Grand Gaia Online บทที่ 45 [ UPDATE ]

กระทู้จากหมวด 'Fiction' โดย Azemag, 10 ตุลาคม 2012.

  1. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    Grand Gaia Online 23 – We’re not Angels, but Demons




    เวลากลางคืนในเกมแกรนด์ไกอาออนไลน์เป็นช่วงที่คึกคักที่สุด ผู้เล่นหลายพันคนกลับมาที่เมืองเพื่อพักผ่อนหลังจากต่อสู้และผจญภัยมาตลอดทั้งวัน แต่เกมนี้ไม่จำเป็นต้องนอนหลับจริงๆจึงทำให้ภัตตาคารและร้านอาหารตลอดจนผับบาร์ทั้งหลายอัดแน่นไปด้วยลูกค้าตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ลับขอบฟ้าดีนัก ผู้เล่นสายพ่อครัวที่มีหัวการค้าได้จัดแจงเปิดร้านค้าริมทางกอบโกยกำไรเป็นล่ำเป็นสัน ผู้เล่นบางกลุ่มที่พักพอแล้วหรือเพิ่งจะล็อกอินจับกลุ่มออกไปผจญภัยรอบดึกเพิ่มอัตราความตื่นเต้นเร้าใจเพราะมอนสเตอร์แข็งแกร่งขึ้นในเวลากลางคืน แน่นอนว่าได้ค่าประสบการณ์มากกว่าเดิมและมีโอกาสได้แรร์ไอเท็มเพิ่มมากขึ้นจากเดิมด้วย

    แต่สำหรับสี่หนุ่มแคลนมัลดิโตเวลากลางคืนหมายถึงอาหารเย็นสุดอร่อยฝีมือแม่ครัวสาวเจ้าของร้านไนซ์ช็อป เอเซแนะนำให้เธอทำอาหารไปขายเหมือนพวกพ่อค้าคนอื่น แต่สาวน้อยในชุดเมดกระโปรงสั้นสีดำ สวมที่คาดผมหูแมว ตอบกลับมาว่าขอทำให้พวกพี่ๆกินก็พอแล้ว ขืนเปิดร้านขายจริงๆมีหวังต้องอยู่ในครัวตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงแน่ๆ

    พวกเขากลับมาจากเมืองบลูเพิร์ลหลังจากคลี่คลายความวุ่นวายหมดแล้ว ถึงต้องเป็นหนี้สินจำนวนสองล้านห้าแสนกิลแต่พวกเขาไม่เสียใจแม้แต่น้อย ต่อให้ได้เลือกได้อีกครั้งพวกเขาก็ยืนยันที่จะเลือกเส้นทางนี้ แต่ตอนนี้ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าอาหารสารพัดจานบนโต๊ะอีกแล้ว ทั้งสี่คนกินเหมือนกระเพาะอาหารมีสี่มิติกินเท่าไรก็ไม่อิ่มไม่พอจนแม่ครัวชักจะเหนื่อยนิดๆแล้ว

    เสียงเคาะประตูหน้าร้านดังขึ้น ทั้งสี่หยุดมือจากอาหารมองหน้ากันเพราะหน้าร้านก็ขึ้นป้ายว่าปิดแล้ว แล้วใครกันที่มาเคาะประตูตอนนี้

    “สงสัยพวกทวงหนี้จากเมืองท่ามั้ง อากิไปเปิดดิ๊” เอเซพูดเสร็จก็แย่งที่คีบสปาเก็ตตี้ไปจากมือเพื่อน

    “โวะ! เรื่องแน่ะ นายก็ไปเปิดเองเดะ” เขาแย่งที่คีบกลับไปอย่างรวดเร็ว

    เสียงเคาะประตูดังอีกสามครั้งแล้วก็เงียบไปแต่ก็ยังไม่มีใครยอมลุกไปเปิดประตูสักที จนไนซ์ต้องชะโงกหน้าออกมาดูเอง “ใครก็ได้ลุกไปเปิดประตูให้หน่อยค่ะ อาจจะมีเอ็นพีซีเอาของมาส่งน่ะ”

    “มีใครอยู่มั๊ย? เปิดประตูหน่อยค่ะ”

    เสียงหวานใสของหญิงสาวดังมาจากอีกฟากของประตู เป็นเสียงที่ทุกคนคุ้นเคยเป็นอย่างดีโดยเฉพาะเอเซ เขาลุกพรวดจนเก้าอี้หงายหลังฟาดพื้นเสียงดัง แต่พอจะเดินไปที่ประตูก็ถูกอากิรอสฉุดแขนไว้ เอเซหันมองเพื่อนตัวแสบฉีกยิ้มกว้างซึ่งเห็นแล้วกวนอารมณ์เป็นอย่างยิ่ง

    “แหมๆๆ ตะกี๊ยังขี้เกียจอยู่เลยเดี๋ยวเราไปเปิดเองละกัน”

    “ปล่อย!”

    “ไม่! คุณจะทิ้งดาวไม่ได้นะ ดาวไม่ยอม!”

    จู่ๆอากิรอสก็ตีบบทนางเอกแตกกระจุยกระจายเล่นเอากุห์ฟานสำลักชาแอปเปิ้ล ทากะนั่งเงียบๆยิ้มมุมปากคอยดูเรื่องสนุกๆที่กำลังจะเกิดขึ้น

    เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ประตูถูกเปิดออก มีผู้เล่นหญิงคนหนึ่งสวมเสื้อเชิ้ตสีชมพูและกระโปรงสีส้มอ่อนทับกระโปรงเลคกิ้งสวมเกราะไหล่ทำจากหนังสัตว์ยืนอยู่ใต้โคมไฟหน้าร้าน ท่าทางเหนื่อยล้าจากการเดินทาง ผมสีดำเสียทรงไปเล็กน้อย แต่เมื่อเธอเห็นเอเซที่มาเปิดประตูในสภาพที่มีอากิรอสกอดขาโดนลากมากับพื้นก็หลุดขำเสียงดัง

    “มิยูเข้ามาก่อนสิ” เอเซเปิดประตูกว้างขึ้นให้เธอเข้ามาในร้านแล้วปิดล็อกเหมือนเดิม

    ผู้เล่นหญิงที่ชื่อมิยูพยายามกลั้นหัวเราะ “เล่นอะไรกันอยู่คะเนี่ย?”

    “อากาศร้อนเชื้อบ้าเลยกำเริบน่ะ” เขาสะบัดขาหลุดจากเพื่อนจอมป่วนได้ในที่สุด “ท่าทางเหนื่อยๆนะ นี่คงวิ่งมาไกลล่ะสิ”

    “จากอีกฟากของเมืองน่ะค่ะ” เธอยิ้มตอบเขา สายตาของหนุ่มสาวส่งหากันโดยธรรมชาติของความห่วงใย

    อากิรอสจะแอบย่องออกห่างจากหนุ่มสาวคู่นี้แต่มิยูทักขึ้นก่อน

    “สวัสดีค่ะพี่อากิ”

    “จ๊ะ สวัสดีจ๊ะ” คนถูกทักยิ้มหน้าบาน

    “อ้าว! มิยู จะมาทำไมไม่บอกกันก่อนละ?”

    ไนซ์เห็นเพื่อนสาวก็รีบออกมาลากเธอเข้าไปในครัวทันที เสียงสองสาวพูดคุยสนุกสนานขณะทำครัว ชายหนุ่มทั้งสี่ไม่พูดไม่จาอะไรอีก รอให้ทั้งสองออกมานั่งพร้อมหน้าแล้วค่อยคุยทีเดียว ทุกคนรู้ได้โดยไม่ต้องคิดมากว่าทำไมมิยูถึงรีบร้อนมาที่ร้านนี้

    ทั้งสองสาวออกมาพร้อมกับสปาเก็ตตี้สูตรเผ็ดนรกที่ไนซ์เพิ่งคิดขึ้นมาใหม่ พอมิยูถามว่าเกิดอะไรขึ้นที่เมืองบลูเพิร์ล ทากะก็บอกว่ารอให้มื้อเย็นให้เสร็จก่อนแล้วค่อยเล่าทีเดียว บรรยากาศบนโต๊ะอาหารจึงดำเนินไปอย่างเงียบๆ อากิรอสหยอกกัดคนโน้นคนนี้บ้างแค่พอหอมปากหอมคอ

    ต่อจากอาหารจานหลักคือพุดดิ้งและชานมอุ่นๆ มีเรื่องเล่าที่เมืองบลูเพิร์ลเป็นนิทานบทยาวประกอบ ไนซ์นั่งฟังเงียบๆไม่แสดงความคิดเห็นใดๆในขณะที่มิยูหน้าซีดเผือด

    “แล้วพวกพี่จะทำยังไงต่อคะ?”

    ทากะเหลือบมองเอเซมอบหมายให้เขาเป็นคนตอบน่าจะดีกว่า

    “คงไม่ทำอะไรทั้งนั้น ทำตัวเหมือนเดิมเล่นเกมต่อไปในสไตล์ของพวกเรา ถึงจะลำบากเพราะของแพงขึ้นก็เถอะ แต่ตอนเล่นฟิโอออนไลน์ก็เกิดเรื่องทำนองนี้เหมือนกันนะ ตอนนั้นถูกประกาศเป็นอาชญากรโดนผู้เล่นทั้งเซิร์ฟเวอร์ไล่ฆ่าตั้งแต่เมืองตะวันออกไปยันเมืองตะวันตกเลยด้วยซ้ำ ถ้าเทียบกับตอนนั้นแล้วแค่นี้ยังชิลๆอยู่”

    อากิรอสนึกถึงเรื่องที่เอเซพูดแล้วก็ยิ้มกว้าง

    “นั่นสินะ มีครั้งหนึ่งพวกพี่กำลังซัดกับมังกรอย่างมันส์เลย จู่ๆมีคนโผล่มาตามล่าค่าหัวพวกพี่โดยไม่ได้ดูสถานการณ์สักนิด สุดท้ายโดนมังกรไล่ฆ่าตายยกกลุ่มแต่พวกพี่หนีมาได้หวุดหวิด พวกนั้นยิ่งโกรธพวกเรามากขึ้นอีกทีนี้ไล่ฆ่ากันทั้งวันทั้งคืนชนิดไม่ตายไม่เลิกราเลยละ”

    “สองล้านห้าแสนกิล...เทียบกับแปดล้านเหรียญทองในเกมฟิโอแล้วดูน้อยๆนะ”

    ทากะร่วมวงรำลึกอดีตด้วย ยิ่งเล่าเรื่องในอดีตทั้งสี่ก็เริ่มหัวเราะสนุกสนาน ยกเว้นมิยูที่ยังมีแววตาวิตกกังวลอยู่

    “ก็ยังลำบากอยู่ดีไม่ใช่เหรอ ได้ยินว่าแค่ค่าผ่านประตูเมืองก็ต้องจ่ายถึงหนึ่งพันกิลแล้ว ทำภารกิจได้ครั้งละห้าร้อยเองนะคะ ยังไงก็ไม่พอใช้หรอกค่ะ”

    เอเซถอนหายใจแต่เป็นการถอนหายใจพร้อมรอยยิ้มปลอบใจ ชี้ไปที่กุห์ฟาน

    “ได้เวลาให้ท่านเสนาธิการของทุกคนเฉลยแผนการเอาชีวิตรอดให้ฟังแล้วละ”

    “แผน? แผนเผินอะไร ไม่มีหรอกพี่”

    “คิดว่าพวกพี่รู้จักแกมากี่ปีกันแล้ววะ? พูดมาได้ว่าไม่มีแผน น่าจะเป็นไม่มีแค่แผนเดียวน่ะสิ”

    กุห์ฟานเลี่ยงไปยกแก้วชาขึ้นมาจิบ แต่พอเหลือบตาเห็นมิยูจ้องด้วยสายตาคาดคั้นคำตอบ นักล่าสมบัติผมแดงก็เผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่มุมปาก

    “ตอนนี้มีประกาศอย่างเป็นทางการแล้วว่าเกมนี้มีทั้งหมดสามทวีปหลัก การเคลียร์เกมในแต่ละทวีปมีรายละเอียดแตกต่างกันไป สำหรับทวีปแรกที่พวกเราอาศัยอยู่มีเงื่อนไขสองอย่าง หนึ่งคือสร้างทางรถไฟเชื่อมเมืองบลูเพิร์ลและเมืองไวท์พิลลา สองคือสำรวจพื้นที่ทั้งทวีป หลังจากนั้นจีเอ็มจะออกมาบอกเงื่อนไขสุดท้าย”

    “คำถามสำคัญคือพี่ๆคิดว่าผู้เล่นทุกคนในตอนนี้พร้อมจะเคลียร์เกมแล้วรึยัง?”

    เอเซบอกให้รุ่นน้องพูดต่อไป

    “ตอนนี้มีผู้เล่นกลุ่มเดียวเท่านั้นที่อยู่ในข่ายจะเคลียร์เกมได้เป็นแคลนไหนก็คงรู้กันดีอยู่แล้ว กลับกัน...ผู้เล่นทั่วไปซึ่งมีจำนวนมากกว่ายังมะงุมมะงาหรากันอยู่เลย ลำพังแค่เอาตัวเองให้รอดก็ลำบากแล้วไม่ต้องพูดถึงเรื่องเคลียร์เกมหรอก”

    “สิ่งที่ทำให้อีเวนต์เกิดขึ้นเร็วเกินไปก็เพราะ...แคลนเซเลสเทียลด้วยสินะ” อากิรอสพูดสรุป

    กุห์ฟานพยักหน้า “พวกนั้นสนใจแต่ภารกิจระดับสูงค่าตอบแทนงามๆ ไม่สนใจภารกิจรายทางทั่วไปที่ออกแบบมาให้ผู้เล่นตั้งตัวได้ พอทำแบบนั้นจะเกิดช่องว่างที่ถมไม่ได้ระหว่างผู้เล่นทั่วไปกับแคลนเซเลสเทียล เหมาะเจาะเข้าทางที่พวกเขาพูดว่าต้องการเป็นผู้นำหน้าเหนือคนอื่นนั่นหละ ที่ตอนนี้พวกเขามุ่งสะสมกำลังคนและทรัพย์สินเงินทองเพราะเชื่อว่าอาจจะต้องสู้กับจีเอ็ม...แต่ข่าวนี้ก็เป็นแค่ข่าวลือในเว็บบอร์ดเท่านั้นแหละ”

    “ตอนนี้ผู้เล่นมีตัวเลือกแค่สองทาง หนึ่งคือร่วมมือกับแคลนเซเลสเทียลเพื่อทำให้ตัวเองอยู่รอด สองคือดิ้นรนต่อสู้ด้วยกำลังของตัวเอง...ใช่ไหมละ?” ไนซ์ออกความเห็น

    “แล้วไนซ์คิดว่าผู้เล่นที่เก่งพอจะอยู่รอดด้วยตัวเองได้ในจำนวนคนเกือบหกหมื่นคนจะมีสักเท่าไร?”

    กุห์ฟานยิงคำถามสำคัญที่สุดออกมาจนได้

    ทากะพูดขึ้นมาช้าๆชัด “ทหารรับจ้าง...สินะ”

    “ถูกต้อง! ต่อไปนี้พวกเราทั้งสี่คนจะเป็นทหารรับจ้าง คอยช่วยให้ผู้เล่นระดับล่างผ่านภารกิจยากๆ หรืออย่างน้อยก็ให้พอเอาตัวรอดได้ พร้อมกันนั้นก็ถือโอกาสสำรวจพื้นที่ซึ่งเป็นเงื่อนไขการเคลียร์เกมไปในตัว และถ่วงดุลอำนาจไม่ให้เซเลสเทียลครอบงำและกลืนกินผู้เล่นไปมากกว่านี้จนผูกขาดทุกอย่างและกลายเป็นผู้ปกครองโลกแห่งนี้ไปโดยปริยาย”

    “ยิ่งใหญ่จัง ฟังแล้วเหมือนลูซิเฟอร์จะก่อกบฏกับพระเจ้าเลยนะคะเนี่ย” มิยูพูดติดตลก

    กบฏต่อพระเจ้า? พวกพี่ไม่ใช่อัครเทวดาซะหน่อย แต่เป็นปีศาจที่ถือกำเนิดจากนรกขุมลึกที่สุดมาตั้งแต่ต้นแล้วตะหาก” อากิรอสพูดแย้งทำให้เธอตะลึงไปเลย

    “ปีศาจ...นั่นสินะ ยังไงซะพวกเราก็เป็นคนเลวถ่อยเถื่อนในสายตาของแคลนนั้นอยู่แล้วนี่นา” เอเซหัวเราะหึหึในคำคอแบบตัวโกง

    “เข้าท่าๆ” ทากะลูบคางพลางคิดอะไรบางอย่าง “เรื่องคนจะมาจ้างคงไม่ต้องห่วงเพราะเน็ตเวิร์คสินะ”

    “ตามที่พี่ทากะว่านั่นแหละ ต่อให้ไม่มีเหตุการณ์ในวันนี้ผมก็จะเสนอแผนนี้ให้พวกพี่อยู่ดี คิดเผื่อไว้แล้วว่าเรื่องสนุกๆแบบนี้ยังไงพวกพี่ก็ไม่พลาดอยู่แล้ว เริ่มจากคนวงในเล็กๆที่มีอยู่ในเน็ตเวิร์คแล้วค่อยๆขยายไปด้วยวิธีปากต่อปากกลายเป็นเน็ตเวิร์ควงนอกอีกชั้นหนึ่ง”

    “ยุทธการป่าล้อมเมืองสินะ” เอเซเปรียบเทียบให้เห็นแผนการชัดขึ้น

    “ว้าว! นอกจากเป็นปีศาจแล้วยังเป็นคอมมิวนิสต์อีกด้วยนะเนี่ย”

    “ดูเหมือนทุกคนกำลังสนุกกันเต็มที่เลยนี่นา ไม่น่าเป็นห่วงเลย” มิยูถอนหายใจโล่งอกแต่ก็ในใจลึกๆก็ยังอดกังวลไม่ได้อยู่ดี

    “ขอบคุณนะที่เป็นห่วง”

    เอเซส่งยิ้มเล็กๆให้เธอ เธอตอบกลับด้วยรอยยิ้มเล็กๆเช่นกัน อากิรอสแกล้งเจ็บคอไอเสียงดังๆขัดจังหวะหวานชื่นของทั้งสองคนจนโดนไนซ์กระทุ้งศอกใส่โทษฐานขัดขวางการสานสัมพันธ์ของทั้งสองคน สุดท้ายเธอเลยลากตัวเขาไปช่วยงานในครัวซะเลย











    ยังเหลือเวลาอีกหลายชั่วโมงจะเที่ยงคืนซึ่งเป็นเวลาที่สมาชิกมัลดิโตทั้งสี่จะล็อกเอาท์เพราะครบเจ็ดชั่วโมงรวมถึงตัวมิยูเองด้วย หญิงสาวเลยถือโอกาสให้ทุกคนเล่าเรื่องราวการออกผจญภัยแบบฉายเดี่ยวของแต่ละคนให้ฟังหน่อย

    หลังจากเกี่ยงกันไปกันมาจนต้องจับไม้สั้นไม้ยาว ผู้โชคดีคนแรกคืออากิรอส คีฟ

    หน้าที่ของนักเวทผมเทาคือการตามหา ‘อังก์’ ไอเท็มสำหรับเข้าดันเจียน ‘สุสานที่สูญหาย’ ดันเจียนหลักของโซนทะเลทราย ดันเจียนแห่งนี้หากไม่มีอังก์ต่อให้พลิกทะเลทรายขึ้นมาก็หาทางเข้าดันเจียนไม่พบ และการตามหาอังก์ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกันเพราะต้องบุกเข้าไปถึงใจกลางทะเลทรายเช่นเดียวกับภารกิจตามหาดอกไม้เจ็ดสีของสมาคมพ่อค้าเมืองแบล็กแซนด์เพียงแต่ไปคนละทิศทางเท่านั้น

    พิกัดที่ระบุว่ามีมอนสเตอร์ที่ดรอปอังก์คือหุบเขาร้างทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองแบล็กแซนด์ และมอนสเตอร์ที่ดรอปไอเท็มที่ต้องการดันเป็น ‘กระบองเพชรซาโบเทนเดอร์’ มอนสเตอร์สุดหฤโหดที่เกมเมอร์สายอาร์พีจีรู้จักเป็นอย่างดี มันเป็นฝันร้ายของหลายคนหากไปเจอเข้าโดยไม่ได้เตรียมตัวสู้ให้พร้อม อาจถึงขั้นต้องโหลดเซฟเล่นใหม่ได้ง่ายๆด้วยท่าไม้ตาย ‘10,000 Needles’ และอากิรอสก็ต้องดวลเดี่ยวกับซาโบเทนเดอร์เป็นพันตัวเพราะอังก์เป็นแรร์ไอเท็ม มีโอกาสดรอปเพียงหนึ่งในพันยี่สิบสี่ชิ้น แถมซาโบเทนเดอร์เป็นมอนสเตอร์ที่ตายแล้วต้องรอเวลาเกิดใหม่ ถ้าไล่ฆ่าพวกมันจนหมดก็ต้องทนนั่งเหงาวาดรูปเล่นบนผืนทรายรอไปพลางๆ

    จวบจนวันที่สิบห้าของการล่ากระบองเพชร ฟ้าก็เมตตาประทานอังก์ให้อากิรอส คีฟไปเชยชมจนสมใจในสภาพใกล้ตายเพราะขาดน้ำอย่างรุนแรงจนเกือบจะถอนตัวกลับอยู่รอมร่อแล้ว แถมตอนจะกลับยังใช้เทเลพอร์ตคริสตัลไม่ได้เพราะเป็นพื้นที่ที่กำหนดห้ามใช้เลยต้องเดินฝ่าทะเลทรายย้อนกลับมาโดนฝูงหนอนทะเลทรายและนกยักษ์โผล่มาทักทายทุกๆสามกิโลเมตรด้วย

