อ่านก่อนนิดนึง บทความนี้ คือบทความReview หนังในมุมมองของผมแค่คนเดียว ไม่ใช่มุมมองของคนส่วนมาก ฉะนั้นไม่แปลกถ้าท่านจะรู้สึก เอ๊ะทำไมนายไม่ชอบตรงนี้ เอ๊ะทำไมนายมาด่าเรื่องนี้ เอ๊ะนายบอกเรื่องนี้ดี นายเพี้ยนรึเปล่า อยากจะบอกว่า ผมเป็นแค่คนดูหนังคนนึง มิอาจสามารถเอาใจของคนทั่วโลกมารวมในคนเดียว แล้วประมวลคะแนนให้พอใจทุกคนได้ เพราะคนเราย่อมมีรสนิยมการดูหนังไม่เหมือนกันทุกคนครับ ฉะนั้น ถ้าอ่านReview ของผมแล้ว จงอย่าตัดสินทันที ขอให้พิสูจน์หนังเรื่องนั้นด้วยตัวท่านเอง ไม่แน่ หนังที่ผมบอกห่วย อาจเป็นหนังในใจท่านก็ได้ครับผม ด้วยความเคารพครับ และขอความกรุณาอย่าSpoil หนังนะครับผม จะSpoil ก็ขอให้ใช้การซ่อนข้อความ การติชมต่อผลงานของSoma สามารถเขียนได้ในกระทู้อย่างเปิดเผยและตรงๆอย่างไม่ต้องกังวล เข้ามาอ่านReview เล็กๆก่อนตัวเต็ม หรือถ้าใครที่เข้ามาอ่านธรรมดาแต่อยากติชม สามารถเข้าไปติได้ที่Facebook ของกระผมนะครับ http://www.facebook.com/profile.php?id=100000512771067 Green Lantern แนวหนัง : แอ็คชั่น ไซไฟ แฟนตาซี ตัวอย่าง [media]http://www.youtube.com/watch?v=bv7KlLj_Ffs[/media] เรื่องย่อ ฮาล จอร์แดน นักบินที่บังเอิญไปพบกับมนุษย์ต่างดาวที่ตกมาบนโลก และได้รับแหวนพลังพิเศษที่ทำให้เค้ากลายเป็นนักรบอวกาศ กรีน แลนเทิน แต่ในขณะเดียวกันเมิ่อศพของมนุษย์ต่างดาวตัวนั้นกำลังถูกเฮ๊กซ์เตอร์ แฮมมอน เกิดสำรวจซากมนุษย์ต่างดาวขึ้นมาและเกิดการแปลี่ยนแปลงกับตัวเค้า ซึ่งกำลังเป็นภัยต่อโลกมนุษย์ ฮัลจึงต้องปกป้องโลกให้รอดพ้นจากภัยพิบัติครั้งนี้ให้จงได้ มุมมองของSoma หนังเรื่องนี้โดนตั้งความหวังไว้สูงพอสมควรครับ เพราะนอกจากจะเป็นฮีโร่หลักของDCที่ขึ้นจอใหญ่หลังจากที่มีแค่พี่ซุปและพี่แบท ไหนจะมีผู้กำกับอย่างมาร์ติน แคมป์เบล ที่มีผลงานในการทำให้เจมส์ บอนด์กลับมาฮิตอีกครั้งอย่าง Casino Royale มาทำให้ จึงต้องบอกว่าเป็นการเริ่มเดินเกมสู้ด้านหนังอย่างจริงจังของDC ซะที แต่เมื่อได้ชมแล้วแล้วมองรวมๆคงต้องบอกว่าหนังเรื่องนี้ “น่าผิดหวังพอสมควร” ปัญหาใหญ่ที่สุดของฮีโร่ตัวนี้คือการที่หนังมีสเกลที่ใหญ่มากๆ ทั้งเรื่องราวและตัวละคร แต่ตัวหนังกลับถ่ายทอดออกมาได้น่าผิดหวัง เพราะหนังกลับเจาะจงไปที่ตัวละครแค่ ฮาลผู้เป็นพระเอกเท่านั้น แต่ในเรื่องตัวละครทั้งหลายซึ่งมีผลกลับการพัฒนาการณ์ด้านความรู้สึกและอารมณ์ของฮาลหนังกลับไม่ได้เน้น หรือโฟกัสให้มีจุดที่น่าจดจำหรือน่าสนใจเลยมันจึงส่งผลให้การพัฒนาของฮาลนั้นเหมือนเป็นการพัฒนาไปงั้นๆ ไม่ได้รู้สึกชื่นชมหรือเชียร์ตัวละครแต่อย่างใด หรือแม้กระทั้งปมความรักที่ตอนต้นหนังทิ้งปมเอาไว้ได้ดี แต่กลับละทิ้งอย่างง่ายดาย และโดยเฉพาะการที่หนังมีเรื่องราวของดวงดาวและจักวาล โดยเฉพาะดาวของพวกกรีนแลนเทิร์นที่มีตัวละครที่สำคัญของหนังมากๆ แต่หนังกลับไร้ซึ่งการใส่ใจกลับกลายเป็นแค่ตัวละครที่ออกมาผิวๆ บินโฉบไปมาแค่นั้น ซึ่งยิ่งทำให้เนื้อเรื่องของหนังเรื่องนี้ขาดความน่าสนใจเข้าไปยิ่งกว่าเก่า และปมในหนังที่ไม่มีการเฉลยหรือพื้นเพเท่าไรนัก (ฉากเปิดเรื่องยังเหมือนรีบๆอธิบายเลย) ก็ทำให้บทของหนังมีช่องโหว่มากมาย