Viral Marketing กับ ภาพยนต์Hollywood

กระทู้จากหมวด 'ดูหนัง ฟังเพลง อนิเม การ์ตูน' โดย soma555, 4 มิถุนายน 2011.

  1. soma555

    soma555 นักข่าว

    EXP:
    233
    ถูกใจที่ได้รับ:
    25
    คะแนน Trophy:
    28
    บทความชิ้นนี้ ผมจะพยายามทำให้คนอ่านนั้นอ่านสนุก และเข้าใจสิ่งที่เขียนมากที่สุดนะครับ กระทู้นี้ค่อนข้างยาวแนะนำให้อ่านเมื่อมีเวลาว่าง

    อันตัวผมไม่ได้เรียนสาขาการตลาด ฉะนั้นย่อมมีข้อมูลผิด หรือการเข้าใจผิดกัน ถ้าใครติติงหรือสามารถแก้ไขข้อมูลได้ก็โพสบอกได้เต็มที่เลยนะครับผม

    ขอขอบคุณล่วงหน้าครับ


    [​IMG]

    Viral Marketing

    การตลาดแบบ Viral Marketing เชื่อว่าหลายๆคนนั้นเริ่มจะได้ยินคำนี้มากขึ้นในชีวิต แต่ไม่รู้ว่ามันแปลว่าอะไร “Viral Marketing นั้น คือ การตลาดแบบปากต่อปาก หรือ การตลาดแบบบอกต่อๆกัน” นั้นเองครับ ซึ่งในสมัยก่อนนั้นก็อาจจะเป็นแนว นี้เธอรู้ไหมสินค้าตัวนี้ดีมากเลยนะ ฉันใช้แล้วสะอาด แล้วก็สร้างกระแสปากต่อปากไปเรื่อยๆ ยกตัวอย่างผงซักฟอกแฟ่บ ที่ออกโฆษณาสมัยก่อนว่าเปิดกล่องชิงเงินล้าน ซึ่งตินนั้นทำให้หลายๆคนรุมกันซื้อแฟ่บแล้วบอกปากต่อปากกันไป จนทำให้แฟ่บขายดีและยังส่งผลถึงปัจจุบันทียังมีคนเรียกผงซักฟอกยี่ห้ออื่นว่าแฟ่บ (แม้ปัจจุบันแฟ่บจะไม่รุ่งเรืองเช่นเดิมแล้ว) หรือโออิชิที่เปิดฝาลุ้นล้าน จนมีคนบอกต่อนั้นก็ถือเป็นการตลาดเช่นนี้เหมือนกัน

    และในปัจจุบันนั้นสังคมไซเบอร์ โลกออนไลน์ ได้กลายมาเป็นส่วนนึงของชีวิตผู้คนในยุคนี้ไปแล้ว ทำให้การตลาดViral Marketing นั้นขยับขยายมากขึ้นกว่าเดิมและหลากหลายช่องทางมากขึ้น ทั้ง Youtube Twitter Facebook โดยที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายมากมายในการทำการตลาด จึงเป็นเส้นทางที่หลายๆคนเลือกจะทำการตลาดแบบViral ผ่านสื่อออนไลน์มากขึ้น

    ยกตัวอย่างเช่น บริษัท Blendtec ผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า ได้ผลิตเครื่องปั่นชนิดนึงมา และโปรโมทด้วยการทำซีรีย์ Wii It Blend? ซีรีย์ที่เป็นการนำเครื่องปั่นของตัวเองนั้นมาปั่นสินค้าทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็รไฟแช็ค แท่งแสง ชแลง แผ่นเกม หรือแม้แต่ IPhone อย่างละเอียดเละเทะ ซึ่งแน่นอนการตลาดชนิดนี้ได้ผลเพราะนอกจากคนจะแห่มาดูกันถึงหลายล้านView แล้ว ยังทำให้ยอดขายของเครื่องปั่นชนิดนี้สูงขึ้นอย่างสุดๆ จึงเรียกได้ว่าเป็นผลความสำเร็จของการทำการตลาดแบบViral ผ่านสื่อออนไลน์อย่างชัดเจน

    Will It Blend?