    “แหม! ทำไมไม่เจอผีเสื้อแบบตอนขาไปรอบแรกนะ” เอเซได้โอกาสก็เล่นงานจุดอ่อนเพื่อนจอมกวนทันที

    “โวะ! ไอ้คุณเอเซครับพูดจาได้เป็นมงคลมาก”

    “ไม่ต้องห่วงหรอกพี่ มันเป็นมอนสเตอร์พิเศษที่มีเฉพาะอีเวนต์ แต่ถ้าพี่อยากจะล่าผมก็หารังของพวกมันให้ได้นะ ดูเหมือนทางตะวันตกของทะเลทรายจะมีหุบเขาดอกไม้อยู่แน่ะรับรองว่าพี่จะได้ล่าจนเอียนเลย”

    “พอได้แล้ววววววว! พอ! ขอร้องเถอะ!” อากิรอสยกมือสองมือปิดหูหลับตาปี๋เพราะโดนเอเซประสานมือเป็นรูปผีเสื้อบินค่อยๆบินเข้าหา เสียงหัวเราะของสองสาวคือความทุกข์ขั้นสุดยอดของผู้ชายที่หวาดกลัวผีเสื้อยิ่งกว่าสิ่งใดในโลก

    “ทำไมพี่อากิกลัวผีเสื้อขนาดนั้นละคะ มันน่ารักดีออกขนาดนั้น” มิยูถามเพราะอยากรู้จริงๆแต่หารู้ไม่ว่าคำถามนั้นคือการราดน้ำเกลือซ้ำลงบนแผลชัดๆ

    “ไม่ๆๆ! ไม่ฟังไม่ตอบอะไรทั้งนั้น”

    นี่ถ้ามุดใต้โต๊ะได้นักเวทผมเทาคงทำไปแล้วแน่ๆ











    รายต่อไปที่ต้องออกมาเล่านิทานให้มิยูฟังคือกุห์ฟาน นักล่าสมบัติผมแดงบอกว่าภารกิจของเขาเป็นเรื่องง่ายๆแค่ฝ่าดันเจียนใต้ดินสิบชั้นตามหาห้องสมบัติ เลือกหีบสมบัติที่คิดว่าดีที่สุดสี่หีบจากทั้งหมดสิบหีบแล้วกลับขึ้นมา แต่มิยูไม่ยอมให้เขาเล่าแค่นั้นคะยั้นคะยอให้เล่ามากกว่านี้

    น้องเล็กสุดแห่งแคลนมัลดิโตบอกว่าอยากกินข้าวเกรียบทอดก่อน มิยูรีบวิ่งไปเข้าครัวและกลับมาพร้อมข้าวเกรียบจานใหญ่ทอดจนเหลืองส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลายแล้วนั่งรอให้เขาเริ่มต้นเล่า แต่กุห์ฟานยังไม่พอใจบอกว่าข้าวเกรียบกินเปล่าๆจืดชืดเกินไปต้องมีน้ำจิ้มเปรี้ยวหวานหรือไม่ก็น้ำสลัดกับผักสดเป็นเครื่องเคียงด้วย เธอเข้าครัวอีกสิบนาทีและออกมาพร้อมกับน้ำจิ้มทั้งสองอย่าง รอบที่สามกุห์ฟานบอกว่าชาใกล้จะหมดแล้วอยากได้น้ำชากาใหม่เลยโดนมิยูหยิกแขนเข้าให้จนได้

    “ถ้าไม่เล่าก็ไม่ต้องกินอะไรทั้งนั้นแหละ” เธอทำท่าจะยกจานข้าวเกรียบกลับเข้าห้องครัวจริงๆ กุห์ฟานเลยต้องเลิกเล่นตัวยอมเล่าให้ฟังแบบครบถ้วน

    ชั้นแรกของดันเจียนเป็นทางวงกตไม่ซับซ้อนมากและไม่มีมอนสเตอร์เลยสักตัว ทางลงชั้นต่อไปอยู่ที่ใจกลางของวงกต พอลงไปชั้นสองทางวงกตก็เพิ่มความซับซ้อนขึ้นไปอีก มีกับดักในบางตำแหน่งแต่ก็มีหีบสมบัติซ่อนอยู่ด้วยแต่ก็แค่พวกโพชั่นฟื้นพลังทั่วไป พอลงไปถึงชั้นสามทางวงกตเริ่มวกวนซับซ้อนมากขึ้น กับดักก็มากขึ้นแต่ยังไม่มีมอนสเตอร์โผล่มากวนใจอยู่ดี

    ตั้งแต่ชั้นสี่ถึงชั้นหกเริ่มมีศัตรูมาขวางทางและหนาแน่นมากขึ้นเรื่อยๆทุกระดับความลึก เป็นมอนสเตอร์เผ่าปีศาจในตระกูล ‘โฟลทติ้งอายส์’ หลากขนาดหลายสีสัน มอนสเตอร์พวกนี้มีอัตราหลบหลีกสูง พลังโจมตีต่ำแต่มักแถมสถานะผิดปกติมาให้ด้วย กุห์ฟานเปลืองยาป้องกันและยาแก้ไปค่อนข้างเยอะตั้งแต่ลงมาถึงชั้นสี่ ถ้าไม่เพราะขนยาเหล่านี้ลงมาเยอะๆมีหวังต้องถอนตัวตั้งแต่กลางทางชั้นที่ห้าแล้ว พอถึงชั้นที่หกมีกับดักปลอมที่ปลายทาง พอปลดมันทำให้กับดักที่ถูกปลดไปแล้วกลับมาแอคทีพใหม่และต้องย้อนกลับไปปลดอีกรอบไม่อย่างนั้นจะไปต่อที่ชั้นเจ็ดไม่ได้

    “เป็นการออกแบบกับดักที่โคตรโรคจิต” กุห์ฟานสรรเสริญความคิดของทีมผู้สร้างเกม

    ชั้นเจ็ดถึงชั้นเก้าศัตรูยังคงเป็นเผ่าปีศาจ แต่เป็นปีศาจในรูปร่างมนุษย์ที่มีปีกคล้ายปีกค้างคาวงอกจากกลางหลัง ยิ่งมีปีกมากคู่ยิ่งแข็งแกร่ง ใช้เวทมนต์ธาตุความมืดโจมตีเป็นหลัก ในระดับนี้กุห์ฟานเปลืองยาฟื้นพลังเพิ่มเป็นสองเท่า หมดคริสตัลล่องหนไปอีกหลายสิบก้อนเพื่อหนีตาย หากตายและเกมโอเวอร์ในดันเจียนแห่งนี้จะไม่ถูกส่งไปโรงพยาบาลแต่ต้องไปเริ่มใหม่ตั้งแต่ชั้นที่หนึ่ง กุห์ฟานยอมกระเป๋าฉีกตรงนี้ดีกว่ากระเป๋าฉีกสองรอบเพราะต้องเริ่มต้นใหม่

    ถ้าไม่ใช่เพราะความสามารถของอาชีพนักล่าสมบัติและข้อมูลที่ยอมควักเงินซื้อมาจากเอ็นพีซีแล้ว กุห์ฟานคงไม่มีทางฝ่าลงไปถึงห้องสมบัติที่ชั้นสิบได้แน่ๆ

    ที่ชั้นสิบไม่มีมอนสเตอร์หรือกับดักใดๆ ลงมาได้เพียงครั้งแรกครั้งเดียวเท่านั้น เมื่อเปิดหีบสมบัติครบแล้วจะถูกส่งกลับไปที่ชั้นแรกสุดทันที แต่อย่าคิดว่าเกมแกรนด์ไกอาออนไลน์ใจดีนักเพราะเมื่อเลือกหีบสมบัติไปแล้ว ทางวงกตจะถูกรีเซ็ตและหีบสมบัติที่เหลือจะเปลี่ยนตำแหน่งไปเรื่อยๆ เรียกได้ว่าทีมผู้สร้างโรคจิตสุดๆที่ได้ปั่นหัวผู้เล่นจนหัวหมุนวุ่นวายในชั้นสุดท้ายของดันเจียน

    ใช้เวลาบุกฝ่าลงมาเก้าชั้นยังไม่เท่าเสียเวลาตาหาหีบสมบัติที่ต้องการในชั้นสิบเพียงชั้นเดียวเลย เป็นคอมเมนต์สุดท้ายของกุห์ฟานต่อดันเจียนแห่งนี้

    “กะว่าจะชวนพวกพี่ๆไปลงดันเจียนนี้อยู่ ท้าทายพอสมควรเลยนะ ได้ไอเท็มค่อนข้างดีเหมือนกัน”

    ไม่มีใครคัดค้านข้อเสนอนี้ แต่จะลงไปตอนไหนค่อยว่ากันอีกที











    ถึงเวลาตามรอยพรานใหญ่ด้วยเรื่องเล่าของเอเซ แมคโดเวล

    นักดาบมนตราเริ่มต้นเดินทางขึ้นเหนือตามหลังทากะไปแต่แยกออกไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ ตัดผ่านป่าทึบซึ่งเต็มไปด้วยสัตว์ป่าประเภทนักล่าเนื้อสารพัดชนิดมาช่วยอุ่นเครื่องก่อนเข้าป่าดำที่โหดกว่านี้หลายเท่า เฉพาะลุยป่าแห่งนี้เอเซได้ใช้เวลาไปเกือบสามวันกว่าจะถึงหมู่บ้านชาวป่าแห่งหนึ่งที่เจอกับปัญหาใหญ่หลวงเพราะป่าแถบนี้เสือชุมยิ่งกว่ายุง

    ‘เสือลายพาดกลอน’ เสือนักล่าที่น่ากลัวที่สุดแห่งพงไพร

    เอเซถูกไหว้วานให้ช่วยขับไล่เสือแลกกับไอเท็มที่จะช่วยให้อยู่รอดในป่าดำ ข้อเสนอแบบนี้เขาย่อมไม่ปฏิเสธภารกิจอยู่แล้ว อีกอย่างก็เพื่อวัดกำลังของตัวเองด้วยหากแค่นี้ยังไม่ไหวก็เลิกความคิดที่จะเข้าป่าดำได้เลย ชายแก่ในฐานะพ่อใหญ่ของหมู่บ้านบอกว่าไม่มีอะไรยากแค่กำจัดเสือให้ได้เยอะๆ ถ้าได้ถึงยี่สิบตัวได้ยิ่งดี และอย่าลืมเก็บหางของมันมาเป็นหลักฐานด้วย ตอนนั้นเอเซแอบคิดในใจว่าล่าเสือยี่สิบตัวมันง่ายตรงไหน? ดีไม่ดีเขานั่นแหละจะเป็นฝ่ายถูกล่าเสียเอง

    และก็เป็นอย่างที่พ่อใหญ่บอก เสือมันชุมยิ่งกว่ายุงจริงๆ ก้าวเท้าพ้นจากเขตแสงสว่างของหมู่บ้านไม่เท่าไรเอเซก็ถูกเสือยาวหกศอกกระโจนลงมาจากคาคบเล่นงานซะหงายเก๋งล้มไม่เป็นท่า แต่สำหรับเขาแล้วแบบนี้ถึงจะตื่นเต้นเร้าใจ มือขวาถือดาบเคลย์มอร์ มือซ้ายถือคบไฟยาวซัดกับเสือโคร่งลายพาดกลอนยันรุ่งเช้า ฆ่าเสือไปยี่สิบสองตัวเล่นเขาหมดแรงจนต้องนอนแผ่อยู่ที่ชานบ้านของหัวหน้าหมู่บ้านตลอดทั้งเช้า พอสายหน่อยก็มีอาหารป่าสำรับใหญ่มาเลี้ยงผู้กล้าที่มาช่วยให้ชาวบ้านรอดพ้นจากคมเขี้ยวเสือ

    ไอเท็มรางวัลของภารกิจนี้คือสมุนไพรสำหรับต้มดื่มแก้ไข้ป่ายี่สิบมัด และที่เอเซรอดมาได้ส่วนหนึ่งก็ต้องขอบคุณสมุนไพรยี่พวกนี้ด้วยเพราะตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้าสู่ป่าดำพิษไข้ก็เล่นงานเขาจนแทบเสียสติ

    นอกจากไอเท็มรางวัลแล้ว หัวหน้าหมู่บ้านยังมอบแผนที่ไปยังหมู่บ้านอีกแห่งหนึ่งที่อยู่หน้าปากทางเข้าป่าดำ แอบกระซิบบอกมาว่าหมู่บ้านนั้นก็มีปัญหาอยู่เหมือนกัน ถ้าว่างก็แวะไปช่วยพวกนั้นหน่อยรับรองว่าคุ้มแน่ๆ เอเซย่อมไม่พลาดอีเวนต์แบบนี้อยู่แล้วเพราะถ้าอิงตามนิยายหมู่บ้านต่อไปเขาจะต้องสู้กับ ‘งูยักษ์’ ที่แค่หางก็ใหญ่เท่าต้นตาลแล้ว ในนิยายกลุ่มตัวเอกฆ่ามันได้เพราะใช้ระเบิดไนโตรเจนยิงด้วยธนู แต่ตัวเขามีแค่ดาบกับเวทมนต์เท่านั้น แค่คิดเอเซก็ตื่นเต้นจนรีบเดินทางไปที่หมู่บ้านต่อไปทันที

    ระหว่างทางเขาแวะล่าเก้งกวางเก็บเขาโง้งงามๆไปฝากเจ้าของบาร์ด้วย แต่ลำพังแค่เขากวางอย่างเดียวคงไม่พอเลยต้องหันไปล่ารุ่นใหญ่รุ่นหนักอย่างกระทิง แรด ควายป่า แต่ล่าช้างนั้นไม่ไหวแค่เข้าใกล้ก็โดนทั้งโขลงไล่กระทืบจนหนีแทบไม่ทัน แต่เขาก็ยังโชคดีที่ล่าหมูป่าได้เขี้ยวของมันมาแทน

    ได้ของครบตามออเดอร์ก็มุ่งหน้าขึ้นเหนือไปที่หมู่บ้าน ระหว่างทางตอนที่ตัดผ่านทุ่งหญ้าเอเซเห็นร่องรอยของงูยักษ์ที่กำลังคิดถึงเข้าก็ดีใจจนเนื้อเต้น แต่ไปรับภารกิจก่อนแล้วค่อยออกมาซัดกับมันย่อมดีกว่าสู้แบบเหนื่อยเปล่าไม่มีอะไรตอบแทน

    เอเซเข้าหมู่บ้านตอนฟ้าเกือบจะมืดแล้ว หัวหน้าหมู่บ้านเป็นชายฉกรรจ์ผิวสีดำแดงพูดจาเสียงดังกระโชกโฮกฮากตามต้นฉบับในนิยายเช่นกัน ชายหัวหน้าหมู่บ้านออกมาต้อนรับเอเซด้วยตัวเองบอกว่าได้ข่าวมาจากอีกบ้านแล้วว่าเขาเป็นผู้กล้าช่วยไล่เสือได้ถึงยี่สิบตัว ตอนนี้หมู่บ้านนี้กำลังแย่เหมือนกัน ถ้าเขายอมช่วยจะเป็นพระคุณอย่างสูง

    สถานการณ์ของหมู่บ้านนี้ก็เหมือนกับหมู่บ้านก่อนเพียงแต่สัตว์ร้ายที่คุกคามไม่ใช่เสือแต่เป็นงูยักษ์ขนาดโอบภูเขาย่อมๆได้ กลืนวัวได้ทั้งตัว ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นงูจ้าวป่าวจ้าวเขาจึงไม่อยากให้ฆ่าแต่ให้ช่วยขับไล่ไปเท่านั้น เมื่อเอเซถามว่าจะไล่อย่างไร ผู้เฒ่าวัยแปดสิบกว่าเป็นผู้ให้คำตอบว่ารอบหมู่บ้านมีว่านชนิดหนึ่งชื่อว่านสยบอสรพิษ งูทุกชนิดแค่ได้กลิ่นก็ไม่กล้ากล้ำกรายเข้ามาแม้แต่งูยักษ์ด้วย ว่านเหล่านั้นทำเป็นยาไล่งูได้ แต่พอชาวบ้านจะออกไปนำเก็บว่านมักจะโดนงูยักษ์โผล่มาเล่นงานตลอด

    หน้าที่ของเอเซจึงต้องออกไปเก็บว่านมาสกัดเป็นยา แล้วค่อยนำยาไปไล่งูอีกที

    “คงเป็นเพราะให้สู้กับงูยักษ์คงเกินกำลังผู้เล่นเกินไปพวกจีเอ็มเลยปรับเปลี่ยนเนื้อหาภารกิจละมั้ง” เอเซอธิบายให้มิยูที่ไม่ได้อ่านนิยายเพชรพระอุมาฟัง แถมยังแนะนำให้ไปหาอ่านด้วย

    มีชาวบ้านร่วมทางไปเก็บว่านกับเอเซ ส่วนหนึ่งคือออกไปหาของป่าอย่างผลไม้หรือเห็ดมาเป็นเสบียงเลี้ยงปากเลี้ยงท้องด้วย ตามเก็บว่านอยู่เต็มวันท่ามกลางอาการหวาดระแวงว่าจะถูกงูยักษ์บุกมาเล่นงานของพวกชาวบ้านแต่ทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดี เมื่อได้ว่านมาแล้วชาวบ้านก็ตั้งปะรำพิธีบวงสรวง พวกผู้เฒ่าผู้แก่นุ่งข่าวห่มขาวผลัดกันมาโขลกว่านสามวันสามคืนติดต่อกัน พอได้หัวยามาแล้วก็ต้มเคี่ยวอีกหนึ่งวันเต็มๆได้เป็นยาน้ำสีเขียวข้นหนึ่งหม้อใหญ่พร้อมใช้งาน

    คราวนี้ไม่มีใครกล้าออกไปกับเอเซได้แต่ช่วยภาวนาให้เขารอดกลับมาเท่านั้น นักดาบมนตราไปตามทิศทางที่ได้รับแจ้งว่างูยักษ์มักไปนอนอยู่ในหุบเขาไกลออกไปทางตะวันตกประมาณสองหุบเขา ออกเดินทางตอนเช้ามืดไปถึงจุดหมายตอนฟ้าสว่างพอดี

    แค่เห็นขนาดของมันก็ทำให้เอเซเนื้อเต้นไปหมด ความยาวไม่อาจประมาณได้ ช่วงกลางลำตัวสูงกว่าโบกี้รถไฟเกือบเท่าตัว เกล็ดสีดำเป็นมันปกคลุมอยู่ทั่วทั้งตัว

    เมฆสีเทาดำรวมตัวกันตามบัญชาของเอเซ เสียงฟ้าร้องกัมปนาทพร้อมอสุนีบาตปลุกงูยักษ์ให้ตื่นจากหลับใหล มันดิ้นสะบัดจนภูเขาทั้งลูกสะเทือนเหมือนแผ่นดินไหว แม้ตามอีเวนต์บอกว่าแค่ย่องเข้าไปแล้วโยนยาไปใกล้ๆเป้าหมายให้กลิ่นฉุนเป็นสิ่งขับไล่ให้เป้าหมายหนีไป แต่เขาก็อยากได้ความตื่นเต้นจากการสู้กับงูยักษ์ตัวนี้อยู่ดี และเมื่อถูกโจมตีมันย่อมหันมาเล่นงานเขาซึ่งเป็นผู้โจมตี งูยักษ์ผงกหัวฉกใส่ตามสัญชาตญาณของสัตว์ร้ายทันที

    เอเซกระโดดหลบด้วยแรงหนุนจากเวทสายลม รวมพลังเวทไว้ที่ปลายดาบในชั่วอึดใจใช้ท่า ‘เบิร์สติ้งวิน’ สายลมบิดม้วนเป็นพายุโดนเข้าเต็มๆบริเวณใต้คอของงูยักษ์ซึ่งน่าจะเป็นจุดอ่อน แต่ท่าไม้ตายของนักดาบมนตราทำอันตรายมันไม่ได้แม้แต่นิดเดียว ไม่รู้ว่าเพราะมันเป็นมอนสเตอร์อีเวนต์ที่ไม่มีทางฆ่าตายหรือเพราะความเก่งของมันกันแน่

    งูยักษ์ยิ่งอาละวาดหนัก เลื้อยหนึ่งครั้งป่าถูกกวาดหายไปเป็นแถบๆ ต้นไม้น้อยใหญ่หักโค่นระเนระนาด

    “หาเรื่องใส่ตัวแท้ๆ” ทากะว่าเข้าให้ระหว่างนั่งฟังเพื่อนร่วมแคลนเล่าเรื่องราวการผจญภัยในป่าดำให้ฟัง

    “แล้วไงต่อๆ เอเซรอดมาได้ยังไงเนี่ย?” เวลานี้มิยูไม่สนใจอะไรแล้วนอกจากตอนต่อของฉากไคลแมกซ์

    “ก็ใช้น้ำยาไล่งูไปไงล่ะ พอมันตั้งท่าจะฉกซ้ำก็ปาขวดน้ำยาสวนไปเลย จู่ๆขวดก็ระเบิดกลางอากาศเหมือนใช้งานตรงวัตถุประสงค์ละมั้ง แปปเดียวเท่านั้นแหละงูยักษ์ตัวเบ้อเร่อเลื้อยหนีหายไปหลังเขาเฉยเลย แล้วตรงนั้นก็มีเกล็ดงูตกอยู่แผ่นนึงก็เลยเก็บไปให้หัวหน้าหมู่บ้านเพราะในนิยายหลังจากฆ่างูยักษ์ได้ก็เก็บเกล็ดไปเหมือนกัน”

    “พอไปถึงหมู่บ้านชาวบ้านก็ดีใจกันยกใหญ่ตามอีเวนต์นั่นแหละ หัวหน้าหมู่บ้านเอาเกล็ดงูไปสลักชื่อแล้วแขวนติดฝาบ้านไว้บูชาด้วย”











