[Valentine] LOVE

กระทู้จากหมวด 'Fiction' โดย Aki, 14 กุมภาพันธ์ 2011.

  1. Aki

    Aki Paradox Observer

    EXP:
    485
    ถูกใจที่ได้รับ:
    41
    คะแนน Trophy:
    48
    คำเตือน : RATE R (มีคนบอกไว้แบบนั้นตอนอ่านไปได้ประมาณครึ่งเรื่อง) จริงๆแล้วคนเขียนก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเรตไหน แต่ถ้าจะถามว่ากังวลที่จะเอามาลงไหม ก็คงตอบได้อย่างหนักแน่นว่ากังวลมาก กังวลตั้งแต่ตอนเริ่มเขียน... และพยายามให้หลายๆคนตรวจสอบภาษาให้เหมาะสมกับบอร์ดและคนอ่าน สุดท้ายแล้วถ้ามันไม่ควรหรือไม่งามอย่างไรก็จัดการแล้วแต่เห็นสมควรครับ

    +-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+


    ฉันไม่เคยคิดสงสัยเลยว่าทำไมสามีภรรยาซึ่งปฏิญาณว่าจะรักกันตลอดไปในนามของพระเจ้าหรือตัวของเขาเองก็ดีจะหย่าขาดจากกันอย่างไร้เยื่อไย

    หรือทำไมผู้ชายที่บอกรักผู้หญิงด้วยคำหวานปนเลี่ยนตลอดเช้าจรดเย็นจะไปนอนร่วมรักกับอีกคนในช่วงค่ำ

    ก็แค่...พวกเขาอาจไม่ได้รักกันมาตั้งแต่ต้น

    สำหรับฉัน สิ่งเดียวที่เป็นจริงและเกิดขึ้นได้เหมือนในภาพยนตร์โรแมนติกแทบทุกเรื่องคือฉากบนเตียงและคำพูดระหว่างสำเริงรัก นอกเหนือจากนั้นเป็นจินตนาการที่เสริมเติมแต่งเอาตามความเพ้อฝันเพื่อตอบสนองความต้องการซึ่งไม่ถูกปลดปล่อยของทั้งผู้สร้างและผู้ชม

    ฉันไม่ใช่คนรู้ดีในเรื่องความรัก แต่พวกเขายิ่งโง่เง่าเบาปัญญากว่าฉันเสียอีกที่มองไม่เห็นพฤติกรรมและความนึกคิดของตัวเอง

    ตายายคู่หนึ่งซึ่งไม่เคยผ่านวันวิวาห์หรือวาเลนไทน์ยังชวนให้ฉันสงสัยในความรู้สึกที่พวกเขามีให้กันอย่างมั่นคงมากกว่า

    เมื่อความรักเป็นเช่นนั้น แล้วจะมีค่าอันใดให้ต้องเฝ้าตามหาและหลงมัวเมาอยู่กับความลวงหลอกจอมปลอมราวกับยาเสพติดจนตนเองง่อยเปลี้ยเสียขาและเหนื่อยล้าเกินทน ความเป็นผู้หญิงแบบนั้นตายจากฉันไปนานเสียแล้ว นานเกินกว่าที่ฉันจะจำได้ว่าใครหรืออะไรเป็นคนพรากมันไป



    “มน!? เธอแน่ใจจริงๆนะว่าจะไม่ไปกับพวกเรา”
    สุธานผู้เป็นเพื่อนสาวนักธุรกิจแสนดีรบเร้าจนฉันอยากเปลี่ยนคำตอบจาก ‘ไม่’ เป็น ‘ใช่’ เพื่อสลัดความรำคาญตลอดทั้งวันทิ้งเสีย แต่ความละอายแก่ใจก็หักห้ามไว้ เหลือแต่เพียงสีหน้ากระอักกระอ่วนราวคนคลื่นไส้

    ผู้หญิงในชุดแซกสีส้มกับทรงผมบ็อบเทท่าทางมาดมั่นคนนี้เท้าสะเอว พลันถอนหายใจด้วยความระอาเช่นกัน “ฉันยอมแพ้... แล้วแต่เธอเถอะ”


    ก๊อก ก๊อก ก๊อก~
    ปลายนิ้วชี้ของฉันเคาะลงบนโต๊ะทำงานเป็นจังหวะอย่างไร้ความหมาย สายตาเลื่อนลอยไร้ที่พึ่ง มีเพียงเสียงครางของเครื่องปรับอากาศดังคลอเป็นเพื่อน

    ‘คุณทำแบบนี้กับทุกคนหรือคะ? บำรุงบำเรอราวกับอยู่บนสวรรค์... แต่คุณไม่รู้หรอกค่ะว่าสิ่งที่คุณทำก็เหมือนกับสิ่งที่เขาทำกันตามโรงแรมม่านรูดไร้ราคา และก็คงจะเป็นเหมือนกันต่อให้อยู่กลางป่า’

    ฉันผลักเขาแรงเท่ากับที่ผลักประตู หลังจากสวมใส่เสื้อผ้าเรียบร้อย


    ก๊อก ก๊อก ก๊อก~
    เสียงเคาะประตูดังมาจากทางด้านหน้ากลบเสียงเคาะโต๊ะของฉันฉุดให้สะดุ้งตื่นอยู่กับปัจจุบันในที่ทำงาน


    “เชิญค่ะ”
    เบื้องหน้าเป็นชายในชุดสูทร่างสูงสง่า ผิวขาวผ่อง ใบหน้าเรียบคมกับทรงผมซอยสั้นปัดเป๋ไปทางซ้าย “สุให้พี่มาหา... กังวลว่าเราต้องอยู่คนเดียว”

    วิชญ์เข้าใจในแววตาตั้งคำถามของฉันต่อการมาของเขา ก่อนที่จะได้เอ่ยอะไร เสียงเตือนข้อความจากมือถือของฉันก็หยุดยั้งทั้งคำพูดและอารมณ์