    [media]http://www.youtube.com/watch?v=qg1ckCkm8YI[/media]

    และแน่นอนการตลาดที่มีผลชัดเจน ลงทุนน้อย หนังHollywoodจึงเริ่มมาเดินเข้าสู่การตลาดแบบViral มากขึ้น

    [​IMG]

    ตำนานแหวน ก้าวแรกของการตลาดแบบ Viral Marketing ในหนัง Hollywood

    ปี1999 ในยุคที่อินเตอร์เน็ตเริ่มแพร่หลายในระดับนึง การสร้างมหากาพย์ภาพยนต์ The Lords of the Ring นั้นก็ได้เริ่มต้นขึ้น ซึ่งแน่นอนมันมาจากนิยายที่เป็นนิยายที่ดีที่สุด ทำให้คอหนังและคอหนังสือหลายๆคนอยากที่จะสัมผัสโรงถ่ายหนังว่ามีกระบวณการเช่นไร เพราะหนังเรื่องนี้ได้ถ่ายไกลถึงนิวซีแลนด์

    ปีเตอร์ แจ็คสันจึงได้จัดแคมเปญพิเศษ พาแฟนหนังและแฟนหนังสือไปเที่ยวชมโรงถ่ายหนังเรื่องนี้ที่นิวซีแลนด์ ซึ่งแน่นอนเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นก2ตัว เพราะนอกจากจะได้ใจแฟนหนังแฟนหนังสือแล้ว มันยังแฝงการตลาดนิดๆ เพราะเมื่อผู้คนชมแล้วก็อดใจไม่ไหวที่จะต้องเล่าถึงความยิ่งใหญ่แบบสุดๆของโรงถ่ายผ่านอินเตอร์เน็ต ซึ่งแน่นอนสร้างความสนใจมากมายแก่ผู้ที่ได้อ่านและผู้สนใจ และแน่นอนมันเป็นส่วนนึงที่ทำให้ให้รายได้เปิดตัวของLords of the Ring สูงถึง47ล้านเหรียญ

    แต่สิ่งที่ปีเตอร์ แจ็คสันคาดไม่ถึงคือ จะมีคนนำการตลาดแบบนี้ของเค้าไปต่อยอดให้ยิ่งใหญ่ และ มันเป็นส่วนนึงของการตลาดหนังในอนาคตนั้นเอง

    [​IMG]

    Snake on the Plane จุดเริ่มต้นที่แท้จริงของการตลาดแบบ Viral Marketing ในหนัง Hollywood

    Snake on the Plane หนังปี2006 จากค่ายนิวไลน์ สำหรับคอหนังทั่วไปนี้อาจจะเป็นหนังธรรมดาค่อนไปทางห่วย แต่สำหรับนักการตลาด Viral Marketing ของ Hollywood ยกย่องให้หนังเรื่องนี้คือบิดาของการตลาดแนวนี้ครับ

    เรื่องราวเกิดขึ้นจากมีนักศึกษาคนนึงนั้นเกิดอาการโดนใจกับชื่ออันตรงๆของหนังเรื่องนี้ จึงได้สร้างบล็อกอันนึงขึ้นมาว่า Snakeonablog ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อสนองนีด ทั้งทำตัวอย่างเอง เพลงประกอบเอง โปสเตอร์เอง ซึ่งบ่งบอกถึงความคลั่งไคล้ในตัวหนังของเค้า แต่ว่าการทำบล็อคนี้กลับได้ผลเกินกว่าที่เค้าคาดคิด เพราะมันมียอดผู้ชมสูงถึง5หมื่นคนต่อสัปดาห์ จนในที่สุดผู้บริหารนิวไลน์ ซีนีม่า เจ้าของหนังเรื่องนี้ และขานรับต่อกระแสของความแรงในอินเตอร์เน็ตของหนังเรื่องนี้ ด้วยการออกแคมเปญหลากหลายที่มีความเกี่ยข้องกับอินเตอร์เน็ต ทั้งการประกวดแต่งเพลงธีมเรื่อง หรือ บริการ Voice Message เสียงของ แซมวล แอล แจ็คสัน นักแสดงนำของเรื่อง ที่มาแนะนำตัวหนัง และให้ส่งต่อๆกันไป ทำให้กระแสหนังเรื่องนี้นั้นโด่งดังเป็นพลุแตกในอินเตอร์เน็ตอย่างมาก