    จบภารกิจนี้เอเซได้รับแผนที่ของป่าดำมาหนึ่งฉบับ แต่เป็นรายละเอียดคร่าวๆว่ามีขอบเขตเท่าไร แหล่งน้ำอยู่ตรงไหนซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากในการเดินป่า ในแผนที่แบ่งพื้นที่หนึ่งออกมาอย่างชัดเจนและระบุว่าเป็นป่าดึกดำบรรพ์ พอรวมกับข้อมูลเซฟตี้แอเรียที่มีอยู่ทำให้เขากำหนดแผนการเดินทางได้ง่ายขึ้นเยอะ และต้องขอบคุณการจัดกระเป๋าของกุห์ฟานด้วยเช่นกัน แค่มีประสบการณ์เดินป่าในชีวิตจริงไม่เพียงพอจะเข้าป่าดำที่ออกแบบมาได้สมจริงเกินไป ลำพังแต่พวกสัตว์ตระกูลแมวที่ออกหากินตอนกลางคืนก็สร้างลำบากมากพออยู่แล้ว ต่อให้เอเซจะแน่แค่ไหนแต่เมื่อเจอมอนสเตอร์พิเศษที่สร้างตามนิยายต้นฉบับเขาก็วิ่งหนีป่าราบไม่ว่าจะเป็นตะขาบไซส์เดียวกับงูยักษ์ ฝูงตะขาบที่ตัวเล็กลงมาหน่อยแต่มีพิษอันตรายถึงชีวิต ค้างคาวยักษ์ตัวเท่าวัว เสือดำศิลาที่ไม่ว่าจะโจมตีเท่าไรก็ทำอันตรายไม่ได้ ฯลฯ ขาดก็แต่กองทัพผีดิบของจอมอาคมพันปีเท่านั้น

    ในเขตนี้เขาต่อสู้เมื่อจำเป็นและหลบหลีกเป็นหลักค่อยๆรุดหน้าไปทีละนิดบนเส้นทางทุรกันดารของผืนป่าดงดิบขนาดใหญ่ ข้ามภูเขาสูงชันไปที่ป่าดึกดำบรรพ์อีกฟากหนึ่ง และก็ได้รู้ว่ามังกรบรรพกาลที่กำลังตามหาก็คือ ‘ทีเร็กซ์’ ไดโนเสาร์สายพันธุ์กินเนื้อที่ดุร้ายที่สุด

    ในขณะที่เอเซกำลังคิดจะจับหมออีวานมาแล่เนื้อเพราะดันอุตริจะกินเนื้อทีเร็กซ์ เขาก็เพิ่งจะสังเกตเห็นว่านอกจากเจ้าตัวใหญ่สูงเกือบสี่เมตรซึ่งคงหมดปัญญาล่ายังมีเจ้าตัวเล็กที่คาดว่าน่าจะเป็นลูกของมันอีกสองตัวเดินตามหลังมาห่างๆ เขาเลยเข้าใจความหมายที่แท้จริงของภารกิจนี้ว่า...แค่เอาเนื้อมังกรกลับไปให้ได้ก็พอแล้วไม่สนว่าจะเป็นเนื้อของตัวเล็กหรือตัวใหญ่

    นักดาบมนตราทำตัวเป็นช่างภาพสารคดีช่องเนชั่นแนลจีโอกราฟฟิค เฝ้าติดตามชีวิตครอบครัวทีเร็กซ์เก็บข้อมูลว่าพวกมันไปพักอยู่ตรงไหน ตัวแม่ออกหาอาหารตรงไหนและมีเวลาเท่าไรกว่ามันจะกลับมา จนถึงวันที่สี่หลังจากมั่นใจในข้อมูลแล้วก็ได้เวลาเปิดฉากการล่า(ลูก)ทีเร็กซ์ในเวลาไม่เกินสามสิบนาที ถ้าครั้งนี้พลาดคงไม่มีโอกาสสำหรับครั้งที่สองอีกแล้ว

    “ก็นั่นแหละ รอดมาได้แบบฉิวเฉียดเลย หลังจากนั้นก็ใช้คริสตัลของทากะวาร์ปกลับมาที่หมู่บ้านที่สองแล้วออกจากฟิล์ดป่าไปส่งไอเท็มเป็นอันเสร็จภารกิจ”





    เอเซเล่าจบ เวลาบนหน้าปัดนาฬิกาก็ใกล้จะเที่ยงคืนเต็มที แม้จะมีเรื่องราวที่อยากจะเล่าและพูดคุยกันต่ออีกมากแค่ไหนแต่เมื่อหมดเวลาก็ต้องทำใจยอมรับว่างานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา มิยูเลยขอนัดเวลาออนไลน์ตอนห้าทุ่มให้ตรงกันเพื่อที่เธอจะได้ร่วมผจญภัยและสัมผัสความตื่นเต้นสนุกสนานและหัวเราะไปพร้อมๆกับทุกคน
    soulmaster ถูกใจสิ่งนี้
  2. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    ชื่อตอนนี่สะกดผิดแน่ะ ตอนนี้เหมือนสรุปเนื้อหาที่ผ่านๆมามันเลยไม่ค่อยหวือหวาเท่าไหร่ล่ะนะ แต่มีจุดนึงอ่านแล้วรู็สึกขัดๆคือที่ใช้คำสรรพนามเรียกมิยูว่าผู้เล่นหญิง เพราะจังหวะนั้นมันเป็นอีเวนท์ในกลุ่มเพื่อนฝูงหรือคนสนิทกันแล้ว คำสรรพนามแบบนั้นมันให้อารมณ์ห่างเหินซะมากกว่าจนรู้สึกขัดกับบรรยากาศน่ะครับ
    Azemag ถูกใจสิ่งนี้
  3. kolonel

    kolonel Demon Daughter of the Light

    EXP:
    380
    ถูกใจที่ได้รับ:
    36
    คะแนน Trophy:
    48
    ตอนนี้ไม่มีอะไรมาก เหมือนตอนเกริ่นก่อนพาไปสู่เหตุการณใหญ่มากกว่า เลยดูเนิบๆ แต่ก็อ่านได้เพลินๆ ไม่ได้น่าเบื่อแต่อย่างใด

    ตอนแรกยอมรับว่าไม่เข้าใจท่อนนี้เลย

    เพราะงงว่าทำไมถึงเปรียบเป็นลูซิเฟอร์ก่อกบฏกับพระเจ้า ทั้งๆที่ไม่เห็นว่าตรงไหนจะเชื่อมเกี่ยวข้องกันได้ จนนึกชื่อแคลนอีกฝ่ายอีกครั้ง ก็บรรลุว่า "อ้อ เซเลสเทียล (Celestial) แปลได้ว่า มาจากสวรรค์ นี่เอง" การจะไปต่อสู้กับเขาก็เหมือนปีศาจสู้กับพระเจ้าก็มิปานซินะคะ

    ตอนนี้ชอบที่ใส่เพชรพระอุมาลงมาด้วย เป็นกิมมิคที่ดูเท่ดี แต่คิดอีกแง่มันก็ดูขัดๆกัน เพราะเหมือนโลก GGO ไม่ได้สร้างโดยคนไทย (ยิ่งตอนแรกใช้คำว่า "นำเข้า" ด้วย) และเป็นเกมใหม่ แพชท์ก็ไม่น่าจะมีแต่แรก (และตอนอัพแพชท์ก็ไม่ได้บอกด้วยว่าใส่พื้นที่นี้เข้ามา เอ๊ะ หรือเราข้ามอะไรไป) ดังนั้น การใส่เพชรพระอุมาเลยดูเหมือนโดดออกมาจากส่วนอื่นๆเกินไปหน่อยน่ะค่ะ อย่างนิยายเดินป่าดังๆของฝรั่ง เขาน่าจะอิงพวก สมบัติพระศุลี (King's Solomon Mines) มากกว่า แต่อันนี้ความเห็นส่วนตัวนะคะ เห็นด้วยไม่เห็นด้วยไม่เป็นไร

    เป็นกำลังใจให้ต่อไปค่ะ :cool:
    Azemag ถูกใจสิ่งนี้
  4. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    ชื่อตอนผิดจริงๆครับ รีบจัดจนพิมพ์ผิดแล้วดันอ่านข้ามตอนตรวจคำผิดไปด้วยสิ = =
    เรื่องสรรพนามจะรับไปแก้นะครับ

    ได้รับคอมเมนต์จากน้องแบมแล้ว ดีใจมากๆ ^ ^
    เพชรพระอุมาเนี่ย....ใส่มาเพราะอยากจะใส่เลยไม่ได้สนใจบรรยากาศเท่าไร ถ้ามันขัดๆตอนรีไรท์อาจจะต้องปรับแก้กันหน่อยนะ อย่างที่เคยบอกไว้ว่าช่วงสิบตอนแรกเนี่ยต้องแก้ยกใหญ่เลย

    ขอบคุณมากๆนะ ;)
  5. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    Grand Gaia Online 24 – Maldito the Mercenary




    “ทางซ้ายมาอีกกลุ่มใหญ่แล้ว เอเซไปรับมือหน่อยเด๊ะ”

    “ฝั่งนี้ก็ยุ่งอยู่โว้ย!” เอเซ แมคโดเวล ตะโกนตอบพร้อมชูนิ้วกลางให้เพื่อนแล้วเสียงระเบิดตูมหนึ่งก็ดังขึ้นพร้อมกับเปลวไฟสีแดงพวยพุ่งสู่ท้องฟ้าสีคราม ตามด้วยกลุ่มเมฆสีดำหมุนมารวมตัวกันสร้างฟ้าผ่านับสิบสายช่วยให้การต่อสู้ที่แสนอลหม่านชุลมุนยิ่งวุ่นวายมากขึ้นอีก

    สถานการณ์เดิมในภารกิจคุ้มกันคาราวานสินค้าจากเมืองอารันด์ไปเมืองแบล็คแซนด์ ครั้งนี้นอกจากสี่หนุ่มแคลนมัลดิโตแล้วยังมีผู้เล่นอีกสามสิบคนที่ ‘กุห์ฟานเน็ตเวิร์ค’ แนะนำให้มาขอความช่วยเหลือจากพวกเขาในฐานะทหารรับจ้าง เกือบทั้งหมดเป็นผู้เล่นใหม่ที่เพิ่งจะหัดเล่นเกมออนไลน์เสมือนจริง มีแค่ไม่กี่คนที่มีประสบการณ์เล่นเกมอื่นมาบ้าง เรื่องจะให้เป็นกำลังช่วยสู้กับกลุ่มโจรจึงหวังไม่ค่อยได้มากนัก

    กลุ่มโจรยอมถอยหนีกลับไปตั้งหลักใหม่ เมื่อโดนสารพัดเวทมนต์ประเคนให้เป็นชุดๆติดต่อกัน เอเซและอากิรอสนั่งหอบหมดแรงอยู่กลางทุ่ง สองคนนี้ถูกจับคู่เป็นแนวหน้าต่อสู้กับโจรแบบสองต่อร้อยมาตลอดทาง โดยมีทากะรับผิดชอบดูแลท้ายขบวน และกุห์ฟานยอดเสนาธิการคอยดูสถานการณ์อยู่ตรงกลาง ทำหน้าที่บัญชาการผู้เล่นใหม่ให้จับกลุ่มสู้กับศัตรูเน้นความปลอดภัยเป็นหลักและเพื่อให้คุ้นชินกับการต่อสู้






    นับตั้งแต่ทีมพัฒนาและวางแผนเกมประกาศเงื่อนไขการเคลียร์เกม มีภารกิจจากเอ็นพีซีเพิ่มขึ้นอีกเป็นจำนวนมาก บางภารกิจยากจนผู้เล่นบางกลุ่มบางคนไม่สามารถจบภารกิจได้ ยกตัวอย่างภารกิจคุ้มกันคาราวานสินค้าที่เพิ่มระยะเวลาจากหนึ่งวันเป็นสองวันหนึ่งคืน กลุ่มโจรเพิ่มขึ้นทั้งจำนวน ความเก่งและความถี่ที่บุกปล้น เพิ่มมอนสเตอร์จู่โจมก่อนเข้ามาในเส้นทาง ทำให้ผู้เล่นจำใจยกเลิกภารกิจไปไม่รู้เท่าไรแล้ว กุห์ฟานถือโอกาสในช่วงแรกเก็บข้อมูลจากบรรดาผู้เล่นโอดครวญกับความยากของภารกิจ ชะลอแผนการแปรผันตัวเองเป็นทหารรับจ้างไว้ก่อนแล้วลากพี่ๆทั้งสามคนลงลุยดันเจียนใต้เมืองอารันด์เก็บค่าประสบการณ์พัฒนาทักษะที่จำเป็นให้สูงขึ้นและรวบรวมไอเท็มไปขายในตลาดเป็นเงินทุนเตรียมไว้

    เมื่อเวลาในเกมแกรนด์ไกอาออนไลน์ผ่านไปสามเดือน พอดีกับระยะเวลาผ่อนผันหนี้สิ้นสุดลงพร้อมกับโทษที่มีผลใช้บังคับ ทั้งสี่จึงเริ่มแผนการทหารรับจ้างทันที

    กุห์ฟานกระจายข่าวผ่านกระดานสาธารณะกลางเมืองและใช้ ‘กุห์ฟานเน็ตเวิร์ค’ เป็นตัวช่วยอีกแรง ปักหลักอยู่นอกเมืองที่ประตูทิศใต้รอให้ผู้เล่นที่มีปัญหามาติดต่อ หากเป็นภารกิจที่ต้องต่อสู้ผู้ว่าจ้างมีหน้าที่เดียวคือรักษาชีวิตตัวเองให้รอดไปตลอดทางก็พอ นอกจากเงินตอบแทนจากภารกิจที่ได้รับร่วมกันแล้วขอแค่แบ่งไอเท็มที่ได้จากการต่อสู้ในอัตราส่วนเจ็ดต่อสาม ถ้าเป็นแรร์ไอเท็มแบ่งในอัตราส่วนหกต่อสี่ หากภารกิจใดไม่จำเป็นต้องต่อสู้แต่สามารถให้ความช่วยเหลือเป็นข่าวสารหรือเทคนิคได้จะไม่คิดค่าตอบแทนใดๆเลย แต่ส่วนใหญ่แล้วผู้เล่นที่ได้รับความช่วยเหลือมักจะนำไอเท็มมาแบ่งปันให้พวกเขาอยู่เสมอๆ

    เมื่อช่วยเหลือผู้เล่นกลุ่มแรกให้สามารถจบภารกิจได้อย่างง่ายดายในเวลารวดเร็วเหลือเชื่อ ชื่อของพวกเขาในฐานะทหารรับจ้างได้แพร่กระจายไปตามที่กุห์ฟานต้องการ มีผู้เล่นจำนวนมากมาขอความช่วยเหลือจนต้องจัดลำดับและแยกกันให้ความช่วยเหลือ ไม่มีภารกิจใดที่ทั้งสี่คนช่วยแล้วไม่ผ่านต่อให้ภารกิจนั้นต้องเดินทางไกลและต่อสู้กับมอนสเตอร์สุดโหดแค่ไหนก็ตาม ภารกิจที่ผู้เล่นห้าสิบคนรวมตัวกันทำแล้วผ่านไปได้เพียงครึ่งทางจนต้องย้อนกลับมาตั้งหลักใหม่ ขอเพียงมีคนใดคนหนึ่งจากแคลนมัลดิโตร่วมทางไปด้วยรับรองได้ว่าจะสามารถพาทุกคนไปถึงปลายทางได้อย่างไม่น่าเชื่อ






    ออกจากเมืองอารันด์มาแล้วสี่ชั่วโมง ปะทะกับกลุ่มโจรไปแล้วสองครั้งแต่บรรยากาศในคาราวานกลับคึกคักเกินคาด บรรดาผู้เล่นสามสิบคนต่างพูดคุยเรื่องการต่อสู้อย่างตื่นเต้น แย่งกันโจมตีมอนสเตอร์ที่โผล่มาขวางทางส่งพวกมันไปสู่ความตายในไม่กี่อึดใจ ยกเว้นตอนสู้กับกลุ่มโจรที่ต้องให้สี่หนุ่มมัลดิโตต้องออกโรงช่วยเหลือเพราะระดับต่างกันมากเกินไป

    อีกสิบนาทีจะหกโมงเย็นดวงอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้าเต็มที ฝูงนกเกาะกลุ่มบินกลับรังนอนก่อนความมืดจะปกคลุมโลกใบนี้ คาราวานสินค้าหยุดพักกลางทุ่งหญ้าใกล้กับป่าแห่งหนึ่ง ต่างคนต่างจับกลุ่มพูดคุยไปพร้อมกับก่นด่าคนออกแบบเกมเพราะขนมปังในชุดเสบียงพื้นฐานรสชาติห่วยแตกสิ้นดี อากิรอสเคี้ยวแซนด์วิชปลาที่อัดแน่นด้วยความอร่อยจากฝีมือไนซ์แล้วก็ได้แต่ยิ้มเหมือนกับเพื่อนอีกสามคน

    “พรุ่งนี้เอาไงต่อ จะรับภารกิจขากลับจากแบล็คแซนด์เลยรึเปล่า?” เอเซถามหลังจากปิดสมุดบันทึกที่ดูเสร็จแล้ว

    “แล้วแต่ทางโน้นว่าจะรับภารกิจต่อเลยหรือว่าจะแยกย้ายไปทำภารกิจของสมาคมพ่อค้าเหมือนที่กลุ่มอื่นๆทำ แต่ดูแนวโน้มแล้วน่าจะเป็นข้อหลังมากกว่านะ” กุห์ฟานตอบกลับในขณะที่สองมือพิมพ์ข้อความตอบการสนทนาในหน้าต่างเหมือนเช่นทุกที

    “ถ้าเป็นแบบนั้นก็กลับเลยละกัน ยังไงก็มีอีกกลุ่มที่จองคิวไว้ไม่ใช่เหรอ?”

    “อือ แต่ยังไม่ได้แจ้งรายละเอียดภารกิจน่ะ”

    หลังจากมื้อเย็นจบลง กุห์ฟานไปช่วยผู้เล่นกลุ่มใหม่ฝึกฝนเพิ่มฝีมือในการต่อสู้ เวลากลางคืนมอนสเตอร์เก่งขึ้นเหมาะสำหรับเก็บเกี่ยวค่าประสบการณ์และยังได้ลุ้นแรร์ไอเท็มด้วย เขาแบ่งผู้เล่นออกไปแค่ส่วนหนึ่งโดยให้ที่เหลืออยู่คอยลาดตระเวนเฝ้าแคมป์ร่วมกับรุ่นพี่ของเขา แต่เพราะทากะไม่ชอบสุงสิงกับคนอื่นจึงออกไปเดินลาดตระเวนคนเดียว เอเซแยกออกไปอีกทางเช่นกัน เหลืออากิรอสเฝ้าอยู่ที่แคมป์กับผู้เล่นอีกยี่สิบคนท่ามกลางบรรยากาศเงียบเชียบวังเวงของค่ำคืน

    อีกหนึ่งชั่วโมงต่อมากุห์ฟานพาผู้เล่นกลุ่มแรกมาเปลี่ยนให้กลุ่มที่สองออกไปต่อสู้แทนแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้า ลืมไปว่าพี่ชายทั้งสามของเขามีโลกส่วนตัวสูงส่งเพียงใด

    ผู้เล่นทั้งสามสิบคนฝึกต่อสู้ภายใต้การวางแผนของกุห์ฟานผ่านไปสองรอบ เรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นจนได้ ตอนนี้เพิ่งจะพ้นเที่ยงคืนมาหน่อยๆ จันทร์เสี้ยวลอยอยู่กลางฟ้าอย่างโดดเดี่ยว เอ็นพีซีที่เป็นคนคุมรถม้าวิ่งหน้าตื่นกระหืดกระหอบมาแจ้งข่าวร้ายกับกุห์ฟานที่เป็นหัวหน้ากลุ่ม

    “รถสินค้าหายไปสองคันพร้อมกับคนคุมรถสามคน คาดว่าทั้งสามคนนั้นน่าจะเป็นสายให้กับโจรฉวยโอกาสเอารถสินค้าออกไปตอนที่พวกเราเน้นระวังที่ด้านหลังมากกว่า เมื่อกี๊ผมไปตรวจมาแล้วมีรอยล้อหายเข้าไปในป่าทางโน้น หัวหน้าขบวนโกรธมากแต่ก็ไม่กล้าลุยเข้าไปเพราะในป่าเป็นรังโจรดีๆนี่เอง สุดท้ายก็ต้องมาขอให้พวกเราช่วย”

    “ถ้าไม่ได้สินค้าสองคนรถนั้นกลับมาจะถือว่าภารกิจคุ้มกันล้มเหลวสินะ” นักดาบมนตราถามแม้จะรู้คำตอบอยู่แล้วก็ตาม

    “ถูกต้อง”

    เอเซเกาหัวแรงๆ นี่เป็นครั้งแรกที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นตอนนี้จึงมืดแปดด้านไปหมด

    “เมื่อกี๊ผมเปิดหน้าต่างภารกิจขึ้นมาดูแล้วจึงได้เห็นเงื่อนไข มีเวลาก่อนพระอาทิตย์ขึ้นให้พวกเราไปตามรถสินค้าที่หายไปกลับมาให้ได้”

    “งั้นจะมัวรออะไรอยู่พวกเราก็บุกเข้าไปเลยสิ ยิ่งเร็วยิ่งดีขืนปล่อยให้พวกโจรมันได้สินค้าไปแล้วแยกย้ายหลบหนีก็ยิ่งลำบากนะ” ใครคนหนึ่งในกลุ่มผู้เล่นสามสิบคนออกความเห็น จากนั้นก็มีเสียงตะโกนบอกว่าเห็นด้วยขึ้นมาอีกหลายเสียง หลายคนเตรียมอาวุธทำท่าจะออกลุยเดี๋ยวนั้นเลย

    “ว้าว! แล้วก็จะได้ถูกพวกโจรตลบหลังปล้นสินค้าที่เหลืออีกแปดคันรถสบายไปเลย”

    คำพูดของอากิรอสปลุกสติของผู้เล่นทั้งสามสิบคนให้กลับมาฉุกคิดถึงความเป็นจริง ทุกคนจึงหุบปากเงียบลงได้ เมื่อทุกคนพร้อมจะฟังแล้วนักเวทผมเทาจึงพูดต่อ

    “ให้ทากะกับเอเซสองคนไปตามรถสินค้ากลับมาก็พอแล้ว คนที่เหลือแบ่งเป็นห้ากลุ่มดูแลสี่ด้านอีกกลุ่มคอยระวังเป็นกองหนุนอยู่ตรงกลาง”

    “แค่สองคนเองจะพอเหรอ?” ใครอีกคนถามขึ้นด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเล็กน้อย

    “ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อในฝีมือพวกคุณหรอกนะแต่สองคนนี่น้อยเกินไปรึเปล่า? พาคนไปด้วยสักเจ็ดแปดคนจะดีกว่าไหม”

    อากิรอสผายมือไปทางทากะซึ่งยืนอยู่นอกวงให้เขาเป็นคนตอบข้อข้องใจว่าทำไมไปแค่สองคนถึงดีกว่าไปหลายคน

    “มีใครในที่นี้มีทักษะมองในที่มืดและทักษะแกะรอย เกินระดับร้อยบ้าง? นอกจากนั้นมีใครที่รู้จักภูมิศาสตร์ของป่าแถบนี้ในตอนกลางคืนบ้าง?”

