เด็กสาวจอมเวทย์มาโดกะ Characters Physics and Buddhism

กระทู้จากหมวด 'ดูหนัง ฟังเพลง อนิเม การ์ตูน' โดย A.K.Thathap, 3 กรกฎาคม 2012.

  1. A.K.Thathap

    A.K.Thathap Active Member

    EXP:
    128
    ถูกใจที่ได้รับ:
    36
    คะแนน Trophy:
    28
    โหดร้าย...

    คิวเบย์ คือภูติสีขาวน่ากอดตาสีแดงตนหนึ่ง (คิวเบย์น่ากอดหรือเปล่าไม่รู้ แต่คนพากย์คิวเบย์น่ากอดมาก)
    ซึ่งตามหาเด็กสาววัยประมาณผู้เยาว์ในแต่ละยุคสมัย เพื่อทำพันธสัญญาและมอบพลังให้ในฐานะจอมเวทย์

    จุดเริ่มต้นของลางร้ายจึงค่อยๆปรากฏขึ้น

    จอมเวทย์คนแรกที่ทำพันธสัญญากับคิวเบย์คือ มามิ โทโมเอะ
    โดยเธอประสบอุบัติเหตุจนบาดเจ็บสาหัส และทำได้เพียงใช้เวลาที่เหลือรอความตาย
    ระหว่างนั้นเองที่คิวเบย์ได้ปรากฏตัวขึ้นและมอบชีวิต มอบความหวังให้เธอสู้ต่อไป...
    สิ่งใดก็ตามในโลกนี้ล้วนมีลักษณะน่าเศร้าหม่นหมองเสมอ รวมทั้งความหวังเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้นเช่นกัน

    ความหวังคือสิ่งที่สะท้อนใจคน สะท้อนจิตใจที่พร้อม หรือสะท้อนจิตใจที่มีปมปัญหา
    โชคร้ายที่สำหรับมามิแล้ว ดูเหมือนเธอจะเข้ากรณีอย่างหลัง
    ความหวังทำให้เธอแสดงความอ่อนแอในจิตใจออกมา และความอ่อนแอนั้นก็ถูกเก็บเกี่ยวไป
    สุดท้ายเรื่องราวของเธอก็ไม่ได้จบลงอย่างมีความสุขในที่สุด

    จอมเวทย์คนถัดมาที่ถูกคิวเบย์เลือกคือ มิกิ ซายากะ
    ซายากะเป็นคนที่เห็นตรง ถ้าว่ากันตามหลักจักรราศีแล้วเธอน่าจะเกิดราศีตุลย์ (จริงๆเธอเกิดก่อนราศีตุลย์ 3 วัน)
    เพราะจิตใจของเธอเหมือนตาชั่ง แกว่งไปแกว่งมาหาสมดุลของตัวเอง
    โดยปกติซายากะจะเป็นคนน่ารัก มีจิตใจดีงาม และชอบช่วยเหลือคนอื่น
    อย่างไรก็ตามในบางเวลาที่เธอยึดถือความถูกต้องมากเกินไป
    สิ่งเหล่านั้นจะกลับกลายเป็นจุดอ่อนที่ถ่วงความสมดุลของเธอ
    ซายากะไม่ถูกชะตากับโฮมูระ เกลียดชังเคียวโกะ แถมยังพาลใส่มาโดกะ
    ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่าเธอติดกับดักความรู้สึกชอบธรรมของตัวเอง
    จนกลายเป็นคนที่ไม่เข้าใจคนอื่นอย่างน่าเศร้า

    ธรรมชาติของความจริงบางอย่างจะทำให้ความจริงอีกอย่างเลือนลางลง
    สีแดงคือหยดเลือด สีแดงคือแววตากระต่าย ความจริงธรรมดา

    ทั้งหมดนี้คือมัชฌิมาปฏิปทา หรือทางที่เหมาะสมอย่างแท้จริงนั่นเอง

    -----------------------------------------------------------------------------------------------