และเกิดคำถามหลายๆคำถาม หรือตัวละครบางตัวในหนังนั้นไม่มีความจำเป็นต้องเน้น เพราะไม่ได้มีความสำคัญต่อหนังเท่าไรเลย คงต้องบอกว่าแม้หนังเรื่องนี้จะมีบทเป็นสูตรสำเร็จที่ทำให้สามารถดูสนุกได้ง่าย แต่เมื่อบทของหนังกลับสร้างมาให้ไร้จุดร่วมความรู้สึกของตัวละคร ทำให้ความสนุกของกรีน แลนเทิร์นขาดหายไปอย่างพอสมควร ซึ่งต้องยอมรับว่าหนังควรจะยาวกว่านี้ เพราะหนังเรื่องนี้สั้นเกินไป(ชั่วโมงกว่า)ที่จะถ่ายทอดเรื่องราวที่เยอะขนาดนี้ได้อย่างลงตัว เมื่อมาดูด้านความสนุกในเรื่องของฉากแอ็คชั่น ก็คงต้องบอกว่า ไปไม่สุดเท่าไรนัก เพราะต้องยอมรับว่าการขาดอารมณ์ร่วมกับตัวละครส่วนนึง ทำให้ฉากแอ็คชั่นในหนังเราไม่ได้รู้สึกเชียร์เอาใจช่วยตัวละครเท่าไร และฉากแอ็คชั่นในหนังนั้นก็ทำได้แค่ระดับปานกลาง พอเพลินๆแต่ไม่ได้น่าจดจำหรือตื่นเต้น แม้หนังจะมีการใช้พลังของแหวนให้ดู แต่ก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใหม่หรือน่าตื่นตาตื่นใจแต่อย่างใด แต่ที่ดูดีก็คงเป็นฉากช่วงท้ายๆของหนังที่ดูยิ่งใหญ่ หรือมุกตลกที่เหมือนจะดูเป็นอีกนึงจุดขายของหนังนั้นก็ทำได้ไม่เต็มที่ มีแค่ไม่กี่มุกเท่านั้นที่พอทำให้หัวเราะได้ นอกนั้นออกไปทางเงียบๆหรือแค่หึหึ ซึ่งน่าเสียดายกับบุคลิคของฮาลที่สามารถปล่อยมุกได้น่าจดจำหรือน่าสนใจกว่านี้แท้ๆ แต่ต้องขอชมด้านเทคนิคCGของหนังที่ค่อนข้างเนี๊ยบใช้ได้ ทั้งตัวของแลนเทิร์น มนุษย์ต่างดาว หรือดาวของแลนเทิร์น ทำให้ดูได้ตื่นตาตื่นใจกับความสวยงาม และมันยังส่งผลให้ฉากแอ็คชั่นช่วงท้ายดูยิ่งใหญ่ขึ้นด้วย คงต้องขอบคุณเอฟเฟคในหนังและดีไซน์ในหนังทำออกมาได้ดี ทั้งตัวเอเลี่ยน ชุดของแลนเทิร์น หรือดาวต่างๆ ทำมาได้สวยงาม ส่วนด้านดนตรีนั้น Jame Newton Howard มาทำให้ก็ไม่ผิดหวังเลยแม้แต่น้อย ช่วยเสริมความรู้สึกยิ่งใหญ่ของหนังได้ดียิ่งขึ้นไป และอีกอย่างต้องขอชื่นชมการแสดงของไรอัน เรย์โนลด์ พ่อพระเอกของเราที่แสดงออกมาได้ใช้ได้ เหมาะสมที่จะรับบทต่อไปในภาคหน้าได้อย่างไม่มีปัญหา อนึ่ง หนังจบอย่าพึ่งลุกไปไหน แพราะมีฉากหลังเครดิตที่บอกถึงตัวร้ายในภาคหน้าด้วยครับผม สรุป : เมื่อมองในภาพรวมนั้น Green Lantern จัดอยู่ในประเภท “หนังพอดูได้” ความยาวของหนังที่สั้นเกินไปส่งผลให้การใส่ใจตัวละครที่มีผลกระทบต่อหนังหายไป ขาดอารมณ์ร่วมในหนังอย่างสิ้นเชิง บทที่มีช่องโหว่และน่าสงสัยพอสมควร ฉากแอ็คชั่นที่พอดูเพลินๆแต่ไม่ได้น่าจดจำหรือสนุกจนนั่งติดเก้าอี้ เอฟเฟคที่สวยงามกับดนตรีที่ยิ่งใหญ่พอที่จะช่วยบรรเทาความน่าผิดหวังของหนังไปได้ระดับนึง แต่เมื่อมองศักยภาพของทีมงานแล้วต้องยอมรับว่าการเอาฮีโร่ตัวหลักของDC มาขึ้นจอหนังครั้งนี้ “สอบตก” ครับ เกรด B แล้วเจอกันใหม่ครับผม ลาล่ะ555
เข้ามาอ่านว่ารีวิวจาก Soma จะเป็นอย่างที่ผมคิดรึเปล่า ไม่น่าประทับใจจริงๆด้วยสินะ การเอาฮีโร่ฉายเดี่ยวถ้าไม่วางบทไว้ดีจริงๆ ดับมานักต่อนักแล้ว เห็นมาหลายครั้ง นอกจาก Spiderman ซึ่งเป็นรุ่นบุกเบิกที่ทำรายได้ ก็มีแต่ความมันส์และเอฟเฟคเท่านั้นที่จะทำให้หนังน่าดูขึ้น แต่เราเห็นมาเยอะจนเบื่อไปแล้ว คนดูทุกวันนี้ต้องการ story ดีๆครับ