    [sr]Suthan, 19:12 on 13 Feb 2007
    ‘ฉันยอมเธอแล้ว... เธอก็ควรจะยอมฉันบ้าง
    พี่วิชญ์เป็นคนดีมาก แม้เธอจะพึ่งเคยเจอเขาเมื่อวาน
    แต่เธอน่าจะสนิทกับเขามากกว่านี้นะ
    อย่างน้อยก็ให้เขาได้ไปส่งเธอที่บ้านละกัน’
    [/sr]






    ฉันยิ้มด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย แต่เขาน่าจะเข้าใจได้ง่ายกว่าถ้าได้อ่านข้อความนี้

    “สุธานบอกว่าคุณเป็นคนดีมาก และฉันควรสนิทกับคุณมากกว่านี้ แถมท้ายให้คุณไปส่งฉันที่บ้านด้วย”

    “พี่จริงจังนะ...” เขาชะงักปรับน้ำเสียง หรือจริงๆอาจกำลังรู้สึกผิดเมื่อคิดถึงเรื่องที่เขาทำกับฉัน

    สุธานไม่มีทางส่งข้อความแบบนี้มาหาฉันเป็นแน่ ถ้าเพียงแต่รู้ว่าพี่ชายแท้ๆของเธอสนิทแนบแน่นกับฉันมากพอ โดยเฉพาะในโรงแรมชั้นดีระดับห้าดาว แม้จะพึ่งเจอกันเมื่อวานก็ตาม

    “ฉันรู้ค่ะ และเมื่อวานฉันก็จริงจัง แต่ฉันคงไม่จริงจังกับเรื่องของคุณทุกวัน”
    วิชญ์นิ่งอึ้ง ไม่ด้วยคำพูดของฉันก็ความละอายของเขา แต่มันไม่มีความหมายหรอก ความละอายไม่ได้แก้ไขอะไร ฉันฟังคำขอโทษมาเกินพอแล้ว และมันไม่เคยทำให้รู้สึกดีขึ้นเลย

    ถ้านั่นเป็นเรื่องที่เราควรทำ เมื่อเราทำมัน เราน่าจะรู้สึกดีขึ้น... แต่คำว่า ‘จริงจัง’ นี้ยังทำให้วิชญ์หน้านิ่วคิ้วขมวดเหมือนก่อนพูดไม่มีผิด

    “ฉันไม่ได้ไร้เดียงสา และศรัทธาในความรัก จนคุณต้องปกป้องฉันจากมลทินหรอกค่ะ... คุณไม่ได้ทำอะไรผิด เราก็แค่มีอะไรกัน…” ฉันผ่อนลมหายใจทิ้งช่วง ก่อนเน้นหนักด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “...แค่นั้น”

    เขายื่นมือมา แต่ก็ชักกลับทันควันก่อนจะได้ทำตามที่คิดไว้ “ยังไงพี่ก็อยากให้มนคิดดูดีดีอีกรอบครับ”

    ฉันถอนหายใจรดน้ำใสในแก้วตรงหน้า แผ่วเบาไหวกระทบผิวกลายเป็นระลอกคลื่น ก่อนตัดสินใจทำบางอย่างให้จริงจัง

    “เราจะไปกันรึยังคะ?”
    วิชญ์ไม่เข้าใจในความหมายของฉัน เขามีสิทธิ์จะตีความผิดอย่างที่ต้องการ “แน่นอนค่ะว่า ไม่ใช่บ้าน... แล้วก็ไม่ใช่โรงแรม...”



    ฉันไม่เคยถือสาพวกเขา เหล่าคนที่เข้ามาหาฉันด้วยกามารมณ์ทั้งหลาย มันเป็นเรื่องธรรมชาติที่คนเราจะอยากดำดิ่งลงสู่ความเลิศล้ำระหว่างเพศของกันและกัน

    แต่ที่ฉันไม่พอใจคือสิ่งที่พวกเขาพยายามอธิบายว่า นั่นคือ ความรัก และเลือกที่จะรักแบบนั้นต่อไป ...ตลอดไป

    ล่อลวงหญิงสาวให้ติดตรึงอยู่กับคำพูดหวานหู วาดหวังให้หลงลืมว่าการอยู่กับความเป็นจริงนั้นทำอย่างไร

    ท้ายที่สุดก็ฉีกกระชากทั้งร่างกายและจิตใจจนไม่เหลือแม้แต่อะไรให้ฝันได้อีก

    วิชญ์อาจไม่ใช่คนแบบนั้น เขาคงดีมากกว่าที่ฉันจะจินตนาการได้ตามที่สุธานคุยโวไว้ แต่มันสายเสียแล้วที่ฉันจะมองเขาในทางอื่น เมื่อความรักของเรามันลอยลับไปกับน้ำรักจนหมดสิ้น



    “ถึงแล้วครับ... จะให้พี่เข้าไปด้วยไหม?”
    ฉันขอให้วิชญ์ขับรถมาส่งยังบ้านพักส่วนบุคคลที่สุธานชักชวนให้ฉันมากับพวกเธอตั้งแต่แรก การพักผ่อนสุดสัปดาห์โดยเลี้ยงอาหารเด็กยากไร้ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าอาจทำให้หลายคนรู้สึกดีกับหน้าที่มอบความรัก แต่จะเป็นไปได้อย่างไรในเมื่อส่วนใหญ่ของคนพวกนี้เก็บมันไว้กับตัวจนยากจะเผื่อแผ่ใครได้อีก

    “ตามสะดวกดีกว่าค่ะ... นี่ก็ดึกมากแล้ว ถ้าไม่รังเกียจก็แวะไปทักทายน้องสาวเสียหน่อยไม่ดีหรือคะ?”
    ฉันสาวเท้าก้าวลงจากรถฉับๆและตรงรี่ปรี่ไปยังประตูบ้านโดยไม่สนใจว่าคนเบื้องหลังจะตัดสินใจเช่นไร


    ก๊อกๆ... ก๊อกๆ
    ไม่ทันที่ต้องเคาะประตูเป็นครั้งที่สาม สุธานในชุดนอนคลุมยาวสีสดระบายลูกไม้ก็โผล่มาต้อนรับด้วยใบหน้าตระหนกระคนประหลาด เมื่อลอบเห็นรถทางด้านหลังก็คลี่ยิ้มจนเกินงาม

