[ฟิคยาว] Legendary : บทตำนานดอกไม้เจ็ดสี (บท 8 UPDATE)

กระทู้จากหมวด 'Fiction' โดย Azemag, 23 พฤษภาคม 2011.

Thread Status:
Not open for further replies.
  1. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    Prologue
    ข้ามผ่านห้วงเวลากลับไปในอดีตนานนับหมื่นปี
    จุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งมวล
    ในปัจจุบัน วิทยาศาสตร์สร้างทฤษฎีเกียวกับกำเนิดและวิวัฒนาการของมนุษย์ไว้หลายอย่าง
    ทฤษฎีที่น่าเชื่อถือมากที่สุดทฤษฎีหนึ่งกล่าวว่ามนุษย์เป็นสัตว์สายพันธุ์เดียวกับไพรเมตและวิวัฒนาการแยกสายออกมาเป็นมนุษย์ปัจจุบัน
    ทว่า ทฤษฎีก็คือข้อสมมติฐานที่รอการพิสูจน์ให้กระจ่างชัด
    มิใช่คำตอบที่เที่ยงแท้แต่อย่างใด
    เรื่องราวทั้งหมดจึงยังอยู่ในความมืดมิด
    ใช่แล้ว
    ความมืดที่เป็นเหตุให้ทุกอย่างย้อนคืนสู่จุดเริ่มต้น
    อีกครั้งหนึ่ง


    - คุยกันสักนิดกับ Azemag -

    จริงๆเรื่องนี้ถือเป็นนิยายแนวแฟนตาซีเรื่องแรกที่เขียนอย่างจริงๆจังๆ ถือโอกาสฝึกฝีมือก่อนที่จะลงมือเขียนโปรเจคต์ใหญ่อย่าง Final Fantasy X อย่างที่ตั้งใจไว้ด้วย



    จริงๆแล้วตั้งใจจะทำเป็นฟิครับสมัคร แต่ด้วยความที่ตัวเองยังไม่เชี่ยวชาญนักก็เลยขอเป็นออริจินัลแล้วอัญเชิญเพื่อนๆ คนรู้จักมามีส่วนร่วมในฟิคเอานะครับ ขออนุญาตมาไว้ ณ ตรงนี้ด้วย



    อย่างไรก็ขอฝากเรื่องนี้ไว้พิจารณา ติชม แนะนำ ได้เต็มที่ครับ

    Azemag A.C. McDowell



  2. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    ตอนที่ 1






    ณ หมู่บ้านห่างไกลแห่งหนึ่งเวลาบ่ายแก่ๆ แสงอาทิตย์เริ่มอ่อนแรง สายลมเย็นพัดโชยเข้าปะทะกระดิ่งลมที่แขวนอยู่ริมหน้าต่างของหลายๆบ้านให้ส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งจนกลายเป็นท่วงทำนองไม่มีแบบแผนที่ไพเราะไปอีกแบบ ผู้คนต่างหยุดพักกับงานช่วงบ่ายแล้วเริ่มจับกลุ่มพูดคุยหยอกล้อกันตามหน้าบ้าน







    “กาลครั้งหนี่งนานมาแล้ว”



    ชายคนหนึ่งเริ่มต้นเล่าเรื่องให้กับกลุ่มเด็กชายหญิงที่นั่งล้อมเขาไว้ แววตาของเด็กๆเป็นประกายอย่างมีความหวังที่จะได้ฟังเรื่องราวอันเป็นประวัติศาสตร์ที่เด็กน้อยอย่างพวกเขาไม่เคยได้ยิน



    “ศตวรรษที่ 21 คศ. 2038…



    พัฒนาการด้านวิทยาศาสตร์ก้าวหน้าจนถึงขีดสุด มนุษย์ได้รับความสะดวกสบายจากผลิตผลทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นอย่างมาก แต่ในทางกลับกันมนุษย์ก็ได้ทำลายธรรมชาติบนดาวเคราะห์น้อยสีฟ้าดวงนี้จนอยู่ในสภาพที่เรียกว่า ‘ย่ำแย่’ เช่นกัน”



    “เมื่อมีมนุษย์กลุ่มหนึ่งได้รับประโยชน์และความสุขสบาย ย่อมมีมนุษย์อีกกลุ่มที่ได้รับความลำบากเช่นกัน”



    “ความเท่าเทียมเป็นเพียงคำพูดสวยหรูบนแผ่นกระดาษเท่านั้น”





    ชายหนุ่มหยุดเว้นจังหวะดูปฏิกิริยาจากเด็กๆซึ่งนั่งเงียบรอฟังตอนต่อไปอย่างใจจดใจจ่อ



    “เรื่องที่น่าตื่นเต้นที่สุดของศตวรรษที่ 21 คงเป็นการค้นพบมหานครโบราณที่จมอยู่ใต้มหาสมุทร แอตแลนติคในเขตซีกโลกใต้ หลังจากเกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงในคืนจันทรคราสเต็มดวง จนสร้างความหวั่นวิตกว่าโลกจะถึงกาลดับสูญตามคำทำนายของหมอดูชื่อดังและหมอเดามากมายที่กล่าวอ้างไว้เมื่อตอนต้นศตวรรษ”



    “หลังจากทุกอย่างสงบ นักธรณีวิทยาได้สำรวจการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลกด้วยระบบดาวเทียมเพื่อดูผลการเปลี่ยนแปลง พวกเขากลับพบกับซากเมืองโบราณที่ปรากฎขึ้นเพราะแผ่นดินบริเวณนั้นยกตัวขึ้น ความกว้างใหญ่ไพศาลของมันทำให้นึกได้เพียงอย่างเดียวนี่คือ ‘แอตแลนติส’ นครโบราณที่สาปสูญไป”



    “แอตแลนติส มหานครที่เป็นถูกกล่าวขานว่ามีวิทยาการล้ำสมัย มีกำแพงเมืองเป็นทองคำ มีวิหารที่สร้างจากเงิน กองทหารของนครแห่งนี้เต็มไปด้วยรถศึกและกองเรือที่เกรียงไกร แผ่นดินเต็มเปี่ยมด้วยความอุดมสมบูรณ์ ประชากรมีแต่ความมั่งคั่งและเปี่ยมด้วยคุณธรรม จนเวลาล่วงเลยพวกเขากลับเปลี่ยนไป”



    “ตำนานกล่าวไว้เพียงว่านครแห่งนี้ถูกเทพเจ้าลงโทษเพราะพวกเขาทะเยอทะยาน มักใหญ่ในอำนาจ และละทิ้งเส้นทางแห่งคุณธรรม”



    “พูดง่ายๆว่าเพราะจิตใจของพวกเขาตกต่ำลงนั่นเอง”





    เด็กๆครางฮือใหญ่เมื่อได้ยินว่านครที่ยิ่งใหญ่นั้นถูกเทพเจ้าลงโทษจนต้องกลายเป็นนครที่สาบสูญ



    “หลังข่าวการค้นพบนครโบราณใต้มหาสมุทรที่อาจจะเป็นนครแอตแลนติส ประเทศต่างๆขอมีส่วมร่วมในการสำรวจมหานครแห่งนี้ แม้จะมีความเป็นไปได้ว่ามันไม่ใช่แอตแลนติสดังที่ตำนานกล่าวอ้างก็ตาม แต่การได้สำรวจนครโบราณที่อายุประมาณการคร่าวๆก็คงไม่ต่ำกว่าหมื่นปีแบบนี้ย่อมมีคุณค่าในหลายๆด้าน รวมถึงผลประโยชน์ที่จะตามมาในอนาคตเช่นกัน”



    “ด้วยวิทยาการและเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพของพวกเขาทำให้การสำรวจในช่วงแรกผ่านไปอย่างง่ายดายจนประดาทีมงานรู้สึกว่าราบรื่นอย่างไม่น่าเชื่อ และคาดการณ์ว่าคงจะได้เข้าไปสำรวจภายในเมืองได้ในเร็ววันหลังจากที่แผนการสำรวจชั้นนอกและรอบๆเขตเมืองเสร็จเร็วไวกว่ากำหนด”



    “การสำรวจในส่วนที่สองยังคงดำเนินไปอย่างไร้ปัญหา พวกเขาสำรวจลักษณะผังเมือง เขตชุมชมและบริเวณที่น่าจะเป็นเขตศาสนสถาน พวกเขานำสิ่งของต่างๆมากมายกลับขึ้นไปค้นคว้าวิจัยต่อที่ห้องแลปด้านบน แต่น่าแปลกที่พวกเขายังไม่ค้นพบส่วนที่สำคัญที่สุดในทางโบราณคดีที่พวกเขาต้องการ”





    “คิดว่ามันคืออะไรละ? เด็กๆ”

    เขาหยุดเล่าชั่วคราว หันมาถามเด็กๆที่กำลังฟังอยู่ เด็กๆส่ายหน้าบอกว่าไม่รู้และขอให้เขาเล่าต่อไวๆ



    “ร่างหลับไหลของมนุษย์โบราณที่คาดว่าเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์ชาติ” เขาเว้นจังหวะนิดหน่อย “จริงๆแล้วเป็นเรื่องที่แปลกมาก เพราะนอกจากจะไม่พบร่างของมนุษย์โบราณที่เป็นผู้อยูอาศัยของเมืองนี้เลยแม้แต่ร่างเดียว ร่างของสิ่งมีชีวิตอื่นๆก็ไม่พบเช่นกัน ทั้งๆที่มีเครื่องไม้เครื่องมือ อุปกรณ์ต่างๆที่บ่งบอกว่าเมื่อนานมาแล้วมหานครแห่งนี้มีผู้อยู่อาศัยอย่างแน่นอน”



    “แล้วพวกเขาหายไปไหนกัน?”



    เด็กๆส่งเสียงฮือฮาขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเขาเล่ามาถึงตรงนี้





    “หลังจากที่พวกเขาสำรวจเขตเมืองไปจนใกล้จะเสร็จสิ้นก็มีเรื่องราวแปลกประหลาดเกิดขึ้น บรรดานักประดาน้ำและทีมสำรวจใต้ท้องทะเลหลายต่อหลายคนต่างฝันเรื่องเดียวกัน คือมีหญิงสาวในชุดคล้ายๆกับชาวกรีกโบราณมาเตือนพวกเขาให้หยุดสำรวจนครแห่งนี้ หากยังดื้อดึงจะสำรวจมากไปกว่านี้จะต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น”



    “หัวหน้าทีมคณะสำรวจร่วมนานาชาติประชุมร่วมกันแล้ว พวกเขาตัดสินใจที่จะปิดข่าวนี้ไว้ไม่ให้แพร่งพรายออกไปเพราะอาจจะนำไปสู่ข่าวลือไม่พึงประสงค์ต่างๆนานาได้ พร้อมกับกำชับลูกทีมทุกคนให้เดินหน้าทำงานสำรวจต่อไปเพื่อประโยชน์ของมวลมนุษยชาติที่จะได้จากการสำรวจนี้ โดยไม่ให้ความสำคัญกับความฝันแปลกประหลาด”



    “พวกเขาเร่งมือสำรวจตามกำหนดการที่วางไว้ จนสิบเอ็ดเดือนผ่านไปทีมสำรวจก็ได้ทำบรรลุเป้าหมายในการสำรวจรอบนอกของเมืองจนเสร็จสิ้น เหลือแต่เพียงบริเวณที่คาดว่าจะเป็นราชวังของผู้ปกครองเมืองที่พวกเขาตัดสินใจสำรวจเป็นสถานที่สุดท้าย”





    เขาถอยหายใจเบาๆ เหม่อมองขึ้นไปท้องฟ้าที่ยามนี้ถูกย้อมด้วยแสงสีแดงอ่อนๆของดวงอาทิตย์จากฟากฟ้าฝั่งทิศตะวันตก



    “เมื่อพวกเขาเริ่มลงมือทำงานเพื่อจะสำรจพื้นที่สุดท้าย อุปกรณ์ต่างๆรวมถึงหุ่นยนต์สำรวจจำนวนมากต่างติดขัดประสบปัญหาไม่สามารถทำงานต่อได้เมื่อเข้าใกล้บริเวณราชวัง แต่พอพ้นจากเขตนั้นหุ่นยนต์สำรวจทุกตัวกลับสามารถทำงานได้เป็นปกรติ เป็นครั้งเดียวอาจจะไม่เท่าไร แต่เป็นติดๆกันจนกำหนดการทำงานต้องเลื่อนแล้วเลื่อนอีก ทำให้สมาชิกในทีมเริ่มจับกลุ่มคุยกันถึงเรื่องราวน่าประหลาดที่เกิดขึ้นและนำไปโยงกับความฝันประหลาดก่อนหน้านี้”



    “มันไม่มีอะไรหรอกน่า เป็นคำพูดที่หัวหน้าพูดให้ลูกน้องฟังอยู่เสมอ พวกเขาเชื่อมั่นว่าที่พวกหุ่นยนต์สำรวจเกิดขัดข้องจะต้องมีสาเหตุ หากพวกเขาตั้งใจทำงานให้เต็มที่จะต้องค้นพบต้นเหตุของปัญหาและแก้ไขได้แน่ๆ”



    “พวกเขาก็ทำได้อย่างที่พูดจริงๆ คำตอบของปัญหาที่ทำให้หุ่นยนต์ขัดข้องก็คือหินผลึกที่อยู่ที่ยอดปราสาทของราชวัง มันเป็นหินผลึกประหลาดที่ส่งคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าประหลาดๆออกมาจนไปรบกวนการทำงานของเครื่องจักร จึงเป็นหน้าที่ของทีมดำน้ำลึกที่จะต้องลงไปเอาหินผลึกนั้นออกจากตรงนั้นเสียก่อนเพื่อที่จะได้ส่งหุ่นยนต์สำรวจลงไปทีหลัง”





    “พอจะเดาได้ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้น?” ชายหนุ่มหันมาถามเด็กๆอีกครั้ง พวกเด็กๆไม่ตอบและเอามือปิดหน้าปิดหูไม่อยากจะฟังเรื่องร้ายๆ





    “ใช่แล้ว” เขาเริ่มเล่าต่อ น้ำเสียงจริงจัง หนักแน่น “หลังจากที่ทีมนักดำน้ำนำหินผลึกขึ้นมาบนเรือได้ พลันบังเกิดสุริยคราสขึ้น เป็นสุริยคราสที่อยู่นอกเหนือการคำนวณใดๆ ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างฉับพลันในเวลาไม่นานนักท้องฟ้าในเวลากลางวันกลับมืดมิดดุจเวลากลางคืน และก็มีเสียงหนึ่งดังก้องไปทั่ว เสียงนั้นได้ยินไปทั่วโลก แม้แต่คนต่างชาติต่างภาษาก็สามารถเข้าใจได้”





    เด็กๆหลับตาปี๋ ร่างกายของบางคนเริ่มสั่นเทาด้วยความกลัว เหงื่อไหลไคลย้อยเต็มหน้า เด็กๆหลายคนกลืนน้ำลายลงคอด้วยความยากลำบาก





    ‘นามของข้าคือราชารัชติกาล เจ้าพวกมนุษย์โง่เขลาเอ๋ย ก่อนอื่นคงต้องขอขอบใจพวกเจ้าจริงๆที่อุตส่าห์ปลดผนึกของเหล่าเทพที่เหนือปราสาทของข้า ข้าจะให้รางวัลแก่พวกเจ้า รางวัลที่ชื่อว่า ‘นรก’ ยังไงละ!’





    เด็กผู้หญิงส่งเสียงกรี๊ดขึ้นมาทำลายบรรยากาศที่เงียบสงัดจนผู้ใหญ่หลายคนต้องหันมามอง ชายหนุ่มผู้เล่าเรื่องหลุดหัวเราะออกมาเสียงดัง





    “หลังจากนั้นก็เป็นอย่างที่รู้ๆกัน อารยธรรมมนุษย์ล่มสลายลงในปี 2038 ด้วยภัยพิบัติรุนแรงอย่างไม่เคยปรากฎมาก่อน แผ่นดินไหว คลื่นยักษ์ ภูเขาไฟระเบิด หลังจากที่ทุกอย่างสิ้นสุดลง ทวีปทั้งหกก็กลับมารวมเป็นผืนแผ่นดินใหญ่หนึ่งเดียวอีกครั้ง ประชากรโลกเกือบๆหกพันล้านคนเหลือเพียงหยิบมือหนึ่งเท่านั้น”



    เขาลดโทนเสียงให้ต่ำและนุ่มลงเพื่อให้เด็กๆผ่อนคลายความกลัวลง เด็กๆกระชับวงล้อมเข้ามาใกล้เขามากขึ้นเพื่อฟังบทสรุปแห่งเรื่องราว





    “คลื่นร้ายถาโถมเข้ามาอย่างไม่สิ้นสุด ปราสาทของราชารัตติกาลผุดขึ้นเหนือท้องฟ้ากลายเป็นเกาะลอยฟ้าและเตรียมที่จะเข้าปกครองเหล่ามนุษย์ แต่ก่อนที่ความสิ้นหวังจะเข้าครอบงำทุกสิ่งทุกอย่าง หินผลึกแห่งทวยเทพกลับพุ่งขึ้นจากผืนดินเข้าปะทะกับปราสาทแห่งความมืด เสียงของสตรีนางหนึ่งดังขึ้น”





    ‘มนุษย์เอ๋ย เป็นเพราะพวกเจ้าไม่สนใจคำเตือนของเราพวกเจ้าถึงต้องรับผลจากการกระทำครั้งนี้ แม้ว่าพลังของข้าจะเหลือไม่มากก็ตาม แต่ข้าจะผนึกราชาแห่งรัตติกาลให้พวกเจ้าอีกครั้ง หลังจากนี้อีกร้อยปีพวกเจ้าจงฝึกฝนตนเองและค้นหาอัญมณีทั้งห้าที่จะมาผนึกราชารัตติกาลให้ได้’



    ‘อนาคตของพวกเจ้า พวกเจ้าต้องสร้างมันขึ้นมาเอง มนุษย์เอ๋ย’





    “พลันสิ้นเสียงของนาง ผลึกหินก็แตกกระจายไปทั่วแผ่นดินพร้อมกับผลักปราสาทแห่งความมืดไปอยู่อีกสุดขอบโลกให้ห่างไกลจากผืนแผ่นดินและมนุษย์ให้มากที่สุด”





    “หลังจากนั้นมนุษย์ที่เหลืออยู่ก็เริ่มใช้ชีวิตในโลกที่โหดร้าย พวกเขาตามหาเศษหินผลึกและสร้างเมืองขึ้น ด้วยพลังแห่งหินผลึก พวกเขาได้รับการปกป้องจากบรรดาปีศาจและสัตว์ร้ายที่เกิดจากพลังแห่งความมืด บ้างก็ได้รับพลังเวทมนต์จากหินผลึกและเป็นนักเวทอย่างที่พวกเจ้ารู้กัน บ้างก็ได้รับพลังมหาศาลเป็นยอดนักรบที่พากองทัพผู้กล้าเข้าทำสงครามปกป้องอนาคตของมนุษย์ชาติตลอดหนึ่งพันสองร้อยปีที่ผ่านมา”



    “แม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถโค่นราชาแห่งรัตติกาลลงได้ แต่หน้าที่ในการตามหาอัญมณีทั้งห้าเพื่อมาผนึกราชาแห่งรัตติกาลทุกๆร้อยปีก็ทำให้พวกเจ้ามีชีวิตมาถึงทุกวันนี้ได้”



    “ดังนั้น พวกเจ้าต้องเป็นเด็กดี เชื่อฟังพ่อแม่ แล้วก็หมั่นฝึกฝนตัวเองเพื่อ เป็นพลังให้กับโลกต่อไปในอนาคต เข้าใจไหม?” เขาทิ้งท้ายเพื่อกระตุ้นความกล้าหาญให้กับเด็กๆ



    “เข้าใจแล้วครับ/ค่ะ” เด็กๆขานรับคำเขาอย่างหนักแน่น พร้อมเพรียง



    “เอาละ แยกย้ายกันกลับบ้านได้แล้วนะ ไปได้”

    “ขอบคุณมากครับ/ค่ะ”





    หลังจากเด็กๆแยกย้ายกันกลับบ้าน บ้างก็ยังอยู่เล่นกันแถวนั้นรอพ่อแม่กลับมาจากไปทำไร่ทำสวนนอกเมือง ผู้เฒ่าผู้แก่หลายคนเข้ามาคุยกับเขารวมถึงหัวหน้าทีมป้องกันหมู่บ้าน ’อเซแมก แมคโดเวล’ เช่นกัน





    “เป็นเรื่องที่ยอดมากเลยนะครับ ท่านผู้นำสาร”



    อเซแมก ชายหนุ่มรูปร่างสันทัด ผมสีน้ำตาลเข้มยาวปรกหน้าและดวงตาสีน้ำแดงดูน่าเกรงขามแต่ก็แฝงแววแห่งความลึกลับ มีดาบเหน็บข้างเอวเล่มหนึ่ง เข้ามาทักทายเขา ชายหนุ่มที่เล่าเรื่องให้เด็กๆฟังเป็นผู้นำสารแห่งราชอาณาจักรชิลโซลิธี อันเป็นเมืองที่สร้างขึ้นในเขตหินผลึกที่กลายเป็นบุษราคัมส่องแสงประกายสีเหลืองทอง หนึ่งในสองมหานครยิ่งใหญ่แห่งยุคนี้



    “เด็กๆคืออนาคตของพวกเรา... ไม่สิ เป็นอนาคตสำหรับทุกคน”



    “แล้วภารกิจของท่านเสร็จไปถึงไหนแล้วละครับ”



    “ข้านำพระราชสารแห่งจักรพรรดิชิลโซลิธี ออกมาแจ้งข่าวให้กับหมู่บ้านต่างๆ เหลือเวลาอีกไม่นานก็จะครบหนึ่งร้อยปีจากมหาสงครามครั้งที่แล้ว เราต้องการผู้ที่พร้อมจะเป็นนักรบไปฝึกฝนให้พร้อมรบ หมู่บ้านของท่านเป็นแห่งสุดท้ายแล้วละ พรุ่งนี้เช้าข้าก็จะเดินทางกลับแล้ว น่าเสียดายที่หมู่บ้านของท่านมีชายฉกรรจ์น้อยนัก ข้าก็คงไม่อาจเกณฑ์พวกเขาไปเป็นนักรบได้ทั้งหมดเพราะจะไม่เหลือใครปกป้องหมู่บ้านอีก”



