คำเตือน : RATE R (มีคนบอกไว้แบบนั้นตอนอ่านไปได้ประมาณครึ่งเรื่อง) จริงๆแล้วคนเขียนก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเรตไหน แต่ถ้าจะถามว่ากังวลที่จะเอามาลงไหม ก็คงตอบได้อย่างหนักแน่นว่ากังวลมาก กังวลตั้งแต่ตอนเริ่มเขียน... และพยายามให้หลายๆคนตรวจสอบภาษาให้เหมาะสมกับบอร์ดและคนอ่าน สุดท้ายแล้วถ้ามันไม่ควรหรือไม่งามอย่างไรก็จัดการแล้วแต่เห็นสมควรครับ +-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+ ฉันไม่เคยคิดสงสัยเลยว่าทำไมสามีภรรยาซึ่งปฏิญาณว่าจะรักกันตลอดไปในนามของพระเจ้าหรือตัวของเขาเองก็ดีจะหย่าขาดจากกันอย่างไร้เยื่อไย หรือทำไมผู้ชายที่บอกรักผู้หญิงด้วยคำหวานปนเลี่ยนตลอดเช้าจรดเย็นจะไปนอนร่วมรักกับอีกคนในช่วงค่ำ ก็แค่...พวกเขาอาจไม่ได้รักกันมาตั้งแต่ต้น สำหรับฉัน สิ่งเดียวที่เป็นจริงและเกิดขึ้นได้เหมือนในภาพยนตร์โรแมนติกแทบทุกเรื่องคือฉากบนเตียงและคำพูดระหว่างสำเริงรัก นอกเหนือจากนั้นเป็นจินตนาการที่เสริมเติมแต่งเอาตามความเพ้อฝันเพื่อตอบสนองความต้องการซึ่งไม่ถูกปลดปล่อยของทั้งผู้สร้างและผู้ชม ฉันไม่ใช่คนรู้ดีในเรื่องความรัก แต่พวกเขายิ่งโง่เง่าเบาปัญญากว่าฉันเสียอีกที่มองไม่เห็นพฤติกรรมและความนึกคิดของตัวเอง ตายายคู่หนึ่งซึ่งไม่เคยผ่านวันวิวาห์หรือวาเลนไทน์ยังชวนให้ฉันสงสัยในความรู้สึกที่พวกเขามีให้กันอย่างมั่นคงมากกว่า เมื่อความรักเป็นเช่นนั้น แล้วจะมีค่าอันใดให้ต้องเฝ้าตามหาและหลงมัวเมาอยู่กับความลวงหลอกจอมปลอมราวกับยาเสพติดจนตนเองง่อยเปลี้ยเสียขาและเหนื่อยล้าเกินทน ความเป็นผู้หญิงแบบนั้นตายจากฉันไปนานเสียแล้ว นานเกินกว่าที่ฉันจะจำได้ว่าใครหรืออะไรเป็นคนพรากมันไป “มน!? เธอแน่ใจจริงๆนะว่าจะไม่ไปกับพวกเรา” สุธานผู้เป็นเพื่อนสาวนักธุรกิจแสนดีรบเร้าจนฉันอยากเปลี่ยนคำตอบจาก ‘ไม่’ เป็น ‘ใช่’ เพื่อสลัดความรำคาญตลอดทั้งวันทิ้งเสีย แต่ความละอายแก่ใจก็หักห้ามไว้ เหลือแต่เพียงสีหน้ากระอักกระอ่วนราวคนคลื่นไส้ ผู้หญิงในชุดแซกสีส้มกับทรงผมบ็อบเทท่าทางมาดมั่นคนนี้เท้าสะเอว พลันถอนหายใจด้วยความระอาเช่นกัน “ฉันยอมแพ้... แล้วแต่เธอเถอะ” ก๊อก ก๊อก ก๊อก~ ปลายนิ้วชี้ของฉันเคาะลงบนโต๊ะทำงานเป็นจังหวะอย่างไร้ความหมาย สายตาเลื่อนลอยไร้ที่พึ่ง มีเพียงเสียงครางของเครื่องปรับอากาศดังคลอเป็นเพื่อน ‘คุณทำแบบนี้กับทุกคนหรือคะ? บำรุงบำเรอราวกับอยู่บนสวรรค์... แต่คุณไม่รู้หรอกค่ะว่าสิ่งที่คุณทำก็เหมือนกับสิ่งที่เขาทำกันตามโรงแรมม่านรูดไร้ราคา และก็คงจะเป็นเหมือนกันต่อให้อยู่กลางป่า’ ฉันผลักเขาแรงเท่ากับที่ผลักประตู หลังจากสวมใส่เสื้อผ้าเรียบร้อย ก๊อก ก๊อก ก๊อก~ เสียงเคาะประตูดังมาจากทางด้านหน้ากลบเสียงเคาะโต๊ะของฉันฉุดให้สะดุ้งตื่นอยู่กับปัจจุบันในที่ทำงาน “เชิญค่ะ” เบื้องหน้าเป็นชายในชุดสูทร่างสูงสง่า ผิวขาวผ่อง ใบหน้าเรียบคมกับทรงผมซอยสั้นปัดเป๋ไปทางซ้าย “สุให้พี่มาหา... กังวลว่าเราต้องอยู่คนเดียว” วิชญ์เข้าใจในแววตาตั้งคำถามของฉันต่อการมาของเขา ก่อนที่จะได้เอ่ยอะไร เสียงเตือนข้อความจากมือถือของฉันก็หยุดยั้งทั้งคำพูดและอารมณ์ [sr]Suthan, 19:12 on 13 Feb 2007 ‘ฉันยอมเธอแล้ว... เธอก็ควรจะยอมฉันบ้าง พี่วิชญ์เป็นคนดีมาก แม้เธอจะพึ่งเคยเจอเขาเมื่อวาน แต่เธอน่าจะสนิทกับเขามากกว่านี้นะ อย่างน้อยก็ให้เขาได้ไปส่งเธอที่บ้านละกัน’[/sr] ฉันยิ้มด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย แต่เขาน่าจะเข้าใจได้ง่ายกว่าถ้าได้อ่านข้อความนี้ “สุธานบอกว่าคุณเป็นคนดีมาก และฉันควรสนิทกับคุณมากกว่านี้ แถมท้ายให้คุณไปส่งฉันที่บ้านด้วย” “พี่จริงจังนะ...” เขาชะงักปรับน้ำเสียง หรือจริงๆอาจกำลังรู้สึกผิดเมื่อคิดถึงเรื่องที่เขาทำกับฉัน สุธานไม่มีทางส่งข้อความแบบนี้มาหาฉันเป็นแน่ ถ้าเพียงแต่รู้ว่าพี่ชายแท้ๆของเธอสนิทแนบแน่นกับฉันมากพอ โดยเฉพาะในโรงแรมชั้นดีระดับห้าดาว แม้จะพึ่งเจอกันเมื่อวานก็ตาม “ฉันรู้ค่ะ และเมื่อวานฉันก็จริงจัง แต่ฉันคงไม่จริงจังกับเรื่องของคุณทุกวัน” วิชญ์นิ่งอึ้ง ไม่ด้วยคำพูดของฉันก็ความละอายของเขา แต่มันไม่มีความหมายหรอก ความละอายไม่ได้แก้ไขอะไร ฉันฟังคำขอโทษมาเกินพอแล้ว และมันไม่เคยทำให้รู้สึกดีขึ้นเลย ถ้านั่นเป็นเรื่องที่เราควรทำ เมื่อเราทำมัน เราน่าจะรู้สึกดีขึ้น... แต่คำว่า ‘จริงจัง’ นี้ยังทำให้วิชญ์หน้านิ่วคิ้วขมวดเหมือนก่อนพูดไม่มีผิด “ฉันไม่ได้ไร้เดียงสา และศรัทธาในความรัก จนคุณต้องปกป้องฉันจากมลทินหรอกค่ะ... คุณไม่ได้ทำอะไรผิด เราก็แค่มีอะไรกัน…” ฉันผ่อนลมหายใจทิ้งช่วง ก่อนเน้นหนักด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “...แค่นั้น” เขายื่นมือมา แต่ก็ชักกลับทันควันก่อนจะได้ทำตามที่คิดไว้ “ยังไงพี่ก็อยากให้มนคิดดูดีดีอีกรอบครับ” ฉันถอนหายใจรดน้ำใสในแก้วตรงหน้า แผ่วเบาไหวกระทบผิวกลายเป็นระลอกคลื่น ก่อนตัดสินใจทำบางอย่างให้จริงจัง “เราจะไปกันรึยังคะ?” วิชญ์ไม่เข้าใจในความหมายของฉัน เขามีสิทธิ์จะตีความผิดอย่างที่ต้องการ “แน่นอนค่ะว่า ไม่ใช่บ้าน... แล้วก็ไม่ใช่โรงแรม...” ฉันไม่เคยถือสาพวกเขา เหล่าคนที่เข้ามาหาฉันด้วยกามารมณ์ทั้งหลาย มันเป็นเรื่องธรรมชาติที่คนเราจะอยากดำดิ่งลงสู่ความเลิศล้ำระหว่างเพศของกันและกัน แต่ที่ฉันไม่พอใจคือสิ่งที่พวกเขาพยายามอธิบายว่า นั่นคือ ความรัก และเลือกที่จะรักแบบนั้นต่อไป ...ตลอดไป ล่อลวงหญิงสาวให้ติดตรึงอยู่กับคำพูดหวานหู วาดหวังให้หลงลืมว่าการอยู่กับความเป็นจริงนั้นทำอย่างไร ท้ายที่สุดก็ฉีกกระชากทั้งร่างกายและจิตใจจนไม่เหลือแม้แต่อะไรให้ฝันได้อีก วิชญ์อาจไม่ใช่คนแบบนั้น เขาคงดีมากกว่าที่ฉันจะจินตนาการได้ตามที่สุธานคุยโวไว้ แต่มันสายเสียแล้วที่ฉันจะมองเขาในทางอื่น เมื่อความรักของเรามันลอยลับไปกับน้ำรักจนหมดสิ้น “ถึงแล้วครับ... จะให้พี่เข้าไปด้วยไหม?” ฉันขอให้วิชญ์ขับรถมาส่งยังบ้านพักส่วนบุคคลที่สุธานชักชวนให้ฉันมากับพวกเธอตั้งแต่แรก การพักผ่อนสุดสัปดาห์โดยเลี้ยงอาหารเด็กยากไร้ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าอาจทำให้หลายคนรู้สึกดีกับหน้าที่มอบความรัก แต่จะเป็นไปได้อย่างไรในเมื่อส่วนใหญ่ของคนพวกนี้เก็บมันไว้กับตัวจนยากจะเผื่อแผ่ใครได้อีก “ตามสะดวกดีกว่าค่ะ... นี่ก็ดึกมากแล้ว ถ้าไม่รังเกียจก็แวะไปทักทายน้องสาวเสียหน่อยไม่ดีหรือคะ?” ฉันสาวเท้าก้าวลงจากรถฉับๆและตรงรี่ปรี่ไปยังประตูบ้านโดยไม่สนใจว่าคนเบื้องหลังจะตัดสินใจเช่นไร ก๊อกๆ... ก๊อกๆ ไม่ทันที่ต้องเคาะประตูเป็นครั้งที่สาม สุธานในชุดนอนคลุมยาวสีสดระบายลูกไม้ก็โผล่มาต้อนรับด้วยใบหน้าตระหนกระคนประหลาด เมื่อลอบเห็นรถทางด้านหลังก็คลี่ยิ้มจนเกินงาม “ฉันตกใจจริงๆนะ... ไม่คิดว่าเธอจะโต้ตอบข้อความของฉันด้วยไม้นี้” ฉันไม่ใคร่จะทำให้เพื่อนผิดหวัง แต่ความจริงต่อจากนี้เจ็บปวดเกินกว่าสุธานจะฉีกยิ้มอีกต่อไป “มีเรื่องให้เธอตกใจกว่านี้อีกเยอะ” แทนที่จะพูด...