    “ฉันตกใจจริงๆนะ... ไม่คิดว่าเธอจะโต้ตอบข้อความของฉันด้วยไม้นี้”
    ฉันไม่ใคร่จะทำให้เพื่อนผิดหวัง แต่ความจริงต่อจากนี้เจ็บปวดเกินกว่าสุธานจะฉีกยิ้มอีกต่อไป

    “มีเรื่องให้เธอตกใจกว่านี้อีกเยอะ”
    แทนที่จะพูด...เธอเลิกคิ้วถามจนเห็นริ้วรอยแห่งความล่วงวัย

    “นี่เธอเป็นเพื่อนฉันนะ... ไม่เข้าใจความหมายของข้อความนี้หรือเธอ?”
    ฉันเปิดข้อความที่สุธานส่งมาหาช่วงหัวค่ำ แล้วยื่นมือถือให้เธออ่านอีกครั้ง
    เธออ่านทวนวนไปวนมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่แล้วหางตาก็กระตุกกับความหวังดีที่ตนเองมอบให้ฉันในประโยคหลังสุด พอสังเกตสีหน้าเธออีกทีรอยยิ้มกว้างนั้นก็ไม่ปรากฏแล้ว

    “อย่างที่เธอเข้าใจนั่นหล่ะจ๊ะสุ... ฉันคงไม่ต้องอธิบายอะไรเพิ่มอีก”

    “เธอยินดีที่จะมากับฉัน มากกว่าให้พี่วิชญ์ไปส่งบ้านเนี่ยนะ... ตายแล้วยัยเพื่อนตัวดี”

    ฉันปรามสุธานด้วยสายตาก่อนที่เธอจะเข้าใจผิดไปมากกว่านี้
    “ผิดแล้วเธอ... ฉันลำบากใจที่จะมากับเธอ น้อยกว่าที่จะให้คุณวิชญ์ไปส่งที่บ้านต่างหาก”

    แล้วฉันก็เดินตัวปลิวเข้าบ้านไปอย่างสบายอารมณ์ ปล่อยให้น้องสาวตวาดพี่ชายที่หอบกระเป๋าเข้ามาทีหลังแว่ดๆตามประสาครอบครัวสุขสันต์อย่างไม่ทุกข์ร้อนอะไร



    เมื่อความฝันเจ็บปวดกว่าความจริง ฉันจึงเลือกที่จะไม่ฝันอะไรอีกในคืนนั้น เหมือนกับทุกๆคืน

    ไม่มีที่ให้ฉันหนีไปไหนอีกแล้ว ไม่มีเลย แม้แต่ในจินตนาการ

    ฉันหวาดกลัวกับหุบเหวเบื้องหน้า ลมพัดกระโชกจนใจฉันหวิว อากาศหนาวจนตัวฉันสั่น ในวินาทีที่ฉันอยากหันหลังถอยกลับ มือและเท้าของใครต่อใครก็ดันฉันไว้ไม่ให้ทำอย่างนั้น

    ท้ายที่สุดฉันก็ถูกผลักไสให้ตกลงมาสู่ที่ที่ฉันไม่อยากมา ด้วยความตั้งใจของตัวเอง



    ฉันมาถึงสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าในช่วงสายพร้อมกับสุธานและบรรดาเพื่อนมหาเศรษฐีของเธอ

    ในขณะที่ทุกคนกระตือรือร้นอยู่กับความวุ่นวายของเด็กๆ ฉันก็ปลีกตัวมานั่งอยู่ภายใต้ต้นไม้ใหญ่ในสนามหญ้าด้านหน้าโดยไม่หวังให้ใครมาตามฉันไปไหนทั้งนั้น แม้แต่กลับบ้าน

    วิชญ์ร่ำลาฉันในตอนเช้า เขามีภาระหน้าที่ซึ่งยังไม่ได้สะสางให้แล้วเสร็จจึงไม่อาจอยู่เป็นเพื่อนฉันได้ตามที่ปากพูด แม้นเขาจะทำ ฉันก็ไม่ต้องการเช่นนั้น

    สุธานและวิชญ์อาจรวมถึงเพื่อนๆของเธอถูกหล่อเลี้ยงจนเติบใหญ่ด้วยความรัก นี่จึงไม่ใช่สถานที่ของพวกเขา แต่เป็นของเด็กๆเหล่านั้น

    ...และฉัน...


    ผู้ชายคนหนึ่งผละจากกลุ่มเด็กๆ กำลังเดินตรงมาทางนี้ เมื่อพินิจพิศจากการแต่งกายและรูปร่างหน้าตา เขาไม่น่าใช่เพื่อนของสุธาน

    “ขอโทษนะครับ...”
    ทันทีที่ถึงตัว เขาหยุดยืนนิ่ง ก้มตัวลงเล็กน้อยให้ฉันซึ่งนั่งพับเพียบอยู่บนพื้นหญ้าเพื่อรักษามารยาท “...รังเกียจรึเปล่าครับ? ถ้าผมจะนั่งด้วย”

    รูปร่างของเขาสันทัดและหน้าตาก็ไม่แย่ คิ้วหนา ตาคม จมูกเป็นสัน ปากอิ่มได้รูปรับทรงผมสั้นเปิดหู ต่างจากผู้ชายมาดสำราญภูมิฐานอย่างวิชญ์ แต่เสื้อเชิ้ตสีฟ้าลายทางขาวกับยีนส์สีฟอกโทนเข้มยังทำให้ฉันรู้สึกสดใสมากกว่าผิวพรรณซึ่งไม่เกลี้ยงเกลานวลผ่องเช่นคนมีอันจะกินทั่วไป

    “ตามแต่คุณจะสะดวกค่ะ...”
    เขาลดตัวลงละพื้นที่เกือบวาให้ฉันถอนหายใจได้ไม่รดผิว ใช้มือด้านขวายันพื้นไว้ ขายืดตรงข้างหนึ่งส่วนอีกข้างตั้งชันขึ้น หันมาสบตาฉันตรงๆดั่งผู้ชายใจกล้า

    “ผมถามคุณ แต่คุณกลับแล้วแต่ผมเสียนี่... แปลกนะครับ”

    “ไม่เท่ากับการขออนุญาตคนไม่รู้จักนั่งด้วยหรอกค่ะ”
    ฉันไว้ที เพิกเฉยกับคนข้างๆ เหมือนทุกครั้งที่จะทำเมื่อต้องรู้จักใครสักคน ฉันไม่ได้กลัว แค่ไม่รู้จะปฏิบัติตนเช่นไร


    เวลาผ่านไปนาน แต่คงมากกว่าความอดทนของเขา

    “ผม...”
    เขาผงะเมื่อสังเกตว่าฉันเลื่อนใบหน้าไปตามเสียง “...คุยกับคุณได้ไหมครับ?”