    แต่น่าเสียดายที่ ภาพยนต์เรื่องนี้นั้นไม่ได้ทำรายได้ดี เพราะด้วยคุณภาพหนังที่ค่อนข้างแย่ ทำให้แฟรๆที่ติดตามหลายคนออกไปทางแนวผิดหวังกัน แต่อย่างไรก็ดี Snake on the Plane คือต้นแบบการทำการตลาดแบบ Viral Marketing ในอนาคตทันที

    [​IMG]

    โลกสมมุติแห่ง A.I. การตลาดแบบใหม่แห่งViral Marketing

    A.I. Artificial Intelligence หนังไซไฟของผู้กำกับ Steven Spielberg ก็ใช้การตลาดแบบViral Marketing เช่นกัน แต่การตลาดของหนังเรื่องนี้จะแตกต่างจาก Snake on the Plane เพราะทีมการตลาดได้สร้างชื่อนักจิตวิทยาชื่อว่า จีนนี่ เซลลา ซึ่งเมื่อคุณเข้าไปเสริ์จชื่อนี้ในGoogle จะพบเว็บไซต์ต่างๆของนักจิตวิทยาคนนี้ ทั้งประวัติการทำงาน ทั้งรายงานการวิจัยเรื่อง ปัญญาประดิษฐ์ เว็บไซต์ที่สนับสนุนการสร้างแอนดรอย เว็บไซต์ต่อต้าน เว็บไซต์ป้องกันอาชญากรรม แต่หารู้ไม่ว่าทุกเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับนักวิจับคนนี้ เป็นเว็บไซต์สมมุติที่สร้างขึ้นมาโดยทีมงานของหนังเรื่องนี้เอง

    A.I.จึงนับเป็นหนัเรื่องแรกที่มีการตลาดแบบสร้างโลกสมมุติขึ้นมาให้คนดูได้สงสัย อยากรู้อยากเห็น และสุดท้ายเข้าไปชมภาพยนต์ แต่น่าเสียดายที่วิธีการนี้ยังไม่ดีเท่าที่ควร ทีมการตลาดยังใช้มันได้อย่างไม่คุ้มค่า จึงทำให้กระแสของ Viral Marketing ในA.I.นั้นไม่ได้ดังเปรี้ยงปร้างอะไรดั่งเช่นที่ Snake on the Plane ทำไว้

    [​IMG]

    ปรากฏการณ์ Cloverfield การบูมของViral Marketing

    ช่วงซัมเมอร์ 2007 ในหนังเรื่อง Transformers นั้น ได้มีตัวอย่างหนังลึกลับ ที่เป็นเรื่องของผู้คนในงานเลี้ยง แล้วอยู่ๆไฟดับ ก่อนที่พวกเค้าจะขึ้นไปบนดาดฟ้าและพบเห็นการระเบิด และเมื่อพวกเค้าหนีออกมาก็พบหัวเทพีเสรีภาพกระเด็นตกลงมา