เธอเลิกคิ้วถามจนเห็นริ้วรอยแห่งความล่วงวัย “นี่เธอเป็นเพื่อนฉันนะ... ไม่เข้าใจความหมายของข้อความนี้หรือเธอ?” ฉันเปิดข้อความที่สุธานส่งมาหาช่วงหัวค่ำ แล้วยื่นมือถือให้เธออ่านอีกครั้ง เธออ่านทวนวนไปวนมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่แล้วหางตาก็กระตุกกับความหวังดีที่ตนเองมอบให้ฉันในประโยคหลังสุด พอสังเกตสีหน้าเธออีกทีรอยยิ้มกว้างนั้นก็ไม่ปรากฏแล้ว “อย่างที่เธอเข้าใจนั่นหล่ะจ๊ะสุ... ฉันคงไม่ต้องอธิบายอะไรเพิ่มอีก” “เธอยินดีที่จะมากับฉัน มากกว่าให้พี่วิชญ์ไปส่งบ้านเนี่ยนะ... ตายแล้วยัยเพื่อนตัวดี” ฉันปรามสุธานด้วยสายตาก่อนที่เธอจะเข้าใจผิดไปมากกว่านี้ “ผิดแล้วเธอ... ฉันลำบากใจที่จะมากับเธอ น้อยกว่าที่จะให้คุณวิชญ์ไปส่งที่บ้านต่างหาก” แล้วฉันก็เดินตัวปลิวเข้าบ้านไปอย่างสบายอารมณ์ ปล่อยให้น้องสาวตวาดพี่ชายที่หอบกระเป๋าเข้ามาทีหลังแว่ดๆตามประสาครอบครัวสุขสันต์อย่างไม่ทุกข์ร้อนอะไร เมื่อความฝันเจ็บปวดกว่าความจริง ฉันจึงเลือกที่จะไม่ฝันอะไรอีกในคืนนั้น เหมือนกับทุกๆคืน ไม่มีที่ให้ฉันหนีไปไหนอีกแล้ว ไม่มีเลย แม้แต่ในจินตนาการ ฉันหวาดกลัวกับหุบเหวเบื้องหน้า ลมพัดกระโชกจนใจฉันหวิว อากาศหนาวจนตัวฉันสั่น ในวินาทีที่ฉันอยากหันหลังถอยกลับ มือและเท้าของใครต่อใครก็ดันฉันไว้ไม่ให้ทำอย่างนั้น ท้ายที่สุดฉันก็ถูกผลักไสให้ตกลงมาสู่ที่ที่ฉันไม่อยากมา ด้วยความตั้งใจของตัวเอง ฉันมาถึงสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าในช่วงสายพร้อมกับสุธานและบรรดาเพื่อนมหาเศรษฐีของเธอ ในขณะที่ทุกคนกระตือรือร้นอยู่กับความวุ่นวายของเด็กๆ ฉันก็ปลีกตัวมานั่งอยู่ภายใต้ต้นไม้ใหญ่ในสนามหญ้าด้านหน้าโดยไม่หวังให้ใครมาตามฉันไปไหนทั้งนั้น แม้แต่กลับบ้าน วิชญ์ร่ำลาฉันในตอนเช้า เขามีภาระหน้าที่ซึ่งยังไม่ได้สะสางให้แล้วเสร็จจึงไม่อาจอยู่เป็นเพื่อนฉันได้ตามที่ปากพูด แม้นเขาจะทำ ฉันก็ไม่ต้องการเช่นนั้น สุธานและวิชญ์อาจรวมถึงเพื่อนๆของเธอถูกหล่อเลี้ยงจนเติบใหญ่ด้วยความรัก นี่จึงไม่ใช่สถานที่ของพวกเขา แต่เป็นของเด็กๆเหล่านั้น ...และฉัน... ผู้ชายคนหนึ่งผละจากกลุ่มเด็กๆ กำลังเดินตรงมาทางนี้ เมื่อพินิจพิศจากการแต่งกายและรูปร่างหน้าตา เขาไม่น่าใช่เพื่อนของสุธาน “ขอโทษนะครับ...” ทันทีที่ถึงตัว เขาหยุดยืนนิ่ง ก้มตัวลงเล็กน้อยให้ฉันซึ่งนั่งพับเพียบอยู่บนพื้นหญ้าเพื่อรักษามารยาท “...รังเกียจรึเปล่าครับ? ถ้าผมจะนั่งด้วย” รูปร่างของเขาสันทัดและหน้าตาก็ไม่แย่ คิ้วหนา ตาคม จมูกเป็นสัน ปากอิ่มได้รูปรับทรงผมสั้นเปิดหู ต่างจากผู้ชายมาดสำราญภูมิฐานอย่างวิชญ์ แต่เสื้อเชิ้ตสีฟ้าลายทางขาวกับยีนส์สีฟอกโทนเข้มยังทำให้ฉันรู้สึกสดใสมากกว่าผิวพรรณซึ่งไม่เกลี้ยงเกลานวลผ่องเช่นคนมีอันจะกินทั่วไป “ตามแต่คุณจะสะดวกค่ะ...” เขาลดตัวลงละพื้นที่เกือบวาให้ฉันถอนหายใจได้ไม่รดผิว ใช้มือด้านขวายันพื้นไว้ ขายืดตรงข้างหนึ่งส่วนอีกข้างตั้งชันขึ้น หันมาสบตาฉันตรงๆดั่งผู้ชายใจกล้า “ผมถามคุณ แต่คุณกลับแล้วแต่ผมเสียนี่... แปลกนะครับ” “ไม่เท่ากับการขออนุญาตคนไม่รู้จักนั่งด้วยหรอกค่ะ” ฉันไว้ที เพิกเฉยกับคนข้างๆ เหมือนทุกครั้งที่จะทำเมื่อต้องรู้จักใครสักคน ฉันไม่ได้กลัว แค่ไม่รู้จะปฏิบัติตนเช่นไร เวลาผ่านไปนาน แต่คงมากกว่าความอดทนของเขา “ผม...” เขาผงะเมื่อสังเกตว่าฉันเลื่อนใบหน้าไปตามเสียง “...