ตอนนี้ยุ่งจนกระดิกตัวไม่ได้ เอาสั้นๆละกันนะครับ กลายประเด็นก็ตอบกันจนกระจ่างแล้ว เรื่องการแต่งงานในสายเลือดมีมาตั้งแต่โบราณแล้วครับ แรกเริ่มเดิมทีอาจจะมีเพราะมนุษย์อยู่กันแบบชุมชนเล็ก การจับคู่เพื่อขยายเผ่าพันธุ์ย่อมเลือกมากไม่ได้ และต่อมาเมื่อมีระบบกษัตริย์หรือการสืบสันตติวงศ์ทางสายเลือด ความพยายามที่จะรักษาสายเลือดอันบริสุทธิ์ของราชนิกูลจึงทำให้เกิดการแต่งงานในสายเลือดขึ้น การแต่งงานในตระกูลมีทั้งฝั่งตะวันตกและตะวันออกนะครับ แม้แต่ในคัมภีร์พันธสัญญาเก่าการมีทายาทที่เกิดจากสายเลือดเดียวกันก็มีให้เห็นอยู่หลายคู่ จนกระทั่งในยุคหลังๆขนบนี้ก็ค่อยๆจางหายไปอย่างไม่มีหลักฐานบ่งชัดว่าเริ่มขึ้นเมื่อใด ในสมัยของใคร (ถ้าไม่นับอียิปต์ ในสัมยโรมันตอนต้นการแต่งงานระหว่างพี่น้องเพื่อรักษาฐานอำนาจและสายเลือดของจักพรรดิ์แห่งโรมก็ยังมีอยู่เลย) สาเหตุที่ทำให้ธรรมเนียมนี้หายไปมาจากคำสอนทางศาสนานั่นแหละครับ ส่วนหนึ่งก็อาจมาจากกลไกการปกป้องการล่วงละเมิดทางเพศ เพราะสมัยก่อนหญิงชายที่ใกล้ชิดกันได้ก็เห็นจะมีแต่คนในครอบครัวเท่านั้น ที่ไม่ใช่คนในครอบครัวนั้นถ้าไม่มีการแต่งกันอย่างเป็นทางการก็อย่าหวังว่าจะได้ใกล้ชิดกัน เรื่องการห้ามมิให้มีความสัมพันธ์ในสายเลือดคงเกิดจากประเด็นตรงนั้นแหละครับ เพราะคนโบราณไม่ได้มีความรู้เรื่อง Genetic pool หรือ genetic damaged นี่ครับ ส่วนระบบเทวราชาขอยืนยันว่าไม่ได้เกิดมาในสมัยของซาร์กอน เดอะ เกรท แน่นอน เพราะซาร์กอนเป็นแค่กษัตริย์ชาวเซไมต์ที่มารวบรวมอาณาจักรเมโสโปเตเมียขึ้นในภายหลัง ก่อนหน้าของซาร์กอนอาณาจักรสุเมเรียนมีกษัตริย์ปกครองอยู่ถึง 39 พระองค์ และดำรงสถานะเป็นเทวราชาที่สืบสายเลือดจากเทพเจ้าทั้งสิ้น ถ้านับตาม"หลักฐาน"ที่มีอยู่จริงๆ เทวราชาองค์แรกเห็นจะเป็นกษัตริย์หรือฟาโรห์แห่งราชวงศ์ที่ 1 ของอียิปต์ แต่ก็เอาแน่ไม่ได้ เพราะอาลักษณ์ของฟาโรห์ก็บันทึกเอาไว้เหมือนกันว่าพระองค์เป็นแค่ผู้รวบรวมอาณาจักรน้อยใหญ่แถบลุ่มน้ำไนล์เข้าไว้ด้วยกันเท่านั้น ก่อนหน้ารัชสมัยของพระองค์ก็มีกษัตริย์ใหญ่น้อยปกครองอาณาจักรย่อยๆแบบเทวราชาอยู่ คำตอบเท่าที่ผมทราบอาจจะคลุมเครือและยืนยันไม่ได้ แต่กษัตริย์เทพพระองค์แรกคือฟาโรห์เมเนสในยุคเกือบหมื่นปีก่อน เป็นกษัตริย์ที่เป็นมนุษย์จริงๆไม่ได้สืบสายเลือดมาจากเทพเจ้า ซึ่งก็บังเอิญไปพ้องกับชื่อของพระมนู กษัตริย์สมมติเทพพระองค์แรกของอารยธรรมลุ่มน้ำสินธุ อันมีเมืองโมเฮนโจดาโรและฮารัปป้าเป็นแหล่งที่เก่าแก่ที่สุด
จริงๆ เรื่องนี้ผมเองก็คิดเล่นๆ ไว้สมัยตอนเรียนมานานแล้ว แต่เนื่องจากชีวิตผมไม่ค่อยได้เกี่ยวข้องอะไรกับแนวประวัติศาสตร์สังคมเท่าไหร่นัก การหาหนังสือซักเล่มให้ตรงกับคำถามในใจของผมเลยเป็นเรื่องยากเย็นแสนสาหัส จนในที่สุดก็เลิกหาไป แต่ที่ผุดขึ้นมาในสมองผมแทนที่คำถามเดิม ก็คือเหล่าข้อสันนิษฐาน ที่จะช่วยให้ผมสรุปข้อสงสัยต่างๆ ของผมลงได้ แน่นอนว่าหลักฐานอ้างอิงแบบจริงๆ จังๆ นั้นไม่มี เพียงแต่ใช้ข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ ของประวัติศาสตร์แต่ละช่วงมาประกอบกัน แล้วบวกกับความน่าจะเป็นบางเรื่อง(ที่คิดเอง เออเอง) ลงไป ขอเริ่มตอบคำถามนะครับ... เรื่องประเพณีแต่งงานกันในสายเลือด สิ่งที่ทุกคนรู้ๆ กันอยู่คือ "มันเคยเป็นที่นิยมในอดีต" และ "มันหายไปตอนไหนไม่รู้" แต่ทำไมล่ะ? สิ่งที่ตอบได้จริงๆ ต้องอ้างอิงหลักวิทยาศาสตร์ แต่!!! ขอตอบในอีกแบบนึงแล้วกันครับ มนุษย์เรานั้นจะมีความรักให้กับสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเสมอ แน่นอนว่ารวมถึงในปัจจุบันด้วย ดังนั้นการรักคนในครอบครัวจึงไม่ใช่เรื่องแปลก ยิ่งการรักคนในครอบครัวถึงขั้นชู้สาวบอกตามตรงว่าไม่ใช่เรื่องแปลก สำหรับการที่เราจะรักใครซักคนที่มีการใช้ชีวิต ลักษณะนิสัย และการใช้เวลาคล้ายๆ กับเรา ถ้าไม่ถูกกีดกันทางสามัญสำนึกจากวิทยาศาสตร์ ประเพณี และวัฒนธรรม นั่นคือพื้นฐานของมนุษย์ แต่เดิมที เอาล่ะ ต่อไปนี้คือคำตอบจริงๆ นะครับ มนุษย์ธรรมดา มีความต้องการทาง รัก โลภ โกรธ หลงเป็นธรรมดา ยศฐา บรรดาศักดิ์ อำนาจ ความยิ่งใหญ่ ก็เช่นกัน ตัวแปรนอกเหนือจากนี้คือ "มนุษย์เกิดมาพร้อมกับสัญชาตญาณอย่างนึง นั่นคือ สัญชาตญาณการขยายเผ่าพันธุ์" เมื่อนำทุกสิ่งที่กล่าวไปแล้วมารวมกัน จะได้ใจความอย่างนึงซึ่งสามารถนำมาอ้างอิงถึงเหตุการณ์ในยุคสมัยต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ สายเลือดบริสุทธิ์ คือการขยายเผ่าพันธุ์ของตนเอง (ในตระกูลตัวเอง) เนื่องจากการที่ตนเองนั้นอยู่ในตำแหน่งสูงสุดของอำนาจแล้ว ย่อมไม่ต้องการให้เผ่าพันธุ์อื่นใด (ตระกูลอื่นใด) เข้ามาร่วมในเผ่าพันธุ์ของตน แล้วแบ่งทอนอำนาจเหล่านั้นไป นั่นคือสาเหตุของการยึดถือสายเลือดบริสุทธิ์ ในทางตรงกันข้าม หากเผ่าพันธุ์ของตนด้อยอำนาจล่ะครับ ท่านคิดว่าผู้นั้นจะกระทำการเยี่ยงไร? ใช่ครับ... พยายามพาตัวเองเข้าไปในเผ่าพันธุ์ที่มีอำนาจ พยายามพาเชื้อสายของตน สายเลือดของตนเข้าไปผสม ปนเป ในเผ่าพันธุ์ที่มีอำนาจอยู่ในขณะนั้น เพื่อให้เผ่าพันธุ์ของตนดำรงอยู่ต่อไป