    “ข้าได้ยินมาว่านอกจากงานเกณฑ์กำลังพลเป็นนักรบแล้ว ท่านจักรพรรดิยังมีภารกิจสำคัญอื่นให้ทำอีกมิใช่หรือครับ”



    “สมแล้วที่เป็นหัวหน้าทีม ข่าวสารกว้างไกลจริงๆ”



    “ก็ไอ้ลูกศิษย์ตัวแสบของข้าน่ะสิ มันไปได้ยินข่าวมาจากหมู่บ้านอื่นแล้วก็วิ่งแจ้นมาขอให้ข้าพาไปนครชิลโซลิธี” อเซแมกพูดพลางยกแก้วน้ำขึ้นเชิญให้คู่สนทนาร่วมดื่ม



    “ลำบากคนเป็นอาจารย์สินะ” เขายกแก้วน้ำที่ทำจากสังกะสีบูดๆเบี้ยวๆดื่มอย่างไม่ถือตัว



    “ข้าให้มันไปทำภารกิจคุ้มครองลุงเจ้าของร้านค้าประจำหมู่บ้านไปส่งของที่อีกหมู่บ้าน นี่ถ้ามันยังอยู่ท่านคงต้องตอบคำถามร้อยแปดพันเก้าของมันแน่ๆ”



    “ข้าต้องขอบคุณท่านสินะเนี่ย” เขาหัวเราะขึ้นเสียงดังชวนให้อเซแมกหัวเราะด้วยเช่นกัน



    “ถ้างั้นข้าต้องขอตัวละ พรุ่งนี้ก็ต้องออกเดินทางแต่เช้ามืด”



    “ข้าจะเตรียมม้าและสิ่งของจำเป็นให้ท่านเอง”



    “ข้าขอขอบคุณท่านมากที่ช่วยเป็นธุระให้” เขาค้อมหัวให้ อเซแมกก็ค้อมหัวรับเช่นกัน เขายืนส่งจนอาคันตุกะจากมหานครชิลโซลิธีหายลับเข้าไปในที่พักหลังจากนั้นเขาก็ออกไปทำหน้าที่ของเขาในการลาดตระเวนรอบหมู่บ้านพร้อมๆกับอาสาสมัครคนอื่นๆเฉกเช่นทุกวัน









    โลกในยุคนี้เปลี่ยนไปจากยุคไร้พรมแดนและศิวิไลซ์อย่างในศตวรรษที่ 21 ชนิดที่เรียกได้ว่าหน้ามือเป็นหลังมือ มนุษย์ต้องย้อนกลับไปใช้ชีวิตเหมือนกับยุคหินที่ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกสบายใดๆ หนำซ้ำยังมีปีศาจที่หลุดรอดจากปราสาทแห่งความมืดมารังควานบ่อยๆ อีกทั้งสัตว์ร้ายก็กลายพันธุ์จากพลังแห่งความมืดเข้าจู่โจมมนุษย์อยู่บ่อยๆ





    เพราะสูญเสียสัญชาตญาณในการใช้ชีวิตในธรรมชาติไปกับเทคโนโลยี มนุษย์ที่เหลือรอดในยุคแรกจึงใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก แต่พวกเขาก็ยังเอาตัวรอดและสามารถดำรงเผ่าพันธุ์เอาไว้ได้ หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็เริ่มสร้างบ้านสร้างเมืองและสร้างความเจริญขึ้นมาอีกครั้ง แม้ว่าทุกๆร้อยปีพลังของหินผลึกที่สะกดพลังแห่งความมืดจะอ่อนแอลง พวกเขาก็ออกตามหาอัญมณีทั้งห้าที่เกิดจากการสะสมพลังธรรมชาติเพื่อมาใช้ผนึกราชาแห่งรัตติกาลอีกครั้ง





    ปัจจุบันมีมหานครที่สร้างขึ้นเพื่อปกป้องเศษหินผลึกอยู่สองแห่ง หนึ่งคือมหานครชิลโซลิธีและอีกหนึ่งคือมหานครพราซีนุส นอกจากนี้ยังมีอาณาจักรมายาและนครมนตราเมืองของชาวเวทมนต์ที่ไม่มีผู้ใดเคยไปถึง ทุกเมืองต่างใช้ภาษาเดียวกันในการสื่อสาร จะมีก็แต่ชาวอาณาจักรมายาที่ยังใช้ภาษาดั้งเดิมของตนภายในเขตอาณาจักรของตัวเอง













    เวลาเช้าของหมู่บ้านชายป่าเย็นสบายและมีสายลมโชยเอื่อยอยู่ตลอด เหล่าบุรุษที่อาสามาลาดตระเวนดูแลความเรียบร้อยรอบๆหมู่บ้านทำหน้าที่อย่างแข็งขัน แสงอาทิตย์สีส้มอ่อนๆเริ่มจับขอบฟ้าทิศตะวันออกแต่ก็ยังพอจะเห็นกลุ่มดาวบนท้องฟ้าอยู่บ้าง





    หลังจากส่งผู้นำสารกลับสู่มหานครชิลโซลิธีแล้ว อเซแมกก็กำลังวุ่นอยู่กับการซ่อมแซมดาบและอาวุธอื่นๆให้กับลูกทีม เขาเป็นหลานชายของหัวหน้ากองรบเร็ว ‘เหยี่ยวสายฟ้า’ ที่สร้างชื่อลือลั่นในมหาสงครามครั้งที่ ปู่ของเขาย้ายครอบครัวมาอยู่ที่นี่หลังจากออกจากกองทัพ ในวัยเด็กเขาจึงได้ฝึกปรือวิชาดาบและศาสตราวุธอื่นๆจากปู่ของเขาจนช่ำชอง และได้เป็นหัวหน้าทีมดูแลความปลอดภัยของหมู่บ้านในที่สุด





    พอดวงอาทิตย์เริ่มโผล่พ้นขอบฟ้า ผู้คนก็เริ่มออกไปทำไร่ทำสวน ชาวบ้านในหมู่บ้านนี้และหมู่บ้านอื่นๆละแวกนี้ล้วนทำเกษตรกรรมเลี้ยงชีวิตตัวเองและครอบครัวเป็นหลัก









    “อาจารย์! ข้ากลับมาแล้ว” เสียงของ ‘เทรน แมคโดเวล’ ลูกศิษย์ของอเซแมกดังลั่นมาไกลลิบๆขนาดที่อเซแมกนั่งอยู่ในป้อมหน้าหมู่บ้านยังได้ยิน



    “กลับมาแล้วเรอะ ยัยตัวแสบ” เขาลุกเดินขึ้นไปบนยอดหอสังเกตการณ์มองเห็นรถม้ามาตามถนน คุณลุงออลสันคุมม้าอยู่ด้านหน้า ส่วนลูกศิษย์สาวของเขานั่งอยู่หลังคารถม้า





    รถม้าค่อยๆหยุดเมื่อมาถึงหน้าหมู่บ้าน อาสาสมัครเข้าไปคุยทักทายคุณลุงออลสันว่าเป็นอย่างไรบ้าง



    “เทรน แมคโดเวล รายงานตัวค่ะ” เธอกระโดดลงมาจากหลังคารถม้า ยืนตัวตรงนิ่งต่อหน้าอาจารย์ของเธอ ผมยาวสีน้ำตาลอ่อนกว่าผู้เป็นอาจารย์ดูยุ่งเหยิงเพราะการเดินทางไกล ดวงตาสีน้ำเงินเข้มราวกับเม็ดไพลินชั้นยอดบ่งบอกถึงความยินดีที่ได้กลับมาพบอาจารย์





    “เป็นไงบ้างคุณลุง ยัยนี่สร้างปัญหาอะไรให้รึเปล่า” อเซแมกหันไปถามคุณออลสันที่กำลังคุ้ยหาของในย่าม



    “ฮะๆ ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก เอ้านี่! ข้าหาเหล็กลับดาบมาฝากเจ้า” คุณออลสันโยนแท่งเหล็กที่ว่าให้เขา



    “โห รอบนี้ได้ของดีเลยนะเนี่ย ขอบคุณมากครับ ถือซะว่าเป็นค่าจ้างยัยตัวแสบนี่ก็แล้วกันนะครับ”

    “ข้าให้ค่าขนมนางไปแล้วล่ะ ไม่ต้องห่วง ข้าไม่ให้นางอดอยากหรอก”

    “งั้นข้าเอาของเข้าร้านก่อนละนะ” คุณออลสันหยิบแส้เฆี่ยนก้นม้าเบาๆให้มันออกวิ่ง







    “เป็นไง รอบนี้เจออะไรมั่งไหม” อาจารย์หนุ่มหันไปถามลูกศิษย์สาว



    “ไม่มีปัญหาค่ะ ไม่พบสัตว์ร้ายระหว่างทางและไม่มีโจรป่าดักปล้นค่ะ” เทรน รายงานภารกิจ



    “ก็ดี งั้นไปอาบน้ำอาบท่าพักผ่อน แล้วตอนเย็นมากินข้าวที่ป้อม ข้ามีเรื่องสำคัญจะคุยด้วย ไปได้”



    “ค่ะ!” เทรนรับคำหนักแน่นก่อนจะปลดอาวุธให้กับคนในทีมเอาไปเก็บจากนั้นก็วิ่งหายเข้าไปในหมู่บ้าน





    ‘สิบเจ็ดปีแล้วสินะ’



    อเซแมกครุ่นคิดระหว่างที่มองไล่หลังลูกศิษย์สาวที่กำลังวิ่งหน้าตั้งกลับบ้านไป ภาพเหตุการณ์ในอดีตผุดขึ้นมาในหัวของเขา เปลวเพลิงที่ลุกโชน ศพผู้คนเกลื่อนพื้นและเลือดที่กระเซ็นสาดไปทั่วบริเวณ และเสียงร้องไห้ของเด็กทารก





    เย็นวันนั้น อเซแมกเรียกอาสาสมัครทุกคนมาทานข้าวร่วมกันเพื่อบอกเรื่องสำคัญให้ทราบ หลังจากทุกคนกินอิ่มหนำสำราญเฮฮากันเต็มที่แล้ว อเซแมกกระแอมไอเสียงดังสองสามทีเป็นสัญญาณให้ทุกคนสนใจสิ่งที่เขากำลังจะพูด



    “อีกสามวัน ข้าตัดสินใจจะเดินทางไปมหานครชิลโซลิธี”



    เสียงฮือฮาดังขึ้นทั่วห้องอาหารแต่ก็สงบลงได้โดยไวเพราะทุกคนต่างรู้ดีว่าหัวหน้าของพวกเขายังกล่าวไม่จบเรื่อง



    “ข้าได้ยินมาว่าปีนี้นอกจากจะมีการเตรียมความพร้อมของมหาสงครามแล้ว จักรพรรดิยังจัดให้มีการคัดเลือกอาสาสมัครที่จะดำเนินภารกิจสำคัญอีกด้วย”



    “ข้า! อเซแมก แมคโดเวล หลานชายของหัวหน้ากองรบเหยี่ยวสายฟ้าผู้ลือชื่อในมหาสงครามครั้งก่อน ปู่ของข้าได้รับใช้ราชสำนักมาตลอดชั่วชีวิตจนกระทั่งสิ้นลมหายใจ ข้าไปครั้งนี้มิได้หมายจะเป็นอัศวินในกองทัพของจักรพรรดิ แต่ข้าจะไปผจญภัยในโลกกว้างอีกครั้ง เหมือนที่ข้าเคยออกเดินทางฝึกฝนตนเมื่อครั้งก่อน”



    “ภารกิจครั้งนี้คงน่าสนใจมากสินะครับ หัวหน้า” หนึ่งในอาสาสมัครใต้สังกัดของเขาถามขึ้น



    “ข้าได้ยินมาอย่างนั้น แต่ก็ยังไม่ชัดเจนในข้อมูลเท่าใดนัก” หัวหน้าหนุ่มตอบไป “ครั้งนี้ ข้าจะพายัยเทรนไปด้วย”



    ประโยคคราวนี้เรียกเสียงฮือฮาได้มากกว่าตอนต้นมากนัก



    “ตอนแรกข้าก็คิดจะให้เทรนดูแลหมู่บ้านในช่วงที่ข้าเดินทาง แต่ยัยนี่เองก็โตพอที่จะออกเผชิญโลกกว้างแล้ว ลูกนกที่โตแล้วก็ควรจะหัดบินบ้าง เจ้าจะว่าอย่างไร เทรน” อาจารย์หันไปถามลูกศิษย์ที่นั่งอยู่แถวหน้าสุด



    “ข้าพร้อม ได้โปรดให้ข้าร่วมเดินทางไปกับอาจารย์ด้วยค่ะ” เทรนตอบกลับอย่างหนักแน่น แววตามุ่งมั่นไม่ลังเล



    “ถ้าอย่างนั้น ข้าก็ขอฝากหมู่บ้านที่ข้าเกิด ข้าเติบโตไว้กับพวกเจ้าด้วย ด้วยฝีมือของพวกเจ้าหากไม่เจอกับฝูงกองทัพออคละก็ไม่ใช่ปัญหาหรอก ข้าไว้ใจพวกเจ้าได้ใช่ไหม?”



    “ครับ!” เสียงตอบดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียงและกึกก้อง



    “ถ้าอย่างนั้นก็ดี ข้าขอมอบอำนาจการสั่งการไว้ให้กับอัลเบิร์ตก็แล้วกัน” อเซแมกหันไปสั่งกับลูกน้องคนสนิทที่ไว้ใจได้ “การใดควรทำจงทำ การใดไม่ควรทำจงอย่าทำ ถ้าหากมีปัญหาใดหนักหนาเกินแก้ไขจงมองที่ตนเองก่อนผู้อื่น เข้าใจไหม”



    “รับทราบครับ หัวหน้า” อัลเบิร์ต ชายหนุ่มผมสีทองอ่อน อาวุโสที่สุดในบรรดาอาสาสมัครทั้งหมดรับคำ



    “งั้นก็ดี อีกสามวันข้าจะเดินทางก็คงจะยุ่งพอควร ข้าขอให้อาหารมื้อนี้เป็นการเลี้ยงส่งให้ข้าก็แล้วกัน” ชายหนุ่มผู้นำยกแก้วไวน์ขึ้นให้กับทุกคน



    “ดื่มให้หัวหน้า” เสียงของทุกคนดังขึ้นพร้อมกันอีกครั้ง











    ณ หอคอยสังเกตการณ์ที่ประตูหมู่บ้าน จันทร์เสี้ยวลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้าห้อมล้อมด้วยดวงดาวสุกสกาวนับไม่ถ้วน สายลมจากป่าทิศเหนือของหมู่บ้านหอบเอาลมเย็นเข้ามาคงจะพอทำให้ทุกคนหลับสบาย เสียงกิ่งไม้เสียดสีกันดังเป็นระยะ อาจารย์หนุ่มและลูกศิษย์สาวกำลังคุยกันถึงการเดินทางในอีกสามวันข้างหน้า





    “เทรน เจ้ากลัวรึเปล่า”



    “ข้าไม่กลัวอันตรายใดๆ ข้าเป็นห่วงก็เพียงคุณป้ากับทุกคนในหมู่บ้านเท่านั้น”


    “งั้นข้าจะให้เจ้าอยู่เฝ้าที่นี่ ดีไหม?”



    “ข้า....” เสียงจากลำคอของหญิงสาวขาดหายไปกลางคัน

    “ข้าจะไป ข้าตั้งใจไว้แล้ว”



    “ข้าก็แค่หยอกเจ้านิดหน่อยเท่านั้นแหละ ข้าอยากให้เจ้าออกไปดูโลกภายนอกตั้งแต่แรกแล้ว ประสบการณ์ชีวิตเป็นสิ่งที่สำคัญ ข้าเองก็ออกเดินทางฝึกฝนตอนอายุสิบห้า เจ้ายังจำได้รึเปล่า”



    “ข้ายังจำได้”



    “อย่างนั้นรึ? อย่างนั้นก็คงไม่มีอะไรต้องห่วง เจ้าไปนอนได้แล้วละ พักผ่อนให้เยอะๆ เตรียมตัวให้พร้อมไว้”



    “งั้นข้าขอตัวก่อนนะคะ อาจารย์” เทรนก้าวถอยหลังและก้มหัวคำนับลาอาจารย์





    ‘การเดินทางครั้งนี้มันจะต้องมีเรื่องสำคัญเกิดขึ้น ลางสังหรณ์ของข้ามันบอกอย่างนั้น แต่ถึงกระนั้นก็มีแต่ต้องไปเท่านั้น คำตอบของความรู้สึกนี้จะต้องมีอยู่ในการเดินทางอย่างแน่นอน’







    เขาเงยหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืนอย่างไร้จุดหมาย สายตามุ่งมั่นที่จะเดินหน้าไปในเส้นทางที่เขาเลือกแล้ว







    To be continue…
  3. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    ตอนที่ 2




    ณ อาณาจักรมายา



    ยามนี้ดอกไม้สีชมพูกำลังร่วงโรยจากกิ่งแห้ง บ่งบอกถึงช่วงเวลาแห่งการผลัดเปลี่ยนฤดูกาล ต้นไม้หลายต่อหลายต้นเหลือเพียงกิ่งก้านที่รอใบใหม่ที่กำลังจะผลิในไม่ช้า เป็นสัญญาณแห่งการเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ


    “เจ้าจะไปจริงๆหรือ ทากะ?”

    “ขอรับ” ชายหนุ่มผมสีดำยุ่งเหยิงในชุดผ้าคลุมพร้อมออกเดินทางตอบคำถามของคู่สนทนา

    “องค์หญิงยังประชวรอยู่จึงมิอาจเสด็จมาส่งเจ้าได้ ถึงอย่างไรก็ขอให้เดินทางโดยปลอดภัยนะคะ”

    “มิเป็นไรขอรับ ให้พระองค์ได้พักเถิด”



    หลังจากกล่าวล่ำลากับผู้คนมากมายที่มาส่งแล้ว ‘ซารุวาตาริ ทากะ’ นักดาบแห่งอาณาจักรมายาอันเลื่องชื่อลือชาว่าเป็นเมืองโดดเดี่ยว แยกตัวจากสังคมใหญ่ ใช้ชีวิตเพียงลำพังและไม่ค่อยจะสุงสิงกับผู้คนนอกอาณาจักรเท่าใดนักออกก้าวเท้าไปตามถนนที่ถูกกลีบดอกไม้สีชมพูอ่อนร่วงหล่นกลบทับจนไม่อาจมองเห็นพื้นถนนราวกับว่าถนนเส้นนี้กว้างจนไร้ขอบเขตและไกลจนมิอาจหาปลายทางเจอ



    แต่อย่างไร เขาก็มีแต่ต้องก้าวเดินไปต่อไปเท่านั้น



















    อีกด้านหนึ่งของป่าทึบใจกลางทวีปก่อนจะถึงนครชิลโซลิธีทางทิศตะวันออก







    “นี่ วิ่งให้มันกระฉับกระเฉงหน่อยสิยะ เป็นลูกผู้ชายไม่ใช่เหรอ”

    “เธอวิ่งไวเกินไปต่างหากละ”



    ‘อากิรอส คีฟ’ และ ‘เบลลานี่ ฟลามมีอาส’ กำลังวิ่งผ่านป่าทึบด้วยความเร็วเต็มห้อหนีบางอย่างที่กำลังไล่หลังมาไม่ไกลนัก



    “วิ่งให้เร็วขึ้นสิ เดี๋ยวมันก็มาลากไปแทะซี่โครงหรอก”

    “ก็เพราะเธอซุ่มซ่ามยิงเวทไปโดนรังขอมันไม่ใช่เหรอถึงต้องมาลำบากกันแบบนี้เนี่ย”

    “นายว่าใครซุ่มซ่ามยะ!?”

