เรื่องสั้น [กระบี่_มารฟ้า_ดาบฆาตรกร]_[ตอนที่ 1 การตัดสินใจ]

กระทู้จากหมวด 'Fiction' โดย akinis, 4 มีนาคม 2012.

  1. akinis

    akinis Member

    EXP:
    132
    ถูกใจที่ได้รับ:
    3
    คะแนน Trophy:
    18

    ในชมพูทวีป อันห่างไกล เนิ่นนานมาแล้วเคยมีเรื่องราวกล่าวขานอันแฝงเร้นอยู่ในทุกสรรพสิ่ง
    ว่าองค์ทวยเทพทั้งหลาย เป็นผู้ปกครองอยู่เหนือดินแดนของภพภูมิมนุษย์ ในแง่มุมหนึ่ง มนุษย์นั้นไม่ต่างอะไรกับของเล่นแห่งทวยเทพ และในอีกแง่มุมหนึ่ง ทวยเทพนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับปีศาจผู้โหดร้าย หากไม่ดำรงไว้ซึ่งความถูกต้องดีงาม ให้ผู้คนบนภพภูมิมนุษย์ ได้สักการะนับถือบูชา และสืบทอดเส้นทางแห่งความถูกต้องบนโลกใบนี้ เพื่อให้โลกนี้เดินทางสู่หนทางแห่งความดีงามสืบไป
    -----------------
    เขาตรีกูฏ
    บัดนั้น ร่างของลิงเผือกก็คลานร่วงกองลงไปวัดพื้นเชิงเขาตรีกูฏ ธนูที่ปักกลางอกของมันนั้นกำลังสำแดงเดชอาคม
    เม็ดเหงื่อผุดทั่วกาย แม้ไร้เลือด แต่มันกลับหายใจรวยระรินกว่าครั้งใด การดิ้นทุรนทุรายครั้งนี้ สำหรับมันแล้ว เข้าใกล้การดับสูญกว่าเหตุใดๆที่มันเคยเจอมาทุกสมรภูมิ ห้วงคำนึงของมัน กำลังรำลึกถึงเพื่อนร่วมทางและหนทางแห่งวาระสุดท้ายของมัน ที่กิ่งไม้นั้น ความหวังเดียวคือลูกกบิลปักษา ที่แอบมองอยู่นั้น
    เพียงชั่วแล่น ลิงเผือกจึงบริกรรมคาถา ให้มันส่งต่อไปบอกแก่สหายของตน ว่าอาจถึงคราวสิ้นลมแล้ว เพียงเป่าออกไป ลิงครึ่งนกตนนั้นก็คล้อยหลังและบินลับฟ้า มิวายที่ยังคงรำพันเพียงน้อย
    “องคต เอย องคต ข้าคงสิ้นแล้ว จงกลับไปหาองค์รามเถิด”
    พลัน เสียงมัจจุราชสองเท้า ก็เยื้องย่างสู่เบื้องหน้าให้มันได้เห็นตัวตนที่แท้จริงของผู้กำชัย
    พรานหนุ่มวัยฉกรรจ์ สูงใหญ่คล้ายยักษ์จำแลง จ้องเขม็งด้วยแววตาเพชฌฆาต พร้อมคันศรสามัญในมือ เหน็บขลุ่ยและพร้าไว้ข้างกาย ตามตัวหากไม่จ้องด้วยตาทิพย์ จะไม่ปรากฏรอยสักอาคมรอบกาย และอำพรางร่างด้วยผ้าคลุมหนังสัตว์อีกทีหนึ่ง หากจะกล่าวด้วยสาย ตาของสามัญชน คือพรานป่าทั่วไป ก็พอที่จะนิยามได้
    พรานนั้น ตวาดลั่นขวัญคลอนว่า
    “จงบอกมา เจ้าลิงเผือก เหตุอันใดเจ้าจึงมาลักพานางไปจากป่าตรีกูฏ”
    ทันใดนั้นหางลิงหมายจักฉวยจังหวะดิ้นหนี ฟาดไปยังคันศรและเหวี่ยงสะบัด หวังดึงความสนใจ แต่พรานป่าก็ตามไปเตะซ้ำจังหวะที่มันกำลังลุกหนีเข้ากลางลำตัว
    “ดิ้นรนอย่างนั้นเหรอ เจ้าจงอย่าได้หวังจะเจรจากับเราต่อไปเลย”
    สิ้นคำขาด นายพรานจึงประนมกร และคำสวดบริกรรมคาถาก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง มนต์ตราบท “ทันตฆาต” เมื่อนั้น บรรยากาศโดยรอบเขาตรีกูฏ ก็ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรุนแรงอีกครั้ง บัดนี้ อากาศ ที่ผู้คนหายใจนั้นได้ถูกเคลื่อนย้าย จากเคยอยู่ สู่เหือดหาย จากมีอยู่ สู่ความไม่มี และชัดเจนได้ขนาดมองเห็นด้วยตาเปล่า โดยจุดสูญกลางแห่งอาคมนั้น เกิดที่ศรอาคมกลางตัวที่ฝังปอดของเจ้าลิงเผือกหนึ่งแห่ง และรอบกายนายพราน อันค่อยแผ่รัศมีไพศาลออกไปเรื่อยๆ ตราบที่บริกรรมคาถานี้ สำหรับลิงเผือกตัวนี้แล้ว มันคือการต่อสู้ที่ไม่มีหนทางชนะที่สุด
    หากแต่ เสียงหนึ่งของอิสตรี มาคั่นการประหารครั้งนี้ไว้
    “หยุดก่อน ท่านนายพราน ขอเถิด ข้าไม่หมายให้ท่าน เอาชีวิตวานรตนนั้นเลย…” สิ้นเสียงนั้น นางกลับมีอาการทุรนทุรายไม่ต่างจากลิงเผือก ที่ถูกชิงอากาศออกไป เพราะรัศมีแห่งอาคมได้แผ่ไปสู่นาง ทำให้นางหมดสติทั้งยืน ล้มลงทันใด เมื่อท่าทีเป็นเช่นนั้นนายพรานจึงจำต้องหยุดมือ จากนั้นจึงคว้าพร้าข้างกาย ปักตรึงเข้าสู่มือของลิงเผือกที่กำลังทุรนทุรายตนนั้น และบอกต่อมันว่า
    “ทวยเทพคงต้องการให้ข้าระงับการจองเวรโดยแท้ เอาล่ะ แม้เจ้าไม่พูดถึงเหตุด้วยตนเอง แต่ข้าก็มีวิธีจะสอบสวนเจ้าได้ จ้องมองมาที่ตาข้า และตอบคำถามให้สิ้นสงสัยเสีย หนุมาน”
    ดวงตาของพรานคล้ายจะปรากฏแววของสัตว์ป่า เปล่งประกายสีเขียว พร้อมกับแสงสว่างจ้า ก่อนที่ลิงเผือกตนนั้น จึงสิ้นสติลง
    //////////////
    “นาง….”
