มไม้ริมรั้วขาวของเธออยู่ คุณนายออสวอลด์แก่มากแล้ว แต่ยังเคลื่อนไหวได้กระฉับกระเฉงเสียกว่าบลอนดี้ ลูกสาววัยรุ่นของครอบครัวแซมป์สัน เพื่อนบ้านทางฝั่งขวาของมาเรียเสียอีก บลอนดี้เอาแต่ขลุกอยู่ในห้องนอนของเธอ ซึ่งก็อยู่ตรงข้ามกับห้องนอนของมาเรียพอดี มาเรียรู้ว่า บลอนดี้ติดมือถือของตนเองอย่างหนัก คุยมือถือกับใครไม่รู้ตั้งแต่เพิ่งกลับจากโรงเรียนยันรุ่งอรุณของวันถัดไป พอจับได้ว่ามาเรียแอบมองผ่านหน้าต่าง บลอนดี้ก็รีบมาบังคับข่มขู่มาเรียไม่ให้บอกผู้ใหญ่คนไหน โดยเฉพาะคุณและคุณนายแซมป์สัน พ่อแม่ของเจ้าหล่อน


    มาเรียเคยเห็นคุณนายแซมป์สันมาปรึกษากับแม่ของเธอ เรื่อง ‘ผู้ชาย’ ของบลอนดี้ ไม่รู้ว่ามันเกี่ยวอะไรกับการที่เด็กสาวคุยมือถือยันเช้าหรือเปล่า


    ปั่นจักรยานต่อไปอีกหนึ่งช่วงหลัง ถัดจากบ้านของคุณนายออสวอลด์ เป็นบ้านของไวโอเล็ต เพื่อนร่วมชั้นของมาเรีย มาเรียและไวโอเล็ตคุยกันได้ถูกคอ ถึงจะไม่ค่อยสนิทกัน พอเห็นรั้วทาสีม่วงอ่อนของไวโอเล็ต มาเรียก็นึกได้ว่า เธอควรจะบอกเพื่อนของเธอเรื่องของขวัญชิ้นใหม่ คือจักรยานสีฟ้าคันนี้ และบางที เธอกับไวโอเล็ตอาจจะปั่นจักรยานไปเที่ยวไหนต่อไหนด้วยกัน ไวโอเล็ตมีจักรยานสีม่วงอยู่คันหนึ่ง


    พอคิดได้แบบนี้ มาเรียก็จอดจักรยานลงหน้าบ้านเพื่อน พอยกมือจับรั้วปุ๊บ เธอก็ได้ยินเสียงเห่าขรมมาจากท้ายบ้านไวโอเล็ต ถึงจะมองไม่เห็น แต่มาเรียก็รู้ว่าเป็นเสียงของเจ้าบูล สุนัขพันธุ์ผสมตัวมหึมาที่ครอบครัวของไวโอเล็ตเลี้ยงไว้ ครอบครัวของไวโอเล็ตจะขังมันไว้หลังบ้านในเวลากลางวัน และปล่อยออกมาในสวนเฉพาะเวลากลางคืน มาเรียไม่เคยเห็นเจ้าบูลออกมาเดินเล่นนอกบ้านอย่างสุนัขตัวอื่นมาก่อนเลย


    ประตูบ้านของไวโอเล็ตเปิดออกอย่างเชื่องช้า พร้อมกับใบหน้าของไวโอเล็ตยื่นพ้นขอบประตูออกมา เพื่อดูว่าแขกเป็นใคร พอเห็นมาเรียโบกมือไหวๆ อยู่ เด็กหญิงก็ยิ้มกว้าง ผลักบานประตูไปจนสุด และกึ่งเดินกึ่งวิ่งข้ามทางเดินในสวนหน้าบ้านมาหามาเรีย


    มาเรียชี้ให้ไวโอเล็ตดูจักรยานคันใหม่ของเธอ


    “พ่อฉันซื้อให้เมื่อสองวันก่อน” เธอว่า “ฉันมาชวนเธอไปปั่นจักรยานเล่นด้วยกัน ไปไหม วันนี้อากาศดีเกินจะอยู่ในบ้านเฉยๆ นะ”