และมีโอกาสที่จะกลับมามีอำนาจเหนือผู้อื่นได้อีกครั้ง นั่นทำให้ผมสรุป(เอง)ว่า ระบบสายเลือดบริสุทธิ์หรือการแต่งงานในเครือญาตินั้น หากไม่อิงเรื่องวิทยาศาตร์เลยล่ะก็ มันจะต้องเริ่มสูญหายไปในช่วงของสงครามแย่งชิงดินแดนระหว่างเผ่าพันธุ์ครับ ผมเองร้างประวัติศาตร์มานานจำไม่ได้ว่าเป็นปีใด แต่ในประวัติศาสตร์ที่จารึกว่าการแต่งงานเพื่อรักษาบ้านเมืองของตนไม่ให้ถูกต่างแดนเข้าทำลาย การแต่งงานเพื่อส่งสายเลือดของตัวเองเข้าไปเป็นไส้ศึกเพื่อทำการยึดอำนาจพื้นฟูราชวงศ์ของตนในภายหลังก็มีอยู่อย่างแน่นอน ขออภัยที่ไม่สามารถอ้างอิงสิ่งใดเป็นเรื่องเป็นราวได้เลยแม้แต่น้อย มีแต่ใช้ความรู้สึก และความทรงจำอันเลือนรางเข้ามาวิเคราะห์ หากนี่จะเป็นเพียงเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้น ผมก็ต้องขอโทษไว้ ณ ที่นี้ครับ
^ ^ ขอบคุณมากครับๆ ชัดแจ้งขึ้นเยอะเลย แนวคิดด้านบน ฟังดูสมเหตุสมผลทีเดียว เรื่องกษัตริย์แห่งราชวงศ์ที่ 1 ของอียิปต์ เคยได้อ่านมาเช่นกัน แต่ในหนังสือที่ผมอ่านมันใช้ชื่อว่า พระเจ้าสกอเปี้ยน ไม่ทราบว่าเป็นองค์เดียวกันหรือเปล่าครับ 10,000 ปีก่อน ค.ศ. O_O หากอารยธรรมอียิปต์โบราณ และหลักฐานที่ค้นพบมีอายุยาวนานขนาดนั้น ถ้าอย่างนั้นก็ไม่แปลกอะไรที่จะมีนักวิทยาศาสตร์บางคนแย้งว่า สฟิงก์ที่อยู่หน้ามหาพิรามิด นั้นสร้างขึ้นเมื่อ ประมาณ 11,000 ปีก่อน ค.ศ เพราะจากการใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ (อะไรซักอย่าง ที่ฉายแสง ผมไม่ใช่เด็กวิทย์น่ะ - -) วัดอายุของชั้นหิน ปรากฏว่าพบรอยแตกของชั้นหินซึ่งเกิดจากการกัดเซาะของน้ำ ซึ่งน้ำนั้นจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากฝนที่ตกลงมาอย่างหนักในช่วงปลายยุคน้ำแข็งครั้งสุดท้าย เมื่อราว 11,000 ปีก่อน ค.ศ. และหากสังเกตุจากทางเข้ามหาพิรามิด จะพบว่าถูกสร้างขึ้นโดยให้เลี่ยงสฟิงก์ไป อันนี้ก็ขอให้เป็นหน้าที่ของนักวิชาการและนักวิทยาศาสตร์ถกเถียงกันต่อไป..... ******** ต่อไปนี้ผมขอเดาเอาเอง นิดหน่อย แหะๆๆ >>>เรื่องประเพณีการแต่งงานในสายเลือด จากที่ผมเคยได้ศึกษา เมื่อราว 300 ปีก่อน ค.ศ. สมัยที่อารยธรรมเฮเลนิสติกมีอิทธิพลต่อโลกตะวันตก ราชวงศ์ปโตเลมียังมีธรรมเนียมการแต่งงานกันในสายเลือดอย่างชัดเจนอยู่ (ดูจากน้องชายที่ยังเยาว์ของพระนางคลีโอพัตตรา ที่จะครองบัลลังก์ได้ก็ต่อเลือกอภิเษกกับพี่สาวหรือน้องสาวคนใดคนหนึ่งของในราชวงศ์ หากไม่มีก็จะยังไม่อาจขึ้นครองบัลลังก์ได้ และพระนางคลีโอพัตตราได้ใช้ประโยชน์จากการขึ้นเป็นราชินีนี้ ปกครองอียิปต์ด้วยพระองค์เอง) และเมื่อโรมันเข้ามามีอำนาจผมไม่ทราบว่าประพณีนี้ยังคงอยู่หรือไม่ แต่พอได้อ่านข้อมูลจากพี่ Sonic ที่ว่าในสัมยโรมันตอนต้นการแต่งงานระหว่างพี่น้องเพื่อรักษาฐานอำนาจและสายเลือดของจักพรรดิ์แห่งโรมก็ยังมีอยู่ ทำให้ผมอนุมานได้ว่า โรมันในยุคแรกเริ่มนั้น ห้ามและต่อต้านศาสนาคริสต์อย่างก้าวร้าว แต่ต่อมาในภายหลังกลับถือเอาศาสนาคริสต์มานับถืออย่างบ้าคลั่ง จนเป็นสาเหตุของยุคที่เราเรียกกันว่า "ยุคมืด" ดังนั้น สาเหตุที่ประเพณีการแต่งงานกันเองในสายเลือดนี้หายไป น่าจะมีอิทธิพลมาจากศาสนาคริสต์ด้วยหรือไม่ ผมเองเป็นคนพุทธ จึงไม่ทราบคำสอนของศริสต์ศาสนาอย่างละเอียด จึงไม่รู้ว่าในคำสอนของพระคริสต์นี้ มีเรื่องที่เกี่ยวกับการห้ามแต่งงานกันในสายเลือดหรือไม่ ? อันนี้รบกวนผู้รู้มาตอบอีกทีนะฮะ ^^ ขอบคุณมากๆ นะครับ สำหรับทุกคำตอบ ปล. ถ้าถามว่า อยากรู้ไปทำไม.......ผมจะเอาไปแต่งนิยาย ที่เนื้อเรื่องเกี่ยวกับ...... การแต่งงานกันเองในสายเลือดและรักต้องห้ามครับ
:china: พี่โซมาแล้ว เฮ ขอบคุณน่ะครับ งานยุ่งมากๆยังอุตส่าห์มาไขข้อข้องใจให้น้องๆ ศาสนาคริตส์ ห้ามการแต่งงานในสายเลือดตัวเองผมว่าค่อนข้างจะแน่น่ะ เหลือแต่ ต้องอ้างอิงไบเบิ้ล ว่าอยู่ที่บทไหนส่วนใด เพื่อหามาอ้างอิง เพราะความเชื่อหลายๆอย่าง ที่เรารับมาเป็นมาตรฐานจริยธรรมทุกวันนี้ แล้วขัดกับพื้นเพดั้งเดิมของไทยเราที่มีอยู่(เพราะฝรั่งนำึความศิวิไลซ์ของตนเข้ามาเผยแพร่) เห็นชัดๆคงเป็น - มีสัมพันธุ์ชู้สาวกับผู้มีอายุไม่ถึง 18 ปี , เป็นความผิดร้ายแรงแม้สมยอม ( ไทยแท้แต่ดั้งเดิมก่อนฝรั่งขยายอิทธิพล , อายุ 12-13 ก็ออกเรือนกันแล้ว , ฝรั่งเองเด็กมันก็มีอะไรกันครั้งแรกตั้งแต่อายุ 12-13 แม้จนทุกวันนี้ , เรียกว่ามือถือสาก ปากถือศีล ได้มั้ยนี่ - -a , อีกอย่างคือ ในแง่ของกรรม ศีลข้อ 3 นั้น ถ้า ชาย-หญิง และพ่อแม่ฝ่ายหญิง เห็นชอบ ไม่ถือว่าผิดศิล โดยไม่มีเกณอายุ 18 แม้แต่น้อย ) นึกออก ข้อเดียว แต่น่าจะมีอีกหลายอย่างครับ ที่เรารับอิทธิพลต่างชาติเข้ามา [action]เหมือนเราจะนอกเรื่องแหะ แต่ช่างเหอะ - -a[/action]
ไม่ใช่ครับ น่าจะหมายถึงโรค Haemophilia (ฮีโมฟิเลีย) มากกว่านะครับ โดยปกติคนเราพอมีแผลขึ้นมานิดๆ หน่อยๆ เลือดตรงจุดที่ออกนั้นจะแข็งตัวทำให้เลือดไม่ออกมากขึ้น ฮีโมฟิเลียเป็นโรคที่ทำให้เลือดของคนที่เป็นโรคขาดสารบางอย่างที่จำเป็นต่อการแข็งตัวของเลือด ทำให้แม้จะเป็นแผลแค่นิดหน่อยแต่เลือดก็ไม่หยุดไหลง่ายๆ ครับ บ้านเรามีคนเป็นเยอะพอสมควร