บทที่1 บทบังคับจากโชคชะตา เรื่องราวเหล่านี้เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นบนแผ่นดินแห่งหนึ่งที่ถูกเรียกขานว่า "เอลเทอเฟีย" แผ่นดินที่เต็มไปด้วยกลิ่นไอแห่งเวทย์มนต์และเรื่องเล่าขานมากมาย ซึ่งเรื่องนี้เกิดขึ้น ณ หมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่งทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเอลเทอเฟีย ติดกับชายป่าที่ทอดยาวไปสุดอณาเขตทางทิศใต้ของแผ่นดินนี้ไม่มีใครรู้ว่าป่าที่มีนามว่า"อัสร่า"แห่งนี้มีอณาเขตซักเท่าไรเพราะไม่มีใครหน้าใหนสำรวจจะบอกได้ว่าป่าอัสร่าแห่งนี้มีอณาเขตเท่าไรและมีอะไรอยู่ในนั้นบ้าง นอกจากลมปากที่กล่าวลอยๆไว้เท่านั้น แต่ยามพระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า ตรงชายป่าอัสร่ามีร่างของชายหนุ่มในผ้าคลุมสีขมุกขมอม ผมสีดำสนิทยุ่งเหยิงเดินถือดาบรูปแบบเฉพาะของเกาะทางด้านใต้ของเอลเทอเฟียที่คนทั่วไปเรียกติดปากว่า"คาตานะ"เดินตรงมาหมูบ้านเล็กๆแห่งนี้ สถาณที่แรกที่เขามุ่งตรงไปคือร้านค้าที่แขวนป้ายจำหน่ายสินค้าพื้นเมืองและรับซื้อของป่าทุกชนิด เมื่อเข้ามาในร้านทำให้เสียงกระดิ่งเล็กๆที่แขวนอยู่ตรงประตูดังกรุ๊งกริ๊ง ทำให้เจ้าของร้านเงยหน้าจากหนังสือที่อ่านอยู่ขึ้นมามองชายหนุ่มที่ก้าวเข้าไปในร้าน "สนใจสินค้าอะไรหรือครับสอบถามได้เลยนะครับ"เจ้าของร้านเอ่ยทักทายตามภาษาคนค้าขาย ชายหนุ่มผมยุ่งเอ่ยจุดประสงค์ของเขา"เอ่อ... ผมเห็นว่าที่หน้าร้านติดป้ายรับซื้อของป่าใช่หรือเปล่าขอรับ" "สำเนียงแปลกๆแบบนี้พี่ชายของมาจากเกาะทางใต้สินะ อืมที่นี่รับซื้อของป่าทุกแบบแหละแต่ราคาอาจไม่ดีเท่าร้านตามเมืองใหญ่หรอก เพราะของหลายๆอย่างข้าก็เอาไปขายที่เมืองใหญ่น่ะแหละหาเป็นรายได้เสริมจะได้ไม่ต้องเดินทางฟรีเวลาไปซื้อของจากเมืองใหญ่มาขายที่นี่"พ่อค้าพูดคุยอย่างเป็นกันเอง ชายหนุ่มพยักหย้าเลิกน้อยพลางสบัดผ้าคลุมอันขมุกขมอมของเขาออกแล้วล้วงไปในย่ามใบเขื่องที่เขาสะพายพาดบ่าเอาใว้หยิบก้อนหินสีสุกใสจำนวนหนึ่งแหละหนังของสัตว์ใหญ่บางชนิดวางลงเคาน์เตอร์ตรงหน้า พ่อค้าหยิบมันไปพลิกไปดูอยู่ซักอึดใจก็ส่ายหน้าออกมา"จะว่ายังไงดีล่ะน้องชายนี่มันโลหะชั้นสูงอย่างบลูเมตัล กับ หนังมังกรเขียวไม่ใช่หรือ?"ชายหนุ่มพยักหน้า "งั้นน้องชายน่าจะรู้ของมันในท้องตลาดสินะ?"พ่อค้าถามต่อไปอย่างช้าๆ "ก็พอรู้บ้างคร่าวๆขอรับ" "งั้นก็ว่ากันตรงๆเลยต่อให้เอาเงินสดที่ข้ามีติดตัวอยู่ตอนนี้ยังไม่พอที่จะซื้อของพวกนี้ซักอย่างเลยซะด้วยซ้ำเสียใจด้วยนะ น้องชายคงต้องเข้าเมืองใหญ่อย่าง"ริมุเน่"หรือ"รีเวเรีย" แล้วล่ะนะถึงจะมีร้านที่จะพอรับซื้อของเหล่านี้ไหวโดยไม่โกง "พ่อค้าส่ายหน้าช้าๆอีกครั้ง คำตอบของพ่อค้าทำเอาชายหนุ่มยืนนิ่งไปซักพัก แต่ก็ไม่นานนักเขาก็เก็บของเหล่านั้นลงย่ามของเขาพลางก้มหัวให้พ่อค้าคนนั้นเล็กน้อยตามมารยาท แต่ก่อนที่เขาจะขยับตัวเดินออกจากร้านพ่อค้าก็ได้เอ่ยทักไว้ก่อน "นี่น้องชายถ้าขัดสนเงินทองอยู่ล่ะก็ข้าแนะนำให้ลองแวะไปที่โบสถ์ของหมุบ้านนี้ดูเห็นว่า ยายมาเรียบ่นๆอยู่ว่าอยากได้คนช่วยงานซ่อมโบสถ์น่ะ แต่ขอเตือนไว้หน่อยว่าอาจต้องทำใจหน่อยนะฮ่าๆ ขอให้โชคดีน้องชาย"พ่อค้าพูดออกมาอย่างอารมณ์ดี ชายหนุ่มเดินตรงไปยังโบสถ์ตามคำแนะนำของพ่อค้าตอนนี้ก็โพล้เพล้เต็มทีแล้ว เมื่อเข้ามาใกล้โบสถ์ชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงหัวเราะเฮฮาของเด็กๆที่วิ่งเล่นอยู่แถวหน้าโบสถ์ พร้อมเสียงของหญิงสาวคนหนึ่งในชุดนักบวชสีดำติดสร้อยกางเขนสีเงินอยู่บริเวณอก จากรูปร่างหน้าตาของเธอนั้นไม่น่าจะใช่ชาวบ้านแถวนี้เพราะทั้งรูปร่าง สีผม สีตา ต่างจากชาวบ้านแถบนี้พอสมควรเลยทีเดียวรูปร่างสมส่วนที่อยู่ในชุดนักบวชสีดำนั้นสูงพอๆกับชายหนุ่มเลยทีเดียวดวงตากลมโตสีเดียวกับพลอยแอเมทิสต์ ภายใต้แว่นสีแดงสดนัยตาสีม่วงเข้มคู่นั้นประดับบนใบหน้าที่สวยหวานปนๆกับความดื้อรั้นที่รวมกันจนแยกไม่ออก ผมสีฟ้าเช่นเดียวกับท้องฟ้าเวลาแจ่มใสยาวประท้ายทอยประดับด้วยริบบิ้นสีแดงสดขลิบได้วยลูกไม้สีขาวมีกระพรวนสีเงิน2ลูกติดอยู่ตรงกลาง ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะได้เอ่ยอะไรนอกจากยืนมองอยู่เงียบๆ ร่างนั้นก็ก้าวตรงมาทางเขา "นี่นายมายืนลับๆล่อๆแถวนี้มีธุระอะไรฮึ?" นักบวชสาวเดินมาจ้องหน้าเขาเขม็ง " คือว่าพ่อค้าที่ร้านตรงโน้นเขาแนะนำว่าถ้าอยากได้งานพิเศษทำให้มาที่โบสถ์หาคนที่ชื่อ`มาเรีย`น่ะขอรับแม่หญิง"ชายหนุ่มตอบกลับด้วยสีหน้าและแววตาปกติ นักบวชสาวมองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างพิจราณาอีกครั้ง"สารรูปขมุกขมอมอย่างนายน่ะรึหางานทำนี่ท่าทางจะไม่มีตังซักแดงแม้กระทั่งซื้อของกินเลยสิท่า? ฟังจากวิธีการพูดแปลกๆนายมาจากเกาะทางใต้ที่ชื่อ`อุเอรุโตะ`สินะ?" ชายหนุ่มมองสำรวจตัวเองอีกครั้งเขาก็อยู่ในสภาพแบบที่เธอบอกจริงๆน่ะแหละ "ก็เช่นนั้นแหละขอรับแม่หญิง" "ชั้นนี่แหละ`มาเรีย` ถึงที่นี่เป็นโบสถ์ก็ไม่ได้ให้นายมาพักฟรีๆได้หรอกนะคนที่ทำงานเท่านั้นแหละถึงจะมีกิน ค่าที่พักและอาหารชั้นจะหักเอาจากค่าแรงนายละกัน" "ชั้นอยากได้คนช่วยซ่อมกำแพงและหลังคาของโบสถ์ทำได้หรือเปล่านายน่ะ?"มาเรียถาม ชายหนุ่มพยักหน้า "ได้ขอรับแม่หญิง" "แต่บอกไว้ก่อนเลยนะถ้านายคิดตุกติกหรือทำอะไรไม่น่าไว้วางใจแม้แต่นิดเดียว หึ หึ หึ...."มาเรียทิ้งท้ายประโยคด้วยเสียงหัวเราะเย็นยะเยือกก่อนจะเดินนำชายหนุ่มไปทางด้านหลังของโบสถ์ ซึ่งเต็มไปด้วยหลุมฝังศพมากมายหรือเรียกง่ายๆว่า "ป่าช้า" "กลัวผีหรือเปล่า?" คำถามสั้นๆง่ายๆถูกส่งมายังชายหนุ่มซึ่งมีสีหน้าปกติไม่ยินดียินร้ายกับภาพตรงหน้าซักเท่าใดถึงเวลาลานี้พระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้าเต็มทนความมืดเริ่มที่จะเข้าปกคลุมทุกแห่งดังเช่นที่มันเคยเป็นอยู่ทุกวัน จากคำถามของนักบวชสาวตรงหน้าเขาทำให้ชายหนุ่มรู้ได้ทันทีว่าเพิงไม้เก็บของตรงหน้าเขานี่แหละคงจะเป็นที่พักของเขาสำหรับคืนนี้ชายหนุ่มส่ายหน้าน้อยๆเพื่อตอบคำถามของมาเรีย "อืม... งั้นคืนนี้คงต้องให้นายพักที่นี่ ถึงมันจะดูโทรมไปหน่อยแต่ก็พอพักได้ชั่วคราวล่ะนะ อ้อเดี๋ยวอีกซักพักชั้นจะมาตามนายไปกินข้าวเย็นช่วยจัดการกับสภาพซอมซ่อของนายให้ดีขึ้นอีกซักนิดนึงก็ดี ชั้นไม่อยากให้เด็กๆตกใจกับตัวประหลาดที่มานั่งกินข้าวด้วย ห้องน้ำอยู่ทางนั้น"มาเรียชี้ไปทางหนึ่ง พร้อมกับออกเดินหายเข้าไปในโบสถ์ ชายหนุ่มเดินเข้าไปข้างในก็พบว่าภายในเพิงไม้นั้นมีอุปกรณ์ต่างๆเก็บไว้พอสมควรแต่ก็ยังมีทางว่างพอจะให้เขาวางสัมภาระแล้วเอนตัวลงนอนพักผ่อน เขาจัดแจงปลดผ้าตลุมสีขมุกขมอมวางไว้ทางหนึ่งแล้วก็นั่งชันเข่าเอนตัวพิงกับกำแพง ดาบคาตานะทื่เขาถือไว้ถูกวางไว้ข้างๆ ชายหนุ่มหลับตาลงเพื่อพักสายตาซักครู่ เวลาผ่านไปซักพักใหญ่ชายหนุ่มก็ลืมตาขึ้นเพราะได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคนที่เดินตรงมายังเพิ่งแห่งนี้คนเป็นนักบวชสาวผมฟ้าคนนั้นกระมัง เขายืนขึ้นหยิบดาบที่วางไว้แล้วเดินออกมายังหน้าเพิงแห่งนั้น "ถ้าผ้าคลุมมอมๆของนายออกก็ดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นเยอะเลยนี่"เสียงของมาเรียลอยฝ่าความมืดมาถึงก่อนตัวเสียอีก"เอาล่ะตามชั้นมา ว่าแต่ดาบของนายนี่ต้องถือไว้ตลอดเลยเรอะ?" "ขอรับแม่หญิง"ชายหนุ่มตอบกลับมาสั้นๆ แล้วทั้งคู่ก็เดินเข้าไปภายในโบสถ์เมื่อมาถึงห้องอาหารก็พบว่าบนโต๊ะนั้นมีบาทหลวง และ เด็กๆนั่งรอกันอยู่แล้ว "นั่งสิพ่อหนุ่ม เดินทางมาไกลคงจะเหนื่อย"บาทหลวงเอ่ย ชายหนุ่มนั่งลงตรงที่ว่างแล้วมองสำรวจไปรอบโต๊ะก็พบสายตาของเด็กๆที่มองดูเขาอย่างสนใจซึ่งเขาก็ยิ้มให้เด็กๆพวกนั้นเล็กน้อย มาเรียที่เดินเข้าไปในครับออกมาพร้อมกับหม้อซุปที่กำลังร้อนได้ที่พร้อมกับตักแจกให้ทุกคน "ว่าแต่ยังไม่รู้ชื่อของนายเลยชื่ออะไรล่ะ?" "ทากะ ขอรับ ซารุวาตาริ ทากะ"ชายหนุ่มแนะนำชื่อตัวเอง จากนั้นการรับประทานอาหารเย็นก็เริ่มต้นขึ้นชายหนุ่มถูกซักถามจนทุกคนทราบว่าเขานั้นมาจากเกาะแดนใต้ "อุเอรุโตะ" ออกเดินทางท่องเทียวไปทั่วและเพิ่งออกมาจากป่าอัสร่า ซึ่งเป็นที่สนใจของเด็กๆมากแต่เวลาก็ล่วงเลยมาพอสมควรแล้วมาเรียจึงไล่ให้เด็กๆไปนอนแล้วค่อยมาคุยกับทากะต่อในวันพรุ่งนี้ ทากะช่วยมาเรียเก็บข้าวของบนโต๊ะอาหารขณะที่บาทหลวงพาเด็กๆไปนอนหลังจากเคลียร์ธุระทุกอย่างเรียบร้อยชายหนุ่มก็เดินกลับไปยังเพิงหลังโบสถ์แล้วค่อยๆเอนตัวลงพักผ่อน จากการที่ได้คุยบนโต๊ะอาหารทำให้เขาพอจะทราบได้คร่าวๆว่าโบสถ์ในหมู่บ้านเล็กๆแห่งนี้รับฝากเลี้ยงเด็กๆ ที่พ่อแม่ต้องเดินทางไปทำธุระต่างเมือง โดยมีมาเรียที่เป็นนักบวชฝึกหัดคอยดูแดเด็กๆซึ่งเจ้าตัวดูท่าทางจะไม่ถนัดในการรับมือเด็กๆซักเท่าไรนัก จากท่าทางของนางเวลาโดนเหล่าเด็กน้อยทั้งหลายซักถามจนตอบไม่ทัน หรือ การที่เธอวุ่นวายกับการไล่ปีศาจตัวเล็กเหล่านั้นไปนอนราวกับการจับปูใส่กระด้ง แล้วนักดาบหนุ่มก็หลับพักพ่อนไปกับเสียงแมลงกลางคืนที่ส่งเสียงฝ่าความเงียบของป่าช้าที่ล้อมรอบเพิงที่เขาอาศัยอยูตอนนี้ การซ่อมหลังคาเสร็จลงอย่างรวดเร็วท่ามกลางสายตาทึ่งๆของนักบวชฝึกหัดที่คอยดูแลเด็กๆที่วิ่งเล่นอยู่บริเวณโบสถ์ชายหนุ่มปีนลงจากหลังคาที่ซ่อมเรียบร้อยแล้วมานั่งพักเหนื่อยมองเหล่าเด็กๆ วิ่งเล่นยามเย็นอยู่ข้างๆโบสถ์ "นี่ๆพี่ชาย พี่เป็นนักเดินทางเหรอ?" เด็กน้อยคนหนึ่งวิ่งตรงมาหาเขา ชายหนุ่มพยักหน้าเล็กน้อยแทนคำตอบ "งั้นพี่ชายต้องรู้เรื่อง สงครามแห่งเอลเทอเฟีย และ หน่วยทั้ง 8 สินะเล่าให้พวกฟังหน่อยสิพี่ชาย" เด็กชายอีกคนแทรกขึ้นมา มาเรียเดินมากอดอกจ้องมองเขา ซึ่ง ทากะก็เงยหน้าขึ้นมองนักบวชฝึกหัดราวกับขอคำตอบที่เด็กร้องขอ "อยากเล่าอะไรก็เล่าไปเถอะ เรื่องนี้ข้าเล่าเป็นสิบๆรอบแล้วเจ้าพวกนี้ก็ไม่เบื่อที่จะฟัง ก็ดีเหมือนกันชั้นจะได้เปลี่ยนจากผู้เล่าเป็นผู้ฟังบ้าง" แล้วเธอก็ทรุดตัวลงนั่งเท้าคางบนลังไม้ที่อยู่ใกล้ๆ "เมื่อ 7 ปีก่อนก็เหมือนที่ทุกๆคนได้ยินหรือได้ฟังมาแล้วก็คือ เกิดสงครามครั้งใหญ่ขึ้นระหว่าง มนุษย์ กับ ปีศาจ ซึ่งสงครามครั้งนั้นได้เกิด หน่วยรบพิเศษ ที่เก่งกาจขึ้น 8 หน่วยแต่น่าเสียดายผลกระทบ จากการสูญเสียของสงคราม ทำให้วีรบุรุษ หัวหน้าหน่วยทั้ง 8 ได้เสียชีวิตไปถึง 6 คนเหลือเพียงแค่ หัวหน้าหน่วยที่ 1 "เรซาส" ที่ตอนนี้รับตำแหน่งหัวหน้าราชองค์รักษ์อยู่ที่สภานักบวช แห่ง ชายน์ และ หัวหน้าหน่วยที่ 6 "รูน" ตอนนี้เป็นคนสนิทของ ลอร์ดเฟอร์ชาสผู้อาวุโสและคนสนิทของกษัตริย์อัลวีนที่สิบสองแห่งนครรีเวเรีย " "ถึงครั้งนั้น เอลเทอเฟียจะสูญเสียไปมากมาย แต่มันก็ทำให้ทุกคนตระหนักถึงสิ่งที่เรียกว่าความสงบสุข" "เวลาผ่านไป 7 ปีแผ่นดินนี้ก็ฟื้นฟูขึ้นมาโดยมี นครแห่งอัศวินรีเวเรีย และ เมืองแห่งแสงสว่าง และ สภานักบวช ชายน์ 2เมืองใหญ่ คนละฟากแม่น้ำ เซลว่า เป็นแกนหลักในการฟื้นฟูแผ่นดินที่เจ็บปวดแห่งนี้ ถึงสงครามจะจบลงแต่ก็ยังมีปีศาจที่ตกค้างจากสงครามครั้งนั้น อาศัยอยู่ในที่ต่างๆ " แล้วชายหนุ่มก็เบี่ยงประเด็นจากเรื่องราวของสงครามเป็นเรื่องราวของ ปีศาจ และ สัตว์ประหลาดต่างๆ ที่เขาเคยเห็นและได้ยินเรื่องเล่ามาจากการเดินทางของเขา ซึ่งทำเอาเด็กที่ไม่เคยได้ยินเรื่องราวเหล่านั้นมาก่อนตั้งใจฟัง และ สอบถามตามที่พวกเขาอยากรู้ จนเวลาล่วงเลยจนเย็นมากทุกคนจึงแยกย้ายกลับบ้าน และ ส่วนหนึ่งก็กลับเข้าโบสถ์เพื่อรับประทานอาหารเย็น แต่ก่อนเด็กๆทุกคนจะแยกย้ายกันก็มีเด็กชายคนหนึ่งถามคำถามขึ้นมาว่า "ผมเองเคยได้ยินว่าจริงๆแล้วมีหน่วยที่ 9 ที่ถูกเรียกว่าหน่วยลวงตาใช่ใหมครับพี่ชาย?" ซึ่งคำถามนี้ทำเอาชายหนุ่มยิ้มละไม แล้วตอบกลับมาว่า "มันเป็นแค่เรื่องเล่าน่ะขอรับ เรื่องราวของหน่วยที่9นั้นได้หายไปพร้อมกับสงคราม ไม่มีบอกได้ว่าหน่วยนี้มีอยู่จริงหรือเปล่า นอกจากผู้ที่เคยเกี่ยวข้องกับพวกเขา หน่วยที่ 9 อาจจะมีอยู่จริง หรือ เป็นเพียงเรื่องเล่าที่ถูกสร้างขึ้น พวกเธอต้องเป็นคนที่จะเลือกว่าจะเชื่อแบบไหนกัน" หลังอาหารเย็นซึ่งกว่ามาเรียจะรบรากับเด็กๆทั้งหลายจนเข้านอนครบทุกคนก็เล่นเอานักบวชฝึกหัดหัวหมุนไปพักใหญ่ ถุงเงินค่าจ้างถูกยื่นให้ทากะ ที่กำลังนั่งเหม่อมอง ไปยังท้องฟ้าที่วันนี้มีแต่ดวงดาวส่องแสงตัดกับสีดำของยามค่ำคืน "นี่ค่าจ้างซ่อมหลังคาตามที่ตกลงกันไว้ แล้วจะไปไหนต่อล่ะพ่อคนพเนจร" ทากะไม่ตอบแต่หันไปทางริมุเน่ นครที่เต็มไปด้วยกลิ่นไอแห่งเวทย์มนต์ "ริมุเน่สินะ แล้วนายจะออกเดินทางพรุ่งนีเช้าโดยไม่ร่ำลาเด็กๆเลยรึ?" ทากะส่ายหน้าช้าๆ "ข้าน้อยเป็นเพียงคนจรที่ไร้หัวนอนปลายเท้าไม่มีค่าพอที่จะไปร่ำลาใครให้เป็นที่จดจำ และ นึกถึงสำหรับพวกเขาหรอกขอรับ" "นายนี่แปลกคนดีนะ เอาเถอะคนอย่างชั้นก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะว่าใครเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้ซะด้วยนะ" แล้วมาเรียก็ยิ้มเศร้าๆออกมาพร้อมกับทอดสายตาไปยังป่าช้าที่เต็มไปด้วยความเงียบสงบ และ วังเวง แล้วนักบวชฝึกหัดก็เดินกลับไปห้องพักของเธอเงียบๆ ปล่อยให้ชายหนุ่มผมดำนั่งเหม่อไปอย่างไร้จุดหมาย กลางดึกที่เต็มไปด้วยเสียงของแมลงและนกที่หากินในเวลากลางคืนแว่วเสียงมาตามสายลมที่พัดเอื่อยๆ จู่ๆเสียงเหล่านี้ก็เงียบลงอย่างกระทันหันราวกับตกใจ และหวาดกลัวอะไรบางอย่างที่ปรากฏตัวออกมา ซึ่งสัญญาณของธรรมชาติเล็กๆ เหล่านี้ก็ไม่ได้พ้นไปจากการรับรู้ของนักดาบหนุ่มที่ดูเผินๆเหมือนจะหลับสนิท ถึงจะเบาบางมากแต่นักดาบหนุ่มก็รับรู้ถึงจิตสังหารที่ค่อยๆคืบคลานเข้ามา ดวงตาที่ยังคงหลับอยู่แต่ความสงสัยโถมเข้าหาทากะ "ทำไมนักฆ่าชั้นสูงที่พรางจิตสังหารได้เกือบสมบูรณ์ถึงปรากฏตัวที่หมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้" แต่ก่อนที่เขาจะได้คำตอบเสียงฝีเท้าเบาๆที่ก้าวออกมาจากโบสถ์ มุ่งตรงสวนไปยังที่มาของจิตสังหารนั้น ความแคลงใจของนักดาบหนุ่มทำให้เขาทนที่จะนั่งหลับตาอยู่แบบนี้ไม่ได้อีกต่อไป ลืมตาแล้วค่อยๆเร้นกายออกจากเพิงหลังโบสถ์ที่เขาอาศัยหลับนอน สาวเท้ามุ่งตามเสียงนั้นไปห่างๆ ถึงจะไม่ใช่คืนจันทร์เพ็ญ แต่พระจันทร์ก็สว่างมากพอที่จะเห็นได้เลาๆ บริเวณป่าช้าหลังโบสถ์ นักบวชฝึกหัด มาเรียกำลังยืนเผชิญหน้ากับบุคคลที่อยู่ในชุดคลุมสีดำทั้งตัว "จมูกดีจังเลยนะ อุตส่าห์หนีจากชายน์ข้ามทวีปมาอยู่สุดชายป่าอัสร่าแล้วเชียวนะ สภานักบวชอยากได้ชีวิตของนักบวชฝึกหัดอย่างชั้นขนาดนี้เลยรึ?" เสียงของมาเรียเจื้อยแจ้วลอยมา ".............." ไม่มีมีคำตอบจากคนในชุดคลุมสีดำ แต่ปรากฎวงแหวนอาคม สว่างวาบขึ้นที่พื้น ทั้งป่าช้าสั่นราวกับแผ่นดินไหว "เฮ้อ.... ไม่ยอมลงมือเองอีกแล้วสินะคิดว่า โครงกระดูกกิ๊กก๊อกที่แกปลุกขึ้นมาจะทำอะไรชั้นได้อย่างงั้นหรือยะ" มาเรียเลิกคิ้วถามยังไม่ทันที่จะจบประโยคดี มีดสั้นเล่มหนึ่งก็พุ่งออกจากมือนักบวชฝึกหัดเข้าไปยังบริเวณที่น่าจะเป็นลำคอของคนที่กำลังร่ายมนต์ปลุกศพทำให้วงแหวนเวทย์หายวับไปทันที เพราะคนที่ร่ายเวทย์ถูกบังคับให้ขยับตัวหลบไม่งั้นมีดของมาเรียคงจบชีวิตของคนในชุดดำนั้นลงแล้ว ร่างของนักบวชฝึกหัดพุ่งเข้าประชิดคนในชุดดำแล้วมีดสั้นอีก 2 เล่มที่เวลานี้มันมาอยู่ในมือของนักบวชฝึกหัดถูกวาดเข้าใส่ร่างนั้นอย่างรวดเร็ว แต่มันก็ฉีกได้แค่ชายผ้าคลุมสีดำเท่านั้น มาเรียไม่ได้กระโจนเข้าประชิดตัวแบบต่อเนื่องแต่ซัดมีดสั้นในมือเล่มหนึ่งเข้าใส่แทน ซึ่งคนในชุดดำหลบได้แบบฉิวเฉียด แต่มันก็เป็นไปตามที่นักบวชฝึกหัดคาดการณ์ไว้แล้ว ร่างของมาเรียเข้าประชิดในมุมอับของสายตาด้ายซ้าย มีดสั้นในมือถูกเสียบเข้าที่ชายโครงซ้ายเฉียงขึ้นซึ่งมันควรจะตัดขั้วหัวใจอย่างแม่นยำ เสียงคนในชุดดำแหกปากดังลั่นร่างนั้นทรุดลงกับพื้น มาเรียถอยออกมายืนมองร่างนั้นกระตุกอย่างเจ็บปวดด้วยสายตาเย็นชา ร่างในชุดดำที่สมควรแน่นิ่่งอยู่ๆก็กระตุกอย่างรุนแรงกลิ่นไอแห่งความมืดอันน่าขยะแขยงพวยพุ่งออกจากร่างนั้นทำเอา มาเรียต้องกระโดดถอยออกจากจุดที่ยืนเดิม พลางยิ้มเหยียด "นี่หรือคนของสภานักบวชสภาพน่าสังเวชสิ้นดี" ไอแห่งความมืดค่อยๆห่อหุ้มร่างนั้นแล้วค่อยๆขยายตัวขึ้น ปรากฎร่างของยักษ์ตาเดียว สูงกว่า 2เมตร คำรามลั่นทำลายความเงียบของยามราตรีให้หายไปจนหมดสิ้น มาเรียมองภาพตรงหน้าอย่างไม่อาทรร้อนใจใดๆทั้งสิ้น ราวกับว่าเธอนั้นคุ้นเคยกับมันเป็นอย่างดี มีดสั้นในมือถูกเก็บ สร้อยข้อมือสีเงินที่เป็นรูปค้อนเล็กเปล่งแสงสว่างวาบ ปรากฏค้อนขวานขนาดใหญ่ ตรงด้ามเป็นโซ่ยาวมีใบมีดประดับอยู่ซึ่งถ้าเทียบกับคนเรียกมันออกมา ค้อนที่เธอถือนั้นมันสูงกว่าหัวของมาเรียไปเกือบๆเมตร ค้อนขวานที่ใหญ่ขนาดนี้ต่อให้เป็นนักรบที่มีกำลังมหาศาลก็ใช่ว่าจะใช้มันได้อย่างคล่องแคล่ว แต่นักบวชฝึกหัดตรงหน้าเธอถือมันพาดบ่าราวกับมันเป็นของเล่น โซ่ยาวถูกพันไว้รอบแขนราวกับโซ่นั้นมีชีวิตและที่ตามที่เจ้าของต้องการ ใบมีดตรงปลายโซ่ถูกกำไว้ในมืออีกข้าง "เดี๋ยวจะส่งให้ไปสู่สุขตินะคะ แต่อาจเจ็บนิดหน่อยไม่เป็นไรเหมือนมดกัดเจ็บแป๊ปเดียว" ใบหน้าของมาเรียยิ้มละไมแต่มันไม่ใช่รอยยิ้มของนักบวชผู้อ่อนโยน