คุยกับคุณได้ไหมครับ?” “คุณต้องถามความเห็นทุกคนก่อนที่คุณจะทำทุกอย่างหรือคะ?” ฉันไม่ได้ตอบรับโดยตรง แต่คำถามของฉันน่าจะทำให้เขาเข้าใจในความหมาย “มันไม่ใช่มารยาทหรือครับ?” “คงใช่ค่ะ... แต่ฉันนึกว่าเราควรให้เกียรติต่อคนที่เหมาะสมเท่านั้นนี่คะ” เขาถอนหายใจ หลุบตาลงต่ำ ชั่งใจว่าจะคุยกับฉันต่อหรือไม่ “แล้วคุณก็คิดว่า ผมไม่ควรให้เกียรติกับคนที่ผมยังไม่รู้จัก?” เขายกเสียงสูงตอนท้ายกระตุกให้ฉันตอบ แต่ฉันนิ่งเงียบ ไม่มีเหตุผลให้ต้องตอบในเมื่อเขารู้จากคำพูดของฉันแล้ว “ก็จริงครับ... มารยาทเป็นเรื่องเสแสร้ง เหมือนกับคนที่กำลังแกล้งสงสารเด็ก” เขาชี้นิ้วไปทางเพื่อนของสุธาน “...แบบนั้น” ฉันสะดุ้ง ไม่คาดว่าเขาจะพูดตรงจนน่ากลัว “ทำไมคุณไม่ชี้นิ้วมาทางตัวเองล่ะคะ?” ฉันยกมือขึ้นชี้ไปทางเขา “…ในเมื่อคุณก็มาที่นี่ด้วยเหตุเดียวกันกับแบบนั้น” และวาดมือไปทางเพื่อนของสุธานเช่นกัน เขาตกใจกว่า และไม่คาดว่าฉันจะพูดตรงกว่าเขา “งั้นทำไมผมถึงมานั่งอยู่นี่กับคุณล่ะครับ” ฉันและเขาหัวเราะออกมาพร้อมกันอย่างไม่ตั้งใจ ธีธัชแนะนำตัวให้ฉันรู้จักหลังจากนั้น แต่เขาไม่ยักสงสัยใคร่รู้ในชื่อของฉัน เอาแต่ลอบยิ้มเมื่อฉันตกเป็นฝ่ายขี้สงสัยเสียเอง “คุณไม่คิดจะถามชื่อของฉันหรือคะ?” “ผมแค่อยากจะคุยกับคุณครับ ไม่มีอะไรมากกว่านั้น” “ฉันไม่รู้ตัวเลยว่าไปทำให้คุณอยากคุยกับฉันตั้งแต่เมื่อไหร่” เขาเม้มปากและเริ่มใช้ความคิด “มันไม่ประหลาดหรือครับ? ที่ผู้หญิงคนนึงจะมาที่นี่เพื่อนั่งอยู่ใต้ต้นไม้เพียงลำพัง” “ไม่แปลกนี่คะ... ในเมื่อคุณก็มานั่งเหมือนกับฉัน แม้ว่าคุณจะเป็นผู้ชายก็ตาม” ฉันเย้าเขาอย่างอารมณ์ดี และธีธัชก็หัวเราะร่า “ผมสังเกตเห็นคุณกับเพื่อนตั้งแต่เช้าตอนมาถึงที่นี่ และคุณก็แยกตัวออกมาทั้งที่ยังไม่พบเด็กสักคน” ฉันไม่อธิบายต่อ แม้เขาจะใช้น้ำเสียงโยนมาทางฉัน “สิ่งที่ผมคิด...” เขาเบือนหน้าไปทางอื่น เมื่อฉันไม่อนุญาตให้เขารับฟังความในใจ “คือ คุณมาที่นี่ด้วยความจนใจ” ฉันยังคงนิ่ง ไม่มีทางที่เขาจะไม่รู้ เมื่อตอนนี้ฉันนั่งอยู่นี่แม้ว่าจะมากับเพื่อน “ไม่มีใครอยากมาที่นี่หรอกครับ... โดยเฉพาะเด็กเหล่านั้น” ฉันไม่ได้หันไปมองเด็ก แต่กลับมองไปที่เขา “สุสานของคนที่ถูกฆ่าตายด้วยความรัก” ฉันมวนในท้อง แม้แต่ฉันเองก็ยังรู้สึกว่ากลิ่นเหม็นเน่าลอยฟุ้งคลุ้งออกมาจากตัว ตลบอบอวลจนแทบอาเจียน ผ่านรื้นน้ำตาที่น่ารังเกียจ “มน... พ่อรักหนูนะ เหมือนที่พ่อรักแม่” ฉันใช้มือกุมศีรษะ หลับตาปี๋ แต่แม้ฉันเลือกที่จะไม่รับรู้อะไร พ่อก็ไม่ยอมหยุด “เพราะพ่อเค้ารักแกนะมน ไม่มีทางที่เค้าจะทำอย่างนั้นกับคนที่เค้าไม่ได้รักหรอก” แม่ไม่อยากให้พ่อไปไหน จึงยอมให้เขาปลดปล่อยทุกอย่างกับฉัน “ผมรักคุณมน... เพื่อนๆของผมก็รักคุณ” ฉันดีใจจนน้ำตาไหลเอ่อนองหน้า เสียงสวาทของพวกเขาคือท่วงทำนองบอกรักฉัน และห้องของคนรักฉันก็คือฉากในหนัง