    ไม่มีการบอกชื่อหนัง มีแค่ตัวเลข 1-18-08 และเป็นผลงานของ J.J Abrams แต่นี้คือจุดเรื่มต้นของปรากฏการณ์ที่ทำให้คนทั้งโลกเริ่มสนใจการตลาดแบบ Viral Marketing เพราะนอกจากหนังจะมีแต่ความลับตั้งแต่ตัวอย่างแรก J.J ได้ทำการสร้างเว็บไซต์สมมุติขึ้นมา4 เว็บไซต์ เว็บไซต์แรกคือตัวเลขในตัวอย่างหนัง 1-18-08 ที่ตัวเว็บจะปล่อยภาพปริศนาที่ไม่มีที่มาให้ดู เว็บSlusho เว็บเครื่องดื่มภายในหนัง ที่เมื่อเข้าไปกลับมีความเกี่ยวข้องบางอย่างกับหนังอย่างน่าสงสัย เว็บTagruato ที่เป็นเว็บเกี่ยวกับแท่นขุดเจาะน้ำมัน และเว็บtidowave ซึ่งต่อต้านการสร้างแท่นขุดเจาะน้ำมัน และยังมีMyspace ของตัวละครในเรื่อง ซึ่งทั้งหมดนั้นถูกสร้างขึ้นมาโดย J.J และมีความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกันทั้งหมด และนอกนั้นคือการตีความ ไขปริศนาของผู้คนกันเอง

    และแน่นอน ปริศนาจากสิ่งที่J.Jสร้างนั้น สร้างความอยากรู้อยากเห็นของผู้คนจำนวนมาก การไขปริศนา การตีความต่างๆนานาเริ่มสร้างกระแสมากขึ้น ผู้คนเริ่มส้นใจ ค้นหา จนเกิดกระแส Cloverfield ไปทั่วโลก ถึงขั้นมีเว็บไซต์ Wikia ของหนังเรื่องนี้โดยเฉพาะเพื่อเก็บรวบรวมและค้นหาปริศนาที่มีมาจากเบาะแสต่างๆ ชื่อของหนังโด่งดัง ข่าวลือมากมายเริ่มออกมาไม่หยุดหย่อน กลายเป็นความสนุกสนานที่ยากจะลืมเลือน

    และจากกระแสที่รุนแรงเช่นนี้ ส่งผลให้หนังCloverfield ทำรายได้ถึง 80ล้านที่อเมริกา และ 170 ล้านทั่วโลก จากทุนสร้างเพียงแค่25ล้านเหรียญเท่านั้น เรียกได้ว่ากำไรมหาศาล ณ ปัจจุบัน Cloverfield จึงกลายเป็นสัญญลักษณ์ของการประสบความสำเร็จจากการตลาดแบบ Viral Marketing

    [​IMG]

    อัศวินรัตติกาล โลกสมมุติจาก Viral Marketing

    The Dark Knight แบทแมนภาคที่ดีที่สุดและทำรายได้มากที่สุด แต่รายได้กว่า500ล้านที่อเมริกานั้นส่วนนึงมาจากการทำการตลาดแบบViral Marketing ด้วย

    โดยทีมการตลาดได้สร้างเว็บไซต์สมมุติขึ้นมา ทั้งโบสถ์เมืองGotham บริษัทแท็กซี่ ธนาคาร ร้านอาหาร รถไฟฟ้าใต้ดิน สถานีโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ที่มีหน้าข่าวสารต่างๆในเมืองGotham ได้อ่านกันแบบจริงจัง และยังมีการสร้างรายการข่าว GCN ซึ่งเป็นรายการข่าวภายในเมืองGotham ขึ้นมา เพื่อรายการเหตุการณ์ต่างๆ

    ตัวอย่างรายการ Gotham Tonight

    [media]http://www.youtube.com/watch?v=36sCq-VKO0c[/media]

    อีกทั้งหนังยังสร้างเว็บไซต์สนองการเลือกตั้งภายในGotham คือเว็บไซต์ของ ฮาร์วี่ย์ เด๊นท์ และผู้สมัครคนอื่นๆ ให้เหมือนกับการมีการสมัครเลือกตั้งจริงๆ และที่สำคัญคือเว็บไซต์ Whysoserious ที่เป็นเว็บไซต์ของโจ๊กเกอร์ ที่สร้างขึ้นมาเพื่อบรรยายความปั่นป่วนและจิตวิปริตของเค้า ทั้งหมดทั้งมวลในการทำการตลาดนี้นั้นทำให้คนที่ติดตามนั้นรู้สึกว่า เมืองGotham มีจริงๆ ทำให้คนที่ไม่สนBatman มาก่อนนั้นได้สงสัยสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นมาว่า มันคืออะไร เจ้านี้คือใคร และแน่นอนคำตอบทั้งหมดอยู่ในโรงภาพยนต์