    ไม่มีใครยกมือว่าทำได้เลยสักคน

    “โว๊ย! ยกมือทุกครั้งนี่อยากจะไปมากเลยใช่ไหมครับไอ้คุณอากิรอส!? งั้นมาเปลี่ยนหน้าที่กันเลยดีกว่า” เอเซหยิบก้อนหินประจุพลังเวทมนต์ขว้างใส่เพื่อนนักเวทที่ทำหน้าทะเล้นยกมือแสดงตัวทุกครั้งที่ทากะถาม

    “แหะๆ ไม่เอาจ๊ะ ขออยู่ที่นี่ดีกว่าท่าทางจะมันส์กว่ากันเยอะเลย”

    “งั้นอย่าเพิ่งกวนคนอื่นได้ปะ? มีอีกครั้งคราวนี้เจอส้นเท้าแน่ๆ”

    เอเซชี้หน้าเพื่อนจอมกวนคาดโทษไว้แล้วรอให้ทุกคนหันกลับมาแล้วพูดต่อแทนทากะ “การสะกดรอยน่ะยิ่งใช้คนมากก็ยิ่งเอิกเกริกวุ่นวายแถมยังโดนดักซุ่มโจมตีได้ง่ายอีกด้วย นอกจากนี้มีใครที่ตรวจสอบและปลดกับดักเป็นบ้างรึเปล่า?”

    ทุกคนจำนนต่อเหตุผลที่ได้ฟัง ปล่อยให้ทั้งสองคนออกตามรอยรถสินค้าที่หายไป

    และก็เป็นไปตามคาดเมื่อกุห์ฟานตรวจพบกลุ่มโจรจำนวนมากซุ่มล้อมอยู่ จึงบอกทุกคนให้เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการต่อสู้ที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ และเมื่อได้เห็นสีหน้าของทั้งกุห์ฟานและอากิรอสเปลี่ยนเป็นจริงจังไม่เหลืออารมณ์เล่นหัวหยอกล้ออีกแล้วทั้งสามสิบคนเพิ่งจะตระหนักได้ว่าสถานการณ์ตอนนี้บีบคั้นแค่ไหน

    เสียงระเบิดดังแว่วมาจากด้านหลัง ทากะและเอเซสบตากันรู้ว่าคาราวานโดนตลบหลังเข้าให้แล้ว ทั้งสองจึงเร่งฝีเท้าตามรอยล้อเกวียนให้เร็วขึ้นอีกระดับ ตามไปได้สักร้อยเมตรทากะก็หยุดนิ่งพิจารณารอยล้อที่ปรากฏให้เห็นอีกครั้ง ส่งสัญญาณมือบอกเอเซว่าสินค้าถูกสับเปลี่ยนไปแล้ว รอยกดบนพื้นที่เห็นอยู่บอกว่าในรถไม่มีสินค้าอยู่เลย เอเซแยกออกไปทางซ้ายอย่างระมัดระวังโดยไม่ต้องถามไถ่ให้มากความ กวาดสายตามองด้วยสกิลแกะรอยจนเจอรอยล้อเกวียนเล็กๆแยกไปอีกทางจึงส่งสัญญาณให้คู่หูมาตรวจสอบ ทากะยืนยันว่าถูกต้องเพราะด้านหน้ามีเชือกเส้นเล็กพาดคั่นระหว่างต้นไม้เป็นกับดักปล่อยแหลนไม้ลงมาจากด้านบนอยู่ด้วย ทั้งสองอ้อมผ่านกับดักไป เร่งตามรอยไปจนตามหลังกลุ่มโจรที่คุมรถสินค้าในระยะแค่ห้าสิบเมตร!

    เอเซปลดตัวล็อกดาบเคลยร์มอร์ออกอย่างเบามือที่สุด ทากะใช้นิ้วโป้งยันกั่นดาบเตรียมพร้อมไว้ทุกวินาที










    รุ่งเช้าใกล้เข้ามา ท้องฟ้าทิศตะวันออกเปลี่ยนเป็นสีแสดเข้มทีละน้อยท่ามกลางความกระวนกระวายของผู้เล่นทั้งสามสิบคน แต่ทางกุห์ฟานและอากิรอสกลับไปต้มน้ำร้อนชงชารอให้ทั้งสองคนกลับมาดื่มอย่างใจเย็น เวลานับถอยหลังไปเรื่อยๆทุกวินาทีบีบคั้นความรู้สึกจนกลายเป็นความตึงเครียด หลายคนคิดเผื่อไว้แล้วว่านี่คงเป็นครั้งแรกที่มัลดิโตล้มเหลวในฐานะทหารรับจ้าง

    แต่ความคิดนั้นได้หายไปและเกิดเป็นความเชื่อมั่นขึ้นแทนที่ เมื่อทากะและเอเซปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับรถสินค้าทั้งสองคันและจับหนอนบ่อนไส้ทั้งสามคนมาได้อีกด้วย

    เจ้าของกิจการที่เมืองแบล็กแซนด์พูดขอบคุณแล้วขอบคุณอีกที่ช่วยตามสินค้ากลับมาให้แถมยังจับโจรมาลงโทษได้อีก เงินค่าเหนื่อยเลยเพิ่มจากแปดร้อยกิลเป็นอีกเท่าตัวคือหนึ่งพันหกร้อยกิลแถมเจ้าของกิจการยังไปหาซื้อคริสตัลฟื้นพลังมาแจกให้อีกคนละก้อนด้วย หลังจากคุยกันเรียบร้อยแล้วว่าผู้เล่นทั้งสามสิบคนจะไม่รับภารกิจคุ้มกันกลับเมืองอารันด์แต่จะแยกย้ายไปหาประสบการณ์ใหม่ๆ หลายคนรวมกลุ่มกันไปผจญภัยเสี่ยงโชคถึงโอเอซิส

    เมื่อมีเวลาว่างกระทาชายทั้งสี่หน่อแห่งแคลนมัลดิโตจึงตั้งวงพูดคุย นับเป็นครั้งแรกตั้งแต่พวกเขารับภารกิจคุ้มกันมาเลยก็ว่าได้ที่เกิดเหตุการณ์เอ็นพีซีในขบวนกลายเป็นโจร ต่อไปคงต้องเตรียมพร้อมรับมือไว้หากเกิดเหตุแบบนี้ขึ้นอีก แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่มีข้อมูลอะไรเลยจึงได้แต่ต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของกุห์ฟานและ ‘กุห์ฟานเน็ตเวิร์ค’ เท่านั้น

    รุ่นพี่ทั้งสามใช้เวลาว่างระหว่างรอรุ่นน้องเล่นไพ่ซะเลย เดิมพันรอบนี้ใครแพ้ต้องเป็นหัวหน้ากลุ่มในรอบถัดไป

    “รู้ละ?”

    ทั้งสามคนกำลังคร่ำเคร่งกับไพ่ในมือเลยไม่ได้สนใจฟัง กุห์ฟานเลยต้องปามีดสั้นสีดำไปปักลงกลางวงเรียกความสนใจกันสักหน่อย

    “ระดับความยากและความซับซ้อนของภารกิจเพิ่มขึ้นตามจำนวนผู้เล่นในกลุ่มที่รับภารกิจร่วมกัน รวมถึงมีโอกาสเกิดอีเวนต์ย่อยๆเพิ่มแทรกเข้ามาระหว่างทาง แน่นอนว่าถ้าเคลียร์เงื่อนไขได้ทั้งหมดค่าตอบแทนจะเพิ่มสูงขึ้นและมีโอกาสได้รับภารกิจต่อเนื่องด้วย ในบางครั้งภารกิจต่อเนื่องเป็นภารกิจระดับแรร์ซึ่งมีเปิดให้ทำแค่เดือนละครั้งเท่านั้นด้วย”

    “ถ้าทำภารกิจต่อเนื่องไปเรื่อยๆจะได้อะไรดีๆตอบแทนกลับมาใช่ไหมละ?” อากิรอสถาม แต่คนตอบไม่ใช่กุห์ฟาน

    “ถ้าสหายเล่นเกมอาร์พีจีบ่อยๆก็น่าจะรู้คำตอบดีอยู่แล้วนะ ภารกิจต่อเนื่องที่ไม่เกี่ยวกับเนื้อเรื่องหลักนี่แหละที่จะนำพาไปสู่ไอเท็มระดับสูงที่ช่วยให้ทั้งปาร์ตี้รอดตายได้ ยกตัวอย่างแค่ไปกระโดดเชือกกับเด็กๆก็ได้อาวุธรองสุดยอดมาใช้ตั้งแต่เริ่มเกมแผ่นแรกเลยด้วย”

    “นั่นมันไฟนอลแฟนตาซีเก้านี่นา แต่ไอ้นั่นมันโคตรยากเลยนะพี่”

    “ยากสุดๆเลยละไอ้น้อง”

    “แล้วในแกรนด์ไกอาออนไลน์จะได้อะไรตอบแทนละ?” เอเซถามขึ้นบ้าง “คงไม่ใช่สะสมไอเท็มจากแรร์เควสไปแลกแรร์ไอเท็มหรอกนะ”

    “ก็ไม่เชิงนะ ตอนนี้เท่าที่มีข้อมูลยืนยันคือปลายทางของภารกิจต่อเนื่องจะได้ไอเท็มวัตถุดิบสร้างอาวุธแรงค์ซีน่ะ และคนที่ทำสำเร็จไปแล้วก็คือคู่รักคู่แค้นของพี่เอเซนั่นแหละ”

    “กลอเรียสเรอะ? ถ้าอย่างหมอนั่นก็คงเป็นเรื่องปกติละนะ”

    “ผิดแล้วพี่ คนที่จบภารกิจต่อเนื่องได้น่ะคือดับเบิลฮาร์ทต่างหาก

    “หา? ไอ้หมอนั่นน่ะนะ เอาจริงดิ!?”

    “จริงๆแล้วหมอนั่นเก่งนะพี่ มีตำแหน่งในแคลนเป็นถึงกัปตันคุมผู้เล่นเป็นร้อยๆคน แล้วลาสต์บอสของภารกิจต่อเนื่องก็ถูกเขาล้มได้ด้วยนะ”

    “ก็สมเหตุสมผลดีนะ นี่คงเป็นคำตอบที่ว่าทำไมแคลนเซเลสเทียลถึงมีสมาชิกจำนวนมากและเน้นทำภารกิจใหญ่ๆกับทางสมาคมพ่อค้าหรือเจ้าเมืองของเมืองต่างๆ ทั้งหมดก็เพื่อเลื่อนระดับของภารกิจและได้ค่าตอบแทนมากขึ้น มีโอกาสได้แรร์ไอเท็มและทำภารกิจต่อเนื่องปลดล็อกอาวุธแรงค์สูงๆนี่เอง” ทากะสันนิษฐานตามข้อมูลที่ได้จากรุ่นน้อง

    “ก็คงงั้นมั้งนะพี่ ได้ข่าวตอนนี้ทางโน้นกำลังไล่เคลียร์ภารกิจต่อเนื่องอีกรายการหนึ่งอยู่ ว่ากันว่าคงเป็นอาวุธระดับแรงค์บีเลยด้วย คงเป็นภารกิจที่เปิดให้ทำหลังจากได้ครอบครองอาวุธแรงค์ซีละมั้ง ดูท่ายังไม่ทันข้ามไปทวีปที่สองพวกเราคงมีโอกาสได้เห็นอาวุธแรงค์เอก่อนแหงๆเลย”

    “แล้วไงละ? ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเรานี่นา ต่างคนต่างอยู่ก็ดีออก”

    “นั่นดิ ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็กลับกันเหอะ” อากิรอสพูดเห็นด้วยกันเอเซแล้วก็ชวนกลับ










    เมื่อหมดเรื่องที่ต้องทำในเมืองแบล็กแซนด์แล้วทั้งสี่คนใช้ ‘วาร์ปคริสตัล’ กลับสู่เมืองอารันด์ในเวลาไม่กี่วินาที พิกัดที่บันทึกตำแหน่งวาร์ปคือทุ่งหญ้านอกเมืองฝั่งทิศใต้เพราะพวกเขาไม่สามารถวาร์ปกลับเข้าเมืองได้โดยตรงอีกแล้ว ตอนนี้หากพวกเข้าต้องการเข้าเมืองไม่ว่าเมืองใดๆก็ตามต้องเสียค่าผ่านประตูเมืองถึงหนึ่งพันกิล เมื่อจ่ายเงินแล้วสามารถเข้าออกได้โดยไม่ถูกเรียกเก็บค่าผ่านทางอีกเป็นเวลายี่สิบสี่ชั่วโมง

    แต่กฎทุกกฎย่อมมีข้อยกเว้น นั่นคือหากจำเป็นต้องเข้าเมืองเพื่อส่งมอบภารกิจจะไม่เสียค่าผ่านประตูเมือง และนี่คืออีกหนึ่งเหตุผลที่พวกเขาผันตัวไปเป็นทหารรับจ้าง

    พวกเขาไม่เข้าเมืองให้เสียเงินไปเปล่าๆ ตอนนี้โพชั่นยังมีพร้อม เสบียงยังไม่ร่อยหรอ ของใช้ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตและการต่อสู้ยังมีอยู่ในปริมาณใช้งานได้ไปอีกสักพัก แคลนมัลดิโตปักหลักยึดกำแพงเมืองใกล้ๆกับประตูเมืองสร้างเพิงเล็กๆเป็นฐานทัพของทหารรับจ้างไปแล้ว มีไนซ์เป็นหน่วยสนับสนุนคอยหาซื้อไอเท็มและนำอาหารมาส่งให้โดยไม่ขาดตกบกพร่อง แต่ถ้าไนซ์ไม่ว่างหรือล็อกอินไม่ตรงกันก็ใช้วิธีไหว้วานฝากซื้อกับผู้เล่นที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดี

    รออยู่หนึ่งชั่วโมงกลุ่มผู้เล่นที่จองคิวไว้ยังไม่ติดต่อมาและติดต่อกลับไปไม่ได้ ถือว่ายกเลิกนัดหมายโดยทันที ตอนนี้พวกเขาสี่คนจึงว่างงานได้แต่รอให้มีผู้เล่นที่มีปัญหาเข้ามาติดต่อหน้างาน และเมื่อว่างแล้วกิจกรรมฆ่าเวลาที่ขาดไม่ได้สำหรับแคลนมัลดิโตคือการเล่นไพ่ เพียงแต่คราวนี้เป็นไพ่นกกระจอกญี่ปุ่น

    ทั้งสี่คนนั่งจั่วกันอย่างสบายอารมณ์ได้ไม่เท่าไรก็มีผู้เล่นหญิงคนหนึ่งมาหยุดยืนใกล้ๆเพิงหมาแหงนที่พวกเขาใช้เป็นที่ทำการกลุ่มทหารรับจ้าง

    “มีลูกค้ามาแฮะ”

    กุห์ฟานพูดขึ้นทั้งที่หันหลังให้ผู้เล่นหญิงคนนั้น ทากะหันไปมองเป็นคนแรกแต่พอเห็นว่าผู้เล่นหญิงคนนั้นเป็นใครเชือกบ่วงบาศในมือของเธอก็คล้องตัวเขาไว้ทันที

    หญิงสาวคนนั้นสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาวและเสื้อหนังสีดำ ท่อนล่างเป็นกางเกงขายาวสีน้ำตาลและรองเท้าบูทเสริมส้น สวมหมวกปีกกว้างสีน้ำตาลเข้มทับผมสีดำมัดเป็นทรงหางม้า พอมองการแต่งตัวของเธอบวกกับฝีมือขว้างเชือกแล้วก็เผลอนึกไปว่าเธอเป็นคาวเกิร์ลที่ฟาร์มไหนสักแห่ง จะขาดก็แต่ซองปืนคาดเข็มขัดและกระสุนเรียงเป็นตับเท่านั้น

    เฟรเทียร์ เอเดลไรย์ ฉีกยิ้มกว้างให้ทากะ “ไหนบอกว่าตีดาบเสร็จแล้วจะติดต่อมายังไงละ?”

    “อีตาทึ่มๆๆ อีตาบ้าๆๆ”

    เธอกระโดดลงไปเล่นงานทากะ ทั้งจิกหยิกและข่วนอย่างไม่ยั้งมือโดยที่เขาตอบโต้ไม่ได้เพราะโดนเชือกมัดอยู่ก่อน ทั้งสามคนที่เหลือมองกันไปมองกันมาแล้วก็ตัดสินใจล้มไพ่ล้างกระดานแล้วตั้งเล่นใหม่กันหน้าตาเฉย

    “เฮ้ยๆๆ อย่าเพิ่งเล่นเด้ มาช่วยกันก่อน!”

    “แหม! เราจะไปกล้ายุ่งได้อย่างไรกัน เราเองก็ยังรักและหวงแหนชีวิตนี้อยู่กันนะ” อากิรอสเอื้อมมือไปตบบ่าทากะสองที

    “ขอให้คนอื่นช่วยเหรอ? นายจำตอนที่บอกกับฉันได้รึเปล่าว่าพูดยังไงน่ะ จำได้ไหมๆๆ” ทากะโดนหยิกแก้มทั้งสองข้างจนได้แต่ส่งเสียงอู้อี้ๆ เมื่อดูแล้วเฟรเทียร์คงไม่หายโมโหง่ายๆบวกกับเพื่อนแต่ละคนของเขาไม่มีท่าทีจะยื่นมือเข้ามาช่วย สุดท้ายเขาก็ต้องพาตัวเองให้รอดพ้นจากสถานการณ์นี้เอง

    ทากะเกร็งกำลังขาส่งแรงมาที่เอวดีดตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง กลายเป็นทั้งสองนั่งหันหน้าเข้าหากันเหมือนคู่รักกำลังพลอดรักกัน ปลายจมูกของเขาอยู่ห่างจากริมฝีปากของเฟรเทียร์เพียงแค่ไม่กี่มิลลิเมตรเท่านั้น หญิงสาวตกใจเพราะถูกจ้องกะทันหันด้วยดวงตาสีดำคมปลาบ

    ทั้งอากิรอสและเอเซต่างลอบมองกันอย่างรู้ทันว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ในใจ – โคตรเหลือเชื่อที่คนอย่างทากะมีสาวสวยมาติดพันถึงสองคนแล้ว?

    “อะแฮ่ม พี่ทากะจะเล่นต่อรึเปล่า? ไม่งั้นพวกผมจะได้เปิดโหมดเล่นแบบสามคนพอ”

    เป็นกุห์ฟานที่ช่วยทำให้สถานการณ์กระอักกระอ่วนคลี่คลายออก เฟรเทียร์กระโดดผลุงถอยออกไปยืนเขินๆ ทากะคลายเชือกออกแล้วโบกมือบอกว่าคงไม่ได้เล่นแน่ๆ เขาแนะนำแต่ละคนรู้จักกันอย่างง่ายๆ เอเซได้โอกาสก็เลียบเคียงถามเฟรเทียร์ว่ารู้จักทากะได้อย่างไร เท่านั้นแหละทุกอย่างก็พรั่งพรูออกมาอย่างละเอียดยิบ ทั้งสามคนนั่งฟังไปอมยิ้มไปผิดกับทากะที่เหม่อมองทุ่งหญ้าพร้อมกับร้องไห้ในใจว่าให้สามคนนี้รู้เรื่องเท่ากับเขาต้องโดนล้อโดนแซวไปอีกนานแน่ๆ

    “จริงๆที่มาวันนี้คือจะมาขอความช่วยเหลือ ฉันอยากไปที่เมืองทางใต้ นายกับเพื่อนๆนายคุ้มกันฉันไปให้ถึงที่นั่นได้ไหม?”