    “อย่ามัวแต่โกรธน่า รีบวิ่งไปเหอะ เดี๋ยวก็โดนมันไล่มาทันหรอก” อากิรอสเตือนเพื่อนสาวคู่หูให้รีบวิ่งไปทั้งๆที่ตัวเองเป็นคนพูดให้เธอโกรธ



    ไม่ทันขาดคำของเขา ลูกบอลไฟยักษ์ก็ถูกกระหน่ำยิงลงมาจากท้องฟ้าเบื้องบนนับไม่ถ้วน เงาดำขนาดมหึมาของมังกรโฉบเข้าปกคลุมแสงอาทิตย์จนทำให้รอบๆบริเวณพวกเขาสองคนมืดลงทันใด แต่ด้วยความไวของพวกเขาทั้งสองจึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะหลบออกนอกเขตระเบิดของลูกบอลเพลิง



    “เอาไงดีละเนี่ย ขืนไม่ทำอะไรสักอย่างละก็โดนมันย่างสดแน่ๆ” อากิรอสเอ่ยปากถาม

    “งั้นก็มีแต่ต้องสู้เท่านั้นแหละ เอาแค่ให้มันสลบก็พอ”

    “งั้นก็ใช้ฟอร์เมชั่นเอก็แล้วกัน”



    หลังจากตกลงแผนกันเรียบร้อยแล้ว อากิรอสหยุดวิ่งกะทันหันแล้วหมุนตัวกลับหลังวิ่งเข้าหาเจ้ามังกรแดงสามเขาที่ไล่หลังมา



    “จงมา ศาสตราวุธแห่งข้า”



    สิ้นคำประกาศ ขวานด้ามยาวเล่มใหญ่พลันปรากฏขึ้นตรงหน้า มือขวาของเขาฉวยด้ามจับสะบัดมันออกไปด้านข้างอย่างง่ายดายแล้วดีดตัวขึ้นเงื้อขวานเล่มใหญ่ ผมสีดำเข้มพลิ้วไปตามการเคลื่อนไหวของร่างกาย แววตาเปล่งประกายอาจหาญเต็มที่ มือซ้ายขวาประสานกันเหนือหัวพร้อมขวานคู่ใจสับลงปะทะกับเจ้ามังกรคู่อริเต็มแรง



    ส่วนที่ด้านหลังของเขา เบลลานี่กำลังผนึกพลังเวทไว้ที่มือทั้งสองข้างที่ประสานกัน นิ้วชี้และนิ้วกลางมือขวาทาบประกบกับนิ้วชื้และนิ้วนางมือซ้าย ลูกไฟเก้าดวงปรากฏขึ้นรอบๆตัวเธอ อากาศในบริเวณนั้นถูกความร้อนระอุเผาไหม้จนบิดเบี้ยว



    “อาเดนเตม โรตัม! จงเผาผลาญศัตรูแห่งข้าให้สิ้นซาก กงล้ออัคคี”



    สิ้นสุดบทร่ายมนตรา ลูกไฟทั้งเก้าพลันแปรเปลี่ยนเป็นกงล้ออัคคีขนาดใหญ่หมุนตัวพุ่งไปยังอากิรอสและมังกรแดงที่กำลังพันตูในศึกระยะประชิด แต่ด้วยการที่เป็นคู่หูร่วมต่อสู้กันมานาน อากิรอสฉวยจังหวะพลิกตัวหลบกงล้อเพลิงที่พุ่งมาจากด้านหลังราวกับมองเห็น เก้ากงล้อเพลิงเข้าปะทะกับมังกรแดงเต็มๆจนเกิดการระเบิดเสียงดังกึกก้องไปทั่วป่า เหล่านกน้อยใหญ่บินขึ้นจากกิ่งไม้ด้วยอารามตกใจ มังกรแดงแสนซวยที่ต้องมาเจอกับสองนักเวทร่วงหล่นจากอากาศสู่ผืนดินเสียงดังสนั่นจนฝุ่นคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ มันนอนสิ้นเรี่ยวแรงหายใจรวยรินอยู่เบื้องล่าง ควันไฟจางๆโชยขึ้นจากทั่วทั้งตัว



    “ขอโทษทีนะ เจ้ามังกร” เบลลานีเดินเข้ามาใกล้ๆมัน “ข้าขอโทษที่ไปล่วงล้ำอาณาเขตของเจ้าในตอนแรก แต่เจ้าก็ไม่ยอมหยุดไล่ทำให้พวกเราต้องสู้”



    อากิรอสกระโดดลงมาใกล้ๆกับเบลลานี่ ขวานยักษ์ที่พาดบ่าอยู่เปล่งแสงเล็กน้อยแล้วหายไป เขาเดินเข้ามานั่งใกล้ๆกับมังกรแดงแล้วร่ายมนต์ขึ้นบทหนึ่ง



    “เวนตุส เดลิกาตุส ข้าแต่สายลมเย็นอันแผ่วเบา จงช่วยบำบัดความเจ็บปวดให้แก่ผองมิตรของข้า”

    กล่าวจบ สายลมวูบหนึ่งพัดหมุนรอบตัวเขาและมังกรแดงที่นอนควันโขมง บาดแผลไฟไหม้ของมันทุเลาลงจนเกือบหมด มังกรแดงส่งเสียงร้องอย่างอ่อนโยนเบาๆก่อนที่จะผงกหัวขึ้นมองพวกเขา



    “อย่าว่างั้นงี้เลยนะ พวกข้ากำลังรีบ แผลของเจ้าอีกไม่นานก็คงหายหมด เจ้ากลับไปดูแลลูกๆของเจ้าเถอะ ขอโทษอีกทีที่มารบกวนก็แล้วกัน” อากิรอสกล่าวจบก็ลุกขึ้นเดินมาหาเบลลานีแล้วทั้งคู่ก็ออกวิ่งไปด้วยกันอีกครั้ง



    “ทำได้ดีสมกับเป็นนักเรียนดีเด่นอันดับสองของโรงเรียนเวทมนต์แห่งอาณาจักรเวเนฟิคุสเลยนะ” เบลลานี่กระเซ้าคู่หูหนุ่มของตน

    “เธอเองก็ทำได้ดีสมกับเป็นนักเรียนดีเด่นอันดับหนึ่งเหมือนกันนั่นแหละ”



    “ฮ่าๆๆ แน่นอนอยู่แล้วละ คิดว่าฉันเป็นแค่จอมเวทธรรมดาๆอย่างนั้นเหรอ”

    “จ๊ะ แม่คนเก่ง” อากิรอสส่ายหน้าให้กับความมั่นอกมั่นใจเกินร้อยของเพื่อนสาวก่อนทั้งคู่จะสาวท้าววิ่งให้เร็วขึ้นโดยมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่มหานครชิลโซลิธี







    เส้นด้ายแห่งชะตากรรมกำลังชักพาพวกเขาให้มาพบกัน โดยมิอาจรู้ว่าเป็นชะตากรรมจากพระผู้เป็นเจ้ากำหนดหรือเพราะพวกเขามีบางสิ่งเชื่อมโยงกันและกันมาก่อน





    รุ่งอรุณที่หมู่บ้านของอเซแมก เขาและลูกศิษย์สาวเตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางแล้ว



    อเซแมกอยู่ในชุดเสื้อกางเกงดำมีเข็มขัดหนังสีน้ำตาลพร้อมดาบสะพายข้าง มือทั้งสองสวมเกราะสีเงินไม่ขัดเงา ผ้าคลุมของเขาผูกอยู่ที่เอว ส่วนเทรนสวมเสื้อสีน้ำเงินกางเกงสีดำสวมกระโปรงผ้าเนื้อหนาสีน้ำตาลแก่อีกชั้น เข็มขัดหนังสีดำพร้อมดาบสะพายข้างเช่นเดียวกับผู้เป็นอาจารย์ ห้อมล้อมด้วยชาวหมู่บ้านที่มารอส่ง





    “งั้นข้าไปก่อนนะ ท่านป้า” เทรนกล่าวคำอำลากับป้าของเธอ น้ำตาใสๆเริ่มเอ่อออกมาให้เห็นแต่เธอก็แข็งใจปาดมันออกไปทันที

    “ท่านแมคโดเวล ข้าฝากท่านดูแลมันหน่อยนะคะ”



    “ท่านป้าแคลร์ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ถึงเวลาคับขันน่ะ ยัยนี่วิ่งเร็วกว่าข้าอีกนะ” ประโยคนี้ของเขาช่วยเรียกเสียงหัวเราะจากผู้คน ช่วยลดความเศร้าของบรรยากาศจากลาได้เยอะ



    “ข้าฝากหมู่บ้านไว้กับเจ้านะ อัลเบิร์ต แล้วข้าจะกลับมา” อเซแมกหันไปกำชับอัลเบิร์ตอีกครั้งก่อนจะขึ้นขี่ม้าสีดำคู่ใจของเขา



    “เทรน ไปกันได้แล้ว”

    “รับทราบค่ะ ท่านอาจารย์” เธอกระโดดขึ้นหลังม้าสีน้ำตาลอย่างคล่องแคล่ว มือกุมบังเหียนพร้อม



    “งั้นพวกข้าไปก่อนละนะ ขอให้สหายของข้าทุกคนโชคดี”

    “ขอให้หัวหน้าโชคดี” เหล่าอาสาสมัครหมู่บ้านขานรับคำอย่างพร้อมเพรียง ทั้งสองยิ้มให้กับทุกคนก่อนจะควบม้าออกไปอย่างรวดเร็ว



    “เทรน ข้าขอเตือนเจ้าไว้อย่างหนึ่ง”

    “อะไรเหรอ อาจารย์”



    “ในโลกนี้มีคนหลากหลายประเภท คนบางพวกชอบดูหมิ่นผู้อื่น โดยเฉพาะพวกอิสตรีที่จับดาบฝึกอาวุธอย่างเจ้าย่อมเป็นเป้าหมายที่พวกมันจะยั่วยุ ฉะนั้น จงอดกลั้นไว้ หากข้าไม่อนุญาตห้ามต่อสู้เด็ดขาด”



    “เจ้าคนพวกนั้นล่ะที่ข้าเกลียดที่สุดเลย”



    “ต่อให้ฆ่าพวกมันไปก็เท่านั้นแหละ มีแต่จะทำให้เสียเวลาไปเปล่าๆ”



    “งั้นข้าไม่รับปากนะ ข้าจะทนเท่าที่ทนได้ ถ้าล้ำเส้นข้ามากๆข้าก็จะถีบพวกมันออกไปเอง” ลูกศิษย์สาวยิ้มกว้างร่าเริง



    “เจ้านี่มันจริงๆเลย เอาเถอะ อย่าทำให้มันเลยเถิดก็แล้วกัน รีบไปกันเถอะ” อเซแมกส่ายหน้าแบบขำๆกับคำตอบของลูกศิษย์สาว เพราะความห้าวเกินตัวและวีรกรรมก่อนหน้านี้ก็ทำให้เขาคาดเดาคำตอบได้



    ทั้งสองเร่งม้าให้ควบฝีเท้าให้ไวขึ้น จุดมุ่งหมายที่นครชิลโซลิธีแม้จะไกลแต่ด้วยม้าฝีเท้าดีแบบนี้อาจจะไปถึงก่อนค่ำได้แบบเฉียดฉิว หากมืดลงก่อนจะไปถึงเมืองแล้วละก็อาจจะต้องสู้กับฝูงสัตว์ร้ายที่ออกหากินให้เหนื่อยเปล่าๆ





    เมื่อพระอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้าเต็มที่ ทั้งคนและม้าก็เดินทางมาถึงมหานครชิลโซลิธีทางประตูทิศใต้อย่างเหนื่อยอ่อน



    “ถึงสักที” เทรนล้มนอนราบไปกับหลังม้า

    “ถ้าแค่นี้ทำให้เจ้าหมดแรงแล้วละก็ สงสัยข้าต้องฝึกเจ้าให้หนักกว่านี้สักสามเท่าแล้ว”

    “ข้ายังไหวหรอกน่า”

    “ไปหาอะไรเซ่นกระเพาะกันดีกว่า” เขาควบม้านำหน้าลูกศิษย์เข้าประตูเมือง





    มหานครชิลโซลิธีในเวลาก่อนค่ำช่างสวยงามยิ่งนัก กำแพงรอบเมืองเป็นรูปแปดเปลี่ยนมีประตูเข้าออกสี่ทิศเหนือใต้ออกตก มีหอคอยอยู่แปดจุด ตัวเมืองแบ่งออกเป็นสามชั้นลดหลั่นตามความสูง ตัวเมืองชั้นนอกเป็นเขตการค้าและบ้านของชาวเมืองเป็นส่วนใหญ่ ตามถนนหนทางเริ่มมีกองทหารออกมาจุดไฟตามเสาตลอดสองข้างทางเพื่อให้แสงสว่าง แม้จะเริ่มมืดค่ำผู้คนก็ยังเดินกันขวักไขว่มากมาย



    เขตเมืองชั้นที่สองเป็นเขตกองทัพ แบ่งเป็นลานฝึกซ้อม คอกม้า ที่พักทหาร คลังอาวุธและคลังเสบียง ล้อมรอบด้วยกำแพงหินสูงเป็นปราการ มีหอคอยสังเกตการณ์อยู่ทั้งสี่ทิศอีกชั้นหนึ่ง มีกองทหารลาดตระเวนอยู่บนทางเดินกำแพงเป็นระยะ



    เขตเมืองที่ลึกที่สุดเป็นเขตราชวังที่ประทับของจักรพรรดิแห่งชิลโซลิธี ใจกลางพระราชวังเป็นหอคอยใหญ่สูงตระหง่าน ยอดหอคอยเปล่งแสงรัศมีสีเหลืองนวลตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน แสงที่ว่าเป็นแสงมาจากเศษหินผลึกที่ถูกเก็บรักษาไว้ภายในพระราชวัง แสงของมันเปล่งประกายจากเบื้องล่างสู่ยอดหอคอยแล้วกระจายออกดูราวกับเป็นแสงชี้นำทางให้แก่ประชาราษฎร์ทั้งหลาย





    ศิษย์อาจารย์สองคนนำม้าไปฝากไว้ที่คอกของทางการแล้วจึงมุ่งหน้าไปยังร้านอาหารที่คึกคักที่สุดในเขตตลาดตะวันตก



    “โอ้โห ไม่เปลี่ยนไปเลยแฮะ” อเซแมกพูดทันทีเมื่อเปิดประตู้ก้าวเท้าเข้าภายในร้านก่อนจะเดินนำหน้าเทรนเข้าไปที่บาร์



    “มาสเตอร์ ยังขายดีเหมือนเดิมเลยนะ” เสียงทักของเขาทำให้ชายวัยกลางคน ผมบนศีรษะเริ่มเบาบางและหงอกขาวหันกลับมาจากชั้นเก็บไวน์



    “เฮ้! ลมอะไรหอบเจ้าหนูมาถึงที่นี่ได้นะ ไม่เจอกันตั้งนานโตเป็นหนุ่มขนาดนี้แล้วเชียว ฮ่าๆๆๆ”



    “นี่ลูกศิษย์ข้า เทรน แมคโดเวล” อเซแมกแนะนำลูกศิษย์สาวของเขา เทรนก้มหัวคำนับให้มาสเตอร์



    “ฮ่าๆๆ หน้าตาน่าเอ็นดูเชียวนะ มาๆ วันนี้ข้าเลี้ยงเจ้าเอง จะกินอะไรสั่งได้เต็มที่เลยนะ”



    “ขอเป็นน้ำชากับสปาเกตตี้เหมือนเดิมดีกว่า”



    “เจ้านี่ไม่เปลี่ยนไปเลย ได้! เดี๋ยวข้าจะให้อีแก่มันผัดให้เจ้าพิเศษเลย” มาสเตอร์เดินไปตะโกนโหวกเหวกอยู่หน้าประตูห้องครัว “เฮ้ย! ยัยเฒ่า วันนี้มีแขกพิเศษมา ผักสปาเกตตี้สูตรพิเศษมาสองจานด่วนเลย”



    “แขกพิเศษที่ไหนกันวะ” หญิงวัยกลางคนในชุดทำครัวโผล่หน้าออกมามอง “ฮ้า! เจ้าหนูอเซนี่เองเรอะ ต๊าย! ไม่เจอกันนานเชียว คอยแปปนึงนะเดี๋ยวข้าจะทำให้เดี๋ยวนี้หละ” พูดจบนางก็ผลุบหายเข้าไปในห้องครัวทันทีไม่ทันมอง อเซแมกที่ยกมือขึ้นทักทาย



    บรรยากาศในร้านเต็มไปด้วยเสียงโหวกเหวกวายจากบรรดาลูกค้าที่เริ่มตกอยู่ในอำนาจของแก้วไวน์ในมือ บางโต๊ะก็จับกลุ่มนั่งเล่นไพ่กันหน้าดำคร่ำเครียดเพราะเงินเดิมพันที่กลางโต๊ะดูเหมือนจะมากกว่าสามสิบเหรียญทองได้ อีกมุมหนึ่งก็มีนักดนตรีหยิบกีตาร์และไวโอลินบรรเลงเพลงดังแว่วมาพร้อมเสียงเฮฮาของคนละแวกนั้น



    หลังจากกินอาหารลงกระเพาะแล้ว มาสเตอร์กับภรรยาก็เดินเข้ามาคุยกับเขา



    “กี่ปีกันแล้วนะ เจ้าโตขึ้นมากจริงๆ” ภรรยามาสเตอร์ถามด้วยรอยยิ้มเอ็นดู

    “ราวๆแปดปีเห็นจะได้ ที่นี่ก็ยังคึกคักไม่เปลี่ยนเลยนะครับ” เขาตอบกลับด้วยรอยยิ้มเช่นกัน

    “แล้วแม่หนูนี่ใครกันละ อย่าบอกว่าไปหิ้วมากลางทางนะ”

    “ข้า! เทรน แมคโดเวล ลูกศิษย์ของท่านอาจารย์อเซแมกค่ะ” เทรนตอบกลับแบบอายๆ



    “ฮ่าๆๆ ข้าคงไม่หิ้วม้าดีดกระโหลกแบบนี้มาจากข้างทางหรอกท่านป้า” เขาหัวเราะลั่น



    “แล้วเจ้ามาทำอะไรที่ชิลโซลิธีนี่ละ” มาสเตอร์ถาม

    “ข้ามาลองคัดเลือกเข้าร่วมภารกิจที่ท่านจักรพรรดิกำลังหาคนอยู่น่ะ” พูดจบก็ยกแก้วไวน์ขึ้นดื่มอึกหนึ่ง “ท่าทางน่าสนุกดี”



    “เจ้าก็ไม่เปลี่ยนเลยนะ แสวงหาความท้าทายอยู่เรื่อย เอาเถอะ คืนนี้เจ้าได้ที่นอนรึยังละ ถ้ายังไงห้องพักคนงานของข้าก็ยังมีเหลือนะ”



    “ข้าขอบคุณท่านมากที่ช่วยเหลือข้าไว้ตั้งแต่ครั้งโน้นจนถึงเดี๋ยวนี้” อเซแมกลุกขึ้นคำนับมาสเตอร์

    “จะมาเกรงใจอะไรกันตอนนี้ คนกันเองแท้ๆ” คุณป้ากล่าวขึ้น “ไปพักผ่อนที่ตึกข้างหลังเถอะนะ พาอาจารย์เจ้าไปเลยยัยหนู ขืนปล่อยไว้ตรงนี้เดี๋ยวได้ไปร่วมวงไพ่กับเขาแน่ๆ”



    “ข้าไม่เคยรู้เลยนะเนี่ยว่าอาจารย์จะชอบเล่นไพ่ขนาดนั้น” เทรนลุกขึ้นถอดผ้าคลุมม้วนเก็บเดินตามคุณป้าไป

    “ตัวแสบเลยละ กินเงินเค้าทั้งร้านเลย” เธอหัวเราะดีใจเมื่อนึกถึงอดีตเมื่อวันวาน เทรนได้แต่อมยิ้มเดินตามหลังไปโดยมีอาจารย์หนุ่มตามหลังมา



    เข้าห้องจัดแจงที่นอน อาบน้ำอาบท่าเสร็จเรียบร้อยแล้ว อเซแมกยกเตียงนอนให้เทรนไปส่วนตัวเขาปูผ้านอนที่พื้น แม้ว่ายัยลูกศิษย์หัวดื้อจะไม่ยอมในตอนแรกแต่ก็ขัดคำสั่งอาจารย์ไม่ได้จึงต้องยอมนอนเตียงไปแต่โดยดี



    ชายหนุ่มมองดูลูกศิษย์สาวนอนหลับอยู่ใต้ผ้าห่ม นอกจากจะเป็นลูกศิษย์เพียงคนเดียวแล้วเธอยังเป็นเหมือนน้องสาวแท้ๆของเขาอีกด้วย







    สิบเจ็ดปีที่แล้ว



    ค่ำคืนนั้นไร้แสงจากดวงจันทร์แม้กระทั่งแสงดาวก็น้อยเต็มที เป็นคืนเดือนมืดที่มืดมิดสมชื่อ ขบวนผู้อพยพจากหมู่บ้านหนึ่งกำลังหนีการไล่ล่าจากปีศาจมายังหมู่บ้านของเขา พ่อของอเซแมกได้รับข้อความข้อความช่วยเหลือจึงควบม้านำหน้าอาสาสมัครออกไปช่วยพวกเขากลางทาง



    แต่ก็สายเกินไป บรรดาปีศาจมากมายไล่มาทันและไล่ฆ่ามนุษย์ เพลิงไฟลุกลามไปทั่ว ขบวนรถม้าล้มคว่ำกระจัดกระจาย ศพเกลื่อนกลาดเต็มไปหมด เสียงร้องไห้ปะปนกับเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด



    พ่อของเขานำอาสาสมัครเข้ารบพุ่งฆ่าฟันพวกปีศาจจนหมด เสียงร้องของเด็กทารกในรถม้าดึงความสนใจของเขา เขาพบร่างของเด็กทารกเพศหญิงในอ้อมกอดของมารดาที่สิ้นลมหายใจไปแล้วกำลังร้องไห้ตื่นตระหนกกับเสียงที่ดังก้องไปทั่ว เขาค่อยๆบรรจงแกะมือของผู้เป็นแม่แม้ว่าจะตายไปแล้วก็ยังกอดปกป้องลูกสาวไว้ออกอุ้มเด็กน้อยขึ้นมากอดปลอบให้หยุดร้องไห้















    ‘ฉึบ!’