    คิวเบย์ (Kyubey) ไม่สิ...อินคิวเบเตอร์ (Incubater)
    เป็นภูติที่ดูไม่มีหัวใจไปบ้างในบางครั้ง อาจจะเพราะภาพลักษณ์ภายนอกที่เมินเฉยต่อความทุกข์
    เฝ้ามองความเจ็บปวด หรือดูมาโดกะอาบน้ำ ฯลฯ อย่างไร้ความรู้สึก

    คราวนี้จะมาพูดถึงเรื่องของอินคิวเบเตอร์กับเอนทัลปีกันครับ

    เอนทัลปี (Enthalpy) คือความร้อนที่ถูกดูดเข้าหรือคายออกจากปฏิกิริยา
    ยกตัวอย่างเช่นเครื่องคอมที่อยู่เบื้องหน้าทุกคนตอนนี้ (โทรศัพท์ แท็บเล็ต หรืออะไรก็ได้ตามแต่ศรัทธา)
    โดยอุปกรณ์ดังกล่าวเป็นสิ่งที่เมื่อใช้ไปนานๆจะเกิดความร้อนที่สูญเปล่าขึ้น
    ความร้อนนี้เองที่เป็นส่วนหนึ่งในนิยามของเอนทัลปี

    จากที่พูดไปทั้งหมด จักรวาลก็ดำเนินไปในลักษณะคล้ายๆกัน ทุกๆวินาทีที่จักรวาลดำรงอยู่จะเกิดเอนทัลปีขึ้น
    อินคิวเบเตอร์จึงต้องหาพลังบางอย่างมาชะลอภาวะนี้ โดยในที่สุดอินคิวเบเตอร์ก็ได้รู้จักกับมนุษย์
    และค้นพบเอนทัลปีภายในจิตใจของคนเราในที่สุด

    หากทุกๆสิ่งที่ดำรงอยู่มีเอนทัลปี ทุกๆชีวิตที่ดำรงอยู่ก็มีความทุกข์
    จึงอาจกล่าวได้ว่าความทุกข์คือเอนทัลปีรูปแบบหนึ่งภายในสิ่งมีชีวิตที่มีความรู้สึก
    อินคิวเบเตอร์พบว่าเอนทัลปีจากความรู้สึกนี้ สามารถนำไปใช้ชะลอเอนทัลปีในระบบของจักรวาลได้
    ตัวอย่างที่ชัดเจนคือการที่เมล็ดพันธุ์วิปโยคหรือกรีฟซีด (Grief Seed)
    สามารถใช้ชะลอเอนทัลปีภายในมณีวิญญาณ (Soul Gem) ให้บริสุทธิ์ได้เช่นกันนั่นเอง

    เรื่องของเอนทัลปี สามารถอธิบายผ่านสมการทางคณิตศาตร์ ตามกฏข้อที่หนึ่งของเทอร์โมไดนามิกซ์ได้ดังนี้

    H = E+PV (H = เอนทัลปี, E = พลังงานภายใน, P = ความดัน, V = ปริมาตร)
    สมการนี้แสดงให้เห็นว่าเมื่อเอนทัลปีเพิ่มขึ้น พลังงานภายในจะเพิ่มขึ้นรวมทั้งปริมาตรก็จะเปลี่ยนแปลงด้วย
    ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของปริมาตรนี้ ย่อมหมายถึงสสารต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงสถานะ
    สมการนี้จึงพิสูจน์ให้เห็นว่าเอนทัลปีมีความสำคัญมากกับการเปลี่ยนสถานะของสสาร
    อย่างเช่นน้ำที่อยู่ในรูปแบบของเหลว เมื่อเอนทัลปีมากขึ้นถึงจุดหนึ่งก็จะเปลี่ยนสถานะไป
    จิตใจในรูปแบบของมนุษย์ เมื่อเอนทัลปีมากขึ้นถึงจุดหนึ่งก็จะเปลี่ยนแปลงเช่นกัน
    รวมทั้งเรื่องการเปลี่ยนแปลงของโซลเจม ก็สามารถอธิบายได้ด้วยหลักการเดียวกันนี้ครับ

    กฏข้อที่หนึ่งของเทอร์โมไดนามิกซ์สรุปใจความได้ว่าพลังงานไม่อาจถูกสร้างใหม่หรือถูกทำลายไป
    แต่ทำได้เพียง "เปลี่ยนรูปแบบ" เท่านั้น