    ทั้งสี่คนเหลือบมองกัน เมืองใต้ที่เธอว่าคือ ‘เวเนส’ ที่เพิ่งประกาศอย่างเป็นทางการให้เป็นเมืองหลวงของทวีปนี้ เป็นที่ตั้งของบรรดาสมาคมอาชีพทั้งหมด และที่สำคัญคือผู้เล่นที่อยากจะเป็นนักเวทนักอาคมหรือต้องการเรียนรู้เวทมนต์ต้องมาที่นี่เท่านั้นเพราะที่นี่คือนครมนตรา – เมืองแห่งเวทมนต์ที่หลายคนจินตนาการใฝ่ฝันอยากจะมาเยือนสักครั้งหนึ่งให้สมกับที่เป็นเกมแฟนตาซี

    เส้นทางไปเมืองเวเนสคือเส้นทางที่ยากที่สุดในบรรดาเส้นทางที่พวกเขาเคยผ่านไปในฐานะทหารรับจ้าง

    หนึ่งคือระยะทางที่ไกลมากใช้เวลาเดินทางถึงเจ็ดวันเต็มในเกม สองคือต้องผ่านทะเลทรายที่ทั้งร้อนและแห้งแล้ง สามคือป่ามายารอบเมืองมีมอนสเตอร์หฤโหดมากมายที่ต้องจัดการด้วยเวทมนต์เท่านั้น เป็นเหตุผลที่ผู้เล่นสายต่อสู้ด้วยอาวุธต้องมาขอพึ่งบริการจากเอเซและอากิรอสเป็นจำนวนมาก และเป็นเส้นทางเดียวที่แคลนมัลดิโต้ต้องรวมตัวไปให้พร้อมหน้าทุกคนจะขาดใครไปไม่ได้เลย

    ภารกิจจากเมืองอารันด์ไปที่เวเนสมีอยู่น้อยมาก หากมีผู้เล่นใดเผลอไปรับภารกิจแล้วมาขอความช่วยเหลือ พวกเขาจะประกาศหาคนร่วมทางด้วยกันในรอบเดียวไปเลย แต่ก็ยังจำกัดจำนวนสูงสุดรวมพวกเขาทั้งสี่คนแล้วไม่เกินสิบสองคนเท่านั้นเพื่อความปลอดภัยของทุกคนเอง และจากประสบการณ์ของพวกเขาเมื่อรับคุ้มกันในเส้นทางนี้ก็เตรียมขาดทุนได้เลยเพราะส่วนได้ใหญ่ได้แต่หนีศัตรูเป็นหลัก

    เอเซให้คอมเมนต์ว่าเส้นทางนี้มีอันตรายอยู่รอบตัวไม่น้อยหน้ากว่าป่าดำเลย

    “ฉันอยากจะไปสมาคมนักสำรวจ ไปบอกพวกเขาว่าฉันไม่อยากได้ตำแหน่งตัวแทนสมาคมในต่างเมืองนี่อีกแล้ว อยากเป็นแค่ผู้เล่นธรรมดาทั่วไปเท่านั้น ชวนใครก็ไม่มีใครไปด้วยแต่แนะนำให้มาหาพวกนายน่ะ”

    “โอเค พวกผมรับงานนี้แต่ต้องรออีกหลายวันหน่อยนะเพราะต้องรวมคนไปเยอะๆทีเดียวถึงจะคุ้มหน่อย แล้วค่อยนัดเวลาออนไลน์ ไปพร้อมกันถึงพร้อมกันทุกคน”

    “ไม่มีปัญหาหรอก แล้วแต่พวกเธอสะดวกเลย” เฟรเทียร์ตอบและขอบคุณกุห์ฟานอย่างเป็นกันเอง นักล่าสมบัติผมแดงจึงติดต่อไปหาไนซ์เพื่อฝากประกาศที่กระดานสาธารณะกลางเมืองและให้ช่วยเตรียมไอเท็มให้ด้วย

    เฟรเทียร์หันไปหาทากะด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์สุดๆ “นายยังต้องชดใช้ให้ฉันโทษฐานที่ผิดสัญญาอยู่นะ ยังอีกๆ ยังมาทำหน้ามึนไม่รู้เหนือรู้ใต้อีกแน่ะ”

    ทากะถอนหายใจเหนื่อยๆแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ “ครับๆ ถ้ามันเป็นความต้องการของคุณเฟรเทียร์ผมหรือจะกล้าขัดได้ ประเดี๋ยวโกรธขึ้นมาส่งชื่อผมไปที่สมาคมให้ปลดออกจากการเป็นนักสำรวจฝึกหัดผมก็ลำบากแย่สิ”

    “อ๊ะจริงสิ ฉันทำภารกิจค้างไว้อยู่ ไปช่วยฉันทำเลยละกัน ภารกิจง่ายๆ...ง่ายมากๆเลยละแค่ตามหา ‘แมลงเต่าทอง’ เอง”

    สมาชิกแคลนมัลดิโตอีกสามคนสะดุ้งทันทีเมื่อได้ยินชื่อภารกิจ ต่างคิดในใจพร้อมกับมองดูยิ้มกว้างของหญิงสาวตรงหน้า ภารกิจนี้มันใช่ภารกิจง่ายๆซะที่ไหนละแต่เป็นภารกิจ ‘โคตร-ยาก’ ต่างหาก

    “ง่าย? ตะกี๊คุณเฟรเทียร์พูดว่าง่ายเหรอ?”

    “อื้อ ง่ายๆ ระดับนายที่ล้มมังกรน้ำแข็งมาแล้วแค่นี้ไม่เท่าไรหรอกน่า ชั้นเชื่อมั่นในฝีมือของนายนะก็ขนาดใช้ค่าประสบการณ์ทั้งหมดไปขึ้นสกิลดาบจนไม่มีสกิลประจำอาชีพเลยนี่นา” รอยยิ้มของเฟรเทียร์ใครเห็นก็รู้ว่าเป็นรอยยิ้มสะใจที่ได้แก้เผ็ดเอาคืนอย่างเต็มที่

    ภารกิจนี้จัดอยู่ในหมวดหมู่ภารกิจรวบรวมไอเท็มให้เอ็นพีซี และของที่ต้องตามหาก็ตามชื่อเลยคือ แมลง เต่า และทอง เพียงแต่ว่าในละแวกเมืองอารันด์มีมอนสเตอร์ประเภทแมลงอยู่แค่ชนิดเดียวคือ ‘คิลเลอร์ฮอร์เน็ต’ ตัวต่อเพชฌฆาตอาศัยในเขตป่าลึกทางตะวันตก เป็นมอนสเตอร์ที่ผู้เล่นไม่อยากยุ่งด้วยมากเป็นอันดับต้นๆเพราะขนาดตัวของมันใหญ่พอๆกับหมาบ็อกเซอร์โตเต็มวัย เหล็กในยาวเกือบเมตรและพิษร้ายที่ทำให้เป็นอัมพาต แถมยังต้องจับเป็นอีกด้วย

    สามารถไปจับเต่าได้ที่แม่น้ำหลังจากเดินผ่านป่าไปได้แล้ว เต่าเป็นมอนสเตอร์ที่จับได้ง่ายๆถ้าในน้ำไม่มีมอนสเตอร์สายพันธุ์สัตว์น้ำที่กินวัวได้ทั้งตัวในพริบตาอย่าง ‘ปิรันยา’ อยู่หลายฝูง ส่วนไอเท็มชิ้นสุดท้ายคือทอง ต้องเดินย้อนขึ้นทางต้นน้ำจะมีหมู่บ้านของชาวเหมืองอยู่ พวกเขาจะมาร่อนทองที่แม่น้ำเป็นประจำและประกายล้ำค่าของทองคำก็ดึงดูด ‘อีกา’ ให้มาขโมยทองพวกนี้ด้วย อยากได้ทองต้องไปสู้เอากับอีกาเท่านั้น และบางครั้งถ้าโชคดีเข้าขั้นอาจจะได้สู้กับแรร์มอนสเตอร์อย่าง ‘พญาอีกาปากทอง’ อีกด้วย

    จดชื่อภารกิจตามหาแมลงเต่าทองให้อยู่ในรายชื่อภารกิจโรคจิตประจำเกมได้เลย






    อากิรอสกำลังจะลุกหนีก็ถูกทากะคว้าคอเสื้อไว้ได้ทัน เขารีบคว้าข้อเท้าเอเซไว้อีกต่อทันทีไม่ยอมถูกลากไปตามหาแมลงเต่าทองกับทากะแค่สองคนแน่นอน เรื่องแย่ๆแบบนี้ต้องแชร์ให้เพื่อนฝูงร่วมซวยด้วยถึงจะเรียกได้ว่าเป็นเพื่อนกันจริงๆ

    “อ๊ะๆ พี่เอเซไม่ต้องมาจับผม ผมต้องปรึกษาไนซ์เรื่องไปเมืองใต้นะ”

    กุห์ฟานยิ้มอย่างรู้ทันแกะมือของรุ่นพี่ผู้เป็นนักดาบมนตราออกจากไหล่ตัวเอง เสียงโวยวายดังลั่นเพิงหมาแหงนริมกำแพงเมืองอารันด์จนเอ็นพีซีทหารยามและผู้เล่นที่อยู่ละแวกนั้นต้องหันมามองด้วยความคิดที่ว่าพวกมัลดิโตคงเป็นบ้าเพราะอากาศร้อนไปแล้วแน่ๆ
    soulmaster, taleoftrue และ joi100 ถูกใจสิ่งนี้
  6. yoshiki

    yoshiki FATE

    EXP:
    862
    ถูกใจที่ได้รับ:
    17
    คะแนน Trophy:
    38
    อยากจะบอกว่า มันเยอะมาก เดะต้องหาเวลาอ่านแต่แรก ฮ่าๆๆๆๆ
    Azemag ถูกใจสิ่งนี้
  7. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    ตามสบายไอ้น้อง
  8. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    Grand Gaia Online 25 – Starry Night




    ตะวันทอแสงสีทองรำไรที่ขอบฟ้าเป็นสัญญาณเริ่มต้นในเช้าวันใหม่ คนแปดคนออกเดินทางมุ่งหน้าลงใต้สู่ ‘เวเนส’ นครแห่งมนตรา เมืองหลวงของทวีปแรกในเกมแกรนด์ไกอาออนไลน์ เส้นทางที่ถูกขนานนามว่าเส้นทางหฤโหด ด้วยความไกลสุดขีดอากาศร้อนสุดทนและเต็มไปด้วยมอนสเตอร์แข็งแกร่งและดุร้ายมากมาย

    แปดคนในกลุ่มประกอบด้วยสี่หนุ่มแคลนแคลนมัลดิโตในฐานะทหารรับจ้างและสี่สาวสี่สไตล์ในฐานะผู้ว่าจ้าง

    สาวคนแรกคือเฟรเทียร์ เอเดลไรย์ สาวสูงโปร่งสุดมั่นในชุดกะทัดรัดทะมัดทะแมง เสื้อเชิ้ตขาวแขนยาวและเสื้อหนังสีดำ กางเกงขาวยาวสีน้ำตาลเข้มกับรองเท้าบูทเสริมส้นสีดำ สวมหมวกปีกกว้างสีเดียวกับกางเกง ในขณะที่สาวคนที่สองคือไนซ์ วันนี้ไม่ได้ใส่ชุดเมดแต่เป็นเสื้อแขนสั้นสีเหลืองอ่อน กระโปรงสีดำยาวถึงเข่า ใส่รองเท้าหุ้มข้อ สวมเกราะเหล็กอ่อนป้องกันช่วงหน้าอก ห้อยดาบคู่อยู่ข้างเอว เปลี่ยนมาดจากสาวรับใช้เป็นนักดาบหญิงผู้ซ่อนฝีมือสุดแกร่งภายใต้ใบหน้าอ่อนหวาน

    คนที่สามคือมิยู วันนี้เธอเปลี่ยนเสื้อจากสีชมพูเป็นสีฟ้าสดใส กระโปรงสั้นสีขาวทับอยู่ด้านนอกกางเกงรัดรูปขายาวสีดำ บนเข็มขัดด้านซ้ายคือดาบโค้งอาวุธคู่ใจ สะพายโล่ไม้กลมเล็กๆไว้กลางหลัง ดวงตาสีเขียวแสดงความซุกซนขี้เล่นออกมาพร้อมรอยยิ้มสดใส เป็นผู้หญิงที่ทำให้ผู้ชายทุกคนตกหลุมรักได้เพียงครั้งแรกที่สบตา

    และคนสุดท้ายคือเพื่อนของมิยูชื่อนัตสึมิ เธอเป็นสาวเปรี้ยวเต็มตัว ผมสีน้ำตาลแดงซอยสั้น ใส่เสื้อคอกลมสีส้มและเสื้อกั๊กสีเข้มอีกตัวหนึ่ง ท่อนล่างเป็นกระโปรงยีนส์สีซีดตัดปลายให้รุ่ย ทาเล็บสีส้มสะท้อนแสง ใส่รองเท้าผ้าใบสีม่วง ใช้ธนูเป็นอาวุธหลักสะพายกระบอกลูกธนูไว้ที่หลังเอวพร้อมกับดาบสั้นอีกเล่มหนึ่ง มิยูแนะนำตัวให้นัตสึมิว่าเป็นเพื่อนร่วมคณะที่เธอสนิทที่สุด

    ตอนที่กุห์ฟานติดต่อให้ไนซ์ช่วยประกาศรับสมัครคนไปเมืองเวเนสพอดีมิยูอยู่ที่ร้านด้วย มิยูเลยรีบบอกว่าอยากไปและจะพาเพื่อนไปด้วยอีกคนหนึ่ง พอไนซ์บอกว่าอยากไปด้วยเหมือนกันกุห์ฟานเลยต้องเปลี่ยนแผนเป็นไม่รับสมัครคนเพิ่มแต่ไปกันเท่าที่มีก็พอแล้ว








    จากเมืองอารันด์ไปเมืองแบล็คแซนด์ใช้เวลาสองวันสำหรับการเดินเท้า เพื่อย่นเวลาให้เหลือเพียงหนึ่งวันทำให้กุห์ฟานต้องลงทุนเช่าม้ามาใช้งาน แต่ค่าเช่าม้าแพงมากเขาเลยเช่ามาแค่สี่ตัวเท่านั้น ไนซ์ไปด้วยม้าตัวเดียวกับกุห์ฟานได้อยู่แล้ว เฟรเทียร์ขัดขืนพอเป็นพิธีในตอนแรกเท่านั้นแถมขึ้นไปนั่งบนอานก่อนทากะเสียอีก มิยูไม่มีปัญหาที่ต้องไปกับเอเซเช่นกัน แต่คู่สุดท้ายมีปัญหาเพราะนิสัยชอบจิกกัดของอากิรอส

    “นายจะบอกว่าฉันหนักรึไงม้ามันถึงไม่ยอมเดินน่ะ?” นัตสึมิแผดเสียงใส่ข้างหูอากิรอสที่เป็นคนบังคับบังเหียนอยู่ด้านหน้า

    “ไม่อ่ะ...ตอนนี้ม้ามันไม่ยอมเดินเพราะแก้วหูมันแตกแล้วแหงๆ”

    “หาว่าฉันเสียงดังรึไง?”

    “คนเราไม่รู้หรอกว่าตัวเองพูดเสียงดังเพราะชินกับเสียงตัวเอง จึงไม่น่าแปลกใจที่คุณนัตสึมิจะไม่รู้ตัวเองว่าเป็นคนเสียงดัง” อากิรอสหันมาตอบพร้อมกับรอยยิ้มยียวนสุดๆ โดนจิกกัดซึ่งหน้าขนาดนี้นัตสึมิก็ยิ่งโกรธพูดเสียงดังขึ้นอีก

    “คนบางคนก็ไม่รู้ตัวหรอกว่าชอบกวนประสาทคนอื่นเพราะทำจนติดเป็นสันดานไปแล้วน่ะ!”

    “ว้าว! สันดอนขุดไม่ได้แต่สันดานขุดได้”

    อากิรอสจงใจพูดสำนวนให้ผิดเพื่อกวนประสาท แต่ก่อนที่การปะทะคารมจะรุนแรงไปกว่านี้ กุห์ฟานต้องเข้ามาห้ามทัพด้วยเหตุผลที่ว่าถ้าเดินทางช้าจะมีปัญหาตามมาอีกเยอะทั้งสองคนถึงหยุดเถียงกันได้ ม้าทั้งสี่ตัวห้อทะยานด้วยความเร็วสูงสุด สี่สาวที่เกาะอยู่ด้านหลังหมดโอกาสมองทัศนียภาพใดๆเพราะลมกระแทกเข้าใส่จนต้องหลับตาอย่างเดียว ได้ยินแต่เสียงฝีเท้าม้าย่ำพื้นและเสียงของสายลมเท่านั้น

    กลางทางมีหมาป่าสีน้ำเงินซึ่งเป็นมอนสเตอร์จู่โจมก่อนวิ่งไล่กวดมาจากด้านข้างแต่ก็ไม่มีตัวไหนไล่ตามความเร็วของม้าได้เลย ครั้งหนึ่งนัตสึมิปลดธนูจากไหล่จะลองยิงมอนสเตอร์จากบนหลังม้าบ้างแต่อากิรอสกระตุกบังเหียนให้ม้าเลี้ยวออกทำให้เธอเสียหลักยิงพลาดห่างเป้าไปหลายเมตรแถมยังหัวเราะเสียงดังเต็มที่ นักธนูสาวจึงได้แต่กัดฟันด้วยความโมโห

    ควบม้าตั้งแต่เช้าจนเที่ยง กุห์ฟานจึงให้สัญญาณหยุดชั่วคราวที่ชายป่าก่อนจะข้ามเข้าสู่อาณาเขตของทะเลทราย ทากะและอากิรอสจับไม้สั้นไม้ยาวแพ้จึงต้องไปตัดหญ้ามาให้ม้ากินส่วนคนอื่นๆได้พักผ่อนกัน สองสาวที่เพิ่งได้ชิมอาหารของไนซ์เป็นครั้งแรกต่างตื่นเต้นยกใหญ่ ถามว่าไปหาวัตถุดิบมาจากไหน ฝึกนานแค่ไหนถึงทำอาหารได้อร่อยขนาดนี้ จนสุดท้ายก็ฝากตัวเป็นลูกศิษย์ตามมิยูไปทั้งสองคน

    ในระหว่างที่สี่สาวคุยกันสนุกสนานฝั่งสี่หนุ่มก็ได้แต่นั่งแทะแซนด์วิชแกล้มน้ำชาและคุยกันผ่านช่องทางของแคลน

    “นี่เอ็งวางแผนมาใช่ไหมเนี่ยไอ้คุณกุห์ฟาน?”

    “ถ้าผมบอกว่าไม่ได้วางแผนไว้พี่จะเชื่อปะหละ? ก็บอกแล้วว่าม้ามันแพงหรือคราวหน้าพี่จะเป็นค่าออกค่าเช่าม้าอีกสี่ตัวจะได้ไม่มีปัญหาแบบวันนี้”

    “สหายบ่นอยากมีแฟนมาตั้งนานแล้วนี่นา นี่ก็เป็นโอกาสดีแล้วนี่นา เริ่มต้นด้วยการทะเลาะกันก็ทำให้สนิทกันเร็วดีนะ”

    “อ๋อ เหมือนนายกับเฟรเทียร์น่ะนะ?”

    ทากะตั้งใจจะแซวเพื่อนแต่โดนเพื่อนแซวกลับแทน “แล้วแต่สหายจะคิด”

    “นายก็ไม่น่าไปแซวน้องเค้าแรงขนาดนั้นตั้งแต่วินาทีแรกเลย รู้ทั้งรู้ว่าเรื่องน้ำหนักตัวของผู้หญิงนี่เป็นเรื่องต้องห้าม” เอเซเป็นฝ่ายเข้าข้างทากะในครั้งนี้

    “เหอะ! งั้นนายเปลี่ยนม้ากับเราละกัน”

    “ฝันไปเหอะ!”

    “สหายก็เพลาๆความปากหมาลงบ้าง อย่างที่เอเซมันบอกน่ะแหละนี่เพิ่งเจอกันครั้งแรกสหายก็จัดหนักจัดเต็มแล้วมันไม่เฟิร์สอิมเพรซซ่าเลย”

    “เฟิร์สอิมเพรสชั่นเว้ย! อิมเพรซซ่านั่นมันยี่ห้อรถแล้วไอ้ทากะ” เอเซต้องช่วยแก้ให้ทากะที่มีปัญหากับภาษาอังกฤษ ได้เกรดไม่เคยเกินสองมาตั้งแต่มัธยมต้นแล้ว

    “อ้าวเหรอ? แล้วไอ้อิมเพรสชั่นที่ว่านี่เหมือนเอสเพรสโซ่รึเปล่าวะ?”

    “นั่นมันกาแฟโว้ย!”