    “แม่นาง….”
    “แม่นาง….” สิ้นเสียงนั้น หญิงสาวก็ถูกปลุกจากความฝัน เบื้องหน้า มีเพียงลิงเผือก ที่สูงเพียงจ้อย กำลังเรียกปลุกตนอยู่ นางได้ลุกขึ้นมาด้วยอาการวิงเวียงบางอย่าง และเริ่มที่จะทบทวนบางอย่างก่อนหน้านั้น และเอ่ยปากขึ้นมาว่า
    “เจ้า เจ้าคือลิงเผือก แปลกถิ่นพลัดฝูง ที่เราเจอตอนนี่เราร้องเพลงอยู่ในป่ากับหมู่นกตัวนั้นนี่” นางพยามท้าวความจากความทรงจำอันเลือนราง
    “ใช่จ้า…” ลิงเผือกรับคำ พร้อมตนมือดีใจตามประสาวานร
    “ตอนนั้น เจ้าทำให้เหล่าสัตว์แตกตื่น และล่อลวงเราว่ามีผลไม้งามอยู่อยากให้เราไปชิมจึงพรากเราไปจากบรรดามิตรสหายในป่า จากนั้น ท่านนายพรานก็ปรากฏตัว เจ้าเป็นใครกันแน่ แล้วเจ้าชื่ออะไรหรือ ทำไมมีพลังเยอะจัง” แปลกที่ น้ำเสียงของเธอนั้นกลับแฝงความตื่นเต้นใคร่รู้ทีเดียว
    “ข้าไม่พูดปดต่อเจ้านะ นี่ไงผลไม้ แล้วเจ้าค่อยๆถามข้าได้หรือไม่ ข้าไม่ชอบตอบหลายๆคำถามพร้อมกันนะ” ลิงเผือก หันกลับไปหยิบยื่นผลไม้ลูกหนึ่งให้นาง แม้นางจะไม่รู้ว่าเป็นผลอะไร แต่ก็ไม่ได้สนใจจะถามต่อ เพราะในขณะหันหลังกลับนั้นเอง นางก็เห็นรอยปูดบนศีรษะเจ้าลิงคล้ายลูกมะกอกบนหัว ก็นึกขำไม่ได้ จึงไม่สนใจต่อผลไม้ลูกนั้นเท่าใดนัก พลางเมื่อเห็นลิงเผือกโลดเต้น พร้อมกับอยู่ไม่สุขนั้นนางจึงพูดว่า
    “ก็ได้ๆ ข้าค่อยถามก็ได้ เจ้าชื่ออะไร ลิงเผือกจอมซน” พลาง ในรอยยิ้มนางนั้นคงจัดว่า บริสุทธิ์ อันดับหนึ่ง และงดงามอันดับสองของภพมนุษย์แห่งนี้โดยแท้ เมื่อลิงขาวเห็นแล้วจึงหวั่นใจ ไปบ้าง ก่อนตอบกลับ
    “หะ หนุมาน” มันตอบ พร้อมไปยืนบังหลังต้นไม้ป่า ก่อนปีนเล่น และห้อยโหน นางรู้สึกผ่อนคลายลงบ้าง จึงได้ตอบกลับไป
    “เจ้าคือ หนุมาน หรือ อันตัวเราคือ….” พลันความคิดของนางได้ชะงัก นางพยามทบทวนตัวเองอีกครั้งว่าคือใคร แต่จู่ๆ ความคิดนั้นก็เป็นอันล้มเลิกไป เมื่อเสียงของพรานป่า ได้แทรกแซงความเงียบนั้น
    “เจ้าไม่ต้องคิดมากขนาดนั้นก็ได้นะ หฤทัย” ดูเหมือนนายพราน จะได้ตอบคำถามแก่เจ้าลิงเผือกนั้นแทนแล้ว แม้ตัวนางเองจะรู้สึกผิดแปลกไม่คุ้นเคยไปบ้าง กับนามนั้น พรางรับสิ่งหนึ่งไว้ในมือที่พรานยื่นให้
    “น้ำจากธารเบื้องหน้านั้นเย็นจับใจนัก เจ้าจักลองไปสัมผัสดูไหม” สิ้นคำนั้น นัยน์ตาเด็กสาวเปิดกว้าง เบิกบาน และวิ่งไปยังเสียงธารน้ำนั้นด้วยสัญชาติญาณชาวป่าคอยนำทาง
    //////////////////////////
    เบื้องหน้าของพรานหนุ่ม คือเด็กสาวที่กำลังรื่นเริงกับธารน้ำใสเย็นและเหล่าปลาน้อยที่กระโดดหยอกล้อราวกับมิตรสหายเก่าแก่ เด็กสาววัย 14 ฝนในสายตาสามัญชน ผู้ไร้เดียงสาและพิษภัย ร่างกายอันบอบบางและงดงามราวงานศิลปะจากช่างฝีมือภพสวรรค์ มีเหตุอันใดกันที่แม่ทัพเลื่องชื่อแห่งองค์รามต้องลักพาเธอมาด้วย ข้างกายพรานหนุ่มนั้น วานรเผือกกำลังสงบนิ่งกว่าที่ควรเป็นเพียงวานรสามัญ มันคงรู้ว่าการกระทำแบบนี้ คงไม่มีทางเลือกอื่นใดนัก นอกจากทำตามที่ได้เคยรับมั่นสัญญากับพรานหนุ่มไว้
    “ดูก่อน บุตรพระพาย ท่านเห็นควรหรือไม่ ที่สาวรุ่นผู้นี้จะเป็นตัวแปรแห่งสงคราม” พรานหนุ่มหยั่งเชิงถาม
    “อันว่าตัวตนของ ท่าน และ เธอนั้น ล้วนเป็นสิ่งสังเคราะห์ ข้าเองก็ลังเลนัก ที่จะปฏิบัติต่อพวกท่านในฐานะ มนุษย์คนหนึ่งก็ดี หรือ ประหนึ่งเครื่องใช้ก็ดี แต่หากกล่าวในฐานะสิ่งมีชีวิตด้วยกันแล้ว พวกท่านต่างเหมือนมนุษย์มาก ไม่สิ อาจจะไม่ผิดจากตัวข้าเท่าใดนัก ที่เกิดมาภายใต้โชคชะตาแห่งมหาสงคราม เพื่อการหนึ่งใด” ลิงเผือกนั้นเริ่มอธิบาย ขาดคำ พรานหนุ่มจึงแทรกขึ้นมาว่า
    “เพื่อการนั้นแล้ว เจ้าจึงลังเลระหว่างหนทางสู่ชัยขององค์ราม กับหนทางสู่การเป็นสิ่งมีชีวิตที่ยืนอยู่ข้างคุณธรรมใช่หรือไม่”
    สายตาของพรานหนุ่มนั้น ขึงขังจริงจังขึ้นมาอีกครั้ง หากวิสัชนานี้ไม่ถูกใจ ก็ไม่อาจทราบได้ว่าสิ่งใดจะรออยู่นอกเหนือจากคมพร้าได้อีก
    “จงตอบมาว่า ในฐานะสรรพสัตว์ตนหนึ่งแล้ว เจ้าลังเล ใช่หรือไม่ที่จะลักพานางในครั้งก่อน?”