    เสียงของโลหะที่แข็ง เย็นเฉียบ คมปลาบเสียบผ่านร่างเนื้อที่อุ่นไปด้วยไอแห่งชีวิต ความเจ็บแปลบวิ่งพล่านไปทั้งทางกาย



    “เป็นมนุษย์แต่ก็ทำได้ไม่เลวนี่นา เล่นเอาลูกน้องของข้าตายหมดเลยนะ” น้ำเสียงเย็นชาแฝงความน่าขนลุกดังขึ้นจากด้านหลังของเขา เจ้าของดาบในมือขวาที่แทงหลังของเขาทะลุออกหน้าท้อง เลือดอุ่นสีแดงไหลรินตามปากแผลซึมเปื้อนเสื้อผ้าฝ้ายกระจายออกเป็นวงกว้าง



    ความตกตะลึงบังเกิดแต่พรรคพวกและสหายร่วมรบ พวกเขากรูเข้าไปหมายจะฆ่าล้างแค้นปีศาจที่ลอบกัดหัวหน้า มันดึงดาบออกอย่างไร้ปราณีทิ้งร่างของยอดบุรุษลงกับผืนดินแล้วเริ่มเข่นฆ่าบรรดานักรบที่พุ่งกายเข้ามาหาล้มลงทีละคนๆ



    “หนีไป! หนีไปให้ไวที่สุด” เขากลั้นใจตะโกนออกไปสุดเสียงแม้จะขยับกายไม่ได้ เลือดสดๆกระอักออกจากปากทันทีที่เสียงขาดหายไป



    “เจ้านี่น่าทึ่งจริงๆ ถ้าเป็นคนทั่วไปโดนดาบของข้าคงจะตายไปตั้งแต่วินาทีแรกแล้วนะ” เจ้าปีศาจหันกลับมามองร่างของเขา



    “อ๊ากกกกก” เสียงของบรรดานักรบที่กู่ร้องกรูเข้าไปพร้อมอาวุธในมือดังขึ้นพร้อมๆกับ ฝีมือของพวกเขาต่างระดับกับศัตรูเบื้องหน้าอยู่มาก



    “เอาละ มาจบเรื่องนี้กันเถิดยอดนักรบ หากเจ้าเจ็บปวดทรมานข้าก็จะช่วยให้เจ้าพ้นจากความเจ็บปวดทรมานนั้นเอง”



    แต่ก่อนที่ดาบจะถูกวาดลงบั่นคอร่างที่หายใจรวยริน คมดาบหนึ่งตัดผ่านอากาศเข้าปะทะกับดาบของปีศาจนิรนามก่อนที่จะถึงตัวเขากลางทาง







    “เหยี่ยวสายฟ้างั้นรึ”



    ร่างของบุรุษผู้หนึ่งปรากฏขึ้น แม้ว่าเขาจะแก่ชราใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยับย่น คิ้วและหนวดขาวโพลนแล้วก็ตามแต่แววตายังเปล่งประกายของยอดนักรบอยู่



    “เป็นความผิดของข้าที่ไม่ได้กำจัดเศษเดนปีศาจอย่างเจ้าให้หมดไปจากแผ่นดินนี้” ออร่าแห่งการต่อสู้ผุดขึ้นทั่วร่าง สายลมพัดโหมกระหน่ำไปทั่ว



    “อย่างนี้นี่เอง เจ้านี่เป็นลูกชายของเจ้า มิน่าละถึงได้แข็งแกร่งนัก”



    “วันนี้ข้าสนุกพอแล้ว ค่อยเจอกันอีกทีในวันที่นายของข้าตื่นจากนิทราเถิด” ไอความมืดผุดขึ้นรอบตัวของมันก่อนที่จะหายวับไป



    เหยี่ยวสายฟ้าผู้เป็นพ่อรุดเข้าไปดูอาการของลูกชาย น่าเสียดายที่เขาสิ้นลมหายใจไปแล้วโดยมิทันได้ดูหน้าบิดาที่มาช่วย



    หลังจากนั้น ยอดนักรบจากมหาสงครามครั้งก่อนจึงนำเด็กหญิงที่รอดตายเพียงคนเดียวจากค่ำคืนแห่งโศกนาฏกรรมกลับมาเลี้ยงดูคู่กับหลานชายวัยเจ็ดปีของเขาที่บัดนี้เป็นกำพร้าบิดาเพราะตายในสนามรบและกำพร้ามารดาเพราะโรคภัยคร่าชีวิตไปก่อนหน้า



    เมื่ออเซแมกอายุได้สิบห้าปี ปู่ของเขาก็จากโลกนี้ไปด้วยความชรา เขาตัดสินใจออกเดินทางฝึกฝนตนโดยไม่ฟังคำทักท้วงของผู้ใหญ่ในหมู่บ้าน เขาฝากน้องสาวบุญธรรม ‘เทรน’ ไว้ให้ป้าแคลร์ดูแล



    อีกห้าปีถัดมา เขาย้อนกลับมาที่หมู่บ้านอีกครั้งพร้อมด้วยฝีมือรบที่เก่งกาจ เขาฝึกเด็กหนุ่มในหมู่บ้านให้ใช้อาวุธและก่อตั้งกองกำลังอาสาสมัครปกป้องหมู่บ้านขึ้นอีกครั้ง









    “ท่านช่วยฝึกให้ข้าด้วยได้ไหม” เทรนลากดาบยาวเล่มหนึ่งมากับพื้นมาขอให้เขาสอนวิชาดาบ



    “เจ้าจะฝึกไปเพื่ออะไร”



    “ข้าอยากแข็งแกร่ง ข้าจะปกป้องตัวเอง ข้าจะปกป้องคนที่ข้ารัก”



    แววตาของเด็กสาวฉายแววเด่นไม่มีความลังเลใดๆ แม้ว่าจะเป็นสตรีเพศแต่จิตใจเข้มแข็งไม่แพ้บุรุษ เขาจึงยอมสอนวิชาให้และให้เธอเรียกเขาว่าอาจารย์แทนพี่ชาย

















    รุ่งอรุณเป็นสัญญาณแห่งวันใหม่ เหล่านกบินโฉบไปตามลมเพื่อออกหาอาหาร ชาวเมืองเริ่มออกเดินทางไปทำงาน ร้านค้าเปิดประตูกว้างต้อนรับลูกค้า อเซแมกและเทรนจัดแจงชุดและอาวุธพร้อมสรรพแล้วกำลังนั่งทานข้าวเช้าอยู่ในร้านของมาสเตอร์ ลูกค้าเริ่มทยอยมาได้สักครึ่งร้านแล้ว บรรดาลูกค้าล้วนเป็นนักสู้ที่เดินทางมาที่ชิลโซลิธีเพราะวันนี้เป็นวันกำหนดการคัดเลือกผู้กล้าที่จะทำภารกิจให้จักรพรรดิ





    “ปึง” เสียงเปิดประตูร้านดังลั่นเรียกความสนใจของทุกคนให้หันไปมอง



    “ข้ามาตามหาผู้ชายผมน้ำตาลกับผู้หญิงคนหนึ่ง” ผู้ที่ก้าวเท้าเข้ามาเป็นแม่ทัพของชิลโซลิธี แต่งกายมาในชุดเกราะเต็มยศ ผมสั้นสีน้ำเงินเข้มบ่งบอกว่าเขาเกิดในตระกูลนักรบชั้นสูงของมหานครแห่งนี้ คำถามของเขาทำให้สายตาในร้านหันไปมองอเซแมกกับเทรนที่นั่งอยู่หน้าบาร์ เขายกแก้วน้ำขึ้นดื่มจนหมดแล้วถามกลับไปทั้งๆที่ยังหันหลัง





    “ท่านคงจะหมายถึงข้ากระมัง ท่านแม่ทัพ”



    “หันหลังอยู่ยังรู้ว่าข้าเป็นใครงั้นรึ?”



    “เสียงรองเท้าเหล็กหนักกระทบพื้น เสียงสวบสาบของเกราะอ่อนเสียดสีกับเกราะเหล็กหนาที่ทับอยู่ด้านนอก จิตคุกคามที่มาพร้อมเสียงเปิดประตู สุ้มเสียงหนักแน่นมีอำนาจแต่ทุ้มต่ำบ่งบอกว่ามิใช่ชายฉกรรจ์ นอกจากนักรบชั้นสูงในระดับแม่ทัพแล้วยังจะมีใครได้อีก” เขายังคงนั่งหันหลังหยิบเหยือกน้ำมารินเติมแก้วของตัวเอง









    “ยอดเยี่ยม” แม่ทัพแห่งชิลโซลิธีก้าวเท้าเดินตรงไปยังเขา

    “ท่านกล่าวเกินไปแล้ว” อเซแมกหันมาเผชิญหน้ากับเขา “ท่านมาเพื่อธุระอันใด ท่านแม่ทัพ”



    “ทหารยามหน้าประตูแจ้งข้าว่า เวลาเย็นเมื่อวานเห็นชายหญิงคู่หนึ่งเดินทางเข้าเมือง ชายผู้นั้นสวมสร้อยคออัศวินรูปเหยี่ยวสายฟ้า”



    “สร้อยเส้นนี้สินะครับ” เขาล้วงหยิบสร้อยออกมาให้แม่ทัพดูชัดๆ



    “เจ้าเป็นอะไรกับ เหยี่ยวสายฟ้า! ฟอร์ติ แมคโดเวล”

    “ข้าคืออเซแมก แมคโดเวล หลานชายของเขา” คำตอบของเขาเรียกเสียงดังอื้ออึงขึ้นในร้าน



    “ขอไวน์ที่ดีที่สุดในร้านให้ข้าสองแก้วด้วย มาสเตอร์” แม่ทัพสั่ง เมื่อได้แก้วไวน์แล้วเขาจึงยื่นส่งให้อเซแมก



    “ข้าขอดื่มให้กับหลานชายของเขา ปู่ของข้าเคยร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับปู่ของเจ้ามาก่อน ตำนานที่เข้าสร้างไว้นั้นยอดเยี่ยมเกินที่จะกล่าวได้หมด ดื่ม”

    “ขอบคุณท่านแม่ทัพ” เขารับแก้วไวน์มาแล้วดื่มจนหมด



    “ที่เจ้ามาที่ชิลโซลิธีก็เพราะข่าวเรื่องภารกิจของท่านจักรพรรดิสินะ”

    “ใช่แล้วครับ”

    “งั้นก็ดี ข้าจะรอชมฝีมือของเจ้า เจอกันที่ลานประลองนะ” แม่ทัพหันหลังเดินกลับออกไปนอกร้าน กองทหารที่ยืนรออยู่ด้านนอกทำความเคารพแล้วเดินสวนสนามตามหลังเขาไป









    “เอาละ เราก็ไปกันบ้างเถอะ” อเซแมกลุกขึ้นจากเก้าอี้ จัดแจงหยิบเสื้อคลุมมาสวม เทรนกระชับดาบที่เอวเตรียมพร้อม



    “ข้าขอบคุณมากๆ มาสเตอร์ ท่านป้า หากมีโอกาสข้าจะแวะมาอีก”

    “ไม่ต้องเกรงใจมากเรื่องหรอก เสร็จภารกิจแล้วละก็กลับมาอีกก็พอ ข้าจะผัดสปาเกตตี้อร่อยๆให้เจ้ากินเอง” เธอเข้ามาสวมกอดเขาราวกับเป็นลูกคนหนึ่ง



    “ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะกลับมาครับ” เขากอดเธอกลับ





    “งั้นข้าไปละนะ” เขาก้าวเดินออกจากประตูร้านที่เทรนเปิดรอไว้อยู่ แสงอาทิตย์เจิดจ้าและการต่อสู้กำลังรอเขาอยู่เบื้องหน้า




    To be continue…





    - คุยกันท้ายตอน -


    ลงสองตอนรวดครับ มีอะไรต้องแก้ไขเชิญแนะนำติชมได้เต็มที่ครับ

    ที่ลงสองตอนรวดเพราะว่าตอนหนึ่งมันเป็นบทเกริ่มเสียเยอะกลัวจะกร่อยๆเลยเขียนตอนสองให้มีฉากต่อสู้และเข้าสู่เนื้อเรื่องถัดไปให้อ่านพร้อมกันน่าจะได้อรรถรสมากกว่า

    มือใหม่หัดเขียน เชิญเฆี่ยนตี เอ๊ย เชิญแนะนำสั่งสอนได้ครับ

    Azemag A.C. McDowell

  4. swanton

    swanton Dragon on Board

    EXP:
    1,424
    ถูกใจที่ได้รับ:
    69
    คะแนน Trophy:
    113
    ว้อยยย ยาว! แต่สนุกโคตร ไม่ได้อ่านอะไรแบบนี้มานานมากแล้ว!!!!

    ชอบความเป็นแฟนตาซี ประวัติศาสตร์ของเรื่อง ผมเป็นคนชอบแฟนตาซีเพียวๆ ที่มีกลิ่นอายของ "สงคราม" "ผู้กล้า" "การตามหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาผนึกมาร" "พันธมิตร" (สรุปมันก็คือ LOTR ไม่ใช่เหรอวะ...) และทุกวันนี้ก็หาได้ยากนักที่จะมีเรื่องเหล่านี้ให้อ่านใน All-Final
    ผมอ่านด้วยความใจจดใจจ่อ เพราะอยากเห็นหน้าพันธมิตรทั้งหมดที่จะมากอบกู้แผ่นดินครับ

    เอาความรู้สึกส่วนตัวก่อนดีกว่า ผมชอบเทรนมาก เทรนเป็นตัวละครประเภทที่ทำให้เรื่องราวมีสีสัน เพราะ..จะขอเม้นท์ว่า อาเซแม็กนั้นจืดจางมากครับ อาจจะเพราะนิสัยของเขา หรือการแต่งกาย หน้าตาที่ไม่ได้โดดเด่นนัก จึงทำให้เขาจืดจาง แต่การจับคู่เทรนถือเป็นเรื่องลงตัว และทำให้การเดินทางสนุก!
    และอดทำให้คิดไม่ได้ว่า ความสัมพันธ์ศิษย์-อาจารย์ ต้องเกินเลยกว่านี้แน่! หึหึ

    ว่ากันตามตรง ผมไม่คิดว่าอาเซแม็กผู้ออกตัวว่าไม่เก่งแฟนตาซีจะแต่งแฟนตาซีได้ดีขนาดนี้ โอเค ผมไม่พูดถึงเรื่องสำนวนภาษา แต่จะเห็นองค์ประกอบหลายๆอย่างของแฟนตาซีที่ดี ความละเอียดและสมจริงภายใต้กรอบของแฟนตาซีทำให้ฟิคเรื่องนี้มีคุณค่าในตัวมัน เช่น เสื้อเกราะของอาเซแม็กไม่้ขัดมันเงา เป็นรายละเอียดเล็กๆน้อยๆที่บรรยายแล้วชวนให้รู้สึกถึงความคิดของคนแต่ง ซึ่งเหมาะกับคาแรคเตอร์อาเซแม็กที่เป็นคนเรียบๆ และไม่ได้มีฐานะอะไรมาก อย่างไรก็ตาม การเชื่อมโยงถึงประวัติเหยี่ยวสายฟ้า ทำให้ตัวละครมีความ "ลึก" มากขึ้น และผมก็แอบชอบตำหน่งหัวหน้ากองกำลังรักษาหมู่บ้านเสียด้วยสิเพราะมันให้ความรู้สึก "เก่ง" แต่ไม่ต้อง "เด่น" จนเกินไป (ผมเบื่อพระเอกเด่นเว่อร์น่ะครับ)

    ข้อติติง

    - แม้เป็นแฟนตาซี แต่พบว่าบทสนทนามีภาษาสมัยใหม่เข้าไปปะปนเยอะมาก ส่งผลให้อ่านแล้วสะดุดกึกเป็นพักๆ ไม่ลื่นไหลเท่าที่ควร อันนี้อยาก recommend มากๆให้ปรับปรุงครับ
    - อากิรอสตอนแรกดูโหดเหี้ยมมาก เจอมังกรก็กระโดดฟัน(แม่ง)เลย แต่ตอนหลังกลับรักษาแล้วปล่อยไป ผมเข้าใจคาแรคเตอร์ตัวละครที่ต้องการสื่อ แต่การแสดงออกมันต่างกันเกินไปนะครับ
    - แม่ทัพน่าจะมีบทในตอนต่อๆไป แต่ไม่ค่อยบรรยายถึงตะแกเลย ตกลงแกมาทำไม ท้าประลองทำไม และชื่ออะไร ถ้าไหนๆจะมีบทแล้ว อยากให้ลงรายละเอียดอีกนิดนึงครับ

    เม้นท์ซะยาว สิ่งไหนชอบใจรับไปปรับปรุง ส่งไหนไม่ชอบจะคงไว้ผมก็ไม่ว่า ผมรู้แค่ว่า ฟิคเรื่องนี้สนุกมากครับ!
  5. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    คลาสสิคแฟนตาซีที่ไม่ได้อ่านมาซะนาน >_<

    นานๆทีเจอทีงี้ ชักอยากอ่านต่อให้เต็มอิ่มแฮะ
  6. powder

    powder Member

    EXP:
    260
    ถูกใจที่ได้รับ:
    9
    คะแนน Trophy:
    18
    อ่านจบทั้งสองตอนแล้ว สนุกมากค่ะ คลาสสิคแฟนตาซีอิ่มเอมใจดี

    การเีขยนอ่านสนุกค่ะ มีติดขัดแค่เล็กน้อยกับคำผิดบางจุดเท่านั้น

    อ่านสนุกมากๆจากที่ไม่ค่อยได้อ่านแนวนี้มานานแล้ว รอตามอ่านตอนต่อไปค่ะ :penwing:
  7. yoshiki

    yoshiki FATE

    EXP:
    862
    ถูกใจที่ได้รับ:
    17
    คะแนน Trophy:
    38
    เฮ้ย เขียนได้ขนาดนี้ไม่ต้องให้ผมช่วยฟิค FF X แล้วมั้ง

    สนุกครับ สนุกมากเลย ชอบเทรนจังมาก เป็นเด็กที่รู้สึกอยากไปตบเกรียนดี (อ้าว ยังไงฟะ) ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังเล่น FF V อยู่เลย ....มันคิดอย่างงั้นจริงๆนะเพ่

    เอาเป็นว่า ผมรอตอนต่อไปนอนแน่ เป็นกำลังใจให้ครับ

    ปล. ไหนว่าเขียนฟิคแนวแฟนตาซีไม่เป็นฟะ !!
  8. shinkyoto

    shinkyoto Well-Known Member

    EXP:
    580
    ถูกใจที่ได้รับ:
    3
    คะแนน Trophy:
    88
    ออกแนวผู้กล้า จอมมาร และ เจ้าหญิง ที่มีกันทั่วไป (แต่ไม่ค่อยได้เห็นในบอร์ดนี้สักเท่าไหร่)

    แต่อ่านแล้วสนุกน่าติดตาม ทั้งความสัมพันธ์ตัวละคร และ การพัฒนาของตัวละครทั้งฝ่ายชายและหญิง

    เพราะไม่ค่อยอ่านแนวแฟนตาซี เลยไม่แน่ใจว่าจะให้ความรู้สึกอย่างไรดี (ว่าเหมือนดูหนังแฟนตาซีไปได้แค่ 10นาทีเลยไม่แน่ใจว่าภาพรวมจะเป็นอย่างไร)

    จะรอดูส่วนที่เหลือของตำนานบทนี้ (หากว่าตำนานบทนี้จะเป็นหนังตอนเดียวจบ ไม่ใช่หนังไตรภาคแบบบางเรื่องก่อนหน้านี้)
  9. ReficuL

    ReficuL New Member

    EXP:
    53
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    ไม่มีอะไรให้ติ แต่มีที่อยากชมเยอะมาก

    ไม่น่าเชื่อว่าพี่เพิ่งหัดเขียน (จิงๆ นะ) งานคุณภาพนะเนี่ย

    อ่านแล้วเป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่นๆ อยากขุดฟิคมาแต่งต่อมาก

    ถึงพี่อีวานจะบอกว่ายาว แต่สำหรับคนว่างงานอย่างหยก คิดว่าอยากอ่านต่อไปเรื่อยๆ ค่ะ

    แต่เอาเป็นว่าไม่บีบผู้แต่ง เขียนชิวๆ ละกันนะค่ะ สู้ๆ ค่ะ จะรออ่านนะพี่เกมส์
  10. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163


    ถ้าอ่านแล้วได้อารมณ์ตามนั้นผมก็ดีใจนะครับ (ส่วนเรื่องความสัมพันธ์ต้องห้ามนั้น กรุณาอย่าจิ้นไปไกล ฮา)

    ส่วนที่ต้องปรับปรุงก็จะรับไปปรับปรุงให้ดีขึ้นครับ









    ขอบคุณมากครับ เดี๋ยวจะเขียนมาให้อ่านเรื่อยๆเลย









    ขอบคุณเรื่องคำผิดนะครับ น้องฝุ่น

    จะพยายามเช็คให้ละเอียดถี่ถ้วนมากกว่านี้ก่อนจะเอามาลง ยังไงก็ขอบคุณที่ตามอ่านครับ









    ไหงจะมาตบเกรียนเทรนจังลูกศิษย์ผมละฟะ! ผมไม่เคยเล่น FF Vนะ เล่นแต่ VIII กับ X

    ถ้ามันให้อารมณ์แนวๆนั้นเหมือนกันก็โอเคเนอะ!!?

    ปล. เรื่องนี้น่ะ แฟนตาซีเรื่องแรกจริงๆนะ











    ขอบคุณครับ ก็คงต้องติดตามตอนต่อไปละครับ ยังมีอีกยาวแน่ๆ

    บทตำนานดอกไม้เจ็ดสีจบในตอนครับ แล้วก็จะขึ้นบทใหม่ (แต่ก่อนอื่นเขียนบทนี้ให้จบก่อนละกัน ฮา)









    ขอบคุณน้องหยกเช่นกันครับ งั้นก็จงไฟลุกท่วมแล้วเขียนฟิคให้พี่อ่านบ้างนะ!