    “โวะ! พวกนายจะเอาฮาไปไหนเนี่ย”

    “ตัวเองก่อเรื่องไว้เองแล้วจะมาเรียกร้องอะไรอีกละ?” กุห์ฟานกดดันด้วยวาจาและสายตานิ่งเฉย

    “ก็ไม่ได้เรียกร้องอะไรแค่สงสัยเท่านั้นเอง”

    “แล้วตอนนี้หายสงสัยยัง? จบนะ” กุห์ฟานตัดบทเอาดื้อๆ ทากะกับเอเซเอื้อมมือไปตบบ่าอากิรอส ไม่ใช่ปลอบใจแต่เพื่อซ้ำเติมอย่างสะใจ








    ม้าหายเหนื่อยและคนกินอิ่มชายหญิงสี่คู่ออกเดินทางอีกครั้ง ตามแผนต้องไปถึงเมืองแบล็กแซนด์ให้ได้ก่อนค่ำจะได้ไม่มีปัญหาถูกมอนสเตอร์ที่เก่งขึ้นในเวลากลางคืนดักเล่นงานเพราะค่าปรับฐานทำม้าตายแพงกว่าค่าเช่าถึงห้าเท่า ม้าทั้งสี่ตัววิ่งเรียงเดี่ยวตามหลังกันมาเป็นแถวตอน พอเข้าเขตทะเลทรายสี่สาวต้องหาผ้าขึ้นมาปิดหน้าเพราะถูกฝุ่นทรายตลบขึ้นมาเล่นงานจนแสบตาไปหมด ส่วนบรรดาชายหนุ่มที่คุมบังเหียนต่างสวมแว่นตากันลมเรียบร้อยแล้ว

    จู่ๆม้าของกุห์ฟานและไนซ์หยุดวิ่งกะทันหัน เบรกจนตัวโก่งยกสองขาหน้าขึ้นมาและส่งเสียงร้องอย่างตื่นตระหนก ม้าอีกสามตัวที่ตามมาด้านหลังต่างแสดงอาการเดียวกัน ทหารรับจ้างทั้งสี่คนรู้ดีว่าสัญญาณนี้หมายถึงมีศัตรูอยู่ด้านหน้าในระยะอันตราย แต่สกิลค้นหาศัตรูของทั้งสี่คนซึ่งอยู่ในระดับสูงไม่สามารถระบุตำแหน่งได้แสดงว่าสกิลพรางตัวของมอนสเตอร์ตัวนี้มีระดับสูงกว่า

    “งวดนี้โชคดีชะมัดได้เจอกับแรร์มอนสเตอร์ด้วย” อากิรอสยัดบังเหียนใส่มือนัตสึมิแล้วกระโดดลงจากหลังม้าทันทีโดยไม่รอฟังคำเตือนของเธอ ชาวมัลดิโตอีกสามคนลงจากหลังม้าแล้วเช่นกัน ช่วยกันต้อนม้าไปรวมกลุ่มและยืนคุ้มกันอยู่ทั้งสี่ด้าน

    “มิยู ช่วยทำให้ม้าสงบลงหน่อย ลูบแผงคอมันเบาๆก็ได้”

    “ได้ค่ะ” เธอตอบรับและรีบทำตามตัวที

    เฟรเทียร์รีบดึงหน้าไม้ออกมาเตรียมพร้อมไว้ทันที แต่ทากะยกมือจับข้อมือเธอไว้พร้อมกับส่งข้อความผ่านสายตาว่าให้อยู่เฉยๆไว้ก่อน

    กุห์ฟานหยิบคริสตัลสีเขียวออกมาก้อนหนึ่ง ยกขึ้นมาไว้ในระดับสายตาและมองผ่านคริสตัลก้อนนั้นจากขวาไปซ้าย คริสตัลเปลี่ยนจากสีจากเขียวเป็นเหลืองอ่อนและเข้มขึ้นเรื่อยๆจนเป็นสีแดงสว่างเมื่อเลื่อนไปถึงเนินทรายแห่งหนึ่ง

    “ตรงนั้นแหละพี่” ทันทีที่กุห์ฟานระบุตำแหน่งได้ ทั้งทากะและเอเซถีบพื้นทะยานตัวออกไปอย่างรวดเร็ว

    “อ๊ะ! เดี๋ยวสิไม่เข้าไปพร้อมๆกันหรอกเหรอ?” นัตสึมิร้องขึ้นอย่างตกใจ

    “ไม่เป็นไรหรอก พี่สองคนนั้นน่ะเก่งสุดยอดเลยนะ” ไนซ์หันไปบอกเพื่อนใหม่ด้วยรอยยิ้มเพราะรู้ฝีมือของนักดาบทั้งสองคนดีอยู่แล้ว

    เนินทรายระเบิดออกพร้อมกับเสียงสั่นกระดิ่ง ร่างของมอนสเตอร์ขนาดยักษ์ผุดขึ้นมาจากทราย ลำตัวอวบอ้วนยาวหลายสิบเมตรปกคลุมด้วยเกล็ดแข็งสีน้ำตาลเข้มและอ่อนสลับกันจนเกิดเป็นลวดลายน่าพิศวง ดวงตาสีเหลืองอำพันจับจ้องมองมนุษย์ตัวกะจ้อยร่อยทั้งสอง ลิ้นสีแดงสองแฉกตวัดออกมาเป็นจังหวะเพื่อสัมผัสความเคลื่อนไหวรอบตัว

    ‘งูหางกระดิ่งทะเลทราย’ มอนสเตอร์ชื่อธรรมดาๆ แต่เป็นถึงแรร์มอนสเตอร์ในแรงค์อี

    ทันทีที่มันอ้าปากส่งเสียงขู่ฟ่อๆ ลูกไฟยักษ์เจ็ดลูกก็ตกลงมาจากท้องฟ้าเหมือนอุกกาบาต เกิดระเบิดเพลิงตูมใหญ่จนฝุ่นทรายกระจายไปทั่วทุกทิศ เงาสีดำและเงาสีน้ำตาลพุ่งเข้าไปม่านหมอกทรายทะเลเพลิงเหมือนรอจังหวะนี้อยู่ก่อนแล้ว เสียงขู่ของงูหางกระดิ่งดังลั่นและอาละวาดหนักสะบัดตัวสะบัดหางจนฝุ่นทรายคลุ้งตลบมากยิ่งขึ้น

    ไม่เกินห้านาที...งูหางกระดิ่งยาวสามสิบเมตรล้มตายด้วยสภาพมีแผลเหวอะหวะตลอดตั้งแต่หัวยันหาง และถูกย่างจนไหม้เกรียมอีกด้วย

    “ได้อะไรมั่งพี่”

    “เกล็ดงูสี่ พิษงูสองหลอดใหญ่ เขี้ยวงูได้แค่หนึ่งว่ะ” เอเซตอบคำถามของกุห์ฟานแล้วเทรดโอนไอเท็มให้ไป

    “เกล็ดหก เขี้ยวหนึ่ง เนื้องูสอง” ทากะเทรดไอเท็มตามหลังไปติดๆ

    นัตสึมิอ้าปากค้าง เธอมีประสบการณ์สู้แรร์มอนสเตอร์กับผู้เล่นกลุ่มอื่นมาบ้าง ตอนนั้นยังต้องใช้ผู้เล่นร่วมยี่สิบสามสิบคนกว่าจะล้มมันลงได้ แต่นี่เพียงแค่นักดาบสองคนเป็นแนวหน้าและมีนักเวทสนับสนุนอยู่ด้านหลังแค่คนเดียวเท่านั้นก็ปราบแรร์มอนสเตอร์ได้แล้ว และที่สำคัญคือพลังชีวิตของทั้งสองคนลดลงไม่ถึงครึ่งหนึ่งเลยด้วยซ้ำ ได้เห็นฝีมือพวกเขากับตาแล้วก็ต้องยอมรับว่าแข็งแกร่งจริงๆ

    “ไม่น่าเป็นห่วงเลย” เฟรเทียร์พูดประชดเมื่อทากะกลับขึ้นม้ามาแล้ว

    อากิรอสได้จังหวะก็อ้าปากแซวทันที “เป็นห่วงทากะหรือเป็นห่วงกลัวไปไม่ถึงเมืองใต้กันแน่?”

    “เป็นห่วงทุกคนนั่นแหละ” เฟรเทียร์เตะท้องม้าให้ออกวิ่งก่อนที่ใครจะเห็นว่าเธอเริ่มจะหน้าแดงขึ้นแล้ว

    “บอกแล้วใช่ไหมว่าผมเป็นคนที่สุภาพที่สุดในแคลนแล้ว” ทากะพูดจบก็โดนหยิกต้นแขนทันที








    ทั้งแปดคนมาถึงเมืองแบล็กแซนด์ช้ากว่าที่คาดไปเล็กน้อยแต่ก็มาถึงได้โดยสวัสดิภาพ ทั้งคนทั้งม้าอ่อนล้าเต็มทีเพราะเดินทางกรำแดดฝ่าอากาศร้อนมาตลอดทั้งบ่าย กุห์ฟานเอาม้าทั้งสี่ตัวไปส่งที่ซุ้มบริการเช่าม้าพร้อมกับอากิรอส ส่วนทากะและเอเซรับหน้าที่ตั้งกระโจมหลังใหญ่โดยยึดเอาที่ว่างริมรั้วใกล้ๆประตูเมืองเป็นจุดตั้งแคมป์

    “เป็นพวกนายก็ลำบากเหมือนกันนะเมืองอยู่ห่างแค่ไม่กี่ก้าวแต่เข้าไปไม่ได้ เตียงนุ่มๆในโรงแรมมีให้พักแต่ก็ใช้บริการไม่ได้” เฟรเทียร์อดพูดขึ้นมาอย่างเห็นใจไม่ได้

    “ก็ไม่ได้แย่มากนี่นา นอนกินลมชมวิวดูดาวบนฟ้ากลางทะเลทรายก็ได้บรรยากาศดีออก” ทากะตอบกลับในขณะที่ผูกเชือกมัดเป็นปมที่สมอบก

    นัตสึมิไม่ค่อยรู้เรื่องของแคลนมัลดิโตเท่าไรเพราะนานๆมาจะล็อกอินเข้ามาเล่นเกมใช้โอกาสที่อากิรอสไม่อยู่ถามว่าทำไมพวกเขาถึงเข้าเมืองไม่ได้ พอรู้จากคำอธิบายของทากะว่าทั้งแคลนติดหนี้เมืองบลูเพิร์ลอยู่สองล้านห้าแสนกิลจนโดนประกาศโทษเพิ่มค่าบริการทุกอย่างสิบเท่าและต้องเสียค่าผ่านประตูเมืองด้วยก็ทำท่าจะเป็นลม

    “เงินสองล้านห้านี่ไม่ใช่น้อยๆเลยนะเนี่ย” นักธนูสาวยังทำหน้าเหวออยู่

    “ชาตินี้ใช้คืนไม่ทันก็ค่อยว่ากันชาติหน้าละกัน” เอเซพูดติดตลก

    ทากะม้วนผ้าขึ้นไปเก็บไว้ด้านบนเปิดเป็นช่องประตู “เอ้าเสร็จแล้ว เข้ามาด้านในเถอะ”

    กระโจมผ้าสี่เหลี่ยมกว้างขวางในขนาดสี่คูณสี่เมตร ตรงกลางถูกขุดเป็นหลุมลึกสำหรับก่อไฟโดยมีก้อนหินวางกั้นเป็นขอบหลุม ปูผ้าใบสีดำบนพื้นทรายและใช้พรมขนสัตว์ปูไว้ด้านบนอีกชั้นหนึ่งแถมเบาะรองนั่งส่วนบุคคลอีกด้วย

    “อืม ไม่เลวนี่นา”

    เฟรเทียร์ก้าวเข้ามาเป็นคนแรกตามด้วยมิยูและนัตสึมิ ปิดท้ายด้วยไนซ์ ด้านกุห์ฟานและอากิรอสตามมาสมทบครบขบวนในเวลาต่อมาไม่นาน จานหลักของมื้อเย็นคือเรื่องราวการผจญภัยของแต่ละคนโดยมีมันฝรั่งทอดและสลัดผักเป็นของว่าง ไนซ์ทำตัวเป็นสาวรับใช้คอยรินชาเติมให้ทุกคนแม้เฟรเทียร์จะบอกว่าให้นั่งอยู่เฉยๆและคอยใช้งานพวกผู้ชายจะดีกว่า แต่ไนซ์ตอบว่าทำจนติดเป็นนิสัยไปแล้ว

    นั่งเล่นนั่งคุยกันทั้งคืนจนถึงตีสี่ กุห์ฟานจึงบอกให้เตรียมพร้อมออกเดินทางอีกครั้ง เป้าหมายของวันนี้คือเดินทางไปให้ถึงปีรามิดร้างเพื่อใช้เป็นที่พัก ต่อจากนี้ต้องเดินเท้าตลอดเส้นทางที่เหลือกุห์ฟานจึงหยิบไอเท็มชนิดหนึ่งไปให้พวกสาวๆ

    “นี่เป็นถุงเท้าพิเศษ ป้องกันทรายกัดแล้วยังช่วยให้ประหยัดพลังกายด้วยจะได้ไม่เหนื่อยมาก”

    ทั้งสี่คนรับไปใส่แล้วก็ตกใจเมื่อถุงเท้ากลืนหายเป็นหนึ่งเดียวกับขาของพวกเธอ แถมยังช่วยให้รู้สึกเย็นสบายมากกว่าปกติอีกด้วย

    เริ่มต้นเดินทางก่อนตีห้าเล็กน้อย คนนำทางคือทากะและเอเซ ตามด้วยกลุ่มสาวๆเดินเป็นสามคู่อยู่ตรงกลางมีกุห์ฟานและอากิรอสห้อยท้ายปิดขบวน นักดาบมนตราทำหน้าที่ตรวจสอบศัตรูด้วยกล้องส่องทางไกลในขณะที่หัวหน้าแคลนถือเข็มทิศตรวจอยู่กับแผนที่ตลอดเวลา ตลอดสามชั่วโมงจนถึงแปดโมงเช้าทุกอย่างราบรื่นไม่มีมอนสเตอร์โผล่มากวนใจสักตัว สี่สาวคุยกันโดยไม่มีทีท่าว่าเหนื่อยหรือเบื่อแม้แต่นิด

    หยุดพักทานมื้อเช้าเบาๆด้วยแซนด์วิชแบบง่ายๆแล้วเดินทางต่อทันที พอพื้นทรายเริ่มระอุหลังจากถูกแสงแดดส่องติดต่อกันนานๆ เสียงพูดคุยจากในกลุ่มสาวๆเริ่มเบาลงและขาดหายไปจนกลายเป็นทุกคนเงียบไปจนหมด อากาศก็ร้อนขึ้นเรื่อยๆเพราะใกล้เวลาเที่ยงเข้าไปทุกวินาที พวกเธออยากไปจากทะเลทรายนี่เต็มทีแล้วแต่คนนำขบวนเดี๋ยวก็เดินเร็วเดี๋ยวก็เดินช้าทั้งที่ไม่มีอุปสรรคอะไรเลย

    นัตสึมิเป็นคนไม่อดทนต่อความสงสัย เมื่อสงสัยเธอจึงถามทันที “นี่...กุห์ฟาน ช่วยบอกหน่อยได้ไหมทำไมสองคนนั่นถึงต้องเดินเร็วบ้างช้าบ้างด้วยละ”

    “ก่อนจะเข้าสู่ใจกลางทะเลทรายพื้นที่จะถูกแบ่งเป็นแอเรีย แต่ละแอเรียกว้างยาวสามกิโลเมตรเท่ากับเก้าตารางกิโลเมตร ในหนึ่งชั่วโมงแต่ละแอเรียจะถูกแรนด้อมสลับตำแหน่งกันถึงต้องเร่งเดินให้เร็วขึ้นเพื่อออกจากแอเรีย ส่วนที่เดินช้าก็ต้องตรวจสอบทิศทางเพราะแอเรียถูกหมุนกลับทิศไม่งั้นได้เดินวนกลับทางเดิมหลงทางอยู่ในนี้ทั้งวันทั้งคืนแน่ๆ”

    “แล้วทำไมต้องฝ่าตรงนี้ด้วยละ อ้อมไปไม่ได้เหรอ?” เฟรเทียร์ถามเป็นข้อมูลไว้เพราะเธอเป็นนักสำรวจ หากได้รับภารกิจที่ต้องมาสำรวจแถวๆนี้ในอนาคตเธอจะได้ไม่ลำบากมาก

    “อ้อมก็ได้แต่เสียเวลาเพิ่ม มอนสเตอร์รอบนอกไม่เก่งแต่มีเยอะมากทำให้เสียเวลาเป็นเท่าตัว ไม่ต้องห่วงหรอกพวกเรารู้เส้นทางดีอยู่แล้วรับรองว่าไม่หลงแน่ๆ”

    “ถ้าไม่ว่าอะไร...ฉันขอข้อมูลแผนที่หน่อยสิ เผื่อไว้ต้องมาทำภารกิจแถวนี้”

    “ไม่มีปัญหา แต่เข็มทิศต้องใช้เข็มทิศพิเศษที่ทำจากวัตถุดิบในนี้เท่านั้นนะ เดี๋ยวพ้นตรงนี้แล้วแวะไปล่ามอนสเตอร์แก้เบื่อละกัน” กุห์ฟานพอจะจับความรู้สึกของพวกเธอได้จึงบอกไปแบบนั้น เพราะทุกครั้งที่คุ้มกันผู้เล่นกลุ่มอื่นผ่านเส้นทางนี้ทุกกลุ่มมีท่าทีไม่ต่างกันคือทนต่ออากาศร้อนไม่ได้และเริ่มเบื่อหน่ายกับการเดินทางที่ไม่มีที่สิ้นสุด

    “เดี๋ยวจะได้รู้กันแล้วว่าฝีมือยิงธนูของนัตสึมิจังเนี่ยอยู่ในระดับไหน?” ดูท่านิสัยเสียของอากิรอสจะยังแก้ไม่หาย ไม่ทันไรก็ไปแหย่เพื่อนสาวของมิยูเข้าอีกแล้ว

    “รับรองได้เลยว่าฉันจะยิงปักหัวนายเป็นสิ่งแรกก่อนมอนสเตอร์ซะอีก” นักธนูสาวแยกเขี้ยวขู่ทันที

    “ว้าว! น่ากลัวจังเลย”

    กุห์ฟานขยิบตาให้ทุกคนเร่งเดินขึ้นหน้าไปหน่อย ปล่อยให้สองคนนั้นจิกกัดลับฝีปากกันต่อไปคงจะดีกว่า

    บ่ายโมงยี่สิบสองนาที ทากะและเอเซก็พาทุกคนออกจาก ‘แรนด้อมแอเรีย’ ได้สำเร็จจึงหยุดพักกินข้าวกลางวันกันแบบเหนื่อยๆทั้งคนนำและคนตาม เต็นท์แบบเปิดโล่งถูกสร้างขึ้นง่ายๆด้วยเสาเหล็กสี่เสาปูผ้าใบกันแดดไว้ด้านบน ถึงจะร้อนและเหนื่อยจนไม่อยากกินแค่ไหนก็ต้องกินเข้าไปเพราะสถานะความหิวเป็นแถบสีแดงเต็มขีดจำกัดแล้ว

    เมื่ออิ่มและหายเหนื่อยแล้ว กุห์ฟานในฐานะผู้ควบคุมเวลาบอกให้ออกเดินทางเพื่อไปล่ามอนสเตอร์และหาวัตถุดิบทำเข็มทิศให้เฟรเทียร์ด้วย

    มอนสเตอร์ตัวนั้น ‘มดแดงทะเลทราย’ ยาวประมาณสองเมตร ดวงตาสีนิลดวงใหญ่ให้ความรู้สึกน่ากลัว เขี้ยวคู่ใหญ่บนกรามแข็งแกร่งสามารถป่นหินให้แหลกได้ ขาทั้งหกข้างมีลักษณะเป็นใบมีดแหลมคม สามารถปล่อยพิษออกจากส่วนก้นได้ด้วย อยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่ตั้งแต่สิบถึงยี่สิบตัว

    “พวกๆพี่ไปพักบ้างเถอะ รอบนี้ปล่อยให้พวกเราจัดการกันเองนะคะ” ไนซ์ยิ้มบอกพร้อมกับควงดาบคู่อย่างแคล่วคล่องชำนาญ สามสาวรู้ดีว่าไนซ์มีประสบการณ์ต่อสู้มากแค่ไหนจากที่ได้คุยกันจึงยกให้เธอเป็นคนสั่งการอย่างพร้อมใจโดยไม่ขัดข้องแต่น้อย

    “งั้นมิยูทำตามแผนเดิมเหมือนตอนสู้เฟนริล รบกวนเฟรเทียร์กับนัตสึมิช่วยยิงธนูสกัดจากทางสองด้านด้วยนะ” เธอบอกแล้วฉุดมือมิยูวิ่งเข้าฝูงมดแดงทันที

    มดแดงทะเลทรายเป็นมอนสเตอร์หวงถิ่น เมื่อมีผู้บุกรุกจึงส่งสัญญาณบอกต่อๆกันและกรูเข้าหาศัตรูจากรอบด้าน เฟรเทียร์ยิงหน้าไม้สกัดทางซ้ายในขณะที่นัตสึมิยิงธนูต้านทางด้านขวาไว้ นักดาบสาวทั้งสองตะลุยสู้กับมดที่บุกเข้ามาลึกที่สุด ไนซ์เป็นตัวปะทะยื้อศัตรูเปิดช่องว่างให้มิยูจู่โจมจากด้านนอกได้ง่ายๆ พริบตาเดียวทั้งคู่ก็ส่งมดแดงไปสู่ความตายถึงสี่ตัวแล้ว

    อากิรอสผิวปากอย่างอารมณ์ดีเมื่อเห็นฝีมือยิงธนูของนัตสึมิ ลูกธนูของเธอเข้าเป้าร้อยเปอร์เซ็นต์แม้จะไม่ถึงขนาดโดนจุดตายล้มได้ในทีเดียวแต่ทำให้ศัตรูชะงักไม่มีโอกาสเข้าถึงตัวได้

    มดสามตัวสุดท้ายจากด้านข้างถูกส่งไปเกิดใหม่ด้วยระเบิดมือของเฟรเทียร์และลูกธนูจากนัตสึมิ ส่วนมิยูและไนซ์เพิ่งประสานดาบแทงเข้าคอของมดตัวสุดท้ายส่งมันตามทั้งฝูงไปติดๆ

    “รอบนี้ได้กี่คะแนนดีละ?” มิยูยิ้มแย้มถามกุห์ฟาน

    “มิยูเต็มสิบ พี่เฟรเทียร์เต็มสิบ นัตสึมิเอาไปเก้าแต้มพอเพราะยังพัฒนาฝีมือได้อีก ส่วนไนซ์...เอาไปแค่แปดละกัน บางจังหวะมีโอกาสฆ่าได้ต้องฆ่าเลยไม่ต้องรั้งมือกลับ”

    ไนซ์ยิ้มหวานไม่สนใจว่าตัวเองได้คะแนนน้อยกว่าคนอื่น “แปดแต้มตลอดกาลนั่นแหละดีแล้ว”

    “กลับมากันพอดีเลยแฮะ” อากิรอสหันไปทางทากะและเอเซซึ่งหายตัวไประหว่างที่สาวๆกำลังต่อสู้ พวกเขาแบกสัตว์เลื้อยคลานชนิดหนึ่งไว้บนบ่ากลับมาด้วย

    “ตัวอะไรน่ะ? อย่าบอกนะว่า...” นัตสึมิหรี่ตามองอย่างระแวง ยังไงเธอเป็นผู้หญิงย่อมเกลียดและกลัวสัตว์เลื้อนคลานสี่ขาหางยาวจำพวกจิ้งจกตุ๊กแกอยู่แล้ว

    “ไม่รู้จักลิซาร์ดเหรอ? นี่น่ะมอนสเตอร์พื้นฐานของเกมอาร์พีจีเลยนะ” ได้โอกาสเมื่อไรอากิรอสเป็นต้องจิกกัดเธอทุกที

    “เรื่องนั้นฉันรู้อยู่แล้วย่ะ! ที่สงสัยน่ะคือจับมันมาทำไมต่างหาก!?”