    ใช่แล้ว ในฐานะของทหารแห่งองค์ราม ซึ่งกำลังเผชิญการรบกับทัพของท้าวทศกัณฑ์นั้น ภารกิจนี้ ต่อให้ฝืนใจทำเพียงใด ก็ไม่ควรลังเลเลย เพื่อพี่น้องวานรอันเป็นที่รักที่ได้ล้มตายลงไปจากการรบที่ผ่านมา แต่การกระทำต่ออิสตรีไร้ทางสู้เช่นนี้นั้น แม้เป็นนักรักมากเมียเพียงใด วานรเผือกเองก็ทำใจไม่ได้เช่นกัน ในการรับภารกิจ ”สังหารทันใดที่พบ” จาก องคต บุตรแห่งพาลี หลังจากที่ได้ล่วงรู้ความลับนั้นแล้ว
    บัดนี้ แม้หนุมานเองก็ยังคงรู้สึกลังเลต่อคำถามนั้นเช่นกัน ถึงสิ่งที่ถูกและผิด จึงได้เบนสายตาออกไป และกล่าวต่อพรานว่า “แม้เข่นฆ่ายักษ์พาลมานับพันหมื่น ข้าเองก็ไม่เห็นด้วยกับการกระทำอันรุนแรงต่อผู้บริสุทธิ์”
    “แล้วเจ้าต้องการหรือปรารถนาสิ่งใด” พรานหนุ่มเอ่ยปากถามอีกครั้ง
    “ให้นางจงตระหนักในโชคชะตา และยอมรับมัน” ลิงเผือกกล่าว
    “จงจำไว้ลิงเผือก หากเจ้าปรารถนาสิ่งนั้น จงดำเนินตามวิถีทางที่ข้าวางไว้ มิเช่นนั้น ข้าจะทำตามประสงค์ของตนเอง” ดูเหมือนพรานหนุ่มจะเข้าใจในคำตอบนั้น แม้ไม่ได้พอใจนัก ก่อนกล่าวต่อไปว่า
    “ข้านั้นไม่ได้ใส่ใจถึงผลการรบขององค์ราม ไม่ว่าอย่างไร และถึงแม้พรจากเทพองค์ใดอันพาท่านไปเพื่อบรรลุจุดหมายได้นั้น เมื่ออยู่เบื้องหน้าข้าแล้วก็อย่าได้คิดว่าจะเป็นไปตามนั้น ข้าหาใช่มิตร หรือศัตรูต่อท่าน แต่ข้าคือมิตรแท้แห่งนางผู้นั้น ดังนั้นแล้ว ชะตากรรมที่นางปรารถนา จะเป็นสิ่งที่ข้ายินยอมให้บังเกิดขึ้น จงจำไว้ ทหารแห่งองค์ราม”
    จากนั้นแล้ว นางหฤทัย จึงได้โบกมือให้แก่พรานป่า และลิงเผือก ภายใต้แสงอาทิตย์อันอบอุ่น
    ///////////////////
    ครานั้นในพงป่า เขาตรีกูฏ เสียง สกุณาคลอเสียงเสภาบรรเลงกล่าวชมความงามของดอกไม้ และความอบอุ่นจากดวงตะวันของเด็กสาว ได้ทำให้ป่าแห่งนี้ เปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา ก่อนที่หนุมานนั้น จะล่อลวงด้วยผลไม้ป่า และลักพาเธอไปด้วยอุบายและคำลวงที่มันคุ้นเคย ในขณะที่ทุกอย่างดูราบรื่น เพียงย่างสามก้าว และเด็กสาวในอ้อมอกนั้น หนุมานกลับย่างกรายออกจากป่าสู่กรุงลงกาไม่ได้ดั่งใจนึก ค่ายกลในป่านี้ทำงานด้วยคำสั่งของใครบางคน
    พรานป่านั้นเอง ผุ้ได้เฝ้าดูเหตุการณ์มาโดยตลอด และแผลงศรเพียงสามดอก ก็ปิดฉากผู้ลักพาได้ ศรหนึ่งนั้นคือธนูเหล็กกล้ารวดเร็วแม่นยำตามกำลังอาวุธ เสียบอกทะลุหัวใจ โดยไม่แตะเนื้อนางกลับไม่อาจหยุดกายลิงเผือกขณะโดดล้อเล่นลมได้ ศรสองนั้นฤทธิ์อาคมร้ายรองเพียงหอกโมกศักดิ์ ของอินทรชิต พญาวานร จึงปลิดชายผ้าถุงนางพันรอบปลายศรก่อนถึงกาย ทำได้เพียงลดทอนพิศร้ายศรแผลงเหลือเพียงส่วนหนึ่งจากสิบ แต่ศรที่สามนั้น ทำให้มันสะท้านเมื่อมันกระชากเอาพระพายในกายออกจากร่างจนสิ้น เพียงพริบตาที่ปล่อยนางนั้นหลุดมือกลางหาว ร่างของหฤทัย ก็พิงกายแนบพรานหนุ่มผู้เหาะเหินอากาศนั้น ง่ายดายราวกับลูกนกโผบินสู่รังนอน
    ด้วยเหตุนี้ หนุมานจึงตระหนักว่า มันคงมิใช่ผู้เหนือกว่าด้านกำลังอีกต่อไป และจะเป็นภัยยิ่งหากพรานคนนี้ เป็นศัตรูกับองค์ราม
    ///////////////////
    “ท่านจะเข้าขัดขวางองค์รามหรือไม่” หนุมานเอ่ยปากถาม
    “ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเธอคนนั้น เอาล่ะ จงดำเนินการตามประสงค์ของเจ้าซะ ข้าจะขอร่วมทางไปด้วยจนถึงที่สุด” พรานหนุ่มตอบคำถามนั้น ก่อนจะนำอาภรณ์มาสวมใส่ให้กับสาวน้อยที่เปียกปอนจากน้ำ
    ///////////////////
    บัดนี้เรือนกายของสาวน้อย ถูกตกแต่งด้วยเสื้อผ้าของชนชั้นสูงอันมีสไบสูงค่า เครื่องประดับชุดทองคำ และอัญมณีซึ่งเธอไม่คุ้นเคยนัก จากเพียงสไบบางๆที่เคยแนบกาย และแทบจะนุ่งลมห่มฟ้า เสื้อผ้าชุดใหม่ที่เธอได้รับจากพราน ทำให้เธอดูเหมือนสาวชาววังมากๆ แววตาของพรานป่าที่มองเธออย่างเอ็นดู ทำให้หนุมานนั้นเข้าใจแล้วว่า การกระทำของพรานป่านั้น ไม่ใช่ทำด้วยอารมณ์ชู้สาวชั่ววูบ แต่มันคือการกระทำที่คล้ายกับเรื่องของบิดา ได้เลี้ยงดู ธิดามากกว่า