อั่ก... อั่ก... อั่ก... เสียงบดขยี้ร่างกายฉันถูกกรอซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทุกคนรื่นเริง มีเพียงฉันที่โศกเศร้า พวกเขาละเลงน้ำกามลงบนน้ำตาของฉัน จนฉันไม่รู้แล้วว่าร่องรอยที่เหลือนั้นคือคราบของอะไร เป็นกลิ่นคาวที่ไม่มีทางล้างออก เรือนร่างและความรักของฉันป่นปี้หมดแล้ว ฉีกขาดบกพร่องด้วยความรักที่ทุกคนรุมมอบให้ ฉันไม่แปดเปื้อนไปมากกว่านี้ นี่คือสิ่งสุดท้ายที่ฉันบอกตัวเองก่อนกระโจนลงมาจากหน้าผาอย่างเดียวดาย ฉันสะดุ้ง... ธีธัชกุมมือของฉัน ไม่ใช่ด้วยความใคร่ แต่เป็นความห่วงใย เขาคงเขยิบเข้ามาใกล้ตั้งแต่เห็นน้ำใสเรื่อขอบตา “รวมถึงคุณด้วยหรือคะ?” เสียงฉันเรียบนิ่ง ฉันลืมวิธีที่จะร้องไห้อย่างบ้าคลั่งไปพร้อมกับความรักเสียแล้ว และนั่นทำให้เขาปล่อยมือฉัน “ผมมาเพื่อตัดสินใจบางอย่างครับ” เด็กชายคนหนึ่งวิ่งมาแต่ไกล เป็นไปไม่ได้ที่จะมาหาฉัน “พี่ธัช~” เขาลากเสียงยาว แม้ธีธัชจะได้ยินตั้งแต่แรก พวกเขาสองคนคุยกันสักพัก ธีธัชก็ไล่เด็กคนนั้นกลับไปด้วยสีหน้าแดงก่ำ ฉันไม่ได้จับสาระว่าพวกเขาพูดถึงอะไรแม้ฉันน่าจะเป็นส่วนหนึ่งในเรื่องนั้น เพราะการสอดรู้ไม่ใช่วิสัยของฉัน มีเพียงสิ่งเดียวที่ทราบทั้งๆที่ไม่ใส่ใจฟัง ฉันนั่งเฉย ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของจำเลยที่จะต้องสารภาพ “ครับ... ผมโตที่นี่มาตั้งแต่จำความได้ และเมื่อมีความรู้ความสามารถมากพอก็ออกไปเผชิญโลกภายนอกตามลำพัง วันนี้ก็แค่กลับมาเยี่ยมบ้านก่อนจะไปศึกษาต่อต่างประเทศในไม่กี่วันให้หลังครับ” “เพื่อหลีกหนีจากการไม่เป็นที่รักหรือคะ?” ฉันถามออกไปอย่างไม่สมควร แต่ความอยากรู้อยากเห็นมีอำนาจเหนือฉัน “สารภาพตามตรง...” เขาอึกอักค่อนไปทางเขินอาย “ผมยังไม่เข้าใจความรักถ่องแท้หรอกครับ ยังไม่รู้เลยว่ามันเป็นยังไง ในเมื่อโตขึ้นมาภายในสถานที่แบบนี้ ที่ที่ทุกคนต่างแสวงหาความรักของตัวเองมากกว่าจะมอบความรักให้คนอื่น หรือในบางครั้งก็แสวงหาของกินมากกว่าความรัก” ธีธัชพูดติดตลกแก้เก้อ แต่นั่นทำให้ฉันยิ้มกว้าง “...บางครั้งคนสวยอย่างคุณคงเข้าใจได้ดีกว่าผม” เขาทิ้งท้ายได้น่าสนใจ “แต่ผมคิดว่ามันก็เป็นเรื่องดีนะ” แม้จะต้องการคำอธิบาย แต่ฉันเพียงชักสีหน้าในเชิงถาม “ผมรู้สึกว่ามันเหมือนตัวเลข คุณจำไม่ได้หรอกว่าคุณนับเลขเป็นเมื่อไหร่ แต่มันยากกว่าที่เราจะนับต่อจากหนึ่งเป็นสิบไปจนถึงร้อยแน่นอน…” ฉันรู้สึกตัวร้อนผ่าว “…สิ่งที่ยากที่สุดคือเมื่อเรานับไปถึงล้านแล้วเราจะตัดใจทิ้งทั้งหมดเพื่อมาเริ่มนับใหม่ หรือไม่ก็เพราะเราคงลืมไปแล้วว่าเราจะเริ่มนับมันยังไง” ราวกำลังร่วมรักกับเขาผ่านทางคำพูด แบบที่ไม่เคยมีใครทำให้ฉันรู้สึกดีเท่านี้มาก่อน “เราถูกหลอกล่อให้อยู่กับตัวเลขที่ผ่านไปแล้วจนขาดใจตายไปพร้อมกับความทุกข์ที่ทวีขึ้นทุกวัน แม้มันจะไม่ทำให้อะไรดีขึ้น” เป็นครั้งแรกที่ฉันเต็มตื้น นี่อาจคือจุดสุดยอดที่ใครๆว่ากัน และฉันก็ได้รับมันจากเขา คนแปลกหน้าอย่างธีธัช สุธานกวักมือเรียกฉันแต่ไกล แต่ใจของฉันยังอยู่กับชายหนุ่มตรงหน้า ถ้าฉันจากไปอย่างนี้ น้อยโอกาสนักที่เราจะกลับมาเจอกันอีก ยังไงเสียทิฐิก็เริ่มผลักดันให้ฉันเดินห่างออกไป ห่างออกไป และห่างออกไป เขาก็เหมือนทุกคนที่เคยเจอ คนที่เธอคิดว่าดีในตอนแรก จะทำเรื่องชั่วช้ากับเธอในตอนหลัง เมื่อเธอกระโดดลงมาไกลเพียงนี้แล้ว