บทความชิ้นนี้ ผมจะพยายามทำให้คนอ่านนั้นอ่านสนุก และเข้าใจสิ่งที่เขียนมากที่สุดนะครับ กระทู้นี้ค่อนข้างยาวแนะนำให้อ่านเมื่อมีเวลาว่าง อันตัวผมไม่ได้เรียนสาขาการตลาด ฉะนั้นย่อมมีข้อมูลผิด หรือการเข้าใจผิดกัน ถ้าใครติติงหรือสามารถแก้ไขข้อมูลได้ก็โพสบอกได้เต็มที่เลยนะครับผม ขอขอบคุณล่วงหน้าครับ Viral Marketing การตลาดแบบ Viral Marketing เชื่อว่าหลายๆคนนั้นเริ่มจะได้ยินคำนี้มากขึ้นในชีวิต แต่ไม่รู้ว่ามันแปลว่าอะไร “Viral Marketing นั้น คือ การตลาดแบบปากต่อปาก หรือ การตลาดแบบบอกต่อๆกัน” นั้นเองครับ ซึ่งในสมัยก่อนนั้นก็อาจจะเป็นแนว นี้เธอรู้ไหมสินค้าตัวนี้ดีมากเลยนะ ฉันใช้แล้วสะอาด แล้วก็สร้างกระแสปากต่อปากไปเรื่อยๆ ยกตัวอย่างผงซักฟอกแฟ่บ ที่ออกโฆษณาสมัยก่อนว่าเปิดกล่องชิงเงินล้าน ซึ่งตินนั้นทำให้หลายๆคนรุมกันซื้อแฟ่บแล้วบอกปากต่อปากกันไป จนทำให้แฟ่บขายดีและยังส่งผลถึงปัจจุบันทียังมีคนเรียกผงซักฟอกยี่ห้ออื่นว่าแฟ่บ (แม้ปัจจุบันแฟ่บจะไม่รุ่งเรืองเช่นเดิมแล้ว) หรือโออิชิที่เปิดฝาลุ้นล้าน จนมีคนบอกต่อนั้นก็ถือเป็นการตลาดเช่นนี้เหมือนกัน และในปัจจุบันนั้นสังคมไซเบอร์ โลกออนไลน์ ได้กลายมาเป็นส่วนนึงของชีวิตผู้คนในยุคนี้ไปแล้ว ทำให้การตลาดViral Marketing นั้นขยับขยายมากขึ้นกว่าเดิมและหลากหลายช่องทางมากขึ้น ทั้ง Youtube Twitter Facebook โดยที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายมากมายในการทำการตลาด จึงเป็นเส้นทางที่หลายๆคนเลือกจะทำการตลาดแบบViral ผ่านสื่อออนไลน์มากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น บริษัท Blendtec ผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า ได้ผลิตเครื่องปั่นชนิดนึงมา และโปรโมทด้วยการทำซีรีย์ Wii It Blend? ซีรีย์ที่เป็นการนำเครื่องปั่นของตัวเองนั้นมาปั่นสินค้าทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็รไฟแช็ค แท่งแสง ชแลง แผ่นเกม หรือแม้แต่ IPhone อย่างละเอียดเละเทะ ซึ่งแน่นอนการตลาดชนิดนี้ได้ผลเพราะนอกจากคนจะแห่มาดูกันถึงหลายล้านView แล้ว ยังทำให้ยอดขายของเครื่องปั่นชนิดนี้สูงขึ้นอย่างสุดๆ จึงเรียกได้ว่าเป็นผลความสำเร็จของการทำการตลาดแบบViral ผ่านสื่อออนไลน์อย่างชัดเจน Will It Blend? [media]http://www.youtube.com/watch?v=qg1ckCkm8YI[/media] และแน่นอนการตลาดที่มีผลชัดเจน ลงทุนน้อย หนังHollywoodจึงเริ่มมาเดินเข้าสู่การตลาดแบบViral มากขึ้น ตำนานแหวน ก้าวแรกของการตลาดแบบ Viral Marketing ในหนัง Hollywood ปี1999 ในยุคที่อินเตอร์เน็ตเริ่มแพร่หลายในระดับนึง การสร้างมหากาพย์ภาพยนต์ The Lords of the Ring นั้นก็ได้เริ่มต้นขึ้น ซึ่งแน่นอนมันมาจากนิยายที่เป็นนิยายที่ดีที่สุด ทำให้คอหนังและคอหนังสือหลายๆคนอยากที่จะสัมผัสโรงถ่ายหนังว่ามีกระบวณการเช่นไร