แต่มันเป็นรอยยิ้มของคนโรคจิตต่างหาก พริบตาใบมีดในมือถูกสบัดออกลากสายโซ่เข้าตวัดพันรอบคอของเจ้ายักษ์ตาเดียวราวกับงูฉก นักบวชฝึกหัดสาวแสยะยิ้มกระชากร่างของยักษ์ตาเดียวที่ใหญ่กว่าเธอเกือบ 4 เท่าด้วยมือข้างเดียวเสียหลักล้มเข้าหาเธอตามแรงกระชากราวกับคนโดนช้างฉุด มาเรียปล่อยมือข้างที่จับโซ่ออกเปลี่ยนไปจับด้ามค้อนขวานของเธอทั้ง2ข้างเหวี่ยงตัวฟาดเข้าที่กกหูของเจ้ายักษ์ตาเดียวโชคร้ายเสียงดังสนั่น หัวของเจ้ายักษ์ตาเดียวหักผิดธรรมชาติ ดวงตาอันใหญ่โตของมันเหลือกถลนไม่มีเสียงร้องของมันแม้แต่แอะเดียว นอกจากเสียงของร่างมันกระเด็นไถลไปตามทางที่เต็มไปด้วยป้ายสุสานซึ่งบัดนี้ป้ายเหล่านั้นหักโค่นไปตลอดทางของร่างเจ้ายักษ์นั่น "ไปสู่สุขตินะคะ อาเมน...." เสียงเบาๆที่ดังออกมาจากริมฝีปากที่กำลังแสยะยิ้มของมาเรีย "ศิลาความมืดที่เปลี่ยนคนเป็นปีศาจ อาวุธเวทย์มนต์ที่แปรสภาพได้ตามใจของผู้ใช้ ผลของสงครามครั้งนั้นมันยังไม่จบลงสินะ สภานักบวชแห่งชายน์กำลังทำอะไรอยู่กันแน่ แล้ว รีเวเรียล่ะกำลังทำอะไรอยู่"นักดาบหนุ่มที่นั่งอยู่บนกิ่งไม้ดูการต่อสู้ครั้งนี้ไม่ห่างออกไปจุดที่เธอยืนอยู่ไปซักเท่าไรคิดในใจ พลางเอามือแตะย่ามของเขาที่มีจดหมายเชิญตัวจากลอร์ดเฟอร์ชาส ให้ไปเข้าพบที่รีเวเรีย เพราะการที่เขาปล่อยตัวตกอยู่ในภวังค์ความคิดจนปล่อยนักบวชฝึกหัดสาวรับรู้ถึงการคงอยู่ของเขาได้ ใบมีดพร้อมโซ่ยาวถูกขว้างเข้าใส่ยังตัวเขาแต่มันก็ไม่ไวพอที่จะจับตัวเขาได้ ร่างของนักดาบหนุ่มกระโดดลงจากต้นไม้แต่มันก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ค้อนขวานอันมหึมานั้นถูกเหวี่ยงเข้ามาที่ร่างเขาเสียแล้ว โครม!!! เสียงของค้อนขวานกระแทกต้นไม้ใหญ่จนมันสั่นสะท้านราวกับจะโค่นลงเดี๋ยวนั้นแต่มันไม่ได้สัมผัสร่างของทากะแม้แต่น้อยเพราะนักดาบหนุ่มก้าวเข้าประชิดพลางคว้ามือของนักบวชสาวที่ปล่อยค้อนออกไปหยิบมีดสั้นพร้อมจะสังหารเขาในระยะประชิดทันที "ช้าก่อนแม่หญิงมาเรีย!!!" ทากะเอ่ยออกมาอย่างร้อนรนเพราะขืนปล่อยให้เธอโจมตีเขาต่อไปมากกว่านี้เขาต้องเจ็บตัวแน่ๆถ้าไม่รับมือเธออย่างจริงๆจังๆ และเป็นครั้งแรกที่นักดาบหนุ่มพเนจรเอ่ยชื่อของนักบวชฝึกหัดสาว "นายก็เป็นนักฆ่าของสภานักบวชเหมือนกันสินะทากะ" มาเรียแสยะยิ้มพลางสบัดข้อมือที่ทากะจับไว้แต่ราวกับโดนคีมล๊อคเอาไว้แน่ไม่ยอมหลุด "อย่าเข้าใจผิดสิขอรับแม่หญิงข้าน้อยเป็นเพียงคนพเนจรเท่านั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสภานักบวชเลยแม้แต่นิดเดียว" "ไม่ต้องมาแก้ตัวถ้าไม่ใช่แล้วทำไมมาอยู่แถวนี้!!"มาเรียสบัดข้อมืออย่างแรงอีกครั้ง ทากะเห็นท่าไม่ดีจึงปล่อยมือเธอแล้วกระโดดถอยหลังออกไปยืนห่างจากเธอพอสมควรเพื่อความปลอดภัยของเขาเอง "พอดีข้าน้อยรู้สึกว่ามีคนกำลังมาที่นี่แล้วแม่หญิงก็เดินออกไปทางนั้นพอดี ข้าน้อยสงสัยเลยเดินตามออกมาดูเท่านั้น ข้าน้อยขอยืนยันด้วยเกียรติของข้าน้อยว่าข้าน้อยไม่ได้เกี่ยวข้องกับสภานักบวชจริงๆนะขอรับ ข้าน้อยเป็นเพียงคนพเนจรธรรมดาเท่านั้น" "หึ หึ หึ คนพเนจรธรรมดา แต่หลบการโจมตีของชั้นพ้นทั้ง 2 ครั้งเนี่ยนะ แถมยังยังรู้ด้วยว่าเจ้านักฆ่านี่จะมา และ รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของชั้นด้วย มันไม่ใช้ธรรมดาแล้วล่ะมั๊งคะคุณทากะ ยอมรับมาซะดีๆว่าคุณเป็นใครกันแน่" แต่ก่อนที่เธอจะได้คำตอบจากชายหนุ่มตรงหน้าก็มีเสียงชาวบ้านโหวกเหวกโวยวาย ถึงเสียงดังลั่นที่เกิดขึ้นจากการต่อสู้ซึ่งพริบตาที่นักบวชฝึกหัดละความสนใจจากร่างของชายหนุ่มตรงหน้า ร่างนั้นก็หายไปกับสายลม ปล่อยให้นักบวชฝึกหัดสาว รีบเก็บค้อนในมือเธอให้เป็นสร้อยข้อมือ แล้วกัดริมฝีปากอย่างขัดใจกับนักดาบหนุ่มที่หายไป จบบทที่1 บทบังคับจากโชคชะตา ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~ Litterae Vitaเป็นโปรเจคสุดเสี่ยนของผม กับ Aki และอาจจะมีเพื่อนๆพี่ๆน้องๆที่สนใจมาร่วมแจมตามความเสี่ยน ซึ่งไม่มีอะไรสามารถบอกได้ว่ามันจะจบหรือไม่ หรือตอนต่อไปจะมาเมื่อไรก็ขึ้นอยู่กับบุญพาวาสนาส่งล่ะครับงานนี้
แนวแฟนตาซีลุยๆแบบนี้ไม่ได้อ่านนานแล้วเหมือนกันแฮะ >_< ปล. เวลาเน้นคำในประโยคคำพูดใช้ ' ' น่าจะดีกว่า " " นะครับ จะได้ไม่ทำให้สับสนเวลาอ่าน
โอ้ววววว ในที่สุดมันก็เปิดตัวแล้ว... ทำได้ดีเลยนี่หว่า ชอบอ่ะ พี่จ้อยถนัดแต่งแนวอย่างนี้จริงๆด้วย ไม่ได้ยอกันเองนะ แต่คอมเม้นท์ก็คงเรื่องเดิมคือ คำผิดและการเว้นวรรค ทำให้ขัดๆนิดหน่อย แต่การบรรยายเรื่อง โดยเฉพาะฉากสู้นี่รู้สึกสนุกสุดๆเลย ตอนอ่านกำลังฟังเพลงนี้อยู่ แล้วรู้สึกว่าแบบ เห้ยยยยย... [media]http://youtu.be/yapgKaOhFuE[/media] เอาเป็นว่า... ส่วนต่อไปจะตามมาในทันที ฮาาาาาาา ขอเวลาไปโพสท์ก่อน
บทที่ 1 : บทบังคับจากโชคชะตา (Kieve's Part) การเดินทางเป็นเรื่องที่แปลก แม้บางทีเจ้าจะไร้ซึ่งจุดหมาย แต่ขาของเจ้าก็ไม่ยอมหยุด บ่อยครั้งก็พาเจ้าไปยังที่ที่เจ้าไม่อยากไป พบคนที่ไม่อยากพบ โดยไม่รู้ตัวฝุ่นตะกอนก็ตกค้างอยู่ภายในตา และแม้ภาพเบื้องหน้าจะพร่ามัวจนเกือบบอดสนิท เจ้าก็ยังคงเดินต่อไปราวกับเห็นโลกได้แจ่มชัด ได้ยินแต่เพียงเสียงหัวเราะลั่นแค่นไปทางเย้ยหยันให้นึกขันไปด้วย แล้วความจริงก็ปลุกเจ้าให้ตื่นเมื่อเสียงกระซิบข้างหูลอยเข้ามา ‘เธอกำลังเดินชนกำแพงอยู่’ นั่นเป็นเรื่องตลกร้ายที่นางเล่าให้ข้าฟังเป็นครั้งสุดท้าย ไม่มีคำสั่งเสียใดอีก ถ้อยคำที่แผ่วเบานั้นคือมรดกชิ้นเดียวที่ข้าได้รับ “ไปเถิด... ลูก ของ ข้า” ข้าไม่เคยอยากอยู่ที่นี่ ในหมู่บ้านเล็กๆแบบนี้ อยู่อย่างต่ำต้อยและไร้ค่า อย่างไรเสียแม่ข้าคงเกลียดยิ่งกว่า จึงทิ้งข้าไว้ที่นี่และหนีไปยังที่ที่ข้าไม่มีทางตามไปถึง แม่จากไปแล้ว เหลือแค่ข้าที่เร่ร่อนเพียงลำพัง... นางปลดปล่อยข้า แต่เสียดายที่ข้าไม่รู้วิธีที่จะปลดปล่อยตัวเอง “ท่านเห็นเป็นเช่นไร คีฟแห่งวัลลาห์” ทุกคนสรรเสริญว่าชายเบื้องหน้าข้าคือผู้อาวุโสและคนสนิทของกษัตริย์อัลวีนที่สิบสองแห่งนครรีเวเรีย ราชอาณาจักรซึ่งยิ่งใหญ่ที่สุดบนทวีปแห่งนี้ เขาองอาจเกินกว่าข้าจะแตะต้องเกียรติภูมิของเขาได้ “หมู่บ้านชายขอบแบบนั้นท่านยังรู้จัก ชายผู้ยืนอยู่เหนือสงครามเช่นท่านจะลดตัวให้เกียรติข้าไปทำไม ลอร์ดเฟอร์ชาส” ข้าอยากยกย่องเขาจากใจ แต่น้ำเสียงห้วนสั้นและแดกดันแบบนั้นคงไม่มีใครพึงใจนัก “ความรู้ของท่านทำให้ข้าทึ่ง แต่ไม่เท่าความอวดดี” น้ำเสียงเขาเรียบนิ่ง ราวกับกำลังหยั่งเชิงข้าศึก “ท่านสิ... ที่ข้าทึ่งกว่า” “กล้าดียังไง!?... เจ้าคนป่า” อัศวินด้านข้างลอร์ดเฟอร์ชาสกระชับด้ามดาบ ตะโกนกร้าวจนข้านึกขำ “แต่ท่านก็ยังเอาเกียรติของท่านมาแปดเปื้อนกับคนป่าเช่นข้านะท่านอัศวิน ทุกคนยกย่องข้าเกินไปแล้ว” ข้าคลี่ยิ้ม ไม่เสไปมองเขาแม้แต่น้อย เบื้องหน้ายังคงเป็นขุนนางผู้สูงศักดิ์ ชายชรานัยน์ตาฟ้าคมดุ “อย่าเสียมารยาท... รูน... มีคนป่าบางพวกที่เจ้าต้องให้เกียรติ โดยเฉพาะคนป่าที่ผ่านสงครามมาเช่นเดียวกับเจ้า” คนที่ตกใจไม่ใช่ข้า แต่เป็นอัศวินร่างสูงผิวคล้ำผมสั้นเตียนคนนั้น “ลอร์ดเฟอร์ชาส... ชาววัลลาห์ไร้การศึกษาทำให้ท่านกังวลได้เพียงนี้เชียวหรือ?” “ข้าจะไม่ปล่อยคนที่อาจเป็นศัตรูตัวฉกาจในภายหน้าออกไปจากคฤหาสน์ของข้าเด็ดขาด ไมตรีจิตของข้ามอบให้กับสหายเท่านั้น ถ้าไม่รับก็จงเป็นศัตรูเสีย” เฟอร์ชาสรวบมือกำหมัดแน่นยกขึ้นประกบหน้าอกเป็นสัญญาณ “คำชวนให้ร่วมสงคราม ช่างเหมาะจะเป็นไมตรีจิตของท่านลอร์ดเสียจริง เสียดายที่ข้าไม่ชอบร่วมวงน้ำชากับชนชั้นสูง” ห่าธนูพุ่งตรงมาทางข้าจากทุกซอกมุมของคฤหาสน์ เป็นงานเลี้ยงต้อนรับที่สมกับฐานะท่านลอร์ดแห่งรีเวเรีย ฟิ้ววววว~ สายลมพัดผ่านมา และจากไปพร้อมกับตัวข้า ก่อนที่เสียงแหวกอากาศของธนูจะดังมากระทบผิวกาย เอลเทอเฟียคือโลกที่เราทุกคนอยู่ โลกที่พื้นดินมากกว่าผืนน้ำ สองทวีปใหญ่ในเอลเทอเฟียถูกคั่นกลางด้วยเซลว่า แม่น้ำซึ่งไหลมาจากเทือกเขาสูงเสียดฟ้าเลด้าลงสู่มหาสมุทรเซเน่ ราวกับพระเจ้าจะแบ่งดินแดนแห่งสงครามและอาณาเขตแห่งศรัทธา และข้าก็คือควันหลงท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างนักรบและพระเป็นเจ้า ผู้ที่เกิดอยู่บนซีกโลกซึ่งผู้คนจับดาบมากกว่าพระคัมภีร์ ในหมู่บ้านเล็กๆนามว่าวัลลาห์ ชายแดนของรีเวเรียติดกับป่าอัสร่า ทะเลสงครามระหว่างมนุษย์และออค เมื่อทุกอย่างจบลง สิ่งเดียวที่หายไปคือวัลลาห์ ผู้คนลืมชื่อนี้นานเสียจนมันตายจากเอลเทอเฟียไปแล้ว ข้าไม่คิดจะทิ้งที่ที่ข้าเกิด กระทั่งผู้ให้กำเนิดข้ากลับคืนสู่มาตุภูมิ เป็นเศษซากของความผิดพลาดที่สงครามก่อ ข้าคือชาววัลลาห์คนสุดท้ายที่เหลือรอดอยู่ เป็นจิตวิญญาณของวัลลาห์ที่เร่ร่อนไปยังหมู่บ้านต่างๆ บ้างก็เป็นคนป่า บ้างก็เป็นขอทาน ท้ายที่สุดก็ลงหลักปักฐานอยู่ริมุเน่ เมืองซึ่งตั้งอยู่ทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือของรีเวเรีย กลิ่นไอของเวทย์มนต์ชุบให้ข้าเปลี่ยนจากคนเถื่อนกลายเป็นผู้แสวงหา และนามอากิรอส เซอร์แวส คีฟก็ได้จากที่นั่น เจ็ดปีก่อนในมหาสงครามแห่งเอลเทอเฟีย อาจด้วยเหตุบังเอิญหรือพรหมลิขิต ข้าและสหายถูกดึงให้เข้าไปพัวพันด้วย โดยทางใดทางหนึ่งชื่อเสียงของพวกเราเป็นที่รู้จัก อย่างน้อยลอร์ดเฟอร์ชาสก็ทราบมากพอที่จะรู้วิธีส่งสารติดต่อไปหาข้ากับเพื่อนแม้สงครามจะสิ้นสุดลงมานานแล้ว แต่มีเพียงข้าเท่านั้นที่ทระนงตนตอบรับคำเชิญของลอร์ดเฟอร์ชาสอย่างถือดี ‘แล้วข้าก็ต้องคอยรับหน้าแทนเจ้าพวกนั้นไปซะทุกที ไม่เห็นใจข้าบ้างเลย’ ใครๆก็กล่าวว่าคนป่าไม่คู่ควรกับนครหลวงที่ยิ่งใหญ่และเต็มไปด้วยศักดิ์ศรีแบบนี้ ข้าว่านั่นท่าจะเป็นความจริง การวิ่งอยู่ท่ามกลางผู้คนทำให้ข้าประหม่า “จับเจ้านั่นไว้ กบฏแห่งราชอาณาจักร!!!” ใช้คนมากแบบนี้ เจ้าพวกนั้นกล้าเรียกตัวเองว่าอัศวินได้ยังไงกัน คำว่า ‘คฤหาสน์’ ของลอร์ดเฟอร์ชาสช่างยิ่งใหญ่นัก คงรวมถึงรีเวเรียทั้งเมือง หรืออาจหมายถึงทวีปนี้ทั้งหมด เพราะแม้ข้าจะหลบหนีออกมาจากที่พำนักของเขาได้แล้ว แต่อัศวินพวกนี้ก็ไม่ยอมปล่อยให้ข้าได้เดินจากไปอย่างสบายสักที ไล่กวดข้าพร้อมป่าวประกาศไปทั่วเมืองแบบนี้ ช่างไร้มารยาทเสียจริง เดิมทีข้าวิ่งไปตามถนนเส้นหลักของเมือง ด้วยความที่ไม่ใช่คนคุ้นชินกับพื้นที่ของรีเวเรียมากนัก แต่การถูกทหารตามจับแบบนี้ข้าก็ไม่อาจควบคุมตนให้วิ่งหลบผู้คนได้โดยง่าย มือไม้ระเกะระกะแกว่งไกวไปมาปัดแผงลอยขายสินค้าข้างทางจนล้มครืน ยิ่งเร่งฝีเท้ามากขึ้น ก็ทำความเดือดร้อนให้คนอื่นเพิ่มขึ้น ข้าจึงหลุบตัวเองเข้ากับซอกหลืบของเมือง ลัดเลาะไปตามผนังกำแพงต่างๆ แม้ว่าจะต้องจนมุมในไม่ช้า แต่ข้าสร้างความลำบากให้กับ ’ผู้อื่น’ มามากพอแล้ว ‘ข้านี่มันโง่จริง... เด็กชาวรีเวเรียยังรู้ที่ทางดีกว่าข้าซะอีก’ รอบข้างเป็นผนังคอนกรีตสูงสามด้าน มีเพียงตรอกที่ข้าพึ่งวิ่งเข้ามาเท่านั้นที่เป็นทางออก และตอนนี้ก็ไม่เหลือพื้นที่พอให้ข้าแทรกตัวกลับไปแล้ว ในเมื่ออัศวินร่างสูงเริ่มต้อนข้าให้จนมุมทีละคนสองคน เสียงแกร๊งๆของชุดเกราะเหล็กชักเริ่มทำข้าตระหนก “ท่านลอร์ดให้ข้าเชิญท่านกลับไป อากิรอส เซอร์แวส คีฟ” “ด้วยธนูอีกหรือ? ท่านนักรบ” เมื่อเบื้องหน้าต้องประจันกับกองทัพแห่งราชอาณาจักร ข้าก็ได้แต่เพียงถอยเท้าทีละก้าวสองก้าว “ถ้าท่านตายด้วยของพรรค์นั้น ก็ไม่คู่ควรจะพบกับท่านลอร์ดแต่แรกแล้ว” ‘แย่แล้ว!?’ แผ่นหลังของข้าทาบกับแผ่นคอนกรีตเย็นวาบ “งั้นถ้าข้าจำนนต่ออัศวินเพียงไม่กี่หยิบมือ ก็ยิ่งไม่มีหน้าไปพบลอร์ดเฟอร์ชาสน่ะสิ” สายลมเริ่มพัดอีกครั้ง เข้ามาสู่ซอกซอยอันอับทึบแบบนี้ “เมื่อท่านกล้าอวดตัวเช่นนี้...” เขาผ่อนลมหายใจ ก่อนสำทับเสียงดัง “...บุก!!!” “อัลเลอา เวนทัส... ข้า... ผู้เอ่ยนามนี้ จะเปิดทางเบื้องหน้า ด้วยพลานุภาพของท่าน..... พาร์ส” เมื่อสายลมเป็นเพื่อนของข้า มันก็อัดกระแทกทุกสิ่งที่ตั้งตระหง่านขวางกั้น มวลอากาศบีบรัดรุนแรงรวดเร็วไหลไปในทางเดียวแล้วแหวกฝ่าดงชุดเกราะผลักดันให้ติดกับกำแพงทั้งสองด้านจนกองทัพเหล็กยากจะขยับตัวได้ เบิกเป็นช่องทางว่างให้ข้าไหลไปพร้อมกับวูบสุดท้ายของเสียงถอนหายใจ แต่ยังไม่ทันที่จะหลุดออกสู่ถนนสายหลัก คมดาบวาววับก็วาดมาขวางหน้าข้าเพียงฉิวเฉียด “วิธีการแบบป่าๆของเจ้าใช้ได้ดีในครั้งแรกเท่านั้นหล่ะ” คนที่ตีฝีปากกับข้ายังเป็น รูนแห่งหน่วยรบพิเศษ กองกำลังที่หกของรีเวเรียเช่นเคย ดาบเหล็กยาวหลากว่าของเขาเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดจนข้าสะอิดสะเอียน “เมื่อรอบข้างลอร์ดเฟอร์ชาสเต็มไปด้วยตัวอันตรายเช่นท่าน แล้วจะมาใส่ใจกับข้าและเพื่อนทำไม... รูน หัวหน้าหน่วยหกในมหาสงครามเอลเทอเฟีย” ข้าชะงักเท้า ยืนนิ่ง แม้ปลายดาบคมกริบอยู่ห่างศีรษะข้าเพียงไม่ถึงคืบ พยายามเอี้ยวมือขวาไว้ทางด้านหลังเตรียมหาทางแก้ไขในขั้นต่อไป “ทันทีที่เจ้าร่ายเวทย์ ดาบนี้จะบั่นหัวของเจ้า… กลับไปกับข้าซะ หรือตายที่นี่” “………” ข้าใช้ความนิ่งเงียบเป็นคำตอบ “มีชั่วอึดใจให้เจ้าคิด... ก่อนที่ดาบนี้จะปะทะกับคอเจ้า” รูนยกดาบขึ้นแล้วฟาดลงมายังต้นคอของข้าอย่างรวดเร็ว ฉับ!!! ตั้งแต่จำความได้ หมู่บ้านของข้าก็เป็นลานต่อสู้ของมนุษย์กับออคไปแล้ว ข้าเติบโตท่ามกลางความเป็นและความตาย หลับนอนอยู่บนความทุกข์ระทมของเพื่อนบ้าน เสียงกรีดร้องคือเพลงกล่อมที่โหยหวนที่สุด ได้แต่เฝ้ารอว่าเมื่อไหร่จะเป็นวันของข้า โชคร้ายที่วันของแม่ข้ามาถึงซะก่อน วันของทุกคนในหมู่บ้าน กลางดึกคืนหนึ่งทหารรีเวเรียก็เข้าถล่มวัลลาห์ไปพร้อมกับพวกออค และกวาดล้างทุกอย่างเหมือนพวกข้าไม่ใช่คน แม่ซุกข้าไว้ในตู้ไม้ และใช้ซากศพของตัวเองปิดบังที่ซ่อนข้า ยามเมื่อแรงดาบของทหารรีเวเรียฟาดฟันเข้ากับร่างเนื้อของหญิงที่ไม่มีทางสู้ เลือดของนางก็สาดกระเซ็นไหลทะลักจนตัวข้าเต็มไปด้วยสีแดงฉาน ผมเผ้า ใบหน้า และเสื้อผ้า เหม็นคาวจากคราบเลือดแห้งเกรอะกรัง เมื่อรุ่งสางมาถึง มีเพียงเด็กชายวัยเจ็ดขวบที่เหยียบย่ำร่างไร้วิญญาณของทุกคนออกจากหมู่บ้าน รีเวเรียทำให้คนอื่นอ่อนแอลง เพื่อตัวเองจะได้แข็งแกร่งขึ้น ข้าสมเพชพวกเขาที่ไม่เคยเชื่อมั่นในความเข้มแข็งที่ตนเองมีโดยไม่ต้องทำร้ายใคร ข้า... ไม่มีวันสู้เพื่ออาณาจักรแบบนี้ ‘อัลเลอา คาซัส... จงปกปักษ์กายเนื้อนี้จากศาสตราแห่งคนเขลา..... วินดิโก้’ชั่วขณะที่ดาบของรูนผ่าแสกเข้ากระทบผิวข้า ตัวดาบก็ถูกผลักกลับตามแรงที่ส่งมา ด้วยความหนักหน่วงในพละกำลังของนักรบมือฉมัง รอยร้าวของดาบจึงลึกเกือบถึงแกนกลาง และเสียงสั่นของดาบก็ดังคว้างจนปวดหู เช่นเดียวกับดาบ ความอับอายนี้คงเน่าเหม็นเหวอะหวะอยู่ภายในใจของอัศวินผู้เย่อหยิ่งอย่างรูนด้วย “ทำไม... กัน!?” “นักรบอย่างท่าน... ไม่มีทางกล่าวนามที่แท้จริงของสรรพสิ่งได้หรอก อัศวิน” นามไม่ใช่การเรียก แต่เป็นการร้องขอ ซึ่งไม่จำเป็นต้องเอ่ยด้วยคำพูด แต่ภาวนาด้วยใจ ผู้โง่เขลาเอ๋ย “ข้าไม่คิดละทิ้งภารกิจเพียงเพราะดาบร้าวหรือบิ่น เจ้าดูถูกความภาคภูมิของหัวหน้าหน่วยรบที่หกมากไปแล้ว” คำพูดนั้นช่างไม่เข้ากับสีหน้าตระหนกของเขาเลย “และข้าก็ไม่คิดว่าท่านจะปล่อยข้าไปง่ายๆ” ตึก!... ตึก!... ตึก!... เสียงฝีเท้าของกองกำลังนักรบที่ข้าปล่อยทิ้งไว้ด้านหลังกำลังใกล้เข้ามา พวกเขาฟื้นตัวได้เร็วดีสมกับเป็นทหารที่ถูกฝึกเพื่อสงคราม “แต่พวกเจ้าทุกคนจะประหัตประหารข้าด้วยอาวุธแบบนั้นนั่นรึ” ข้ายกมือขวาขึ้นจับลงตรงบริเวณร้อยร้าวลึกของดาบเหล็กข้างหน้า กดหัวแม่มือและปลายนิ้วชี้ลงเพียงแรงสะกิด แล้วความเปราะภายในเนื้อเหล็กก็กะเทาะกันเองจนแตกหัก เคร้งงงง!!! พลันศัสตราวุธของเหล่าองครักษ์ก็ขาดสะบั้นออกจากกัน บัดนี้ชายผู้เผชิญกับข้าเป็นเพียงบุรุษไร้อาวุธที่น่าสงสาร เกียรติยศของเขาพังทลายไปพร้อมกับเศษดาบนี้เสียแล้ว ขณะที่รูนกำลังนิ่งอึ้ง ข้ายื่นปลายดาบที่แตกหักไปประกบไว้ข้างลำคอเขา แล้วค่อยๆชักมือกลับ ปล่อยให้แผ่นเหล็กนั้นลอยคว้างอยู่กลางอากาศ “ทันทีที่พวกเจ้าขยับ ดาบนี้จะบั่นหัวของเจ้า... ล่าถอยกลับไปซะ หรือตายที่นี่” อัศวินผู้ได้ชื่อว่าห้าวหาญและเหี้ยมโหด หัวหน้าหน่วยรบที่นำชัยชนะอันยิ่งใหญ่มาสู่มหานครรีเวเรีย ได้แต่กัดฟันกรอด “นี่คือไมตรีจิตที่ข้ามี... ข้าขอเตือนนายของเจ้า เลิกล้มซะก่อนที่จะต้องเจอกับความอัปยศ คนที่จะก่อสงครามครั้งต่อไปก็คือพวกเจ้าเอง” ข้าค่อยๆก้าวไปตามแสงแดดที่สาดส่องเข้ามาผ่านทางช่องตึก ทันทีที่ได้ยินเสียงเศษดาบกระทบกับพื้น ข้าก็ไม่อยู่ให้รูนหันมาเหลียวมองแล้ว “ระวังศาสนจักรให้ดี ผู้อหังการว่ามีชัยในสงคราม โดยเฉพาะท่านหญิงซีซีเรียของพวกเจ้า” หลังจากพ้นเขตปกครองของรีเวเรีย ข้าเลาะตามป่าข้างทางเพื่อลดการปะทะกับกองกำลังที่ลอร์ดเฟอร์ชาสส่งมา ’เชิญ’ ข้ากลับไป แต่ยังไม่ทันถึงไหน เงาตะคุ่มคล้ายคนก็ไล่หลังข้ามาเป็นระยะๆ ถึงจะรู้ว่าผู้ติดตามเป็นใครแล้ว แต่ข้าก็ไม่ลดฝีเท้า ‘คนป่าอย่างข้า ก็สมควรอยู่ในที่แบบนี้... มากกว่าไปนั่งจีบปากจีบคอให้คนเขาข่มเอา’ “ข้าเหนื่อยแล้วนะ” เสียงใสลอดมาจากพุ่มไม้ทึบ ห่างออกไปไม่เกินวา ข้าหยุดปลายเท้าดังกึก ราวกับสิ่งที่ขยับไม่ใช่ข้า แต่สายลมต่างหากที่ทำให้ใบไม้ปลิวไหว “ข้าต่างหากที่เหนื่อย ต้องคอยตามล้างตามเช็ดให้พวกเจ้า อันที่จริงเจ้าเหมาะจะเป็นนักเจรจาต่อรองมากกว่าข้าเสียอีก” แล้วชายหนุ่มในชุดคลุมยาวสีครีมซีดก็ค่อยๆย่างเท้ามาทางข้า ปลายผมดำขลับประบ่าของเขาลู่พลิ้วไปตามแรงหมุนของอากาศ “…ถึงจะพูดว่าเหนื่อย แต่เหงื่อเจ้ายังไม่ผุดขึ้นมาเลยนี่ กุห์ฟาน” บุรุษร่างเล็กเจ้าของแววตามรกตนี้ยังคงมีใบหน้าเรียวคมเหมือนหลายปีก่อนไม่มีผิด คิ้วมน จมูกโด่งเป็นสันรับกับปากอิ่ม เสื้อฮู้ดสีฟ้ากับกางเกงทรงกระบอกสีดำช่างเข้ากับผิวขาวอ่อนอมน้ำผึ้งของเขาเสียจริง “คนดีดีที่ไหนจะมาวิ่งกลางป่าเมื่อมีทางเท้าให้ใช้ เพราะไม่ยอมเข้าตามตรอก ออกตามประตูอย่างนี้น่ะสิ เขาถึงเรียกท่านว่า ’คนป่า’ น่ะ… หรือประตูมิใช่ประตู สหายเอ๋ย” เขาเจาะจงเลือกสำบัดสำนวนนี้เพื่อข้าโดยเฉพาะ “ทั้งที่เห็นแต่แรกว่าข้าเดือดร้อน สหายอย่างท่านก็ยังไม่ช่วยข้า” ข้าผ่อนลมหายใจ ส่ายหน้าเบาๆ “ถ้าข้าตกอยู่ในสถานการณ์เช่นเดียวกันนั้น เจ้าจะช่วยข้าหรือ?” กุห์ฟานยั่วข้าอย่างรู้คำตอบ “ไม่!!!” เขาหัวเราะคิกคักในลำคอ ก่อนมาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้า “ข้าขอพูดจาห้วนๆประสาคนป่าสักอย่างได้ไหม เพื่อนยาก…” น้ำเสียงเขาเน้นหนัก และนัยน์ตาก็จริงจัง ไม่เหมาะกับใบหน้าเกลี้ยงเกลาของนักกวีเช่นเขาเลย แต่ถ้าข้าเป็นเขาเรื่องที่ข้าจะเอ่ยต่อจากนี้คงไม่ต่างกัน “………” ข้าปล่อยให้ธรรมชาติเป็นผู้ขับขานคำตอบ “นี่ไม่ใช่โอกาสอันดีหรือที่เจ้าจะชี้ทางให้กับประเทศนี้ ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของอำนาจ แล้วเปลี่ยนมันดั่งที่เจ้าอยากให้เป็น ทำให้รีเวเรียกลายเป็นนครซึ่งไม่ทำร้ายใคร” “กุห์ฟาน... เจ้าเชื่อจริงๆหรือว่าจะมีใครที่เปลี่ยนรีเวเรียได้ จะมีใครที่เปลี่ยนมนุษย์ได้… ใครก็ตามที่ทำเช่นนั้นก็จะกลายเป็นรีเวเรียไป กษัตริย์อัลวีนแสดงให้เราเห็นแล้วไม่ใช่หรือ?” ข้ายกเสียงสูงถาม แต่ไม่ปรารถนาให้เขาตอบ “จะมีใครกันที่สามารถนั่งบัลลังก์ได้โดยไม่แปดเปื้อนกลิ่นคาวเลือด เจ้าจะเหยียบย่ำใครสักคนในสักทาง แล้วกระชากทึ้งความฝันของคนอื่นเพื่อเติมเต็มอุดมการณ์ของตัวเอง อุดมการณ์ที่เจ้าเชื่อว่าทุกคนจะมีความสุข โดยเจ้าเป็นผู้หยิบยื่นให้ สุดท้ายมีแต่เพียงคำสาปแช่งที่เจ้าจะได้…” “อากิรอส อาจเป็นเจ้า... ที่ทำได้” เขายังดึงดันที่จะถามข้า “ข้า... เกลียดเสียงกรีดร้องของซากศพ หรือเจ้าชอบล่ะ?” “แน่นอน ไม่... ข้าหวังแต่จะให้ความทุกข์เกิดขึ้นเพียงในบทประพันธ์เท่านั้น สหายเอ๋ย” “หรือถ้าข้าทำเช่นนั้น ตอบรับคำชวนของลอร์ดเฟอร์ชาส เจ้าก็คงไม่วิ่งตามข้ามา แต่อาจฆ่าข้าแทน” กุห์ฟานยื่นมือขวามาตบไหล่ข้า ก่อนกล่าวด้วยสีหน้าแช่มชื่น “เมื่อเจ้าไม่ได้เป็นกษัตริย์ เจ้าจะได้ข้าเป็นเพื่อนแทน” กุห์ฟาน รีส ริยาส... นักกวีพเนจรที่ข้าพบระหว่างสงครามแห่งเอลเทอเฟีย เด็กชายวัยสิบห้าสิบหกในคราวนั้นเติบโตเป็นหนุ่มที่องอาจถึงเพียงนี้ เขามักดื่มด่ำกับสุนทรีย์และโลกจนคนอื่นยากจะเข้าถึง แต่กุห์ฟานก็ยังแต่งแต้มสีสันไปตามความต้องการของคนอื่นราวกับกระจกซึ่งสะท้อนสิ่งที่ผู้คนอยากเห็น และปกปิดสิ่งที่อยู่เบื้องลึกไว้ทางด้านหลังของภาพเสมือน อดีตเป็นเช่นรอยร้าวที่ถูกฉาบด้วยโลหะหนัก เมื่อมันถูกผนึกให้มีเนื้อเดียวกับเงากระทบด้านหน้า การงัดออกดูจึงเป็นไปไม่ได้ ยิ่งกะเทาะแผ่นทึบบางสีเขียวนั้นให้สั่นสะเทือนมากเท่าไหร่ ภาพก็ยิ่งบิดเบี้ยวผิดเพี้ยนไปตามแนวแตกเท่านั้น และพังทลายลงในที่สุด ไม่มีทางได้เห็นสิ่งใดอีก แม้แต่ตัวเขา ‘ท่านไม่อาจหวังให้กระจกสะท้อนสิ่งใดนอกจากตัวท่าน… เหตุอันใดที่ต้องควานหาเนื้อแท้ของกระจก ในเมื่อมันมีอยู่เพื่อให้ท่านเห็นตนเอง’ ‘ท่านจะเห็นโลกได้อย่างไร ในเมื่อท่านยืนอยู่บนโลก’ ข้าไม่เซ้าซี้ในความเป็นมาของเขาอีกเมื่อได้ยินสองประโยคนั้น เช่นเดียวกับที่ไม่ไถ่ถามถึงพื้นฐานการต่อสู้และป้องกันตัว เพราะไม่มีเอกลักษณ์ใดเลยที่จะบอกว่าเขาฝึกฝนอะไรมา สิ่งที่เขาเปิดเผยกับข้ามีเพียง ‘นั่นเป็นความงดงามของความไร้รูปแบบ’ “จุดหมายของเราล่ะ... เพื่อนข้า” เสียงของกุห์ฟานไม่ได้ช่วยให้ข้าผ่อนความเร็วในตอนนี้ เมื่อคำตอบเป็นเพียงคำสามพยางค์ “ริมุเน่!!!” +-+-+-+-+-+-+-+-+-+ จบ บทที่ 1 : บทบังคับจากโชคชะตา (Kieve's Part) +-+-+-+-+-+-+-+-+-+ หลังหน้ากระดาษ : โปรเจคที่คิดกันขึ้นมาขำๆร่วมกับพี่จ้อย(นักเดินทางแห่งมิดการ์ด) แต่ก็เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาได้... ขอบคุณสำหรับกำลังใจของเพื่อนๆหลายๆคนที่คอยสนับสนุนและผลักดันโปรเจคนี้จนสำเร็จลุล่วง(ไปแล้ว 1 ตอน ฮาาา) แต่ก็ยังต้องพัฒนากันต่อไป 'พูดยังกับเขียนเสร็จทั้งเรื่องแล้วนะเนี่ย' เนื้อเรื่องก็อยากให้ติดตามกันเอง เพราะพล็อตก็คงเดากันได้ไม่ยาก(รึเปล่า?) ได้รับแรงบันดาลใจในตัวละครบางตัวรวมถึงลักษณะนิสัยของตัวละครจากแก๊งเกรียน แต่เนื้อเรื่องหลักก็คงไม่เกี่ยวกันครับ พูดถึงสำนวนในการเขียน ก็ต้องออกตัวก่อนว่า ถึงจะเป็นเรื่องเดียวกัน แต่สำนวนในการเขียนก็คงต่างกัน (แต่ในบทที่ต้องเกี่ยวข้องกันก็จะพยายามปรับให้สำนวนสำหรับตัวละครแต่ละตัวมีความใกล้เคียงกันที่สุด เพื่อให้ผู้อ่านไม่รู้สึกติดขัดครับ แต่วิธีการเขียนก็คงจะเป็นทำนองนี้กันไป หลังจากที่ได้เห็นทั้งส่วนของทากะและส่วนของคีฟแล้ว) เป็นการเขียนสไตล์ใครสไตล์มันครับ ไม่รับรองว่าจะถูกใจผู้อ่านหรือไม่ แต่รับรองว่าถูกใจคนแต่งชัวร์ ฮาาาา ส่วนนี้ : ขออธิบายเฉพาะส่วนของผมละกันครับ เพื่อความเข้าใจพื้นฐานของท่านผู้อ่าน เอลเทอเฟียเป็นโลกแห่งหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้น และมีการเรียกขานนามอันแท้จริงของสรรพสิ่ง ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับการร่ายเวทย์ครับ ซึ่งผมได้หยิบยืมคำภาษาละตินมาบางส่วนเพื่อใช้โดยเฉพาะ แต่ก็จะไม่พยายามใช้มากครับ เช่น ชื่อเรื่อง Litterae Vita ก็แปลว่า บันทึกชีวิต เวนทัส ก็แปลว่า ลม คาร์ซัส ก็แปลว่า หิน ส่วนคำว่า อัลเลอา เป็นคำที่ผมแผลงมาจากคำว่า "อัลเลลูเอีย" ที่แปลว่า เสียงร้องสรรเสริญต่อพระเจ้า และสีที่ใช้ก็มีความหมายแตกต่างกันตามธาตุของการร่ายเวทย์ ยกเว้นสีเทาที่เป็นส่วนของการนึกถึงอดีตครับ ยังไงก็ขอฝากเนื้อฝากตัวสำหรับนิยายแฟนตาซีครั้งแรกของผมด้วย ไม่เคยแต่งเลย รู้สึกติดๆขัดๆอยู่พอสมควรและใช้เวลานานมากสำหรับแต่ละประโยค อาจมีข้อบกพร่องหรือขอติติงก็เชิญแนะนำได้ตามแต่จะเห็นสมควรครับ ผมก็ขอพร้อมรับคำแนะนำเสมอ :hbow:
เข้ามาอ่าน แล้วบอกได้คำเดียวว่า สมกับเป็นพี่ๆจริงๆ :hsunglass: ว่างๆจะร่วมแต่งด้วย กร๊ากก (ถ้าว่าง OTL) อยากดูบทบู๊หลังๆเพราะเขียนมาได้โอเคทั้งคู่เลย แต่ละอย่างนี่ไม่ค่อยเลยนะพี่อากิ . . . เต็มที่พี่กับกุห์ฟาน ฮ่าๆๆๆ อ่านแล้วมีไฟแต่งฟิคมากขึ้น สามเท่า แต่สปีช ยังไม่เสร็จเลย :hlonely: สู้ๆพี่ติดตามอยู่เน้อ
ฟิคแฟนตาซีออริ!!แถมสนุกซะด้วย นานแล้วไม่ได้อ่านการผจญภัยแฟนตาซีแบบนี้ เริ่มเรื่องมาได้สนุกเลยทีเดียว ชอบมาเรียกับทากะ ดูเป็นความแตกต่างที่ลงตัว (แต่อาเจ๊มาเรียนี่...โหดจริงจัง = =) ไม่ได้ปูพื้นเรื่องไว้มาก เลยอ่านไปแบบมึนๆว่าปัจจุบันสถานการณ์ในริเวเรียเป็นยังไง ทำไมอากิรอสกับกุฟานถึงออกมาเดินเตร็ดเตร่ได้ บทของจ้อยอ่านง่ายตามประสาแฟนตาซี ส่วนอากิเล่นสำนวนมาแต่ไกล แต่ผมแอบมึนเำพราะบางทีไม่ยอมเขียนว่าประโยคนี้ใครพูด แต่ก็ให้อารมณ์ในอีกแบบหนึ่ง ยังไงก็จะรออ่านต่อครับ ปล. มีภาพประกอบด้วย หรูหรา!!
อืม... บรรยากาศแฟนตาซี มีเวทมนต์ มีอสูร สนุกดีนะ! ถ้าจะมีติ ก็นิดหน่อยเหมือนที่อีวานว่า มันไม่ได้ปูพื้นเรื่องไว้มากเท่าไร สงครามเกิดขึ้นเพราะอะไรอย่างไร แล้วหน่วยต่างๆมันสร้างวีรกรรมไว้แบบไหนบ้าง แต่ก็เป็นเสน่ห์ของเรื่องแบบนี้ที่อาจจะค่อยๆเปิดเผยเบื้องหลังในช่วงหลังของเนื้อเรื่องก็เป็นไปได้เหมือนกัน (เป็นแผนให้ต้องติดตามอ่านต่อสินะ!!?) Part ของทากะ - ติดเรื่องคำผิดกับการเว้นวรรค(เช่นเคย) การตรวจสอบแก้ไขดำเนินการให้แล้ว อย่าลืมเอาฉบับแก้ไขมาลงด้วยละ ด้านการดำเนินเรื่องถือว่าไวพอสมควร แปปเดียวเข้าเค้าปมของเรื่องได้ไว ทิ้งปริศนาให้ตามต่อได้ Part ของอากิรอส - งงกับบทสนทนาเช่นกัน ไม่รู้เลยว่าใครพูดประโยคไหน มึน! ด้านการดำเนินเรื่อง เน้นที่ไปเบื้องหลังความเป็นมาของอากิรอสเป็นส่วนใหญ่ แต่ยังไม่ได้บอกว่าอากิรอสมีความสำคัญขนาดไหน ลอร์ดเฟอชาสถึงได้ต้องการตัวมากขนาดนี้ ทิ้งปมไว้ให้คิดอีกแล้ว [action]กดคะแนนบวก[/action]
บทที่ 2 เรื่องวุ่นวายที่ริมุเน่ และ แผนร้ายที่คืบคลาน เช้าตรู่ในยามพระอาทิย์เพิ่งจะทอแสงอ่อนๆขึ้นจากขอบฟ้า เสียงของนกที่ออกหากินดันเจื้อยแจ้วผสมกับเสียงฝีเท้าของผู้คนมากมายที่ย่ำผ่านถนนเส้นนี้ อากาศยามเช้ายังมีกลิ่นไอของน้ำค้างที่ยังไม่ถูกแสงอาทิตย์แผดเผาจนระเหยไป และยามใดที่สายลมพัดผ่านก็จะมีแต่ความสดชื่นของอากาศในยามเช้า ทากะปลดผ้าคลุมออกพลางเงยหน้ามองวิว ทิวทัศน์รอบๆ ซึ่งเต็มไปด้วยแผงลอยของพ่อค้าต่างถิ่น ซึ่งมาวางจับจองที่ตั้งกันแต่เช้ามืด เสียงจ๊อกแจ๊กจอแจอันเป็นปกติธรรมดาของตลาดลอยแว่วมาตามลม นักดาบหนุ่มพับผ้าคลุมผืนใหญ่ของเขาเก็บใส่ย่ามใบเขื่องที่เขาสะพายอยู่ แล้วออกเดินตรงไปยังร้านรับซื้อของป่าต่างๆซึ่งแขวนป้ายเด่นมองเห็นไกลถึงมันจะเป็นร้านที่เขาแวะเข้าไปขายของป่าประจำ กลิ่นอายของ`ริมุเน่´ก็ยังคงมีมนต์ขลังอยู่เสมอ บ้านเรือนที่ยังคงรูปแบบของเมื่อหลายสิบปีก่อน ถนนที่ถูกปูด้วยแผ่นหินเรียงรายและ ถนนสายนี้เปรียบเหมือนตลาดยามเช้าของผู้คนที่ดั้นด้นมายังเมืองที่อยู่เหนือสุดของแผนที่เช่นนี้ เมื่อเหลือบไปอีกด้านก็พบภูเขา`เลด้า´ที่สูงเสียดฟ้า ทอดยาวสุดสายตานับตั้งแต่ตะวันออกจนถึงตะวันตกดุจกำแพงขนาดมหึมาจากพระผู้เป็นเจ้าที่ขวางกั้นเหล่ามนุษย์ตัวจ้อยเอาไว้ แต่เหล่ามนุษย์ตัวจ้อยของเมืองนี้ก็ยังสามารถหาประโยชน์จากภูเขาแห่งนี้ทั้ง หอสมุด ปราสาทและวิหารศักดิ์สิทธิ์ของริมุเน่ยังถูกสร้างลึกเข้าไปในเทือกเขา`เลด้า´นับว่าเป็นที่เดียวในดินแดน`เอลเทอร์เฟีย´แห่งนี้ปลูกสร้างสถานที่สำคัญของเมืองฝังเข้าไปในภูเขา ถึงจะเห็นป้ายเด่นชัดแต่ระยะทางมันก็ไกลอยู่พอสมควร ทากะไม่ได้เร่งร้อนที่จะเดินตรงไปที่ร้านนั้นแต่อย่างใดตรงข้ามเขากลับชะลอฝีเท้าลงซะด้วยซ้ำเพื่อเดินมองแผงขายของต่างๆที่นำมาวางขายเต็มสองข้างทางไปหมดถึงชนชั้นสูงหลายๆคนอาจจะไม่ชอบเดินตลาดแบบนี้ซักเท่าใดนักแต่คนจรอย่างเขารู้ดีกว่า สิ่งที่แสดงออกมาทางตลาดยามเช้าเหล่านี้มันคือวิถีชีวิตพื้นฐานของเมืองหรือชุมชนแห่งนั้น ว่าพวกเขาใช้ชีวิตกันแบบไหนกินอยู่กันแบบใด คนจรจากแดนใต้เดินทอดฝีเท้ามองผู้คนและสิ่งของข้างทางไปเรื่อยๆ จนมาถึงที่หน้าร้านเขาจึงเข้าไปด้านในอย่างคุ้นเคย "อ้าวนึกว่าลูกค้าคนแรกจะเป็นใครที่แท้สหายจากแดนใต้นี่เอง วันนี้มีอะไรมาขนเงินจากร้านข้าไปอีกล่ะ"เจ้าของร้านที่กำลังวุ่นวายกับการจัดร้านเอ่ยทักทายมาทั้งๆที่ยังคงจัดร้านต่อไป "ก็ไม่มีอะไรมากหรอกขอรับข้าน้อยมีเพียง`หนังมังกรเขียว´กับ`แร่บลูเมตัล´เท่านั้นเอง"ทากะล้วงเข้าไปในย่ามแล้วหยิบของทั้งสองสิ่งออกมาวางบนเคาน์เตอร์เรียกความสนใจจากเจ้าของร้านให้หยุดเดินมาดูสิ่งของเหล่านั้นอย่างสนใจ "ทากะเจ้ามาทีไรไม่เคยเอาของธรรมดามาเลยนะ คนจรอย่าเจ้าน่าจะรู้นี่ว่าของสองชิ้นนี่มีค่าขนาดไหนถ้ามันไปถึงเมืองแห่งอัศวิน ที่ชุดเกราะชั้นดีมีค่ามากกว่าทองอย่าง`รีเวเรีย´ข้าว่าเจ้าเอาไปขายที่นั่นเถอะมันจะทำเงินให้เจ้ามากกว่าที่นครที่ชุดเกราะชั้นดีไม่มีค่าเท่าใดเลยแห่งนี้ ถึงข้าซื้อมาก็ต้องเอาไปขายต่อที่`รีเวเรีย´อยู่ดี"เจ้าของร้านเอ่ยขึ้นหลังจากหยิบของทั้งสองชิ้นตรงหน้ามาดูอย่างละเอียด "ท่านเจ้าของร้านให้ราคามาเถอะขอรับ ข้าน้อยติดธุระนิดหน่อยไม่รู้ว่าจะเสร็จธุระหนนี้เมื่อใดจำเป็นต้องใช้เงินซักก้อนน่ะขอรับเพื่อเป็นทุนในการเดินทางหนนี้" เจ้าของร้านถอนหายใจแล้วส่ายหน้า"เจ้านี่จริงๆเลยน๊า500เหรียญทองสำหรับของสองชิ้นนี้แต่ถ้าเจ้าไปขายเองที่`รีเวเรียเจ้าจะได้มากกว่า1000เหรียญทองเจ้าจะขายกับข้าจริงๆหรือ"เจ้าของร้านหยั่งเชิงถาม คนจรจากแดนใต้ยิ้มบางๆแล้วตอบสั้น"ขายขอรับ" "โอ๊ะ!!!! เจ้านี้มันเสียสติจริงๆเอานี่ไปข้าเหลือ 700กว่าเหรียญเศษเท่าไรไม่รู้สำหรับการรับขายของในเดือนนี้เจ้าเอาไปหมดเลยละกัน สงสัยข้าต้องปิดร้านเอาของไปขายที่`รีเวเรีย´เพื่อเอาทุนคืนซะและ"ถุงหนังใบเขื่องถูกโยนตุบลงตรงหน้าทากะ "ขอบคุณมากขอรับเอาไว้โอกาสหน้าข้าน้อยคงเอาสินค้ามาขายกับร้านของท่านอีก"ทากะก้มหัวเล็กน้อยแล้วหยิบถุงเหรียญทองตรงหน้าใส่ลงไปในย่ามของเขา "มาบ่อยๆไม่ดีนะว้อยข้าไม่มีเงินทุนซื้อของป่าของเจ้าเดือนนึงหลายๆชิ้นหรอกนะ" "แต่มันก็กำไรดีไม่ใช่หรือขอรับ?" ทากะเอ่ยขณะเดินดูสิ่งของต่างๆภายในร้าน "เออ!! กำไรดีข้าไม่เถียงเว้ย เจ้ารีบๆออกจาร้านข้าไปได้และวันนี้ปิดร้านแล้วเว้ยต้องรีบไป`รีเวเรีย´ฮ่าๆ " เจ้าของร้านเดินมาตบไหล่ทากะแล้วเดินออกจากร้านมาพร้อมๆคนจรจากแดนใต้พร้อมกับปิดร้านของเขา ทากะก้มหัวเล็กน้อยอีกครั้ง "ขอให้โชคดีในการเดินทางนะขอรับ" คนจรจากแดนใต้เดินทอดฝีเท้าดูตลาดยามเช้าของ`ริมุเน่´มหานครแห่งเวทย์มนต์ซึ่งข้าวของเครื่องใช้ส่วนใหญ่จะเป็นของที่มีเวทย์มนต์มาเกี่ยวข้องทั้งนั้น ทากะเดินมาจนสุดตลาดก็พบร้านอาหารเล็กๆตั้งอยู่ริมทางเขาจึงเดินเข้าไปสั่งอาหารเช้าง่ายๆอย่างซุปและขนมปังมากิน ขณะที่นั่งรออาหารนั่นเองเสียงของผู้คนที่คุยกันถึงองค์หญิงเจนิเรสที่เสด็จออกจากวังมาพร้องกองทหารในสังกัดของเธอมุ่งตรงไปยังหน้าประตูเมืองราวกับเพื่อดักเจอใครบางคนซึ่งข่าวสารนี้ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าองค์หญิงผู้แสนเย่อหยิ่งคนนั้นไปดักรอใคร? แต่สิ่งเดียวที่เขาไม่รู้คือหมอนั่นมาที่นี่ทำไม? อาหารถูกยกมาเสิร์ฟซึ่งทากะก็รีบจัดการมันในชั่วอึดใจพร้อมทั้งจ่ายเงินค่าอาหาร ตัวเขาสืบเท้าออกจากร้านอย่างรวดเร็วในขณะที่เดินอยู่นั่นเองก็พบว่ามีใครบางคนสาวเท้าตามเขามาถึงมันจะเบาราวกับมดเดินซักแค่ไหนแต่มันก็ไม่เกินความสามารถของคนจรที่จะรู้สึกได้ ทากะหยุดเดินแล้วกลับหลังหันทันที พริบตาเดียวกับที่เขากลับไปดาบเล่มหนึ่งถูกตวัดเฉียดคอหอยเขาไปไม่ถึงนิ้ว แต่สีหน้าของคนจรจากแดนใต้หาได้ตกใจหรือมีปฏิกริยาแต่อย่างใด "ทำไมถึงไม่หลบดาบล่ะ?"คำถามถูกถามมาจากปากของ ชายหนุ่มรูปร่างสันทัด ผมสีน้ำตาลเข้มยาวปรกหน้าและดวงตาสีน้ำแดงดูน่าเกรงขามแต่ก็แฝงแววแห่งความลึกลับ ทากะหันหลังกลับแล้วออกเดินมุ่งต่อไป แล้วตอบกลับมาว่า "ดาบที่ฟันไม่โดนนี่จำเป็นต้องหลบด้วยหรือสหาย?" "เจ้านี่ยังแหย่ไม่สนุกเหมือนเดิมเลยนะ บางทีข้าก็เบื่อแกตรงนี้เป็นบ้า" ชายหนุ่มผมน้ำตาลคนนั้นเก็บดาบเข้าฝักแล้วเดินตีคู่ขึ้นมา "แล้วอะไรที่ทำให้ทหารรับจ้างมือดีอย่างท่านมะ..... ไม่สิ ตอนนี้ต้องเรียกท่าน`แซคซาส´สินะ มาเดินเล่นในเมืองแห่งเวทย์มนต์นี้ได้ล่ะขอรับ"ชายหนุ่มผมดำเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเนือยๆ "ก็ไม่มีอะไรมากก็แค่มันมีข่าวที่ไม่ค่อยดีมาถึงข้าน่ะสิ เจ้าก็รู้เหมือนกันสินะถึงมาที่นี่?" แซคซาสตอบพลางยื่นกระดาษเล็กแผ่นหนึ่งให้ทากะ คนจรจากแดนใต้รับกระดาษไปอ่านสีหน้าเฉื่อยชาของเขาก็เปลี่ยนเป็นการขมวดคิ้วอย่างสงสัย "ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าหมอนั่นจะร้อนลนถึงแบบนี้ สุดท้ายก็เป็นห่วงน้องสาวสินะขอรับ"แล้วเหตุการณ์ของนักบวชฝึกหัดที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านเล็กๆแห่งนั้น ก็แว่บเข้ามาในหัวของเขากลิ่นไอแห่งความยุ่งยากที่เขาพยายามหลีกเลี่ยงมาตลอดมันเด่นชัดเหลือเกิน "ถึงปากมันจะบอกว่ารักอิสระแค่ไหนแต่สุดท้ายมันก็ตัดไม่ได้ขายไม่ขาดล่ะว๊าา กับ`ริมุเน่´และคนที่นี่"อะไรบางอย่างทำให้ท้้งสองหนุ่มหยุดเดิน "ไอ้บ้านั่นมันล่อกางอาณาเขตเวทใน`ริมุเน่´โจ๋งครึ่มแบบนี้อาจหาญไปมั๊ยเนี่ย"แซคซาสร้องออกมาเบาๆ "ก็ท่านหญิงเจนิเรสออกไปต้อนรับทั้งทีคงต้องสมเกียรติหน่อยล่ะขอรับ แต่เมื่อกี้ข้าน้อยสัมผัสได้ว่านอกจากเจ้านั่นยังมีเจ้าน้องชายตัวแสบพ่วงมาด้วยน่ะขอรับ" ทากะตอบกลับมาพลางออกเดินต่อไปอย่างไม่รีบร้อน "นี่เจ้าเอ๋อเมิงว่าหน้าริมุเน่มันจะพินาศระดับไหน?" นักรบผมน้ำตาลถามมาอย่างอารมณ์ดี คนจรจากแดนใต้ตอบกลับมาเนือยๆ "ข้าน้อยว่าอย่างน้อยคงได้ซ่อมประตูเมืองกันใหม่ล่ะขอรับ แต่ว่าข่าวสารจาก`รอท´ฉบับนี้ข้าน้อยว่าเรื่องยุ่งยากที่น่าจะจบลงไปในสงครามครั้งก่อนมันอาจจะเกิดขึ้นอีกครั้งก็ได้นะขอรับ" "เฮ้อ! ความสูญเสียครั้งที่แล้วมันไม่ทำให้ผู้มีอำนาจทั้งหลายรู้จักเข็ดหลาบซักทีเลยน๊า เพียงแค่ 7 ปีก็ทำให้หลายๆคนหลงลืมความเจ็บปวด และความสูญเสียที่เคยเกิดขึ้นแล้วอย่างนั้นสินะ"แซคซาสมองไปรอบๆ`ริมุเน่´ที่ชาวบ้านต่างใช้ชีวิตอย่างปกติสุข "ถ้าเจ้าหมอนั้นอยู่ตรงนี้มันก็จะบอกมันเป็น`วิถี´ไงล่ะขอรับ" แซคซาสแสยะยิ้ม"ถ้างั้นข้าก็จะถีบมันกระเด็นไปทางนึงเหมือนที่เคยทำทุกทีไงฮ่าๆ เถียงไม่ได้อธิบายอะไรไม่ถูกแม่งก็`วิถี´ทุกที" ดาบในมือของทากะจู่ๆก็สั่นราวกับกรีดร้องถึงอะไรบางอย่าง "ท่าทางจะมีแขกไม่ได้รับเชิญมาแล้วคงต้องลำบากนักรบผู้เก่งกาจอย่างท่านแซคซาส ไปช่วยท่านหญิงเจนิเรส และเจ้าหมอนั่นแล้วล่ะขอรับ" "เมิงจะโบ้ยตรูอย่างนั้นสินะ?"นักรบผมน้ำตาลเลิกคิ้วถามตรงๆ ทากะไม่ตอบหยิบเหรียญทองขึ้นมาเหรียญหนึ่งดีดขึ้นไปลอยคว้างอยุ่บนท้องฟ้า "เหรียญทองซะด้วย มันต้องออกก้อยสิวะ" เหรียญอันนั้นตกลงสู่พื้นหมุนติ้วแล้วก็ล้มลงในเวลาไม่ถึงอึดใจ ซึ่งหน้าเหรียญที่หงายขึ้นมานั้นมันคือด้านหัว "ขอให้โชคดีนะขอรับท่านแซคซาส" ทากะเอ่ยด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มพร้อมก้มหัวให้เล็กน้อย "เมิงนี้มันกวนตีนหน้าตายจริงๆ!!" นักรบผมน้ำตาลสบถออกมา "โวเซส อาวิอุม !!" สิ้นเสียงร่างของแซคซาสก็หายวับไปจากจุดที่เขายืนอยู่ปล่อยให้ทากะเดินทอดน่องอย่างสบายใจ ซึ่งการได้พบหน้าสหายศึกรวมถึงกลิ่นไอของความวุ่นวายยุ่งยากทำให้คนจรจากแดนใต้นึกถึงอดีตเมื่อ7ปีที่แล้ว . . . . . จากสงครามของคนและออคที่อยู่ร่วมอย่างสงบสุขมาช้านาน ดุจการลั่นระฆังเตือนสำหรับกองทัพปีศาจที่ปรากฏตัวบนผื่นแผ่นดิน หมู่บ้านนับไม่ถ้วนที่ถูกทำลายราบเป็นหน้ากลอง ชาวบ้านที่ไร้ทางสู้ถูกสังเวยให้แก่ความแข็งแกร่งของเหล่าปีศาจ สิ่งเหล่านี้คือสิ่งทีย้ำเตือนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่แค่เพียงฝันร้าย และ ภาพลวงตา นักรบ จอมเวทย์ นักดาบ นักบวชมากมายต่างรวมตัวกันเพื่อต่อต้านกองทัพปีศาจที่มันรุกคืบ ทุกเมืองต่างร่วมมือกันเพื่อยับยั้งภัยพิบัติในหนนี้ โดยมี`รีเวเรีย´ และ `ชายน์´ 2เมืองใหญ่แห่งลุ่มแม่น้ำ`เซลว่า´ หน่วยรบพิเศษที่คัดมาแต่สุดยอดฝีมือ ขึ้นแปดหน่วย ซึ่งวีรกรรมของพวกเขาต่างถูกเลื่องลือไปทั่วแผ่นดิน แต่ก็มีในหลายๆภารกิจที่เขาได้รับการช่วยเหลือจาก กลุ่มคนที่ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขามาจากทีใด แต่ ภารกิจต่างๆถูกติดต่อผ่านมาเป็นทอดๆ แต่เป็นที่ยืนยันใด้เลยว่าภารกิจใดที่พวกเขาได้ลงมือทำแล้วนั้นไม่มีคำว่าเป็นไปไม่ได้ หรือ ไม่สำเร็จจนพวกเขาถูกเรียกกันเล่นๆว่าเป็นหน่วยรบพิเศษหน่วยที่9 หน่วยลวงตาที่ไม่รู้ว่ามีอยู่จริงหรือเปล่า สุดท้ายด้วยการเสียสละของเหล่าคนกล้าทั้งหลายสงครามได้จบลงคงเหลือไว้แต่ร่องรอยของความสูญเสียผู้รอดกลับมาได้ถูกยกย่องเป็นวีรบุรุษมีเพียงหน่วยที่9นั้นที่ไม่ได้รับอะไรเลยและเลือนหายไปตามกาลเวลา . . . . . สายลมพัดอย่างรุนแรงรังสีฆ่าฟันที่แผ่พุ่งมาจากทางประตูเมืองปลุกทากะให้หลุดจากภวังค์แห่งความคิด เรื่องราวได้ที่พบเห็นและรับรู้ ลางสังหรณ์ของคนจรจากแดนใต้มันกระตุ้นเตือนว่านี่มันเป็นแค่นกต่อเท่านั้น "หวังว่าจะเป็นแค่ลางสังหรณ์ที่ไม่ถูกต้องล่ะนะ"ทากะเปลี่ยนฝีเท้าเป็นวิ่งสุดกำลังไม่ใช่ไปทางประตูเมืองที่กำลังซัดกันแหลกลานอยู่แต่เป็นประตูเมืองอีกทาง ไม่กี่อึดใจคนจรจากแดนใต้ก็มายืนหน้าประตูอีกทางของ`ริมุเน่´ที่เขาอาศัยเข้ามาเมื่อเช้า ถึงจะบางเบาแค่ไหนทากะก็รู้สึกได้ถึงกลิ่งไอฆ่าฟันที่ซ่อนอยู่ในชายป่า คาตานะในมือถูกส่งวางขึ้นพาดบ่าแล้วแล้วเดินด้ยฝีเท้าปกติไม่มีใครจับสังเกตพิรุธของคนจรจากแดนใต้ได้แม้แต่นิดเดียว ยิ่งใกล้ชายป่าเท่าใดสัมผัสมันก็ยิ่งชัดเจนแต่ไม่มีปีศาจหรือสัตว์ร้ายชนิดใดที่ซ่อนตัวได้มิดชิดขนาดนี้ ยกเว้นนักรบที่ถูกฝึกมาอย่างดี ถึงจะกลมกลืนกับสภาพแวดล้อมแค่ไหนแต่มันก็ไม่ได้รอดพ้นสายตาของทากะไปได้เลยนับคร่าวๆในระยะสายตาไม่ต่ำกว่าสิบคน "ข้าน้อยอยากจะสอบถามซักนิดนะขอรับว่าพวกท่านต้องการสิ่งใดจากที่นี่?" ทากะเอ่ยถามออกไปเรียบๆราวกับพูดอยู่เพียงคนเดียวเพราะไม่มีสัญญาณใดๆตอบรับกลับมาแม้แต่น้อย "งั้นข้าน้อยคงต้องเปลี่ยนคำถามใหม่ว่าคนของสภานักบวชแห่ง`ชายน์´มาทำอะไรที่เมืองแห่งนี้ล่ะขอรับ" สิ้นเสียงของคนจรรังสีฆ่าฟันก็พุ่งตรงมาคุกคามเขาอย่างรุนแรง ทากะยิ้มเล็กน้อยแต่มันเป็นรอยยิ้มที่ต่างจากทุกคนเคยเห็นมันเป็นรอยยิ้มที่ไม่อาจตีความได้ "พวกท่านจะเปิดเผยตัวมาทำร้ายข้าน้อยจริงๆหรือขอรับ มันอาจทำให้แผนที่ท่านวางไว้พังไปก็ได้นะขอรับ" "แต่ถึงอย่างไรข้าก็ไม่ยอมให้แผนของท่านสำเร็จอยู่ดีไม่ว่าทางไหนผลออกมาเหมือนกันนะขอรับ" หน้าตามึนๆแต่รอยยิ้มและคำพูดมันกดดันถ้าไม่ใช่ผู้ที่ถูกฝึกมาอย่างดีคงสติแตกเข้ามารุมเขาแล้ว นี่ก็ทำให้เขามั่นใจได้เลยว่าเหล่าคนที่ซ่อนตัวอยู่นี่ไม่ใช่ธรรมดาแน่นอน รังสีฆ่าฟันและแรงกดดันมากมายถูกส่งมายังเขาแต่มันก็ไม่ได้ทำให้ทากะที่ยืนนิ่งแสดงอาการหวาดกลัวแม้แต่นิดเดียว เวลาผ่านไปเชื่องช้า ความอึดอัดปกคลุมไปทั่วบริเวณ ไม่กี่อึดใจแต่กลับรู้สึกยาวนานราวกับหลายชั่วโมงก็ยังไม่มีฝ่ายใดขยับตัว "พวกท่านไม่ยอมวางมือจากภารกิจนี้ง่ายๆสินะขอรับ งั้นข้าน้อยขอย้ำอีกครั้งนะขอรับว่าข้าน้อยจะไม่ยอมให้พวกท่านมาทำร้ายใครใน`ริมุเน่´เป็นอันขาด!!!"สิ่้นเสียงของคนจรจากแดนใต้ดาบที่ถูกพาดอยู่บนบ่าถูกสบัดออกจากฝักพร้อมๆกับจิตสังหารที่แผ่พุ่งจากร่างของทากะ สายลมที่พัดโชยเอื่อยจู่ๆก็เปลี่ยนเป็นพัดกรรโชก มันบังเอิญหรือเกิดจากรับรู้ถึงจิตสังหารของคนจรจากแดนใต้ก็ไม่อาจทราบได้ แต่ที่แน่ๆเหล่าผู้ที่หลบซ่อนอยู่ในชายป่าถึงกับถอยกรูดทั้งๆที่ไม่กี่วินาทีก่อนพวกเขายังเป็นฝ่ายคุกคามทากะอยู่เลย "ไม่ยอมปะทะซึ่งๆหน้าสินะ ท่าทางศึกหนนี้มันจะหนักหนาไม่ต่างจากมหาสงครามเมื่อ7ปีที่แล้วสินะ"คนจรจากแดนใต้พึมพัมกับตัวเอง "นั่นสินะ น่ากลัวจังเลยนะคะคุณทากะ"เสียงของหญิงสาวคนหนึ่งลอยมาจากด้านหลังของเขาห่างออกไปไม่น่าจะเกิน3ก้าว คนจรจากแดนใต้หันหน้ากลับไปเผชิญกับเจ้าของเสียงนั้นก็พบว่าเธอเดินตรงมาหาเขาพร้อมๆกับรอยยิ้มละไม "ไม่ทราบว่าแม่หญิงมาเดินเล่นแถวนี้หรือขอรับ?" ทากะเอ่ยถามขณะค่อยๆเก็บดาบของเขาเข้าไปในฝักอย่างไม่รีบไม่ร้อน ยังไม่ทันที่ดาบจะถูกเก็บลงในฝักทั้งหมดมีดสั้นสีเงินวาววับก็ถูกจ่ออยู่ที่คอหอยของเขาปลายมีดแตะอยู่กับผิวหนังพอดีไม่ขาดไม่เกินถ้าออกแรงกดแม่แต่นิดเดียวนั่นก็หมายถึงความตายของตัวทากะแต่เขาก็ไม่จนใจค่อยๆเลื่อนดาบเก็บลงในฝัก แกร๊ก!! เสียงกั่นดาบกระทบกับปลอกดาบที่มีสลักล๊อคไว้อยู่ "นายเป็นใครกันแน่ ซารุวาตาริ ทากะ คนจรจากเกาะทางใต้ `อุเอรุโตะ´?"คำถามที่ถูกเอ่ยมาจากเจ้าของมีดสั้นที่จ่อคอเขาอยู่ด้วยน้ำเสียงเฉียดขาด "ข้าน้อยก็เป็นคนจรไงล่ะขอรับไม่ว่าจะเป็นในอดีต ปัจจุบัน หรือ อนาคต และก่อนที่จะมาถามข้าน้อยแม่หญิงมาเรีย ตัวแม่หญิงนั้นใช่นักบวชฝึกหัดอย่างที่ตัวแม่หญิงบอกไว้หรือเปล่าล่ะขอรับ?"ทากะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเนือยๆพร้อมกับค่อยปัดมีดที่จ่อคอออกอย่างแช่มช้า แล้วเดินสวนตรงกลับไปยังเมืองริมุเน่ที่เขาเดินออกมา นักบวชฝึกหัดสาวหัวเราะหึๆเก็บมีดของเธอแล้วเดินตามทากะตรงไปยังเมืองริมุเน่ "เคยมีคนบอกใหมว่านายน่ะมันกวนตีนหน้าตายจริงๆ" "วันนี้ก็ครั้งที่2แล้วล่ะขอรับ" "นายถึงเมืองนี้เมื่อเช้ารึ?" มาเรียชวนคุยแต่คำตอบที่ได้คือ ความเงียบกับการพยักหน้าช้าๆหนึ่งครั้ง "นายเดินเท้ามาสินะ"คำตอบที่ได้ก็เหมือนเดิมคือ ความเงียบกับการพยักหน้าช้าๆหนึ่งครั้ง "โว๊ะ!! นายนี่มันไม่ธรรมดาจริงๆมาเร็วกว่าชั้นที่นั่งรถม้ามาเลยนะ"มาเรียหยุดเดิน"นายจะช่วยชั้นหน่อยได้มั๊ย?" คำถามสั้นๆง่ายๆทำให้ทากะหยุดเดินขมวดคิ้วด้วยสีหน้าสงสัย "คนจรอย่างข้าน้อยจะช่วยอะไรแม่หญิงได้หรือขอรับ ทั้งอาวุธ และ ฝีมือที่แม่หญิงมีไม่ได้ด้อยไปกว่าข้าน้อยเลย" "คนจรอย่างนายก็น่าจะรู้นะว่าแค่ไอ้ฝีมือแค่นี้มันไม่ได้หมายถึงทำได้ทุกอย่างซักหน่อย เอาล่ะนายจะช่วยชั้นหรือเปล่าล่ะ?"มาเรียถามด้วยสีหน้าจริงจัง "เกี่ยวกับเรื่องของสภานักบวชที่แม่หญิงได้ทราบมาหรือขอรับ?" คนจรจากแดนใต้ถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยพลางออกเดินอย่างไม่สนใจท่าทีของนักบวชฝึกหัดสาวแต่อย่างใด มาเรียเดินตาม "ก็ส่วนหนึ่งล่ะนะแต่ที่สำคัญชั้นอยากจะให้นายช่วยชั้นตามหาหน่วยรบพิเศษที่9 ชั้นอยากให้คนพวกนั้นช่วยหน่อย" "ทำไมถึงต้องเป็นข้าน้อยล่ะขอรับ แล้วหน่วยที่9นั้นเป็นเพียงคำร่ำลือเท่านั้นจะมีอยู่จริงหรือเปล่าไม่รู้นะขอรับ?"ทากะถามกลับมาเนือยๆ "จะมีอยู่จริงหรือไม่นายไม่ต้องสนใจชั้นก็แค่ถามว่านายจะช่วยชั้นหรือเปล่าแค่นั้น?"มาเรียตัดบท "การช่วยเหลือก็ต้องมีสิ่งตอบแทนนะขอรับ" "นายอยากได้อะไรล่ะเงินทอง ลาภยศ? ชั้นคิดว่าก็พอจะหาให้นายได้ล่ะนะ"มาเรียตอบกลับมาแบบส่งๆแต่มันก็ทำให้ทากะลอบยิ้มในใจเขาพอจะเดาได้แล้วล่ะว่านักบวชฝึกหัดสาวที่มีนามว่ามาเรียคนนี้แท้จริงแล้วเป็นใครกันแน่ "เอาไว้งานสำเร็จข้าน้อยจะบอกแม่หญิงอีกทีนะขอรับ ก่อนอื่นพวกเราไปพบสหายของข้าน้อยกันก่อนเถอะพวกเขาน่าจะรู้ดีว่าหน่วยที่9ที่แม่หญิงตามหานั้นอยู่ที่ใดกัน" แล้วคนจรจากแดนใต้และนักบวชฝึกหัดสาวก็เดินตรงเข้าไปในเมือง`ริมุเน่´ จบบทที่ 2 เรื่องวุ่นวายที่ริมุเน่ และ แผนร้ายที่คืบคลาน ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~ คุยกันหลังจบบท ขอบคุณสำหรับคอมเม้นทุกๆคอมเม้นนะครับ จะพยายามแก้ใขปรับปรุงให้มันดีขึ้นเท่าที่จะทำไหวครับ
ขอกดบวกหนักๆได้ไหม... สมเป็นนักเดินทางจริงๆ ฝีมือไม่ตกเลยแม้จะเว้นช่วงเขียนไปนาน แต่สนุกจริงๆ ชอบว่ะ อ่านเรื่อยๆ สบายๆ แต่มันส์ แล้วทำไมตรูถึงแต่งช้าแบบนี้... พูดนั่นพูดนี่ เอามาลงก่อนครึ่งนึงละกันนะ เพราะตอนนี้ของข้าพเจ้าช่างยาวนัก
บทที่ 2 : Conspiracy of Reverie* (แผนร้ายในภวังค์) (ปฐมบท) ประกายสุดท้ายของอรุณรุ่งลับลงเพียงเสี้ยวนาที แม้แต่ไอระอุของตะวันก็ราวกับถูกแสงลออนวลผ่องของพระจันทร์กลมเกลี้ยงเหลืองไสวเบื้องบนกลบทิ้งเสียหมด และความชื้นของพงป่าทึบรอบข้างก็เข้ามาแทน ความประหลาดของธรรมชาติอยู่ตรงที่เมื่อไม่กี่ยามก่อนเหงื่อข้าผุดอย่างกับถูกต้มอยู่ในกระทะร้อนเดือดสีแดงฉ่า แต่บัดนี้ร่างกายเย็นเยียบขนลุกซู่ตั้งชูชันดั่งยืนอยู่บนเทือกเขาสูงขาวโพลนในเขตเหนือ หากความร้อนคือพลังงานของชีวิตและสีสัน มันก็ไม่แปลกที่เนื้อตัวคนตายจะชืดซีด รุ่งโรจน์ในช่วงต้น และหนาวเหน็บในช่วงปลาย... “ไฟจะมอดแล้ว... เจ้าเหม่อหรือตั้งใจให้เป็นหน้าที่ข้า?” เสียงทุ้มนุ่มของกุห์ฟานกระตุกข้าจากภวังค์ เขาโยนฟืนข้างตัวเข้ากองไฟเสียงดัง ‘ตุบ!’ เปลวไฟลุกโชนขึ้นชั่ววูบ ที่เหลือเป็นสะเก็ดและเศษขี้เถ้า “ไม่ต่างกันนี่ ในเมื่อเจ้าก็ช่วยเหลือข้าอยู่ดี” ข้าคลี่ยิ้มบาง มองซากไม้ประทุกันอยู่ตรงหน้า “อะไรทำให้เจ้าไม่อาจลดความมุ่งมั่นที่จะพุ่งตรงไปยังริมุเน่หึ... อากิรอส? ข้าไม่เห็นความจำเป็นเลยที่เราต้องไปเมืองทางตะวันตกเฉียงเหนือให้ทันภายในสามวัน” สายตาของกุห์ฟานเฝ้าถามข้าเช่นนี้มาตั้งแต่เขาปลงใจจะร่วมเดินทาง แต่ข้าหลีกเลี่ยงที่จะตอบโดยตลอด จนความกระอักกระอ่วนบีบคั้นให้เขาเปลี่ยนเป็นคำพูด “เจ้าจะปล่อยให้ข้าวิ่งต่อไปโดยไม่รู้อะไรอย่างนี้สินะ ถ้าข้าตาย ข้าก็คงไม่รู้ว่าตัวเองตายเพราะอะไร” การใช้ภาษาของเขากดดันข้าได้ดีกว่าการใช้คำถามเสียอีก “ข้าอยากลองสู้กับคนที่ฆ่าเจ้าได้อยู่เหมือนกัน” กุห์ฟานมุ่ยหน้าลงแต่ไม่ซักข้าอีก สหายต่างรู้ในขอบเขตของกันและกัน เขาปฏิบัติเช่นเดียวกับที่ข้าปฏิบัติต่อเขา เราเชื่อใจว่าแต่ละคนย่อมมีเหตุผลที่มิอาจเอื้อนเอ่ยได้ เขาล้มตัวลงนอนตะแคงข้างหันออกจากกองไฟ ปลายขาข้างหนึ่งเหยียดตรงส่วนอีกข้างงอเข้าหาตัวเล็กน้อย ใช้ผ้าคลุมยาวต่างผ้าห่ม ขดตัวนอนคู้ให้ร่างกายได้รับความอบอุ่น ข้าเอี้ยวตัวไปหยิบฟืนแล้วโยนเข้ากองไฟเป็นครั้งสุดท้าย ไม่มีใครต้องอยู่ยาม เขตป้องกันของข้าจะทำงานทันทีเมื่อสิ่งแปลกปลอมรุกล้ำเข้ามาในพื้นที่ ข้านั่งพิงต้นไม้ใหญ่ด้านหลัง และค่อยๆหลับตาลง “สิ่งที่รอทบอกข้าคือ ‘เป้าหมายต่อไปของพวกมันอยู่ที่องค์หญิงแห่งนครเวทย์มนต์ ข้าขอยืนยันว่านางจะปลอดภัยภายในสามวันนี้ หลังจากนั้นก็ขึ้นอยู่กับท่านแล้ว’ … เจ้าคงรู้เหตุผลหากเจ้าต้องตายแล้วนะ กุห์ฟาน” “จะมีเหตุผลหรือไม่... ความตายก็พรากชีวิตข้าอยู่ดี” ‘สหายเอ๋ย... ยิ่งไม่เหลือเหตุผลที่จะอยู่ เจ้าก็เข้าใกล้ความตายไปทุกที’ เสียงเอะอะเงียบไปนานแล้ว แต่กายข้ายังไม่หยุดสั่น ความตื่นกลัวที่ต้องถูกทิ้งคงรุนแรงจนข้าหลั่งน้ำตาเป็นสีแดงสด หยดเหงื่อระเหยเหม็นกลิ่นคาวเลือด รสเค็มฝาดปะแล่ม เมื่อไฟลุกโชนขึ้นกลางหมู่บ้านราวกับกำลังเริ่มเทศกาลยามที่จันทร์อยู่เหนือหัว ควันเขม่าลอยคละคลุ้งพร้อมเสียงโห่ร้องกึกก้องกังวาน แม่เหวี่ยงข้าเข้าไปยังตู้ไม้อับทึบแฉะชื้นลงกลอนจากด้านนอกอย่างแน่นหนา ในความมืดที่มีเพียงแสงตะเกียงสาดเข้ามาตามรอยซี่ไม้ ข้าใช้มือเปล่าทุบแรงเท่าที่เด็กชาวบ้านจะทำไหวจนห้อเลือดระบมทั้งสองข้าง ปึง! ปึง! ปึง! “แม่...ปล่อยข้า....... ท่านแม่...........” แต่การตอบรับไม่ใช่เปิดให้ข้าออกไปเป็นอิสระ มีเพียงเสียงแผ่วเบาราวอยู่ห่างไกลเกินจะกั้นด้วยแผ่นไม้หนาไม่กี่นิ้ว “ถ้าเจ้ายังเห็นข้าเป็นแม่... เงียบซะ ฟังแม่ให้ดีลูกรัก” ข้าลดมือลง สิ้นแรงกระแทกแต่ยังคงเล็ดลอดด้วยก้อนสะอื้น “จงอย่าให้เหลือแม้เสียงหายใจ... เมื่อรุ่งสางมาถึงและไร้ซึ่งเสียงใด หากยังไม่มีใครพบตัวเจ้า จำไว้เถิดว่าไม่มีใครที่นี่ต้องการเจ้าอีกแล้ว แม้แต่ข้าผู้เป็นแม่ของเจ้า เจ้าจงผลักดันตัวเองออกจากกรงขังนี้ จากหมู่บ้านนี้ ข้า...ขอปลดปล่อยเจ้าให้เป็นอิสระนับแต่นี้ และเจ้าจะทำตามคำพูดของข้าหรือไม่ก็ได้ แต่ถ้าแม่คนนี้ยังมีความหมายต่อเจ้า จงนิ่งซะ” กลอนไม้ลั่นดังแกรก บานพับเผยอออกเล็กน้อยแต่อะไรบางอย่างขัดให้แง้มออกไม่หมด “ไปเถิด... ลูก ของ ข้า” ไม่นานเสียงกรีดร้องก็แหวกสูงขึ้นท่ามกลางความอึกทึกภายนอก กรี๊ดดดดดดดดดด!!! ดังลั่นโหยหวนจนหัวใจข้ากระตุกสั่น หอนครางใกล้หูเกินกว่าจะสะกดกลั้นรื้นน้ำใสที่คลออยู่บนขอบตา แต่ไม่ว่าด้วยความกลัวหรือคำสั่ง ข้าก็ไม่ได้ก้าวไปจากตรงนั้น ทุกครั้งที่ฝาตู้กระพือด้วยแรงกระแทก ของเหลวเหนียวเหนอะก็เททะลักเปื้อนเปรอะตามตัวข้า แล้วน้ำตารสจืดก็ให้ความหวานเฝื่อน ราตรีกาลผ่านไปช้าดั่งตกนรก เสียงโหวกเหวกด้านนอกค่อยๆเบาลงแต่ไม่สิ้นสนิท กลิ่นเน่าสาบตลบอบอวลให้ผะอืดผะอมคลื่นเหียนเจียนขาดสติ ข้าไม่อาจระงับความสั่นเทานี้ง่ายดังเช่นที่ห้ามน้ำเสียง และยิ่งเฝ้ารอก็เหมือนแสงแรกแห่งฟ้าสางไม่มีทางฉายมาถึง แต่เมื่อถอดใจ ความเงียบงันก็คลี่คลุมจนได้ยินแม้ลมหายใจ ข้าสะดุ้งผึงราวกับพึ่งตกใจตื่น หลุดจากห้วงภวังค์ วูบแรกที่ข้านึกถึงฉุดให้ข้าผวา ‘เมื่อรุ่งสางมาถึงและไร้ซึ่งเสียงใด หากยังไม่มีใครพบตัวเจ้า จำไว้เถิดว่าไม่มีใครที่นี่ต้องการเจ้าอีกแล้ว แม้แต่ข้าผู้เป็นแม่ของเจ้า...’ ด้วยพละกำลังที่เหลืออยู่ ข้าทุบทึ้งผลักอัดบานประตูที่อยู่เบื้องหน้าดั่งคนบ้าเสียสติ ‘ท่านแม่…’ มือเท้าบวมช้ำฉีกบาด ‘ท่านแม่…’ สิ่งที่กดทับตู้ไม้อยู่นั้นขยับกุกกัก ‘ท่านแม่...’ ทันทีที่เห็นแสงลอดเข้ามาทางช่องประตูที่เปิดออก ข้าก็ดันตนเองจนสุดตัว พลันหลุดออกมายังที่ที่เคยเป็นบ้านของข้า ‘ท่านแม่…’ ที่พบมีเพียงซากศพหญิงสาวเละเทะบิดเบี้ยวนอนแน่นิ่ง ร่างกายเต็มไปด้วยรอยแผลแทงฟัน ดวงตาไร้แววนั่นเหมือนกับจะบอกข้าว่า ‘ข้าจากไปแล้ว ลูกเอ๊ย... จากไปยังที่ที่เกินกว่าเจ้าจะตามไปถึง’ เสื้อผ้าข้าเต็มไปด้วยคราบไคลของความตาย ผมเผ้าถูกย้อมจนเนื้อตัวกลายเป็นสีแดงฉาน ข้าลุกขึ้นยืนนิ่งเช่นหุ่นฟางแล้วก้าวเดินออกจากหมู่บ้านไปยังที่ที่ตัวเองจะตาย จากหมู่บ้าน สู่หมู่บ้าน... จนมาถึง ริมุเน่ “ข้าเคยนึกว่ามหานครแห่งเวทย์มนต์จะมีอะไรที่น่าตื่นตากว่านี้เสียอีก… อากิรอส นี่รึสถานที่ที่เจ้าเติบโต?” ริมุเน่เป็นแค่เมืองขนาดกลาง บางคนว่าการคงสถาปัตยกรรมสมัยเก่าไว้ทำให้ที่นี่ดูมีมนต์ขลัง แต่คนที่ไม่ได้มีวิสัยทัศน์แบบนักโบราณคดีอย่างข้ากลับไม่เห็นว่ามันจะต่างจากปรักหักพังตรงไหน ถนนอิฐสายแคบๆทั่วทั้งเมืองไม่กว้างอย่างถนนซีเมนต์ของรีเวเรียหรือชายน์ อาคารบ้านเรือนก็เป็นเพียงกองอิฐสูงไม่กี่ชั้น ที่น่าขำคือแม้แต่ปราสาทและวิหารศักดิ์สิทธิ์ของริมุเน่ยังถูกสร้างลึกเข้าไปในเทือกเขาเลด้าดั่งมนุษย์ถ้ำ “ที่นี่ล่ะ...” แม้จะใช้เวลาร่วมสิบปีอยู่ในริมุเน่ แต่ข้าไม่เคยรู้สึกผูกพันกับมันเลย “ทั้งๆที่มีคนมาต้อนรับเจ้ามากมายขนาดนี้ ทำไมถึงไม่ทำสีหน้าให้ดีกว่านี้หน่อยล่ะ?… อยู่ที่ไหน เจ้าก็มีศัตรูไปทั่วเลยนะ” ข้าไม่คิดว่ากุห์ฟานจะไม่สังเกตเห็นความผิดปกติตั้งแต่ผ่านเขตประตูเมือง เขาหยุดเท้าก่อนข้าเสียอีก ปล่อยให้ข้าอยู่ล้ำหน้าเขาสองสามก้าว “แม้แต่ที่นี่ข้าก็คงเป็นกบฏกระมัง... จริงรึไม่พ่ะย่ะค่ะองค์หญิงเจนิเรส?” เสียงของข้าดังพอที่จะทำให้ผู้ถูกกล่าวถึงปรากฏตัว นางค่อยๆเดินมาทางข้าบนถนนอิฐเช่นนี้อย่างช้าๆด้วยฝ่าเท้าของตนเอง เกียรติยศที่ข้ามิอาจได้รับ ประชาชนรอบข้างทันทีที่สังเกตเห็นนางก็หมอบกราบลงอย่างตระหนก เมื่อองค์หญิงเจนิเรสในชุดกระโปรงยาวสีชมพูระบายลูกไม้ตัดกับเรือนผมเหลืองทองซอยสั้นมาหยุดยืนอยู่หน้าข้า องครักษ์ประจำตัวก็กวาดต้อนให้ชาวบ้านกลับเข้าที่พักจนถนนอิฐแคบๆนี้โล่งไปถนัดตา ‘แค่นางยอมนิ่งฟังข้าสักชั่วครู่ก็พอ ถ้าต้องใช้ความตายของข้าแลกกับชั่วครู่นั้น ข้าก็คงเดินมาถึงที่ที่ข้าจะตายแล้ว’ “ขอพระองค์ทรงไปกับกระหม่อม เงื้อมมือจากรีเวเรียกำลังกล้ำกรายที่นี่และความปลอดภัยของพระองค์พะยะค่ะ ก่อนที่...” “อย่าห่วงความตายของฉันเลย ห่วงความตายของตัวเองเถอะ คีฟ” เป็นชั่วครู่ที่ไม่พอ เจนิเรสกระชากกริชออกมา จับด้ามเหล็กสีทองอย่างมาดมั่นและหันคมพุ่งมาทางข้า “ก่อนที่เอลเทอเฟียจะ...” ข้าไม่หลบจนกว่าจะได้พูดทั้งหมด ในช่วงปลายคืบสุดท้ายก่อนที่เหล็กแหลมจะทะลวงหัวใจ กุห์ฟานก็ตระบัดสัตย์ที่เคยให้ไว้กับตนเอง “เจ้าให้ข้าวิ่งมาสามวันสามคืนเพื่อดูเจ้ายอมตายโง่ๆอย่างนี้รึ... อากิรอส” ใบหน้าเขาละไม ริมฝีปากยังคงยิ้ม แต่เสียงเย็นและแววตาดุจนข้ากลัว เขาเอาความเจ็บปวดในมือขวามาลงกับข้า กุห์ฟานใช้มือเปล่ากำรอบคมกริชไว้จนเป็นรอยแผลยาวลึกทั่วฝ่ามือแล้วสะบัดจนกริชกระเด็นไปไกลหลายหลา ลิ่มเลือดหยดลงสู่พื้นเป็นทางยาวสีแดงกลมกลืนกับสีอิฐ เจนิเรสถอยเท้าอย่างตื่นกลัว เตรียมแหวขึ้นปิดบังความตกใจ “หุบปาก ท่านหญิง... ข้ามีเรื่องที่ต้องคุยกับมันก่อนท่าน” กุห์ฟานไม่ละสายตาจากข้าแม้ไม่ได้พูดให้ข้าฟัง และข้าไม่มีทางพูดกับนางได้ตราบเท่าที่สายตานี้ยังคงจับจ้อง “ข้านึกว่าเจ้าปฏิญาณกับตัวเองไว้เสียอีกว่าจะไม่ก้าวก่ายชีวิตใคร แม้คนคนนั้นจะเป็นข้า… ทางเลือกของแต่ละคนเป็นสิ่งงดงามไม่ใช่วิถีของเจ้าหรือ กุห์ฟาน?” “แบบนี้มันก็วิถีของข้าเหมือนกัน!!! ‘ถ้าเจ้าตายอยู่ที่นี่แล้ว มันจะต่างอะไรกับที่เจ้าจะตายก่อนหน้านี้ มีชีวิตต่อไปเพื่อไปตายในอีกที่รึไง... เจ้าโง่!!!’ ข้าไม่เคยคิดเลยว่าคนที่พูดประโยคนี้จะทำโง่ๆเสียเอง” “...รึว่าเจ้า?” ชะตากรรมเป็นเรื่องอัศจรรย์เสียจริง “...อย่างนั้นสินะ ข้าเข้าใจแล้ว” “งั้นก็เชิญเจ้าคุยกับองค์หญิงของเจ้าต่อเถอะ” กุห์ฟานลดเสียงลงราวกับเป็นคนละคน เตรียมผละตัวออกไปยืนด้านข้าง แต่ท่าทางความอับอายของเจนิเรสจะเปลี่ยนเป็นความโกรธต่อเขาอย่างสุดทานทน “เจ้าดูหมิ่นเกียรติของฉัน เจ้าคนชั้นต่ำ” “เฟร็อกซ์ ไมเอสทาส เจนิเรส ท่านได้ชื่อว่ามหาจอมเวทย์แห่งเอลเทอเฟีย แต่กลับจะใช้กริชสังหารเพื่อนข้า ดูไม่เข้ากับยศศักดิ์ของท่านสักนิด” แม้แต่วิธีแดกดันแบบนี้ ข้าเองก็ไม่เคยคิดเลยว่าเด็กคนนั้นจะเป็นเจ้า กุห์ฟาน “ฉันจะฆ่าคนคนนั้นด้วยมือของฉัน ไม่ใช่ด้วยเวทย์มนต์ แต่ถ้าเป็นเจ้า... แค่เด็กน้อยในริมุเน่สักคนก็คงจะเพียงพอ” “ที่ริมุเน่เป็นได้แค่นี้ เพราะมีองค์หญิงผู้ไม่ประมาณตนนี่เอง... กองทหารเวทย์แห่งริมุเน่จะเก่งกาจสมดังที่ผู้คนกล่าวขานหรือไม่ ให้ข้าเป็นผู้ทดสอบไหมล่ะ ท่านหญิง... จะเด็กน้อยสักคนหรือพลทหารนับล้านก็เชิญเถิดท่าน จนกว่าท่านจะประจักษ์ในความอ่อนชั้นของตน คนต่ำเตี้ยเช่นข้าจะแต่งแต้มความสิ้นหวังบนใบหน้าของท่านเอง” “เจ้าโอหังสมเป็นสหายคีฟเสียจริง หวังว่าฝีปากเจ้าจะดีเท่าฝีมือ... จนกว่ามันผู้นี้จะร้องขอต่อข้า พวกเจ้าทั้งหมดจงอย่าหยุดมือ” เจนิเรสยกมือด้านซ้ายขึ้นเป็นสัญญาณ แล้วทันใดฟ้าก็ฟาดลงที่กุห์ฟาน แต่แม้ปลายผ้าคลุมสีครีมซีดนั้นก็ยังไม่มีรอยไหม้ บัดนี้กุห์ฟานกระโดดขึ้นไปยืนบนประตูเมือง ประเมินสถานการณ์และกำลังของคู่ต่อสู้ ลมกระโชกแรงพัดปรอยผมดำเงาของเขาจนพริ้วไหว ชายผ้าคลุมตีสะบัดดังหนักราวนกรัวกระพือปีก ‘พั่บๆ’ เขาเลื่อนมือขวาด้านที่ถูกกริชบาดลึกขึ้นในแนวระนาบ แต่ปากแผลปิดสนิทกลายเป็นเนื้อเดียวเหมือนไม่เคยต้องของมีคมมาก่อน “อากิรอส ถึงเจ้าจะรักษาข้า... แต่มันไม่เยียวยาความเจ็บหรอกนะ เลือดที่หลั่งไปแล้วไม่กลับคืนอยู่ดี” เขาตะโกนมาทางข้าก่อนกระโดดพุ่งตัวหลบฟ้าฟาดที่ผ่าลงมาอีกครั้ง องค์หญิงเจนิเรสเอาแต่ยิ้มเยาะชอบใจ “ข้าไม่เคยรู้เลยว่าหนูติดจั่นเป็นเช่นไร จนได้เห็นเจ้านี่หล่ะ” ทันทีที่กุห์ฟานถึงพื้นก็เอี้ยวตัวหลบแรงอัดอากาศเข้าชิดกำแพง แต่ไอน้ำที่ควบแน่นแข็งยะเยือกเป็นทรงเรียวแหลมดั่งเหล็กกล้าด้านหน้าก็พุ่งตรงเข้ากระหน่ำ พร้อมกับแสงแวววาบจากฟากเมฆครึ้มแหวกทะลวงลงพื้นดังโครมใหญ่ เสียงโหมเวทย์เคล้ากันปนเปเกินจะเชื่อได้ว่าบุรุษร่างเล็กผู้นั้นยังมีชีวิตเหลือรอดอยู่ในเขม่าฝุ่นฟุ้ง “เสียดายที่ข้าปีติในความตายของสหายเจ้านะ...คีฟ” ข้าเปรยยิ้ม อย่างน้อยก็มีเสี้ยวเวลาที่นางได้รู้สึกว่าตนมีชัย ยามกลิ่นไหม้ของก้อนกรวดเริ่มจางหาย แต่แล้วเงาของชายนักกวีก็ปรากฏพร่าไหวไปกับผงหิน และธนูไม้ก็เสียบปักลงกลางภาพลางมัว พลันเปลวไฟลุกโชติจ้าลามร้อนระอุมาสะผิว พัดเอาหมอกควันละล่องไปกับความกังขาว่าไร้ซึ่งศัตรูผู้ใดในทะเลเพลิง “ถูกแล้วที่เรียกริมุเน่ว่านครแห่งเวทย์มนต์ เพราะแม้แต่เศษดินของที่นี่ก็มีอำนาจต้านอาคม” โดยไม่มีใครสังเกต เขายืนนิ่งงันยังที่เดิมดั่งฉากเมื่อครู่เป็นมายา ในขณะที่เขาวิ่งวนไปมาตามซอกซอยของเมืองเพื่อหลบการปะทะจากการโจมตีในทุกทิศทาง แต่ลานถนนหรือตัวบ้านกลับไม่ได้รับความเสียหายใดเลย “เจ้า!?...” เจนิเรสประกบมือกุมชายกระโปรงสีอ่อนสะกดกลั้นความประหลาดใจ ยังไม่ทันที่นวลหน้าระเรื่อของนางจะถอดสี ก้อนเกร็ดน้ำแข็งปลายแหลมคมวาวก็แหวกกรีดอากาศหมายเอาชีวิตเขาในครั้งเดียว กุห์ฟานเบ้หลบเล็กน้อยจนเกือบถาก แล้วโค้งตัวเพียงผมปะหลกหน้าก่อนพุ่งไปยังตรอกแคบมุมขวาห่างเจนิเรสสองบล็อกถนนด้วยความเร็วไวกว่าเวทย์ซึ่งถูกร่ายมา อัศวินเวทย์สัมผัสได้ถึงเขาหลังจากปลายคางถูกเสยแสกขึ้นด้วยสันมือขวาของกุห์ฟาน กรามเอียงผิดรูป น้ำลายปนละอองเลือดไหลกระอัก ระหว่างฝามือของกุห์ฟานจะพ้นปรายผมกระดก เขางอคุ้มมือลงจิกกดศีรษะศัตรูอัดกระแทกกับพื้นดัง ‘กร๊อบ’ คละเสียงร้องครางโอ๊กอ๊ากอย่างเจ็บปวด วินาทีที่เขาก้มตัวลงเพื่อส่งแรงโจมตีอัศวินเบื้องหน้า สายลมหนักฟาดผ่าเปิดเป็นช่องสุญญากาศก็กำลังเข้าปะทะเบื้องหลัง กุห์ฟานยกมือซ้ายไพล่ไปทางด้านหลังคลี่นิ้วออกจนครบทั้งห้า “อัลเลอา เวนทัส... ข้า... จะฉีกกระชากปฏิปักษ์ของท่าน..... เพอร์ซูทิโอ” แล้วคลื่นอากาศเฉียบรัดเช่นเดียวกับที่ถูกวาดมาก็ต้านชนกันให้ขี้ตะกอนคลุ้งอีกรอบ “เจ้า... เป็นใคร!? ถึงกับเลียนเพลงหมัดมวยและบทเวทย์นั่นได้อย่างชำนาญนัก” เจนิเรสสะดุ้ง ขบเขี้ยวลอดไรฟันดังกรอด “เมื่อนักกวีถูกหยันว่าคัดลอกบทประพันธ์ เขาจะทำในสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า” เสียงของกุห์ฟานฝ่าออกมาจากกองฝุ่นแดงอิฐ อากาศเริ่มตีวนรอบตัวเขาเป็นวงกว้าง เผยให้เห็นชายในชุดคลุมกำมือหลวมพาดไขว้กันระดับอก ก่อนดีดนิ้วหัวแม่มือขวาดัง ‘เป๊าะ’ แล้วชูมือข้างนั้นขึ้นเลยหัว ผ้าคลุมโบกไหวหลุดรอบคอปลิวสู่ผืนฟ้าทะมึน เมฆฝนคะนองเริ่มตั้งเค้าครึ้มจนเห็นเป็นกลุ่มก้อนสีเลือดหมูเหนือนครริมุเน่ แรงลมโหมหนักพัดพือต้นไม้และอาคารให้หักโค่นราวพายุใหญ่ เสียงดินหินตามถนนและเรือนอาคารสั่นกระหึ่มจนแทบหลุดทะลักจากกัน ดั่งเมืองร่ำร้องไห้ แล้วแสงวาบจ้าวูบขึ้นในช่วงสุดท้าย “เทลัม อิกทัส ครอสตรัม... ขอจงยื่นพระหัตถ์ประทับกลางผืนพิภพ… อินเฟลตัส” ประกายไฟสายฟ้าแสงเหลือทองก็ฝ่าฟาดลงสู่เมืองแห่งเวทย์มนต์สีอิฐ เสียงครามครันดังครืนกลบท่วงทำนองโหยหวนของพลทหารนับพันซึ่งหลบเร้นตามหลืบมุม ประตูชัยสูงตระหง่านโค่นทลายกลายเป็นเศษกองดิน แต่บ้านเรือนกลับหักพังเพียงมุงหลังคา ริมุเน่พบภัยพิบัติแล้วด้วยน้ำมือชายหน้าละไม หากไม่ใช่ไมตรีจิตของเขา พสกนิกรขององค์หญิงผู้หยิ่งยโสคนนี้จะอยู่รอดกี่คนกัน “...เป็นไปไม่ได้!? แม้แต่เขตอาคมป้องกันเมืองของเสด็จแม่ก็ไม่อาจทานไหว” เจนิเรสแทบล้มทั้งยืน นางไม่มีทางเหลือลมหายใจจากการโจมตีเมื่อครู่หากไม่ถูกปกป้องไว้ด้วยบทร่ายเวทย์พิเศษ “ข้าพิสูจน์แล้วว่าบทกวีนี้ไม่ใช่ของปลอม... องค์หญิงมิพึงใจรึ?” กุห์ฟานนิ่งสงบ ไม่มีเหตุให้ต้องเข้าต่อสู้อีกเมื่อรู้ผลแล้ว แต่คมดาบอาฆาตก็พุ่งมาจากด้านหลังของเขา ด้านหน้ารอยดาบก็วาดลึกเข้ามาเกือบถึงตัว กุห์ฟานเอียงเท้าหันกายหลบปลายดาบที่หวังแทงทะลุจุดสำคัญ พร้อมประกบนิ้วกลางและนิ้วชี้เข้าขนาบด้านทื่อของเหล็กกล้าเบี่ยงแรงกระแทกให้เข้าทะลวงอัศวินเบื้องหน้า ลิ่มเลือดไหลทะลักจากปากแผลคู่เสียงหอนสูงราวขาดใจ ความเจ็บปวดทำให้ทหารผู้นั้นคลายมือจากดาบที่เคยกำแน่นหวังฟาดฟันนักกวีขาดสะพายแล่ง กุห์ฟานกวาดมือซ้ายขึ้นกลางอากาศฉวยดาบจากมือแล้วกดแรงแทงทะลุกลางหลังของอัศวินที่จงใจกะซวกเขาจากด้านหลัง ร่างกายที่ลับดาบนั้นกระตุกและสิ้นชีวิตในทันที กองกำลังเสริมแห่งริมุเน่เริ่มเข้าโจมตีเขาทุกทิศทาง หันปลายแหลมของอาวุธเข้าใส่ กุห์ฟานเหวี่ยงตัวไปมาราวกับร่ายรำโดยมีเสียงโหยครางของทหารเป็นเพลงบรรเลง ซากศพของอัศวินปลิดปลิวดั่งใบไม้ร่วง หมุนวนไปมาตามแรงเหวี่ยงอัดของหมัดและดาบ เลือดกระเซ็นเป็นน้ำพุและกองคนตายก็พูนหนาขึ้น แนวรบสองคนสุดท้ายซึ่งกำลังขนาบเขาพุ่งตรงเข้ามาอย่างกล้าหาญ เขาออกหมัดต่อยเข้าลิ้นปี่ของคนตรงหน้า และใช้ด้ามดาบกระแทกคนข้างหลัง พร้อมตวัดปลายดาบยาวขึ้นแหวกร่างเนื้อเป็นสองซีก ก่อนปล่อยให้ดาบหลุดออกจากมือเปลี่ยนมาใช้หมัดประคบเข้ากับลำตัวของอัศวินเบื้องหน้า ต่อยชายซี่โครงซ้าย หวดฮุกแก้มขวา ใช้ท่อนขาตวัดให้เสียหลักจะลมลง และประกบมือทั้งสองเข้ากับร่องอกจนกระเด็นไปติดเสาซึ่งเคยเป็นประตูเมือง ‘เพลงหมัด... ทลายภูผา’ เสียงศรไม้แหวกอากาศลงกลางซากกองกำลังเสริม และเปลวเพลิงก็ลุกท่วมอีกครั้ง แต่นักกวีไม่ได้อยู่ที่นั่น พุ่งตัวโดดไปยังหลังคาของหอสูงเพื่อเผชิญหน้ากับหมาลอบกัดโดยตรง “ผ่อนเท้าและเกร็งแขนให้มากกว่านี้ ทหาร” กุห์ฟานช้อนคันศรขึ้นและใช้มืออีกด้านอัดเข้าช่องท้องของมือธนู สีหน้าจุกบิดจนเผลอปล่อยมือจากที่รั้ง ลูกธนูไม้ลอยมุ่งตรงมายังที่ซึ่งองค์หญิงเจนิเรสประทับอยู่ นางยกมือขึ้นก่อนคมเหล็กจะถึงตัว และศรไม้ก็ระเหยหายกลายเป็นผง “………” เจนิเรสหน้าซีดเผือด ตระหนกกับเหตุการณ์ที่ปรากฏ “เสียดายที่ข้าปีติในความสิ้นหวังบนใบหน้าของท่านนะ... องค์หญิงเจนิเรส” กุห์ฟานกลับมายืนนิ่งอยู่ที่เดิม แต่วิสัยทัศน์ทั้งหมดของเมืองเปลี่ยนแปลงไป “วางมือเถิดองค์หญิง หากท่านหมายจะเอาชีวิตเขา ท่านจะได้ซากศพของประชาชนท่านกลับไปแทน... มีเพียงชีวิตของหม่อมฉันที่พระองค์ต้องการมิใช่หรือ?” ข้าสาวเท้าก้าวเดินไปหานางช้าๆ หยุดอยู่เบื้องหน้า ขุกเค่าลงข้างชันเข่าขึ้นอีกข้าง โค้งศีรษะและเลื่อนเปลือกตาลงอย่างสงบ ปล่อยให้วังวนของอดีตตีฟุ้งอีกครั้ง +-+-+-+-+-+-+-+-+-+ (to be continued) บทที่ 2 : Conspiracy of Reverie +-+-+-+-+-+-+-+-+-+ footnote : Reverie เป็นคำภาษาอังกฤษ อ่านว่า ‘เรฟ-เวอรี‘ มีความหมายว่า ‘ภวังค์‘ แต่ในที่นี้ผู้แต่งจงใจให้อ่านเป็น ‘รีเวเรีย‘ ซึ่งเป็นชื่อเมือง และให้บทนี้มีความหมายโดยนัยว่า “แผนร้ายของรีเวเรีย” หลังหน้ากระดาษ : บทนี้ค่อนข้างยาวครับ จึงขอแบ่งเป็นสองส่วนเพราะไม่งั้นอาจปวดตาและเวียนหัวก่อนอ่านบทนี้จบ ก็ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจที่มีให้ ที่หายไปนานก็มีด้วยหลายสาเหตุ ไม่ใช่ไม่ว่างนะครับ แต่... เพราะการเขียนแต่ละประโยคมันใช้กำลังความคิดมาก เลยทำให้แต่งได้ช้า + อู้ในหลายๆโอกาส สำหรับสำนวนก็เป็นแนวผมเหมือนเดิม หลายคน(จริงๆก็เกือบทุกคน)บอกว่าอ่านยาก ก็ยอมรับมาพิจารณาครับ แต่เนื่องจากแต่งด้วยความเกรียนส่วนตัวและความชอบส่วนตัว ก็คงต้องขออภัยหากต้องคงสำนวนพวกนี้ไว้เหมือนเดิม มันเป็นวิถีน่ะครับ (ฮาาา) ในตอนนี้มีภาษาละตินมาคือคำว่า "เทลัม อิกทัส ครอสตรัม" ทั้งสามคำเป็นคำภาษาละตินของคำว่า "โบลท์" (bolt) ที่แปลว่า แสงแปลบปลาบของฟ้าแล็บ ในภาษาอังกฤษนะครับ เนื่องจากเป็นเวทย์ใหญ่กุห์ฟานจึงเอ่ยชื่อที่แท้จริงทั้งหมดครับ ยังไงก็พบกันส่วนปฐมบทของตอนนี้ครับ หวังว่าเนื้อเรื่องคงจะเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ท้ายที่สุดขอบคุณทุกคำติชมครับ
Part ทากะ ชอบ อ่านง่าย บรรยายเรื่อยๆดี ทากะกวนตีนหน้าตาย ไม่ต้องเม้นท์อะไรอีกแล้ว มันมีแค่นั้นจริงๆ ฮาาา (ชอบบทนี้ออกนะ) Part อากิรอส สำนวนม่างเจ๋ง โดนเฉพาะฉากปะทะฝีปากกับองค์หญิง =A=b แต่ยังคงบกพร่องเรื่องบทสทนาที่ไม่รู้ว่าใครพูดใครรับ แถมไอ้คำพูดก็มาแนวเดียวกันเด๊ะ ทั้งอาิกิรอสและกุฟานห์ แต่สรุปพวกเอ็งจะเป็นนักกวีนักปราชญ์ไปทำไมถ้าบู๊ระห่ำแบบนี้ รออ่านแผนการร้ายต่อไป
อากิตอนใหม่ยาวดีแท้ -3-/ ล้างพลานมากไปหน่อยแล้วม๊างงฮ่าๆ ยังรอครึ่งหลังที่เหลืออยู่นะเอ้ย สำนวนมันแน่ๆจริงๆ แต่ยังขาดอีกนิดๆหน่อยๆ อย่างที่อิวานบอกล่ะนะ
มาตอบ reply ของผู้อ่านก่อน พี่อีวาน - เห็นด้วยกับพี่อีวานครับ เรื่องสำนวนการเขียนที่บทพูดมันคล้ายกันมาก (ยังแยกเรื่องบทพูดของคาแรคเตอร์แต่ละตัวได้ไม่ขาดจริงๆ แต่โชคดีที่กุห์ฟานกับอากิรอสมันแนวเดียวกันเลยพอไปได้ แต่จะเริ่มพยายามหาทางทำให้ลักษณะเด่นของทั้งสองชัดขึ้นครับ) แต่ตอนนี้ก็มีตัวอื่นๆโผล่มาแล้ว ก็จะพยายามทำให้มันต่างๆกัน (ไม่รู้จะไหวไหมนะ แต่ก็จะพยายามให้เต็มที่ ฮาาา) ขอบคุณสำหรับคำติชมครับ ส่วนเรื่องการรับส่งการพูดก็จะค่อยๆพยายามปรับปรุงไปเรื่อยๆครับ ทำตอนนี้เลยคงไม่ไหว แต่จะพยายามให้มันเป็นไปตามธรรมชาติละกัน ขอบคุณอีกครั้งครับ ซาล - หวังว่าจะชอบครึ่งหลังด้วยนะครับ ส่วนหลังของตอนนี้ไม่บู๊ละ แต่เป็นดราม่านิดหน่อยและเริ่มเปิดโปงแผนร้ายของรีเวเรียแล้ว ขอบคุณที่ติดตามครับ สำหรับผู้ชอบจิ้นวายทุกคน - ไม่อยากจะบอก แต่ไม่ได้ตั้งใจนะ... ตอนนี้ก็จิ้นไปเลยตามสบาย รู้ว่าตอนท้ายต้องโดนแน่ แต่ไม่รู้จะเขียนยังไงแล้ว ก็เอาแบบนี้ไปจิ้นกันให้กระเจิดกระเจิงละกัน ปล.กำลังจะอัพส่วนหลังแล้วจ้า
บทที่ 2 : Conspiracy of Reverie (แผนร้ายในภวังค์) (ปัจฉิมบท) โทษของการลักเล็กขโมยน้อยสำหรับเมืองใหญ่คงหนักหนา โดยเฉพาะยามศึกสงครามเช่นนี้ ทหารของที่นี่ป่าเถื่อนกว่าข้าเสียอีก เหตุผลของเด็กขอทานใกล้ตายมีน้ำหนักไม่พอฝ่ามือฝ่าเท้าพวกเขาด้วยซ้ำ ถึงกับต้องลากถูร่างกายอันบอบช้ำเป็นจ้ำเขียวขุ่นม่วงเข้มมานอนราบหมดรูปต่อหน้าชายหญิงสูงวัย “มันผู้นี้รึที่ทำร้ายหัวหน้าองครักษ์เวทย์จนสาหัส?” ‘มันจะทำร้ายข้าก่อน’ ข้าอยากเถียงแทบขาดใจ แต่คำพูดข้าไม่มีให้กับผู้ใดอีก “พะยะค่ะ... ฝ่าบาท เจ้าเด็กจรนี่สามารถใช้คาถาอาคมได้ชำนาญกว่ากระหม่อมเสียอีก” หนึ่งในหลายคนที่รุมทึ้งเมื่อข้าพลาดพลั้งถูกจับได้โค้งตัวให้คนบนบัลลังก์ แสงจ้าสาดผ่านกระจกใสโค้งมนสูงหลังเก้าอี้ทองคำจนตาพร่า ข้าซัดเซไปตามเมืองต่างๆ ฉกชิงเสื้อผ้าอาหารจากถิ่นสู่ถิ่น ประทังชีวิตที่แม้แต่ตนเองยังเห็นว่าไร้ราคา อันที่จริงข้าไม่ยี่หระต่อความตาย แต่ความหิวกระหายรุนแรงหนักหน่วงกว่าปลายคมดาบเสียอีก เมื่อถึงมหานครแห่งนี้ข้าทำตนเช่นที่ผ่านมา และชายหนุ่มร่างสูงซึ่งดูคล้ายหัวหน้าทหารก็ไล่กวดให้จนมุม ข้าเหวี่ยงสะบัดจนสุดตัว แม้นัยน์ตาของชายตรงหน้าจะมีแต่ความปราณี สุดท้ายข้าก็ขืนตนจากการจับกุมของเขาได้สำเร็จ และขณะที่กำลังจะวิ่งหนี ข้าได้ยินเสียงถอนหายใจพร้อมภาษาประหลาดจากบุรุษผู้นั้น แล้วสายลมก็อัดเข้ามาโดยไม่ทันตั้งตัว ในชั่วครู่ที่ร่างกายจะปลิวไหวข้าเปรยคำพูดเดียวกันแม้ไม่รู้ความหมาย แล้วเสียงโครมครามก็ลอดมาจากกองฝุ่นฟุ้ง นั่นเป็นภาพสุดท้ายก่อนความระบมจะกระตุกให้ตื่นมาพบว่าเนื้อตัวมีแต่รอยโดนซ้อม “น่าสนใจนัก... อาเรสไม่ใช่ผู้ที่จะพ่ายให้กับเด็กตัวจ้อยเช่นนี้ บางทีข้าก็อาจเพลี่ยงพล้ำ” “ฝ่าบาท... พระองค์จะทรงทดสอบด้วยตัวพระองค์เองหรือเพคะ หม่อมฉันเกรงว่าเด็กน้อยนี่คงไม่อาจรับไหว” หญิงคนนั้นมีทีท่ากังวล “งั้นจงถือซะว่านี่เป็นโทษทัณฑ์...” เขาเบี่ยงหน้าไปหานางก่อน แล้วใช้แววตาแน่วแน่นั่นจ้องมาทางข้า “…เจ้ากลัวตายหรือไม่ เจ้าคนเถื่อน?” “ท่าน...ไม่เห็นว่าข้าเป็นคนตายรึ? ท่าน...คิดว่าข้ายังมีชีวิตรึ?” หลังจากเช้านั้น ข้าไม่เอ่ยแม้เสียงกรีดร้อง ถึงถูกทุบตีน้ำตาก็ไม่ไหลหลั่ง ข้าไม่คาดคิดเลยว่าประโยคนี้จะหลุดมาจากริมฝีปากก่อนคำพูดอื่นใด แล้วหยดน้ำใสก็เกาะพราวที่ข้างแก้ม บุรุษที่ถูกเรียกว่าฝ่าบาทยิ้มละมุน รอให้ข้าใช้หลังมือปาดใบหน้าจนสะอาดเกลี้ยง “ข้า...กำลังหาที่ที่ข้าจะตาย และอาจเป็นที่นี่” “งั้นรึ...” เมื่อได้ฟังคำตอบ รอยยิ้มนั้นก็จางหาย เขากลับมาใช้นัยน์ตาจริงจังเช่นเดิม ชายผู้นี้ลุกขึ้นยืนตระหง่านยกอกแน่นเผยไหล่กว้างอย่างองอาจ ช้อนแขนขวาขึ้นสูงพ้นปลายคาง สำทับคำแปร่งไม่คุ้นหู น้ำเสียงหนักดังก้องทั้งโถงใหญ่ แล้วบรรยากาศโดยรอบก็ตีวนจนใจเต้นระส่ำ เหงื่อผุดพรายแต่ขนลุกตั้งชัน ราวคนคลื่นไส้ใกล้ล้มทั้งยืน ร่างกายสั่นระริกให้แขนขาอ่อนเปลี้ยไร้เรี่ยวแรง ข้า...