    “ต้องขอแม่ก่อน รอแป๊บนะ”


    ไวโอเล็ตวิ่งกลับเข้าไปในบ้าน ไม่นานจากนั้น มาเรียก็เห็นแม่ของไวโอเล็ตยื่นหน้าผ่านกรอบประตูมามองเธอชั่วปราดหนึ่ง ก่อนจะผลุบหายกลับไป เด็กหญิงยืนรออีกพัก ก็เห็นไวโอเล็ตเดินออกจากประตูมาในชุดใส่ออกนอกบ้าน เพื่อนของเธอวกหายไปทางหลังบ้าน ก่อนจะกลับออกมา จูงจักรยานสีม่วงของตนเองมาด้วย


    ระหว่างเปิดประตูรั้วให้ไวโอเล็ต มาเรียก็คิดไปเรื่อยว่า แม่ของไวโอเล็ตชอบสีม่วงมาก ทุกๆ อย่างในบ้านหลังนี้ดูจะเป็นสีม่วงไปหมด นับแต่ชื่อของลูกสาว สีของรั้ว ดอกไม้ที่บานในสวน จักรยาน และบางที ในบ้านอาจจะมีกระทั่งวอลเปเปอร์สีม่วงสดใสละลานตา มาเรียไม่เคยได้รับคำชวนให้เข้าไปในบ้านของไวโอเล็ต จึงได้แต่ต้องจินตนาการเอา


    ไวโอเล็ตไม่มีพ่อ ซึ่งเป็นเรื่องแปลก ปรกติ ทุกบ้านจะต้องประกอบด้วยพ่อ แม่ อย่างละหนึ่ง และลูก ที่อาจมีมากกว่าหนึ่งก็ได้ มาเรียเคยถามแม่ของตนเรื่องนี้ แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบใดเกินไปกว่า ‘เดี๋ยวโตขึ้น ลูกก็เข้าใจเอง’


    ทั้งสองคนปั่นจักรยานเลียบริมถนนไปด้วยกันจนเลยพ้นถนนหน้าบ้านของตนเอง ล่วงเข้าสู่ถนนสายใหญ่ที่ตัดผ่านเมืองเล็ก แบ่งเมืองเป็นสองซีก ถ้าปั่นจักรยานตามถนนสายใหญ่นี้ไปทางทิศตะวันออกเรื่อยๆ ก็จะเห็นท้องทุ่งกว้างอ้างว้าง ผ่านท้องทุ่งดังกล่าวไปอีก ก็จะล่วงเลยเข้าสู่นครใหญ่ ซึ่งมาเรียเคยไปไม่กี่ครั้ง ทุกครั้งไปในเบาะท้ายของรถปิ๊กอัพของพ่อ นครใหญ่ในความทรงจำของมาเรียนั้นน่าหวาดกลัว และชวนหดหู่ แต่เธอก็ไม่อาจทราบได้ว่าเหตุใดเธอจึงรู้สึกเช่นนั้น บางที อาจเพราะนครใหญ่นั้นมโหฬารเกินไป เนืองแน่นด้วยผู้คนเกินไป และจืดชืดเย็นชาเกินไป


    แต่สองเพื่อนหญิงยังไม่อยากปั่นจักรยานมาราธอนเข้าเมืองใหญ่ตอนนี้ ดังนั้นพอล่วงเข้าถนนสายใหญ่ ไวโอเล็ตก็หยุดจักรยาน และถามมาเรีย “ไปไหนกันดี ไปซื้อขนมที่มินิมาร์ทดีไหม”


    มาเรียสั่นหน้า “ยังไม่ถึงเวลากินข้าวซักหน่อย ไปเล่นกับหมาแมวในร้านขายสัตว์เลี้ยงดีกว่า”


    ไวโอเล็ตย่นจมูก “ฉันไม่ชอบสัตว์เลี้ยงเลย จะหมาหรือแมวก็ช่างเถอะ แค่เจ้าบูล ก็ทำให้ปวดหัวจะแย่อยู่แล้ว”


    “ถ้าไม่ชอบหมา แล้วทำไมเลี้ยงไว้ล่ะ”