เพราะหนังเรื่องนี้ได้ถ่ายไกลถึงนิวซีแลนด์ ปีเตอร์ แจ็คสันจึงได้จัดแคมเปญพิเศษ พาแฟนหนังและแฟนหนังสือไปเที่ยวชมโรงถ่ายหนังเรื่องนี้ที่นิวซีแลนด์ ซึ่งแน่นอนเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นก2ตัว เพราะนอกจากจะได้ใจแฟนหนังแฟนหนังสือแล้ว มันยังแฝงการตลาดนิดๆ เพราะเมื่อผู้คนชมแล้วก็อดใจไม่ไหวที่จะต้องเล่าถึงความยิ่งใหญ่แบบสุดๆของโรงถ่ายผ่านอินเตอร์เน็ต ซึ่งแน่นอนสร้างความสนใจมากมายแก่ผู้ที่ได้อ่านและผู้สนใจ และแน่นอนมันเป็นส่วนนึงที่ทำให้ให้รายได้เปิดตัวของLords of the Ring สูงถึง47ล้านเหรียญ แต่สิ่งที่ปีเตอร์ แจ็คสันคาดไม่ถึงคือ จะมีคนนำการตลาดแบบนี้ของเค้าไปต่อยอดให้ยิ่งใหญ่ และ มันเป็นส่วนนึงของการตลาดหนังในอนาคตนั้นเอง Snake on the Plane จุดเริ่มต้นที่แท้จริงของการตลาดแบบ Viral Marketing ในหนัง Hollywood Snake on the Plane หนังปี2006 จากค่ายนิวไลน์ สำหรับคอหนังทั่วไปนี้อาจจะเป็นหนังธรรมดาค่อนไปทางห่วย แต่สำหรับนักการตลาด Viral Marketing ของ Hollywood ยกย่องให้หนังเรื่องนี้คือบิดาของการตลาดแนวนี้ครับ เรื่องราวเกิดขึ้นจากมีนักศึกษาคนนึงนั้นเกิดอาการโดนใจกับชื่ออันตรงๆของหนังเรื่องนี้ จึงได้สร้างบล็อกอันนึงขึ้นมาว่า Snakeonablog ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อสนองนีด ทั้งทำตัวอย่างเอง เพลงประกอบเอง โปสเตอร์เอง ซึ่งบ่งบอกถึงความคลั่งไคล้ในตัวหนังของเค้า แต่ว่าการทำบล็อคนี้กลับได้ผลเกินกว่าที่เค้าคาดคิด เพราะมันมียอดผู้ชมสูงถึง5หมื่นคนต่อสัปดาห์ จนในที่สุดผู้บริหารนิวไลน์ ซีนีม่า เจ้าของหนังเรื่องนี้ และขานรับต่อกระแสของความแรงในอินเตอร์เน็ตของหนังเรื่องนี้ ด้วยการออกแคมเปญหลากหลายที่มีความเกี่ยข้องกับอินเตอร์เน็ต ทั้งการประกวดแต่งเพลงธีมเรื่อง หรือ บริการ Voice Message เสียงของ แซมวล แอล แจ็คสัน นักแสดงนำของเรื่อง ที่มาแนะนำตัวหนัง และให้ส่งต่อๆกันไป ทำให้กระแสหนังเรื่องนี้นั้นโด่งดังเป็นพลุแตกในอินเตอร์เน็ตอย่างมาก แต่น่าเสียดายที่ ภาพยนต์เรื่องนี้นั้นไม่ได้ทำรายได้ดี เพราะด้วยคุณภาพหนังที่ค่อนข้างแย่ ทำให้แฟรๆที่ติดตามหลายคนออกไปทางแนวผิดหวังกัน แต่อย่างไรก็ดี Snake on the Plane คือต้นแบบการทำการตลาดแบบ Viral Marketing ในอนาคตทันที โลกสมมุติแห่ง A.I. การตลาดแบบใหม่แห่งViral Marketing A.I. Artificial Intelligence หนังไซไฟของผู้กำกับ Steven Spielberg ก็ใช้การตลาดแบบViral Marketing เช่นกัน แต่การตลาดของหนังเรื่องนี้จะแตกต่างจาก Snake on the Plane เพราะทีมการตลาดได้สร้างชื่อนักจิตวิทยาชื่อว่า จีนนี่ เซลลา ซึ่งเมื่อคุณเข้าไปเสริ์จชื่อนี้ในGoogle จะพบเว็บไซต์ต่างๆของนักจิตวิทยาคนนี้ ทั้งประวัติการทำงาน ทั้งรายงานการวิจัยเรื่อง ปัญญาประดิษฐ์ เว็บไซต์ที่สนับสนุนการสร้างแอนดรอย เว็บไซต์ต่อต้าน เว็บไซต์ป้องกันอาชญากรรม แต่หารู้ไม่ว่าทุกเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับนักวิจับคนนี้ เป็นเว็บไซต์สมมุติที่สร้างขึ้นมาโดยทีมงานของหนังเรื่องนี้เอง A.I.