กำลังกลัวต่อความน่าเกรงขามของคนตรงหน้ามากกว่าความตายที่รออยู่ในไม่ช้า พลันประกายไฟก็ประทุขึ้นกลางอากาศ ไหม้ระอุเป็นทรงกลมใหญ่ยักษ์ร้อนลามมาระผิว แล้วเปลวเพลิงสีส้มอมแดงจรัสก็พุ่งใส่ข้า ‘อัลเลอา ฟลัมมา... ดั่งอรุโณทัยแห่งอรุณรุ่ง... ดิลูคุโล’ ก่อนกายเนื้อจะถูกแผดเผา ข้ากล่าวตามเสียงที่แล่นเข้ามาในหัว แสงจ้าวาบขึ้นให้ภาพในสายตาขาวโพลนพร้อมเสียงกระหึ่มจนแสบหู แรงอัดกระแทกให้ข้าถอยกรูดไปหลายก้าว ระหว่างที่วิสัยทัศน์เริ่มกลับสว่างชัด เงาตะคุ่มของชายวัยกลางคนก็ขยับตัวนั่งดังเดิม “เจ้าทำเช่นนั้นได้อย่างไร? เอื้อนเอ่ยแม้แต่สิ่งที่ไม่เข้าใจ” ลมเย็นพัดโชยผ่านหน้า แว่วเสียงเขาปลาบปลื้มปนทึ่ง “ข้า... กล่าวตามสิ่งที่ได้ยินจากอากาศ... และสะเก็ดไฟ” “งั้นเจ้าไม่อาจสมใจ ใต้หลังคานี้มิใช่สุสาน แต่เป็นเรือนชานของเจ้า... หนุ่มน้อย ต่อแต่นี้เจ้าจะมีข้าเป็นพ่อ มีประชาชนเป็นญาติ และมีริมุเน่เป็นบ้าน” ข้าไม่ใคร่จะเรียกที่อื่นนอกเหนือจากวัลลาห์ว่าบ้าน แต่ก็ไม่ปฏิเสธการอยู่ในเมืองนี้กับราชาและราชินี “เจ้าชื่ออะไรรึ?” ผู้หญิงคนนั้นเดินตรงมาทางข้าด้วยท่วงทีสง่า ชายกระโปรงขาวลู่กับแง่งบันไดหินกระดกไหวเป็นระลอกคลื่น เมื่ออยู่ห่างตัวข้าไม่ถึงชั่วคืบก็ก้มลงมองมาด้วยดวงตาใสเปื้อนยิ้ม นางค่อยๆย่อตัวจนเสมอข้า พลันกำมือเกรอะกรังของเด็กจรจัดแล้วบรรจงเช็ดด้วยผ้าลื่นสีชมพูนวลปะขอบลูกไม้ราคาแพงจนเป็นสีหม่น “ข้า... ไม่รู้” แม่ไม่เคยเรียกข้าด้วยชื่อ ชาววัลลาห์มีแต่ ‘ข้า’ ‘เจ้า’ และ‘เรา’ นางเลื่อนหน้ามาใกล้ใบหูจนสัมผัสได้ถึงไออุ่น “ต่อแต่นี้เจ้า คือ อากิรอส เซอร์แวส คีฟ... ลูกข้า” ตลอดเวลาในริมุเน่ข้ารู้สึกว่าตนเองเป็นเพียงเหลือบไรที่ดูดเกาะความอารีอารอบของทุกคนในเมือง แต่กษัตริย์เฟร็อกซ์และราชินีฟรอเดนารวมถึงคนอื่นไม่เคยคิดเช่นนั้น เขาปฏิบัติกับข้าดั่งบุตรชายผู้เกิดและเติบโตที่นี่ ข้าเชื่อว่าที่นี่เป็นที่ที่กษัตริย์ดูแลมากกว่าปกครองประชาชน เมื่อเข้าสู่พระราชสำนัก ทั้งสองพระองค์นำข้าไปสู่วิถีของโลกทั้งมารยาทและเวทย์มนต์ แนะให้เรียนรู้ในศาสตร์ตลอดศิลป์ เพียงช่วงเวลาไม่กี่เดือนเพื่อนเล่นของข้าก็เปลี่ยนจากชาวป่าเป็นองค์หญิง เฟร็อกซ์ ไมเอสทาส เจนิเรส บุตรีของกษัตริย์และราชินีแห่งริมุเน่อยู่กับข้าแทบทุกเช้าค่ำ ในวันคืนที่เป็นทุกข์และเป็นสุข นางไว้เนื้อเชื่อใจข้าดั่งพระเชษฐาแท้ๆแม้จะเป็นชายต่างสายเลือด และความจริงข้อนี้ก็ทำร้ายจิตใจนางในภายหลังจนเกินกว่าจะเรียกข้าว่า ’พี่’ ได้อีกต่อไป ยามที่มีทั้งพ่อ แม่ น้อง ญาติ และบ้านแล้ว... เราจะต้องการอะไรอีก? แต่ช่องว่างที่ไม่เคยเต็มของข้ากลับไม่อาจถมได้ด้วยความเอื้อเฟื้อ ราวกับในใจยังคงมีเส้นกั้น และมันเริ่มดีดผึงเมื่อโตขึ้น แต่แม้ข้าจะกล่าววาจาร้ายกาจกับทั้งคู่เพียงไร ก็ได้รับแค่รอยยิ้มเจื่อนให้รู้สึกผิดละอาย “โปรดปล่อยให้กระหม่อมเป็นเพียงพสกนิกรที่มองพระองค์ดั่งปิตุและมาตุของแผ่นดินเถิดพะยะค่ะ บุรุษไร้เทือกเถาเหล่ากอไม่ริอาจเป็นลูกของจ้าวครองเมือง” และเมื่อพระองค์ไม่อาจผูกมัดข้าด้วยหยาดโลหิตที่ไหลเวียนอยู่ในกาย ประเพณีคือทางออกที่ดีที่สุดของการเกี่ยวดองอย่างครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นความคิดของผู้ใด แต่ความรู้สึกที่องค์หญิงเจนิเรสมีต่อข้าเริ่มเปลี่ยนผันตามความเป็นหนุ่มสาวซึ่งประทุอยู่ในร่างเนื้อ นัยน์ตาของนางซ่อนความหมายอยู่ภายใต้คำว่าพี่ชาย และวันที่ข้าต้องพลัดถิ่นอีกครั้งก็เริ่มขึ้น ณ กลางท้องพระโรงใต้เทือกเขาสูง “อากิรอสเอ๋ย... ข้าไม่เคยพูดกับเจ้าในฐานะกษัตริย์ และครั้งนี้ก็เช่นกัน เจ้าพร้อมจะรับฟังพ่อหรือไม่?” แม้กษัตริย์เฟร็อกซ์จะแทนข้าว่า ‘ลูก’ เสมอต่อหน้าธารกำนัล... แต่ไม่มีครั้งไหนเลยที่เขาเรียกตนเองว่า ‘พ่อ’ เช่นนี้ ในท้องพระโรงที่เต็มไปด้วยเสนาอำมาตย์ เวลาเก้าปีผ่านไป เด็กน้อยคนนั้นกลายเป็นชายวัยสิบหก และเปลี่ยนจากนอนราบหมดรูปกลายเป็นคุกเข่าข้างชันเข่าขึ้นอีกข้างอย่างองอาจ นอกเหนือจากที่เคยมีชายหญิงนั่งคู่กันบนบัลลังก์ บัดนี้หญิงสาวอีกคนยืนประดับอยู่ข้างผู้เป็นมารดาราวผลแอปเปิลสีแดงบนต้นไม้ใบเขียว “กระหม่อมรับฟังพระองค์เสมอไม่ว่าจะด้วยคำพูดในฐานะอันใด” “นี่...ไม่เกี่ยวข้องกับความปรารถนาที่ข้าอยากให้เจ้าคิดว่าเราเป็นครอบครัว แต่เป็นเพียงคำพูดของบิดาที่อยากให้ลูกสาวมีความสุข” ผู้พูดคือพ่อ แต่คนที่รอฟังคำตอบไม่ใช่เขา... ข้าเดินมาถึงทางตันที่ต้องพังทลายให้แตกหักเสียแล้ว องค์หญิงเจนิเรสกุมมือแน่นอย่างเผลอตัว “เจ้าพร้อมจะมาเป็นเขยของเราหรือไม่? แต่งงานกับเจนิเรส ลูกหญิงที่เรารักยิ่ง” ถึงพระองค์จะเปลี่ยนจากราชาศัพท์เป็นคำพื้นบ้านเพื่อบอกความเป็นกันเองมากกว่าฐานันดรศักดิ์ แต่พระองค์มิอาจเปลี่ยนใจข้าได้ ไม่ว่าจะด้วยคำใด “กระหม่อมรักองค์หญิงเช่นน้องสาว... แต่พี่ชายจะแต่งงานกับน้องสาวได้เช่นไร?” “พี่เคยเห็นเราเป็นครอบครัวด้วยรึ ท่านแบ่งแยกเลือดเนื้อของตัวเองออกจากคนอื่นมากกว่าใครในนี้” เจนิเรสน้ำเสียงขุ่น นางรู้คำตอบของข้าเช่นทุกครั้ง “กระหม่อมมิได้หมายถึงเลือดเนื้อ องค์หญิง... เสียดายที่คำว่าพี่ชายและน้องสาวของกระหม่อมเป็นความรู้สึก” ข้าพูดตรงกว่าที่เคย เพราะคงไม่มีโอกาสได้พูดจากใจจริงกับนางอีกหลังจากนี้ “ท่าน...ท่านหมิ่นเกียรติข้า... ต่อหน้าทุกคน” ยางอายของนางระบายจนหน้าระเรื่ออมแดง “องค์หญิงจะยินดีหรือที่ชายใดยินยอมอภิเษกกับพระองค์เพราะกลัวเสียเกียรติมากกว่าพร้อมใจรัก” “พอเถิดลูกหญิง... พ่อและแม่ไม่เคยเลี้ยงดูอากิรอสเพื่อให้เขาทำตามใจเรา และแม้เขาไม่อภิเษกกับลูก เขาก็ยังเป็นลูกชายของเรา และยังเป็นพี่ชายของเจ้า” ข้าอยากให้กษัตริย์เฟร็อกซ์นำตัวไปโบยตีจนสาแก่ใจมากกว่าพูดประโยคนี้ เมื่อเหลือบไปเห็นดวงหน้าของราชินีฟรอเดนาความละอายก็เอ่อมาจุกต้นคอ รอยแย้มยิ้มของพระองค์ยังอ่อนโยนเหมือนวันแรก “ถ้าท่านไม่แต่งงานกับข้า ก็จงสู้กับข้า... ผู้ชนะจะได้ทำดังที่ตั้งใจ และแม้ชีวิตก็ต้องมอบให้” องค์หญิงเจนิเรสรุดก้าวมาอยู่หน้าข้า เงื้อมือขึ้น แต่ก่อนจะวาดมือลงมานางก็เปลี่ยนเป็นกำหมัดแน่น “ลูกหญิง... คำสั่งไม่อาจบังคับใจใครได้ เจ้ายินดีจะได้สามีที่ไม่เต็มใจอยู่กับเจ้ารึ” ราชินีฟรอเดนาเลือกข้ามากกว่าลูกในไส้ ข้า... “หม่อมฉันรู้เพคะเสด็จแม่ แต่เมื่อเสด็จพ่อยอมให้พี่ตัดสินใจ ทำไมจึงไม่ยอมรับฟังคำตัดสินใจของหม่อมฉันบ้าง” “หากองค์หญิงจะเอาชีวิตหม่อมฉัน ไม่จำเป็นต้องประลองสักนิด ใช้กริชนี่แทงเข้าที่หัวใจก็พอ” ข้ายื่นกริชทองคำแหลมปลาบให้กับนางด้วยมือ แม้จะยังนั่งก้มอยู่อย่างเดิม “นั่นหลังจากที่ข้าชนะเจ้าแล้ว หรือเห็นเจ้าเป็นรอบที่สอง คีฟ” ในที่สุดกำแพงของความเป็นครอบครัวก็ถูกทำลายลง นี่อาจเป็นสิ่งที่ข้าปรารถนาตั้งแต่ต้น หลังจากนั้นไม่ถึงครึ่งชั่วยามข้าเดินฝ่าฝูงชนท่ามกลางเมืองออกมาด้วยใบหน้าหมองต่อหน้าประชาชนชาวริมุเน่ การต่อสู้กับคนที่เคยเรียกข้าว่าพี่ช่างน่าหนักใจนัก เมื่อทำร้ายความรู้สึกของนางจนขาดสะบั้นแล้วยังต้องทำลายความภาคภูมิใจในเวทย์มนต์ที่ถูกฟูมฟักมาด้วยกัน ชัยชนะของข้าคือการละทิ้งที่ที่ทุกคนอยากให้เป็นบ้าน พร้อมขอคำมั่นว่าแม้นับแต่นี้ข้าจะไม่เป็นคนของมหานครแห่งนี้อีก แต่คำสัตย์นั้นขอให้พระองค์และปวงชนยึดมั่น คำสัตย์ที่ข้าขอต่อกษัตริย์เฟร็อกซ์ในคืนแรกก่อนเข้าพระราชวัง “ข้าไม่ได้มาที่นี่ด้วยจงใจ และไม่ใช่ลูกของพวกท่านโดยแท้จริง โปรดปล่อยให้ข้าเป็นเพียงชายนิรนามนอกเมืองริมุเน่ต่อไป” ริมุเน่ไม่เคยเป็นบ้าน ข้าเป็นแค่นักโทษที่ได้รับการอภัยและไม่ถูกจองจำ เมื่อหลุดลอดจากกรงขังนามว่าริมุเน่ ปีกแห่งอิสรภาพของข้าก็กางทะยานออก โผบินไปโดยไม่หันมามองชนักติดหลัง สุดท้ายสายป่านเส้นบางอย่างโชคชะตาก็ชักจูงให้ข้ากลับมาที่นี่อีกครั้ง เพื่อทำลายมันด้วยมือของสหายข้า แต่ริมุเน่บอบช้ำจากคนเช่นข้ามาพอแล้ว “แอทัส เทมปุส เทมโพลิส โฮรา แทรคทัส... หมุนวนเช่นคืนวันในทิวาและราตรีกาล... รีเวนิโอ” ข้าค่อยๆลืมตาขึ้น เอ่ยบทร่ายเวทย์พร้อมลุกขึ้นยืนประจันหน้าองค์หญิงเจนิเรส พลันห้วงเวลาบิดเบี้ยวไร้จุดยึดและแรงโน้มถ่วง ราวกำลังถูกดึงกระชากท่ามกลางสุญญากาศ แล้วชั่วแวบหนึ่งอาคารบ้านเรือนในริมุเน่ก็คืนสภาพเหมือนก่อนที่นางจะใช้กริชทะลวงหัวใจข้า แต่นั่นไม่ใช่ภาพมายาเพราะกริชทองคำยังคงนอนนิ่งอยู่ห่างจากปลายเท้าไปสองสามหลา และเหงื่อเม็ดพรายด้วยอารามตกใจกับฝีมือของกุห์ฟานก็ยังผุดอยู่บนใบหน้านางเช่นเมื่อครู่ แต่นอกจากข้า กุห์ฟาน และเจนิเรสแล้ว ก็คงมีเพียงทากะและแซ็คซาสเท่านั้นที่รู้ตัวหากพวกเขาอยู่ที่นี่ด้วย คนที่ปล่อยให้กระแสเวลาควบคุมชีวิตไม่อาจตระหนักในความเปลี่ยนไปของมัน ‘ดีแล้วที่ริมุเน่ยังคงเป็นเมืองสีอิฐเหมือนเดิม ข้าไม่ปรารถนาที่จะเห็นมันในแบบอื่นเลย’ “เจ้าเองก็ยื่นมือมายุ่งเรื่องของข้าเหมือนกันนะอากิรอส แล้วทำไมไม่เอาผ้าคลุมข้ากลับมาด้วย?” “ขอโทษที แต่เจ้าเสียผ้าคลุมไปเพราะตัวเจ้าเองนะ” กุห์ฟานหัวเราะร่าก่อนเดินมาหยุดยืนข้างข้า “………” เจนิเรสยังคงยืนนิ่ง กำลังลังเลในการตัดสินใจ ขณะที่เลื่อนมือขึ้นเพื่อส่งสัญญาณ นางก็ชะงักเล็กน้อย กล้าๆกลัวๆกับภาพที่ปรากฏเมื่อครู่ “องค์หญิง... นั่นไม่ใช่ความลวง และถ้าอยากให้พลทหารของพระองค์ตายเป็นรอบที่สอง สหายของกระหม่อมก็คงยินดีในความสุนทรีย์นั้นเช่นกัน แต่กระหม่อมไม่มั่นใจว่าจะสามารถทำให้มันกลับมาเป็นเช่นนี้ได้อีกหรือไม่ บทเวทย์เวลาให้ผลสะท้อนผู้ร่ายนัก องค์หญิงน่าจะทราบดีมิใช่หรือ” “………” นางเปลี่ยนความกดดันเป็นก้อนสะอื้นและรื้นน้ำตา คงทำใจยากยิ่งที่จะเห็นข้ามีชีวิตยืนอยู่เบื้องหน้า แม้ข้าจะตายนางก็ยังปักใจในนามอากิรอสอยู่ดี “พี่ ก็ยังไม่รักข้าเหมือนเดิม... แม้จะเรียกเวลาคืนมา แต่ความเสียใจของข้าและความเจ็บปวดของข้ามันไม่หายไปสักที” เจนิเรสทรุดตัวลงฮวบปล่อยโฮดั่งสาวน้อยที่ข้าเคยเห็น แล้วข้าก็จับใจความไม่ได้อีกว่านางต่อว่าอะไรบ้าง ‘ความทุกข์คงเป็นเหมือนโรคร้าย ที่เมื่อเราได้รับมันมาจากใครสักคน เราก็ไปฝากมันไว้ให้กับใครอีกคน… ทาสอารมณ์เช่นข้าจะช่วยพระองค์ได้อย่างไร’ ความใจอ่อนผลักดันท่อนแขนของข้าจนเกือบคว้าปรอยผมเหลืองนวล แต่เส้นทิฐิก็กระตุกหนักรั้งอุ้งมือค้างอยู่กลางอากาศ ทันใดนั้นนางก็ลุกพรวดขึ้นมาด้วยใบหน้าเรียบเกลา เหลือแค่รอยบวมช้ำตามขอบตาที่บอกว่าตะกอนความเศร้ายังตีรวนอยู่ในใจ “ข้าทำอย่างนี้ไม่ดีเลย... หากใครมาเห็น เขาคงนึกขวยขันในใจว่าองค์หญิงเปี่ยมศักดิ์ก็แค่หญิงชาวบ้านทั่วไป จริงหรือไม่ท่านกุห์ฟาน” องค์หญิงเจนิเรสเอียงพระพักตร์ไปมองเพื่อนข้า แล้วปั้นทีท่าตามที่ถูกสอนมาเสมอ “ราชนิกูลก็เกิดแต่บิดรมารดาเช่นแม่ค้าท้ายตลาดมิใช่หรือ? ท่านก็แค่ปล่อยตนไปตามที่ธรรมชาติดลใจ ข้าไม่คิดว่าโลกจะรู้จักคำว่า ’เกียรติ’ และ ’ศักดิ์ศรี’ หรอก... องค์หญิง” กุห์ฟานโค้งตัวเล็กน้อย ตอบรับตามมารยาทเช่นที่นางปฏิบัติกับตน เจนิเรสเผยยิ้ม เพื่อนข้ามักทำให้คนรอบข้างรู้สึกสบายใจกับการเป็นตัวเองจนเลิกค้นหาความลึกลับของเขา แต่ดูท่าการมีอยู่ของข้าจะคุกคามนางมากกว่าคนแปลกถิ่นอย่างกุห์ฟานเสียอีก นางผินหน้ามามองข้าไม่เต็มตา “…ท…ท่า…” น้ำเสียงอึกอักจนผิดสังเกต การพูดกับข้าให้เป็นปกติยังกวนใจจนสีหน้าละล่ำละลัก “...ท่าน...พี่....มีเรื่องด่วนจะบอก...นะ...น้อง...มิใช่รึเพคะ?” ข้ารู้ในทันทีหลังสันเท้าพ้นจากเขตประตูเมืองนี้ว่าเมื่อกลับมาริมุเน่อีกครั้งข้าจะกลายเป็นเพียงเด็กหนีออกจากบ้านที่ทุกคนต่างโผเข้ากอด เจนิเรสเป็นคนแรกที่ยอมให้ข้าเป็นพี่ชายดีกว่าเสียข้าไปตลอดกาล ผู้คนในเมืองนี้ช่างประหลาดนัก พวกเขายอมให้เด็กจรจัดอยู่ในความทรงจำนานเกินไป แต่ที่น่าประหลาดกว่าคือข้าไม่รู้สึกกระอักกระอ่วนใจเท่าที่คิดเมื่อนางเรียกข้าว่า ‘พี่’ อีกครั้ง “เมื่อองค์หญิงยอมรับฟัง... กระหม่อมก็ไม่มีคำพูดอื่นใดแล้ว มีเพียงสารด่วนจากสหายของกระหม่อมเท่านั้น” ข้าหยิบคันฉ่องทรงกลมแบนเท่าฝ่ามือออกจากซอกกระเป๋าเสื้อด้านใน ผิวกระจกเป็นเงาวาวสะท้อนใสจนเห็นเศษฝุ่นเปรอะเปื้อนตามซอกแก้ม ด้านหลังเป็นพื้นไม้หยาบสากด้วยรอยสลักรูปวงกลมม้วนรีคล้ายขดก้นหอย ขอบนอกเป็นกรอบไม้ปะอักขระโบราณรอบวง รอทกำชับอย่างแน่นหนัก ‘จนกว่านางจะยอมนิ่งฟังเจ้า จงอย่ามอบของชิ้นนี้ให้เป็นอันขาด... สิ่งที่คนเราเพ่งพิศในกระจกมักเป็นความคิดของตัวเองมากกว่ารูปปรากฏ และหากเจ้าไม่อาจตัดความจริงของตัวเองได้ขาด ความน่ารังเกียจเบื้องหน้าก็ยังงดงามได้’ “ถึงน้องหรือ?” เจนิเรสเรียกตัวเองได้คล่องขึ้นเมื่อข้าไม่ปฏิเสธการแทนตนเช่นนั้น “บางที...อาจถึงทุกสรรพสิ่งในเอลเทอเฟีย” ข้าโค้งศีรษะเล็กน้อย และยื่นคันฉ่องให้นางด้วยสองมือ นางย่อตัวไขว้เท้าขวาไปหลังขาซ้ายและใช้สองมือรับตามขนบประเพณีของริมุเน่ เจนิเรสสะดุ้งเมื่อได้พิจารณาสิ่งของในมืออย่างถี่ถ้วน นางใช้ปลายนิ้วเรียวยาวลูบไล้ลายอักษรบนขอบไม้ไปมา “สหายของท่านพี่ช่างมีสมบัติล้ำค่ายิ่ง” แล้วบรรจงวางหงายลงกับพื้นถนน เสียงไม้กระทบอิฐดังแกร๊ก ในท่ายืนนิ่งสงบเจนิเรสปล่อยแขนซ้ายไว้ข้างลำตัว หันฝ่ามือออกงอคุ้มจนเห็นนิ้วสวยเรียงเป็นเกลียว มือขวายกขึ้นระดับไหล่ กดปลายนิ้วอื่นลงให้นิ้วชี้และกลางขนานเด่นกับท่อนแขนขวา พลันภาพในกระจกก็พร่าไหวเกินจะฉายสะท้อนสิ่งใดอีก “เงาเอ๋ย... เจ้ามิใช่สิ่งเทียมและมิเป็นตัวแทน แต่คือประจักษ์พยานของรูปลักษณ์อันไม่เที่ยงแท้... อย่าได้กระดากอายที่จะเผยตนให้ผู้คนเห็น... จงปรากฏต่อเบื้องหน้าข้า โฉมสะคราญของเจ้า... อัมบรา” สิ้นเสียงเปรยของเจนิเรสแสงจ้าก็ลอยสว่างขึ้นจากผิวเงาวาวให้เห็นเป็นภาพบุรุษหนุ่มในชุดขุนนางขาวประกบเสื้อนอกสีดำยาวละช่วงแขนคล้ายผ้าคลุมพาดเทียบไหล่ระหว่างหลังกับหน้าแต่มีปกหนาตั้งขึ้นปิดรอบต้นคอ กลัดเครื่องประดับทองลายสัญลักษณ์รีเวเรียเหนืออกไว้กระชับขอบเสื้อนอกด้านในเข้าหากันต่างกระดุม ภาพเสมือนนั้นเคลื่อนไหวอยู่กลางอากาศราวกับชายผู้นี้อยู่ตรงหน้ากั้นข้าและเจนิเรส แววตาสีฟ้าใสดั่งผืนน้ำเย็นนิ่งของเขารับกับเส้นผมเหลืองอ่อนซอยยาวปรกหน้าระแก้มซ้าย ปรอยผมด้านขวาลู่ข้างแก้มตลอดแนวใบหูเผยให้เห็นผิวขาวนวลของหน้าผากซีกขวาตัดกับคิ้วเรียวเหนือขอบตา ใบหน้ามนประดับสันจมูกโด่งและริมฝีปากเล็กให้ความรู้สึกคล้ายสตรีมากกว่าชายฉกรรจ์ แต่เบื้องหลังแว่นตากรอบเหลี่ยมนั้นแฝงไว้แต่ความหมายที่ไม่อาจคาดเดาได้ พลันวิสัยทัศน์ในรูปจำลองก็ขยายเป็นมุมกว้างขึ้นจนเห็นเป็นโถงใหญ่รอบสี่ทิศ มีชายอีกสองคนยืนประกบคู่บุรุษผู้นั้นเรียงแถวอยู่หน้าชายอาวุโสแววตาคมดุ แม้วัยจะล่วงเข้าชราจนผมเส้นดำเปลี่ยนไปค่อนขาวเกินครึ่งหัวแล้ว แต่กลิ่นอายความกระหายเลือดยังคาวคลุ้งจนข้าสะอิดสะเอียน มีแต่กษัตริย์อัลวีนที่สิบสองแห่งรีเวเรียเท่านั้นที่ทำให้ข้าคลื่นเหียนเช่นนี้ได้เมื่ออยู่ใกล้ ทางซ้ายคือ ‘รูน’ หัวหน้าหน่วยรบพิเศษกองกำลังที่หกแห่งรีเวเรีย ทางขวาเป็น ‘ลอร์ดเฟอร์ชาส’ ผู้ที่ส่งกองกำลังในอาณัติทั้งหมดออกมาจับกุมข้า การประชุมลับของพวกมือเปื้อนเลือดเริ่มขึ้นแล้ว “เจ้าไม่เห็นด้วยกับข้ารึไอแซ็ค? ในยามสงครามการลงมือก่อนย่อมได้เปรียบใช่ไหมท่านเสนาธิการ” กษัตริย์อัลวีนใช้น้ำเสียงตำหนิ แต่ยังสงวนมารยาทให้กับชายในกรอบแว่น เขารู้ดีว่าทุกศึกที่ตนเองอ้างว่าเป็นผู้พิชิตชัยชนะ ใครให้คำแนะนำ “ถูกต้องแล้วพะยะค่ะ... แต่บ่อยครั้งรีเวเรียที่ตกเป็นฝ่ายตั้งรับก็ไม่เคยปราชัยมิใช่หรือ เมื่อเราเห็นฝูงหมาไนแย่งกันกัดกินก้อนเนื้อ เราควรถลำตนให้ตัวเองมีแผลเหวอะหวะแล้วได้เพียงเศษเหลือหรือไม่พะยะค่ะ? ในความเห็นของกระหม่อม หมาที่คิดว่าตัวเองแข็งแกร่งมีชัยส่วนใหญ่มักเป็นหมาจรจัดพระเจ้าค่ะ” “เจ้า!!!...” ลอร์ดเฟอร์ชาสสะดุ้งจนเผลอสบถคำด่า นอกจากเขาแล้วจะเป็นใครอื่นได้ที่คอยบ่มเพาะความทระนงให้กับพระราชา แต่กษัตริย์อัลวีนนิ่งตรองอย่างเคร่งเครียด “หากกระหม่อมไม่หวังดีต่อฝ่าบาทและรีเวเรีย คงไม่ยืนอยู่นี่ให้คนอื่นถลึงตาใส่อย่างหยาบโลนหรอกพะยะค่ะ” ไอแซ็คปรายตาเชลียงมองขวาเล็กน้อย แล้วยิ้มเหยียดเพียงมุมปาก “ไอแซ็ค... เจ้าจะรับผิดชอบไหวเรอะ หากเราพลาดโอกาสที่จะจับกุมองค์หญิงทั้งสามแห่งเอลเทอเฟีย” เจนิเรสกุมหน้าอกอย่างตระหนก หลังจากรู้สิ่งที่รีเวเรียจะกระทำกับตน “ฝ่าบาทคงไม่ต้องวิตกเช่นนี้ หากพวกท่านสองคนไม่ปล่อยให้อากิรอส เซอร์แวส คีฟ หลบหนีไปได้... ท่านจะรับผิดชอบไหวหรือ ท่านรูน?” ก้อนสะอึกตีดันจนหน้ารูนแดงจัด “พวกท่านทำราวกับว่าเหลือเพียงเฟร็อกซ์ ไมเอสทาส เจนิเรสเท่านั้นที่ยังพ้นเงื้อมมือ แต่ความเป็นจริงคือแม้แต่องค์หญิงแห่งนครทะเลทรายกรานาด้า และบิคุนิฮิเมะแห่งอุเอรุโตะเมืองบนเกาะทิศใต้ก็ยังไม่มีร่องรอย... พวกท่านช่างใสซื่อเสียจริง ไว้ใจสภานักบวชแห่งชายน์เกินไปแล้ว” บุรุษหน้าหวานยกปลายนิ้วดันกรอบแว่นขึ้น “เจ้าหมายความว่ายังไง ไอแซ็ค!?” กษัตริย์อัลวีนเท้าคางอย่างสงสัย “ชายน์ให้เหตุผลกับเราว่าเพราะความชำนาญทางภูมิศาสตร์ การกระจายกำลังเพื่อจับกุมตัวองค์หญิงในฟากทวีปของตนจะเป็นผลมากกว่าใช่หรือไม่พะยะค่ะ? แต่กระหม่อมเพียงสงสัยใคร่รู้ว่าศาสนจักรจะเอาอะไรไปสู้กับผู้ที่เอ่ยนามอันแท้จริงของสรรพสิ่งได้ และหากพระเจ้าเป็นหนึ่งในธรรมชาติทั้งปวง การต่อสู้ด้วยสิ่งเดียวกันคงสูญเสียไม่ใช่น้อย” “………” พระราชาของนครหลวงอันยิ่งใหญ่ได้แต่ขมวดคิ้วสงสัยตามคำถามของเสนาธิการหนุ่ม “แต่ถ้าปล่อยให้กลายเป็นศึกแก่งแย่งดินแดนระหว่างสองเมือง สิ่งที่ชายน์ต้องทำก็แค่นั่งฟังเสียงโล่กับดาบกระทบกัน แล้วผืนผ้าใบขาวก็จะถูกแต่งแต้มด้วยสีเลือดสดของคนอื่น ผู้ชมอย่างชายน์ก็เสพสุนทรีย์ไปโดยไม่ต้องสูญเสียค่าสินไหมใดๆเลย ข้าเกรงว่าชายน์กำลังกดดันให้เรารีบดำเนินการจับกุมตัวองค์หญิงของนครใหญ่อย่างรีเวเรียเพื่อสร้างอำนาจต่อรองในการรวบรวมตัวองค์หญิงเมืองอื่นและลดการสูญเสียของตนเอง หมากกระดานนี้ก็แสร้งให้รีเวเรียได้หน้าเป็นขุนพร้อมใจจะโดนจับกิน แต่เบี้ยนอกกระดานอย่างศาสนจักรกลับเป็นผู้อยู่เหนือสงครามอย่างแท้จริง” ไอแซ็คเว้นจังหวะ เขาลอบมองสีหน้าวิตกของคนอื่น และเผยอยิ้มโดยไม่มีใครเห็น “ยิ่งไปกว่านั้น... คนที่ต้องออกหน้ารับสถานการณ์ยุ่งยากหากเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้นบนทวีปนี้ก็คือเราด้วยใช่ไหมพะยะค่ะ?” “เจ้าหมายถึงเรื่องอะไร!?” ลอร์ดเฟอร์ชาสแทรกขึ้นก่อนกษัตริย์อัลวีนจะเป็นคนถามเสียอีก “ยกตัวอย่างเช่น คนที่จะต้องไปตามจับเจ้าหญิงแห่งกรานาด้าก็คือท่านไม่ใช่รึ? ท่านลอร์ด...” “ข้าไม่มีสิทธิ์นั้นตามข้อตกลงลับกับสภานักบวช... เว้นเสียแต่นาง.......” เมื่อถึงตรงนี้ลอร์ดเฟอร์ชาส รูน และกษัตริย์อัลวีนก็นิ่งงันไป ไม่มีคำพูด แต่เหงื่อไคลที่ไหลหลั่งคงเป็นคำตอบได้ดีกว่า “เว้นเสียแต่... นางจะเล็ดลอดเข้ามาอยู่ในทวีปนี้... ใช่หรือไม่ท่านลอร์ด?” ไอแซ็คโผงขึ้น จนรูนสะดุ้งกับความเป็นไปได้ “กระหม่อมจึงอยากให้ฝ่าบาทพินิจพิจารณาชะลอการจับกุมองค์หญิงแห่งนครริมุเน่พะยะค่ะ” “นั่นสินะ... ไอแซ็ค ความเห็นของเจ้าทำให้ข้าได้คิดเช่นทุกครั้ง จงทำตามนี้ลอร์ดเฟอร์ชาส อย่าผลีผลามลงมือใดๆทั้งสิ้น” พระพักตร์ของกษัตริย์อัลวีนมีแววโล่งขึ้น แต่ทันใดนั้น... “ช้าไปแล้วพะยะค่ะฝ่าบาท... กระหม่อมได้ส่งคนไปจับกุมตัวเฟร็อกซ์ ไมเอสทาส เจนิเรสเป็นที่เรียบร้อย และบัดนี้คนของกระหม่อมก็คงถึงริมุเน่แล้ว” ลอร์ดเฟอร์ชาสกล่าวไม่เต็มเสียง เขาไม่ได้กลัวโทษทัณฑ์ที่ทำเกินคำสั่ง เขากลัวการตัดสินใจของตนเองจะนำไปสู่ความผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่ “ท่านบ้าไปแล้ว!!!... ถ้าทุกอย่างขึ้นอยู่กับท่านเพียงคนเดียว แล้วจะมีขุนนางคนอื่นไปเพื่ออะไร.........” ยังไม่ทันที่ไอแซ็คจะกล่าวจบ ภาพจำลองก็หายวับในทันที และองค์หญิงเจนิเรสที่เคยยืนเบื้องหน้าก็ไม่อยู่แล้ว นักรบพิเศษแห่งรีเวเรียช่างรวดเร็วนัก เขาคว้าตัวนางซึ่งพึ่งหมดสติไปเพียงชั่วเสี้ยววินาทีที่ข้าและกุห์ฟานเผลอ ก่อนโดดสูงขึ้นไปบนกำแพงเมือง ข้าหันไปมองประจันหน้ากับเขา แต่ขณะกำลังร่ายเวทย์ก็รู้สึกเสียวแปลบที่ไขสันหลังจนต้องทรุดตัวลงฮวบอย่างน่าสมเพช ‘โธ่เว้ย!!!’ “เป็นเพราะการกางเขตอาคมห้วงเวลาใช่ไหม... อากิรอส!?” กุห์ฟานรุดมาประคองข้า ปล่อยโอกาสที่จะตามนักรบแห่งรีเวเรียไป “กุห์ฟาน ตามมันไป... ข้า...ไม่...เป็นไร” เมื่อสิ้นเสียง ข้าพลันล้มตัวลงนอนโอดอย่างเจ็บปวด “เอลเทอเฟียไม่เกี่ยวกับข้า ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อเอลเทอเฟียแต่แรกแล้ว... ข้าจะรักษาเจ้าก่อน” หลังจากร่างของนักรบแห่งรีเวเรียและองค์หญิงแห่งริมุเน่ลับไปเพียงไม่กี่อึดใจ เสียงดาบเหล็กกระทบกันแกร๊งกรั๊งก็ลั่นมาจากชายป่านอกเมือง โครม!!! เนื้อตัวของนักรบคนนั้นถูกเหวี่ยงมากระแทกกับพื้นอิฐข้างข้าที่นอนเอียงบิดอยู่ เขายังไม่ตายแต่ลมหายใจอ่อนนัก ข้าใช้สติวูบสุดท้ายหันไปมองบนกำแพงเมืองตามทิศที่นักรบแห่งรีเวเรียถูกโยนมา ชายหนุ่มร่างสันทัดกับเส้นผมสีน้ำตาลเข้มยาวเซอมาปรกหน้าเกือบบังแววตาสีแดงดุยืนสง่าในท่ายกดาบพาดไหล่ขวา อุ้งแขนซ้ายอุ้มองค์หญิงเจนิเรสประกบข้างลำตัวอย่างห่ามๆ “เจ้าสองตัวนี่ ถ้าขาดข้าไปก็คงทำอะไรไม่เป็นสินะ... นักปราชญ์และนักกวีอย่างพวกเอ็งนี่ต้องให้ข้าคอยช่วยเสมอเลย” เสียงทุ้มหนักของเขา ข้ายังจำได้ดี สหายข้า... ‘แซ็คซาส’ “เห้ยยย...... อา...” “.......กิ.......” “...รอส...” “.......” “...” +-+-+-+-+-+-+-+-+-+ (end) บทที่ 2 : Conspiracy of Reverie +-+-+-+-+-+-+-+-+-+ หลังหน้ากระดาษ : เป็นบทที่เขียนนานมากครับ ขอยอมรับโดยตรงว่าแอบดองไปหลายรอบมาก เพราะบางทีทิ้งไว้นานแล้วสำนวนไม่ต่อเนื่อง ต้องมารื้อสำนวนอีก รู้สึกว่ายังไม่ชินกับการบรรยายเชิงพรรณนาเท่าที่ควร แ่ต่ก็พยายามอย่างเต็มที่ครับ ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจและคำติชม หวังว่าจะติดตามกันไปเรื่อย ๆ นะครับ ในตอนท้ายของบทนี้... โดยใจจริงคนแต่งไม่ได้อยากให้จิ้นหรอก แต่เชื่อเหอะว่าเดี๋ยวมันจิ้นกันชัวร์ ฟันธง...ถ้าขั้นหนักคงจิ้นกันไปสามพี ฮาา แต่ก็ยอมรับครับว่าอาจจะเป็นเพราะความด้อยในการคิดพล็อตหรือสำนวนการแต่งของตัวเองด้วย เลยไม่รู้จะให้มันจบหรือนำเสนอสไตล์ตัวละครยังไงดี ก็เลยเอาเป็นแบบนี้ละกัน ไหน ๆ ก็เขียนมาแล้ว หลังจากนี้ก็คงมีคนรอต่อบทต่อ ๆ ไปอีกเพียบ ก็คงจะมันส์ขึ้นเรื่อย ๆ ครับ ส่วนของผมก็คงต้องรอดูของคนอื่นก่อนเหมือนกันแล้วค่อยแต่งต่อ แต่ก็จะพยายามแต่งให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ (งานเขียนเยอะเหลือเกิน หลังจากนี้ก็มีโปรเจคเขียนหนังสืออีก) สุดท้ายนี้ ผมก็รออ่านของคนอื่นอยู่ครับ ฮาาาาาา
บทอากิรอสทีไร อ่านยากทุกที เพราะสำนวนมันซับซ้อน แต่ผมกลับชอบเพราะแสดงให้เห็นถึงวาทะทางการเมืองได้ดียิ่ง เสียดายเจนิเรสถูกพาตัวกลับมาเร็วไปนิด เลยไม่ค่อยลุ้นเท่าไร (พวกนี้นี่พอๆกัน เจ้าอาเซก็ทีนึงแล้ว เอามาเรียกลับมาเร็วเกินไป เจ้ายังทำตามอีกรึอากิรอส! 555) อดีตของอากิรอสช่างซับซ้อนนัก แสดงตัวตนได้ดีมาก นี่สินะอดีตของจอมปราชญ์ --- สรุปก็คือน้องสาวไม่เอา แต่ยอมเลือกเดินทางไปกับกุห์ฟานสินะ อือม์.. (อ่ะ ผมไม่ได้จิ้นนะ บทมันพาไปเอง 55) ฉากดวลวาทะในท้องพระโรงเด็ดมาก =[]=b ไอแซ็คเท่!!! แค่ปรายตาซ้ายขวารูนกับเฟอชาสก็สะอึกทีเดียว แต่ถึงยังไงลอร์ดเฟอชาสก็ำดำเนินแผนการไปแล้วสินะ แล้วจะทำยังไงกับองค์หญิงที่เหลือดีล่ะเนี่ย! (ลุ้นอยู่ว่าองค์หญิงทางตะวันออกจะมีหนุ่มนักดาบทากะไปช่วยไหม หึหึ) อากิรอสแอบสำออยตอนท้าย ไม่อยากคิดอะไรวายๆเลย แต่ทำไมต้องล้มต่อหน้าแซ็คซาสด้วยฟระ = =" แต่งได้ดีเลยอากิ หมดทุกข์หมดโศกซะที ไปทำงานต่อได้แล้วครับ *ไล่* เพรี่ยงพร้ำ << คำผิด "เพลี่ยงพล้ำ" ครับ
ยาว แต่ก็คุ้มค่ากับการรอคอยแล้ว เขียนดีขึ้นเยอะนะแม้จะยังอ่านยากอยู่เหมือนเดิม ปริศนาทั้งหมดขมวดปมบิดเกลียวแล้ว... หวังว่าตอนหน้าคงจะได้อ่านอะไรมันส์ๆ ลึกๆเช่นเคย
โว๊ะตอนใหม่มาแล้ว รอนานจริงแต่ก็สมเป็นอากิ บทนี้ทำได้ดี และน่าสนใจมากๆในฐานะนักเขียนร่วม รู้สึกสนุกที่ได้เขียนจริงๆ :meelov.:
อ่านมาเยอะสำนวนระดับนี้เลยไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไหร่ >_< คิดว่าจบจังหวะนี้น่าจะกำลังดีแล้วล่ะครับ เพราะถ้าตัดบทขึ้นตอนหน้าก็จะขึ้นสถานการณ์ต่อไปได้เลยไม่ยืดเยื้อซักเท่าไหร่
บทที่ 3 : การรวมตัวอีกครั้ง ริมุเน่เมืองที่สมควรที่จะเงียบสงบตามปกติวิสัยที่เป็นมาช้านาน เวลานี้บริเวณหน้าปราสาทของเจ้าเมืองที่ฝังตัวเข้าไปในภูเขาเลด้ามันกลับวุ่นวายกับการนำพาคนเจ็บทั้งสองซึ่งไม่ได้สติเข้าไปรักษา เพราะคนทั้งคู่คนหนึ่งคือองค์หญิงแห่งเมืองนี้ และอีกคนก็คือผู้ที่เปรียบดั่งบุตรชายอีกคนของเจ้าเมือง ห่างออกมาจากกลุ่มคนที่วุ่นวายอยู่นั้นมีชายหนุ่ม 2 คนกำลังยืนพิงกำแพงของบ้านบริเวณนั้นมองภาพความวุ่นวายตรงหน้า "นี่กุห์ฟาน แกพอจะบอกข้าได้มั๊ยว่าสิ่งที่กระดาษแผ่นนี้แจ้งมายังกรูเนี่ยมันเป็นเรื่องโกหก" นักรบหนุ่มแซคซาสยื่นกระดาษแผ่นเดิมใบเดียวกับที่เคยให้ทากะอ่านไปยังกวีหนุ่มน้อยตรงหน้า แต่กุห์ฟานก็ไม่ได้รับกระดาษแผ่นนั้นมาอ่าน แต่ตอบกลับมาเรียบๆ "พี่ชายก็รู้อยู่แก่ใจมิใช่หรือว่าสิ่งที่ท่านถืออยู่มันจริงเท็จแค่ไหน ใยท่านต้องมาหาคำตอบจากข้าอีกเล่า?" ฝ่ามือหนักๆของแซคซาสที่หมายจะฟาดให้เต็มหลังของนักกวีจอมยียวนจั่วลมดังวืด เพราะร่างของกุห์ฟานไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว เขารู้เท่าทันกัน "ตบแมลงวัน ข้าน้อยว่ายังง่ายกว่านะขอรับสหาย" เสียงของใครบางคนที่คุ้นเคยลอยมาจากอีกทางทำเอาทั้งคู่หันไปยังที่มาของเสียงก็พบสหายคนจรจากแดนใต้เดินมากับหญิงสาวคนหนึ่งในชุดนักบวชสีดำ "วะ!! ไม่เจอกันเดี๋ยวเดียวไปหิ้วสาวที่ไหนมาะวะเนี่ยไอ้เอ๋อ?" แซคซาสเอ่ยพลางผิวปากแซว เมื่อได้ยินคำแซวจากนักรบหนุ่มตรงหน้ามาเรียก็ยิ้มละไมให้กับชายหนุ่ม 2 คนที่ยืนอยู่ "ชั้นว่านายเก็บปากไว้กินข้าวจะดีว่านะคะท่านนักรบ" คำพูดที่สวนทางกับใบหน้าที่ยิ้มแย้มของนักบวชสาวตรงหน้าทำเอาแซคซาสสะอึก แต่ตรงข้ามกับกุห์ฟานที่ปล่อยก๊ากออกมาอย่างสุดกลั้นไม่เหลือมาดกวีเลยแม้แต่น้อย "ไอ้ชิบหายกุห์ฟาน" คราวนี้ไม่ใช่มือแต่เป็นเท้าที่ยันโครมใส่กวีหนุ่มน้อยที่กำลังหัวเราะงอหาย แต่มันก็พลาดเป้าหมายเช่นเดิมเพราะรู้เท่าทันกันอยู่ดี "อย่าหัวเสียไปเลยสหายแซคซาส ไม่ว่าเมื่อไรเจ้าหมอนี่ก็คือกุห์ฟาน เช่นเดียวกับพระอาทิตย์ที่ขึ้นทางตะวันออกในทุกเช้ามิใช่รึ?" คนจรจากแดนใต้เอ่ยออกมายิ้มๆ แซคซาสส่ายหัวดิก "เจ้าหมอนี่อาจจะเป็นนักกวีที่ดื่มด่ำกับสุนทรีย์และโลกจนคนอื่นยากจะเข้าถึงสำหรับคนทั้งโลก แต่สำหรับข้ามันก็เจ้าเด็กกวนโอ๊ยยียวนกวนประสาทเป็นที่หนึ่งแหละวะ ไม่ใช่กะวงกวีอะไรอย่างที่คนอื่นหลงเชื่อหรอก" "ความจริงของพี่ชายอาจจะไม่ใช่ความจริงของคนทั้งโลกและข้าด้วยกระมัง" กุห์ฟานตอบกลับมาปนรอยยิ้มน้อยๆเจตนายั่วเย้าแซคซาสเต็มที่ คำสบถสั้นๆแต่ความหมายชัดเจนหลุดออกมาจากปากของนักรบหนุ่ม แต่มันก็สร้างความครื้นเครงให้แก่คู่กรณีเป็นอย่างมาก "เพื่อนนายแต่ละคนนี่ท่าทางจะสติไม่เต็มเหมือนนายเลยนะทากะ มิน่าเล่าเขาถึงว่าคนบ้ามักจะดึงดูดคนบ้าด้วยกัน" น้ำเสียงกังวานใสของหญิงสาวในชุดนักบวชลอยมาขัดจังหวะของการต่อปากต่อคำระหว่างนักรบและนักกวี "ชั้นชื่อมาเรีย เป็นนักบวชฝึกหัดค่ะ พวกคุณแนะนำตัวตามมารยาทได้รึยังคะ ชั้นมีธุระจะต้องทำอีกเยอะนะ" คำพูดจิกกัดที่มาพร้อมกับรอยยิ้มละไมจู่โจมมายังเหล่าชายหนุ่มอีกครั้ง แซคซาสเกาหัวแกรกๆพลางแนะนำตัวแบบแกนๆ "ข้าชื่อแซคซาสเป็นนักรบรับจ้าง ส่วนเจ้านี่กุห์ฟานเป็นกวีใส้แห้ง" นักบวชฝึกหัดหันกลับมาจ้องทากะที่ยืนเหม่ออยู่ข้างๆ "เอาล่ะนายเอ๋อ ชั้นมาเจอเพื่อนนายแล้ว ทีนี้จะคุยธุระของชั้นได้รึยัง?" ท้ายประโยคของมาเรียเรียกความสนใจจากทั้งแซคซาสและกุห์ฟานให้มาจ้องยังทากะเป็นตาเดียว "ก็ไม่มีอะไรมากหรอกขอรับ แม่หญิงเค้าต้องการตามหาอดีตหน่วยรบพิเศษที่เก้า หน่วยลวงตาน่ะขอรับ" ทากะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเนือยๆ "แล้วคุณนักบวชฝึกหัดมาเรียจะตามหาไอ้หน่วยที่มันไม่รู้ว่ามีอยู่จริงไปทำไมล่ะครับ เพราะชื่อของหน่วยนี้มันก็บอกอยู่แล้วว่ามันเป็นหน่วยที่ไม่มีอยู่จริง หน่วย`ลวงตา´ ตามชื่อของมันนั่นแหละครับ" นักกวีหนุ่มน้อยตอบด้วยน้ำเสียงเรื่อยๆ "นี่เจ๊ถามจริงๆเถอะ เจ๊เชื่อเรื่องเล่าหลอกเด็กพรรค์นั้นด้วยเรอะ เรื่องหน่วยที่เก้าเนี่ยนอกจากเด็กๆไปเล่าให้ใครฟังก็มีแต่คนหัวเราะเยาะใส่ว่ามันเหลวไหลนา" แซคซาสเสริมมาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม "ธุระของชั้นไม่ใช่จะมาหาคำตอบว่ามันมีอยู่จริงหรือไม่ แต่ชั้นมาตามหาหน่วยนั้นต่างหาก ว่ายังไงนายทากะ นายกุห์ฟาน และนายปากไม่ดีคนนั้นด้วยนะจ๊ะ" มาเรียเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มละไมเช่นเดิมแต่แววตาของเธอกลับไม่ได้ยิ้มตามใบหน้าของเธอแม้แต่น้อย "ถ้าพวกเรารับปากที่จะทำงานนี้ เราจะได้อะไรเป็นค่าตอบแทนล่ะเจ๊ ทำงานมันก็ต้องมีค่าตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้อล่ะนะ" นักรบรับจ้างหนุ่มเอ่ยถามอย่างอารมณ์ดีโดยไม่ได้ใส่ใจกับแววตาของนักบวชฝึกหัดตรงหน้าแม้แต่น้อย "ไม่ขาดทุนหรอก แต่ถ้าเรียกร้องเกินค่าของงานมันก็ไม่ไหว เอาล่ะ... พวกนายจะเอาอะไรตอบแทน ถ้างานสำเร็จล่ะจ๊ะหนุ่มๆ?" นักบวชฝึกหัดยังอยู่ในใบหน้ายิ้มละไมเช่นเดิม ทากะที่เหม่อมองท้องฟ้าอยู่ จู่ๆก็เอ่ยคำตอบที่ทำเอาหน้ากากยิ้มละไมของมาเรียถึงกับสะดุด "หน่วยที่เก้าที่แม่หญิงตามหาก็คือพวกเรานี่แหละขอรับ ถ้าจะให้ถูกจริงๆก็ต้องรวมอากิรอสที่ตอนนี้น่าจะนอนอยู่ในห้องพักคนป่วยในนั้นด้วยขอรับ" ท้ายประโยคคนจรจากแดนใต้ชิ้นิ้วไปยังปราสาทของเจ้าเมืองริมุเน่ "ส่วนค่าตอบแทนข้าน้อยขอเป็นสิ่งที่แม่หญิงมาเรียรู้เกี่ยวกับสภานักบวชทั้งหมด แล้วก็ความจริงที่ว่าแม่หญิงนั้นเป็นใครกันแน่" นักบวชฝึกหัดนิ่งไปชั่วอึดใจแล้วก็หัวเราะออกมาอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง เสียงดังจนชาวบ้านที่สัญจรผ่านไปมาบริเวณนั้นต้องหยุดมอง จนเวลาผ่านไปสักระยะ มาเรียจึงหยุดหัวเราะพร้อมเช็ดน้ำตาที่ซึมอยู่ในดวงตาของเธอซึ่งมันเกิดจากการหัวเราะชนิดลืมตัว "พวกนายนี่เหลือเกินจริงๆ ทำเอาชั้นหัวเราะจนปวดท้องเลย เอาล่ะพวกนายนี่นะ หน่วยรบพิเศษที่เก้า หน่วยลวงตา? นี่พวกนายขี้เกียจทำงานให้ชั้นขนาดนั้นเลยหรือ" นักบวชฝึกหัดถามไปพยายามหยุดหัวเราะไป "พวกเราไม่ได้ขี้เกียจหรอกนะเจ๊ แต่พอดีว่าไอ้สิ่งที่เจ๊กำลังฮาแตกกับมันอยู่เนี่ยมันเป็นเรื่องจริงน่ะสิ ถ้าเจ๊เชื่อว่าไอ้หน่วยที่เก้ามันมีอยู่จริงอ่ะนะ" แซคซาสตอบกลับมายิ้มๆ "ใจคอพวกนายจะให้ชั้นเชื่อง่ายๆจากลมปากของพวกคนที่ดูยังไงก็สติไม่ค่อยดีเท่าไหร่อย่างพวกนายเนี่ยนะ? ไม่มีอะไรเป็นหลักฐานให้ชั้นมั่นใจหน่อยรึ" นักบวชฝึกหัดเอ่ยปนหอบเพราะหัวเราะติดต่อกันนานพอควร "โว๊ะ!! เจ๊นี่เรื่องมากจริง ไอ้หลักฐานมันจะหาจากไหนมายืนยันล่ะเจ๊ ในเมื่อขนาดคนที่เชื่อว่าไอ้ชื่อ`หน่วยรบพิเศษที่เก้า´ เนี่ยมันไม่ใช่เรื่องหลอกเด็ก มันยังแทบไม่มีเลย" นักรบรับจ้างหนุ่มขมวดคิ้ว เกาหัวแกรกๆ "ความจริงของเราอาจจะไม่ใช่ความจริงของคนอื่น โลกใบนี้มันเป็นเช่นนั้นเสมอ" กุห์ฟานพึมพำออกมาไม่เบาไม่ดัง เหมือนจะพูดคุยกับตัวเองเสียมากกว่า "พวกข้าน้อยไม่มีอะไรที่จะยืนยัน ไม่มีลายลักษณ์อักษรที่บันทึกไว้ ไม่มีเหรียญตราหรือเกียรติยศใดๆที่จะเป็นหลักประกัน มิตรสหายที่พอจะยืนยันได้ต่างก็เสียชีวิตไปในสงครามเมื่อ 7 ปีที่แล้วหมดแล้ว แล้วแต่แม่หญิงจะพิจารณาล่ะขอรับ" ทากะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเนือยๆอันเป็นปกติของเขา "เอาล่ะ ไอ้ชั้นสาวน้อยใสซื่อบอบบางเชื่อคนง่ายจะเชื่อพวกนายละกัน ส่วนค่าตอบแทนเอาไว้ให้ชั้นเจอเพื่อนนายอีกคนก่อนละกัน" มาเรียกลับมายิ้มละไมเช่นเดิมพลางเดินตรงไปยังปราสาทเจ้าเมืองโดยไม่สนใจชายหนุ่มอีก 3 คนที่มองตามด้วยสีหน้าสงสัย "แล้วพวกนายจะยืนทำหน้าเป็นหมางงกันอีกนานมั๊ย ชั้นมีเวลาไม่มากหรอกนะ" มาเรียเดินนำหน้าทั้งทากะ แซคซาส และกุห์ฟานเข้าไปในปราสาทเจ้าเมืองริมุเน่ที่ฝังตัวอยู่ในภูเขาเลด้าหน้าตาเฉย โดยทหารยามไม่ได้ห้ามหรือขัดขวางอะไร ตรงข้ามพวกเขาเหล่านั้นต่างทำความเคารพแล้วกุลีกุจอเปิดทางให้มาเรียซะด้วยซ้ำ สำหรับคนอื่นจะคิดอย่างไรไม่รู้ แต่คนจรจากแดนใต้อดไม่ได้ที่จะยิ้มบางๆบนริมฝีปากเพราะสิ่งที่เขาคาดเดาเอาไว้มันชัดเจนจนเกือบจะเป็นคำตอบที่เขาสงสัยมานานตั้งแต่เจอกับนักบวชฝึกหัดคนนี้ว่าเธอนั้นเป็นใครกันแน่ ไม่นานนักทั้งสี่คนก็เข้ามาอยู่ในห้องที่ร่างไร้สติของจอมเวทย์ซึ่งเปรียบดั่งบุตรชายของเจ้าเมืองแห่งนี้นอนพักรักษาตัวอยู่ จึงไม่น่าแปลกใจที่เขาจะได้รับการดูแลเป็นอย่างดี "โว๊ะ!! ห้องหรูหราไฮโซ โซฟาก็นิ่มไฮโซดีแท้" แซคซาสนั่งแผ่กางแขนอย่างสบายอารมณ์โดยไม่สนใจร่างของสหายจอมเวทย์ที่นอนไร้สติอยู่บนเตียงแม้แต่น้อย เช่นเดียวกับนักกวีหนุ่มน้อยที่ตรงไปยังชั้นหนังสือที่ตั้งอยู่ตรงมุมห้องแล้วค่อยๆลากนิ้วผ่านสันหนังสือเพื่อหาเล่มที่เขาถูกใจ ส่วนคนจรจากแดนใต้นั้น เวลานี้ไปยืนพิงอยู่ริมหน้าต่างเหม่อออกไปยังท้องฟ้าด้านนอก "ดูพวกนายจะไม่สนใจใยดีกับอาการของเพื่อนนายซักเท่าไรเลยนะ" มาเรียเลิกคิ้วน้อยๆถามหลังจากเห็นอาการของแต่ละคนที่เดินเข้ามาในห้องพักแห่งนี้ "จะไปห่วงมันทำไมล่ะเจ๊ ออกจะนอนสบายหรูหราขนาดนี้ ไอ้ผลกระทบจากเวทย์กาลเวลาแบบนี้พวกข้ามันชินแล้ว เคยต้องลากไอ้บ้านี่หนีฝูงปีศาจเกือบตายหมู่มาแล้ว แค่นี้มันสิวๆ" นักรบรับจ้างตอบมาอย่างอารมณ์ดี "เวทย์กาลเวลา?" มาเรียทวนคำเหมือนจะเป็นคำถาม "เฮ้ยกุห์ฟาน... เมิงเล่าเด๊ะ เรื่องราวเต็มๆเอาตั้งแต่เมิงสองตัวลากสังขารมาจาก `รีเวเรีย´ เลยนะ" แซคซาสถามไปยังนักกวีที่กำลังจะหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกจากชั้นตรงหน้า แต่ก็เปลี่ยนใจดันมันกลับเข้าไปที่เดิมแล้วหยิบเล่มข้างๆออกมาแทน "พี่ชายนี่ชอบโบ้ยงานจังเลยนะ ท่านก็รู้เรื่องราวทั้งหมดแล้วไม่ใช่หรือ จะมาให้ผมเล่าอีกรอบทำไมเล่า?" กุห์ฟานบ่นงึมงำพลางเปิดหนังสือในมือกวาดสายตาอ่าน "อย่าคิดว่าข้าจะหูผีจมูกมด รู้มันทุกอย่างสิเว้ย ข้าต้องการรายละเอียด จะเล่าดีๆ หรือจะให้ข้าง้างปากของเจ้า หืม? กุห์ฟาน รีส ริยาส" เป็นครั้งแรกที่ชื่อเต็มๆของนักกวีหนุ่มน้อยหลุดออกมาจากปาก`แซคซาส´ นั่นหมายความว่าวินาทีนี้สิ่งที่เขาพูดมันไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแน่นอน กุห์ฟานยักไหล่เล็กน้อยแล้วปิดหนังสือที่อ่านอยู่ลง "ข้าเล่าเองมันคงไม่ละเอียดนัก เอาเป็นว่าให้เจ้าตัวเล่าดีกว่าไหม?" จบประโยคหนังสือในมือของเขาลอยพุ่งตรงไปยังร่างที่นอนอยู่บนเตียงของอากิรอส แต่จู่ๆหนังสือเล่มนั้นก็หยุดนิ่งลอยค้างอยู่กลางอากาศราวกับมีมือที่มองไม่เห็นมารับไว้ ร่างที่นอนอยู่ก็ค่อยๆลืมตาพลางยืดตัวบิดขี้เกียจแล้วก็แบมือรับหนังสือเล่มนั้นที่ลอยลงมายังมือของเขาอย่างนิ่มนวล "กุห์ฟาน ข้าบอกเจ้ากี่ครั้งแล้วว่าหนังสือไม่ใช่ของที่เอามาขว้างเล่น คนที่ไม่ค่อยรู้ค่าของหนังสือไม่น่าจะใช่กวีอย่างเจ้า แต่ควรเป็นนักรบที่ใช้เป็นแต่กำลังอย่างท่านแซคซาสมิใช่รือ?" "ตื่นขึ้นมาก็เจื้อยแจ้วเลยนะเมิง กวนส้นเท้าจริงๆสหายของตรูแต่ละคน" นักรบรับจ้างหนุ่มเอามือตบหน้าผาก ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แล้วแหงนหน้าขึ้นมองเพดานอย่างไร้จุดหมาย จู่ๆทั้งห้องก็เย็นเจี๊ยบราวกับพายุหิมะสาดเข้าใส่กะทันหัน รังสีอำมหิตจากหญิงสาวคนเดียวภายในห้องกระจายไปทั่วห้องทั้งๆที่ใบหน้าเธอยังยิ้มละไม แล้วพูดเน้นทีละคำออกมา "จะ-เล่น-กัน-อีก-นาน-มั๊ย-คะ?" แต่ชายหนุ่มทั้งสี่คนในห้องกลับไม่รู้ร้อนรู้หนาวแต่อย่างใด กุห์ฟานเดินมานั่งข้างๆแซคซาสที่ยังคงเอนหลังพิงโซฟาเงยหน้ามองเพดาน ส่วนทากะก็ยังคงเหม่อมองไปนอกหน้าต่างอยู่เหมือนเดิม "ข้าน้อยว่า ถ้าสหายเอ่ยเรื่องที่จะเล่าช้าไปอีกซักสองถึงสามนาที ห้องนี้คงจะเละเทะแน่เลยใช่ใหมขอรับแม่หญิงมาเรีย?" คนจรจากแดนใต้หันหลังกลับมามองภายในห้องแล้วเอ่ยถามหญิงสาวที่กำลังยิ้มอยู่อีกฝากของห้องด้วยน้ำเสียงเนือยๆ "หึ หึ หึ... ชั้นให้โอกาสพวกนาย ถ้าไม่เล่าออกมาเดี๋ยวนี้พวกนายก็อย่าหวังจะอยู่กันอย่างเป็นสุขเลย" นักบวชฝึกหัดสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบ แซคซาสละสายตาจากเพดานมาจ้องหน้าสาวน้อยผมฟ้าในแว่นกรอบแดงตรงหน้าแล้วยิ้มแบบกวนๆให้ "ใจเย็นๆก็ได้ เล่าช้าไปซักห้านาทีโลกไม่แตกหรอกน่าเจ๊ สหายเก่าไม่เจอกันตั้งนานขอพูดคุยกันให้สนุกสนานก่อนไม่ได้หรือขอรับแม่หญิงมาเรีย" ท้ายประโยคนักรบหนุ่มจงใจใช้ประโยคแบบที่ทากะชอบใช้เพื่อยั่วเย้าหญิงสาวตรงหน้า มีดสั้นแหวกอากาศถากใบหน้าของนักรบรับจ้างหนุ่มแล้วไปปักอยู่ที่กำแพงด้านหลังแน่น เส้นผมสีน้ำตาลเข้ม 2-3 เส้นร่วงลงบนโซฟาที่เขานั่งอยู่ "ว๊า... จริงๆเล็งให้ปักแสกหน้าเลยนะคะเนี่ย มือข้างนี้มันไม่ค่อยถนัดเลย คราวหน้ารับรองไม่พลาดแน่ค่ะ นี่แน่ะ เจ้ามือซ้ายไม่ดี" มาเรียทำท่าขอโทษขอโพยแซคซาสพลางตีมือซ้ายตัวเองแล้วทำท่าดุมันเหมือนดุเด็กๆ แทนที่จะเป็นการตกใจกลัว หรือโมโหที่โดนหยาม แต่สิ่งที่ปรากฏขึ้นในเวลาถัดมาก็คือ เสียงหัวเราะชอบอกชอบใจจากทั้งอากิรอส กุห์ฟาน และแซคซาส ดังลั่นขึ้น ส่วนทากะก็ได้แต่ยืนทำหน้างงๆอันเป็นปกติวิสัยของเขา หลังจากเสียงหัวเราะของทั้ง 3 คนจางลง อากิรอสก็เริ่มเล่าเรื่องที่เขาได้รับจดหมายเชิญจาก`ลอร์ดเฟอร์ชาส´ และการไปเยือนที่`รีเวเรีย´ จนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหน้าประตูเมือง และสารผ่านกระจกที่ถูกส่งให้องค์หญิงเจนิเรส จากสหายของพวกเขาอีกคน `รอท´ ส่วนทากะเองก็เล่าถึงเหตุการณ์ที่เขาได้เจอกับมาเรียและการโดนตามล่าของเธอ รวมไปถึงการเผชิญหน้ากับกลุ่มคนของ`ชายน์´ที่แฝงตัวมาอีกด้านของเมืองขณะเกิดเหตุการณ์วุ่นวาย กระดาษกับข้อความที่แจ้งถึงข่าวที่ไม่ค่อยดีนักซึ่งอยู่กับแซคซาสถูกส่งให้มาเรียดูเช่นเดียวกับที่เขาให้สหายของเขาดู "ตรูก็ได้จดหมายเชิญจากหลอดเฟอเฟออะไรนั่นด้วย แต่มันก็ไม่น่าสนใจเท่ากับจดหมายที่มีข้อความสั้นๆจาก`รอท´ฉบับนี้ที่ทำเอาตรูอยู่นิ่งๆไม่ไหวเหมือนกัน" นักรบรับจ้างเอ่ยออกมา มาเรียเวลานี้ขมวดคิ้วจากสิ่งที่เธอรู้และสิ่งที่ทั้ง 4 คนเล่ามา คำตอบในสิ่งที่เธอสงสัยมันเกือบจะได้รับคำตอบทั้งหมดแล้ว เหลือเพียงแต่รายละเอียดเล็กๆน้อยๆเท่านั้น แล้วสีหน้ายิ้มละไมก็กลับมาอยู่บนใบหน้าของนักบวชฝึกหัดสาวอีกครั้ง "เอาล่ะถ้าพวกคุณคือหน่วยรบพิเศษที่เก้า จริงๆอย่างที่บอกชั้น คงจะต้องบอกสิ่งที่ชั้นรู้กับตัวตนที่แท้จริงของชั้นแล้วสินะ จริงๆแล้วชั้นคือเจ้าหญิงแห่งกรานาด้า`ทาเลวิย่า ซินนาส´ หนึ่งในสามองค์หญิงแห่งเอลเทอเฟียที่กำลังโดนล่าอยู่ พวกนายจะเชื่อหรือเปล่าล่ะ" กุห์ฟานตอบด้วยน้ำเสียงเรื่อยๆ "ถ้าคุณมาเรียเชื่อว่าพวกเราคือหน่วยรบพิเศษที่เก้า `หน่วยลวงตา´ ทำไมพวกเราจะไม่เชื่อล่ะว่าคุณคือองค์หญิงแห่งกรานาด้า ตรงกันข้ามถ้าคุณคิดว่าพวกเราเป็นแค่ไอ้พวกคนบ้าจอมหลอกลวง คุณเองก็คงเป็นแค่นักบวชฝึกหัดธรรมดาเท่านั้น" "เพราะความจริงของเราอาจไม่ใช่ความจริงของคนอื่นสินะ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเชื่อแบบไหน โลกใบนี้มันเป็นอย่างนี้อยู่เสมอสินะ" จอมเวทย์หนุ่มที่นั่งอยู่บนเตียงเอ่ยเสริมขึ้นมา "เคยมีคนบอกพวกนายไหมว่า จริงๆแล้วพวกนายมันก็กลุ่มคนสติไม่สมประกอบมารวมตัวกัน" มาเรียอดที่จะจิกกัดด้วยใบหน้ายิ้มละไมไม่ได้ "บ่อยไปขอรับแม่หญิง ก็พวกเราเป็นเช่นนั้นจริงๆ" คราวนี้เป็นทากะที่เป็นคนตอบคำถามจิกกัดด้วยสีหน้าและน้ำเสียงซื่อๆ ก่อนที่ทุกคนจะได้คุยอะไรกันต่อก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมกับร่างขององค์หญิงของเมืองแห่งนี้เดินเข้ามาในห้องพร้อมๆกับทหารองค์รักษ์ "หึ!! จอมเวทย์ผู้เก่งกาจชนิดบิดเวลาให้ย้อนกลับได้กลับต้องเกือบตายเพราะมีดเล่มเล็กๆในมือสาวน้อยตัวเล็กๆเนี่ยนะ นายนี่มันไม่ได้เรื่องเลยนะ อากิรอส" มาเรียกอดอกหันกลับไปยังทางเจนิเรส "ส่วนเธอหน้าตาก็ไม่โง่นะ ร่ำเรียนมาก็เยอะ ทำไมถึงทำอะไรโง่ๆได้ขนาดนี้นะ?" ประโยคเย้ยหยันที่ถูกส่งไปยังเจ้านายของราชองค์รักษ์ทั้ง 2 ทำให้ทั้งคู่มองมาเรียด้วยสายตาดุดันพร้อมๆกับขยับตัว แต่ยังไม่ทันที่จะได้ทำอะไรมากกว่านั้น มีดสั้น 2 เล่มโดยไม่รู้ว่าขึ้นมาอยู่ในมือของนักบวชฝึกหัดสาวเมื่อไหร่ก็ถูกขว้างเฉียดใบหน้าของทั้งคู่ "ขอโทษนะคะ ดิฉันไม่ได้มาแถวนี้เพื่อมีเรื่องกับคุณทั้งคู่ ช่วยออกไปข้างนอกก่อนได้มั๊ยคะ" น้ำเสียงเฉียบขาดที่ดังมาจากมาเรียทำให้ราชองค์รักษ์ถึงกับชะงัก แต่ก็ยังไม่ยอมถอยง่ายๆ จนเจนิเรสอันเป็นเจ้านายโดยตรงของทั้งคู่ส่งสัญญาณให้ออกไป ราชองค์รักษ์ทั้งคู่เลยถอยออกไปแต่โดยดี ทันทีที่ประตูห้องปิดลงมาเรียเดินผ่านร่างขององค์หญิงแห่งเมืองริมุเน่ไปเก็บมีดที่ปักอยู่กับกำแพงด้านหลังแล้วเดินกลับมายืนกอดอกเอียงคอจ้องหน้าองค์หญิงเจนิเรสอยู่พักใหญ่ ก่อนพูดออกมาลอยๆว่า "ชั้นจะเล่าเรื่องอะไรตลกๆให้ฟัง มีผู้ชายโง่ๆคนหนึ่งยอมเอาตัวเองเข้าไปอยู่กลางดงศัตรู ทั้งๆที่รู้ว่าโอกาสรอดกลับมาสบายๆนั้นแทบไม่มี เพียงเพื่อต้องการรู้ข่าวเกี่ยวกับผู้หญิงคนหนึ่งที่เป็นดั่งน้องสาวเขา และทันทีที่รู้ถึงข่าวร้ายและอันตรายของเธอคนนั้น เขาเดินทางจาก`รีเวเรีย´ที่อยู่กลางทวีปมายังเมืองสุดขอบของแผนที่อย่าง`ริมุเน่´ ภายในสามวัน ทั้งๆที่รถม้ายังใช้เวลาห้าถึงเจ็ดวัน" "นี่คือคำถาม `เฟร็อกซ์ ไมเอสทาส เจนิเรส´ สิ่งที่เขาได้รับการตอบแทนจากความเป็นห่วงและเสี่ยงตายครั้งนี้ของเขาคืออะไร คือการเกือบโดนคนที่เขาพยายามช่วยและปกป้องฆ่าตายใช่หรือไม่ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังคงไม่ได้ถือโทษโกรธนาง ตรงกันข้ามเขายังช่วยเมืองนี้เอาไว้จากความเขลาและไร้สติของคนเพียงคนเดียว จนต้องมานอนอยู่เช่นนี้" เจนิเรสยืนทำหน้าเศร้าซึ่งเป็นภาพที่เห็นได้ยากเหลือเกินสำหรับองค์หญิงแห่งริมุเน่คนนี้ มาเรียเดินเข้าไปเอาด้ามมีดที่เธอเพิ่งดึงออกมาจากกำแพงที่มันปักอยู่มาเคาะหัวขององค์หญิงของเมืองนี้เบาๆ "พี่บอกเธอกี่ครั้งแล้วเจนี่ ว่าอย่าให้ทิฐิและความโกรธเข้าครอบงำเราจนทำอะไรโดยไม่ยั้งคิด พี่ถามง่ายๆ ถ้าเจ้าบ้าที่นอนอยู่บนเตียงนั่นไม่ฝืนใช้เวทแห่งกาลเวลาย้อนเวลากลับ เธอจะไปตอบกับครอบครัวของทหารที่ตายไปอย่างไรว่าพวกเขานั้นสละชีวิตตามคำสั่งของเธอเพื่ออะไร ตอบพี่สิเจนี่?" ใบหน้าของเจนิเรสเศร้าหมองลงไปอีกที่โดนต่อว่าแทงใจดำแบบตรงๆ "หนูขอโทษเพคะพี่หญิงซินนาส" เสียงของเจนิเรสเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา องค์หญิงแห่งทะเลทรายในคราบนักบวชฝึกหัดกลับมาอยู่ใบหน้ายิ้มละไมอีกครั้ง แล้วเดินมาอยู่ห่างจากองค์หญิงเจนิเรสราวๆ 5 ก้าว แล้วถอนสายบัวทำความเคารพสาวน้อยตรงหน้าอย่างอ่อนช้อย "ถวายบังคมเพคะ องค์หญิงเฟร็อกซ์ ไมเอสทาส เจนิเรส เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่มีโอกาสได้พบองค์หญิงอีกครั้ง" ถึงแม้จะดูเผินๆว่ามันคือการทำความเคารพอย่างนอบน้อม แต่ทำไมทุกคนที่อยู่ในห้องจะไม่รู้ว่ามันเป็นเพียงการเย้าแหย่สาวน้อยจอมเวทย์ของ`ทาเลวิย่า ซินนาส´เท่านั้น เจนิเรสทำหน้ามุ่ยเพราะโดนคนที่เปรียบดั่งพี่สาวของเธอเย้าแหย่ราวกับเธอเป็นเด็กๆ "โถ่ พี่หญิงซินนาสเลิกแกล้งน้องแบบนี้เถอะเพคะ" ซินนาสเปลี่ยนจากใบหน้ายิ้มละไมเป็นแสยะยิ้มแล้วเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง "ก็มันสนุกดีนี่นา เจนี่ช่วยไปทูลเสด็จลุงหน่อยได้หรือเปล่าว่าพี่ขอพบท่านเป็นการส่วนตัว ซึ่งมันก็เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นนี่แหละ เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ก็ดีนะ" "เพคะพี่หญิง" แล้วองค์หญิงแห่งเมืองนี้ก็เดินหันหลังออกไปจากห้องง่ายๆ เมื่อประตูห้องปิดลงก็มีเสียงของใครบางคนดังขึ้นมา "โอ้!! คุณมาเรียคือองค์หญิงทาเลวิย่า ซินนาส หรือครับเนี่ย" เมื่อซินนาสหันกลับมาก็พบกุห์ฟานทำสีหน้าและท่าทางตกใจอย่างมากอยู่บนโซฟา "มันช้าไปหน่อยมั๊ยคะคุณกุห์ฟาน?" นักบวชฝึกหัดสาวถามกลับไปอย่างยิ้มๆ "แล้วพวกเราต้องเรียกเจ๊ว่าอะไรดีล่ะ มาเรียเหมือนเดิม หรือจะให้เรียกองค์หญิงซินนาส?" แซคซาสถามมาโดยไม่ใส่ใจกับคำตอบสักเท่าไร "อยากเรียกอะไรก็เรียกไปเถอะค่ะพ่อคุณทั้งหลาย เพราะมาเรียจริงๆมันก็คือชื่อรองของชั้นน่ะแหละ เอาล่ะ... มาเข้าเรื่องเลยดีกว่า อีกสักแป๊ปเราก็น่าจะได้เข้าเฝ้าเสด็จลุงเฟร็อกซ์ ซึ่งชั้นจะเล่าเรื่องของพวกนายทั้งหมดให้ท่านฟังด้วย มีอะไรขัดข้องใหม?" ทุกคนต่างไม่ตอบแต่ส่ายหน้าช้าๆแทน "ส่วนสิ่งที่ชั้นรู้ แต่พวกนายไม่รู้มันก็ไม่มีอะไรมาก แต่มันเป็นชิ้นส่วนสุดท้ายที่จะเชื่อมเรื่องราวทั้งหมดว่ารีเวเรียและชายน์กำลังจะทำอะไรกับแผ่นดินเอลเทอเฟียแห่งนี้กันแน่" ใบหน้ายิ้มละไมของซินนาสกลายเป็นจริงจังขึ้นมาทันที "มันก็เป็นเรื่องตลกร้ายจากเรื่องเล่าโบราณคร่ำครึที่พวกนายน่าจะเคยได้ยินเรื่องราวของ`ราชินีตกสวรรค์´ ผู้มีพลังมหาศาลชนิดที่จะลบเมืองทั้งเมืองให้หายไปในพริบตา และเป็นผู้ปกครองที่แท้จริงของเหล่าปีศาจที่เจ็ดปีที่แล้วเอลเทอเฟียเกือบต้องล่มสลายเพราะฝีมือพวกมัน" ใบหน้าของทั้งสี่ตกอยู่ในสีหน้าครุ่นคิดทันที "`ราชินีตกสวรรค์´ ผู้นั้นโดนหน่วยรบพิเศษทำลายไปแล้วไม่ใช่หรือ พวกเราก็อยู่ที่นั่นตอนนั้นด้วย ถึงจะไม่ได้ร่วมต่อสู้เต็มตัวเพราะต้องคอยต้านไอ้ฝูงปีศาจที่ตลบหลังเข้ามาก็เถอะ" แซคซาสเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง ภาพเหตุการณ์ตอนนั้นมันยังคงแจ่มชัดอยู่ในใจของคนทั้ง 4 เพราะตอนนั้นพวกเขาโดนล้อมกรอบทุกทาง สิ่งที่พอทำได้คือหันหลังชนกันแล้วต่อสู้กับพวกมันที่ไม่รู้จักหมดสักที ขณะที่พวกเขาจะเอาชีวิตไปทิ้งอยู่แล้ว จู่ๆพวกปีศาจนั่นมันก็หมดกำลังลงไปดื้อๆ เมื่อทุกอย่างสงบลงพวกเขาก็พบว่าหน่วยรบพิเศษทั้ง 8 นั้นสละชีวิตตนเองเพื่อล้ม`ราชินิตกสวรรค์´ แต่ก็มีผู้รอดชีวิตกลับไปเป็นวีรบุรุษหลังสงครามจบสองคน คือหัวหน้าหน่วยที่ 1 `เรซาส´ และหัวหน้าหน่วยที่ 6 `รูน´ "ใช่ แต่ที่โดนทำลายไปน่ะมันแค่กายหยาบ พลังของเธอมันยังคงอยู่แต่โดนผนึกเอาไว้ ซึ่งตอนนี้พวกนั้นหาทางปลดผนึกรวมถึงกายเนื้อที่จะเป็นร่างจุติของ `ราชินิตกสวรรค์´ ผู้นั้นได้แล้ว แต่สิ่งที่ชั้นไม่รู้ก็คือใครคือร่างจุติ และวิธีการปลดผนึกโดยละเอียดนั่นแหละ แต่ถ้าเป็นอย่างที่พวกนายเล่า ตัวชั้น เจนี่ และองค์หญิงแห่งอุเอรุโตะจะต้องเกี่ยวข้องกับเงื่อนไขที่ชั้นไม่รู้แน่นอน" ถ้าเป็นในการ์ตูนตลกในเวลานี้ เหนือหัวของชายหนุ่มทั้ง 4 ในห้องคงมีเครื่องหมายอัศเจรีย์หรือเครื่องหมายตกใจตัวบะเริ่มอยู่บนหัว บรรยากาศในห้องเงียบกริบและหนักอึ้งขึ้นมาทันที ทุกคนต่างตกอยู่ในสีหน้าจริงจัง "งั้นข้าน้อยขอพูดในฐานะตัวแทนหน่วยที่เก้า เลยนะขอรับท่านหญิงซินนาส ท่านต้องการให้พวกข้าน้อย ‘หน่วยที่เก้า’ ทำภารกิจใดให้ท่าน?" ทากะเป็นคนที่เอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง ซินนาสยืดตัวตรงเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยซึ่งเป็นครั้งแรกจริงๆที่ทุกคนเห็นเธออยู่ในบุคลิกของเจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์ เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงกังวานใสแต่เปี่ยมไปด้วยอำนาจ ถึงจะอยู่ในชุดของนักบวชฝึกหัด หาใช่ชุดกรุยกรายของพวกราชนิกูลแต่มันไม่ได้บดบังความเป็นเจ้าหญิงของเธอแม้แต่น้อย ซึ่งมันต่างจากบุคลิคของเธอใจเวลาปกติ หรือยามที่เธอต่อสู้ราวฟ้ากับเหวแทบไม่น่าเชื่อว่าเป็นคนคนเดียวกัน "ข้า `ทาเลวิย่า ซินนาส´ ในนามบุตรีแห่งเจ้าเมืองกรานาด้า อยากจะขอร้องพวกท่าน เหล่าผู้กล้าผู้ได้รับการขนานนามว่าหน่วยรบพิเศษที่เก้า หน่วยลวงตาที่แข็งแกร่งที่สุด ช่วยข้าในภารกิจสามประการต่อไปนี้" "หนึ่ง ช่วยปกป้ององค์หญิงเฟร็อกซ์ ไมเอสทาส เจนิเรส บุตรีแห่งเจ้าเมืองริมุเน่ ผู้เปรียบดั่งขนิษฐาของเรา" "สอง ช่วยตัวเราตามหาความจริงเกี่ยวกับร่างจุติ และการปลดผนึกของ`ราชินิตกสวรรค์´" "และข้อสุดท้าย ช่วยหยุดยั้งหายนะที่กำลังคุกคามแผ่นดินนี้อย่างเงียบๆด้วยเถิด พวกท่านจะรับคำขอร้องจากเราได้หรือไม่" ทั้ง 4 คนเดินมายืนเรียงแถวหน้ากระดานตรงหน้าองค์หญิงทาเลวิย่า ซินนาส นั่งชันเข่าเอามือซ้ายทาบหน้าอก "ข้า `มิคาเอล อาลูซ่า แม็กเดรอาส´ ขอน้อมรับภารกิจ" เป็นครั้งแรกที่นักรบรับจ้างนามแซคซาสเอ่ยนามเต็มๆของตนที่เขาทิ้งไปนานด้วยเหตุผลที่เขาไม่อยากจะนึกถึงมันนัก "ข้า `กุห์ฟาน รีส ริยาส´ ขอน้อมรับภารกิจ" นักกวีหนุ่มน้อยเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังหนักแน่นซึ่งไม่บ่อยนักที่จะได้ยินเขาพูดเช่นนี้ "ข้า `อากิรอส เซอแวส คีฟ´ ขอน้อมรับภารกิจ" จอมเวทย์หนุ่มแทบจะไม่ต้องคิดเพราะเขายอมกลับมาที่เมืองนี้อีกครั้งเพราะต้องจัดการกับเรื่องนี้น่ะแหละ "ข้า `ซารุวาตาริ ทากะ´ ขอน้อมรับภารกิจ" คนจรจากแดนใต้ตอบรับภารกิจและเอ่ยแทนทุกคนต่อไปว่า "พวกเรามิได้มีเกียรติและศักดิ์ศรีใดๆที่จะใช้เป็นเครื่องยืนยัน พวกเราไม่สาบานว่าจะสละชีวิตเพื่อท่านและภารกิจ พวกเราไม่สาบานว่าจะเป็นดาบแก่ท่านเพื่อประหัตประหารศัตรู ไม่สาบานว่าจะเป็นโล่ป้องกันท่านเมื่อมีภัยอันตราย แต่พวกเราสาบานว่าจะปฏิบัติภารกิจนี้อย่างสุดกำลังเท่าที่พวกเราจะทำได้" คาตะนะข้างตัวทากะถูกดึงออกจากฝักแล้วปักลงตรงหน้า เช่นเดียวกับดาบของนักรบรับจ้างที่มีนามที่แท้จริงว่า`แมคเดรอาส´ อากิดึงคทาเวทสีดำที่เหน็บอยู่ข้างตัวปักลงตรงหน้าเช่นกัน ส่วนกุห์ฟานที่ไม่มีศาตราวุธใดๆติดตัวใช้กำปั้นของตนต่อยลงบนพื้นแทน เป็นครั้งแรกที่ใบหน้าขององค์หญิงแห่งกรานาด้ายิ้มออกมาจากใจจริง มิใช่ใบหน้ายิ้มละไมอย่างที่ทุกคนเคยเห็น เธอเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา "เราขอขอบใจพวกท่านมาก" การรับมอบภารกิจที่เอาแผ่นดินเอลเทอเฟียเป็นเดิมพันถูกทำขึ้นง่ายๆและจบลงง่ายๆ แต่สิ่งที่ที่เธอและพวกเขาต้องเผชิญต่อจากนี้ไปมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยแม้แต่น้อย จบบทที่ 3 : การรวมตัวอีกครั้ง ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~คุยกันท้ายบท กับ อีตานักเดินทาง บทนี้ผ่านมรสุมมากมายทั้งบอร์ดล่มคนเขียนตัดใจไปแล้วบอร์ดกลับมาคนเขียนหลักอีกคนอย่าง"อากิ"ยังสดที่จะเขียนต่อบทนี้เลยหลุดออกมาถ้าเทียบกับฟิคของคนอื่นๆที่กำลังคึกคักอยู่ในช่วงนี้ ฟิคเรื่องนี้ถือว่าเป็นฟิคที่เกรียนๆ เขียนขึ้นโดยคนเกรียนๆ เป้าหมายของฟิคนี้มีเพียงแค่ความสนุกของคนเขียนที่ได้เขียนโดยแอบหวังไว้ว่ามันจะสร้างความสนุกให้คนอ่านได้บ้าง ขอบคุณคนกันเองที่เข้ามาอ่านและคอมเม้นทุกRep ครับ
โว้.... มันกลับมาลงตอนต่อแล้ว ไม่เสียหลายที่ด่าให้เขียนอยู่ทุกคืนจริงๆ ซินนาส... โหดไปไหน เอะอะๆปามีดใส่ คนนะเว้ยไม่ใช่เป้าซ้อมมือ แซคซาส... ปากแบบนี้ชีวิตจะสั้นนะเอ็ง กุห์ฟาน... กวนตี- ดีแท้ ทากะ... รู้อะไรก็เล่าๆมาเหอะ อย่าอมพะนำนัก หายนะและภัยพิบัติกำลังหวนกลับมา สี่คนบ้าเอ๊ยสี่ผู้กล้ากับหนึ่งองค์หญิงจะแก้ไขและวางแผนอย่างไรกันนะ ไม่แคล้วมันต้องแป๊กๆผิดคิวผิดแผนตอนลงมือจริงแหงๆเลย