    “มันเป็นหมาของ...” ไวโอเล็ตชะงักไปนิดหนึ่ง สีหน้าลำบากใจคล้ายไม่อยากเล่าต่อ “...ของคุณพ่อของฉัน คุณพ่อทิ้งมันไว้ให้คุณแม่เลี้ยง แต่คุณแม่ก็เลี้ยงไม่ค่อยดีนักหรอก ท่านก็ไม่ชอบหมาพอกันกับฉัน”


    “ไวโอเล็ตมีพ่อด้วยเหรอ” มาเรียถามอย่างบริสุทธิ์ใจ “ทำไมฉันไม่เคยเห็นเขาเลย”


    “พ่อจากฉันไปตั้งแต่ฉันยังเด็กๆ น่ะ ฉันเองก็จำเขาไม่ได้หรอก เคยเห็นแต่ภาพถ่ายของเขา แม่ไม่เคยพูดถึงเขาเลย แต่ถ้าฉันถามถึง ก็จะเอาภาพถ่ายมาให้ดู” พอเล่าถึงตรงนี้ ไวโอเล็ตก็ทำท่านึกอะไรขึ้นได้ “วันไหน มาเรียอยากแวะมาบ้านฉัน ก็มาได้นะ ฉันจะเอาอัลบั้มภาพถ่ายของพ่อให้ดู”


    มาเรียอดดีใจไม่ได้ ทั้งที่มันก็เป็นแค่คำชักชวนธรรมดา เด็กหญิงไม่เคยได้แวะบ้านเพื่อนมาก่อนเลย ส่วนหนึ่งเพราะเธอไม่เคยสนิทกับใครถึงขั้นจะเข้าบ้านเขาได้ ไวโอเล็ตจะเป็นเพื่อนคนแรกที่มาเรียได้แวะไปหา และบางทีอาจได้ทานมื้อเย็นของแม่ของไวโอเล็ตด้วยกัน


    “กลับกัน เธอก็มาบ้านฉันได้เหมือนกันนะ” มาเรียชวนบ้าง “แม่ของฉันทำเค้กอร่อยมากๆ เลยล่ะ วันไหนเธอจะมาก็บอกก่อนได้ แม่จะได้ทำเค้กรอไว้ จริงๆ กลับไปตอนนี้ขอแม่ตอนนี้ก็ยังได้เลย”


    ไวโอเล็ตยิ้ม “ว่าไป ก็นึกอะไรดีๆ ได้ แวะไปหามินนี่ด้วยกันเถอะ มาเรียไม่ค่อยได้คุยกับมินนี่นี่นา บ้านของเธออยู่ที่อีกถนนตรงข้ามกับถนนบ้านพวกเราเอง”


    มาเรียจำมินนี่ได้ เด็กหญิงตัวเล็กกะจิดริดจนเหมือนว่าแค่ลมพัดมาเบาๆ ก็จะหอบเธอไปได้ทั้งร่าง มินนี่เรียนคนละห้องกับมาเรียและไวโอเล็ต


    “จะดีเหรอ ฉันไม่สนิทกับมินนี่นะ...” พูดไปแล้ว มาเรียก็นึกได้ว่า ตนเองก็ไม่ได้สนิทกับไวโอเล็ตเช่นเดียวกัน ที่คุยกันได้ ก็เพราะบ้านอยู่ติดกัน และเรียนห้องเดียวกันแค่นั้นเอง


    “ก็เดี๋ยวจะแนะนำให้รู้จัก จะได้สนิทกัน มาเรียไม่ค่อยมีเพื่อนไม่ใช่เหรอ มินนี่เป็นคนน่ารักช่างพูด ต้องคุยกับเธอได้ถูกคอแน่ๆ เลย” ไวโอเล็ตยิ้มกว้าง ปั่นจักรยานวนรอบมาเรียเล่นๆ “ถัดจากบ้านของมินนี่ ก็เป็นบ้านของคู่แฝดแซมกับจอช สองคนนี้บ้าบอมากๆ ต้องทำให้เธอได้หัวเราะทั้งวันแน่ๆ”


    มาเรียยังอึดอัดอยู่ “แต่ว่าฉัน... ไม่รู้จักคนพวกนี้เลย”