    -----------------------------------------------------------------------------------------------

    เด็กสาวจอมเวทย์ผู้ควบคุมกาลเวลา อาเกมิ โฮมูระ
    มีคนเคยพูดเอาไว้ว่าบางครั้งคนเราก็ไม่ควรพูดทุกสิ่งที่ตัวเองคิด เพราะมันไม่จำเป็น แถมยังจะทำให้วุ่นวายซะเปล่าๆ
    โฮมูระเองก็คงจะมีความตั้งใจแบบนั้น เธอจึงเตรียมใจที่จะแบกรับสภาพความโดดเดี่ยว
    ก้าวเดินต่อไปอยู่ในโลกนี้ถึงแม้ไม่ง่าย ยอมถอยหลังซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อที่จะก้าวเดินต่อไปข้างหน้าแม้เพียงเล็กน้อย

    ทั้งหมดก็เพราะอยากอยู่ด้วยกัน...

    เอนโทรปี (Entropy) คือฟังก์ชั่นหนึ่งที่มีความสำคัญในกฏข้อที่สองของเทอร์โมไดนามิกซ์
    ก่อนอื่นอย่าสับสนคำๆนี้กับคำว่าเอนทัลปีที่พูดถึงมาแล้วนะครับ เอนโทรปีในที่นี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับความไม่เป็นระเบียบ
    โดยกระบวนการไม่ว่าจะเป็นทางกายภาพหรือทางเคมี จะมีการเปลี่ยนแปลงไป
    ในทิศทางที่เพิ่มความไม่เป็นระเบียบหรือลดความเป็นระเบียบเสมอ
    ความไม่เป็นระเบียบที่มากหรือน้อยนี้เอง ที่แสดงด้วยค่าเอนโทรปี

    กฏข้อที่สองของเทอร์โมไดนามิกซ์มีดำริไว้ว่า
    "เอนโทรปีของจักรวาลมีค่าเพิ่มมากขึ้นในกระบวนการที่เกิดขึ้นได้เอง "และมีค่าคงที่ในกระบวนการที่อยู่ในสภาวะสมดุล"
    ทุกสื่งเปลี่ยนผัน คืนวันพลาดเพี้ยน ไปแล้วทุกอย่าง

    ด้วยเหตุผลทั้งหมดที่กล่าวไป การเข้าไปยุ่งกับกาลเวลาอย่างที่โฮมูระทำนั้น
    จึงส่งผลให้เกิดสิ่งเลวร้ายและความผิดพลาดที่มีแต่จะไร้ระเบียบมากขึ้นเรื่อยๆนั่นเอง

    "เอนโทรปีในจักรวาลจะคงเดิม หรือเพิ่มขึ้นเท่านั้้น"
    อันที่จริงเมื่อสองพันห้าร้อยกว่าปีก่อน เรารู้จักกฏข้อนี้ว่าอนิจจังครับ...

    มาถึงตรงนี้ผมได้ลองเล่าเรื่องของมาโดกะ...ผ่านมาแทบจะทุกแง่ทุกมุมแล้ว
    ทั้งในแง่ของตัวละคร วิทยาศาสตร์ และศาสนา
    สำหรับอย่างหลังสุดนั้นผมได้ลองพูดถึงเรื่องของเอนทัลปีและเอนโทรปีเปรียบเทียบกับกฏไตรลักษณ์
    ซึ่งความทุกข์ก็คือเอนทัลปีของจิตใจ และจักรวาลเป็นอนิจจังตามกฏเกี่ยวกับเอนโทรปีที่มีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

    ไตรลักษณ์ข้อสุดท้ายที่เหลืออยู่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ท่านพุทธทาสเน้นย้ำให้ความสำคัญที่สุด
    มารู้ตัวอีกทีผมยังไม่ได้พูดถึงเลย...