    แม้ว่าการตลาดแบบViral Marketing ใน The Dark Knight นั้น จะไม่ได้สร้างกระแสแบบสุดๆอย่างที่Cloverfield ทำได้ แต่ในขณะเดียวกันมันก็ประสบความสำเร็จที่ช่วยทำให้รายได้ของThe Dark Knight สามารถสูงขึ้นได้ถึงขนาดนี้

    [​IMG]

    หนังที่ใช้การตลาดแบบ Viral Marketing ที่น่าสนใจ

    - หนังเรื่องGodsend ได้สร้างเว็บไซต์สถาบันโคลนนิ่งมนุษย์สำหรับพ่อแม่ผู้สูญเสียลูก และยังได้ลงเบอร์โทรที่สามารถโทรไปหาได้จริงๆ แน่นอนมีคนหลงกลไปหลายคน แต่สุดท้ายด้วยคุณภาพหนังแย่จึงเจ๊งไปตามระเบียบ

    - Runing Scared ได้สร้างเว็บไซต์ที่มีเกมแฟลชเล็กๆให้เล่น แต่เกมนั้นดันเป็นเกมที่แรงมากเพราะมีฉากที่เราต้องทำออรัลเซ๊กซ์กับเมียตัวเองจนเสร็จ แน่นอนมันอยู่ไม่นานก็ต้องถูกปิดลงไป

    - Be Kind Rewind หนังตลกของแจ็ค แบล็คได้สร้างศัพท์เฉพาะแก่วงการหนังนั้นก็คือ Sweding หรือหนังเลียนแบบที่มีทุนห่วยกว่านั้นเอง เป็นหนังที่เด็กแนวสนใจที่จะทำกันมากมาย จนถึงขั้นสร้างเว็บไซต์เพื่อรวบรวมหนังแนวนี้โดยเฉพาะ

    ตัวอย่างหนังแบบSweding

    [media]http://www.youtube.com/watch?v=3FeDpy3IUHA[/media]

    - The Happening หนังของ เอ็ม ไนท์ ชยามาลาน ก็ทำการตลาดแบบนี้เช่นกัน โดยทำคลิปวิดีโอเล็กๆ ที่มีคนหลายคนอยู่ๆก็ล้มไป และปิดท้ายที่คำว่า What’s Happening (ขออภัย หาคลิปไม่เจอ)

    - Tropic Thunder หนังตลกของ เบน สติลเลอร์ นอกจากที่ท่านเห็นว่ามีการทำตัวอย่างปลอมๆของนักแสดงในหนังแล้ว หนังยังมีเว็บไซต์ของหนังแสดงแต่ละคนมาให้ดูด้วย รวมถึงเว็บไซต์ของหนังอย่างSimple Jack ที่สมจริงซะจนถูกร้องเรียนองค์กรผู้ทุพพลภาพ จนต้องปิดตัวลง

    [​IMG]

    การตลาดแบบViral Marketing เจาะตลาดอะไร

    มีหลายคนถามว่า การตลาดแบบ Viral Marketing นั้นทำไมมันถึงประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะถ้าทำมาดีๆมีสิทธิที่หนังเรื่องนั้นจะดังเลย ต้องบอกว่าการตลาดชนิดนี้เล่นกับ “ความอยากรู้อยากเห็นของมนุษย์”

    Viral Marketing แต่อดีตนั้นเป็นเรื่องกระแสปากต่อปาก เมื่อคนพูดว่า เฮ้อาหารอันนี้อร่อยนะ แน่นอว่าเรานั้นก็อยากไปกิน อยากรู้ว่ามันอร่อยจริงไหม ก็จะเป็นเครือข่ายไปเรื่อยๆ ส่วนในยุคปัจจุบันที่การทำการตลาดViral Marketing มีรูปแบบที่เปลี่ยนไป เป็นแนวสร้างโลกสมมุติ แนวไขปริศนาต่างๆ ซึ่งแน่นอนคนเราย่อมอยากรู้ ย่อมอยากเห็นสิ่งต่างๆ ย่อมอยากรู้จุดเฉลย ก็จะค้นหา สันนิฐาน และสุดท้ายเค้าก็จะเข้าไปชมภาพยนต์เพื่ออยากรู้สิ่งต่างๆ ซึ่งนั้นก็คือการตลาดแบบViral Marketing ที่ประสบความสำเร็จเรียบร้อยแล้ว