    “ท่านนายพราน เสื้อผ้าเหล่านี้ ท่านได้แต่ใดมา” สาวน้อยนั้น อดกลั้นความดีใจกับประสบการณ์ใหม่ไม่ได้ จึงถามอออกมาเช่นนั้น
    “กระท่อมหลังหนึ่ง ฟากที่เจ้าตื่นขึ้นมานั่นแหละ”
    “จริงหรือ ทำไมข้าไม่คุ้นเคยเลยว่า ที่ตรีกูฏ มีกระท่อมสามัญชนด้วยล่ะ ธารน้ำนี้ก็เช่นกัน”
    “ที่แห่งนี้ไม่ใช่ตรีกูฏ หฤทัย เราอยู่ห่างจากมันมาก” พรานตอบออกไปอย่างเรียบง่าย
    “คุณพระ!! เช่นนั้นท่านหมายความว่า การเดินทางครั้งนี้ เป็นการออกเดินทางตามที่รับปากเราไว้สินะ ว่าหากเราโตเป็นสาวแรกรุ่นแล้ว จะพาเราชมโลกกว้างน่ะ”
    ในขณะที่เธอกำลังดีใจอยู่นั้น พรานป่าเงียบงันไปเพียงชั่วครู่ ก่อนตอบกลับว่า
    “อาจเป็นเช่นนั้น หฤทัย การเดินทางนี้ จะเป็นการเดินทางของเธอโดยแท้จริง”
    ///////////////////
    “นี่ท่านพราน เหตุใดเราจึงมายังกระท่อมแห่งนี้เหรอ เสื้อผ้านั้น ข้าไม่ได้ต้องการเอาอะไรกลับไปมากกว่านี้หรอกนะ มันเป็นทรัพย์ของเจ้าบ้านเขา”
    “เจ้าคิดว่าเจ้าบ้านของกระท่อมหลังนี้เป็นอย่างไรบ้าง หฤทัย” พรานป่าถามกับเด็กสาว
    เธอจ้องมองบรรยากาศในบ้านเพียงครู่ ก็พลันรู้สึกได้ถึงชีวิตความเป็นอยู่อันเรียบง่าย สิ่งต่างๆถูกจัดวางไว้แค่เพียงจำเป็นและเหมาะสม ในกระท่อมหลังนั้น แม้เครื่องใช้หลายๆอย่างจะบอกได้ว่ามีพรานคนหนึ่ง เคยอาศัยอยู่ที่นี่ แต่ที่แห่งนี้ กลับเจือด้วยกลิ่นจางๆบางอย่างที่ชวนโหยหาของสตรีนางหนึ่ง แม้หฤทัย จะไม่รู้ว่ามันคือกลิ่นอะไร แต่เธอกลับรู้สึกผูกพันกับมัน เมือเธอละสายตาออกไปมองนอกชานนั้น เธอกลับรู้สึกเหมือนถูกดึงดูดด้วยบางอย่าง บางอย่างอันรุนแรงด้วยความทรงจำ ของคนที่เคยอยู่ ณ ที่นั้น ตรงนั้น เธอจึงเดินออกไป และความทรงจำบางอย่าง ก็เอ่อล้นออกมา
    ///////////////////
    เสียงกรีดร้อง คำสาปแช่ง พรานคนหนึ่งกำลังขับไล่ผู้หญิงคนหนึ่งออกจากกระท่อมหลังนี้ รอยเลือดที่สาดกระเซ็นบนพื้น ยังติดตาและค่อยๆจางลง ภาพสตรีนางหนึ่งที่ติดใจในความงามของกวางทอง จึงให้สองพรานออกติดตามออกมาในป่าลึก ก่อนที่ภาพทั้งหลายนั้น จะกลับคืนสู่ปัจจุบันอีกครั้ง พร้อมเสียงหวีดร้องของนางที่ดังขึ้นพร้อมเงาของยักษ์ตนหนึ่งที่ฉายมายังกระท่อมแห่งนี้
    หฤทัย นั้นได้ตระหนกกับภาพต่างๆที่ปรากฏ ก่อนที่จะเข้าใจกระจ่างแล้วว่า การเดินทางที่แท้จริง ได้เริ่มต้นแล้ว สายตาของนายพรานนั้น ช่างดูจะเจ็บปวด และเข้าใจกับสิ่งที่เธอเห็น สิ่งที่เธอคิด โดยไม่ต้องพูดอะไรอีก สำหรับ หฤทัย นั้น ผูกพันกับพรานป่ากว่าใคร เพราะเขาคือมนุษย์เพียงหนึ่งเดียวในเขาตรีกูฏ การเดินทางครั้งนี้ คงจะเต็มไปด้วยความเจ็บปวดจากการรับรู้สิ่งที่ไม่เข้าใจเช่นนี้อีกแน่แท้ เช่นเดียวกับลิงน้อยหนุมาน ที่บัดนี้ได้จำแลงกายเป็นลิงยักษ์ ที่น้อมรอเวลาจากนายพราน ด้วยท่าทีที่ดูสงบนิ่งกว่าเคน
    “เราไปกันเถิด ท่านพราน ยังจุดหมายต่อไป ที่ท่านต้องการจะบอกนำทางแก่เรา” หฤทัย บอกอย่างเรียบเสียง แต่แฝงความโศกเศร้าไว้ภายใน
    ///////////////////
    บนท้องฟ้านั้น คือสถานที่อันเป็นอิสระแห่งมวลปักษาในปัจจุบันกาล แต่ครั้งหนึ่ง เหล่าผู้มีฤทธิ์อันได้รับพรจากเทวะบนชั้นสวรรค์นั้น ก็สามารถเหาะเหินดั่งใจได้เช่นกันกับเหล่านก บัดนี้ หนุมานนั้น ได้เหาะ โดยพาทั้งพรานป่า และนางหฤทัย ที่นั่งทัดบ่าไปด้วย
    “ท่านพราน ข้ามีบางสิ่งอยากถามต่อท่าน ท่านคือใครกันแน่” ความเคลือบแคลงใจนั้น ทำให้หนุมานไม่อาจสะกดมันลงได้ “ท่านเก่งกล้าราวกับเป็นทหารเอกแห่งลงกา แต่ท่าทีท่านนั้น บางคราวก็รุ่มร้อนผ่านโลก คล้ายพาลี บางคราวก็สงบนิ่งผ่านโลก คล้ายพิเภก บางทีแววตาท่านนั้น ก็อาทรเฉกเช่นองค์พระลักษณ์ และมีอาคมอันแก่กล้ากว่าอินทรชิต ท่านมีองค์ประกอบหลายอย่างที่ทำให้ข้าไม่อาจเชื่อได้ว่าเป็นเพียงพรานป่าธรรมดาสามัญเร้นกาย” สิ้นเสียงนั้น พรานจึงเอ่ยตอบ