ยังจะมีใครกระโดดตามเธอลงมาอีกเพื่อตายพร้อมกัน ฉันตัดใจเช่นทุกครั้ง แต่เขากลับไม่ยอมให้ฉันตายเพียงลำพัง ธีธัชวิ่งตามมาจากทางด้านหลัง ก่อนที่ฉันจะถึงสุธานในอีกไม่กี่ก้าว “นี่เบอร์โทรศัพท์ของผมครับ... ถ้าคุณไม่รังเกียจที่จะคุยกับคนไม่รู้จัก” เขายื่นเศษกระดาษให้ฉัน บนนั้นเป็นตัวเลขหวัดๆสิบหลัก “ฉันชื่อศมนค่ะ และฉันก็ไม่ใช่คนบริสุทธิ์ผุดผ่องอย่างที่คุณอาจคิดในทุกเรื่อง” ฉันเน้นตอนท้ายแต่แฝงให้เขาตีความโดยเฉพาะเรื่องนั้น “...นั่นทำให้ฉันรับกระดาษแผ่นนี้ไม่ได้” เขาหน้าเสีย แต่ก็ยังไม่ยอมลดมือลง “บางทีคุณอาจจะอยากสอนการนับเลขให้กับคนที่ยังนับไม่เป็นครับ” ฉันไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำหน้าอย่างไร เหมือนที่ไม่สามารถห้ามมือไม่ให้รับกระดาษแผ่นนั้นไว้ได้ +-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+ END +-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+ หลังหน้ากระดาษ : เป็นเรื่องสั้นที่ใช้สมาธิและเวลาแต่งอย่างจริงจังมากเลยครับ (ทั้งที่ยังต้องแก้ไขวิทยานิพนธ์ในช่วงนี้) เพราะเห็นเพื่อนๆร่วมกันเขียนเยอะมากและไฟก็แรงมาก แต่ก็ยังต้องพัฒนาต่อไป (ในบางช่วงก็รู้สึกว่าตัวเองยังทำให้ดีกว่านี้ได้ มีบางสำนวนหรือบางประโยคที่น่าจะแก้ไขได้) ตั้งแต่ห่างหายจากการเขียนฟิคไป ก็เริ่มเกลาให้สำนวนเข้าที่ได้ยาก โดยเฉพาะครั้งนี้ที่เขียนโดยใช้ตัวละครหลักเป็นผู้หญิง และเน้นบทบรรยายมากขึ้นกว่าปกติ (ตามสไตล์ผมที่ส่วนใหญ่จะมีแต่ความคิดและคำพูด) บางทีก็สับสนกับอารมณ์ในการเขียนแบบผู้ชายเหมือนกันครับ แก้ซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายรอบ เลยใช้เวลาอยู่สองสามวัน (ทั้งๆที่อยากให้เสร็จนานแล้ว) ส่วนสำคัญอีกเรื่องน่าจะเป็นเรื่องของการใช้ภาษาที่(มีคนแนะนำว่า)ค่อนข้างโบราณ รวมถึงคำวาบหวามเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างเพศ ผมก็พยายามปรับให้มีน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ (จากที่ตั้งไว้ในตอนแรกว่าเยอะมาก) แต่ทำไงได้ครับเรื่องสั้นมันไปแนวนั้น หรือบางทีผมก็อาจจะยังฝีมือไม่ถึง ที่สำคัญไม่แพ้กันก็คงเป็นพล็อต จริงๆแล้วคิดพล็อตหลักได้ตอนกำลังอาบน้ำ แต่เขียนไปเขียนมามันก็ไม่ได้เหมือนพล็อตที่ตั้งไว้เป๊ะ จนกลับมาอ่านเองแล้วบางทีก็รู้สึกประหลาดเหมือนกัน ว่าใจความที่ต้องการสื่อครบถ้วนหรือยัง ถ้าเขียนต่อเป็นฟิคจริงๆจังๆอาจจะดีกว่านี้ (มั้ง) ยังไงก็ขอฝากเรื่องสั้นร่วมเทศกาลนี้ไว้ด้วยนะครับ พร้อมรับคำติชมเสมอ :hbow:
เอาล่ะอ่านจบแล้ว ขอคอมเม้นด้วยความเห็นส่วนตัวล้วนๆ ต้องนับเลยว่าในเรื่องมีอะไรหลายๆอย่างที่ต้องการจะสื่อและแอบแฝงไว้เยอะพอสมควร(ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่า)ทำให้เรื่องออกมาอ่านยากพอสมควรเลยทีเดียว ยอมรับตรงๆว่าอ่านรอบเดียวไม่เข้าใจประเด็นทั้งหมดต้องอ่านซ้ำ รอบที่2 บรรยากาศของเรื่องออกมาในแนวผู้ใหญ่ๆทำให้รู้สึกเข้าใจยากขึ้นไปอีก เนื้อหาหลักค่อนข้างหนักหน่วง ถึงจะบอกว่าติดเรทแต่องค์ประกอบมันไม่ได้สื่อไปในเชิงคิดในด้านนั้นเลยเหมือนฉากเหล่านั้นถูกเขียนขึ้นมาเพื่อย้ำในตัวของนางเอก และ สิ่งที่เธอคิด และจบลงแบบถ้าแค่อ่านผ่านๆไม่เข้าใจแน่ๆ ถือว่าเป็นฟิคที่ดี แต่ ไม่ใช่ฟิคที่เข้าใจได้ง่ายๆ ตามแบบฉบับของคนเขียนล่ะนะ ถ้ามีงานต่อไปก็จะยังตามอ่านไปเรื่อยๆล่ะสหายเอ๋ย ถ้าจะจัดเรทคงต้องเป็น 18+ ไม่ใช่เพราะฉากล่อแหลมแต่เป็นแง่คิดและมุมมองที่ต้องใช้ความคิดตามมากพอสมควรเลยทีเดียว ปล.สลัดผักฟิคคนอื่นคอมเม้นได้ยืดยาว ทีฟิคตรูคอมเม้นจึ๋งเดียว ใช่ซี่่มันเกรียนนี่;w;
