เหตุผลในการศึกษาวิทยาศาสตร์นั้น มีหนังสือมากมายบอกว่าวิทยาศาสตร์เป็นเรื่องที่สนุก โดยยกข้อสนับสนุนมากมายมาเป็นหลักฐาน อย่างเช่น "ความสนุกสนาน" เป็นต้น อย่างไรก็ตามการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ มักจะตามมาด้วยการนอนกลางวันเสมอ และการนอนหลับ ไม่ใช่พฤติกรรมที่มนุษย์แสดงออกมาเวลาที่สนุก เป็นหลักฐานที่จับต้องได้ง่าย ทำให้คนคิดว่าวิทยาศาสตร์ไม่สนุกครับ ต่อมาถ้าเราจะมองในแง่ของการใช้ประโยชน์ " ทนาย" ไม่จำเป็นต้องรู้กฎทางเคมีเวลาตัดสินคดีความ " หมอ" ไม่จำเป็นต้องรู้ว่าจะลงมีดผ่าตัดด้วยแรงกี่นิวตัน ดังนั้นการเรียนวิทยาศาสตร์เพื่อ "ความสนุก" หรือเพื่อ "ใช้ประโยชน์" จึงอาจจะยังเป็นเหตุผลซึ่งยังไม่เพียงพอ ที่จะทำให้เราเห็นคุณค่าของวิทยาศาสตร์ หรือบางทีมันอาจเป็นเพียงการหาเหตุผล เพื่อปกป้องสิ่งที่ตนรักก็เป็นได้ มันคือเหตุผลของคนที่ชอบวิทยาศาสตร์ ซึ่งพูดออกมาจากใจจริง ทว่าบางทีมันอาจไม่เพียงพอสำหรับเรา แล้วเหตุผลสำหรับเรานั้น ผมเชื่อว่ามีอยู่อย่างแน่นอน เพราะวิทยาศาสตร์เป็นสิ่งที่มี "คุณค่า" ต่อเราไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง และผมเชื่อว่าในที่สุดผู้อ่านจะเข้าถึงหัวใจ ซึ่งเป็นพหูพจน์ของวิทยาศาสตร์นี้ได้ หัวใจดวงที่เหมาะสมกับเรา และรอการค้นหาอยู่ครับ ปล.ผมเคยเขียนไว้ที่ Scihearts น่ะ
ความสนุกสนานอาจจะไม่ใช่ประโยชน์หลัก แต่ก็เป็นผลพลอยได้ที่ได้จากกระบวนการเรียนรู้ ความสนุกมิได้อยู่ที่การเรียนทฤษฎี หากแต่เกิดจากการทดลองปฏิบัติจริง ผลลัพธ์แห่งความสุข สนุกสนานจะปรากฎขึ้นก็ต่อเมื่อผู้นั้นมีความชอบในสิ่งที่ตัวเองทำ ทำด้วยความเต็มใจจริงๆ แต่ก็นั่นแหละครับ กระบวนการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ในหลักสูตรการศึกษาของไทยแทบจะทุกระดับมันมีปัญหา มันเลยทำให้วิทยาศาสตร์ไม่สนุกเอาเสียเลยสำหรับผู้เรียน (หรือแม้กระทั่งผู้สอนก็ไม่สนุกด้วยเช่นกัน)
ตอนเด็กๆผมเคยคิดเหมือนกันครับว่า เรียนคณิต วิทย์ไปทำไม ไม่เห็นได้ใช้อะไร พอโตๆมาหน่อยเริ่มคิดได้ครับ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สำหรับผมมันมีคุณค่า คือ เรียนรู้ไว้เพื่อ "ฝึก และ พัฒนา" สมองครับ เป็นวิชาพื้นฐานของการใช้เหตุผล ส่งเสริมการคิด การสร้างความเข้าใจต่อตนเองและโลก ทุกวันนี้ถ้าผมเจอเด็กๆหรือน้องๆบ่นเรื่องนี้ ผมก็จะพยามชี้ให้เค้าเห็นครับ ว่ามันอาจไม่มีประโยชน์ให้เห็นโดยตรง แต่มันแฝงคุณค่าในตัวมันเองไว้อยู่ครับ