    “เรียกเราว่า พรานสัจจะ เถิด ข้าเป็นเพียงพราน พรานแห่งเขาตรีกูฏ” พลันนั้น พรานสัจจะ จึงหยิบขลุ่ยข้างกายมาบรรเลงทำนองแห่งการเดินทาง หฤทัยนั้น อดที่จะร้องคลอทำนองเพลงตามขลุ่ยพลิ้วมิได้ เพื่อคลายความเศร้าหมองจากภาพความทรงจำอันน่าหวาดหวั่นที่หน้ากระท่อมเมื่อครู่
    ในห้วงคำนึงของหนุมานจึงคิดว่า “หากล่าช้ากว่านี้ ทัพขององค์รามจะเป็นเช่นไรต่อไป”
    ใต้เสียงขลุ่ยบรรเลงนั้น พรานสัจจะกล่าวในห้วงคำนึงของหนุมานว่า “อันสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ระหว่างพวกเรานั้น การให้ หฤทัยได้รับรู้ในทุกสิ่ง สำคัญที่สุด”
    หนุมานจึงได้รู้ว่า พรานสัจจะเอง ก็ไม่ได้อยากให้หนุมาน เอ่ยทุกสิ่งเบื้องหน้าของ หฤทัย เท่าใดนัก
    จึงได้ถามขึ้นว่า “ท่านตั้งใจจะให้นางหฤทัย ตระเวนไปทุกที่อันเกิดร่องรอยแห่งสงคราม ใช่หรือไม่”
    แม้ไม่มีเสียงตอบ แต่ความหมายของการเดินทางครั้งนี้ ทั้งสาม ก็ตระหนักแก่ใจตน
    “ท่านรู้ปลายทางอันนำไปสู่ความชอบธรรมของสงคราม เหตุใดเล่าจึงขัดขวาง หัวใจอันบริสุทธิ์ของนางนั้น จริงอยู่ คงเป็นบาปมหันต์ หากเราจะพราก แต่เพื่อความชอบธรรมแล้ว มันจำเป็นต้องมีผู้เสียสละ” หนุมานนั้น ตวาดลั่นในหัว
    พรานสัจจะ จึงตอบโต้ว่า “หากเจ้าพรากผู้บริสุทธิ์แล้ว มลทินทั้งปวง ย่อมตกแก่เจ้าเองก็รู้แก่ใจมิใช่หรือหนุมาน อันความชอบธรรมนั้น จักไม่บังเกิดภายใต้คมดาบศัตรูหรอก ตราบใดไม่ดับต้นตอของกิเลส สงครามจะไม่มีวันสิ้นสุด เจ้าเองก็คงเข้าใจข้อนี้ถ่องแท้ไม่ใช่หรือ หนุมาน” เงียบงันเพียงชั่วครู่ พรานสัจจะจึงเอ่ยต่อว่า
    “จดจำแววตาของเหล่ายักษ์ที่เจ้าสังหาร และแววตามิตรสหายวานรในสงครามได้หรือไม่ หนุมาน ภาพเหล่านั้น ติดตาเจ้าหรือไม่ ภาพแห่งความแค้นเคืองจากการถูกพรากชีวิต ในสงครามที่ตนเองไม่ได้ก่อเหล่านั้น ยังจำจดในคะนึงของเจ้าหรือไม่ หากจะสลายความแค้นได้ สิ่งแรกคือการสำนึกในบาปที่กระทำ เข้าใจมันและดำเนินชีวิตในครรลองนั้นต่อไป หาใช่การปลิดชีวิตไม่”
    หนุมาน เริ่มโต้เถียง “สงครามยังดำเนิน พี่น้องของข้ากำลังล้มตายเพิ่มพูน ข้าคงช้าไม่ได้ จงไปสู่นครลงกา กันเถิด โปรดเชื่อในองค์ราม ท่านจะให้ความชอบธรรมเอง”
    “ชีวิตเจ้าเองก็อยู่ในกำมือข้า มีสิทธิ์ใดมาต่อรองเจ้าวานร เจ้าก็เห็นจากการที่นางสำมนักขา โดนเฉือนเสียรูปลักษณ์นั้น ออกจะโหดร้าย เกินเลยเกินไปในการตัดสินใจของผู้ควรเป็นกษัตริย์แห่งกรุงอโยธยา เช่นนั้น เราควรไว้ใจอย่างหน้ามืดตามัวอย่างนั้นหรือ?” พรานสัจจะโต้ตอบ
    “ฟังก่อน พรานสัจจะ ข้าเพียงวานรเผือก ด้อยปัญญานักสิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเข้าใจคือ ท่านปรารถนาสิ่งใดในการเดินทางนี้กันแน่ การทำตามปรารถนาของแม่นางนั้น เป็นสิ่งเกินเลยเกินไป สำหรับหน้าที่ของบุรุษ ที่พึงมีต่อสตรีหรือไม่ และท่านประสงค์ที่จะขัดขืนลิขิตสวรรค์งั้นหรือ”
    พรานสัจจะนั้น ตอบด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “ลิงเผือกเอ๋ยลิงเผือก เจ้าเองก็ปรารถนาความชอบธรรมที่คนอื่นหยิบยื่นกระนั้นหรือ ในแง่มุมของสงครามแล้ว ต่างก็แสวงหาความชอบธรรมใส่ตนทั้งนั้นแหละ แม้เหตุผลแห่งสงครามครั้งนี้นั้น เนื้อแท้จะดูเหมือนว่าจะเริ่มจากการแก่งแย่งอิสตรี แต่ทั้งยักษ์ และวานรที่เดินทางมาร่วมทัพนั้น ล้วนบริสุทธิ์ สงครามถูกขับเคลื่อนด้วยองค์ราม และท้าว ทศกัณฐ์ ที่ดึงดูดเลือดเนื้อของคนทั้งหลายมาด้วยกัน แต่ลึกๆลงไปแล้ว คือการแสดงอำนาจอันมองไม่เห็นของเทวะที่เขียนบทลงมาแต่แรกแล้ว ว่ายักษ์จะพ่ายแพ้แก่มนุษย์นั่นเอง ดังนั้น ข้าจะเคารพอำนาจอันไม่ชอบธรรมได้อย่างไร เมื่อภพภูมิสวรรค์นั้น ลำเอียง” ท้ายที่สุด พรานสัจจะนั้น จึงลั่นวาจาในสำนึกของหนุมานว่า “ข้าจะเชื่อในการตัดสินใจของนางเพียงเท่านั้น ชะตากรรมก็ไม่อาจมาขวางข้าได้”
    --------------หากหมายฝืนลิขิตโชคชะตาของนาง ก็จงประลองกำลังกับเราเถิด สัจจะ----------------