    ดีใจจริงๆครับที่มีคนติดตามอ่านมากขนาดนี้ งั้นเชิญอ่านตอนสามกันได้เลยครับ
  11. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    ตอนที่ 3



    บรรยากาศภายในนครชิลโซลิธีเช้านี้คึกคักเป็นอย่างมาก เพราะนักสู้จากทั่วสารทิศเดินทางมาคัดเลือกเป็นผู้กล้าอาสาเสี่ยงตายทำภารกิจให้กับจักรพรรดิ ชาวเมืองออกตั้งร้านรวงขายสินค้าเต็มสองข้างทางของถนนหลักที่มุ่งหน้าสู่ประตูเมืองชั้นที่สองทั้งสี่สาย ท้องฟ้าแจ่มใสปลอดโปล่งดูสบายตา ริ้วรายธงที่ปักอยู่บนกำแพงเมืองลู่ลมโบกปลิวไสวพรึบพรับ กองทหารในชุดเกราะเต็มยศดูเด่นสง่ายืนรักษาการณ์อย่างแข็งขัน



    หนึ่งอาจารย์หนุ่มกับหนึ่งศิษย์สาวเดินก้าวเท้ามุ่งหน้าสู่สถานที่นัดหมายตามที่ได้สอบถามกับทหารในเมือง เทรนอุทานเมื่อได้เห็นความใหญ่โตโอ่อ่าของ ‘สเตเดียม’ ที่สร้างจำลองจากสนามกีฬาในยุคศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด ขนาดของมันแม้ไม่ใหญ่โตเท่าในอดีต แต่ก็จัดว่าสูงใหญ่มากสำหรับสิ่งก่อสร้างในยุคนี้





    “ว้าว เจ๋งจริงๆ”

    “สถานที่ประชุมกองทัพก่อนออกศึก และยังใช้เป็นที่ประชุมชาวเมืองในเวลาปกติด้วย” ผู้เป็นอาจารย์อธิบาย



    “แล้วเขาจะให้เรามาทำอะไรที่นี่กันละ”

    “เรื่องนั้นไม่เห็นจะต้องถาม เข้าไปดูก็รู้เองนั่นแหละ”



    เทรนยิ้มกว้างดีใจออกวิ่งนำไปที่ประตู “ดีละ งั้นข้าจะลุยให้เต็มที่เลย” ทิ้งให้อาจารย์อย่างเขาส่ายหน้ากับความบ้าพลังเกินตัวของลูกศิษย์ไว้ข้างหลัง









    เข้ามาด้านในเป็นลานหินกว้าง ล้อมรอบด้วยที่นั่งซึ่งถูกยกสูงเป็นชั้นขึ้นไปตามแบบฉบับดั้งเดิม ทางทิศเหนือเป็นที่นั่งพิเศษสำหรับบรรดาแม่ทัพนายกองทั้งปวง ชาวเมืองเข้ามานั่งรอชมการคัดเลือกอยู่หนาตาทั้งเด็กเล็กหนุ่มสาวไปยันคนเฒ่าชรา ทหารยามยืนถือหอกประจำอยู่ที่ประตูอุโมงค์เข้าสู่ด้านในและบนที่นั่งอยู่เป็นจุดๆ ตรงกลางลานถูกยกพื้นเป็นเวทีต่อสู้ที่ตอนนี้มีบุรุษสองคนกำลังสู้กัน นักสู้คนอื่นจับกลุ่มดูอยู่รอบๆ มองคร่าวๆแล้วคงจะมีนักสู้อยู่ในลานนี้ไม่ต่ำกว่าสี่ร้อยคน



    ศิษย์อาจารย์เดินไปหาจุดยืนดูการต่อสู้บนเวทีชัดๆ พลันสายตาของอเซแมกไปสะดุดเข้ากับบุรุษผู้หนึ่งที่นั่งพิงกำแพงไม่สนใจการต่อสู้บนเวที ดาบที่พาดบ่าดูแปลกตาเกินกว่าจะเป็นนักสู้แถบนี้ ท่าทีเหม่อลอยของเขาดูไม่ออกว่ากำลังคิดอะไรอยู่





    “นายมาจากอาณาจักรมายางั้นเหรอ?” อเซแมกเดินเข้าไปถาม ค่อยนั่งลงข้างๆเขา เทรนเดินตามมานั่งข้างอาจารย์ ชายผู้นั้นยังคงนิ่งเงียบไม่ตอบคำถาม





    “ฮานาชิ ตะคุไน เดสึกะ” (ไม่อยากคุยงั้นเหรอ)



    ได้ผล ชายหน้ามึนผมดำหันกลับมามอง “รู้จักภาษาของเราด้วยหรือขอรับ”



    “ก็นิดหน่อยละนะ ข้าเดินทางขึ้นเหนือล่องใต้มามาก เห็นดาบของเจ้าแล้วทำให้นึกถึงอดีต”



    “ข้า ‘ซารุวาตาริ ทากะ’ ขอรับ” ชายผมดำแนะนำตัวพร้อมค้อมหัวให้เล็กน้อย

    “ข้าช่างเสียมารยาทจริงๆที่ลืมแนะนำตัว ‘อเซแมก แมคโดเวล’ และนี่ ‘เทรน แมคโดเวล’ ลูกศิษย์ข้าเอง”



    “ฮาจิเมะ มาชิเตะ โยโรชิคุ โอเนไกชิมัส”



    เทรนทำหน้างงๆ ผงกศีรษะตอบเขา

    “เขาบอกว่า ยินดีที่ได้รู้จักน่ะ” อเซแมกบอก

    “อ๋อ ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันค่ะ ท่านทากะ” เทรนยิ้มแย้มตอบไป







    ทั้งสามนั่งเงียบชมการต่อสู้บนเวทีไปเรื่อยๆ นี่ยังไม่ใช่การคัดเลือกจริงเพียงแต่เหล่านักสู้มากมายจากทั่วสารทิศโคจรมาพบกันย่อมอยากจะลองวิชาและยืดเส้นยืดสายก่อนจะถึงเวลาคัดเลือก ซึ่งไม่รู้ว่าจะมีบททดสอบแบบใดรอพวกเขาอยู่





    “อาจารย์ ข้าอยากไปดูใกล้ๆอะ” ลูกศิษย์สาวผู้เอาแต่ใจกระซิบบอก

    “เฮ้อ ข้าว่าแล้ว”

    “น่า แค่ไปดูใกล้ๆเอง” เทรนยกมือขึ้นกำแล้วสะบัดขึ้นลงเหมือนเด็กงอแงจะเอาของเล่นก็ไม่ผิด

    “เอ้า! อยากไปก็ไป” อาจารย์หนุ่มส่ายหน้าหัวเราะแบบยิ้มๆ





    “เป็นเด็กที่กระตือรือร้นดีนะขอรับ”

    “นิสัยแบบนี้จะว่าดีมันก็ดี จะว่าแย่มันก็แย่ละนะ” อเซแมกถอนหายใจ





    นักรบสาวที่ออกมาสู่โลกกว้างตื่นเต้นที่ได้เห็นการประลองยุทธ์แบบใกล้ชิดติดขอบสนาม เธอตื่นตาตื่นใจไปกับยุทธศิลป์และกระบวนท่าที่นักสู้ทั้งหลายงัดออกมาใช้ต้านรับกัน เธอเอาใจช่วยเป็นพิเศษกับนักสู้หญิงน้อยคนที่ได้ขึ้นประลองบนเวที





    “อ๊า อยากลองสู้ด้วยจังเลยน๊า” น้ำเสียงบ่งบอกความอยากเต็มที่ ขาซ้ายขวาย่ำพื้นร่ำๆอยากจะกระโจนขึ้นเวทีให้รู้แล้วรู้รอด







    “เฮฮะ! พวกผู้หญิงจับดาบจับโล่จะทำอะไรได้ อยู่บ้านไปไม่ดีกว่าเรอะ”





    เสียงหนึ่งดังมาจากด้านหลังทำลายอารมณ์สนุกของเธอ เงาร่างของชายร่างยักษ์เดินเข้ามาใกล้เธอเรื่อยๆจนประชิดด้านหลัง



    “นี่! แม่หนู กลับบ้านไปช่วยพ่อแม่ทำไร่ไถนาดีกว่ามั้ง”

    “จะเจ็บตัวเอาเปล่าๆนะเนี่ย”



    ประโยคทำลายอารมณ์ดังมาจากรอบๆตัวเธอ







    “เฮ้อ” เทรนถอนหายใจ

    “ข้าละเบื่อจริงๆ พวกที่ตัดสินคนจากแค่ตามอง” พูดเสียงดังให้นักสู้แถวนั้นได้ยินชัดๆ



    “พูดอย่างงี้ รอบหน้าเจ้าขึ้นเวทีไปลองของจริงกับข้าดีกว่า ข้าก็เหม็นเบื่อพวกผู้หญิงปากดีเนี่ย” เขาท้าทาย

    เทรนหันศีรษะกลับไปมองด้วยสายตาแข็งกร้าว หมุนตัวเข้ายืนประจันหน้าอย่างไม่หวาดเกรง



    “ก็เอาสิ” เสียงของอเซแมกดังขึ้นจากด้านหลังชายคนนั้นอีกที “ข้าอนุญาตให้เจ้าสู้ได้”



    “เฮอะ มีอาจารย์มาตามดูด้วย เป็นพวกไข่ในหินรึไงกันวะ”



    อเซแมกไม่ตอบโต้คำพูดเชิงยั่วยุของเขา ก่อนจะเดินไปยังทางขึ้นเวทีแจ้งความจำนงของขึ้นสู้ให้กับลูกศิษย์สาวกับทหารยาม เทรนเดินตามมายืดเส้นยืดสายบิดคอหักนิ้วกร๊อบๆอยากฆ่าคนเต็มแก่







    “ข้าจะไม่แนะนำอะไรทั้งนั้น เจ้าจงสู้ด้วยความสามารถของตัวเองให้เต็มที่”

    “ข้าจะไม่ทำให้ท่านต้องเสียชื่อ” เทรนตอบระหว่างตรวจเช็กอาวุธและเครื่องแต่งกายให้กระชับ สีหน้าของเธอจริงจัง แววตาเป็นประกายฉายแววน่ากลัว



    “อย่าฆ่ามันตายก็พอ” อาจารย์หนุ่มกำชับ



    หลังจากคู่ประลองบนเวทีสู้เสร็จแล้ว เทรนก้าวเดินขึ้นไปรอที่กลางเวที อีกฝ่ายเดินขึ้นมาพร้อมหอกเล่มใหญ่ ทหารประจำเวทีเรียกทั้งสองคนมาแจ้งให้ทราบว่าการต่อสู้ครั้งนี้เป็นเพียงการประลองยุทธ์ก่อนการคัดเลือก แต่ดูเหมือนทั้งคู่จะไม่คิดแบบนั้น กรรมการสั่งให้ทั้งคู่ถอยไปคนละสิบก้าวแล้วรอสัญญาณ คู่ต่อสู้สะบัดหอกมาตั้งท่าในขณะที่เธอยังไม่ตั้งท่าใดๆ





    “เริ่มได้!”





    “อย่าหาว่ารังแกผู้หญิงเลยนะ แม่หนู”

    เขาพุ่งตัววิ่งเข้าหา พอเข้าระยะฟาดฟัน หอกในมือถูกยกขึ้นเหนือหัวแล้วสะบัดลงที่กลางหัวของเธอ









    เปรี้ยง! เสียงหอกกระทบพื้นอย่างแรงจนพื้นหินแตกกระเด็น แต่ร่างของเทรนหายไปจากจุดนั้นแล้ว





    “ทำได้แค่นี้เองเหรอ คุณลุง”

    ร่างของเธออ้อมมายืนด้านหลังคู่ต่อสู้ในพริบตา เสียงฮือดังขึ้นรอบเวที



    “เร็วอะไรขนาดนี้ เจ้ามองทันรึเปล่า”

    “หลบไปตอนไหน ตรงไหนข้ายังมองไม่ออกเลย” คำถามมากมายดังขึ้นไปทั่ว





    “ฝึกมาดีนะขอรับ” ทากะเดินมายืนข้างๆอเซแมกที่ข้างเวที

    “ถ้าระดับแค่นี้ยังหลบไม่ได้ ข้าคงเลิกรับลูกศิษย์ไปชั่วชีวิตละนะ”







    บนเวทีต่อสู้ นักสู้ผู้ใช้หอกรู้สึกเสียหน้าเป็นอย่างมาก เขาหันหลังกลับพร้อมสะบัดอาวุธโจมตีหมายจะกู้หน้าคืน เทรนแค่ยกดาบขึ้นต้านรับโดยใช้แค่เพียงด้ามจับและกั่นดาบหยุดไว้ ชายร่างยักษ์โมโหมากขึ้น กระหน่ำฟาดหอกใส่เธอจากซ้ายขวาแต่ก็ถูกป้องกันไว้ได้ทุกครั้ง





    “นี่มันอะไรกันโว้ย” เขาร้องตะโกนเสียงดัง หงุดหงิดที่ถูกเด็กสาวรุ่นลูกหักหน้าท่ามกลางฝูงชน



    “ลุงนี่น่าเบื่อจริงๆ หมดแค่นี้สินะ งั้นต่อไปตาข้าบ้างละ”



    พูดจบเทรนก็เข้าประชิดถึงตัวเขาอยู่ด้านข้างหอก ดาบถูกชักออกจากฝักในมือซ้ายอย่างไวสะบัดลงตัดด้ามหอกขาดเป็นสองท่อนอย่างง่ายดาย





    “จบแล้วละ” เทรนเก็บดาบกลับเข้าฝัก หันหลังเดินจากมาทิ้งให้คู่ต่อสู้ยืนโกรธตัวสั่นอยู่ด้านหลัง









    สติของเขาขาดผึงราวกับด้ายที่ถูกขึงจนตึงถูกดึงอย่างแรงพุ่งเข้าโจมตีเธอจากด้านหลัง หมายจะแทงเธอด้วยด้ามหอกที่เหลืออยู่ในมือ







    ร่างของเธอพุ่งสวนข้ามไหล่ของเขาในพริบตาที่จะถูกแทง ทันทีที่ขาทั้งสองแตะพื้น เลือดสดๆก็ทะลักออกจากบาดแผลที่อกขวาพาดยาวถึงบ่าของศัตรู ขาทั้งสองข้างทรุดลงจนเข่ากระแทกพื้น มือเกาะกุมเข้าที่แผล ปากแผดเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด





    “ข้าบอกว่ามันจบแล้ว ไม่ได้ยินรึไง” เทรนพูดขณะที่เดินผ่านร่างของเขา สวนกับทหารที่วิ่งขึ้นมาปฐมพยาบาลคู่ต่อสู้ที่บัดนี้ลงไปนอนดิ้นทุรนทุราย เลือดสดๆเปรอะไปทั่วพื้นเวที







    “ข้าบอกว่าอย่าฆ่ามันไม่ใช่รึ”

    “ก็ออมมือให้แล้ว แผลไม่ได้ลึกมากหรอก” เทรนก้มหน้าตอบอุบอิบ









    “งั้นต่อไป ข้าน้อยขอแสดงฝีมือให้ดูบ้างนะขอรับ” ทากะขยับเดินไปขึ้นเวที

    “ไฟติดแล้วสินะ” อเซแมกเอ่ยถาม

    “ขอรับ ลูกศิษย์ของท่านสู้ได้อย่างยอดเยี่ยมจนข้ารู้สึกอยากจะประลองบ้างแล้ว”





    เมื่อเขาขึ้นไปยืนพร้อมบนเวที อีกด้านหนึ่งคู่ประลองของเขาก็เดินขึ้นมา หลังจากกรรมการสั่งให้ถอยไปตั้งหลักและให้สัญญาณเริ่มต่อสู้แล้ว







    “เจ้ามาจากอาณาจักรมายาอย่างนั้นรึ” คู่ประลองเอ่ยถามพลางชักดาบออกจากฝัก

    “ขอรับ” ทากะตอบไป





    “ข้าคิดว่าชาวอาณาจักรมายาจะมุดหัวอยู่แต่ในบ้านของตัวเองเท่านั้นซะอีก ลมอะไรหอบเจ้ามาถึงที่นี่ได้ละ?”

    ทากะนิ่งเงียบไม่ตอบคำถามของเขา



    “เป็นใบ้ไปแล้วงั้นรึ งั้นก็ดี เริ่มเลยก็แล้วกัน”







    “เฮ้อ ปากพล่อยจริงๆเลย” อเซแมกที่ยืนอยู่ข้างเวทีบ่นพึมพำ “จับตาดูให้ดีละ เทรน เจ้านั่นน่ะชะตาขาดแน่ๆ”





    ทั้งคู่นิ่งดูเชิงกันเป็นเวลานาน และก็เป็นนักดาบปากพล่อยที่ชิงบุกเข้าหาก่อน ทากะย่อตัวลงขาซ้ายเหยียดตั้งหลักไปด้านหลัง มือขวาจับด้ามดาบรอรับมือ คู่ต่อสู้บุกเข้ามาซึ่งๆหน้าฟาดดาบใส่หมายจะให้เขาชักดาบออกปะทะด้วย



    วินาทีที่คมดาบจะสับลงที่หัวของทากะ ดาบของคู่ต่อสู้ถูกกระแทกกลับไปด้านหลังอย่างแรง แขนทั้งสองสะบัดกลับไปอยู่เหนือหัว ปลายดาบถูกตัดขาดกระเด็นไปตกด้านหลังทั้งๆที่ทากะยังอยู่ในท่าเดิม คู่ต่อสู้กระโดดถอยหลังไปตั้งท่าอีกครั้ง สีหน้าแววตาสับสน





    “มองทันไหม เทรน”

    “ไม่ทันเลย เห็นอีกทีดาบเจ้านั่นก็ขาดกระเด็นแล้ว”



    “วิชาดาบของดินแดนมายา... วิชาดาบแต่โบราณ ‘อิไอ’ เป็นการชักดาบด้วยความเร็วสูงสุดสะบัดฟันเป้าหมาย พลังและความเร็วนั้นหาวิชาดาบอื่นเทียบไม่ได้เลย”



    “แถมเจ้านั่นยังปากพล่อยไปดูถูกชาวมายาอีก ซวยแย่เลยนะเนี่ย” เทรนถอนหายใจ



    “ชาวมายานั้นถือศักดิ์ศรีเป็นที่หนึ่ง ยอมตายได้แต่ไม่ยอมถูกดูหมิ่นเด็ดขาด” อเซแมกได้ทีสอนให้เทรนรู้ เทรนพยักหน้ารับคำ







    หลังจากถูกตัดปลายดาบไป ทากะยังอยู่ในท่าเดิม คู่ต่อสู้ก็ยืนดูเชิงอยู่ไม่กล้าเข้าปะทะซึ่งๆหน้าอีกแล้ว





    “ข้าน้อยเป็นเพียงนักเดินทางพเนจรเท่านั้น” ทากะเอ่ยขึ้น

    แคร้ง! เสียงโลหะกระทบกันดังขึ้น ดาบของเจ้านั่นถูกตัดกระเด็นไปท่อนหนึ่ง





    “พวกข้าหาใช่ขลาดกลัวสิ่งใด เพียงแต่ต้องการอยู่อย่างสงบเท่านั้น”

    แคร้ง!! แคร้ง!! ดาบถูกตัดขาดกระเด็นไปอีกสองท่อน ดาบยาวเมตรกว่าบัดนี้เหลือเพียงครึ่งเท่านั้น





    “พวกท่านเข้าใจที่ข้าน้อยพูดหรือไม่ขอรับ” ทากะเงยหน้าขึ้นมอง แววตาลุกโชนด้วยเพลิงพิโรธ

    แคร้ง! แคร้ง!! แคร้ง!!! บัดนี้ดาบในมือของคู่ต่อสู้เหลือเพียงความยาวไม่กี่นิ้วเท่านั้นกลายเป็นท่อนเหล็กที่ใช้การไม่ได้



    ทั่วทั้งสเตเดียมเงียบกริบ



    นักดาบปากพล่อยตัวสั่นเทา เหงื่อกาฬไหลย้อยเต็มใบหน้าราวกับกบน้อยที่ถูกจ้องมองด้วยอสรพิษร้าย เมื่อสิ้นกำลังใจที่จะสู่ต่อ มือก็ปล่อยดาบลงพื้นทรุดลงนั่งตัวสั่นงันงก





    เทรนกลืนน้ำลายลงคอ ตกตะลึงในสิ่งที่เห็น

    “ร้ายกาจมาก”

    “อย่าไปมีเรื่องกับชาวมายาเป็นดีที่สุด และโลกนี้กว้างใหญ่มีสิ่งให้เจ้าต้องรู้อีกมากนัก” อเซแมกปิดท้าย







    “เป็นวิชาดาบที่ยอดเยี่ยมนัก” อเซแมกเอ่ยชมทากะเมื่อเขากลับมาถึง

    “ขอบคุณขอรับ แต่ข้ายังต้องฝึกฝนตนเองอีกเยอะ”

    “วันนี้ข้าได้เปิดหูเปิดตาแล้ว ได้เรียนรู้เยอะแยะเลย” เทรนก้มหัวคำนับให้ทากะ เขาก้มหัวคำนับตอบ





    “แปะๆๆ” เสียงปรบมือดังขึ้นด้านหลังพวกเขาสามคน

    “ขอพวกข้าร่วมวงสนทนาด้วยได้ไหม” อากิรอสและเบลลานีปรากฎตัวขึ้น



    “เป็นวิชาดาบที่ยอดเยี่ยมมาก ไม่เสียแรงที่ตั้งใจดูเลย”

    “ข้า ‘อากิรอส คีฟ’ และนี่ ‘เบลลานี่ ฟลามมีอาส’ คู่หูของข้า” อากิรอสแนะนำตัวและเพื่อนสาวของเขา



    “ข้า...”