ที่ดังๆ ในประวัติศาสตร์ก็คือการส่งต่อโรคฮีโมฟิเลียในราชวงศ์ยุโรป ที่แต่งงานกันในเครือญาติเยอะจนมีลูกหลานแสดงออกเป็นโรคฮีโมฟิเลียหลายคน ส่วน Thalassemia (ธาลัสซีเมีย) เป็นโรคที่ทำให้สร้างฮีโมโกลบินซึ่งเป็นส่วนประกอบที่สำคัญในเม็ดเลือดแดงได้น้อยลง หรือไม่ได้เลย หรือผิดไปจากปกติ ทำให้เม็ดเลือดแดงมีคุณสมบัติผิดปกติและถูกทำลายได้ง่าย ทำไปทำมาก็จะมีอาการหลายอย่างตั้งแต่โลหิตจาง ตัวเหลืองตาเหลือง ตับม้ามโต ปวดกระดูก หน้าเบี้ยว ฯลฯ (แล้วแต่ชนิด) บ้านเรามีเยอะมาก เป็นของคู่บ้านคู่เมืองเลยทีเดียวครับ
มาตอบได้แค่ข้อแรกข้อเดียวน่ะฮับผม -*- หมวดวิทย์อันนี้ ข้าน้อยให้คุณอิซาเรีย ควีน ลองไปเปิดก๊อกน้ำดูฮับ พอเราเปิดปุ๊บ น้ำก็จะไหลจากก๊อกลงมาจนถึงพื้นอ่าง ในขณะที่เราเห็นว่าน้ำออกจากปากก๊อก ก็จะมีน้ำอีกส่วนนึงที่กระทบกับอ่างพอดี แสงที่ว่านี้ก็เหมือนกันฮับ กล่าวคือ แสงที่ทำให้คนเรามองเห็น มีความต่อเนื่องเหมือนกันกับสายน้ำ แสงที่กระทบกับดวงดาวในเวลาปัจจุบันนี้ ต้องใช้เวลาเดินทางมา 200 ปี ถึงจะถึงโลก แต่ในเวลาเดียวกัน แสงที่เกิดการกระทบตั้งแต่ 200 ปี ที่แล้วก็กำลังเดินมาถึงโลกพอดี นั่นคือ ภาพที่เราเห็นอยู่ในขณะนี้ เป็นภาพที่เกิดจากแสงตกกระทบกับดวงดาวเมื่อ 200 ปีที่แล้ว แต่ถ้าอยากเห็นภาพ ณ ขณะนี้ ก็ต้องรอเวลาอีก 200 ปี ภาพที่ว่าถึงจะเดินทางมากับแสงจนถึงพื้นโลกพอดีฮับ อีกสองข้อ อ่านแล้วไม่ทราบคำตอบโดยตรงฮับ -*- ขอไม่เขียนให้เย้นเย้อดีกว่าฮับผม - -
ใช่แล้วครับ ฮีโมฟีเลีย ขอตอบแบบ วิทยาศาสตร์ละกันนะ ็ำHemophilia เป็นโรคที่ทำให้เลือดไม่แข็งตัวเมื่อเกิดบาดแผล คนที่เป็นจึงมีอายุสั้น ปัจจุบันมีฮีโมฟีเลีย 2 ชนิดที่พบ คือ 1. Hemophilia Type A ซึ่งเป็นยีนด้อยในโครโมโซม X เกิดจากการขาดปัจจัยการแข็งตัวของเลือด ที่เรียกว่า แอนติฮีโมฟีลิกโกลบูลิน ( Antihemophilic Globulin - AHG ) 2. Hemophilia Type B เกิดจากยีนด้อยเช่นกัน เกิดจากการขาดปัจจัยการแข็งตัวของเลือดตัวที่ 9 คือ พลาสมาทรอมโบพลาสติน ( Plasma Thromboplastin Component - PTC ) ซึ่งปัจจุบัน พบคนที่เป็นฮีโมฟีเลียชนิด A มีมากกว่าชนิด B ประมาณ 5-6 เท่า ในประเทศไทยมีโอกาสพบคนที่เป็นโรคฮีโมฟีเลีย คือ 1/20000 ของประชากรคนไทย ปล. แล้วที่ตอบมาทั้งหมดมันเกี่ยวกับ ราชวงศ์ยุโรปอะไรมั๊ยเนี่ย
พอจะเข้าใจข้อ1แล้วแฮะ แล้วก็ขอถามต่อนะครับว่า "ถ้าเราเคลื่อนที่ไวกว่าแสงเราจะเห็นแสงเป็นยังไงครับ???" ถามมาหลายคนตอบไม่ค่อยเหมือนกันเลยอ่า