- เริ่มแรกแยกประเด็น - ไม่หวือหวา(เท่าที่เคยคุยกัน) แต่ก็คาดเดาฉากต่อไปไม่ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น โดยเฉพาะ 'ศมน' ที่อ่านความรู้สึก ความคิด อารมณ์ไม่ออกจนกระทั่งจบไปแล้ว ก็ยังไม่เข้่าใจ บางที มันก็คงเหมือนชีวิตจริง ที่เราเองก็ยังไม่รู้ตัวว่าเรากำลังรู้สึก กำลังคิดอะไรอยู่ - สำนวนภาษา - บทบรรยายเรื่องเพศถือว่าเบานะ เบามากๆถ้าเทียบกับที่คาดหวังไว้ ในส่วนของบทพูดถือว่าทำได้ดี ถ่ายทอดลักษณะของตัวละครออกมาได้ชัดเจน เปรียเทียบ ความรู้สึกจากคำพูดกับการมีเซ็กส์ ถือว่าแปลกสำหรับผม แต่มันสั้น ห้วน เลยรู้สึกว่าไม่ถึงอารมณ์เท่าที่ควร แบบว่ามับปุปปับ เกิดขึ้นมาแล้วก็จบ เลยรู้สึกว่ายังสื่อออกมาได้ไม่เต็มที่เท่าไรกับความรู้สึกที่เกิดขึ้นของ 'ศมน' ส่วนฉากบรรยายบรรยากาศหรือเรื่องราวอดีตของ 'ศมน' ทำได้ดี สื่อออกมาได้ชัดเจน เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้แบบทันทีทันใด อาจจะเป็นเพราะต้องการจะสื่อเรื่องร้ายๆทีเ่กิดขึ้นของตัวละครให้เต็มที่ มันเลยทำได้ดีกว่าฉากบรรยายความรู้สึกที่กล่าวไว้ข้างบน - สอดแทรก แง่คิด - ถ้าเอาจากที่อ่าน คงจะต้องการสื่อเรื่องของ 'Love & Sex is not the same thing' รักและเซ็กส์ไม่ใช่เรื่องเดียวกัน คำว่ารักพูดได้ง่าย แต่ทำได้จริงหรือเปล่านั่นมันคนละเรื่อง และการใช้คำว่ารักเพื่อมีเซ็กส์กับใครก็ตาม ไม่ได้หมายความว่าการมีเซ็กส์คือการแสดงออกว่ารัก ถือว่าเป็นมุมที่เหมาะกับสังคมปัจจุบันอย่างมาก ที่รักและเซ็กส์เกือบจะกลายเป็นสิ่งๆเดียวกันอย่างแยกไม่ออก สับสนปนเป ไม่ต้องคิดอะไรให้มากกับฟิคนี้ กดบวกอย่างไม่ต้องสงสัย (^ ^)b
สำหรับผมนี่ไม่ใช่ฟิคติดเรตอย่างที่อากิพยายามยั่วแหย่ผม แต่มันคือ "ฟิคผู้ใหญ่" ต่างหาก ไม่มีอะไรส่อเรื่องสองแง่สองง่ามออกมาในเชิงลามกหรืออ่านแล้วชวนให้เกิดอารมณ์ แต่เป็นเรื่องของความรักและ sex ซึ่งผมว่าเราปฏิเสธไม่ได้อยู่แล้วว่ามันจะแยกออกจากความรักได้ยังไง ผมคิดว่าศมนเป็นอากิภาคผู้หญิง เป็นตัวละครที่มีควมคิดซับซ้อนและย้ำคิดย้ำทำ และถึงแม้อากิจะใช้การบรรยายแบบบุคคลที่ 3 แต่ทั้งเรื่องกลับเต็มไปด้วยความคลุมเครือ และอาการรำพันกับความคิดของศมน อ่านออกบ้างไม่ออกบ้าง รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง นั่นเพราะอากิเผลอเข้าไปนั่งใน position ของศมนแล้วเีขียนออกมานั่นเอง โดยธรรมชาติแล้วเจ้าเองก็เป็นคนคิดมากซะด้วยสิ ส่วนดีของการที่อากิเขียนในแบบศมนก็คือ ตัวละครมีมิติสูงมาก และทำให้ฟิคดูลึกและคลุมเครือดี ข้อเสียที่ผมจำเป็นต้องติงก็คือ มันทำให้ศมนมีทิฐิสูงมาก และมีการแสดงออกแข็งทื่อเกินหญิง บทบรรยายแรกๆยาวเหยียด เหมือนประโยคซ้อนประโยคซ้อนประโยค มันอ่านยากมากเลยรู้ไหม? หลังๆมาดีขึ้นมากเมื่อเริ่มมีบทสนทนา เนื้อหาถูกใส่ได้อย่างลงตัว สะท้อนภาพชีวิตสาววัยทำงานได้อย่างดี อดีตของศมนเลวร้ายมาก เป็นส่วนที่ใส่มาได้ถูกจังหวะ ชวนให้รู้สึกคลื่นไส้กับการกระทำที่พวกคนเลวๆทำกับเธอ เนื้อเรื่อง realistic มาตลอด แต่บทสทนาช่วงศมนกับธัชกลับดู ideal แปลกๆ ฟิคนี้โดดเด่นขึ้นมาจากผลงานอื่นๆ ด้วยความเป็นผู้ใหญ่ เนื้อหาหนัก ลึก ผมอธิบายไม่ถูกว่าแก่นของมันคืออะไร แต่ผมรู้ล่ะนะ ปล. ขอยิงคำถามแรงๆหน่อยนะครับ อากิเขียนศมนออกมาเองแล้ว อยากถามว่าเคยเป็นแบบผู้ชายที่ทำกับศมนบ้างไหมครับ?
...พี่มาเม้นแล้วนะน้องสาว... ...พูดถึงแกนเืรื่องบางคนบอกว่าเข้าใจยาก แต่อ่านแล้วเข้าใจเลยก็เลยไม่รู้สึกว่ามันเข้าใจยากเพราะงั้นข้ามไป เนื้อเรื่องเหมาะจะเขียนเป็นเรื่องยาวมากกว่าเรื่องสั้นอะ เพราะมันดูปูเรื่องมาเยอะมากทั้งศมน ทั้งสุธาน อ่านแล้วมันทำให้เกิดความสงสัยในอดีตทั้งสองคนตัวสุธานเองก็ยังไม่กระจ่าง มันหลายๆอย่างอะ นอกนั้นภาษาก็ดีนะ อ่านแล้วรู้สึกได้เลยว่าคนแต่งเป็นไง(ฮ่าๆ)...
rep นี้มาขอตอบประเด็นที่พี่อีวานกระตุกไว้ในตอนท้ายคอมเม้นท์นะครับ... แต่ก่อนอื่นเลย ขอบคุณมากสำหรับทุกคอมเม้นท์ และดูมีสาระมากกันทุกคน (ตกใจ!!!) เลยทำให้คนเขียนรู้สึกดีใจมากสำหรับทุกคำแนะนำ ชอบทุกๆความเห็นเลยครับ รู้สึกว่าทุกคนพยายามและตั้งใจกับการอ่านเรื่องของผมมาก และพยายามเสนอมุมมองในส่วนที่ตัวเองไม่เข้าใจ อย่างที่หลายคนบอกครับ ส่วนใหญ่น่าจะเป็นเรื่องของธีมเรื่อง จะพยายามปรับปรุงต่อๆไป แต่ขอยกมาพูดในบางประเด็น 1. อย่างที่พี่จ้อยบอกว่าเรื่องนี้พยายามสื่อหลายอย่างมาก จนมันสับสนซับซ้อน มากกว่าจะเป็นเรื่องสั้น (ตามที่โอนิบอกด้วย) เพราะเหตุนั้นส่วนบทสนทนาระหว่างศมนกับธีธัชถึงดู Ideal รวดเร็วผิดปกติจากที่แต่แรกเป็น Realistic มาก (อย่างที่พี่อีวานคอมเม้นท์นั่นเอง) เพราะการบรรยายส่วนที่กระตุกความคิดของศมนและมุมมองของเธอที่เคยยึดติดอยู่กับความรักในแบบเก่านั้นมันขาดหายไปหรือบางทีก็สั้นมากจนคนอ่านอาจไม่รู้ และนั่นคือส่วนที่ผมบอกในหลังหน้ากระดาษ ว่าพอตัวเองกลับมาอ่านก็รู้สึกประหลาด 2. เรื่องภาษา รู้สึกดีใจที่มันดูไม่แรงไปสำหรับคนอ่าน เพราะไม่ได้อยากสื่อในเรื่องนั้นโดยส่วนใหญ่ (สำหรับเรื่องสั้นนี้นะครับ แต่เรื่องยาวก็อยากเขียนอยู่) แต่อยากกระตุ้นความเฟลเวลาอ่านถึงศมนมากกว่า มาถึงช่วงสุดท้าย ตอบจดหมายจากแฟนๆทางบ้าน (/me โดนพี่อีวานโบก) ก็ขึ้นอยู่กับคำว่า "ผู้ชายที่ทำกับศมน" มันอยู่ในระดับไหนนะครับ ... ถ้าข่มขืนลูก หรือพาเพื่อนไปรุมโทรมคนรัก อันนี้ยังไม่เคยทำกับใครครับ แต่ถ้าไม่ใส่ใจเรื่องการมีเซ็กส์ คิดว่าเป็นกิจกรรมระหว่างชาย-หญิงอย่างนึง แล้วก็ไม่รับผิดชอบ เพราะถือว่าเป็นความต้องการของฝ่ายหญิงด้วย (เช่นเดียวกับ วิชญ์) ก็ยอมรับว่าเคยทำครับ และนั่นคือส่วนที่ทำให้ผมอยากเขียนเรื่องนี้ เขียนความรู้สึกของผู้หญิงที่โดนทำแบบนี้จนไม่รู้แล้วว่าความรักคืออะไร ... เขียนจากความผิดพลาดของตัวเองที่เคยทำไว้ จนตอนนี้เลือกที่จะไม่มีใครมั้งครับ ก็ตามที่ตอบแบบลูกผู้ชายครับ... และผมก็กลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ได้แต่ไม่ทำอย่างนั้นอีก ถูกอย่างที่พี่อีวานบอกครับ ผมคิดว่าถ้าผมเป็นผู้หญิงแบบนั้น ผมจะทำยังไง จะรู้สึกยังไง จะมีศรัทธาในความรักได้ยังไง ในเมื่อมันสูญหายไปกับเรื่องอย่างนั้นแล้ว หรือในมุมของคนที่ทำเอง และมานั่งทบทวน ก็อาจจะขาดศรัทธาในความรักแบบที่เธอเป็นได้เช่นกัน