    ไวโอเล็ตยิ้มอย่างอบอุ่นให้กับเธอ “แรกเริ่มเลย เธอก็ไม่รู้จักฉัน จนกระทั่งพ่อแม่ของเธอกับแม่ของฉันแนะนำให้พวกเรารู้จักกันไม่ใช่เหรอ มาด้วยกันเถอะ ...ก้าวแรกของการเป็นเพื่อน คือการได้เริ่มรู้จักกันก่อนนะ”






    บ้านเรือนในเมืองเล็กๆ แห่งนี้ล้วนเป็นพิมพ์เดียวกันไปหมด ต่างกันแค่สีบ้าน สีรั้ว ขนาดของบ้าน และการตกแต่งในสวนหน้าบ้านนิดหน่อย ด้วยเหตุนี้ เมื่อล่วงเข้าถนนบ้านของมินนี่ มาเรียก็อดเดจาวูกลับไปหาถนนหน้าบ้านของตนเองไม่ได้ บ้านของมินนี่เป็นบ้านหลังที่สามนับจากปากถนน ตัวบ้านเล็กกะจ้อยร่อยเหมือนมินนี่ ทาสีขาวปลอด รั้วเล็กๆ ก็เป็นสีขาวเช่นเดียวกับตัวบ้าน


    ไวโอเล็ตเป็นคนจอดจักรยานหน้าบ้านมินนี่ ส่วนมาเรียจอดห่างออกไปหน่อย เธอยืนรอเก้ๆ กังๆ ระหว่างที่เพื่อนของเธอยืนเขย่งอยู่หน้ารั้วสีขาว โบกมือไปมา พลางร้องเรียกชื่อมินนี่อย่างคนสนิทกัน เด็กหญิงเหลือบมองบ้านข้างมินนี่อย่างประหม่า ทราบจากคำบอกเล่าของไวโอเล็ตว่ามันเป็นบ้านของแซมกับจอช บ้านของแซมกับจอชเป็นบ้านหลังใหญ่ บางที อาจจะใหญ่ที่สุดในเมือง ตัวบ้านก่อจากอิฐสีส้มอ่อนจาง หลังคาบ้านเป็นสีแดงเลือดนก รั้วที่ล้อมกั้นตัวบ้านเองก็เป็นสีแดงเลือดนก คลุมด้วยพุ่มไม้บางพันธุ์ที่ออกดอกสีส้มแปลกตา


    หลังไวโอเล็ตร้องเรียกมินนี่อยู่พักใหญ่ มาเรียก็เห็นหน้าต่างบ้านของมินนี่เปิดออก พร้อมศีรษะเล็กๆ ของมินนี่ยื่นผ่านผ้าม่านลูกไม้สีขาวออกมามองไวโอเล็ตกับมาเรีย เด็กหญิงกำลังยิ้มแป้นแล้นอยู่


    “ว้าว! วันนี้ ไวโอเล็ตพามาเรียมาหาฉันด้วย!”


    มาเรียเลิกคิ้ว ร้องถามมินนี่ไปอย่างลืมตัว “มินนี่รู้จักชื่อฉันด้วยเหรอ”


    “ทำไมจะไม่รู้จักล่ะ อยู่โรงเรียนเดียวกันนี่นา” เป็นคำตอบกลับ ด้วยสุ้มเสียงสดใส “รอแป๊บ ขอเปลี่ยนเสื้อก่อน แล้วเดี๋ยวจะออกไปหา ดีใจจังเลย! วันนี้มาเรียมาหาด้วย!” สองประโยคสุดท้ายเหมือนมินนี่พูดกับตนเอง โดยลืมลดระดับความดังของเสียงลง


    “วันนี้ เราจะปั่นจักรยานเล่นกัน” ไวโอเล็ตร้องบอกมินนี่ “เดี๋ยวจะไปชวนแซมกับจอชด้วย!”