    แต่ในขณะเดียวกัน การตลาดเช่นนี้ก็เป็นดาบ2คม เพราะถ้าเมื่อคุณภาพสินค้าหรือสื่อบันเทิงที่ออกมานั้นมันไม่ดีพอดั่งที่Viral Marketing ได้ทำไว้ ผลนั้นจะย้อนศร กลายเป้นผลร้ายสู่สิ่งนั้นแทน เช่นถ้าร้านอาหารที่ทำการตลาดนี้ แต่คนไปกินดันบอกไม่อร่อยขึ้นมา กระแสปากต่อปากจะส่งผลร้ายไปสู่ร้านอาหารนั้นแทน หนังก็เช่นกัน ถ้าการตลาดดีแต่คุณภาพหนังห่วย การตลาดViral Marketing ก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้ ดั่งเช่นหนังเรื่อง Snake on the Plane เป็นกรณีศึกษาของการทำการตลาดดี แต่คุณภาพงานนั้นแย่

    ฉะนั้นแม้การทำการตลาดแบบViral Marketingกับหนัง จะมีผลดี ลงทุนน้อยและเครือข่ายการนำเสนอในยุคปัจจุบันมีเยอะมากที่จะทำการตลาดแนวนี้ แต่ในทางกลับกัน ถ้าคุณภาพงานไม่ดีพอ การตลาดชนิดนี้จะกลายเป็น1เส้นทางในการฆ่าหนังเรื่องนั้นแทน ฉะนั้นHollywood จึงยังไม่ถึงขั้นทำการตลาดแนวนี้แบบเต็มที่เท่าไรนัก กยกเว้นว่าหนังเรื่องนั้นจะมีคุณภาพอย่างแท้จริง

    มันจึงทำให้ The Dark Knight Rise ได้เริ่มเดินการตลาดแบบViral Marketing ก้าวแรกเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั้นเอง


    [media]http://www.youtube.com/watch?v=EAfEgGaRmis[/media]

    [media]http://www.youtube.com/watch?v=gKEV8XEZ5yI[/media]

    [media]http://www.youtube.com/watch?v=umkXZxmGH1Y[/media]

    เครดิต Filmax ฉบับที่24
    Wiki
    IMDB
    Boxofficemojo

    ขอบคุณที่ติดตามอ่านจยจบนะครับผม ติชมได้ตามสะดวกท่านเลย สุดท้ายนี้ ลาล่ะ555
  2. jpenguin

    jpenguin Admin Staff Member

    EXP:
    2,537
    ถูกใจที่ได้รับ:
    93
    คะแนน Trophy:
    113
    เหมือนมันมาไม่ถึงเมืองไทยรึเปล่าเรื่องราวพวกนี้ ขนาดผมอยู่อเมริกาช่วงนี้หนังเหล่านั้นออกฉากผมยังไม่เห็นเคยรู้เรื่องเลยเนี่ย
  3. ffpokemon

    ffpokemon Editor

    EXP:
    1,691
    ถูกใจที่ได้รับ:
    79
    คะแนน Trophy:
    113
    พอดูหัวข้อและอ่านตอนแรก ๆ แล้วตอนแรกผมแอบรู้สึกไม่ดีกับการตลาดแบบนี้เท่าไหร่
    แต่พออ่านจนถึงล่าง ๆ แล้วพอค้นพบว่า "สุดท้ายถ้าหนังห่วย viral marketing ก็ช่วยอะไรไม่ได้" แล้วรู้สึกโล่งใจนิด ๆ ครับ

Share This Page