    “จับมากินไง”

    “กิน? กินเจ้าตัวเนี้ยน่ะเหรอ” นัตสึมิหน้าซีดเผือด

    “นี่พวกนายเกิดคึกอะไรถึงจะกินแย้ย่างกันละเนี่ย” เฟรเทียร์ดึงนัตสึมิไปกอดปลอบใจเป็นเหมือนพี่สาวคนโตคอยปกป้องน้องสาวจากเด็กผู้ชายที่จับจิ้งจกมาแกล้งจนร้องไห้

    ทากะตอบง่ายๆแค่ว่า “เบื่อขนมปังแล้ว”

    “งั้นหนูขอกินขนมปังดีกว่านะคะ”

    นัตสึมิกลายเป็นเด็กเรียบร้อยพูดจาสุภาพ อากิรอสหัวเราะออกมาทันใด “แล้วอย่ามาร้องขอแบ่งละกัน”

    ต่อให้ฉันอดตายก็ไม่กินไอ้ตัวพรรค์นั้นแน่นอน และต่อให้ผู้ชายบนโลกเหลือนายคนเดียวฉันก็ไม่ขอเอามาเป็นแฟนหรอก” นัตสึมิตวาดใส่อากิรอสอย่างอารมณ์เสียสุดขีด

    “ว้าว! ถึงตอนนั้นอย่ามาง้อนะ” อากิรอสทำหน้าทะเล้นเข้าใส่แล้วก็วิ่งหนีเพราะถูกเธอเอาธนูไล่ตี อีกหกคนที่เหลือได้แต่ยิ้มที่ทั้งสองหนุ่มสาวกลับไปเป็นเด็กประถมไปแล้ว

    เดินทางฝ่าอากาศร้อนระอุเกือบสี่สิบองศาเซลเซียสตลอดบ่าย ระหว่างทางต้องสู้กับหมาป่าทะเลทรายและมดแดงอีกหลายฝูง แต่เมื่อทั้งสี่หนุ่มลงมือเองแล้วต่อให้เป็นมดแดงยักษ์ก็ถูกฆ่าเกลื่อนทะเลทราย หมาป่าทั้งฝูงแตกกระเจิงวิ่งหนีหางจุกตูดไปหมด

    ดวงอาทิตย์สีแดงสดกลมโตใกล้จะลับขอบฟ้าเต็มที ในที่สุดคณะเดินทางก็เห็นปีรามิดยอดหักอยู่ไกลๆ ปลายทางของวันนี้อยู่อีกไม่ไกลแล้วทุกคนจึงแข็งใจเดินให้เร็วขึ้นอีกแม้จะเหนื่อยจนแทบยกขาไม่ขึ้นแล้ว แต่ปีรามิดที่เห็นเหมือนอยู่ใกล้ๆเอาเข้าจริงต้องใช้เวลาเกือบชั่วโมงกว่าจะไปถึงที่ฐาน พระอาทิตย์หายไปจากโลกใบนี้แล้ว ความมืดเข้าแทนที่พร้อมหมู่ดาวสุกสกาวบนฟ้า

    ทั้งสี่สาวเนื้อตัวมอมแมมไปด้วยฝุ่นทราย หน้าตาอ่อนระโหยโรยแรงและตอนนี้ทิ้งตัวลงนอนกับพื้นอย่างไม่ห่วงความสวยงามอีกแล้ว แม้แต่ไนซ์ที่น่าจะอึดที่สุดในบรรดาสาวๆทุกคนยังยอมแพ้ต่อการเดินทางสุดหฤโหดในทะเลทรายแห่งนี้ ฝั่งสี่หนุ่มถึงจะเหนื่อยแค่ไหนก็ยังต้องแข็งใจทำงานต่อไป ยังเหลืออีกอย่างที่ต้องทำให้เสร็จก่อนจะพักได้อย่างสบายใจ

    “ไปล้างหน้าล้างตากันหน่อย จะได้สดชื่นขึ้นมาบ้าง”

    พอได้ยินกุห์ฟานพูดแบบนั้นสาวๆก็ลุกขึ้นทันทีเหมือนถูกสปริงดีด เดินตามหลังเขาไปถึงที่ว่างระหว่างก้อนหินใหญ่ที่เป็นฐานของปีรามิดตรงนั้นมีแกลลอนใส่น้ำอยู่หลายแกลลอน ทั้งสี่รีบวิ่งไปเทน้ำใส่ถังตักขึ้นล้างหน้าล้างตัวกันอย่างยินดีปรีดาเหมือนตายแล้วเกิดใหม่

    “เอาผ้าขนหนูวางไว้ตรงนี้นะ” กุห์ฟานบอกแล้วหลบออกไปปล่อยให้พวกเธอได้ผ่อนคลายหลังจากเหนื่อยมาทั้งวัน

    เมื่อสาวๆกลับมาจากการล้างหน้าล้างตาแล้วก็ต้องชะงักกับกลิ่นหอมบางอย่าง เป็นกลิ่นของเนื้อที่ย่างอยู่บนแคร่เหล็กเหนือรางไฟโดยมีทากะลงมือปรุง กลิ่นนั้นหอมจนกระตุ้นความอยากอาหารให้พุ่งขึ้นถึงขีดสุด

    “ไม่นึกเลยว่านอกจากทำหน้ามึนๆเก่งแล้วยังทำอาหารเก่งอีกด้วย สกิลทำครัวระดับไหนแล้วละ” เฟรเทียร์เดินพลางเช็ดผมให้แห้งเข้ามานั่งใกล้ๆเขา

    “ไม่เกี่ยวกับสกิลหรอก วัตถุดิบต่างหากละที่เป็นของสุดยอด”

    “จิ้งเหลนที่พวกนายจับมาน่ะนะ?”

    “แซนด์ลิซาร์ดตะหาก”

    “มันก็เหมือนกันนั่นแหละน่า”

    ทากะใช้ปลายมีดเฉือนเนื้อส่วนที่สุกแล้วเป็นชิ้นเล็กๆใส่จานส่งให้เธอ “ลองชิมดูสิว่าเนื้อจิ้งเหลนมีค่าพอจะกินได้รึเปล่า?”

    นักสำรวจสาวเกิดลังเลขึ้นมาแต่ทากะคะยั้นคะยอส่งให้จนได้ เธอตัดสินใจกินโดยที่คิดเผื่อไว้ว่าถ้าเนื้อชิ้นนี้ไม่อร่อยหรือถูกแกล้งให้กินอะไรประหลาดๆละก็...จะเล่นงานทากะให้น่วมเลย แต่พอเนื้อแตะลิ้นเท่านั้นความคิดทุกอย่างในหัวก็ละลายไปพร้อมกับความอร่อยกระจายไปทั่วทั้งปาก

    “ติดใจละสิ”

    เขาดึงจานกลับ จัดแจงเฉือนเนื้อส่งให้พร้อมน้ำจิ้มถ้วยเล็กๆพร้อมทั้งทำเพิ่มอีกสามจานส่งให้สาวๆอีกสามคนด้วย

    เอเซ กุห์ฟาน และอากิรอสกลับขึ้นมาด้านบนหลังจากลงไปกำหนดอาณาเขตตรวจจับศัตรูเสร็จ เมื่ออากิรอสเห็นนัตสึมิตั้งหน้าตั้งตากินเนื้อแซนด์ลิซาร์ดเข้าก็ขำก๊ากใหญ่

    “ไหนว่าจะกินแต่ขนมปังไง? จะเอาขนมปังธรรมดาหรือโฮลวีตดีละ ฮ่าๆๆ”

    “พี่อากิพอได้แล้วค่ะ”

    มิยูพูดปรามเบาๆเพราะรู้นิสัยเพื่อนดีว่าถ้าไปล้อเธอมากๆเข้าละก็มีหวังเกิดเรื่องแน่ๆ แต่คนอย่างอากิรอสลองได้พูดแล้วยากจะหยุด

    “แหม! ตั้งใจกินขนาดนี้กลับไปที่บ้านคงไม่มีจิ้งจกเหลือสักตัวแหงๆ”

    นักธนูสาวสติขาดจนได้ เธอลุกขึ้นยืนชี้หน้านักเวทผมเทาด้วยสายตาจริงจังอย่างที่สุด

    ฉันกินเนื้อนี่แล้วผิดนักรึไง!? ฉันบอกว่าขอกินขนมปังดีกว่าไม่ได้หมายความว่าจะไม่กินนี่นา แล้วนายละไม่เห็นทำอะไรเลยดีแต่เดินตามนอกจากสู้กับงูยักษ์ตอนแรกเท่านั้น ถ้าแน่จริงพรุ่งนี้นายกับฉันเดินนำหน้า ใครฆ่ามอนสเตอร์ได้น้อยกว่าต้องเชื่อฟังคำพูดของคนชนะทุกอย่าง กล้าไหมละ!?

    “นัตสึมิไม่เอาน่า” มิยูพยายามห้ามเพื่อนแต่ดูเหมือนจะห้ามไม่ได้แล้ว

    เอเซกับทากะไม่รู้ไปยืนอยู่ด้านหลังอากิรอสตั้งแต่เมื่อไร ต่างพร้อมใจจับไหล่ไว้คนละข้างและถีบเข่าบังคับให้เพื่อนร่วมแคลนต้องคุกเข่าลง

    “นัตสึมิ พี่ขอโทษแทนเพื่อนพี่ที่ปากหมาไปหน่อยนะ”

    “ไม่ได้ขอให้ยกโทษให้มันหรอกนะแต่พี่อนุญาตให้ลงมือได้จนกว่าจะสบายใจเลยละ เชิญ!” ทากะล็อกแขนซ้ายของอากิรอสไว้แน่น

    “โวะ! อย่าทรยศกันสิฟะ”

    “พี่ๆไม่ต้องขอโทษแทนหรอกค่ะ แถมลงไม้ลงมือไปก็ใช่ว่าเพื่อนพี่จะหยุดกวนประสาทหนูสักหน่อย ดีไม่ดีอาจจะกวนมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ”

    เอเซใช้สันมือเคาะหัวเพื่อนทำโทษแทนเพื่อนสาวของมิยู “นั่นสินะ โรคปากหมาของหมอนี่แก้ไม่ได้นอกจากตายสถานเดียวเหมือนโรคกลัวน้ำนั่นแหละ”

    “แต่หนูเป็นคนพูดคำไหนคำนั้นนะ ตกลงจะรับคำท้ารึเปล่าคะ? คุณ-พี่-อา-กิ-รอส” นัตสึมิเท้าสะเอวมองด้วยสายตาท้าทาย

    “คนแพ้ต้องทำตามที่คนชนะพูดทุกอย่างนะ” นักเวทจอมกวนพูดทวนเงื่อนไข

    “ใช่ ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม”

    “ตกลง ตั้งแต่เช้าจนกว่าดวงอาทิตย์จะตกเรามาแข่งกัน”

    “ดี รับปากแล้วนะ”

    นัตสึมิยื่นมือออกมา ทั้งเอเซและทากะปล่อยให้เพื่อนเป็นอิสระ อากิรอสยืนขึ้นแล้วจับมือกับหญิงสาวยืนยันคำสัตย์ของตัวเอง

    “จบเรื่องแล้วกินเนื้อย่างดีกว่า อ้าวเฮ้ย! เนื้อไหม้หมดแล้วไอ้ทากะ!”

    ทั้งเอเซและทากะต่างช่วยกันยกเนื้อออกจากแคร่ย่างท่ามกลางเสียงหัวเราะของทุกคน บรรยากาศตึงเครียดสลายไปจนหมดสิ้น

    นักสำรวจหัวหน้าแคลนมัลดิโตหันไปหยิบขวดแก้วทรงสี่เหลี่ยมบรรจุของเหลวใสปิดด้วยจุกไม้สีดำออกมาจากเป้

    “เนื้อย่างมันต้องกินแกล้มกับขวดนี้ถึงจะแจ่ม”

    “โฮ่ๆ อย่าบอกนะว่านั่นคือของดีประจำเมืองแบล็กแซนด์น่ะ?” เอเซมองปราดเดียวก็รู้ว่าขวดในมือทากะคืออะไร

    “ตอนมาส่งภารกิจครั้งก่อนมีผู้เล่นเอามาวางขายเลยซื้อมาน่ะ”

    ‘แคดทัวร์เตกิลา’ เหล้ากลั่นจากของเหลวในกระบองเพชรที่มีรสร้อนแรงดุจเปลวไฟ รสหวานและกลิ่นหอมเฉพาะตัวทำให้ทุกคนที่ได้ลิ้มลองพร้อมจะเติมแก้วที่สองในทันที หลังจากทากะรับประกันว่าไม่ต้องกลัวเมาจนหลับหรือจะแฮงก์จนปวดในตอนเช้า แก้วเหล้าใบเล็กพร้อมของเหลวใสๆจึงอยู่ในมือสี่สาวอย่างพร้อมเพรียง

    “แน่ใจนะว่าจะไม่ได้มอมเหล้าพวกเราน่ะ?” เฟรเทียร์ส่งสายตาจับผิดไปที่ทากะ

    “ถ้าคิดว่าคนอย่างผมกล้ามอมเหล้าคุณเฟรเทียร์ละก็...คิดผิดแล้วละ ผมยังรักชีวิตอยู่นะ”

    เสียงหัวเราะดังลั่นทันทีโดยเฉพาะเสียงหัวเราะที่เป็นเอกลักษณ์ของอากิรอส สาวๆดื่มเหล้าลงคอรวดเดียวตามคำคะยั้นคะยอของหนุ่มๆแล้วก็หลับตาปี๋หดคอย่นไหล่กันอย่างพร้อมเพรียง หลังจากให้สี่สาวได้ลิ้มลองรสชาติร้อนแรงแล้วสี่หนุ่มก็รินเหล้าลงแก้วของตัวแล้วยกดื่มรวดเดียวอย่างสบายๆแถมรินแก้วที่สองต่อทันทีด้วยเหตุผลว่าแก้วแรกแค่ล้างคอเท่านั้น ฝั่งสาวๆก็เลยขอเติมแก้วที่สองบ้างเพราะติดใจในกลิ่นหอมและรสหวานของ ‘แคดทัวร์เตกิลา’ เข้าแล้ว

    เมื่อมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพิ่มเข้ามาความครึกครื้นและเสียงหัวเราะก็เพิ่มเป็นเท่าตัว








    หลังจากดื่มไปได้ค่อนขวดมิยูก็ขอออกไปรับลมที่อีกด้านของปีรามิด เอเซรอสักพักแล้วค่อยลุกตามไปเรียกเสียงเป่าปากแซวจากเพื่อนร่วมแคลนอย่างอากิรอสได้ทันที

    นักดาบสาวนั่งอยู่บนขอบหินก้อนใหญ่ ปล่อยผมสีดำสยายไปแล้วแต่สายลมจะนำพา มองขึ้นไปบนฟ้าดูดวงดาวแข่งกันเปล่งแสงระยิบระยับงดงามอย่างอารมณ์ดี ชายหนุ่มยืนมองเธอด้วยรอยยิ้มอยู่ด้านหลัง ไม่ต้องการเข้าไปขัดความสุขของเธอในตอนนี้

    หญิงสาวหันมาสบตาและเชื้อเชิญให้เขานั่งลงข้างๆ เขาไปนั่งตามคำเชิญแต่เว้นระยะห่างไว้เล็กน้อย

    “ดาวสวยดีนะคะ” เธอเป็นฝ่ายเริ่มต้นชวนคุยก่อน

    “อื้ม ถ้าโชคดีจะได้เห็นดาวตกด้วยนะ”

    “ต้องอธิษฐานสามครั้งในทันก่อนแสงดาวจางหายด้วยสินะคำขอถึงจะเป็นจริง”

    “ฮ่าๆ นั่นสินะ ผมก็ไม่เคยลองเหมือนกัน” ชายหนุ่มยื่นแขนไปด้านหลังเป็นหลักพิงเงยหน้ามองขึ้นไปบนฟ้าบ้าง “รู้เรื่องทฤษฎีแสงดาวบ้างไหม?”

    เธอส่ายหน้า มองเขาด้วยสายตาต้องการรู้คำตอบ

    “แสงใช้เวลาหลายล้านปีหรือมากกว่านั้นกว่าจะมาถึงโลก นานเสียจนดวงดาวสูญสลายไปก่อนเราถึงเพิ่งเห็นแสงดาว เป็นความพยายามที่บริสุทธิ์และงดงามชวนให้แหงนมองและจดจำไว้ในใจเพราะฉะนั้นแสงดาวถึงได้น่าประทับใจยังไงละ”

    มิยูยิ้ม ยิ้มอย่างผ่อนคลายและมีความสุขก่อนจะตอบกลับว่า “เหมือนความรักเลยนะคะ”

    “ความรัก?”

    ใช่ค่ะ ความรักก็ไม่ต่างจากแสงดาว ใช้เวลานานแสนนานเดินทางจากหัวใจดวงหนึ่งไปถึงอีกดวงหนึ่งที่อยู่แสนไกลจนเอื้อมไม่ถึง แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่เคยย่อท้อไม่เคยเสียใจยังคงพยายามส่งความรักต่อไปจนกว่าอีกฝ่ายจะรู้ตัว ดาวดวงหนึ่งอบอุ่นได้เพราะมีดาวอีกดวงคอยส่องแสงให้ หัวใจของคนๆหนึ่งก็อบอุ่นได้ด้วยความรักจากหัวใจของอีกคนหนึ่งเหมือนกัน

    ดวงตาสองคู่ประสานสบกันภายใต้ประกายแสงดาว เหมือนจะสื่อสารความรู้สึกที่ไม่สามารถพูดออกมาได้ให้ผ่านออกมาทางสายตาแทน

    หญิงสาวเป็นฝ่ายยิ้มและพูดขึ้นมาก่อน “ขอบคุณนะที่ทำให้มิยูได้สนุกสนานกับทุกคนขนาดนี้”

    “จำไม่ได้เหรอว่าผมสัญญาอะไรไว้ ผมบอกตั้งแต่ตอนที่ส่งรูปให้ดูแล้วนะว่าสักวันจะพามิยูมาดูทะเลดาวเหมือนกับในรูปน่ะ”

    เมื่อตอนที่เอเซและเพื่อนร่วมแคลนรับภารกิจแรกสุดในเกมแกรนด์ไกอาออนไลน์จนเกิดเรื่องปะทะกับดับเบิลฮาร์ทและสู้กับกลอเรียส อัลติมัส ในคืนนั้นเขาออกมาถ่ายรูปท้องฟ้าที่มีดวงดาวนับล้านเปล่งประกายแสงระยิบระยับส่งไปให้เธอดูพร้อมกับบอกไว้ว่าสักวันจะพามาดูให้ได้




    มิยูยิ้มกว้างขึ้นอีกสีหน้าเปี่ยมไปด้วยความสุขสุกสว่างไม่แพ้ดาวดวงใดบนฟากฟ้า เธอเอนกายลงพิงไหล่ของชายหนุ่มสายตามองดวงดาวบนฟ้าอย่างมีความสุข เอเซรวบรวมความกล้ายื่นมือขวาไปกุมมือซ้ายของเธอไว้บ้าง ส่งผ่านความอบอุ่นและความสุขถึงกันและกันโดยไม่ต้องใช้คำพูดใด
    soulmaster และ taleoftrue ถูกใจสิ่งนี้
  9. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    อ่านตอนนี้แล้วชักสงสัยแฮะว่าไนซ์นี่เล่นเน้นทักษะต่อสู้ไปทางสายไหนกันแน่ เห็นพอออกมาสู้แต่ละทีเปลี่ยนอาวุธที่ใช้ตลอดเลยแฮะ
  10. soulmaster

    soulmaster Endorphinlism

    EXP:
    403
    ถูกใจที่ได้รับ:
    11
    คะแนน Trophy:
    18
    อ่านรวดเดียวหลายตอนนี่มันใด้อารมณ์จริงแฮะ

    เรื่องการแต่งตัวนี่ ค่อยๆสอดแทรกลงในเรื่องน่าจะดีกว่าไหมครับ ผ่านไปหลายตอนค่อยสรุปทีนึง

    มีคู่มึน หวาน เปรี้ยวแล้ว รอเชียร์คู่นิ่ง (แต่สงสัยจะยาว)

    ไนซ์นี่อยู่ในช่วงทดลองอะไรหลายๆอย่างรึเปล่า ผมว่าน่าจะเก่งบู๊ที่สุดในสี่สาวนะ

    ตั้งแต่แคลนมัลดิโต้ติดหนี้หัวโตมานี่ ผมรู้สึกว่าความน่าติดตามของนิยายเรื่องนี้มันพุ่งสูงขึ้นมากเลย ไม่รู้ว่าคิดไปเองป่าวนะ
  11. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    อาชีพหลักเป็นเทรดเดอร์ไม่ถูกผูกมัดให้ใช้อาวุธเฉพาะทาง แต่หลักๆแล้วไนซ์จะใช้อาวุธคู่เป็นหลัก ตอนสู้บอสที่เปลี่ยนไปใช้ธนูก็เพราะให้เข้ากับกลยุทธ์ครับ

    เพราะความฉิบหายของพวกมันเป็นแก่นหลักของเรื่องครับ (ฮา)
  12. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    Grand Gaia Online 26 – Call me ‘Master’






    แมงป่องทะเลทรายสองตัวแตกสลายเป็นผลึกแสงปลิวหายไปกับสายลมร้อน แมงป่องตัวแรกถูกลูกธนูนับสิบดอกปักทั่วตัวจนเปลี่ยนสภาพเป็นเม่น อีกตัวหนึ่งถูกเผากลายเป็นตอตะโกด้วยอำนาจของเวทมนต์ธาตุไฟเช่นเดียวกับพวกพ้องนับสิบตัวที่เผชิญชะตากรรมเดียวกันไปก่อนหน้านี้แล้ว

    “ยี่สิบห้าตัว”

    “สามสิบสองตัว”