    มาเรียคิดเดาไว้เล่นๆ ว่า จักรยานของมินนี่คงเป็นสีขาว และก็จริงเสียด้วย มินนี่กึ่งเดินกึ่งวิ่ง (ในชุดเอี๊ยมสีขาว) หายไปทางหลังบ้านไม่นาน ก็กลับออกมาพร้อมจักรยานสีเดียวกับชุดของเธอ ไวโอเล็ตเป็นคนเปิดประตูรั้ว ระหว่างที่มินนี่เข็นจักรยานออกมาข้างนอก


    แม่ของมินนี่โผล่ออกมาที่หน้าประตูบ้าน เธอเท้าสะเอวมองบรรดาเด็กๆ อย่างเอ็นดู หากในความเอ็นดู ก็มีความเข้มงวด และความเป็นห่วงเป็นใยแฝงอยู่


    “ดูแลกันดีๆ ด้วยนะจ๊ะเด็กๆ ห้ามกลับเย็นเด็ดขาดนะ อนุญาตให้ไปเล่นด้วยกันได้แค่ถึงบ่ายสอง เข้าใจไหม”


    “ค่า!” ไวโอเล็ตกับมินนี่ขานรับพร้อมกัน ส่วนมาเรียได้แต่ยืนเขินๆ อยู่ข้างหลังเพื่อนทั้งสอง คนหนึ่งรู้จักกันได้พักแล้ว ส่วนอีกคนเพิ่งเป็น ‘เพื่อน’ ใหม่ ถึงจะเคยเห็นค่าหน้าค่าตามานานแล้วก็เถอะ


    “แซมกับจอชเป็นคนยังไง ฉันไม่เคยคุยกับเด็กผู้ชายมาก่อนเลย” มาเรียถามไวโอเล็ตกับมินนี่ ระหว่างทั้งสามคนกำลังจูงจักรยานข้ามไปเขตบ้านของคู่แฝด


    “แซมกับจอชเป็นคู่แฝดที่บ้าบอเอามากๆ เลยล่ะ” มินนี่บอก ด้วยคำอธิบายเดียวกับไวโอเล็ตเป๊ะ “ขี้แกล้ง แต่ก็ร่าเริงสุดๆ เวลาอยู่กับสองคนนี้ จะปวดหัว แต่ก็สนุกมากๆ เดี๋ยวมาเรียก็ได้รู้”


    มาเรียยังประหม่าอยู่ แต่ในความประหม่านั้น ก็แฝงอารมณ์อย่างหนึ่งที่ไม่อาจอธิบายได้ถูก เป็นความดีใจอย่างนั้นหรือ ความเบิกบานหรือ หรือว่าความตื่นเต้นที่ได้เพื่อนใหม่ มาเรียคิดมาตลอดว่า เธอไม่อาจเข้ากับเด็กคนใดได้ เพราะเธอต่างจากพวกเขาเกินไป และด้วยเหตุนั้น เด็กหญิงจึงอยู่ตัวคนเดียวมาตลอด อย่างมากก็อาจมีพูดคุยต่อบทสนทนากับบรรดาผู้ใหญ่อีกนิดหน่อย


    วันเกิดที่ผ่านมา มาเรียก็ไม่ได้บอกใครเรื่องงานวันเกิด และยังขอร้องพ่อแม่ไม่ให้บอกใคร เธอไม่อยากให้คนที่ไม่สนิทมาร่วมฉลองงานวันเกิดของเธอ งานวันเกิดของเธอนั้น มีแค่พ่อ แม่ และเค้กหน้าตาสะสวยแถมรสชาติหวานอร่อยของแม่ก็พอแล้ว


    ทั้งที่ไม่กี่วันก่อนยังคิดแบบนี้แท้ๆ แต่ในยามนี้ มาเรียกลับรู้สึกผิดอย่างบอกไม่ถูก เธอจัดงานวันเกิดย้อนหลังจะได้ไหมนะ เออ ก็เป็นความคิดที่เข้าท่าเหมือนกัน อาจไม่จำเป็นต้องเป็นงานวันเกิดก็ได้ ชีวิตของเธอก็มีอะไรหลายอย่างให้ฉลอง เอาเป็นว่า เป็นงาน ‘ฉลองที่ได้เพื่อนใหม่’ ดีไหม