    “คุณต้องถามความเห็นทุกคนก่อนที่คุณจะทำทุกอย่างหรือคะ?”
    ฉันไม่ได้ตอบรับโดยตรง แต่คำถามของฉันน่าจะทำให้เขาเข้าใจในความหมาย

    “มันไม่ใช่มารยาทหรือครับ?”

    “คงใช่ค่ะ... แต่ฉันนึกว่าเราควรให้เกียรติต่อคนที่เหมาะสมเท่านั้นนี่คะ”
    เขาถอนหายใจ หลุบตาลงต่ำ ชั่งใจว่าจะคุยกับฉันต่อหรือไม่

    “แล้วคุณก็คิดว่า ผมไม่ควรให้เกียรติกับคนที่ผมยังไม่รู้จัก?” เขายกเสียงสูงตอนท้ายกระตุกให้ฉันตอบ

    แต่ฉันนิ่งเงียบ ไม่มีเหตุผลให้ต้องตอบในเมื่อเขารู้จากคำพูดของฉันแล้ว

    “ก็จริงครับ... มารยาทเป็นเรื่องเสแสร้ง เหมือนกับคนที่กำลังแกล้งสงสารเด็ก” เขาชี้นิ้วไปทางเพื่อนของสุธาน “...แบบนั้น”

    ฉันสะดุ้ง ไม่คาดว่าเขาจะพูดตรงจนน่ากลัว

    “ทำไมคุณไม่ชี้นิ้วมาทางตัวเองล่ะคะ?” ฉันยกมือขึ้นชี้ไปทางเขา “…ในเมื่อคุณก็มาที่นี่ด้วยเหตุเดียวกันกับแบบนั้น” และวาดมือไปทางเพื่อนของสุธานเช่นกัน

    เขาตกใจกว่า และไม่คาดว่าฉันจะพูดตรงกว่าเขา

    “งั้นทำไมผมถึงมานั่งอยู่นี่กับคุณล่ะครับ”
    ฉันและเขาหัวเราะออกมาพร้อมกันอย่างไม่ตั้งใจ


    ธีธัชแนะนำตัวให้ฉันรู้จักหลังจากนั้น แต่เขาไม่ยักสงสัยใคร่รู้ในชื่อของฉัน เอาแต่ลอบยิ้มเมื่อฉันตกเป็นฝ่ายขี้สงสัยเสียเอง

    “คุณไม่คิดจะถามชื่อของฉันหรือคะ?”

    “ผมแค่อยากจะคุยกับคุณครับ ไม่มีอะไรมากกว่านั้น”

    “ฉันไม่รู้ตัวเลยว่าไปทำให้คุณอยากคุยกับฉันตั้งแต่เมื่อไหร่”
    เขาเม้มปากและเริ่มใช้ความคิด

    “มันไม่ประหลาดหรือครับ? ที่ผู้หญิงคนนึงจะมาที่นี่เพื่อนั่งอยู่ใต้ต้นไม้เพียงลำพัง”

    “ไม่แปลกนี่คะ... ในเมื่อคุณก็มานั่งเหมือนกับฉัน แม้ว่าคุณจะเป็นผู้ชายก็ตาม” ฉันเย้าเขาอย่างอารมณ์ดี และธีธัชก็หัวเราะร่า

    “ผมสังเกตเห็นคุณกับเพื่อนตั้งแต่เช้าตอนมาถึงที่นี่ และคุณก็แยกตัวออกมาทั้งที่ยังไม่พบเด็กสักคน”
    ฉันไม่อธิบายต่อ แม้เขาจะใช้น้ำเสียงโยนมาทางฉัน

    “สิ่งที่ผมคิด...”
    เขาเบือนหน้าไปทางอื่น เมื่อฉันไม่อนุญาตให้เขารับฟังความในใจ “คือ คุณมาที่นี่ด้วยความจนใจ”

    ฉันยังคงนิ่ง ไม่มีทางที่เขาจะไม่รู้ เมื่อตอนนี้ฉันนั่งอยู่นี่แม้ว่าจะมากับเพื่อน

    “ไม่มีใครอยากมาที่นี่หรอกครับ... โดยเฉพาะเด็กเหล่านั้น”
    ฉันไม่ได้หันไปมองเด็ก แต่กลับมองไปที่เขา

    “สุสานของคนที่ถูกฆ่าตายด้วยความรัก”
    ฉันมวนในท้อง แม้แต่ฉันเองก็ยังรู้สึกว่ากลิ่นเหม็นเน่าลอยฟุ้งคลุ้งออกมาจากตัว ตลบอบอวลจนแทบอาเจียน ผ่านรื้นน้ำตาที่น่ารังเกียจ


    “มน... พ่อรักหนูนะ เหมือนที่พ่อรักแม่”
    ฉันใช้มือกุมศีรษะ หลับตาปี๋ แต่แม้ฉันเลือกที่จะไม่รับรู้อะไร พ่อก็ไม่ยอมหยุด

    “เพราะพ่อเค้ารักแกนะมน ไม่มีทางที่เค้าจะทำอย่างนั้นกับคนที่เค้าไม่ได้รักหรอก”
    แม่ไม่อยากให้พ่อไปไหน จึงยอมให้เขาปลดปล่อยทุกอย่างกับฉัน