    ห้วงเวลาของการเดินทางนั้น เริ่มปรากฏร่องรอยการเดินทางต่างๆของพระราม จู่ๆการโคจรของเวลาเหล่านั้นก็ถูกเร่งรุดเร็วขึ้น และฉาดฉายเข้ามาในเบื้องทั้งสาม เบื้องหน้านั้นเกิดแสงสว่างจ้าขึ้น พรานสัจจะนั้นได้รับรู้ว่ามีใครบางคน เข้ามาเร่งและแทรกแซงการเดินทางครั้งนี้เสียแล้ว ภาพการรบราฆ่าฟันขององค์ราม กับกองทัพและบรรดาญาติของยักษ์ อันหลั่งไหลเข้ามาในคำนึงของทั้งสามนั้นรุนแรงมาก จนทำให้นาง หฤทัยนั้น กรีดร้องและกุมขมับขึ้นมา
    “ท่านพราน โปรดช่วยช้าด้วย ภาพสงครามได้เข้ามาในหัวและกำลังทำร้ายข้า” เบื้องหน้าในสายตาพรานสัจจะนั้น ปรากฏชัดเจนเป็นอวตารรูปหนึ่งแห่งองค์นารายณ์ปางเทพได้เรืองรองบนฟ้า บัดนี้ ศรของพรานสัจจะได้ถูกน้าวอีกครั้ง และไม่ลังเลที่จะปล่อย
    “ท่านพราน อย่า…” หนุมานได้กู่ร้องขอชีวิต จากนั้น รอยยิ้มขององค์นารายณ์ ได้ปรากฏบนฟ้านั้นได้หายไปพร้อมแสงสว่างจ้า มีเพียงร่างอันแน่นิ่งของลูกกบิลปักษา อันหวนรังนอนชายป่าเขาตรีกูฏตัวนั้น ที่หนุมานเคยฝากข่าวไปสู่องคต สิ้นลมร่วงพื้นสู่ดิน หากให้คาดการณ์อาเพศนี้ คงเป็นอำนาจจากภพภูมิสวรรค์ที่ต้องการปั่นหัวกับพรานสัจจะเป็นแน่
    “หนุมานเอย เห็นทีเราจำเป็นต้องสิ้นสุดการเดินทางเสียแล้ว เมื่อข้าแผลงศรออกไป ก็เท่ากับต้องอุบายพ่ายแพ้แก่เทพแล้ว เจ้าจงเร่งรุดไปนครลงกาเถิด การเดินทางตามรอยแห่งสงครามนั้น ไม่จำเป็นเสียแล้ว แต่จงอย่าลำพองใจไป แม้อาคมข้าจะอ่อนแรงลงด้วยบาป แต่ก็มากพอจะปลิดชีพเจ้าได้….”
    ///////////////////
    อีกครั้งที่หฤทัยลืมตาตื่นใกล้กองฟืนที่พรานสัจจะ เตรียมไว้ค้างแรม ใกล้กับทางถมทะเลสู่เมืองลงกานั้น
    นางได้ตระหนักถึงความฝันอันได้เข้ามาสู่ร่าง สงครามอันเกิดจากการชิงคนรัก ทำให้นางเรียบเรียงความคิดในหัวไปพลาง ขณะที่ดื่มน้ำจากกระบอกที่พรานสัจจะหยิบยื่นให้ ข้างกายนั้นเอง หนุมานก็มาเฝ้าดูอาการของนางด้วย
    “ข้าเข้าใจถึงเหตุแห่งสงครามแล้ว ท่านพรานสัจจะ ท่านหนุมาน” หฤทัยได้หันไปพูดกับทั้งสอง
    “เหตุแห่งสงครามนี้ เกิดจากความหลง ทางอันใดเล่า จะหยุดสงครามนี้ได้โดยไม่เสียเนื้อเลือด ท่านสัจจะ หากตัวเราแทนที่นางสีดาได้ จะพอมีทางยุติหรือไม่ เพราะข้าเองนั้น มีบางสิ่งที่จะบอกต่อท่านจ้าวนครลงกา ข้ามั่นใจว่า ข้าจะบอกแก่เขาได้”
    “หฤทัยเอย แม้ปรารถนาเจ้าจะแรงกล้านัก แต่ต่อให้ทศกัณฑ์จะชอบลิ้มรสอิสตรีทั้งสามโลกเพียงใด มันก็จะไม่ยอมทำสองสิ่งคือ รับเจ้าเป็นเมีย หรือปล่อยสีดาไป จงเชื่อข้าเถิด” พรานสัจจะได้บอกแก่หญิงสาวที่ตระหนกตรงหน้า
    “หนุมานเอย เจ้าจงตระหนักให้มั่นไว้ หาใช่ทุกคนอยากให้สงครามจบลงโดยการสิ้นชีพของจ้าวนครลงกาไม่ แม้จักเลวร้ายเพียงใด ก็คือหนึ่งชีวิตเท่ากัน” ในแววตาของหนุมานนั้น ก็ได้เข้าใจในเรื่องนี้เช่นกัน
    หฤทัย นั้นยังคงหวาดหวั่นต่อเรื่องราวที่ปรากฏ เธอจึงกล่าวต่อไปว่า “แล้วจะมีทางใดหยุดสงคราม และความปรารถนาแห่งจ้าวนครลงกาได้อีกเล่า หากสงครามยังดำเนินต่อไป กี่ชีวิตจะจบสิ้นอย่างไร้ความหมาย”
    พรานสัจจะจึงกล่าวต่อไปว่า “หฤทัยเอย หากสงครามจบลงโดยทัพของทศกัณฑ์ นั้นกำชัยเจ้าจะเห็นว่าเป็นอย่างไร ทศกัณฑ์นั้นอาจนับเป็นจ้าวนครที่เข้มแข็งได้ และกุมอำนาจของทั้งสามภพในอุ้งมือ เจ้าคิดว่ามันไม่เป็นธรรมหรือที่ผู้ครองอำนาจเหนือใครนั้น สมควรเป็นใหญ่เหนือสามภพ”
    “หากอำนาจนั้นอยู่ในมือของจ้าวผู้ไร้ซึ่งทศพิธราชธรรมแล้ว เป็นไปไม่ได้เลยที่จะให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ใต้ปกครอง ท่านพรานสัจจะ ท่านมีวิธีให้ข้าได้ส่งความนี้ไปถึงท้าวทศกัณฑ์หรือไม่ ข้าเชื่อว่าอันสัตว์ประเสริฐนั้น ไม่มีผู้ใดสายเกินปรับตน”
    “ชะตาของท้าวทศกัณฑ์นั้นจะดับลงดั่งแสงเทียนต้องลม หากเจ้าตั้งมั่นจะส่งเจตนารมณ์ไปถึง” พรานสัจจะ พูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงด้วยความโศกเศร้า