ในฐานะที่เรียนทางด้านวิทยาศาสตร์มา และรักวิชานี้เป็นอย่างมาก ผมขอแสดงความเห็นอย่างใจจริงครับ ว่าเนื้อหาวิชาวิทยาศาสตร์ที่หลักสูตรของประเทศไทยใส่มาให้เราเรียนตอนประถม-ม.ต้น-ม.ปลาย นั้น "ไม่เหมาะสม" อย่างแรง (ซึ่งจะว่าไปก็ไม่ใช่แค่วิชาวิทยาศาสตร์หรอก ผมมองว่าหลักสูตรวิชา คณิตศาสตร์ ภาษาไทย สังคม ฯลฯ ก็ทำมาห่วยพอ ๆ กัน) นั่นเป็นหนึ่งในสาเหตุที่คนมากมายเรียนแล้วไม่ชอบ ไม่สนุก ไม่เห็นประโยชน์ และไม่ได้เอาไปใช้จริงครับ หลักสูตร มัธยมของประเทศไทยมักจะเน้นไปที่การยัด "เนื้อหา" เข้าไปเยอะ ๆ เพื่อให้เด็กสามารถทำโจทย์ได้ แล้วคิดว่าเด็กจะเก่ง แต่จริง ๆ แล้วสิ่งสำคัญกว่าการทำโจทย์ได้ คือการที่เด็ก "คิดเป็น" ในแนวทางของวิชานั้น ๆ ครับ การยัดเนื้อหาเข้าไปเยอะแยะ เช่นวิชาเคมีก็ยัดเข้าไปตั้งแต่ตารางธาตุ โครงสร้างอะตอม สารประกอบ มวลสารสัมพันธ์ พันธะเคมี จลศาสตร์เคมี สมดุลเคมี ไฟฟ้าเคมี เคมีอินทรีย์ กรด-เบส สารประกอบเชิงซ้อน การอ่านชื่อสาร ความจุความร้อน ฯลฯ ทั้งหมดนี้ผมยังมองไม่ออกเลยว่า คนที่ไม่ได้ทำอาชีพในสายวิทยาศาสตร์จะรู้ไปหมด ทำโจทย์ได้หมด ไปทำไม และสำหรับอาชีพที่จะใช้ก็ไปเรียนซ้ำอีกใน Gen Chem ของมหาลัยอีก เชื่อไหมครับว่าผมมีเพื่อนที่เรียนเคมีได้เกรด 4 ตลอด ทำโจทย์ได้หมด แต่ยังเข้าใจว่านักบินอวกาศกินอาหารแคปซูลสองเม็ดแล้วอิ่มได้ เพื่อนคนนี้ยังเข้าใจว่าถ้าเอาทองแดงจุ่มไปในสารละลายซิลเวอร์ไนเตรดแล้วจะเกิดปฏิกิริยาเสมอเพราะ E0 ของโลหะเงินสูงกว่า เพื่อนอีกคนนึงเรียนได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่งแต่เวลาเอาไขมันมาทำปฏิกิริยากับเบสเพื่อทำสบู่แล้วมันไม่เติมน้ำ นี่แสดงว่าแนวคิดเรื่องกฏทรงมวล แนวคิดเรื่องศักย์ไฟฟ้าของขั้วขึ้นกับความเข้มข้นมัน เรื่อง ฯลฯ มันไม่ได้อยู่ในหัวของคนพวกนี้เลย ในหัวคนพวกนี้ไม่ได้มี "แนวคิด" ของวิชาเคมีเลย มีแต่ "สูตร" ที่เอาไว้ทำข้อสอบเฉย ๆ ถ้าให้ผมเป็นคนวางหลักสูตร ผมจะตัดรายละเอียดปลีกย่อยที่มันไม่ได้เสริมแนวคิดพื้นฐานที่ใช้ต่อยอดไปสู่ความรู้อื่น ๆ ทิ้งให้หมด พวกการทดลองของรัทเทอร์ฟอร์ด สเปกตรัมของไฮโดรเจนอะตอม การอ่านชื่อแอลเคน แอลคีน แอลไคน์ พวกนี้ผมมองว่าไม่เห็นมีประโยชน์กับคนทั่วไปเลย ยกเว้นแต่คนนั้นจะเรียนต่อคณะวิทยาศาตร์ ซึ่งค่อยไปเรียนเอาตอนมหาลัยก็ได้ เวลาตอน ม.