    “ไม่ต้องแนะนำตัวหรอกค่ะ ท่านอเซแมก ท่านทากะ แล้วก็หนูเทรน” เบลลานี่พูดแทรกขึ้นมาก่อน

    “ธรรมชาติบอกให้ข้ารู้ทุกอย่าง” เธอยิ้มกว้างบอกพวกเขา



    “พวกเจ้าสองคนเป็นผู้ใช้มนตราสินะ หายากจริงๆ” อเซแมกยกมือขึ้นเกาหัว

    “ได้เจอชาวมายาแล้วยังได้เจอชาวมนตราอีก วันนี้ข้าดวงดีจริงๆ”



    “พวกข้าออกเดินทางเที่ยวเล่นมาเรื่อยๆ ได้ยินเรื่องภารกิจของจักรพรรดิชิลโซลิธี เลยมาลองสมัครกับเขาเผื่อจะได้เจออะไรสนุกๆบ้าง” อากิรอสบอก







    “แต่ตอนนี้ข้าเจอสิ่งที่น่าสนใจกว่าแล้วสิ”

    พูดจบก็เดินเข้าไปหาเทรน ฉวยมือทั้งสองข้างของเธอขึ้นมา





    “บ่ายนี้เจ้าว่างไปดื่มชากับข้าไหม สาวน้อย”

    ทั้งสามนิ่งเงียบไปกับคำพูดของเขา สายลมวูบหนึ่งพัดฝุ่นคลุ้งขึ้น







    โป๊ก! เบลลานี่เขกหัวอากิรอสโครมใหญ่ทำเอาเพื่อนชายทรุดลงไปนั่งยองๆแต่ก็ไม่ยอมปล่อยมือเทรน

    “จะจับมือน้องเค้าไปอีกนานแค่ไหนยะ” กำปั้นของเธอกระแทกลงที่กลางหัวเพื่อนจอมเจ้าชู้อีกครั้ง





    “ฮ่าๆๆๆๆๆๆ น่าสนใจจริงๆ พวกเจ้าน่าสนใจจริง” อเซแมกหัวเราะลั่น

    “นั่นสิขอรับ” ทากะสนับสนุน



    “เอาอย่างนี้ดีกว่า” อากิรอสดีดตัวขึ้นมา “เดี๋ยวข้าจะขึ้นประลอง ถ้าข้าชนะเจ้าต้องไปดื่มชากับข้านะ แต่ถ้าข้าแพ้ข้าจะไปดื่มชากับเจ้า” เขาเสนอ



    “เลือกแบบไหนข้าก็ต้องไปน่ะสิ เจ้าบ้า!” เทรนแผดเสียงใส่เขา

    “งั้นข้าเลือกให้ท่านตายคาเวทีไปเลยดีกว่า ข้าจะได้ไม่ต้องไป”



    “อย่างนั้นก็แย่น่ะสิ เอาเป็นตามนั้นก็แล้วกันนะ สาวน้อย” อากิรอสเดินยิ้มแย้มมุ่งหน้าไปขึ้นเวที





    “เพื่อนของท่านเป็นแบบนี้ตลอดเลยเหรอ ท่านเบลลานี่”

    “เรียกสั้นๆว่าเบลก็ได้” เธอยิ้ม “เจ้าอากิมันก็เป็นแบบนี้ตั้งแต่สมัยอยู่โรงเรียนเวทมนต์แล้วละ”

    “โรงเรียนเวทมนต์?” เทรนทวนคำอย่างสงสัย





    “ในอาณาจักรมนตรามีโรงเรียนสอนเวทมนต์เพื่อใช้ต่อสู้อยู่ด้วย” อเซแมกอธิบาย “แต่เดิมชาวอาณาจักรมนตราก็ใช้เวทมนต์ทำเรื่องต่างๆได้อยู่แล้ว แต่แค่นั้นไม่เพียงพอที่จะสู้กับพวกปีศาจได้จึงมีการสอนวิชาต่อสู้ด้วย ก็เหมือนกับการฝึกนักรบนั่นแหละ”



    “ท่านนี่ความรู้กว้างขวางดีนะคะ” เบลพูดอย่างทึ่งๆ

    “รู้แค่นิดหน่อยเท่านั้นแหละน่า”







    อากิรอสขึ้นไปรอบนเวทีแล้ว คู่ต่อสู้ของเขาเป็นนักหมัดมวย หลังจากเตรียมพร้อมและกรรมการให้สัญญาณเริ่มสู้แล้ว เขาดันหันมาโบกไม้โบกมือและยิ้มให้กับเทรน





    “อันตราย!” เทรนตะโกนเตือนเมื่อคู่ต่อสู้พุ่งเข้าประชิดและง้างหมัดใส่เขา



    “เวนตุส มูโร่” (กำแพงสายลม)

    หมัดของคู่ต่อสู้ชกเข้ามาแต่ไม่ถึงใบหน้าของเขาราวกับมีโล่โปร่งใสกั้นอยู่ อากิรอสหันหน้ากลับไปมองคู่ต่อสู้แต่รอยยิ้มยังไม่จางหายไป อีกฝ่ายหมุนตัวเตะทดสอบอีกครั้งก็ยังคงเข้าไม่ถึงตัวอากิรอส





    “เป็นความสามารถที่ขี้โกงจริงๆนะ”



    “ดิมิเต้” (คลาย)

    อากิรอสยังคงยิ้มหน้าตาย “เอาละ ข้าปลดกำแพงสายลมออกแล้วนะ”



    “หึ! คิดจะดูถูกข้าอย่างงั้นเรอะ” คู่ประลองวิ่งเข้าหาเขาอีกครั้ง หมัดขวาตรงถูกส่งออกมาหมายจะต่อยหน้านักเวทขี้หลีให้เลือดกบปาก



    ผัวะ! อากิรอสยกมือขึ้นรับหมัดของคู่ต่อสู้หน้าตาเฉย



    “ทำไมทุกคนชอบคิดว่านักเวทเป็นพวกอ่อนแอปวกเปียกนะ” อากิรอสพูดทั้งๆที่ยิ้ม พลันเข่าขวาของเขากระแทกเข้าไปที่ท้องของคู่ต่อสู้เต็มแรง แต่อีกฝ่ายแข็งใจต่อยหมัดซ้ายเข้าที่หน้าอีกครั้ง









    “กระเด็น!”

    ร่างของคู่ต่อสู้ลอยละลิ่วถอยหลังไปไหลจนเกือบจะตกเวทีเรียกเสียงฮือใหญ่จากคนดู







    “นี่ รู้รึเปล่าว่าอาวุธอะไรร้ายกาจที่สุด” เบลถามเทรน

    “คำพูดไงละ คำพูดของมนุษย์นี่แหละเป็นได้ทั้งอาวุธสำหรับเข่นฆ่าและเป็นได้ทั้งยาวิเศษที่ช่วยเหลือชีวิตได้”

    “ดูให้ดีๆละ” เบลก้มหน้าหลับตายิ้มน้อยๆ





    คู่ต่อสู้พุ่งเข้าหาเขาอีกครั้ง คราวนี้เขาโยกตัวหลบมือเท้าของคู่ต่อสู้ที่กระหน่ำเข้าหาได้อย่างง่ายดาย



    “หยุด!” จู่ๆคู่ต่อสู้ของเขาก็หยุดนิ่งในท่าเตะกลับหลัง อีกฝ่ายพยายามฝืนตัวให้ขยับแต่ก็ไม่อาจขยับได้



    “เป็นไงบ้างละ?” อากิรอสลงนั่งยองๆยิ้มให้



    “นอน!” คู่ต่อสู้ของเขาทรุดลงนอนราบกับพื้นอย่างง่ายๆ



    “เจ้าชอบกินเนื้อย่างรึเปล่า?” อีกฝ่ายไม่อาจขยับเขยื้อนทั้งยังไม่อาจพูดได้ ส่งเสียงอือๆออกจากลากลำคอเท่านั้น





    “เพลิงไฟ จงมา”

    ลูกไฟขนาดใหญ่ยักษ์เท่าเวทีพลันปรากฏขึ้นลอยอยู่เหนือสเตเดียม แม้แต่ชาวเมืองที่อยู่ด้านนอกยังเห็นได้ชัด เสียงกรีดร้องตกใจของผู้คนดังขึ้นทั่ว





    “เฮ้! ทำเกินไปแล้วนะยะ อากิ” เบลร้องตะโกนจากข้างเวที



    “โทษทีๆ หนักมือไปหน่อย” อากิรอสดีดนิ้วเป๊าะแล้วลูกเพลิงหายวับไป เหลือเพียงสะเก็ดไฟเล็กร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้าทั่วบริเวณ



    เสียงดีดนิ้วดังขึ้นอีกครั้ง คู่ต่อสู้ของเขาดีดตัวลุกขึ้นนั่ง แต่เป้ากางเกงของเขาเปียกชุ่มเพราะความกลัวไปเรียบร้อยแล้ว





    อากิรอสเดินยิ้มกริ่มลงมาจากเวที

    “ตามสัญญานะ สาวน้อย”





    โป๊ก! เบลลานี่เขกกะโหลกจอมเวทคู่หูอีกที “คิดจะเผาเมืองรึไงกันยะ เจ้าบ้า!”

    “ทำเกินไปนิดนะขอรับ ถ้าชาวเมืองคนอื่นได้รับอันตรายละก็คงจะแย่มิใช่น้อย” ทากะพูดเตือน



    เทรนมองหน้าอาจารย์ของเธอ เขายักไหล่เป็นเชิงแล้วแต่เธอจะตัดสินใจ

    “เอ้า! ไปก็ไป แต่เจ้าออกเงินนะ” เทรนถอนหายใจ ตกลงด้วยอย่างเสียไม่ได้





    สายตาของนักสู้ในลานประลองจับจ้องมายังกลุ่มของพวกเขา เสียงพึมพำดังไปทั่ว แต่แล้วเสียงระฆังประจำสเตเดียมดังขึ้นเป็นสัญญาณว่าถึงเวลาแห่งการทดสอบที่พวกเขาทั้งหมดรอคอยแล้ว







    แม่ทัพแห่งชิลโซลิธี ‘ลอร์ดการ์เน็ต พีอุส’ ที่เคยไปหาอเซแมกที่ร้านเดินออกมาจากอุโมงค์ทางออกด้านทิศเหนือพร้อมด้วยกองทหารเกียรติยศ ชาวเมืองลุกขึ้นยืนโดยพร้อมกัน







    “สวัสดีสุภาพบุรุษ สุภาพสตรีแห่งนครชิลโซลิธี และนักสู้ทั้งหลายที่มาร่วมกันในที่นี้ ข้าขอขอบคุณทุกท่านจากใจจริงที่เสียสละตนอาสารับใช้จักรพรรดิและอาณาจักรชิลโซลิธี”



    “วันนี้ท่านจะได้แสดงผลของการฝึกฝนให้เป็นที่ประจักษ์ ความกล้าหาญของท่านจะถูกเล่าขาน”



    “ข้า การ์เน็ต พีอุส ในนามแม่ทัพแห่งชิลโซลิธีจะเป็นพยานให้กับความกล้าหาญของทุกท่าน”







    เสียงโห่ร้องและปรบมือดังกึกก้องไปทั่ว









    การทดสอบกำลังจะเริ่มต้น โดยที่พวกเขามิล่วงรู้ถึงชะตากรรมเลวร้ายที่รออยู่ล่วงหน้าได้เลย





    To be continue…



    -คุยกันท้ายตอนกับ Azemag-



    ตอนสามไม่มีอะไรมากครับ บู๊กันพอหอมปากหอมคอนิดๆหน่อยๆพร้อมกับเริ่มการรวมกลุ่มแบบไม่เป็นทางการ ส่วนตอนที่สี่จะเป็นอย่างไรก็รออ่านกันต่อนะครับ



    ส่วนตอนนี้ถ้ามีอะไรผิดพลาด รบกวนแนะนำติชมด้วยครับ
  12. ReficuL

    ReficuL New Member

    EXP:
    53
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    การประลองระหว่างเทรนกับอากิเห็นภาพดี จากตอนนี้ก็พอจะจัดลำดับความแกร่งได้คร่าวๆ ละ
    ตอนแรกนึกว่าอากิจะดีแต่ปากซะอีกที่ไหนได้เก่งเกินคาด ตอนแรกแอบประทับใจคาแร็กเตอร์ของทากะซัง
    แต่สุดท้ายพออ่านจบก็ต้องยกให้อากิเท่เป็นที่หนึ่ง อยากเห็นลีลาเพลย์บอยของอากิตอนต่อไปซะแล้ว ฮะๆ

    อาเซซังก็รอบรู้เกินคาด ถึงบุคลิกภายนอกจะดูธรรมดา แต่ก็แอบมีอะไรให้เซอร์ไพร์อยู่เรื่อย อยากรู้จักว่าถ้าอาเซกะอากิสู้กันใครจะชนะ >3<

    ปล.
    หยกเข้าใจว่าพี่ต้องการให้มันสุภาพ หยกว่ามันแปลกแต่ก็ต้องดูคนอื่นๆ มาคอมเม้นต่อไป ข้าน้อยไร้ประสบการณ์

    ปลล.อย่างที่พี่อีวานพูดแรก เทรนคุงกะอาเซซัง นี่อะไรๆ สงสัยจะมีลุ้น วี๊ดวิ้ว
  13. powder

    powder Member

    EXP:
    260
    ถูกใจที่ได้รับ:
    9
    คะแนน Trophy:
    18
    บู๊กันดูเรื่อยๆ ไม่มีอะไรมาก แสดงความเก่งกาจของตัวเอก แต่สนุกดีค่ะ มีความขำขันผสมอยู่ในตัวด้วย

    คราวนี้ยังไม่เห็นคำผิดนะคะ ฮา มีแค่การใช้คำบางที่เท่านั้นที่อาจดูแปลกแต่น้อยค่ะ

    สิ่งที่แอบสะกิดใจนิดหน่อย คือเด็กสาวคนที่หนุ่มเลือดร้อนจะสู้ด้วยตอนแรกหายไปไหน (พอเข้าใจว่าเป็นตัวประกอบ แต่แอบสะดุดค่ะ ฮ่าๆ)

    แล้วก็ชื่อการ์เน็ตนี่แอบเหมือนผู้หญิงเลย 555

    จากนี้ไปจะเริ่มการผจญภัยขึ้นมาบ้างแล้วสินะคะ เป็นแฟนตาซีคลาสสิคที่น่าติดตามจริงๆ รออ่านตอนต่อไปค่ะ

    :penhappy:
  14. onikuro13

    onikuro13 Sadistic Queen

    EXP:
    299
    ถูกใจที่ได้รับ:
    7
    คะแนน Trophy:
    38
    ...ไม่มีอะไรมาก แค่เข้ามากรี๊ดทากะ

    ...แอร๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยส์♥♥
  15. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    ตอนแรกนึกว่าจะปาร์ตี้ 4 คนซะอีก กลายเป็น 5 ซะแล้วแฮะ >_<
  16. yoshiki

    yoshiki FATE

    EXP:
    862
    ถูกใจที่ได้รับ:
    17
    คะแนน Trophy:
    38
    ทำไมผมยังรู้สึกอยากตบเกรียนน้องเทรนอยู่ดีละฟะเนี่ย คงเป็นเวรกรรมแต่ชาติปางก่อน ฮ่าๆๆ

    แล้วนึกไงให้ผู้ชายการ์เน็ตละครับเพ่ !!
  17. swanton

    swanton Dragon on Board

    EXP:
    1,424
    ถูกใจที่ได้รับ:
    69
    คะแนน Trophy:
    113
    เขียนมาดีหมดจริงๆ ผมไม่รู้จะติงอะไร เพราะดูเหมือนทุกอย่างลงตัวแล้วตามสไตล์อาเซแม็ก

    แต่ไอ้ Garnet นี่มันชื่อผู้หญิงนะขอรับ = =

    มีความเหมือนจริงดีอย่างนึง คือตอนที่เทรนเชียร์พวกนักสู้หญิง เป็นการแสดงออกที่เป็นธรรมชาติและเหมือนจริงดี (คือผมคิดว่าผู้หญิงที่มีความมุ่งมั่นอย่างเทรนก็จะเชียร์เพศเดียวกัน) ถึงปฏิกริยาที่มีต่อพวกเย้ยหยันจะเป็นอะไรที่ plain ไปนิด เหมือนกับคาดเดาได้ว่ามันต้องมีแบบนี้แน่ๆ แต่ผมก็ชอบอ่านบทแบบนี้แฮะ *หัวเราะ* ถ้าบู๊เดือดกว่านี้สักนิดจะทำให้เทรนดูเก่งขึ้นนะครับ

    ทากะเท่จริงจัง ฉากฟาดฟันพลางพูดไปพลาง เท่โคตร! อากิรอสก็บุคลิกโดดเด่น จอมเวทย์กะล่อน กรุ้มกริ่ม (เกรียน) เหมาะกับเบลล์มากๆต้องไปเป็นคู่กัน

    นั่งรออ่านตอนต่อไป
  18. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    จัดไปครับน้องหยก เดี๋ยวอากิจะสร้างฮาเร็มละครับ


    เป็นตอนที่แสดงสไตล์การต่อสู้ของแต่ละคนครับ ปูพื้นฐานไว้ก่อน ถ้าอ่านแล้วสนุกก็ดีใจครับ


    กรี๊ดคนเดียวเองเหรอ ??


    ยังมีให้หักมุมอีกเยอะครับ ติดตามกันได้เรื่อยๆ


    เทรนจังออกจะน่ารักน่าหยิกนะครับ


    ขอบคุณสำหรับคำชมครับ อากินอกจากเท่ยังเกรียนอีกด้วยนะครับ ฮ่าๆๆ



    สำหรับเรื่องชื่อการ์เน็ต...
    จริงๆแล้วกะไว้อธิบายในตอนที่ 4 แต่ไหนๆก็ไหนๆขออธิบายตรงนี้เลยก็แล้วกัน

    ชิลโซลิธีมีแม่ทัพอยู่ 12 คนครับ และใช้ชื่ออัญมณีประจำเดือนทั้ง 12 เป็นชื่อเรียกตำแหน่งนำหน้า
    การ์เน็ต พีอุส จึงเป็นชื่อตำแหน่งของแม่ทัพใหญ่ (เพราะการ์เน็ตเป็นอัญมณีประจำเดือนมกราคม มาเป็นลำดับแรกสุด) ส่วนพีอุสเป็นชื่อจริงๆครับ


    ยังไงก็ติดตามอ่านได้ในตอนที่ 4 ครับผม
    ขอบคุณทุกๆคอมเมนต์และข้อแนะนำต่างๆด้วยครับ
  19. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    ตอนที่ 4



    ชาวนครชิลโซลิธีไชโยโห่ร้องก้องไปทั่วทั้งสเตเดียม เสียงปรบมือเป่าปากดังเซ็งแซ่ เสียงระฆังดังขึ้นอีกครั้งเป็นสัญญาณให้รู้ว่าได้เวลาแห่งการทดสอบ ทหารโบกมือให้พวกนักรบถอยไปรวมกันอยู่ด้านทิศใต้ของเวทีแล้วตั้งแถวเป็นแนวกั้นทางทิศเหนือไว้ การ์เน็ต พีอุส เดินขึ้นบันไดไปยังที่นั่งชมสำหรับแม่ทัพที่จัดเตรียมไว้



    ‘สิบสองแม่ทัพแห่งชิลโซลิธี’ นักรบชั้นยอด ฝีมือการรบเก่งกาจสามารถ มีหน้าที่บัญชาการหน่วยรบทั้งสิบสองหน่วยแห่งชิลโซลิธี โดยมีการ์เน็ต พีอุส เป็นแม่ทัพใหญ่





    “ข้าได้ยินมาว่า เมื่อเช้านี้ท่านไปพบกับหลานชายของเหยี่ยวสายฟ้ามาอย่างนั้นหรือ ท่านแม่ทัพใหญ่”



    “การข่าวยังยอดเยี่ยมเช่นเดิมนะ ‘ท่านอเมธิส เฟท’” การ์เน็ตหันไปตอบคำถามบุรุษผมสีเงินพลิ้วผู้เป็นแม่ทัพเช่นเดียวกับเขา ดวงตาขวาเปล่งประกายสีทองแต่ดวงตาซ้ายกลับเปล่งประกายสีม่วงเข้ม มีแผลเป็นพาดจากหน้าผากลงมาถึงแก้มขวาดูน่าเกรงขาม เขาเป็นแม่ทัพลำดับสองแต่ฝีมือของเขาถูกกล่าวขานว่าเหนือกว่าแม่ทัพใหญ่อย่างการ์เน็ตเสียอีก



    “บุรุษผู้นั้นเป็นอย่างไรบ้าง คิดว่าจะเก่งเหมือนผู้เป็นปู่หรือไม่” เขาถามด้วยแววตาสนใจใคร่รู้

    “ดูท่าทางก็เก่งดีทีเดียว แต่ถ้าเอาไปเทียบกับตำนานอย่าง ‘เหยี่ยวสายฟ้า’ แล้วละก็ คงจะต้องดูกันยาวๆละนะ”

    แม่ทัพใหญ่ตอบพร้อมยกมือขวาขึ้นเป็นสัญญาณให้เริ่มกระบวนการคัดเลือก





    เสียงม้าศึกดังออกมาจากด้านในอุโมงค์ทิศเหนือ รถม้าจำนวนสิบสองคันลากกรงขัง ‘บางอย่าง’ ที่ถูกปิดด้วยผ้าสีดำสนิทไว้ด้านหลังออกมาจอดเรียงอยู่ตรงข้ามกับบรรดานักสู้





    ‘โฮกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก’

    เสียงคำรามของสัตว์ร้ายดังขึ้น สร้างความตื่นตะลึงให้กับนักสู้ที่อยู่ในสเตเดียม





    “นี่เขาคิดจะให้เราสู้กับตัวประหลาดอะไรกันละเนี่ย” เทรนถามขึ้นอย่างสงสัย

    “หากเป็นแค่สัตว์ร้ายธรรมดาก็คงง่ายไปหน่อยนะขอรับ แต่กลิ่นอายแบบนี้คงมิใช่สัตว์ร้ายธรรมดาแน่ๆ”



    “เหตุผลน่ะวางเอาไว้ก่อนเถอะ เขาจะให้เราสู้กับช้างม้าวัวควายหรือตัวประหลาดสามตาหกหัวก็เป็นเรื่องที่เขาคิดไว้แล้ว หน้าที่ของพวกเรามีแค่สู้หรือไม่สู้เท่านั้นแหละ” อากิรอสบอก ทุกคนสบตากันเข้าใจในสิ่งเขาต้องการจะสื่อ



    ผ้าคลุมสีดำถูกดึงออก เสียงฮือฮาดังขึ้นไปทั่วอีกครั้ง





    “เจ้าพวกนี้คือปีศาจร้าย สมุนของราชาแห่งรัตติกาลที่สร้างความพินาศให้กับโลกของเรา บัดนี้มันถูกพวกเราจองจำด้วยมนต์สะกด หน้าที่ของพวกเจ้าทั้งหลายคือการสู้และปลิดชีวิตมันให้ได้” หัวหน้ากองทหารประกาศเสียงดังชัด



    “การต่อสู้กับปีศาจเป็นอันตรายอย่างมาก หากไม่มั่นใจสามารถขอถอนตัวได้โดยไม่มีข้อแม้”



    “ผู้ที่พร้อม ขอให้แจ้งความจำนงที่นายทหารด้านหน้า”



    “ข้าขออาสาเป็นคนแรก”

    อเซแมกพูดขึ้นท่ามกลางบรรดานักสู้ทันทีที่สิ้นสุดคำประกาศ



    ‘หลานของเหยี่ยวสายฟ้านี่นา’

    ‘ใช่ๆ ข้าก็ได้ยินข่าวว่าเขามาคัดเลือกด้วยเช่นกัน’

    ‘จะเก่งจริงหรือเปล่านะ?’ เสียงซุบซิบพึมพัมดังขึ้นจากกลุ่มนักสู้รอบๆ







    “ออกโรงคนแรกเลยอย่างนั้นรึ? สมแล้ว” การ์เน็ตกล่าวอย่างชื่นชม

    “บุรุษผู้นี้น่ะรึ หลานของเหยี่ยวสายฟ้า?” เฟทถาม

    “ใช่”

    “ท่าทางองอาจทะมัดทะแมง ความมั่นใจก็เปี่ยมล้น แถมยังออกหน้าเป็นคนแรกทำให้พวกที่ลังเลว่าจะสู้หรือถอยหยุดคิดแล้วรอดูผลลัพธ์ของการต่อสู้ ไม่เลวเลย” เฟทวิเคราะห์อย่างสนอกสนใจ