    แน่นอนว่าผมกำลังหมายถึงการยึดมั่นถือมั่นในตัวตน "อนัตตา" นั่นเองครับ

    ในซีรี่ย์มาโดกะนั้น...มีการสื่อความหมายหนึ่งของอนัตตาในรูปแบบที่เข้าใจง่ายและชัดเจน
    โดยหากลองมองดูว่าในพลอตเรื่องที่โฮมูระย้อนเวลากลับมานั้น ก็เพื่อจะเปลี่ยนแปลงอนาคต
    มันทำให้เหตุการณ์เดิมไม่มีตัวตนอีกต่อไป เหมือนไม่เคยเกิดขึ้น
    และเมื่อเรื่องราวดำเนินไปในลักษณะซ้ำๆนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว ทุกสิ่งก็ยิ่งเข้าใจได้ไม่ยาก
    นอกจากนี้ซีรี่ย์มาโดกะยังอธิบายเสริมไว้ด้วยอีกว่า ถึงแม้เหตุการณ์เหล่านั้นจะไร้ตัวตนไป
    แต่ใช่ว่ามันจะหมดความเกี่ยวข้องไปจริงๆ เพราะมันจะยังคงมีผลกระทบกับชีวิตในปัจจุบันขณะอยู่

    เป็นวงจรวัฏสงสารแบบหนึ่ง ที่เห็นความไม่มีตัวตน...ความเหมือนไม่เคยเกิดขึ้น
    ของการเวียนว่ายแต่ละครั้งได้อย่างชัดเจนจริงๆ

    -----------------------------------------------------------------------------------------------

    เทศกาลพิพากษา (Walpurgis Night) คือฉากเปิดเรื่องรวมทั้งฉากไคลแมกซ์ประจำซีรี่ย์
    อันที่จริงเทศกาลนี้เป็นเทศกาลที่จัดขึ้นเพื่อต้อนรับการมาถึงของฤดูใบไม้ผลิในประเทศแถบยุโรป
    โดยจะมีการเต้นรำ หลายที่ก็มีการเล่นลูกไฟ เพื่อเฉลิมฉลองโอกาสที่จะได้เก็บเกี่ยวพืชพันธุ์
    ในฤดูกาลแห่งความอุดมสมบูรณ์ซึ่งเปี่ยมด้วยชีวิตนี้...

    สำหรับซีรี่ย์มาโดกะ...
    Walpurgis Night คือวันแห่งชะตากรรมซึ่งแม่มดที่แข็งแกร่งที่สุดจะปรากฏตัวขึ้น
    การมาถึงของแม่มดตนนี้ไม่ใช่เพื่อทำลายโลกโดยเจตนา แต่เป็นเพียงปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้นอย่างช่วยไม่ได้
    อย่างไรก็ตามเมล็ดพันธุ์ได้มีผู้หว่านเตรียมไว้พร้อมแล้ว รอเพียงเวลาเก็บเกี่ยวในเทศกาลเฉลิมฉลองดังกล่าวเท่านั้น...

    เทศกาลเก็บเกี่ยวอารมณ์มนุษย์

    ผู้ฟูมฟัก (Incubators/Kyubey) คือสิ่งที่เพาะเลี้ยงมนุษยชาติ
    และอยู่เบื้องหลังการพัฒนาอารยธรรมของคนเรามาจนถึงปัจจุบัน
    เนื่องจากจักรวาลต้องการพลังงานในการดำรงอยู่ทุกๆวินาที และผู้ฟูมฟักก็ค้นพบว่าเอนทัลปีในจิตใจของมนุษย์
    สามารถใช้ชดเชยเอนทัลปีของจักรวาลตามกฏที่มีอยู่ในทฤษฎีเทอร์โมไดนามิกซ์ได้
    ดังนั้นผู้ฟูมฟักจึงเดินทางมายังโลกมนุษย์ เพื่อมอบพรแก่เด็กสาวให้ความปรารถนาเป็นจริง

    การเก็บเกี่ยวจึงเริ่มต้น...