ต้น ม.ปลาย จะได้มาทำความเข้าใจกับแนวคิดสำคัญ ๆ เช่นกฏทรงมวล โมเลกุล สมดุลเคมี พันธะเคมี เทอร์โมไดนามิกส์เคมีพื้นฐาน แล้วถ้ามีเวลาเหลือก็เอาไปให้ความรู้กับสิ่งรอบตัว เช่นพลาสติกประกอบจากสารอะไร น้ำมันประกอบจากสารอะไร ในกระจกมีอะไร ในร่างกายเรามีสารเคมีหลัก ๆ อะไร ทำอย่างนู้นอย่างนี้แล้วจะเกิดผลที่น่าสนใจอย่างไร นี่ขนาดวิชาที่เห็นภาพได้ง่ายอย่างวิชาเคมียัง "เละ" ขนาดนี้ คงไม่ต้องพูดถึงคณิตศาสตร์ และฟิสิกส์เลย สองวิชานี้มีเด็กนักเรียนเกลียดมากที่สุดเพราะอะไร เพราะหลักสูตรไทยมัน "สอนอะไรก็ไม่รู้" ไงเล่า แทนที่จะเอาแนวคิดที่จำเป็นต่อการต่อยอดมาสอน กลายเป็นว่ายัดเนื้อหาซะเต็มไปหมด ท่องสูตรกันไม่หวาดไม่ไหว แล้วสุดท้ายก็ไม่ได้ใช้ เด็กมันจะไม่เกลียดได้ยังไงล่ะคร้าบ ปล.ส่วนตัวผมชอบวิชาเคมีมากครับ และเรียนจบทางสายนี้มาโดยตรง แต่ขอยอมรับอย่างจริงใจเลยว่า ตอน ม.ปลายผมเรียนเคมีในห้องเรียนไม่สนุกเลย การนั่งอ่าน text ภาษาอังกฤษเองต่างหากที่ทำใช้ผมสนุกกับมันจริง ๆ
ผมเสริมความเห็นสั้นๆ 2 อันสำหรับ การศึกษาวิทยาศาสตร์ บ้านเราในตอนนี้นะครับ การศึกษา : "เงินเดือนครู มันอยู่ไม่ได้" คุณครู : "สอบตกมาก ครูผู้สอนถูกพิจารณา" วิทยาศาสตร์ แก่นคือ วิธีการ พิสูจน์ สิ่งที่เราสงสัย ด้วยขั้นตอน 4 ขั้นตอน 1. สังเกต 2. ตั้งคำถาม 3. ทำนายผล 4. ทดลองด้วยกระบวนการที่ทำซ้ำได้ หลายๆครั้ง แล้วสรุปผล ส่วนเรื่องสมการต่างๆ ที่ ดูแล้วไม่น่าจะได้ใช้ในชีวิตประจำวัน จริงๆ แล้วมันคือการยก case การทดลองต่างๆที่เคยเกิดขึ้น และได้รับการพิสูจน์ มาแล้ว ว่าเป็นจริง ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน (อนาคตอาจจะเปลี่ยนแปลงไปได้ ) มาให้เราได้เรียนรู้กันเองครับ ซึ่ง เครื่องมือที่ใช้ในบรรยายผลลัพธ์ผลการทดลองต่างๆ นั้น คือ คณิตศาสตร์ ในรูปแบบ ของ สมการน่าปวดหัวต่างๆ นั่นเอง จากข้างต้น ผมรับรองได้ครับว่า ยังไงๆ คุณๆก็ยังต้องใช้วิทยาศาสตร์ และหลักการเหล่านี้ ในชีวิตประจำวันแน่นอนครับ เพียงแต่ ไม่ได้อยู่ในรูปของสมการเท่านั้นเอง
ไม่รู้จะพูดอะไรให้ยาวยืดดี แต่บอกได้คำเดียวเลยว่าการที่ผมได้เรียนวิทยาศาสตร์คือเรื่องที่ดีที่สุดในชีวิต :medance.: :medance.: :medance.: