อ่านก่อนนิดนึง บทความนี้ คือบทความReview หนังในมุมมองของผมแค่คนเดียว ไม่ใช่มุมมองของคนส่วนมาก ฉะนั้นไม่แปลกถ้าท่านจะรู้สึก เอ๊ะทำไมนายไม่ชอบตรงนี้ เอ๊ะทำไมนายมาด่าเรื่องนี้ เอ๊ะนายบอกเรื่องนี้ดี นายเพี้ยนรึเปล่า อยากจะบอกว่า ผมเป็นแค่คนดูหนังคนนึง มิอาจสามารถเอาใจของคนทั่วโลกมารวมในคนเดียว แล้วประมวลคะแนนให้พอใจทุกคนได้ เพราะคนเราย่อมมีรสนิยมการดูหนังไม่เหมือนกันทุกคนครับ ฉะนั้น ถ้าอ่านReview ของผมแล้ว จงอย่าตัดสินทันที ขอให้พิสูจน์หนังเรื่องนั้นด้วยตัวท่านเอง ไม่แน่ หนังที่ผมบอกห่วย อาจเป็นหนังในใจท่านก็ได้ครับผม ด้วยความเคารพครับ และขอความกรุณาอย่าSpoil หนังนะครับผม จะSpoil ก็ขอให้ใช้การซ่อนข้อความ X-Men : First Class แนวหนัง : แอ็คชั่น ไซไฟ ดราม่า ตัวอย่าง [media]http://www.youtube.com/watch?v=0Yq7Za1JnZg[/media] เรื่องย่อ อีริค ชายหนุ่มมิวแทนต์ผู้มีพลังควบคุมเหล็กกล้า ได้ออกตามหาชอร์น หัวหน้าแก๊งค์Hellfireclub ผู้มีอดีตความแค้นกับเค้า และอีริคได้พบชาร์ล เซอร์เวียร มินแทนต์ผู้มีพลังจิต และทั้งคู่ได้รวบรวมมนุษย์มิวแทนต์เพื่อที่จะหยุดยั้งแผนการก่อสงครามโลกครั้งที่3ของชอร์น ก่อนนำไปสู่เรื่องราวของคนทั้งคู่ มุมมองของSoma “นี้คือหนังฮีโร่จากMARVEL ที่ดีที่สุด” นี้คือคำจำกัดความสั้นๆง่ายๆของ X-Men First Class หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่สมบูรณ์แบบเกือบทุกองค์ประกอบในหนัง นี้เป็นหนังฮีโร่ที่สามารถเทียบชั้นได้กับ The Dark Knight เลยทีเดียว สิ่งแรกที่ทำให้X-Men ภาคนี้สุดยอด ต้องยอมรับเรื่องของการเขียนบทตัวละครในหนังได้อย่างมีมิติ มีเสน่ห์หลงไหลอย่างมาก ในเรื่องนั้นเน้นที่ตัวละครอย่าง อีริค และ ชาร์ล โดยบ่งบอกอุปนิสัย อุดมการณ์ ความสัมพันธ์ และเหตุการณ์ต่างๆ ซึ่งทำให้เรารู้สึกว่าคนทั้งคู่นี้มีเลือดเนื้อจริงๆ โดยเฉพาะอีริคที่ต้องขอบอกว่าเป็นตัวละครที่โดดเด่นที่สุดในเรื่อง เป็นตัวละครที่มีการพัฒนาด้านอารมณ์ ได้โดดเด่นอย่างมาก โดยเฉพาะเรื่องของความรู้สึกและอุดมการณ์ ที่ในหนังมีชาร์ลคอยเป็นทั้งน้ำและเชื้อไฟให้กับตัวของอีริค ทำให้เค้ากลายเป็นตัวละครที่คุณจะทั้งหลงรัก และสงสารในสิ่งที่เค้าเป็นและต้องเผชิญ และเรื่องของความสัมพันธ์การเป็นเพื่อนของทั้งคู่ที่หนังทำออกมาได้ยอดเยี่ยม บ่งบอกถึงความเชื่อใจของคนทั้งคู่แต่ต่างอุดมการณ์ซึ่งกันและกัน มีเรื่องของความผิดหวังของการกระทำของแต่ละฝ่าย และส่งผลให้ฉากตอนท้ายของหนังทรงพลังอย่างที่สุด อีก1ตัวละครที่จะพูดถึงในเรื่องของความโดดเด่นไม่ได้คงหนีไม่พ้น มิสทิค ที่เรื่องราวของหล่อนเป็นเหมือนตัวแทนของคนที่ไม่สามารถออกไปเผชิญโลกภายนอกได้เพราะรูปร่างและหน้าตา เป็นตัวละครที่มีการพัฒนาของอารมณ์ได้ดี เพราะเธอเกลียดตัวเองเพราะไม่มีคนยอมรับ จนกลายมาเป็นการที่เธอยอมรับตัวเอง ซึ่งเป็นเหมือนการบอกคนเหล่านั้นในสังคมจริง ขณะที่ทางด้านมินแทนต์ตัวอื่น แม้จะไม่โดดเด่นเท่าที่ผมกล่าวมา แต่ก็มีอุปนิสัย เสน่ห์ ให้ทุกคนจดจำได้ไม่ยากครับผม แต่ตัวละครจะขาดเสน่ห์ถ้านักแสดงเล่นไม่ดี แต่Michael Fassbender ผู้แสดงเป็นอีริคนั้นสามารถแสดงอารมณ์ออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมและสุดยอด ให้ความรู้สึกว่าเค้าแค้น เค้าเศร้า และเค้าเชื่อมั่นในอุดมการณ์ของเค้าจริงๆ รวมทั้งJames McAvoy ก็สามารถเล่นเป็นเซเวียรได้ดี (บททะเล้นๆนี้แกเล่นได้สมบทบาทมาก 5555) ส่วนด้านบทหนัง แม้ภาพรวมอาจจะพล็อตฮอลลีวู้ด แต่ถ้ามองเรื่องของความสัมพันธ์ของเพื่อนระหว่างอีริคกับชาร์ล บทหนังนั้นค่อนข้างสะเทือนใจครับ ในความรู้สึกของความเชื่อมั่นและไว้ใจแต่ต่างอุดมการณ์กัน และประเด็นเรื่องของมิวแทนต์นั้นกลับมาเป็นประเด็นหลักแบบที่ภาค1และภาค2 เคยทำไว้อย่างดีอีกครั้ง เรื่องของความนอกคอก ความไม่ยอมรับในตัวตน การลุกขึ้นสู้ การเชื่อใจ ซึ่งเรื่องพวกนี้สะท้อนซึ่งสภาพสังคมในปัจจุบันอย่างแท้จริง และหลายฉากที่กดดันเรา หนังก็ทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมชวนกดดันปวดตับอย่างแท้จริง บางฉากถึงขั้นลุ้นกะนว่า เฮ้ย อย่านะโว้ย!!!!! ก็มี ส่วนมุกตลกในหนังนั้นก็มีเล็กๆสอดใส่พอเป็นน้ำจิ้มให้ผ่อนคลายกับเรื่องราวที่ค่อนข้างดราม่า แต่ใช่ว่าบทหนังจะสมบูรณ์นัก เพราะมีหลายจุดที่รู้สึกว่า “น่าจะมากกว่า” ไม่รู้เพราะด้วยการต้องดำเนินเรื่องรวดเร็วหรือไม่ ทำให้จุดเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างชาร์ลกับนางเอกนั้นไม่ค่อยประทับใจเท่าไรนัก ซึ่งส่งผลให้ตอนท้ายขาดพลังตรงจุดนี้ไปอย่างน่าเสียดาย หรือเรื่องของเอ็มม่า ฟรอส ที่น่าจะพูดถึงซักหน่อย ขอบอกว่าช่วง 20นาทีสุดท้ายของหนังคือจุดที่สุดยอดที่สุด ทั้งอารมณ์และความรู้สึกจนหนังติดเก้าอี้ พร้อมกับอึ้งในความสุดยอด แต่ใช่ว่าหนังจะเน้นดราม่าปมตัวละครมากมาย เพราะในด้านฉากแอ็คชั่นหนังก็ทำออกมาได้สนุกมาก ทุกฉากแอ็คชั่นในหนังทำออกมาได้ตั้งใจ และโชว์พลังพิเศษของเหล่ามิวแทนต์ได้ถูกใจคอหนังแอ็คชั่นที่ต้องการเห็นความสามารถของเหล่ามิวแทนต์แต่ดูเหมือนสเปเชี่ยลเอฟเฟคในหนังนั้น มีดูเฟคอยู่หลายฉากเหมือนกัน อนึ่งหนังเรื่องนี้ไม่มีฉากหลังเครดิตใดๆทั้งสิ้นนะครับ ไม่ต้องรอให้เสียเวลา แต่อย่าลืมดูฉากที่มีตัวละครเก่าตัวนึงปรากฏตัวออกมา ต้องขอบอกว่าเป็นฉากสุดขโมยซีนเลยทีเดียว (ฮา) อีกอย่างในหนังยังมีมิวแทนต์ที่เราคุ้นเคยกันออกมานิดๆด้วยนะครับ ไปสังเกตุกันว่ามีใครบ้าง ส่วนเรื่องการเชื่อมต่อกับภาคเก่าๆนั้น ต้องขอบอกว่าอย่าไปใส่ใจมาก เพราะเหมือนรู้สึกว่าภาคนี้จะเป้นการรีบู๊ทซีรีย์ซะด้วยซ้ำ ฉะนั้นมองว่ามันเป็นการเริ่มซีรีย์ใหม่จะดูดีกว่าครับผม สรุป : X-Men First Class เป็นหนังซุปเปอร์ฮีโร่ที่มีความสมบูรณ์ในตัวอย่างมาก ทั้งบทที่ลื่นไหลดูสนุก ตัวละครที่มีมิติน่าติดตามชะตากรรม ฉากแอ็คชั่นที่ดูเพลินและสนุก เมื่อองค์ประกอบดีๆเหล่านี้รวมกัน ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคะแนนต่างประเทศถึงสูง และขอยืนยันจากใจเลยว่า นี้คือหนังฮีโร่ที่ดีที่สุดของค่ายMARVEL เกรด S ครับ เครดิตภาพ IMDB.com แล้วเจอกันใหม่นะครับ ลาล่ะ555
สนุกมากๆครับ ให้ SSS ได้ผมก็ให้ละตอนนี้enwing: ตอนตัวละครคนหนึ่งโผล่มาแย่งซีนนี่หลุดขำเลยครับ ปล. พลังของบอสใหญ่โกงโคตรๆ
ไปดูมาวันนี้กลับมานั่งไล่ดูประวัติ รายละเอียด HERO ของ MARVEL อีกรอบ แล้วกลับมาอ่านกระทู้นี้อีกที สมควรได้ S จริงๆแหละครับ แต่รายได้ทั่วโลกเป็นไงหนอ เหมือนจะไม่ค่อย "เต็มที่" นักนะ
ไปดูมาแล้วครับ! ขอให้เกรด A ละกัน ในแง่เนื้อเรื่องถือว่าดีมากเลยครับ แต่การโยงความสัมพันธ์ตัวละครยังทำได้ไม่แน่นแฟ้นเท่าที่ควร การตัดสินใจของหลายๆตัวละครยังผิวเผินอยู่บ้าง และความสัมพันธ์ของชาร์ลสกับโมร่าก็ดูแปลกไปนิด แต่มิตรภาพของชาร์ลกับแม็กนีโต้ ผมชอบจริงๆครับ โดยเฉพาะอุดมการณ์ของแต่ละคน ...รุ่น 1 เทพมาก = =b เผอิญผมได้ยินว่าดีมาก ผมเลยคาดหวังสูงไปนิด ระดับ Batman : Dark Knight ไปนั่น ซึ่งถ้าไม่คิดแบบผม ผมว่าหนังเรื่องนี้สนุกจุใจพอตัวเลยนะ