ตอบ PopKung คำถามนี้ไม่มีคำตอบครับ เพราะตัวคำถามเองมันผิดอยู่แล้ว เพราะว่า ไม่มีทางที่จะเดินทางเร็วกว่าแสงครับ เพราะแสง มีความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้ง กับมิติ space-time ของจักรวาลที่เราอยู่
มองไม่เห็นครับ ... ถ้าเอาตามที่ผมเข้าใจ ทฤษฏีการมองเห็นของคนเราคือ แสงส่องกระทบวัตถุ > ส่วนของแสงที่กระทบ ส่องกลับมาที่ลูกตา > สมองกลับภาพออกมาประมวลเป็นข้อมูล ให้เราเห็นเป็นภาพ ถ้าวัตถุนั้นๆ เร็วกว่าแสง... ขณะที่มันเคลื่อนที่อยู่ เราจะมองไม่เห็นครับ... ( เดาล้วนๆ.... ) ปล. ขอบคุณพี่ sonic สุดหล่อ ครับ
อืม ... น่าคิดนะครับ ตอนแรกๆ ผมยังคิดอยู่ว่า เราอาจจะเห็นแสงเคลื่อนที่ช้าๆ คล้ายกลุ่มควันก็ได้ (หากสมมติให้เกิดกรณีเราสามารถเคลื่อนที่เร็วกว่าแสงได้) แต่พอเห็นประโยคนี้ เลยทำให้ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า "ถ้าแสงซึ่งวิ่งช้ากว่าเราวิ่งตามเราอยู่ ไม่เข้าสู่ตาเราซักที แล้วเราจะเห็นอะไรได้ล่ะ?" นั่นอาจจะทำให้เหมือนมนุษย์เราสามารถเคลื่อนที่ได้เร็วกว่าแสงเมื่อใด สิ่งที่เราจะเห็นก็เป็นเพียงความมืดดำรอบตัวเรางั้นฤ? หรือว่า... เราอาจจะวิ่งเข้าไปชนแสงต่างๆ (ซึ่งวิ่งช้ากว่าเราแต่ก็ยังถือว่ามีอยู่) แล้วเราก็จะเห็นภาพที่แสงเหล่านั้นสะท้อนมา เพราะใช่ว่าเวลาสามารถวิ่งเร็วกว่าแสง แล้วเราจะวิ่งหนีห่างออกไปจากแสงรอบตัวเราได้ตลอดเวลา น่าคิดๆ
ลองตอบเท่าที่จะเดาได้แล้วกัน กลไกในการมองเห็นของมนุษย์นั้น ถูกจำกัดด้วย "ความเร็วของสัญญาณประสาท" ไม่ใช่ "ความเร็วของแสง" นั่นเพราะสัญญาณประสาท (เช่น จากตาไปถึงสมอง) ของมนุษย์มีความเร็วน้อยกว่าแสงมากๆ ครับ ดังนั้นหากมนุษย์สามารถเคลื่อนที่ได้เร็วเกือบเท่าแสง (ไม่ต้องให้เร็วกว่าแสงหรอก) ผมว่ามันน่าจะมองไม่เห็นภาพอะไรแล้วนะ แต่จะมองเห็นเป็นภาพสีขาวล้วน เพราะสายตารับข้อมูลเหตุการณ์มาจากแสงด้วยอัตราที่มากเกินไป หรือมองเห็นเป็นภาพสีดำล้วน เพราะสมองประมวลผลจากแสงให้เป็นภาพไม่ทัน อันนี้ก็น่าคิด...ใครช่วยจินตนาการทีครับ -*- หรือว่า "ประตูแห่งแก่นแท้" ก็คือการรับข้อมูลปริมาณมหาศาลในเวลาสั้น จากการเคลื่อนที่ด้วยความเร็วใกล้แสงหว่า? เอิ๊กๆ