    “ผมรักคุณมน... เพื่อนๆของผมก็รักคุณ”
    ฉันดีใจจนน้ำตาไหลเอ่อนองหน้า เสียงสวาทของพวกเขาคือท่วงทำนองบอกรักฉัน และห้องของคนรักฉันก็คือฉากในหนัง

    อั่ก... อั่ก... อั่ก...
    เสียงบดขยี้ร่างกายฉันถูกกรอซ้ำแล้วซ้ำเล่า

    ทุกคนรื่นเริง มีเพียงฉันที่โศกเศร้า พวกเขาละเลงน้ำกามลงบนน้ำตาของฉัน จนฉันไม่รู้แล้วว่าร่องรอยที่เหลือนั้นคือคราบของอะไร เป็นกลิ่นคาวที่ไม่มีทางล้างออก

    เรือนร่างและความรักของฉันป่นปี้หมดแล้ว ฉีกขาดบกพร่องด้วยความรักที่ทุกคนรุมมอบให้

    ฉันไม่แปดเปื้อนไปมากกว่านี้ นี่คือสิ่งสุดท้ายที่ฉันบอกตัวเองก่อนกระโจนลงมาจากหน้าผาอย่างเดียวดาย



    ฉันสะดุ้ง... ธีธัชกุมมือของฉัน ไม่ใช่ด้วยความใคร่ แต่เป็นความห่วงใย เขาคงเขยิบเข้ามาใกล้ตั้งแต่เห็นน้ำใสเรื่อขอบตา

    “รวมถึงคุณด้วยหรือคะ?”
    เสียงฉันเรียบนิ่ง ฉันลืมวิธีที่จะร้องไห้อย่างบ้าคลั่งไปพร้อมกับความรักเสียแล้ว และนั่นทำให้เขาปล่อยมือฉัน

    “ผมมาเพื่อตัดสินใจบางอย่างครับ”


    เด็กชายคนหนึ่งวิ่งมาแต่ไกล เป็นไปไม่ได้ที่จะมาหาฉัน

    “พี่ธัช~”
    เขาลากเสียงยาว แม้ธีธัชจะได้ยินตั้งแต่แรก

    พวกเขาสองคนคุยกันสักพัก ธีธัชก็ไล่เด็กคนนั้นกลับไปด้วยสีหน้าแดงก่ำ ฉันไม่ได้จับสาระว่าพวกเขาพูดถึงอะไรแม้ฉันน่าจะเป็นส่วนหนึ่งในเรื่องนั้น เพราะการสอดรู้ไม่ใช่วิสัยของฉัน มีเพียงสิ่งเดียวที่ทราบทั้งๆที่ไม่ใส่ใจฟัง

    ฉันนั่งเฉย ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของจำเลยที่จะต้องสารภาพ

    “ครับ... ผมโตที่นี่มาตั้งแต่จำความได้ และเมื่อมีความรู้ความสามารถมากพอก็ออกไปเผชิญโลกภายนอกตามลำพัง วันนี้ก็แค่กลับมาเยี่ยมบ้านก่อนจะไปศึกษาต่อต่างประเทศในไม่กี่วันให้หลังครับ”

    “เพื่อหลีกหนีจากการไม่เป็นที่รักหรือคะ?”
    ฉันถามออกไปอย่างไม่สมควร แต่ความอยากรู้อยากเห็นมีอำนาจเหนือฉัน

    “สารภาพตามตรง...”
    เขาอึกอักค่อนไปทางเขินอาย “ผมยังไม่เข้าใจความรักถ่องแท้หรอกครับ ยังไม่รู้เลยว่ามันเป็นยังไง ในเมื่อโตขึ้นมาภายในสถานที่แบบนี้ ที่ที่ทุกคนต่างแสวงหาความรักของตัวเองมากกว่าจะมอบความรักให้คนอื่น หรือในบางครั้งก็แสวงหาของกินมากกว่าความรัก” ธีธัชพูดติดตลกแก้เก้อ แต่นั่นทำให้ฉันยิ้มกว้าง

    “...บางครั้งคนสวยอย่างคุณคงเข้าใจได้ดีกว่าผม”
    เขาทิ้งท้ายได้น่าสนใจ

    “แต่ผมคิดว่ามันก็เป็นเรื่องดีนะ”
    แม้จะต้องการคำอธิบาย แต่ฉันเพียงชักสีหน้าในเชิงถาม

    “ผมรู้สึกว่ามันเหมือนตัวเลข คุณจำไม่ได้หรอกว่าคุณนับเลขเป็นเมื่อไหร่ แต่มันยากกว่าที่เราจะนับต่อจากหนึ่งเป็นสิบไปจนถึงร้อยแน่นอน…”
    ฉันรู้สึกตัวร้อนผ่าว

    “…สิ่งที่ยากที่สุดคือเมื่อเรานับไปถึงล้านแล้วเราจะตัดใจทิ้งทั้งหมดเพื่อมาเริ่มนับใหม่ หรือไม่ก็เพราะเราคงลืมไปแล้วว่าเราจะเริ่มนับมันยังไง”
    ราวกำลังร่วมรักกับเขาผ่านทางคำพูด แบบที่ไม่เคยมีใครทำให้ฉันรู้สึกดีเท่านี้มาก่อน

    “เราถูกหลอกล่อให้อยู่กับตัวเลขที่ผ่านไปแล้วจนขาดใจตายไปพร้อมกับความทุกข์ที่ทวีขึ้นทุกวัน แม้มันจะไม่ทำให้อะไรดีขึ้น”
    เป็นครั้งแรกที่ฉันเต็มตื้น นี่อาจคือจุดสุดยอดที่ใครๆว่ากัน และฉันก็ได้รับมันจากเขา คนแปลกหน้าอย่างธีธัช


    สุธานกวักมือเรียกฉันแต่ไกล แต่ใจของฉันยังอยู่กับชายหนุ่มตรงหน้า ถ้าฉันจากไปอย่างนี้ น้อยโอกาสนักที่เราจะกลับมาเจอกันอีก

    ยังไงเสียทิฐิก็เริ่มผลักดันให้ฉันเดินห่างออกไป ห่างออกไป และห่างออกไป

    เขาก็เหมือนทุกคนที่เคยเจอ คนที่เธอคิดว่าดีในตอนแรก จะทำเรื่องชั่วช้ากับเธอในตอนหลัง

    เมื่อเธอกระโดดลงมาไกลเพียงนี้แล้ว ยังจะมีใครกระโดดตามเธอลงมาอีกเพื่อตายพร้อมกัน

    ฉันตัดใจเช่นทุกครั้ง


    แต่เขากลับไม่ยอมให้ฉันตายเพียงลำพัง ธีธัชวิ่งตามมาจากทางด้านหลัง ก่อนที่ฉันจะถึงสุธานในอีกไม่กี่ก้าว

    “นี่เบอร์โทรศัพท์ของผมครับ... ถ้าคุณไม่รังเกียจที่จะคุยกับคนไม่รู้จัก”
    เขายื่นเศษกระดาษให้ฉัน บนนั้นเป็นตัวเลขหวัดๆสิบหลัก

    “ฉันชื่อศมนค่ะ และฉันก็ไม่ใช่คนบริสุทธิ์ผุดผ่องอย่างที่คุณอาจคิดในทุกเรื่อง”
    ฉันเน้นตอนท้ายแต่แฝงให้เขาตีความโดยเฉพาะเรื่องนั้น

    “...นั่นทำให้ฉันรับกระดาษแผ่นนี้ไม่ได้”
    เขาหน้าเสีย แต่ก็ยังไม่ยอมลดมือลง

    “บางทีคุณอาจจะอยากสอนการนับเลขให้กับคนที่ยังนับไม่เป็นครับ”
    ฉันไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำหน้าอย่างไร เหมือนที่ไม่สามารถห้ามมือไม่ให้รับกระดาษแผ่นนั้นไว้ได้



    +-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+ END +-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+



    หลังหน้ากระดาษ : เป็นเรื่องสั้นที่ใช้สมาธิและเวลาแต่งอย่างจริงจังมากเลยครับ (ทั้งที่ยังต้องแก้ไขวิทยานิพนธ์ในช่วงนี้) เพราะเห็นเพื่อนๆร่วมกันเขียนเยอะมากและไฟก็แรงมาก แต่ก็ยังต้องพัฒนาต่อไป (ในบางช่วงก็รู้สึกว่าตัวเองยังทำให้ดีกว่านี้ได้ มีบางสำนวนหรือบางประโยคที่น่าจะแก้ไขได้)

    ตั้งแต่ห่างหายจากการเขียนฟิคไป ก็เริ่มเกลาให้สำนวนเข้าที่ได้ยาก โดยเฉพาะครั้งนี้ที่เขียนโดยใช้ตัวละครหลักเป็นผู้หญิง และเน้นบทบรรยายมากขึ้นกว่าปกติ (ตามสไตล์ผมที่ส่วนใหญ่จะมีแต่ความคิดและคำพูด) บางทีก็สับสนกับอารมณ์ในการเขียนแบบผู้ชายเหมือนกันครับ แก้ซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายรอบ เลยใช้เวลาอยู่สองสามวัน (ทั้งๆที่อยากให้เสร็จนานแล้ว)

    ส่วนสำคัญอีกเรื่องน่าจะเป็นเรื่องของการใช้ภาษาที่(มีคนแนะนำว่า)ค่อนข้างโบราณ รวมถึงคำวาบหวามเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างเพศ ผมก็พยายามปรับให้มีน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ (จากที่ตั้งไว้ในตอนแรกว่าเยอะมาก) แต่ทำไงได้ครับเรื่องสั้นมันไปแนวนั้น หรือบางทีผมก็อาจจะยังฝีมือไม่ถึง

    ที่สำคัญไม่แพ้กันก็คงเป็นพล็อต จริงๆแล้วคิดพล็อตหลักได้ตอนกำลังอาบน้ำ แต่เขียนไปเขียนมามันก็ไม่ได้เหมือนพล็อตที่ตั้งไว้เป๊ะ จนกลับมาอ่านเองแล้วบางทีก็รู้สึกประหลาดเหมือนกัน ว่าใจความที่ต้องการสื่อครบถ้วนหรือยัง ถ้าเขียนต่อเป็นฟิคจริงๆจังๆอาจจะดีกว่านี้ (มั้ง)

    ยังไงก็ขอฝากเรื่องสั้นร่วมเทศกาลนี้ไว้ด้วยนะครับ พร้อมรับคำติชมเสมอ :hbow:
  2. joi100

    joi100 นักเดินทางแห่งมิดการ์ด

    EXP:
    478
    ถูกใจที่ได้รับ:
    23
    คะแนน Trophy:
    38
    เอาล่ะอ่านจบแล้ว ขอคอมเม้นด้วยความเห็นส่วนตัวล้วนๆ

    ต้องนับเลยว่าในเรื่องมีอะไรหลายๆอย่างที่ต้องการจะสื่อและแอบแฝงไว้เยอะพอสมควร(ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่า)ทำให้เรื่องออกมาอ่านยากพอสมควรเลยทีเดียว ยอมรับตรงๆว่าอ่านรอบเดียวไม่เข้าใจประเด็นทั้งหมดต้องอ่านซ้ำ รอบที่2 บรรยากาศของเรื่องออกมาในแนวผู้ใหญ่ๆทำให้รู้สึกเข้าใจยากขึ้นไปอีก เนื้อหาหลักค่อนข้างหนักหน่วง ถึงจะบอกว่าติดเรทแต่องค์ประกอบมันไม่ได้สื่อไปในเชิงคิดในด้านนั้นเลยเหมือนฉากเหล่านั้นถูกเขียนขึ้นมาเพื่อย้ำในตัวของนางเอก และ สิ่งที่เธอคิด และจบลงแบบถ้าแค่อ่านผ่านๆไม่เข้าใจแน่ๆ