    "มนุษย์เคยคิดอะไรกับสัตว์ที่เลี้ยงไว้มั้ยล่ะ เธอรู้สึกอะไรบ้างมั้ยกับชีวิตที่มาอยู่ในจานของเธอ
    ถ้าเธอไม่ยอมรับความโหดร้ายแล้ว เธอจะเห็นโลกตามที่เป็นอยู่จริงๆได้ยังไง
    เพื่อเลี้ยงดูมนุษย์ ผู้ฟูมฟักจึงทำให้พวกเธอไม่ต้องถูกคัดเลือกตามธรรมชาติ
    ประชากรมนุษย์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว มนุษย์เริ่มรู้จักการใช้เหตุผล
    และเรียนรู้การอยู่รวมตัวกันเป็นสังคม ทั้งหมดก็เพราะพวกของฉันไม่ใช่เหรอ?

    ...แต่พวกฉันไม่เคยดูหมิ่นมนุษย์หรอกนะ
    พวกฉันยอมรับว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีปัญญา และพวกฉันก็ให้เกียรติและเกรงใจพวกเธอด้วย
    ความจริงแล้วพวกของฉันอยู่ร่วมกับเธอมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์
    เด็กสาวนับไม่ถ้วนทำพันธสัญญากับพวกฉัน และได้พรตามที่ต้องการไว้
    จากนั้นทุกสิ่งที่เหลืออยู่ก็มีเพียงความว่างเปล่า เพราะหายนะคือปลายทางของทุกความปรารถนา
    นั่นคือวัฏสงสารที่เด็กสาวจอมเวทย์ทุกคนสร้างมันขึ้น และยังคงหมุนเวียนอยู่มาจนถึงเดี๋ยวนี้
    แต่เด็กสาวจอมเวทย์เหล่านั้นก็มีไม่น้อยที่เปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์
    รวมถึงอภิวัฒน์อารยธรรมของมนุษย์ชาติให้ก้าวหน้าไปสู่ยุคใหม่ที่เหลือเชื่อ...

    ...พวกฉันไม่ได้หักหลังพวกเธอ ความปรารถนาของพวกเธอเองต่างหากล่ะที่หักหลังตัวเธอเอง
    ความต้องการจากความไม่รู้ ย่อมเป็นที่มาของความวิปโยค มันช่วยไม่ได้ที่ทุกอย่างจะต้องออกมาเลวร้าย
    หากพวกเธอมองว่านี่คือการหักหลัง ถ้าอย่างนั้นพวกเธอก็ไม่ควรขอพรตั้งแต่แรกสิ
    แต่ฉันไม่เคยโทษพวกเธอหรอกนะ ต้องขอบคุณน้ำตาจากอดีต เธอถึงได้มีชีวิตที่สดวกสบายและง่ายอย่างทุกวันนี้...

    ...ถ้าหากพวกฉันไม่มาที่นี่ มนุษย์คงยังอยู่กันในถ้ำแล้วล่ะ"

    ในศาสนาพุทธมีสำนวนพูดเล่นๆประโยคหนึ่งที่ว่า "จงฆ่าผู้เลี้ยงดูตัวเองเสีย"
    ท่านพุทธทาสเคยพูดถึงสำนวนดังกล่าวแบบไม่เล่นโวหารว่า "อย่ากรีดแผลตัวเอง"

    ดูซีรี่ย์มาโดกะแล้วทั้งสองประโยคเข้าใจไม่ยากเลยครับ...
    "การเป็นจอมเวทย์หมายถึงต้องทำร้ายจิตใจคนอื่นเท่าๆกับที่เคยช่วยไปสินะ..."
    "ความอ่อนโยนของเธอจะทำให้ต้องเจ็บปวดในภายหลัง..."
    "พลังที่สามารถสร้างจักรวาลใหม่และขณะเดียวกันก็สามารถทำลายจักรวาลนี้ลงได้เช่นกัน..."

    การกรีดแผลตัวเองนั้นมันเห็นได้ชัดว่าความเจ็บปวดจะต้องทำให้ทุกข์ใจแน่ๆ
    แต่เวลาที่แผลเริ่มหายดี คนเราก็คงมีจะความสุขเป็นธรรมดา
    เป็นตัวอย่างง่ายๆที่ท่านพุทธทาสยกมาชี้ให้เห็นว่าความสุขและความทุกข์เป็นของที่คู่กันอย่างชัดเจน

    การช่วยคนอื่น...อาจจะเป็นการทำร้ายคนอื่นเช่นกัน
    การแสดงความอ่อนโยน...อาจจะนำเรื่องเลวร้ายมาให้
    การมีความสุข...อาจจะทำให้มีความทุกข์

    แม้อาจจะไม่มีใครยืนยันได้ร้อยเปอร์เซ็นว่า อาจจะ...จะไม่เกิดขึ้น
    แต่มันก็อาจจะ...