อืม....เหมือนจะไม่เข้าใจกันแหะ - - ถ้าจะตัดเรื่องของทฤษฎีสัมพัทธภาพออกไปแล้ว หลายๆอย่าง ที่จักรวาลกำลังเป็นอยู่นี้ จะไ่ม่สามารถอธิบายอะไรได้เลย ที่สำคัญคือ เมื่อมีทฤษฎีสัมพัทธ์ภาพอยู่อย่างนี้แล้ว สมมุติว่า นาย A อยู่บนโลก , นาย B ขี่ยานออกไปด้วยความเร็วเกือบเท่าแสง , โดยข้างตัวยาน มีนาฬิกาอันใหญ่อันนึงซึ่งสมมุติให้นาย A มองเห็นได้ตลอดการทดลองนี้ , แล้วนาฬิกานั้นเริ่มต้นถูกปรับให้ตรงกันกับนาฬิกาของนาย A เป๊ะๆ นาย A จะเห็นว่า นาฬิกาบนยานนาย B นั้น กำลังเดินช้ากว่านาฬิกาของตนมากๆ(แทบจะหยุดนิ่งทีเดียว) แต่ นาย B จะรู้สึกว่า นาฬิกาบนยานตัวเองนั้น ก็เดินเป็นปกติ ไม่ได้ช้า หรือเร็ว แต่อย่างใด หมายความว่าอะไร? หมายความว่า ความถี่ในการประมวลผลของสมองนาย B (ซึ่งใช้ในการ "รับรู้เวลา" ) เอง ก็ผูกพันอยู่กับ space-time บนยานของนาย B ถ้านาย A สามารถมีจิตสัมผัสพิเศษ แล้วสามารถเห็นการเกิดดับของจิตนาย B ทุกขณะได้แล้ว , นาย A ก็จะเห็นว่า วงรอบการเกิดดับของจิตแต่ละดวงของนาย B นั้น มีคาบ(คาบของคลื่น , T )ยาวนานมากๆ จนเกือบจะเป็นนิรันดร์ อธิบายยาก แนะนำให้อ่านหนังสือ แฟนพันธุ์แท้ไอสไตน์ แล้วกันครับ ^^! EDIT เพิ่มเติม แสงยังมีปรากฏการณ์ ดอปเลอร์ อยู่ เหมือนคลื่นเสียงด้วยครับ , ถ้าวัตถุแหล่งกำเนิดแสง กำลังเคลื่อนที่เข้าหาเราด้วยความเร็วสูง ความยาวคลื่นที่เรามองเห็นจะสั้นลง เรียกกว่าปรากฏการณ์ Blue shift , ในทางตรงกันข้าม ถ้าแหล่งกำเนิดแสง กับเรา กำลังเคลื่อนที่ออกจากกันด้วยความเร็วสูง ความยาวคลื่นจะยาวมากขึ้น เกิดเป็นปรากฏการณ์ Red shift (สำหรับ Red shift , ตัวอย่างเช่น ถ้ามีเลเซอร์แสงสีเขียวตัวนึง ส่องมาที่ฉากรับภาพของเราซึ่งกำลังอยู่นิ่ง โดยเลเซอร์สีเขียวตัวนั้น กำลังเคลื่อนที่ห่างออกไปจากเราและฉากรับภาพ ด้วยความเร็วสูงมากพอ จุดแสงสีเขียวบนฉากรับภาพที่เรามองเห็น อาจจะเปลี่ยนไปเป็นสีเหลือง ส้ม แดง หรือ infrared ได้ ) ด้วยปรากฏการณ์นี้ บวกกับความเข้าใจในสเปกตรัม ของธาตุ( ต้องนึกถึงวิชาเคมีเล็กน้อย ) ที่จะมีแถบสีดำปรากฏขึ้นบางจุดในสเปกตรัม , เราสามารถวัดการเคลื่อนของแถบสีดำ จากตำแหน่งปกติ แล้วคำนวณหาความเร็วของดาวแต่ละดวงบนท้องฟ้าได้( ว่ากำลังเคลื่อนที่เข้าใกล้เรา หรือ ห่างจากเรา ด้วยความเร็วเท่าใด ) ถ้าจะสมมุติให้ได้จริงๆ สำหรับกรณีเราวิ่งเร็วกว่าแสง... คือสมมุติด้วยว่า จักรวาลไม่มีทฤษฎีสัมพัทธ์ภาพ...(และ แสง ต้องมีตัวกลางในการเคลื่อนที่ , ตัวกลางนั้นคือสิ่งใช้เทียบตำแหน่งอยู่นิ่งในจักรวาล ) ผมว่าข้อเทียบเคียงที่ใกล้เคียงและนึกภาพง่ายที่สุด คือกรณีคลื่นเสียง ถ้าเคลื่อนที่ออกจากแหล่งกำเนิดแสง ด้วยความเร็วเหนือแสง แน่นอน ว่า เราจะไม่เห็นแสงที่ตามหลังเรามา ถ้าเคลื่อนที่ เข้าหาแหล่งกำเนิดแสง ด้วยความเร็วเหนือแสง ก็คงไม่พ้นเรื่อง blue shift อาจจะเกิด shock wave ได้ แต่จะมีรูปแบบเป็นอย่างไรนั้น ... คงได้แค่จินตนาการ เพราะมันเป็นเหตุการณ์ที่ไม่มีัวันเกิดขึ้นได้จริง