    ถือว่าเป็นฟิคที่ดี แต่ ไม่ใช่ฟิคที่เข้าใจได้ง่ายๆ ตามแบบฉบับของคนเขียนล่ะนะ ถ้ามีงานต่อไปก็จะยังตามอ่านไปเรื่อยๆล่ะสหายเอ๋ย ถ้าจะจัดเรทคงต้องเป็น 18+ ไม่ใช่เพราะฉากล่อแหลมแต่เป็นแง่คิดและมุมมองที่ต้องใช้ความคิดตามมากพอสมควรเลยทีเดียว

    ปล.สลัดผักฟิคคนอื่นคอมเม้นได้ยืดยาว ทีฟิคตรูคอมเม้นจึ๋งเดียว ใช่ซี่่มันเกรียนนี่;w;
  3. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    - เริ่มแรกแยกประเด็น -

    ไม่หวือหวา(เท่าที่เคยคุยกัน) แต่ก็คาดเดาฉากต่อไปไม่ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

    โดยเฉพาะ 'ศมน' ที่อ่านความรู้สึก ความคิด อารมณ์ไม่ออกจนกระทั่งจบไปแล้ว
    ก็ยังไม่เข้่าใจ

    บางที มันก็คงเหมือนชีวิตจริง ที่เราเองก็ยังไม่รู้ตัวว่าเรากำลังรู้สึก กำลังคิดอะไรอยู่


    - สำนวนภาษา -
    บทบรรยายเรื่องเพศถือว่าเบานะ เบามากๆถ้าเทียบกับที่คาดหวังไว้ ในส่วนของบทพูดถือว่าทำได้ดี ถ่ายทอดลักษณะของตัวละครออกมาได้ชัดเจน

    เปรียเทียบ ความรู้สึกจากคำพูดกับการมีเซ็กส์ ถือว่าแปลกสำหรับผม แต่มันสั้น ห้วน เลยรู้สึกว่าไม่ถึงอารมณ์เท่าที่ควร
    แบบว่ามับปุปปับ เกิดขึ้นมาแล้วก็จบ เลยรู้สึกว่ายังสื่อออกมาได้ไม่เต็มที่เท่าไรกับความรู้สึกที่เกิดขึ้นของ 'ศมน'


    ส่วนฉากบรรยายบรรยากาศหรือเรื่องราวอดีตของ 'ศมน' ทำได้ดี สื่อออกมาได้ชัดเจน เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้แบบทันทีทันใด
    อาจจะเป็นเพราะต้องการจะสื่อเรื่องร้ายๆทีเ่กิดขึ้นของตัวละครให้เต็มที่ มันเลยทำได้ดีกว่าฉากบรรยายความรู้สึกที่กล่าวไว้ข้างบน


    - สอดแทรก แง่คิด -

    ถ้าเอาจากที่อ่าน คงจะต้องการสื่อเรื่องของ 'Love & Sex is not the same thing' รักและเซ็กส์ไม่ใช่เรื่องเดียวกัน

    คำว่ารักพูดได้ง่าย แต่ทำได้จริงหรือเปล่านั่นมันคนละเรื่อง
    และการใช้คำว่ารักเพื่อมีเซ็กส์กับใครก็ตาม ไม่ได้หมายความว่าการมีเซ็กส์คือการแสดงออกว่ารัก

    ถือว่าเป็นมุมที่เหมาะกับสังคมปัจจุบันอย่างมาก ที่รักและเซ็กส์เกือบจะกลายเป็นสิ่งๆเดียวกันอย่างแยกไม่ออก สับสนปนเป



    ไม่ต้องคิดอะไรให้มากกับฟิคนี้ กดบวกอย่างไม่ต้องสงสัย (^ ^)b
  4. swanton

    swanton Dragon on Board

    EXP:
    1,424
    ถูกใจที่ได้รับ:
    69
    คะแนน Trophy:
    113
    สำหรับผมนี่ไม่ใช่ฟิคติดเรตอย่างที่อากิพยายามยั่วแหย่ผม แต่มันคือ "ฟิคผู้ใหญ่" ต่างหาก ไม่มีอะไรส่อเรื่องสองแง่สองง่ามออกมาในเชิงลามกหรืออ่านแล้วชวนให้เกิดอารมณ์ แต่เป็นเรื่องของความรักและ sex ซึ่งผมว่าเราปฏิเสธไม่ได้อยู่แล้วว่ามันจะแยกออกจากความรักได้ยังไง

    ผมคิดว่าศมนเป็นอากิภาคผู้หญิง เป็นตัวละครที่มีควมคิดซับซ้อนและย้ำคิดย้ำทำ และถึงแม้อากิจะใช้การบรรยายแบบบุคคลที่ 3 แต่ทั้งเรื่องกลับเต็มไปด้วยความคลุมเครือ และอาการรำพันกับความคิดของศมน อ่านออกบ้างไม่ออกบ้าง รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง นั่นเพราะอากิเผลอเข้าไปนั่งใน position ของศมนแล้วเีขียนออกมานั่นเอง โดยธรรมชาติแล้วเจ้าเองก็เป็นคนคิดมากซะด้วยสิ
    ส่วนดีของการที่อากิเขียนในแบบศมนก็คือ ตัวละครมีมิติสูงมาก และทำให้ฟิคดูลึกและคลุมเครือดี ข้อเสียที่ผมจำเป็นต้องติงก็คือ มันทำให้ศมนมีทิฐิสูงมาก และมีการแสดงออกแข็งทื่อเกินหญิง

    บทบรรยายแรกๆยาวเหยียด เหมือนประโยคซ้อนประโยคซ้อนประโยค มันอ่านยากมากเลยรู้ไหม? หลังๆมาดีขึ้นมากเมื่อเริ่มมีบทสนทนา เนื้อหาถูกใส่ได้อย่างลงตัว สะท้อนภาพชีวิตสาววัยทำงานได้อย่างดี อดีตของศมนเลวร้ายมาก เป็นส่วนที่ใส่มาได้ถูกจังหวะ ชวนให้รู้สึกคลื่นไส้กับการกระทำที่พวกคนเลวๆทำกับเธอ
    เนื้อเรื่อง realistic มาตลอด แต่บทสทนาช่วงศมนกับธัชกลับดู ideal แปลกๆ