    อเซแมกถอดผ้าคลุมแล้วก้าวขึ้นไปยืนบนเวที ทหารเวทสี่คนยืนประจำมุมเวทีร่ายมนต์กั้นกำแพงเวทป้องกันไม่ให้สัตว์ร้ายหนีออกมาได้ในกรณีที่นักสู้พ่ายแพ้



    “ปล่อยมาสามตัวเลย” อเซแมกชี้ไปยังกรงของกริฟฟิน ชาวเมืองโห่ร้อง ลุกขึ้นปรบมือให้กับการตัดสินใจของเขา





    “อาจารย์ของเจ้านี่ก็ไม่เบาเลยนะ” เบลบอกกับเทรน

    “ปกติท่านก็ไม่ค่อยจะทำอะไรนะ วันนี้ไหงคึกได้ขนาดนี้ละเนี่ย” เทรนบอกอย่างไม่เข้าใจเหมือนกัน ทากะและอากิรอสเหลือบสบตากันแล้วยิ้มอย่างรู้นัยว่าทำไมเขาถึงเลือกแบบนี้



    กรงขังทั้งสามถูกนำมาจอดเทียบกับเวที ทันทีที่ประตูกรงถูกเปิดออก ปีศาจร้ายพุ่งกระโจนออกมาอย่างรวดเร็วราวกับลมสลาตัน





    ‘กริฟฟิน’ สัตว์ร้ายที่มีร่างเป็นราชสีห์แต่มีหัวเป็นอินทรีย์ซ้ำยังมีหางเป็นอสรพิษ จงอยปากคมกริบและใหญ่พอจะที่กัดกระชากร่างของมนุษย์ให้ขาดเป็นสองท่อนได้โดยง่ายพุ่งเข้าหาเขาพร้อมกันหวังจะฉีกเนื้อกินเป็นอาหาร



    อเซแมกกระโดดหลบการพุ่งกัดของกริฟฟินตัวแรกได้ ก่อนจะใช้หลังของมันเป็นฐานหยั่งเท้ากระโดดไปเล่นงานอีกตัวที่บินตามมาด้านหลัง ดาบคมกริบในฝักถูกกระชากออกมาและสะบัดเข้าที่คอจากด้านล่างตัดฉับออกด้านบนอย่างแม่นยำ เลือดสีม่วงสดๆสาดกระเซ็น เขาก้มต่ำหลบปีกของกริฟฟินตัวที่สามสามโฉบเข้ามาทางขวา ขาทั้งสองเกร็งแข็งดีดตัวกระโดดเกาะปีกสัตว์ร้ายแล้วปีนขึ้นหลังได้อย่างไม่ยาก มันพยายามพลิกสะบัดตัวให้เขาหล่น แต่อเซแมกไวกว่าปักดาบจากกลางหลังลงไปเสียบหัวใจแล้วบิดดาบอย่างแรง เสียงร้องโหยหวนของสัตว์ร้ายดังขึ้นก่อนจะค่อยๆเงียบหายไป



    กริฟฟินตัวที่สองถูกฆ่าตายตามตัวแรกไปในชั่วเสี้ยวเวลา เขาดึงดาบออกจากร่างที่สิ้นลมหายใจแล้วมองไปยังสัตว์ร้ายที่เหลืออีกตัว มันกู่ร้องคำรามอย่างบ้าคลั่งที่เห็นเพื่อนอสูรล้มตาย กระพือปีกใหญ่ยักษ์เร็วและแรงขึ้นก่อนจะลู่ปีกไปด้านหน้า ขนปีกพุ่งออกมาดั่งห่าลูกศรตรงไปที่เขา



    อเซแมกยกดาบขึ้นมาปัดป้องขนของมันจนทั้งหมดร่วงลงอยู่แทบเท้าเขา เจ้าสัตว์ร้ายคำรามขึ้นอีกครั้งแล้วสะบัดปีกพุ่งเข้าหา เขายืนตั้งท่ารอรับมืออย่างเยือกเย็น จนเมื่อมันบินเข้าใกล้พร้อมอ้าปากแผดเสียงร้องจะขย้ำเขา ดาบในมือถูกตวัดขึ้นเหนือศีรษะแล้วฟันจากบนลงร่างสุดแรง หัวของกริฟฟินถูกผ่าเป็นสองซีกลึกไปถึงคอตายในดาบเดียว



    เขาสะบัดเลือดที่ติดอยู่กับดาบออกแล้วเก็บเข้าฝักแล้วลงจากเวที ทั้งสเตเดียมเงียบลงในชั่วอึดใจก่อนจะโห่ร้องยินดีที่ได้เห็นเขาปราบปีศาจร้ายที่แข็งแกร่งอย่างกริฟฟินถึงสามตัวลงได้อย่างง่ายดายในเวลาไม่ถึงนาที นักสู้ทุกคนเงียบกริบ ทำได้เพียงแหวกทางให้และมองตามหลังเขาเท่านั้น





    “ยอด! ยอดเยี่ยมจริงๆ” อเมธิส เฟท แม่ทัพลำดับที่สองลุกขึ้นจากเก้าอี้ อุทานออกมาอย่างตื่นเต้น “ให้ตายสิ ชักอยากจะประลองด้วยจริงๆเลย” การ์เน็ตอมยิ้มกับอาการเหมือนเด็กเจอของเล่นที่อยากได้ของแม่ทัพหนุ่ม







    “เหนื่อยไหม อาจารย์” เทรนเข้าไปยิ้มหน้าแป้น

    “สอนยัยตัวยุ่งอย่างเจ้ายังเหนื่อยกว่านี้เลย” อเซแมกขยี้หัวลูกศิษย์ก่อนจะลงไปนั่งข้างๆทากะ



    “ที่ทำแบบนี้ก็เพื่อแสดงให้คนอื่นๆเห็นว่า หากฝีมือไม่ถึงขั้นจะต่อสู้กับปีศาจจริงๆจะเป็นอันตรายขนาดไหน แถมยังฆ่าตัวร้ายอย่างกริฟฟินไปได้ถึงสามตัวช่วยลดจำนวนปีศาจที่แข็งแกร่ง คนที่เตรียมใจมาไม่พร้อมและคนที่ฝีมือครึ่งกลางๆจะได้ถอยกลับรักษาชีวิตได้ทันสินะ” อากิรอสเอ่ยถาม



    “เจ้าพวกนี้น่ะ แค่เห็นพวกปีศาจบางคนยังขาสั่นเลย” อเซแมกหยิบขวดน้ำออกมาดื่ม



    “งั้นแสดงว่าภารกิจครั้งนี้คงจะอันตรายน่าดู” เบลวิเคราะห์



    “ก็เป็นไปได้ แต่ความรู้สึกแย่ๆของข้ามันยังไม่หายไปเลย หวังว่าวันนี้คงจะไม่เกิดเรื่องอะไรหรอกนะ” อเซแมกบอก ทุกคนนิ่งเงียบรู้ดีว่ายอดนักรบอย่างเขาย่อมมีสัมผัสพิเศษบางอย่างที่ไม่ธรรมดาแน่นอน





    หลังจากที่เห็นหลานชายของเหยี่ยวสายฟ้าแสดงฝีมือปราบกริฟฟินไปแล้ว นักสู้คนอื่นๆที่ยังไม่พร้อมจะเสี่ยงชีวิตขอถอนตัวไปเกือบกึ่งหนึ่ง คนที่เหลือขึ้นเวทีไปสู้กับปีศาจ คนที่มีฝีมือพอจะชนะได้ก็มีอยู่แต่ส่วนใหญ่ก็พ่ายแพ้และบาดเจ็บหนักไปตามๆกัน



    ด้วยฝีมือของทากะ เทรน เบลลานี่และอากิรอส พวกเขาผ่านการทดสอบได้อย่างสบายๆ





    เวลาเที่ยง แสงจากดวงอาทิตย์แผดเผาผืนแผ่นดินให้ร้อนระอุ จำนวนนักสู้ที่รอการทดสอบเหลืออยู่อีกไม่ถึงยี่สิบคน นักสู้คนหนึ่งกำลังสู้กับหมาป่าปีศาจตัวเขื่องขนาดลูกวัวอยู่บนเวที อเซแมกและพรรคพวกนั่งสงบนิ่งรอให้การคัดเลือกสิ้นสุดลงอยู่ที่กำแพงด้านหนึ่ง







    “โบร๋ววววววววววววววววว!!!!!”

    หมาป่ายักษ์บนเวทีหอนโหยหวน



    ปีศาจที่ถูกขังอยู่ในกรงเริ่มคลั่ง ส่งเสียงร้องดังไปทั่วและพยายามจะแหวกกรงออกมา แสงจากดวงอาทิตย์ที่ลอยอยู่เหนือหัวลดต่ำลงฉับพลัน ลมพัดกรรโชกรุนแรงหอบเอาเมฆดำหนาเข้าปกคลุมทั่วนครชิลโซลิธีอย่างรวดเร็ว แผ่นดินเริ่มสั่นไหวโยกคลอน







    ‘สุริยคราส’





    บนอัฒจันทร์เกิดโกลาหนอลม่าน ชาวเมืองรีบวิ่งกรูไปยังทางออก เสียงกรีดร้องของผู้หญิงและเสียงเด็กเล็กร้องไห้ดังขึ้นไปทั่ว พวกปีศาจยิ่งดุร้ายและบ้าคลั่งมากขึ้นเรื่อยๆ





    ‘อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกก’

    เสียงร้องโหยหวนของทหารดังลอดออกมาจากอุโมงค์บ่งบอกได้ว่าด้านในเกิดเรื่องขึ้นแล้ว ปีศาจจำนวนมากกรูออกมาจากอุโมงค์







    “เอาจนได้สิ” อเซแมกบ่นออกมา ชักดาบออกเตรียมพร้อม คนอื่นๆก็เช่นกัน

    “ก่อนหน้านี้ยังบอกว่าตัวเองโชคดีอยู่เลยนี่คะ” เบลลานี่แหย่เข้าให้



    “หึ! ลืมๆที่ข้าพูดไปเถอะนะ” อเซแมกพูดจบก็ออกวิ่งเข้าไปสู้กับฝูงปีศาจที่ตอนนี้กำลังไล่เข่นฆ่าทหารของกองทัพล้มตายเป็นว่าเล่น ทุกคนต่างแยกย้ายกระโดดขึ้นบนอัฒจันทร์ไปปกป้องชาวเมืองที่ยังหนีไม่ทัน







    “นี่มัน! เป็นไปได้ยังไงกัน!?” การ์เน็ตร้องขึ้น “ทหาร! รีบคุ้มครองและอพยพชาวเมืองโดยเร็วที่สุด”



    “ท่านรีบสั่งการอพยพเถอะ ข้าจะลงไปสู้เอง” เฟทพูดจบก็กระโดดลิ่วลงไปยังลานหินเบื้องล่างทันที ขาขวาเตะหอกเล่มหนึ่งที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นลอยขึ้นตรงหน้าแล้วคว้าจับหมุนซ้ายขวาอย่างคล่องแคล่ว วิ่งตรงดิ่งเข้าแทงกลางอกปีศาจที่อยู่ใกล้ที่สุด กดหอกผ่าตัวกลางลงพื้นแล้วสะบัดหอกแทงสวนไปด้านหลังปักทะลุหัวนกปีศาจที่บินเข้ามาโจมตีจากด้านหลังราวกับมีดวงตามองเห็น





    หมาป่าที่อยู่กลางเวทีหอนโหยหวนเสียงดัง ก่อนที่ไอดำจากซากศพของปีศาจที่ล้มตายจะไหลไปรวมที่มัน พลันจากหมาป่าที่ตัวโตอยู่แล้วกลับโตขึ้นอีก ในพริบตากลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่าตัวใหญ่ยักษ์สูงร่วมๆสี่เมตรคำรามดังก้องไปทั่ว





    ทหารที่อยู่ใกล้ๆรีบวิ่งเข้าไปจะฆ่ามัน

    “อย่า! ถอยออกมา” เฟทตะโกนเตือนแต่ช้าไปแล้ว หัวของพวกเขาหลุดกระเด็นร่วงลงพื้น



    เงาร่างสายหนึ่งลอยเข้าประชิดด้านหลังต้นคอของมัน เทรนนั่นเอง นักรบสาวปักดาบเข้าหลังคอของมันอย่างแม่นยำ









    ผัวะ! หลังมือซ้ายของมนุษย์หมาป่าสะบัดใส่เธอ ลอยละลิ่วไปกระแทกกับอัฒจันทร์เต็มๆ มันคำรามก้อง ดึงดาบที่ปักอยู่โยนทิ้งไป





    “เทรนนนนน!!”

    อาจารย์หนุ่มตะโกนเสียงดัง แต่อากิรอสพุ่งเข้าถึงตัวเธอก่อนพร้อมพยักหน้าเป็นเชิงให้รู้ว่าเขาจะดูแลเธอเอง





    ทากะกระโดดลงมาใกล้ๆอเซแมก “คงต้องจัดการกับเจ้าตัวนี้ก่อนสินะขอรับ” เขาพยักหน้ารับ



    ทั้งคู่พุ่งเข้าสู้กับมนุษย์หมาป่า มันฟาดกรงเล็บใส่อเซแมกแต่เขาใช้ดาบต้านรับไว้ได้ ทากะที่ตามหลังมากระโดดวูบลอยตัวตวัดดาบด้วยวิชาอิไอ คมดาบเข้าปะทะเต็มๆที่คอ แต่ผิดคาดที่หัวของมันไม่หลุดกระเด็นออกมีเพียงแค่แผลเท่านั้น แววตามนุษย์หมาป่าเป็นประกายกู่ร้องคำราม มืออีกข้างสะบัดเข้าหาทากะ ขาถีบเข้ากลางลำตัวอเซแมกกระเด็นไปทั้งคู่





    “ชักจะแย่นะเนี่ย” อเซแมกเงยหน้ามองดูท้องฟ้า บัดนี้สุริยคราสโคจรมาถึงครึ่งหนึ่งแล้ว



    “พลังปีศาจของมนุษย์หมาป่าเพิ่มขึ้นตามพลังอำนาจของพระจันทร์ ถ้าไม่รีบจัดการมันละก็ยุ่งยากแน่ๆ” เขาหันไปบอกทากะ เขาพยักหน้ารับ ปาดเลือดออกจากปาก



    “ลองดูกันอีกทีขอรับ”



    ว่าแล้วทั้งคู่ก็พุ่งเข้าหาศัตรูอีกครั้ง มันคำรามแล้วย่อตัวกลับยืนสี่ขาแล้วพุ่งเข้าหา พวกเขาไหวตัวทันเปลี่ยนทิศการวิ่งหลบออกด้านข้าง อเซแมกตั้งหลักแล้วพุ่งหลบกรงเล็บของมันเข้าประชิดตัวรัวดาบซ้ายขวาเข้าใส่ไม่ยั้งแล้วกระโดดหมุนตัวถีบให้มันกระเด็นออก ทากะตามซ้ำชักดาบออกฟันเข้าที่ข้อมือสองข้างด้วยความรวดเร็วก่อนจะตวัดฟันขวางลำตัวแล้วฉากออกให้อเซแมกที่พุ่งตามมากระโดดฟาดดาบใส่ตรงๆเต็มแรง



    “ลุยเลย!” อเซแมกตะโกนบอก ทั้งคู่วิ่งจากซ้ายขวาใช้กระบวนท่าสะบัดดาบจากล่างขึ้นบนตัดกันเป็นรูปกากบาทเข้าที่กลางอก เลือดสดๆทะลักออกจากปากแผล







    ‘ฉึก!’ หอกเล่มหนึ่งแทงทะลุซ้ำลงไปในแผลเสียบหัวใจของมัน แม่ทัพลำดับสองแห่งชิลโซลิธีตามหลังทั้งคู่มา อเซแมกและทากะไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดลอยกระหน่ำฟันสัตว์ร้ายหน้าขนยับเยิน ก่อนทั้งคู่จะเสียบดาบจากชายโครงคนละฝั่งพร้อมกัน เสียงหอนโหยหวนดังขึ้นเป็นครั้งสุดท้ายพร้อมๆกับเสียงล้มตึงของมนุษย์หมาป่า



    สถานการณ์ตอนนี้สงบลงแล้ว สุริยคราสหายไปแล้ว กลุ่มเมฆแม้จะยังหลงเหลืออยู่แต่ก็บางตาลง ทหารจำนวนมากเข้ามาต่อสู้กับปีศาจที่อ่อนแรงลงและฆ่าพวกมันได้หมด เสียงร้องเจ็บปวดของผู้คนระงม กองเลือดและซากศพเกลื่อนเต็มไปหมด





    อากิรอสเดินประคองเทรนเข้ามาหาพวกเข้า “ข้ารักษาอาการบาดเจ็บให้แล้วแต่คงต้องพักฟื้นบ้าง”



    “ก็ยังดีที่ไม่เป็นอะไรมาก” อเซแมกถอนหายใจโล่งอกที่ลูกศิษย์จอมห้าวไม่เป็นอะไรมาก

    “จำไว้ ห้ามตายไปก่อนข้าเด็ดขาด เข้าใจไหม!?” เทรนยิ้มแหยๆ ผงกหัวรับคำอาจารย์อย่างอ่อนแรง





    เสียงเพลงดังขึ้นทำให้ทุกคนหันไปมอง เบลลานี่ยืนบนขอบอัฒจันทร์บรรเลงเพลงด้วยขลุ่ยยาวสีเงินในมือ ท่วงทำนองสงบและผ่อนคลาย ที่แผลของผู้ที่บาดเจ็บมีประกายแสงจางๆ เลือดค่อยๆหยุดไหล บางคนเริ่มได้สติรู้ตัว เธอกำลังรักษาพวกเขาด้วยบทเพลงเวทมนต์







    “เป็นวันที่สนุกจริงๆ” เสียงของชายผมแดงในชุดผ้าคลุมสีดำดังขึ้น เขายืนอยู่บนสเตเดียมด้านหลังพวกทากะ น่าแปลกที่ไม่มีใครสังเกตเห็นเขา ความมืดแผ่ออกจากเท้า ร่างของเขาค่อยๆจมหายไป







    สามวันหลังสุริยคราสผ่านพ้นไป อเซแมก เทรน ทากะ อากิรอสและเบลลานี่ได้รับเชิญให้พักอยู่ในกองทัพเพราะพวกเขามีความดีความชอบจากเหตุการณ์ครั้งนี้ ตอนนี้พวกเขากำลังประชุมกับแม่ทัพการ์เน็ตและแม่ทัพเฟทถึงเป้าหมายภารกิจของจักรพรรดิ





    “ดังที่ได้รู้กันว่า มหาสงครามกับกองทัพของราชาแห่งรัตติกาลใกล้เข้ามาแล้ว นอกจากการตามหาอัญมณีทั้งห้าเพื่อนำมาผนึกราชาแห่งรัตติกาลทุกๆร้อยปี มหานครชิลโซลิธีของเรายังมีของวิเศษอีกหนึ่งอย่าง” แม่ทัพใหญ่อธิบาย



    “เพื่อให้การทำศึกใหญ่สามารถลุล่วง ซ้ำยังรักษาชีวิตทหารจำนวนมาก นครของเราได้รักษา ‘ดอกไม้เจ็ดสี’ หรือที่รู้จักกันในนาม ‘ดอกไม้รุ้งสวรรค์’ อยู่ภายในพระราชวัง สรรพคุณของมันวิเศษยิ่งนัก กลีบดอกเพียงหนึ่งสามารถทำยาฟื้นฟูอาการบาดเจ็บรักษาชีวิตนายทหารนับพันนับหมื่นได้” แม่ทัพเฟทกล่าวเพิ่ม



    “ทว่า! ดอกไม้วิเศษก็ยังมีอายุขัย ตอนนี้มันเริ่มที่จะเหี่ยวเฉาลง คาดว่าอีกไม่เกิน 6 เดือนก็คงจะเหี่ยวแห้งและตายไป” การ์เน็ตพูดพลางถอนหายใจ “หน้าที่ของพวกท่านคือการออกตาหาดอกไม้รุ้งสวรรค์เพื่อนำมาไว้ที่ชิลโซลิธีอีกครั้ง”



    “อีกครั้ง!? งั้นแต่แรก ดอกไม้นี่ก็ไม่ใช่สมบัติประจำอาณาจักรสินะ” อากิรอสเอ่ยถาม

    “ถูกต้อง! ตามประวัติศาสตร์ที่บันทึกไว้ตอนก่อตั้งเมือง จักรพรรดิชิลโซลิธีองค์ก่อนทรงพระกรุณาช่วยเหลือชาวเอลฟ์กลุ่มหนึ่งที่ประสบภัยคุกคามจากปีศาจ ชาวเอลฟ์ได้ตอบแทนด้วยการนำทางไปถึงยังสุดขอบโลกที่ซึ่งดอกไม้วิเศษบานอยู่ท่ามกลางสรรพสัตว์และพฤกษา” การ์เน็ตตอบ



    “ครั้งนี้พวกเราก็ต้องเดินทางไปกันเองโดยไม่เอลฟ์นำทางให้งั้นสินะ?” เบลลานี่สรุป

    “ใช่แล้ว ปัจจุบันชาวเอลฟ์เหลือน้อยและอาศัยอยู่ในป่าลึก พวกเราออกค้นหาติดตามเท่าไรก็ไม่เจอ เมื่อเวลากระชั้นเข้ามา เราจึงจำเป็นต้องคัดเลือกผู้กล้าออกตามหาดอกไม้โดยลำพัง” เฟทตอบเบล



    “กำหนดการคืออีก 7 วันข้างหน้า ข้าขอให้ทุกท่านเตรียมตัวให้พร้อม หากต้องการสิ่งใดให้แจ้งไว้ข้าจักจัดหาให้โดยเร็ว ชะตากรรมของทหารทั้งกองทัพและชาวเมืองอยู่กับพวกท่านแล้ว” แม่ทัพใหญ่พูดสรุปแข็งขัน



    “รักษาตัวด้วย” แม่ทัพทั้งสองออกจากห้องไป อากิรอสกำลังทำหน้าคุ่นคิด





    “งั้นก็คงเป็นพวกเราห้าคนที่จะต้องทำหน้าที่นี้ละนะ” อากิรอสเอ่ยถาม

    “ก็คงอย่างนั้นละนะ” อเซแมกตอบ

    “ไม่มีใครปฏิเสธใช่ไหมละ?” อากิรอสถามซ้ำ ไม่มีคำพูดใดๆจากปากของทุกคน มีเพียงรอยยิ้มยินดีเท่านั้น



    “ก่อนอื่นก็คงต้องเตรียมตัวให้พร้อมกับการเดินทาง ข้าขอให้ท่านอเซแมกติดต่อกับท่านแม่ทัพ ข้ากับอากิจะหาข้อมูลจากบันทึกของที่นี่เพิ่มเติม ส่วนเทรนก็ต้องพักฟื้นให้หายบาดเจ็บ ท่านทากะก็... เอ่อ...” เบลชะงักเมื่อเห็นทากะนั่งเหม่อไม่ได้ฟังที่เธอพูดเลย “เอ่อ... ท่านทากะคะ”



    “ขอรับ?” ทากะหันมาตามเสียงเรียก

    “ท่านช่วยท่านอเซแมกก็แล้วกันนะคะ” เบลบอก

    “ได้ขอรับ” ทากะรับคำ นั่งเหม่อเหมือนเดิม















    <วันที่ 1>

    ทุ่งหญ้าหน้าเมือง ฝั่งประตูตะวันออก



    “ฮ่าๆ ข้าจะต้องจับพวกเจ้าได้แน่ๆ”



    เสียงของอากิรอสดังลั่นทุ่งตามมาด้วยเสียงหัวเราะของสาวๆอีกนับไม่ถ้วน เขาโผกอดหญิงสาวคนหนึ่งล้มลงกับพื้นหญ้าทั้งๆที่ผูกผ้าปิดตาอยู่ “ข้าบอกแล้ว พวกเจ้าหนีข้าไม่พ้นหรอกนะ ฮ่าๆๆ”



    สาวสวยมากมายห้อมล้อมเขาอยู่ เสียงหัวเราะต่อกระซิกดังอยู่ไม่ขาดสาย



    “อีกไม่นานข้าก็ต้องออกเดินทางไปไกลแสนไกลคงไม่ได้พบหน้าพวกเจ้าอีกแล้วละ”

    “วันนี้ขอให้ข้าเติมเต็มความสุขกับพวกเจ้าเถอะนะ” ว่าแล้วอากิก็ซบลงตักนางคนหนึ่งแล้วกอดเอวซ้ำหลับตาพริ้มมีความสุข





    “มีความสุขมากไหมยะ!?”