โอววววว มากันเพียบเลยแสงๆ *-* เด็กศิลป์อ่านแล้วงง 555+ ถามนิดนึงครับ กรณีของหลุมดำ (เมื่อสองสามวันก่อนมีข่าวการพบปรากฏการณ์หลุมดำครั้งใหญ่ในอวกาศ) คือสิ่งที่มีแรงดึงดูดมหาศาล จนแม้แต่แสงก็ยังมิอาจเล็ดลอดได้..... ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นได้อย่างไร และ แรงดึงดูดของมันที่ว่ามหาศาลนั้น ประมาณไหน ?? และหากจะจินตนาการถึงวัตถุภายในหลุมดำนั้น มันจะมีลักษณะเป็นอย่างไรครับ ^^ แล้วก็ ทฤษฎีสัมพันธภาพ เคยได้อ่านมาเหมือนกัน แต่...มันเป็นทฤษฎีที่พิสูจน์ได้จริงๆ เหรอครับ มันน่าอัศจรรย์มากเลยนะนั่น
http://www.vcharkarn.com/include/article/showarticle.php?Aid=123 สำหรับคำถามเรื่องหลุมดำครับ ออกแนว pop sciences น่าจะอ่านง่ายกว่ากางตำราฟิสิกส์ดาราศาสตร์มาตอบ
ทฤษฎีของไอสไตน์ เอาเฉพาะทฤษฎีสัมพัทธภาพ , ถูกพิสูจน์ไปแล้วครับ และเราก็ใช้กัน จนแทบไม่รู้ตัวว่ากำลังใช้กันอยู่ เครื่องระบุตำแหน่ง แบบ GPS ทั้งหมด ล้วนต้องบวกค่าความคลาดเคลื่อน จากผลของสัมพัทธภาพเข้าไปทั้งสิ้นเลยครับ , ไม่เช่นนั้น จะไม่สามารถระบุตำแหน่งอย่างแม่นยำอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ไ้ด้เลย นอกจากทฤษฎีนี้แล้ว ไอสไตน์ ยังพบอีกหลายทฤษฎี ซึ่งมีบางทฤษฎี ที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์( เพราะเทคโนโลยียังไม่เอื้อในการสร้างอุปกรณ์ในการพิสูจน์ ) ตอนนี้รู้สึกว่า กำลังอยู่ระหว่างการพิสูจน์อยู่ 2 เรื่องครับ คือ - การหมุนรอบตัวเองของวัตถุมวลมาก เช่นดวงดาว สามารถ ฉุด space-time ให้บิดไปตามทิศทางการหมุนได้ - เรื่องนี้จำได้ลางๆว่า ใ้ช้พิสูจน์ทฤษฎีสตริง( ที่หวังว่าจะเป็น Theory of everything ) แต่เครื่องมือที่จะใช้ แล้วยังไม่เรียบร้อย เป็นเครื่องเร่งอนุภาคตัวใหญ่ที่สุดในโลก แถวๆยุโรป ( ขอโทษที่ข้อมูลไม่ค่อยแน่น ^^! .... CERN? ) EDIT ที่น่ามหัศจรรย์ก็คือ การพิสูจน์ทฤษฎีที่ผ่านๆมา ยังไม่เจอว่าทฤษฎีของไอสไตน์นั้นผิดพลาดเลยครับ( ทั้งที่ คิดค้นทฤษฎี ออกมาจากสมการคณิตศาสตร์เท่านั้น เหอๆ... ) การพิสูจน์ทฤษฎี ที่เหลือๆอยู่ จึงเป็นอะไรที่น่าหื่นกระหายสำหรับนักฟิสิกส์ยุคหลัง อ่อ... ทฤษฎีสตริง ... ไม่ใช่ของไอสไตน์ครับ เบลอเล็กน้อย ^^! , ไอสไตน์ คิด Unifield Theory ก่อน(ซึ่งยังไม่สมบูรณ์ ไอสไตน์ ก็สิ้นอายุขัยไปซะก่อน) แล้วนักฟิสิกส์ยุคหลัง จึงนำไปประยุกต์ต่อเป็น String Theory