จึงนับเป็นหนัเรื่องแรกที่มีการตลาดแบบสร้างโลกสมมุติขึ้นมาให้คนดูได้สงสัย อยากรู้อยากเห็น และสุดท้ายเข้าไปชมภาพยนต์ แต่น่าเสียดายที่วิธีการนี้ยังไม่ดีเท่าที่ควร ทีมการตลาดยังใช้มันได้อย่างไม่คุ้มค่า จึงทำให้กระแสของ Viral Marketing ในA.I.นั้นไม่ได้ดังเปรี้ยงปร้างอะไรดั่งเช่นที่ Snake on the Plane ทำไว้ ปรากฏการณ์ Cloverfield การบูมของViral Marketing ช่วงซัมเมอร์ 2007 ในหนังเรื่อง Transformers นั้น ได้มีตัวอย่างหนังลึกลับ ที่เป็นเรื่องของผู้คนในงานเลี้ยง แล้วอยู่ๆไฟดับ ก่อนที่พวกเค้าจะขึ้นไปบนดาดฟ้าและพบเห็นการระเบิด และเมื่อพวกเค้าหนีออกมาก็พบหัวเทพีเสรีภาพกระเด็นตกลงมา ไม่มีการบอกชื่อหนัง มีแค่ตัวเลข 1-18-08 และเป็นผลงานของ J.J Abrams แต่นี้คือจุดเรื่มต้นของปรากฏการณ์ที่ทำให้คนทั้งโลกเริ่มสนใจการตลาดแบบ Viral Marketing เพราะนอกจากหนังจะมีแต่ความลับตั้งแต่ตัวอย่างแรก J.J ได้ทำการสร้างเว็บไซต์สมมุติขึ้นมา4 เว็บไซต์ เว็บไซต์แรกคือตัวเลขในตัวอย่างหนัง 1-18-08 ที่ตัวเว็บจะปล่อยภาพปริศนาที่ไม่มีที่มาให้ดู เว็บSlusho เว็บเครื่องดื่มภายในหนัง ที่เมื่อเข้าไปกลับมีความเกี่ยวข้องบางอย่างกับหนังอย่างน่าสงสัย เว็บTagruato ที่เป็นเว็บเกี่ยวกับแท่นขุดเจาะน้ำมัน และเว็บtidowave ซึ่งต่อต้านการสร้างแท่นขุดเจาะน้ำมัน และยังมีMyspace ของตัวละครในเรื่อง ซึ่งทั้งหมดนั้นถูกสร้างขึ้นมาโดย J.J และมีความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกันทั้งหมด และนอกนั้นคือการตีความ ไขปริศนาของผู้คนกันเอง และแน่นอน ปริศนาจากสิ่งที่J.Jสร้างนั้น สร้างความอยากรู้อยากเห็นของผู้คนจำนวนมาก การไขปริศนา การตีความต่างๆนานาเริ่มสร้างกระแสมากขึ้น ผู้คนเริ่มส้นใจ ค้นหา จนเกิดกระแส Cloverfield ไปทั่วโลก ถึงขั้นมีเว็บไซต์ Wikia ของหนังเรื่องนี้โดยเฉพาะเพื่อเก็บรวบรวมและค้นหาปริศนาที่มีมาจากเบาะแสต่างๆ ชื่อของหนังโด่งดัง ข่าวลือมากมายเริ่มออกมาไม่หยุดหย่อน กลายเป็นความสนุกสนานที่ยากจะลืมเลือน และจากกระแสที่รุนแรงเช่นนี้ ส่งผลให้หนังCloverfield ทำรายได้ถึง 80ล้านที่อเมริกา และ 170 ล้านทั่วโลก จากทุนสร้างเพียงแค่25ล้านเหรียญเท่านั้น เรียกได้ว่ากำไรมหาศาล ณ ปัจจุบัน Cloverfield จึงกลายเป็นสัญญลักษณ์ของการประสบความสำเร็จจากการตลาดแบบ Viral Marketing อัศวินรัตติกาล โลกสมมุติจาก Viral Marketing The Dark Knight แบทแมนภาคที่ดีที่สุดและทำรายได้มากที่สุด แต่รายได้กว่า500ล้านที่อเมริกานั้นส่วนนึงมาจากการทำการตลาดแบบViral Marketing ด้วย โดยทีมการตลาดได้สร้างเว็บไซต์สมมุติขึ้นมา ทั้งโบสถ์เมืองGotham บริษัทแท็กซี่ ธนาคาร ร้านอาหาร รถไฟฟ้าใต้ดิน สถานีโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ที่มีหน้าข่าวสารต่างๆในเมืองGotham ได้อ่านกันแบบจริงจัง และยังมีการสร้างรายการข่าว GCN ซึ่งเป็นรายการข่าวภายในเมืองGotham ขึ้นมา เพื่อรายการเหตุการณ์ต่างๆ ตัวอย่างรายการ Gotham Tonight [media]http://www.youtube.com/watch?v=36sCq-VKO0c[/media] อีกทั้งหนังยังสร้างเว็บไซต์สนองการเลือกตั้งภายในGotham คือเว็บไซต์ของ ฮาร์วี่ย์ เด๊นท์ และผู้สมัครคนอื่นๆ ให้เหมือนกับการมีการสมัครเลือกตั้งจริงๆ และที่สำคัญคือเว็บไซต์ Whysoserious ที่เป็นเว็บไซต์ของโจ๊กเกอร์ ที่สร้างขึ้นมาเพื่อบรรยายความปั่นป่วนและจิตวิปริตของเค้า ทั้งหมดทั้งมวลในการทำการตลาดนี้นั้นทำให้คนที่ติดตามนั้นรู้สึกว่า เมืองGotham มีจริงๆ ทำให้คนที่ไม่สนBatman มาก่อนนั้นได้สงสัยสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นมาว่า มันคืออะไร เจ้านี้คือใคร และแน่นอนคำตอบทั้งหมดอยู่ในโรงภาพยนต์ แม้ว่าการตลาดแบบViral Marketing ใน The Dark Knight นั้น จะไม่ได้สร้างกระแสแบบสุดๆอย่างที่Cloverfield ทำได้ แต่ในขณะเดียวกันมันก็ประสบความสำเร็จที่ช่วยทำให้รายได้ของThe Dark Knight สามารถสูงขึ้นได้ถึงขนาดนี้ หนังที่ใช้การตลาดแบบ Viral Marketing ที่น่าสนใจ - หนังเรื่องGodsend ได้สร้างเว็บไซต์สถาบันโคลนนิ่งมนุษย์สำหรับพ่อแม่ผู้สูญเสียลูก และยังได้ลงเบอร์โทรที่สามารถโทรไปหาได้จริงๆ แน่นอนมีคนหลงกลไปหลายคน แต่สุดท้ายด้วยคุณภาพหนังแย่จึงเจ๊งไปตามระเบียบ - Runing Scared ได้สร้างเว็บไซต์ที่มีเกมแฟลชเล็กๆให้เล่น แต่เกมนั้นดันเป็นเกมที่แรงมากเพราะมีฉากที่เราต้องทำออรัลเซ๊กซ์กับเมียตัวเองจนเสร็จ แน่นอนมันอยู่ไม่นานก็ต้องถูกปิดลงไป - Be Kind Rewind หนังตลกของแจ็ค แบล็คได้สร้างศัพท์เฉพาะแก่วงการหนังนั้นก็คือ Sweding หรือหนังเลียนแบบที่มีทุนห่วยกว่านั้นเอง เป็นหนังที่เด็กแนวสนใจที่จะทำกันมากมาย จนถึงขั้นสร้างเว็บไซต์เพื่อรวบรวมหนังแนวนี้โดยเฉพาะ ตัวอย่างหนังแบบSweding [media]http://www.youtube.com/watch?v=3FeDpy3IUHA[/media] - The Happening หนังของ เอ็ม ไนท์ ชยามาลาน ก็ทำการตลาดแบบนี้เช่นกัน โดยทำคลิปวิดีโอเล็กๆ ที่มีคนหลายคนอยู่ๆก็ล้มไป และปิดท้ายที่คำว่า What’s Happening (ขออภัย หาคลิปไม่เจอ) - Tropic Thunder หนังตลกของ เบน สติลเลอร์ นอกจากที่ท่านเห็นว่ามีการทำตัวอย่างปลอมๆของนักแสดงในหนังแล้ว หนังยังมีเว็บไซต์ของหนังแสดงแต่ละคนมาให้ดูด้วย รวมถึงเว็บไซต์ของหนังอย่างSimple Jack ที่สมจริงซะจนถูกร้องเรียนองค์กรผู้ทุพพลภาพ จนต้องปิดตัวลง การตลาดแบบViral Marketing เจาะตลาดอะไร มีหลายคนถามว่า การตลาดแบบ Viral Marketing นั้นทำไมมันถึงประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะถ้าทำมาดีๆมีสิทธิที่หนังเรื่องนั้นจะดังเลย ต้องบอกว่าการตลาดชนิดนี้เล่นกับ “ความอยากรู้อยากเห็นของมนุษย์” Viral Marketing แต่อดีตนั้นเป็นเรื่องกระแสปากต่อปาก เมื่อคนพูดว่า เฮ้อาหารอันนี้อร่อยนะ แน่นอว่าเรานั้นก็อยากไปกิน อยากรู้ว่ามันอร่อยจริงไหม ก็จะเป็นเครือข่ายไปเรื่อยๆ ส่วนในยุคปัจจุบันที่การทำการตลาดViral Marketing มีรูปแบบที่เปลี่ยนไป เป็นแนวสร้างโลกสมมุติ แนวไขปริศนาต่างๆ ซึ่งแน่นอนคนเราย่อมอยากรู้ ย่อมอยากเห็นสิ่งต่างๆ ย่อมอยากรู้จุดเฉลย ก็จะค้นหา สันนิฐาน และสุดท้ายเค้าก็จะเข้าไปชมภาพยนต์เพื่ออยากรู้สิ่งต่างๆ ซึ่งนั้นก็คือการตลาดแบบViral Marketing ที่ประสบความสำเร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ในขณะเดียวกัน การตลาดเช่นนี้ก็เป็นดาบ2คม เพราะถ้าเมื่อคุณภาพสินค้าหรือสื่อบันเทิงที่ออกมานั้นมันไม่ดีพอดั่งที่Viral Marketing ได้ทำไว้ ผลนั้นจะย้อนศร กลายเป้นผลร้ายสู่สิ่งนั้นแทน เช่นถ้าร้านอาหารที่ทำการตลาดนี้ แต่คนไปกินดันบอกไม่อร่อยขึ้นมา กระแสปากต่อปากจะส่งผลร้ายไปสู่ร้านอาหารนั้นแทน หนังก็เช่นกัน ถ้าการตลาดดีแต่คุณภาพหนังห่วย การตลาดViral Marketing ก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้ ดั่งเช่นหนังเรื่อง Snake on the Plane เป็นกรณีศึกษาของการทำการตลาดดี แต่คุณภาพงานนั้นแย่ ฉะนั้นแม้การทำการตลาดแบบViral Marketingกับหนัง จะมีผลดี ลงทุนน้อยและเครือข่ายการนำเสนอในยุคปัจจุบันมีเยอะมากที่จะทำการตลาดแนวนี้ แต่ในทางกลับกัน ถ้าคุณภาพงานไม่ดีพอ การตลาดชนิดนี้จะกลายเป็น1เส้นทางในการฆ่าหนังเรื่องนั้นแทน ฉะนั้นHollywood จึงยังไม่ถึงขั้นทำการตลาดแนวนี้แบบเต็มที่เท่าไรนัก กยกเว้นว่าหนังเรื่องนั้นจะมีคุณภาพอย่างแท้จริง มันจึงทำให้ The Dark Knight Rise ได้เริ่มเดินการตลาดแบบViral Marketing ก้าวแรกเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั้นเอง [media]http://www.youtube.com/watch?v=EAfEgGaRmis[/media] [media]http://www.youtube.com/watch?v=gKEV8XEZ5yI[/media] [media]http://www.youtube.com/watch?v=umkXZxmGH1Y[/media] เครดิต Filmax ฉบับที่24 Wiki IMDB Boxofficemojo ขอบคุณที่ติดตามอ่านจยจบนะครับผม ติชมได้ตามสะดวกท่านเลย สุดท้ายนี้ ลาล่ะ555
เหมือนมันมาไม่ถึงเมืองไทยรึเปล่าเรื่องราวพวกนี้ ขนาดผมอยู่อเมริกาช่วงนี้หนังเหล่านั้นออกฉากผมยังไม่เห็นเคยรู้เรื่องเลยเนี่ย
พอดูหัวข้อและอ่านตอนแรก ๆ แล้วตอนแรกผมแอบรู้สึกไม่ดีกับการตลาดแบบนี้เท่าไหร่ แต่พออ่านจนถึงล่าง ๆ แล้วพอค้นพบว่า "สุดท้ายถ้าหนังห่วย viral marketing ก็ช่วยอะไรไม่ได้" แล้วรู้สึกโล่งใจนิด ๆ ครับ