    อย่างไรก็ตามหากยืนยันในคุณค่าของสิ่งที่ทำ ลองปล่อยให้อะไรมันผิดไปบ้าง
    อย่างที่แม่ของมาโดกะแนะนำก็น่าจะไม่เลว...

    มาถึงตรงนี้... เล่าเรื่องมาได้ใกล้ถึงจุดสิ้นสุดเข้าไปทุกขณะแล้ว ยังไม่ได้พูดถึงนางเอกของเรื่องเลย...

    คานาเมะ มาโดกะ เด็กสาวจิตใจอ่อนโยน ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่ไม่มีตัวตนไปแล้วซึ่งโฮมูระสร้างไว้
    ทำให้มีความสามารถแฝงอยู่ในตัวอย่างมหาศาล (รวมถึงมีเรื่องร้ายเกิดขึ้นรอบตัวอย่างผิืดปกติิ)
    เธอสามารถขอพรให้ความเป็นไปไม่ได้ทุกอย่างเป็นไปได้ จากความสามารถแฝงสุดหยั่งที่ว่านี้นั่นเอง

    ในที่สุด...มาโดกะก็ได้ตัดสินใจขอพรกับผู้ฟูมฟััก

    "ถ้ามีคนบอกว่าเป็นเรื่องโง่ที่จะมีความหวัง ฉันจะบอกปัดทุกครั้งไป
    จะให้บอกปัดไปเรื่อยๆก็ได้นะ"

    ให้ตนเองกลายเป็น "พระเจ้า"

    มาโดกะ...เทพธิดาซึ่งปลดปล่อยจอมเวทย์ทุกคน
    เธอปรากฏตัวต่อหน้าเด็กสาวจอมเวทย์ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต
    ทุกคนที่มณีวิญญาณอยู่ในภาวะปนเปื้อน...จากเอนทัลปีในจิตใจจนถึงขั้นวิกฤติ

    เธอทำให้มณีวิญญาณเหล่านั้นกลับบริสุทธิ์อีกครั้ง และมันก็หายไป...

    การที่มณีวิญญาณหายไปก็หมายความว่าวิญญาณของคนๆนั้นได้หายไปด้วย
    ซึ่งนั่นตรงกับนิยามของคำว่า "นิพพาน" นั่นเอง

    เป็นตอนจบของซีรี่ย์ที่สมบูรณ์แบบ...ที่สมบูรณ์แบบที่สุด

    สุดท้ายมาโดกะก็อยู่เหนือผู้ฟูมฟัก ด้วยการขอพรกับผู้ฟูมฟัก
    เธอยืนยันในคุณค่าของทุกสิ่ง ความตั้งใจในการขอพรนั้นมีความหมาย
    เพียงแต่ทุกคนต้องหายไปก่อนที่ความหวังที่สร้างขึ้น อาจจะทำให้เกิดความสิ้นหวังขึ้นมาเท่าๆกัน...

    ถ้ากระทู้นี้ซึ่งแอบเขียนต่อเนื่องมาตลอดหนึ่งเดือนเต็ม
    ทำให้หลายๆคนสนใจลองหาซีรี่ย์มาดูด้วยตัวเองได้...ผมคงจะดีใจมาก

    กระทู้นี้คงต้องบอกลาทุกคนไปก่อนแล้วล่ะครับ...

    พยายามต่อไป...

    ขอบคุณการหลุดพ้น ขอบคุณมาโดกะ
    ขอบคุณคนอ่านจ้า!
    หากทุกคนสนใจ มีฝรั่งเขียนบทวิเคราะห์เพิ่มเติมไว้้ที่นี่ด้วยครับ

Share This Page