    “เพราะเหตุใดกัน ท่านพรานสัจจะ เพราะเหตุใด” นางหฤทัย เริ่มเอ่อน้ำตาออกมา แต่พรานสัจจะไม่ตอบสิ่งใด ก่อนที่จะเดินไกลออกไปยังชายฝั่ง
    เมื่อนั้น หนุมานจึงได้บอกแก่นาง หฤทัยว่า “ฟังก่อนนางหฤทัย บนภพมนุษย์นั้น หาได้มีแต่สิ่งที่เหตุผล รองรับและเป็นไปตามกลไกของมันเพียงอย่างเดียวไม่ เพราะสัตว์ประเสริฐนั้น บางคราวมีอารมณ์อันแรงกล้า จึงได้บันดาลสิ่งที่เหนือกว่าเดียรัจฉานจะเสกสรรขึ้นมาได้เป็นอารยะธรรม และบางคราว อารมณ์นั้น ก็บันดาลความใคร่และริษยา จึงเกิดเป็นสงคราม เรานั้น ก็ไม่อยากให้เจ้าเข้ามาพัวพันสงครามและลำบากใจเช่นนี้หรอก หากเจ้าไม่เกี่ยวข้องกับมันโดยตรง ในฐานะสิ่งมีชีวิตภายใต้อาคม เฉกเช่นเดียวกับพรานสัจจะนั้น…” สีหน้าของหนุมานเปลี่ยนไป ราวกับมันรู้ว่าเผลอหลุดปากคำใดออกไป และอาจเป็นเคราะห์ดีก็ได้ที่พรานสัจจะนั้น เดินไกลออกไป มากพอที่จะไม่รู้ว่ามันได้เผลอตระบัตรสัตย์สัญญานั้นแล้ว
    “สิ่งมีชีวิตภายใต้อาคม นั้นคืออะไร หนุมาน เจ้ากำลังพูดถึงสิ่งใดกันแน่” สิ้นคำนั้น หนุมานจึงได้วิ่งหนีไปยังป่าใกล้ชายฝั่ง ไม่หันมาตอบคำถามใดๆ ทิ้งให้หฤทัยต้องไปหาพรานสัจจะอีกครั้งที่สะพานข้ามทะเล ภายใต้เงาสะท้อนแสงจันทร์ คลอเสียงคลื่นกระทบฝั่งซ้ำแล้วซ้ำเล่า
    “พรานสัจจะ ตลอดชีวิตในป่าที่เขาตรีกูฏนั้น ท่านไม่เคยตอบข้าสองเรื่อง ชีวิตข้านั้นคือสิ่งใด เหตุใดจึงไม่ต้องพึ่งพิงอาหารปานอิ่มทิพย์ และชีวิตของข้า เกิดมาเพื่อสิ่งใดท่านจะตอบคำถามเหล่านี้แก่เราได้หรือไม่” หฤทัย ถามนายพรานสัจจะที่กำลังหันหลังมองทางทอดยาวไปยังเมืองลงกา
    “คงไม่จำเป็นอีกแล้ว หฤทัย คำตอบเหล่านี้เจ้าจะเผชิญมันในวันรุ่งเอง” พรานสัจจะ ได้ตอบด้วยน้ำเสียงคลอเศร้าอีกครั้ง “และวันพรุ่งนี้ การเดินทางของเราจะสิ้นสุด ด้วยปรารถนาของเจ้าเอง” พรานสัจจะนั้นหันหน้ากลับมาคุยกับเธอ “จงจำไว้ หฤทัย หากเจ้าปรารถนาจะมีชีวิตอยู่ ไม่ว่าใครก็จะพรากชีวิตไปจากเจ้าไม่ได้ แม้อาคมเราจะเสื่อมถอยจากการฆ่าผู้บริสุทธิ์อันเป็นบาปมหันต์ แต่เราขอใช้แรงการแรงใจทั้งหมด ปกป้องเจ้าจากลิขิตแห่งองค์เทพ หากเจ้ามีปราถนาในตน คำมั่นของข้า หนักแน่นกว่าหินที่ถมทะเลนี้ ข้าให้สัจสัญญาว่าจะปกป้องเจ้า และหลีกหนี้ชะตากรรมอันโหดร้ายที่ถูกเขียนขึ้น ข้าให้สัญญา”
    สิ้นคำนั้น ร่างของสาวน้อยก็โผกอดพรานหนุ่ม พร้อมร้องไห้ด้วยความรู้สึกอันเอ่อล้นบางอย่าง กับคำตอบที่นางได้รู้อยู่แก่ใจ ความทรงจำอันโหดร้ายจากแสงขององค์นารายณ์นั้น กำลังบั่นทอนจิตใจนาง
    “สัจจะ ข้ากลัวเหลือเกิน ข้าควรทำอย่างไรดี แท้จริงข้าคือใครกันแน่” น้ำตาของ หฤทัยเอ่อล่น แต่พรานสัจจะนั้น ทำได้เพียงรับฟังมันอย่างเดียวดาย คลอเสียงคลื่นที่สาดกระทบซ้ำไปมา
    ///////////////////
    ปราการแห่งกรุงลงกา ด้วยสงครามอันโหดร้าย ทำให้ทั้งทหารวานร และยักษ์ ได้ล้มตายเป็นจำนวนมาก หน้าด่านของเมืองลงกาที่ถูกปิดล้อมมานาน ทำให้เกิดวิกฤติทั้งเสบียงอาหาร และโรคระบาดจากสงครามสงครามครั้งนี้หากเนิ่นนานต่อไป ทั้งสองฝ่ายจะมีแต่สูญเสีย หมายถึง อาจสิ้นทั้งกองทัพขององค์ราม และทุกชีวิตในกรุงลงกาก็เป็นได้ และวันนี้ ทั้งสองฝ่ายก็เตรียมตั้งป้อมประจัญบานกันอีกครั้ง ก่อนกลองรบจะลั่นบรรเลงนั้น หนุมาน ก็ได้เหาะลงมากลางเวหาปรากฏกายท่ามกลางสมรภูมิและได้หาวออกมาทำให้สมรภูมินั้นปรากฏสะเก็ดอุกาบาตนับสิบสิบลูก ฟาดลงมายังสนามรบ ทำให้ทั้งสองฝ่ายต้องปรามทัพ เพื่อรอดูท่าที ทั้งท้าวทศกัณฑ์ และองค์รามต่างจับจ้องไปยังกลางกลุ่มควันนั้น
    บนมือหนุมาน มีหฤทัย ที่ยืนอยู่และทอดสายตาไปยังท้าวทศกัณฑ์ บัดนี้ คำตอบทั้งสองอย่างที่เธอเพียรถามพรานสัจจะได้กระจ่างในใจตนแล้ว
    “เข้าใจเหตุผลของการถือกำเนิดตนแล้วใช่หรือไม่ หฤทัย” คำพูดของพรานสัจจะนั้น เรียบง่าย แต่กระจ่างทันที เมื่อเธอได้มองเห็นท้าวทศกัณฑ์เบื้องหน้า ยามเมื่อร่างกายได้พบกับหัวใจตนนั้น ต่างเรียกร้องเข้าหากัน
    บัดนี้ แววตาของนาง หฤทัย เริ่มฉายแววตาของเผ่ายักษ์ออกมา
    “ตัวฉัน คือหัวใจแห่งทศกัณฑ์”
    ////////////////////
    ในอดีตนั้น สมัยที่ทศกัณฑ์ยังฝากตนเป็นศิษย์ของฤๅษีโคบุตรนั้น ท่านได้สอนวิชาถอดดวงใจแก่ทศกัณฑ์เพื่อมีชีวิตเป็นอมตะ เป็นวิชาสุดท้ายก่อนที่ท่านจะออกปฏิบัติแสวงธรรมเพื่อหลุดพ้น โดยวิชานี้ จำเป็นจะต้องฝากนิสัยบางอย่างของตนเอาไว้พร้อมกับดวงใจที่คว้านออกมาด้วย แล้วเอาไปฝากไว้ที่เขาตรีกูฏ ตามคำแนะนำของพระฤาษีโคบุตร ด้วยบ้านเมืองกำลังอยู่ระหว่างสงครามนั้น ทำให้ทศกัณฑ์ เลือกที่จะฝากความดีงามทั้งปวง ที่คิดจะทำนุบำรุงบ้านเมือง และศิลปวัฒนธรรมอันดี ด้วยเขาตรีกูฏเป็นดินแดนบำเพ็ญเพียรอันเปี่ยมด้วยพรแห่งทวยเทพ ในเวลาไม่นานนัก ดวงใจของทศกัณฑ์ จึงถือกำเนิดเนรมิตกายเป็นสตรีนิรนามแห่งเขาตรีกูฏ และใช้ชีวิตอย่างสงบ
    เพื่อที่จะเป็นยักษ์ผู้ไร้หัวใจ เพื่อปกครองดินแดนด้วยความโหดร้ายรุนแรงและน่าหวาดกลัว แม้จะเคยปรารถนาว่า วันหนึ่งในอนาคต คงไม่จำเป็นต้องถอดดวงใจแล้ว จะมาถึง แต่เมื่อถึงวันนั้น ทศกัณฑ์ ก็สู้ความเย้ายวนแห่งกิเลสไม่ได้
    ด้วยบาปที่ครองบ้านเมืองโดยบกพร่องต่อทศพิธราชธรรม ทำให้ทุกหย่อมหญ้าเดือดร้อนทั้งสามภพ บัดนี้ ความเป็นไปทั้งหมดบนภพมนุษย์ ได้เผชิญอยู่ตรงหน้าของนางหฤทัยแล้ว
    ////////////////////
    “เจ้ามั่นใจแล้วใช่หรือไม่ หฤทัย กับเส้นทางที่เจ้าเลือกเผชิญ”
    แม้ไม่มีคำตอบใดออกจากปาก แต่พรานสัจจะ ก็เข้าใจในความหมายของความเงียบงันนี้
    บนโลกที่เราไม่อาจล่วงรู้ว่าวันตาย จะมาถึงเมื่อไหร่ หฤทัยนั้น ได้ใช้ความหมายของการมีชีวิตของตน เพื่อจรรโลงให้ภพภูมิมนุษย์ ได้หยัดยืนไว้ซึ่งคุณธรรมของผู้มีอำนาจ คุณธรรมของสัตว์ประเสริฐ เธอคงแบกเอารู้สึกเสียใจอย่างมากเอาไว้ หากไม่พัวพันกับสงครามครั้งนี้ ก็ไม่มีทางที่ลำพังตัวทศกัณฑ์จะพ่ายแพ้แก่องค์รามเลย เธอคงเป็นเพียงกล่องดวงใจที่ถูกลืม และใช้ชีวิตอันบริสุทธิ์ต่อไปเพียงเท่านั้น
    “พระอาจารย์โคบุตร ข้าขอบคุณที่ท่านดูแลข้ามาโดยตลอด และให้ข้าได้เลือกทางเดินของตนเอง ศรของท่าน คงไม่ต้องแปดเปื้อนอีกแล้ว ขอให้ท่านบำเพ็ญเพียรเถิด โปรดรักษาตัวด้วย ศิษย์เขลาโฉดขออำลา และอภัยต่อท่านด้วยชีวิต” หฤทัย กล่าวอำลาแก่นามที่แท้จริงของพรานสัจจะ ที่คอยเคียงข้างเธอมาโดยตลอด ความปรารถนาอันถูกเก็บซ่อนในดวงใจ คงปรากฏรูปลักษณ์เช่นนั้นเมื่อยามดวงใจได้เนรมิต ร่างออกมา
    “ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ ศิษย์รัก”
    ///////////////////
    จากนั้น สนามรบอันคลุ้งด้วยกลุ่มควัน กลับจางลง อุ้งมือของหนุมานย้อมเลือดแดงฉานในมือ คำถามมากมายที่ไม่สามารถหาคำตอบได้ในสงครามนั้น ช่างชวนกังขาเสียจริง เลือดเนื้อผู้บริสุทธิ์นั้น สมควรจะ ฉะโลมดินจริงหรือ
    คุณธรรมคือสิ่งใด ใครกันขีดเขียนดีเลวให้เรื่องราวบนภพภูมิมนุษย์ ความดีงามนั้น คือทรัพย์อันประเมินค่ามิได้ของสัตว์ประเสริฐใช่หรือไม่ เรื่องราวเหล่านี้ ราวดั่งเป็นเม็ดทรายบนพื้นดิน ที่แม้ไม่ถูกคลื่นซัด ก็ต้องลมจางหายไปในซักวัน
    หากมนุษย์ยังคงเก็บมันไว้ในใจ เสียงเพลงในป่านั้น จะกลับมาดังทุกครั้งที่นึก

    ====================================
    คุยกันท้ายเรื่อง
    ====================================
    เรื่องสั้น [กระบี่_มารฟ้า_ดาบฆาตรกร] เป็นนวนิยายแนวทดลองของผม โดยตอน[การตัดสินใจ]นี้
    ทำการดัดแปลงจาก รามเกียรติ์ ตอนหนุมานชูกล่องดวงใจ
    โดยแอบเจือความเป็นกำลังภายในและทรรศนะต่อสงครามไว้นิดหน่อย
    หากได้อ่านแล้ว ก็ขอฝากทุกท่านติชมด้วยนะครับ ขอบคุณครับ
  2. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    ก่อนอื่นอยากขอให้ช่วยเว้นบรรทัดหน่อยได้มั้ยน่ะครับ พอดีตัวหนังสือค่อนข้างเล็กแถมอยู่ติดกันแน่นแบบนั้นผมอ่านไม่ค่อยไหวน่ะฮะ >_<"

Share This Page