    “ไม่เอาสิ เป็นสาวเป็นนางต้องพูดจาให้สุภาพ ไม่งั้นจะไม่น่ารักนะ” อากิรอสยังคงหลับตาพูด ถูไถกับหน้าขานุ่มๆ

    “ขอโทษที่เผอิญเกิดมาเป็นคนไม่น่ารักนะ อากิ” เขาสะดุดกับเสียงและสำเนียงการพูด ลืมตาหันขึ้นมองก็พบเบลลานี่กำลังตีสีหน้ายิ้มเยือกเย็นอยู่ด้านหลัง



    “เอ่อ... แหะๆ หวัดดีตอนบ่ายจ๊ะ เบล”

    โป๊ก! เสียงกำปั่นลุ่นๆกระแทกเข้ากลางหัวอากิรอส จากนั้นเบลลานี่ก็ลากเขากลับเข้าเมืองทั้งๆอย่างนั้น









    <วันที่ 2>

    ลานฝึกซ้อมย่อยของกองทัพ



    “หกร้อยเก้าสิบห้า!” “หกร้อยเก้าสิบหก!” “หกร้อยเก้าสิบเจ็ด อุ๊บ!”

    “นี่! ข้าว่าเจ้าอย่าฝืนเลยนะ” เบลเตือนเทรน ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เธอลุกขึ้นมาฝึกฟาดดาบตั้งแต่เช้าแล้ว



    “เพราะข้ายังฝึกไม่พอถึงได้ทำให้อาจารย์เป็นห่วง”

    “ข้าจะต้องเก่งขึ้น ข้าจะต้องเก่งมากกว่านี้” เธอยกมือปาดเหงื่อออกจากหน้าผากแล้วฝึกฟาดดาบต่อไป









    <วันที่ 3>

    ห้องประชุม



    “ดูจากแผนที่นี้แล้ว เราจะมุ่งหน้าไปทางตะวันตกตัดผ่านทุ่งหญ้าตรงนี้แล้วก็ผ่านเข้าป่าทึบ จากนั้นก็ต้องปีนข้ามเทือกเขาออคุสตรงนี้ขึ้นเหนือยาวไปจนสุดอีกฟาก ถึงจะไปยังจุดที่บันทึกบอกว่าพบดอกไม้สายรุ้งครั้งแรก” อเซแมกอธิบายแผนการเดินทางให้แม่ทัพการ์เน็ตและเฟทฟัง



    “ท่านเคยไปยังแถบนั้นหรือไม่” การ์เน็ตถาม

    “ข้าไม่เคยไปถึง แถบนั้นล้วนเป็นแดนเถื่อนอีกทั้งปีศาจร้ายชุกชุม”



    “ถ้าล่องแม่น้ำริเรียไปออกที่ปากอ่าวทะเลสาบดำแล้วเลาะริมทะเลสาบฝั่งนี้ไปละ” เฟทถาม

    “เทือกเขาฝั่งนั้นเป็นหน้าผาสูงชันผ่านไม่ได้หรอก” เขาตอบไป



    “ไม่ว่าเส้นทางไหนก็อันตรายพอกัน ข้าจะเลือกเส้นทางที่สั้นที่สุดและอันตรายน้อยที่สุด” เขาบอก แม่ทัพทั้งสองพยักหน้าเห็นด้วย









    <วันที่ 4>

    คลังศาสตรา ห้องตีดาบ



    “เสร็จสักที” อเซแมกยกดาบขึ้นดู ตัวดาบสีเงิน คมดาบแวววาว

    “ท่านนี่เหนือความคาดหมายของข้ายิ่งนัก” เบลชมเขา “นอกจากจะเป็นนักรบชั้นยอดแล้ว ท่านยังเป็นนักสร้างอาวุธชั้นยอดอีกเช่นกัน”



    “ท่านปู่ของข้าสอนวิชาตีดาบให้ข้าด้วย เมื่อตอนข้าออกจากหมู่บ้านเดินทางขึ้นเหนือฃ่องใต้ก็เคยไปอยู่ที่หมู่บ้านช่างตีดาบทางเหนือระยะนึงด้วย”

    “อย่างนี้นี่เอง” เธอพยักหน้า



    “หากไม่ได้เจ้าช่วย ข้าคงทำงานนี้ไม่เสร็จแน่ๆ ขอบใจเจ้ามากเลย เบล” อเซแมกลุกขึ้นยืนยิ้มดีใจ มองของที่เขาสร้างขึ้นสำหรับการเดินทางครั้งนี้









    <วันที่ 5>

    หอสมุดประจำพระราชวัง



    “เฮ้ มนต์บทนี้น่าสนุกแฮะ มาดูสิเบล ตำราเวทที่นี่เจ๋งจริงๆ” อากิรอสตื่นเต้นกับเวทมนต์บทใหม่ๆที่เขาเจอในตำราเวทเล่มหนาปึ๊ก

    “หือ? ไหนๆ น่าสนใจจริงๆด้วยแฮะ”



    “ทางเจ้าเจอข้อมูลอะไรเพิ่มหรือยังละ?” เขาถาม

    “ยังไม่มีอะไรคืบหน้าเลย นอกจากบันทึกการสร้างเมืองฉบับแรกสุดแล้ว ก็ไม่มีฉบับไหนพูดถึงเผ่าเอลฟ์หรือดอกไม้เจ็ดสีอีกเลย”



    “ก็คงต้องคุ้ยพวกบันทึกอื่นๆดูบ้าง อาจจะมีเขียนถึงก็ได้” อากิแนะ

    “ก็คงต้องเป็นอย่างนั้นละนะ” เบลถอนหายใจ







    <วันที่ 6>

    คืนสุดท้ายก่อนออกเดินทาง กลางดึก ตลาดฝั่งตะวันออก



    “นี่ หยุดเดี๋ยวนี้นะ” ชายสี่คนกำลังวิ่งไล่หญิงสาวคนหนึ่งอยู่แต่ความเร็วต่างกันมากนัก

    “ฮึฮึ ช้าแบบนี้ไม่มีทางทันข้าหรอกย่ะ” หญิงสาวในชุดกางเกงยีนขาสั้น เสื้อเกาะอกสีแดงทับด้วยเสื้อฮู้ดสีเทา ผมดำยาวมัดรวบสูงเป็นทรงหางม้าหัวเราะร่วน





    โครม! เธอชนเข้ากับทากะจนล้มลงแต่เขากลับไม่เป็นไร

    “ชะ ช่วยด้วยค่ะ ข้าถูกพวกบ้ากามไล่ตามมา ได้โปรดช่วยข้าด้วยเถอะ” เธอปราดเข้าไปกอดขาของเขา น้ำตาไหลริน เสียงสั่นเครือ ทากะมองเธอแบบงงๆ ชายทั้งสี่ตามมาทันพร้อมกับตรงเข้าฉุดข้อมือเธอ



    “ข้าน้อยว่าทำแบบนี้ไม่เหมาะนะขอรับ” ทากะปรามพวกเขา ยกมือเข้าขวาง



    “ไม่ใช่เรื่องของเจ้า อย่ามายุ่ง”

    “ระวังจะเจ็บตัวนะไอ้หนู”



    บึ๊ก! บึ๊ก! ดาบของทากะฟาดเข้าต้นคอของพวกเขาอย่างแม่นยำในพริบตาเดียว ทั้งสี่สลบล้มฟุบลงกับพื้น





    “ว๊า อยู่บ้านเศรษฐีเสียเปล่า พกเงินมาแค่เนี๊ย?” เธอตรงดิ่งเข้าไปปลดถุงเงินที่ห้อยเอวของชายคนหนึ่งเปิดออกดูแล้วก็ต้องบ่นด้วยความผิดหวัง “เอาน่า ดีกว่าไม่ได้อะไรเลย”



    “นี่... แม่นาง” ทากะเพิ่งจะรู้ตัวว่าถูกหลอก

    “อ้อ! ใช่ ขอบใจเจ้ามากนะ จริงๆข้าก็ว่าจะจัดการพวกมันเองอยู่หรอกแต่ก็ขี้เกียจอะ” เธอบอกทั้งๆที่มือก็ควานหาทรัพย์สินมีค่าจากพวกเขา



    “เฮ้ มีเรื่องอะไรกันน่ะ” เสียงอากิรอสดังมาจากด้านหลัง คนอื่นๆเดินตามเขามา

    “เรื่องเข้าใจผิดกันค่ะ ไม่มีอะไรมากหรอก” เธอเปลี่ยนสีหน้าทันที ยิ้มแย้มให้กับอากิรอส



    “อ้าว! นี่พวกเจ้าเป็นบุคคลสำคัญของเมืองนี้เลยนะเนี่ย” เธอตบมือ ชี้นิ้วไล่เรียงทีละคน

    “รู้จักพวกข้าด้วยรึ?” เทรนถาม

    “พวกเจ้าออกจะมีชื่อเสียงโด่งดังจากวันสุริยคราส มีรึคนในเมืองนี้จะไม่รู้”



    “อย่างนั้นรึ?” อเซแมกบอก “ถ้าไม่มีอะไรก็กลับกันเถอะ ทากะ พรุ่งนี้ต้องเดินทางแต่เช้ามืด”

    “อ้าว! จะออกเดินทางกันแล้วงั้นเหรอ พวกเจ้าจะไปไหนกันละ” เธอถาม ทุกคนมองหน้ากันก่อนจะโบ้ยให้อเซแมกตอบ



    “พวกข้าจะข้ามฟากแม่น้ำริเรียไปอีกฝั่ง เดินทางไปยังแถบตะวันตก”

    “แถบนั้นมีแต่พวกร้ายๆทั้งนั้นเลยนี่นา แต่เอาเถอะ ฝีมืออย่างพวกเจ้าก็คงสบายๆละนะ งั้นข้าขอตัวก่อนละ” เธอหันหลังโบกมือลา







    เหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ เธอหันหลังกลับมาตะโกนเรียกพวกเขา “พวกเจ้ามีคนนำทางแล้วรึยังละ?”



    อเซแมกชะงักฝีเท้า หันหลังเดินกลับมาหานาง “เจ้าเคยไปยังแถบตะวันตกอย่างงั้นรึ”

    “แถบนั้นน่ะ สวนหลังบ้านของข้าเลยละ ข้าตั้งใจว่าเสร็จธุระจากที่นี่ข้าก็จะไปแถบนั้นพอดี”



    อเซแมกหันไปมองทุกคนเป็นเชิงถาม อากิรอสพยักหน้าตกลง



    “เจ้าจะรังเกียจไหม หากข้าจะขอให้เจ้านำทางข้าไปจนถึงชายป่าก่อนถึงเทือกเขาออคุส” อเซแมกถาม

    “ข้าคงไม่ได้ทำงานฟรีๆใช่ไหมละ ท่านนักรบ” เธอแสยะยิ้ม “ข้าเกลียดการทำงานฟรีๆนะ”



    อเซแมกเกาหัวแกรกๆส่ายหน้า “หากเจ้าพาพวกข้าไปถึงที่นั่นได้จริง รับรองว่าข้าไม่เอาเปรียบผู้หญิงแน่”

    “งั้นก็ตกลงตามนั้น”





    “ข้า มาเรีย ซินนาส จะรอพวกเจ้าอยู่ที่ประตูตะวันตกตอนเช้ามืด อย่ามาสายละ” มาเรียหันหลังวิ่งจากไปพร้อมกับตะโกนบอกพวกเขา ทากะมองตามหลังจนเลี้ยวหายไปที่ทางแยก



    “จะไว้ใจได้หรือขอรับ” ทากะเอ่ยถาม

    “ทางเลือกมีไม่มาก หากมีคนที่สามารถพาไปได้จริงๆละก็นะ” อเซแมกตอบ





    กลับมาแล้ว ทากะออกมายืนที่ระเบียงเพียงลำพัง เหม่อมองดูท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวพราวสว่างมากมาย



    “เฮ้อ” เขาถอนหายใจ ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่





    เส้นด้ายบางๆหลายเส้นเริ่มบิดพันเป็นเกลียวใหญ่ สายใยเพิ่งจะถูกก่อตัวแม้จะยังไม่เหนียวแน่น แต่ก็ไม่ขาดง่ายๆเหมือนด้ายโดดเดี่ยวเส้นเดียวเหมือนที่ผ่านมา





    To be continue…















    - คุยกันท้ายตอนกับ Azemag –



    ตอนนี้ยาวมาก คนเขียนเองยังเขียนไปมันส์ไปแทบจะหาทางปิดตอนไม่เจอ ตอนหน้าก็จะเริ่มออกเดินทางกันแล้วครับ อดใจรอการผจญภัยและการเดินทางของพวกเขาหน่อยนะครับ



    เช่นเดิม มีข้อติชมแนะนำ เชิญได้เต็มที่ครับ



    Special Thanks

    ภาพประกอบมาเรีย ซินนาส by บาทหลวงโอนิคุโร่



    [​IMG]




    Azemag A.C. McDowell
  20. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    เนื้อหาฉากแอคชั่นกระชับอ่านง่ายดี แต่บางฉากก็รวบรัดจนผ่านเร็วไปหน่อยไม่ทันอินกับบรรยากาศซักเท่าไหร่น่ะฮะ

    ปล. ท่าแทงแล้วบิดดาบแบบนั้นปกติเขาไม่ใช้กันไม่ใช่เหรอ (ดีไม่ดีดาบจะหักหรือบิ่นเอา)
  21. ReficuL

    ReficuL New Member

    EXP:
    53
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    0
    มันส์ค่ะ ตอนแรกแอบนึกว่าท่านรองแม่ทัพจะแสดงฝีมือมากกว่านี้หน่อย

    แต่สรุปว่าโผล่มาตอนที่เค้ากะลังจะจัดการหมาป่าเสร็จ

    ผู้ชายที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ร้ายๆ เป็นใครกัน

    ต้องติดตามตอนต่อไป โฮกกก >3<
  22. swanton

    swanton Dragon on Board

    EXP:
    1,424
    ถูกใจที่ได้รับ:
    69
    คะแนน Trophy:
    113
    คงเพราะเขียนมันส์ในอารมณ์ ฉากต่อสู้ก็เลยบรรยายไปแบบมันส์ในอารมณ์ จะว่ารู้เรื่องก็รู้เรื่อง แต่เก็บรายละเอียดไม่ค่อยดีเท่าไร ในบทสนทนาต่างๆก็เหมือนกัน
    แต่ในแง่ความรวดเร็วของการเดินเรื่องก็ถือว่าโอเคทีเดียว

    ช่วงพักอยู่ในเมืองได้เห็นคาแรคเตอร์ของแต่ละคนชัดเจนขึ้นมากๆ โดยเฉพาะอากิรอสกับเบลลานี่! ถึงจะรู้อยู่แล้วว่าเดี๋ยวอากิก็จะโดนเบลลากเข้าเมือง แต่ได้อ่านแล้วก็รู้สึกขำปนสะใจจริงๆ 55555
    มาเรียช่วยให้ปาร์ตี้มีความครึกครื้นมากขึ้นเยอะ สาวๆในกลุ่มนี้นอกจากเบลแล้วดูไม่ค่อยปกติสักคน 55555

    อาเซแม็กหลุดการบรรยายสิ่งแวดล้อมรอบตัวไปเยอะเหมือนกัน ถ้าบรรยายก็จะช่วยให้เรื่องมันมีรายละเอียดมากขึ้น เช่น คนนี้อยู่ที่ไหน สีหน้าเป็นยังไง แต่เท่าที่คุยกัน คิดว่าอาเซคงกลัวฟิคจะยาวอะไรตัดได้ก็คงตัดนะครับ
    อยากเห็นสไตล์ดาบอาเซแม็กชัดกว่านี้ หรือจะเก็บไว้เทพตอนหลังดี หึหึ
    (เรื่องนี้มีเอลฟ์ด้วย!! เหนือความคาดหมายอยู่บ้างนะเนี่ย)

    ผมนึกภาพออกอยู่แฮะซาล ไอ้ที่แทงลงไปแล้วบิดครั้งเดียวเพื่อให้คมทำลายอวัยวะภายใน แล้วจากนั้นคนที่ถูกแทงก็จะร้องอ๊ากก แล้วแน่นิ่งไปเลย
  23. powder

    powder Member

    EXP:
    260
    ถูกใจที่ได้รับ:
    9
    คะแนน Trophy:
    18
    บทบู๊อ่านแล้วดูกระชับ แต่บทบรรยายหรือบททั่วไปอื่นๆดูไวและขาดรายละเอียดไปหน่อย การดำเนินเรื่องส่วนตัวคิดว่าเร็วพอสมควรค่ะ

    ตอนนี้คิืดว่าถ้าบรรยายรายละเอียดในส่วนบทสนทนาได้จะดีกว่านี้ เช่น สิ่งแวดล้อม ท่าทาง รายละเอียดอื่นๆ

    ส่วนตัวชอบวิธีการเล่าใน7วันก่อนเดินทาง ให้ความรู้สึกเหมือนอ่านการ์ตูนเลย(ฮา)

    ชอบตอนที่อเซแม็กบู๊กับกริฟฟิน อากิรอสโดนเบลลากกลับ และตัวตนของมาเรียค่ะ

    อยากรู้เบื้องหลังทากะซะแล้วว่ากลุ้มใจอะไร

    รอดูการผจญภัยในตอนหน้าค่ะ!
  24. joi100

    joi100 นักเดินทางแห่งมิดการ์ด

    EXP:
    478
    ถูกใจที่ได้รับ:
    23
    คะแนน Trophy:
    38
    อ่านรวดเดียว สนุกดีนะได้ความรู้สึกเป็นแฟนตาซีบ้านๆตามท้องตลาดเลย ถึงมันจะบ้านแต่มันยังอ่านได้เรื่อยล่ะนะ อะไรที่เป็นจุดติก็มีคนติไปหมดแล้ว (มาเม้นช้าก็สบายงี้แหละ) เอาเป็นว่าตอนต่อไปก็สู้ๆเข้าล่ะสหาย ขอให้สนุกกับการเขียนฟิคแฟนตาซี
  25. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    ตอนนี้พยายามรีบรวบรัดให้จบตอนเพื่อดำเนินบทต่อไปให้ไวเลยอาจจะตกหล่นรายละเอียดไปบ้าง
    ขอบคุณที่แนะนำครับ


    แม่ทัพเฟทขโมยซีนกันเห็นๆเลยเนอะ ^ ^
    ส่วนเนื้อเรื่องอื่นๆก็ต้องตามกันต่อไปเรื่อยๆจ้า


    มันยาวมากครับ ถ้าไม่ตัดออกจะทะลุไปถึง 22k ตัวอักษรซึ่งยาวมาก คงไม่เหมาะที่จะลง
    แต่จะให้ตัดเป็นสองตอนก็ดูจะยืดไปนิด เลยยอมตัดบางอย่างออก ผลก็คือบรรยายบรรยากาศไม่ละเอียดอย่างที่ว่าจริงๆครับ

    ส่วนสไตล์ดาบอเซแมก ต้องตามดูกันยาวๆครับ



    ใช่ครับ ได้แรงบันดาลในฉากนี้มาจากการ์ตูนผจญภัยทั้งหลายที่มักจะบอกว่าก่อนออกเดินทาง พวกปาร์ตี้นั้นทำอะไรกันบ้าง



    ไม่ช่วยหาจุดผิดเลยนะ สหาย -3-
    เรื่องนี้เขียนเพราะอยากเขียน และก็สนุกที่จะเขียนเช่นกัน ก็ต้องตามกันต่อไปเรื่อยๆละนะ


    ขอบขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านและติชมครับผม

    Azemag A.C. McDowell
Thread Status:
Not open for further replies.

Share This Page