    แล้วคำว่า ‘เพื่อน’ คืออะไรล่ะ แค่ได้พบปะพูดคุยกัน ก็นับเป็นเพื่อนแล้วหรือ บางที อาจอย่างที่ไวโอเล็ตว่าก็ได้ การเป็นเพื่อน เริ่มจากการรู้จักกันก่อน และบางที การเป็นเพื่อน อาจหมายถึงการแนะนำให้รู้จักเพื่อนคนอื่นๆ เพิ่มอีก แบบที่ไวโอเล็ตทำกับเธอวันนี้


    ...คิดไปก็ปวดหัว ไม่คิดอีกแล้วดีกว่า


    จะคิดมากทำไมนี่นะ เวลานี้ควรเป็นเวลาที่มาเรียรู้สึกสนุกต่างหาก เช่นเดียวกับไวโอเล็ตและมินนี่ ที่ต่างก็มีรอยยิ้มบนใบหน้า


    มินนี่กำลังยืนกระโดดเหยงๆ เป็นกระต่ายขาวอยู่หน้าบ้านของแซมกับจอช ร้องเรียกสองเด็กชายที่ยังไม่ตอบรับเสียที ส่วนไวโอเล็ตยืนจูงจักรยานอยู่ข้างมาเรีย ที่ยืนนิ่งอยู่


    “จริงๆ จะไปร้านขายสัตว์เลี้ยงก็ได้นะ” ไวโอเล็ตบอกมาเรีย “มินนี่ แซม กับจอชก็ชอบหมากับแมวล่ะ”


    “แต่เธอไม่ชอบนี่” มาเรียว่า “ถ้าอะไรที่ทำให้เธอลำบากใจ ฉันก็ไม่เอาด้วยหรอก”


    “ฉันก็ไม่ได้ถึงกับเกลียดหมาแมวขนาดนั้น แค่ไม่ได้ชอบพวกมันเท่าไหร่เท่านั้นเอง” ไวโอเล็ตรีบโบกมือวุ่นวาย “อย่างน้อย ฉันก็ไม่ได้อยู่ใกล้พวกมัน แล้วจามตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง แบบคุณครูวิชาประวัติศาสตร์ของพวกเราสักหน่อย รายนั้นน่ะเกลียดสัตว์ของแท้”


    “เดี๋ยวค่อยถามมินนี่ แซมกับจอชอีกทีแล้วกัน” มาเรียสรุป


    ได้ยินเสียงเด็กผู้ชายตอบกลับมินนี่แล้ว มาเรียเห็นร่างเล็กๆ สองร่างยืนเบียดกันหน้าประตูบ้านของแซมกับจอช จากตำแหน่งที่เธอยืนอยู่ เธอมองเห็นพวกเขาไม่ชัดนัก เพราะมีรั้วและพุ่มไม้บัง กระนั้น อย่างหนึ่งที่โดดเด่นออกมาจากตัวพวกเขา คือผมสีแดงอมส้มเจิดจ้าราวกับกองไฟในฤดูใบไม้ร่วง


    อะไรบางอย่างกระโดดไปมารอบตัวเด็กชายสองคน มาเรียเพ่งดูครู่หนึ่ง ก็เห็นว่าเป็นสุนัขพันธุ์เล็กขนยาวสีขาวสลับน้ำตาล


    เมื่อเห็นว่าแซมกับจอชเองก็เลี้ยงสุนัขไว้ในบ้าน ประกอบกับคำบอกเล่าของไวโอเล็ตที่ว่าทั้งสองคน และมินนี่ชอบสัตว์เลี้ยง เด็กหญิงก็นึกอะไรดีๆ ขึ้นมาได้ เป็นความคิดที่เธอคิดว่าเก๋ดีทีเดียว แต่อาจต้องขอความร่วมมือจากแม่ของไวโอเล็ต และผู้ใหญ่คนอื่นเยอะหน่อย


    “นี่ แม่ของไวโอเล็ตเองก็ไม่ชอบเจ้าบูลใช่ไหม งั้นทำไมไม่ให้ฉันช่วยเลี้ยงล่ะ”


    “เอ๋” ไวโอเล็ตเผลอขึ้นเสียงสูง “จะดีเหรอ เจ้าบูลไม่ชอบคนเท่าไหร่นะ”