    ฟิคนี้โดดเด่นขึ้นมาจากผลงานอื่นๆ ด้วยความเป็นผู้ใหญ่ เนื้อหาหนัก ลึก ผมอธิบายไม่ถูกว่าแก่นของมันคืออะไร แต่ผมรู้ล่ะนะ

    ปล. ขอยิงคำถามแรงๆหน่อยนะครับ อากิเขียนศมนออกมาเองแล้ว อยากถามว่าเคยเป็นแบบผู้ชายที่ทำกับศมนบ้างไหมครับ?
  5. onikuro13

    onikuro13 Sadistic Queen

    EXP:
    299
    ถูกใจที่ได้รับ:
    7
    คะแนน Trophy:
    38
    ...พี่มาเม้นแล้วนะน้องสาว...
    ...พูดถึงแกนเืรื่องบางคนบอกว่าเข้าใจยาก แต่อ่านแล้วเข้าใจเลยก็เลยไม่รู้สึกว่ามันเข้าใจยากเพราะงั้นข้ามไป เนื้อเรื่องเหมาะจะเขียนเป็นเรื่องยาวมากกว่าเรื่องสั้นอะ เพราะมันดูปูเรื่องมาเยอะมากทั้งศมน ทั้งสุธาน อ่านแล้วมันทำให้เกิดความสงสัยในอดีตทั้งสองคนตัวสุธานเองก็ยังไม่กระจ่าง มันหลายๆอย่างอะ นอกนั้นภาษาก็ดีนะ อ่านแล้วรู้สึกได้เลยว่าคนแต่งเป็นไง(ฮ่าๆ)...
  6. Aki

    Aki Paradox Observer

    EXP:
    485
    ถูกใจที่ได้รับ:
    41
    คะแนน Trophy:
    48
    rep นี้มาขอตอบประเด็นที่พี่อีวานกระตุกไว้ในตอนท้ายคอมเม้นท์นะครับ...

    แต่ก่อนอื่นเลย ขอบคุณมากสำหรับทุกคอมเม้นท์ และดูมีสาระมากกันทุกคน (ตกใจ!!!) เลยทำให้คนเขียนรู้สึกดีใจมากสำหรับทุกคำแนะนำ
    ชอบทุกๆความเห็นเลยครับ รู้สึกว่าทุกคนพยายามและตั้งใจกับการอ่านเรื่องของผมมาก และพยายามเสนอมุมมองในส่วนที่ตัวเองไม่เข้าใจ

    อย่างที่หลายคนบอกครับ ส่วนใหญ่น่าจะเป็นเรื่องของธีมเรื่อง จะพยายามปรับปรุงต่อๆไป แต่ขอยกมาพูดในบางประเด็น

    1. อย่างที่พี่จ้อยบอกว่าเรื่องนี้พยายามสื่อหลายอย่างมาก จนมันสับสนซับซ้อน มากกว่าจะเป็นเรื่องสั้น (ตามที่โอนิบอกด้วย) เพราะเหตุนั้นส่วนบทสนทนาระหว่างศมนกับธีธัชถึงดู Ideal รวดเร็วผิดปกติจากที่แต่แรกเป็น Realistic มาก (อย่างที่พี่อีวานคอมเม้นท์นั่นเอง) เพราะการบรรยายส่วนที่กระตุกความคิดของศมนและมุมมองของเธอที่เคยยึดติดอยู่กับความรักในแบบเก่านั้นมันขาดหายไปหรือบางทีก็สั้นมากจนคนอ่านอาจไม่รู้ และนั่นคือส่วนที่ผมบอกในหลังหน้ากระดาษ ว่าพอตัวเองกลับมาอ่านก็รู้สึกประหลาด

    2. เรื่องภาษา รู้สึกดีใจที่มันดูไม่แรงไปสำหรับคนอ่าน เพราะไม่ได้อยากสื่อในเรื่องนั้นโดยส่วนใหญ่ (สำหรับเรื่องสั้นนี้นะครับ แต่เรื่องยาวก็อยากเขียนอยู่) แต่อยากกระตุ้นความเฟลเวลาอ่านถึงศมนมากกว่า


    มาถึงช่วงสุดท้าย ตอบจดหมายจากแฟนๆทางบ้าน
    (/me โดนพี่อีวานโบก)


    ก็ขึ้นอยู่กับคำว่า "ผู้ชายที่ทำกับศมน" มันอยู่ในระดับไหนนะครับ ... ถ้าข่มขืนลูก หรือพาเพื่อนไปรุมโทรมคนรัก อันนี้ยังไม่เคยทำกับใครครับ แต่ถ้าไม่ใส่ใจเรื่องการมีเซ็กส์ คิดว่าเป็นกิจกรรมระหว่างชาย-หญิงอย่างนึง แล้วก็ไม่รับผิดชอบ เพราะถือว่าเป็นความต้องการของฝ่ายหญิงด้วย (เช่นเดียวกับ วิชญ์) ก็ยอมรับว่าเคยทำครับ

    และนั่นคือส่วนที่ทำให้ผมอยากเขียนเรื่องนี้ เขียนความรู้สึกของผู้หญิงที่โดนทำแบบนี้จนไม่รู้แล้วว่าความรักคืออะไร ... เขียนจากความผิดพลาดของตัวเองที่เคยทำไว้ จนตอนนี้เลือกที่จะไม่มีใครมั้งครับ

    ก็ตามที่ตอบแบบลูกผู้ชายครับ... และผมก็กลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ได้แต่ไม่ทำอย่างนั้นอีก
    ถูกอย่างที่พี่อีวานบอกครับ ผมคิดว่าถ้าผมเป็นผู้หญิงแบบนั้น ผมจะทำยังไง จะรู้สึกยังไง จะมีศรัทธาในความรักได้ยังไง ในเมื่อมันสูญหายไปกับเรื่องอย่างนั้นแล้ว
    หรือในมุมของคนที่ทำเอง และมานั่งทบทวน ก็อาจจะขาดศรัทธาในความรักแบบที่เธอเป็นได้เช่นกัน

Share This Page