    “ถ้าหมั่นให้ข้าวมันทุกวัน เดี๋ยวมันก็คุ้นไปเองแหละ” มาเรียอธิบาย “เจ้าบูลดุ เพราะว่าวันๆ แม่ของไวโอเล็ตเอาแต่ขังมันไว้หลังบ้าน มันไม่ได้ออกมาเดินเล่น มันเลยหงุดหงิด แล้วก็เหงาเอามากๆ ไงล่ะ ไม่แน่นะ ถ้าขอความช่วยเหลือจากมินนี่ แล้วก็แซมกับจอช ทั้งสามคนอาจจะดีใจสุดๆ ที่ไวโอเล็ตไว้ใจให้พวกเขาช่วยเหลือก็ได้”


    ไวโอเล็ตยังแลลังเลอยู่ กระนั้น มาเรียก็เห็นแววดีใจจางๆ ในดวงตาของเธอ


    “ถึงจะฟัง... ยากไปหน่อยก็เถอะ” เพื่อนของเธอพูดช้าๆ “แต่อาจได้ผลก็ได้ พวกเราจะได้มีอะไรที่ได้ทำด้วยกันด้วยเนอะ ได้แบ่งเบาภาระคุณแม่ด้วย” ยิ่งพูด ก็ยิ่งมีน้ำเสียงตื่นเต้น ผสมผสานกับความหวังในแบบเด็กๆ


    มาเรียยิ้ม เวลาได้ทำให้คนอื่นมีความสุขเช่นนี้ เธอก็พลอยรู้สึกดีไปด้วยอย่างบอกไม่ถูก


    ไวโอเล็ตยื่นมือมาหามาเรีย ก่อนจะเอานิ้วก้อยเกี่ยวนิ้วก้อยของอีกฝ่ายไว้ เด็กหญิงยิ้มสดใส


    ขอบคุณ นะมาเรีย”


    แล้วมาเรียก็นึกได้ว่า เธอลืมคำสำคัญที่สุดที่ควรบอกไวโอเล็ตไป


    “ฉันเองก็ขอบคุณเธอจ้ะ ไวโอเล็ต”



    ---------------------------------------------​



    Author's Note: จำนวนหน้าของฟิคนี้คือ 6 หน้า ด้วยตัวอักษร Cordia New ขนาด 14 ครับ แต่เนื่องจากต้องการให้อ่านง่าย เมื่อนำมาลงบอร์ด เลยมีการเคาะ enter เพิ่ม แยกย่อหน้าให้ห่างกัน จนอาจทำให้ฟิคดูยาวๆ เกินจากกติกา อธิบายไว้ เผื่อว่าการทำแบบนี้ผิดกติกา ก็จะได้รู้ตัวว่าถูกปรับตกรอบครับผม T-T

    ขอบคุณสำหรับการจัดประกวดด้วยครับ ขอโทษที่ส่งเลต แต่งไม่ออกจริงๆ
  2. train

    train Member

    EXP:
    498
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    16
    อ่านจนจบแล้วเพิ่งถึงบางอ้อกับชื่อเรื่อง
    เด็กๆแต่ละคนหมายถึง 1 สีสินะครับ (หัวเราะ)

    เรื่องนี้น่ารักอบอุ่นมากๆเลย!
    บทบรรยายของแดนนี่ยังยอดเยี่ยมเสมอในสายตาผม >w<b
    เพิ่งรู้ว่ากติกาเค้ากำหนดให้ภายใน 6 หน้า =v=" โดยส่วนตัวแล้วเลยรู้สึกว่ามันสั้นไปเลยจริงๆ....เอ่ออันนี้พูดโดยรวมของผู้เข้าประกวดทุกคนเด้อ =v="

    ตอนสุดท้ายแอบรู้สึกจบห้วนไปนิดนึงแหละฮะ ;w; )"
    แต่ถือว่าโอเคเน้อ~ คำขอบคุณของเด็กๆดูบริสุทธิ์กันดี ^^b

    ขอให้โชคดีคร้าบแดนนี่!
  3. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    เป็นเรื่องที่อ่านเพลินดี ชอบบรรยากาศสบายๆแบบนี้อยู่แล้วด้วย จนอ่านไปถึงตอนท้ายแล้วก็นึกเลยว่า 'อ้าวจบแล้วเหรอเนี่ย'

Share This Page