    นัตสึมิบอกจำนวนมอนสเตอร์ที่กำจัดได้แล้วแอบยิ้มอยู่ในใจ ตั้งแต่เช้ามืดเป็นต้นมาไม่ว่ามีมอนสเตอร์อะไรขวางหน้าเธอเป็นต้องถูกส่งไปเกิดใหม่ทันที อีกหกคนติดตามมาด้านหลังทำได้แค่ปล่อยให้ทั้งสองหนุ่มสาวที่เป็นเหมือนขมิ้นกับปูนแข่งขันกันตามใจชอบจนกว่าจะรู้ผลแพ้ชนะ

    ตะวันลอยขึ้นอยู่เหนือหัวทั้งสองจึงหยุดแข่งขันชั่วคราวเพราะถูกความเหนื่อยและความหิวเล่นงาน นัตสึมิเหนื่อยจนลืมตัวนั่งพิงหลังคู่อาฆาตอย่างอากิรอสแต่นักเวทผมเทาก็ไม่เหลือแรงจะฉะฝีปากด้วยแล้ว ลำบากทากะ เอเซและกุห์ฟานต้องทำแคมป์พักชั่วคราวกันแค่สามคน ฝั่งสาวๆช่วยกันนวดเฟ้นให้นัตสึมิทั้งที่พวกเธอเองก็เหนื่อยไม่น้อยเช่นกัน

    เอเซและกุห์ฟานส่องกล้องส่องทางไกลไปที่ท้องฟ้าทิศใต้ เมฆสีน้ำตาลจับกลุ่มรวมกันมากเป็นพิเศษ “ท่าทางจะงานเข้าว่ะ ลมพัดมาทางนี้ด้วยดิ”

    “เหลือเวลาอีกเท่าไรอะพี่ ผมจะได้บอกให้ทุกคนเตรียมตัวไว้ก่อน”

    “คงพอให้กินเสร็จแล้วผูกเชือกทันแบบฉิวเฉียดเลยละ”

    รุ่นพี่ของเขาตอบกลับมาทั้งที่ยังมองผ่านกล้องทางไกลตัวใหญ่ กุห์ฟานส่ายหน้าแรงๆ พักยังไม่หายเหนื่อยก็ต้องเตรียมตัวรับมือกับพายุทรายอีก เขารีบไปบอกสถานการณ์ให้ทุกคนรู้แล้วก็เร่งกินมื้อกลางวันให้รวบรัดที่สุด จากนั้นที่เอวของทุกคนได้เพิ่มเข็มขัดเส้นใหญ่ผูกเชือกร้อยเข้าไว้ด้วยกัน สวมแว่นตากันลมและผ้าคาดปากเตรียมไว้ เปลี่ยนไปใส่รองเท้าแบบถ่วงน้ำหนัก ทากะบอกให้สาวๆมัดเก็บผมไว้ให้ดีด้วยซึ่งพวกเธอรีบทำตามคำแนะนำและหาผ้ามาโพกไว้อีกชั้นหนึ่ง

    “เดินย่อตัวก้มหัวต่ำๆ ก้าวเท้าสั้นๆ” คนนำขบวนตะโกนเตือนอีกครั้ง

    เอเซและทากะสลับขึ้นไปเป็นหัวแถว ตามด้วยมิยูและไนซ์ เฟรเทียร์ประกบคู่กับนัตสึมิปิดท้ายด้วยกุห์ฟานและอากิรอส จากนั้นเพียงไม่กี่อึดใจกระแสลมรุนแรงได้หอบเม็ดทรายเข้าปะทะด้วยความเร็วลมมากกว่าสามร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมงเทียบเท่าพายุทอร์นาโดระดับ ‘เอฟสี่’ ร่างกายส่วนที่อยู่นอกร่มผ้าเจ็บเหมือนถูกเข็มกระหน่ำแทงซ้ำ ท่ามกลางพายุปั่นป่วนมีแต่ต้องอาศัยเอเซซึ่งแรงดีที่สุดฉุดลากทั้งกลุ่มให้คืบหน้าไปทีละน้อยโดยมีทากะคอยบอกทิศทางให้ สาวน้อยร่างแบบบางที่สุดอย่างนัตสึมิเกือบจะโดนกระแสลมหอบขึ้นฟ้าไปด้วยหลายครั้งถ้าไม่ได้กุห์ฟานที่อยู่ด้านหลังและเฟรเทียร์ที่อยู่ข้างๆคอยถ่วงและดึงเธอกลับมา

    เชือกกระตุกเป็นจังหวะสามครั้ง ทุกคนพร้อมใจหมอบลงคุกเข่ากับพื้นตามสัญญาณที่เอเซนัดแนะไว้ล่วงหน้า ตอนนี้พวกเขากำลังจะถูกกระแสลมที่ปั่นป่วนและรุนแรงที่สุดจู่โจม เวลาไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไรแต่สำหรับหญิงสาวทั้งสี่คนแล้วเหมือนผ่านไปนานมาก ทรมานกว่าเดินฝ่าอากาศร้อนและแสงแดดจ้าไม่รู้กี่เท่า รู้สึกอึดอัดเพราะหายใจลำบาก มองอะไรไม่เห็นนอกจากสีน้ำตาลเข้มของทรายรอบตัว ท้องฟ้าคำรามอย่างเกรี้ยวกราดราวกับจะถล่มลงมา

    แสงสว่างส่องทะลุเปลือกตาได้บอกว่าพายุทรายผ่านจากไปแล้ว กลุ่มเมฆสีคล้ำค่อยๆห่างออกไปไกล ทิ้งไว้เพียงทรายกองโตทับถมร่างกาย

    “เฮ้อ! นึกว่าจะตายแล้วซะอีก”

    “แค่พายุระดับเล็กสุดก็ไม่ไหวแล้วเรอะ?”

    “พายุระดับเล็กสุด!?” นัตสึมิตกใจเรื่องพายุมากกว่าจะโกรธที่ถูกอากิรอสแซว

    “นี่ผ่านไปแค่สี่สิบนาทีนิดๆเองนะ ถ้าเป็นพายุระดับสูงสุดสองชั่วโมงไม่รู้จะฝ่าออกมาได้รึเปล่า” กุห์ฟานช่วยยืนยันอีกเสียงแล้วตะโกนไปถามคนนำทาง

    “พี่เอเซ วันนี้มีโอกาสเจอลูกใหญ่รึเปล่า”

    “ก็คิดว่านะ...พายุทรายมันมาเป็นระลอกๆแถมแรงขึ้นเรื่อยๆด้วยนี่สิ”

    “อ๊าาา ไม่เอาแล้วนะ” นักสำรวจสาวโอดครวญ เธอทิ้งตัวลงนอนแผ่กับพื้นทรายอย่างเหนื่อยอ่อน

    “พี่เอเซพอพาจะอ้อมไปได้รึเปล่า ไนซ์ก็ไม่ไหวเหมือนกันนะ”

    นักดาบมนตราหยิบกล้องขึ้นมาส่องดูสภาพท้องฟ้าด้านหน้าอีกครั้ง “คิดว่าตอนนี้ยังไม่เป็นไรหรอก แต่ถ้าจะเดินอ้อมก็ทำใจไว้เลยนะว่าเดินไกลขึ้นอีกเยอะแน่ๆ”

    สี่สาวลงความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่าขอเดินอ้อมดีกว่าฝ่าพายุทราย หลังจากพักพอให้หายเหนื่อยแล้วก็ออกเดินทางอีกครั้ง








    ถึงนัตสึมิจะเหนื่อยแค่ไหนแต่ทิฐิของเธอยังมีมากกว่าเพราะไม่ทันไรก็ขึ้นไปอยู่หัวแถว ใช้ธนูและลูกศรจัดการกับมอนสเตอร์ที่โผล่มาทุกตัว อากิรอสรั้งเดินอยู่หลังสุดไม่ได้รีบร้อนเข้าไปแข่งด้วยแต่ยิ้มมุมปากอย่างพอใจในความดื้อรั้นของเธอ

    หลังพายุผ่านพ้นไป มอนสเตอร์ที่เหลือรอดอยู่เป็นมอนสเตอร์ขนาดเล็กจำพวกลิซาร์ดและแมงป่องและมีจำนวนไม่มาก

    แต่ก็มีมอนสเตอร์พิเศษที่มีโอกาสพบได้หลังจากเกิด ‘อีเวนต์พายุทราย’ เช่นกัน

    ผืนทรายเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างน่าประหลาด เกิดเป็นแท่งทรายรูปร่างเรียวยาวเหมือนนิ้วมือเคลื่อนไหวได้เองเหมือนมีบางอย่างอยู่ข้างใต้ นัตสึมิคิดว่าเป็นมอนสเตอร์ประเภทซ่อนตัวจู่โจมจากใต้ดินจึงยิงลูกศรใส่ที่โคนฐาน แต่นอกจากลูกศรจะทำอันตรายอะไรไม่ได้และจมหายไปใต้ดินอย่างสูญเปล่าแล้วแท่งทรายที่เคลื่อนไหวได้ราวกับมีชีวิตก็หันมาเล่นงานเธอด้วย

    ‘แซนด์แมน’ มอนสเตอร์ไร้รูปร่างที่เกิดขึ้นจากความผันผวนของทะเลทรายหลังจากเกิดพายุ ไม่ได้รับความเสียหายจากการโจมตีทางกายภาพทุกประเภท

    หลังจากถอยมาตั้งหลักและตรวจสอบข้อมูลของศัตรู นัตสึมิได้แต่กัดฟันกำหมัดเพราะฝีมือของเธอไม่มีทางจัดการมอนสเตอร์ชนิดนี้ได้

    “สายตาดูท้อแท้สิ้นหวังไม่เลวเลยนะ”

    น้ำเสียงยียวนในประโยคกระทบกระเทียบจากอากิรอสซึ่งมายืนอยู่ด้านหลังเธอตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ทำให้คนมีทิฐิอย่างเธอโกรธจนลืมตัวอีกครั้ง

    “คิดว่าแค่นี้จะทำให้ฉันยอมแพ้รึไง!? ไม่มีทางซะหรอก”

    เธอขบฟันพูดอย่างเกรี้ยวกราด เหนี่ยวสายธนูยิงลูกศรรัวๆ น่าเสียดายที่ลูกศรและความตั้งใจไม่อาจทำอะไรแซนด์แมนได้นอกจากยั่วยุพวกมัน สามสาวด้านหลังขยับจะเข้าไปช่วยแต่เอเซยกมือขวางไว้และบอกว่าเรื่องทั้งหมดเริ่มต้นจากอากิรอสก็ควรให้เขาเป็นผู้ลงมือแก้ไขปัญหาเอง

    ฝูงแซนด์แมนบีบวงล้อมเข้ามาเรื่อยจากทุกทิศทาง ความกลัวบังคับให้หญิงสาวถอยโดยไม่รู้ตัว

    “กลัวรึไง?”

    “กลัวจะตายเร็วไปต่างหาก! ถ้าฉันต้องตายก็ขอลากนายไปตายด้วยแน่นอน”

    “แหม! ดีใจจังได้กอดสาวสวยตายอย่างมีความสุข”

    “ใครจะยอมให้นายกอดกัน!”

    “งั้นถ้าเธอแพ้เดิมพันสิ่งแรกที่จะสั่งก็คือจงยืนนิ่งๆยอมให้กอดดีไหมนะ” อากิรอสพูดจบแล้วเพ่งสมาธิที่ปลายนิ้วโดยไม่สนเสียงโวยวายของหญิงสาว มวลพลังเวทจากทั้งร่างไหลไปควบแน่นที่ปลายนิ้วเป็นกลุ่มก้อนพลังงานขนาดใหญ่ เขายกมือข้างนั้นขึ้นเหนือศีรษะแล้วประกาศเสียงดัง

    “กระสุนเพลิง!”

    สิ้นคำประกาศอย่างห้าวหาญ กลุ่มก้อนพลังงานเวทมนต์กระจายออกเป็นลำแสงสีแดงมุ่งตรงเข้าหาศัตรูทุกตัว เพลิงมนตราแผดเผาทุกอย่างด้วยความร้อนมหาศาลแม้แต่ทรายยังหลอมละลาย แซนด์แมนทั้งฝูงพร้อมใจแตกสลายเป็นผลึกแสงโดยเปลวไฟสีแสดเป็นฉากหลัง

    อากิรอสดีดนิ้วหนึ่งครั้ง เปลวไฟที่อยู่รอบตัวดับสูญหายไปหมดทิ้งไว้เพียงกลุ่มควันสีเทาจาง

    “เมื่อกี๊จัดการไปห้าสิบเจ็ดตัว รวมกับของเดิมก็เป็นแปดสิบสองตัวแล้วนะ”

    ยิ่งเห็นรอยยิ้มยั่วและแววตากรุ้มกริ่มของอากิรอส นัตสึมิก็ยิ่งโกรธจัด

    “นึกว่าวางแผนอะไรไว้ซะอีก ที่แท้ก็แบบนี้นี่เอง”

    “สหายจะเอาเปรียบสาวน้อยไปหน่อยแล้วนะ”

    “วางแผน? เอาเปรียบ? พวกนายกำลังพูดเรื่องอะไรกันไม่ทราบ?” อากิรอสตีหน้าซื่อถามกลับ

    “ที่นายกล้ารับเดิมพันก็เพราะรู้อยู่แล้วว่านัตสึมิทำอะไรแซนด์แมนไม่ได้”

    พอได้ยินกุห์ฟานอธิบายแบบนั้นนัตสึมิก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืนท้าเดิมพันไปทั้งที่เธอเพิ่งจะเดินทางมาที่ทะเลทรายแห่งนี้เป็นครั้งแรกในขณะที่คู่แข่งของเธอเดินผ่านพื้นที่นี้มาไม่รู้กี่ครั้งแล้ว พอหันไปเห็นรอยยิ้มมุมปากของอากิรอสก็เท่ากับเธอตกหลุมพรางของเขาเสียแล้ว

    “ก็งั้นมั้ง” อากิรอสยักไหล่เลียบแบบทากะ ยกมือขวาตบบ่านัตสึมิแล้วเดินจากไปพร้อมกับหัวเราะเสียงดัง

    “นั่นมันท่าทางของตัวโกงชัดๆเลยนะเนี่ย” เฟรเทียร์มองตามหลังอากิรอสด้วยสายตาไม่เชื่อว่าเขาจะเจ้าเล่ห์ได้ถึงขนาดนี้

    “ท่าทางของตัวโกง? หมอนั่นมันเป็นตัวโกงมาตั้งแต่แรกแล้วละ”

    ตลอดทั้งบ่ายนัตสึมิใช้ธนูคู่ใจไล่ฆ่ามอนสเตอร์อย่างบ้าคลั่งเพราะส่วนต่างห้าสิบตัวที่เพิ่มขึ้นมานั้นมากจนเธอไม่อาจยอมรับได้ เธอมีเวลาเหลือเพียงก่อนพระอาทิตย์ตกดินเท่านั้น มิยูสงสารเพื่อนแต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากคอยตะโกนให้กำลังใจอยู่เสมอ

    หมาป่าหลงฝูงตัวหนึ่งโผล่มาขวางทางนัตสึมิที่กำลังเลือดเข้าตาได้แต่วิ่งหางจุกตูดหนีตายอย่างไม่คิดชีวิต นักธนูสาวก็วิ่งไล่กวดอย่างเอาเป็นเอาตายเช่นกัน ทว่าก่อนที่เธอจะข้ามพ้นเนินทรายลูกหนึ่งเข้าสู่ที่ราบกึ่งทุ่งหญ้าแห้งแล้ง เอเซก็ตามมาทันและฉวยข้อมือของเธอไว้ได้ เธอกำลังจะเอ่ยปากถามแต่พอเห็นสายตาเครียดๆของเขาแล้วก็ต้องยอมอดใจเงียบไว้ก่อน

    เอเซผ่อนคลายความตึงเครียดและปล่อยข้อมือของนัตสึมิ “ข้างหน้านี้เป็น ‘เขต’ ของเซเลสเทียลน่ะ ถ้าเป็นไปได้ก็ไม่อยากผ่านเข้าไปหรอก”

    “วันนี้คงต้องฝืนกฎสักครั้งละนะ” อากิรอสชี้มือให้ดูท้องฟ้าอีกทางหนึ่งซึ่งกลุ่มเมฆสีน้ำตาลกำลังจับตัวรวมกันอย่างรวดเร็ว พายุทรายอีกลูกกำลังก่อตัวและเคลื่อนตัวมาอย่างรวดเร็ว

    “ยังไงซะในเขตของเซเลสเทียลก็เป็นเซฟตี้แอเรียจากพายุด้วย”

    เอเซมองหน้าหญิงสาวอีกสามคนที่บอกความรู้สึกออกมาอย่างชัดเจนว่าไม่อยากฝ่าพายุทรายอีกแล้วจึงได้แต่ขอเวลาสำหรับปรึกษากับกุห์ฟานและทากะก่อน

    “จริงอยู่ว่าถ้าตัดเขตนี้ไปจะช่วยประหยัดเวลาได้แต่เราก็ไม่อยากมีปัญหากับแคลนโน้นทีหลังหรอกนะ”

    “แล้วจะทำยังไงกับสาวๆละ?” อากิรอสก็พูดตรงเข้าประเด็นเช่นกัน

    “พาเดินอ้อมไปไง”

    “ทั้งๆที่นายรู้ว่าพวกเธอไปต่อไม่ไหวแล้วค่าพลังกายเกือบจะหมดเกลี้ยงตั้งแต่ตอนฝ่าพายุแล้วนี่นะ”

    “แล้วให้ฝ่าเข้าเขตของเซเลสเทียลที่มอนสเตอร์เดินกันยุบยับแทน?”

    “ลำพังแค่เรากับนายก็พอแล้ว หรือว่าไม่จริงละ?”

    เอเซยกมือขึ้นกุมหน้าผากนวดขมับ “ถามจริงๆเหอะว่านายวางแผนอะไรไว้อีกเนี่ย?”

    “นายคิดมากไปละ เราก็แค่อยากให้ทุกคนไปถึงที่หมายเร็วๆเท่านั้นเอง”

    นักดาบมนตราใช้หางตาเหลือบไปทางทากะ

    “ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมาทีหลัง สหายอากิก็รับผิดชอบไปคนเดียวนะ ถือว่าพวกเราสามคนไม่เกี่ยวข้องด้วย”

    “ได้! เรารับผิดชอบทุกปัญหาที่ตามมาเอง พอใจแล้วนะ” อากิรอสยื่นกำปั้นขวาออกมา ทั้งเอเซและทากะยื่นกำปั้นออกไปชนกับกำปั้นของนักเวทผมเทา นี่เป็นสัญลักษณ์แสดงสัจจะในกลุ่มของพวกเขา

    “พี่อากิไม่อยากอ้อมไปก็เพราะที่โอเอซิสมันมีผีเสื้อสินะ”

    “ชิ เบื่อพวกรู้ทันว่ะ” อากิรอสตบบ่ากุห์ฟานแรงๆจนเจ้าตัวถึงกับเซ

    “แค่ไม่อยากให้สาวๆเห็นสภาพแต๋วแตกตอนเจอผีเสื้อบินผ่านก็บอกมาตรงๆก็ได้นะ” รุ่นน้องผมแดงเหล่มองด้วยหางตาอย่างรู้ทัน

    “เออ! แล้วก็ปิดเงียบเรื่องนี้ไว้ด้วยละ ห้ามบอกยัยนัตสึมิเด็ดขาดเลยนะ”

    เอเซกับทากะอดไม่ได้ที่ต้องเตะเจ้าเพื่อนตัวแสบคนละแข้งระบายความโมโหแล้วค่อยไปคุยกับพวกสาวๆให้เข้าใจถึงอันตรายภายในเขตที่กำลังจะเดินฝ่าไป โดยให้ทากะและอากิรอสเป็นหัวขบวนปิดท้ายด้วยกุห์ฟานและทากะคอยระวังอันตรายจากด้านหลัง เมื่อทุกคนเข้าใจตรงกันแล้วก็แปรขบวนก้าวเท้าเข้าไปสู่ที่ราบกึ่งทุ่งหญ้าแห้งแล้งอย่างระมัดระวัง

    เดินเข้ามาไม่ถึงร้อยเมตร มอนสเตอร์ก็เปิดฉากจู่โจมอย่างดุเดือดทันที

    หนอนทะเลทรายตัวใหญ่มุดดินมาโผล่ด้านหน้าขบวนอย่างตรงมาไปตรงมาว่าห้ามลุกล้ำถิ่นของมัน ในขณะที่สี่สาวยังไม่หายตกตะลึง หนอนทะเลทรายก็ถูกแช่แข็งด้วยพลังเวทมนต์ของอากิรอส จากนั้นสายฟ้าจากดาบของเอเซก็ทำให้มันระเบิดเศษเป็นเศษซากในพริบตา

    “นั่นไม่ใช่มอนสเตอร์ระดับธรรมดาเลยนะ! พวกนายทำได้ยังไงกันน่ะ?” เฟรเทียร์อดไม่ได้ที่จะต้องถามเมื่อเห็นความแข็งแกร่งระดับปีศาจของทั้งสองคน

    “คุณเฟรเทียร์เป็นนักสำรวจช่วยบอกตำแหน่งศัตรูให้หน่อยสิ ปกติหน้าที่นี้เป็นของไอ้ทากะมันน่ะ”

    คำขอร้องด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดของเอเซบอกเป็นนัยว่าสถานการณ์ตอนนี้ไม่เหมาะที่จะคุยกัน หนอนทะเลเทรายตัวที่สองและสามแทรกแผ่นดินขึ้นมาอ้าปากให้เห็นเขี้ยวทั้งใหญ่ทั้งคมนับไม่ถ้วน แต่หนอนทะเลทรายทั้งสองตัวก็ถูกจัดการลงอย่างรวดเร็วเหมือนเดิม

    ถึงอยู่ในปาร์ตี้เดียวกันก็ไม่อาจมองเห็นเอ็มพีของคนอื่นได้ ตอนนี้ปริมาณเอ็มพีของเอเซและอากิรอสลดลงอย่างรวดเร็วแลกเปลี่ยนกับพลังโจมตีที่เพิ่มขึ้นมา

    ในระหว่างที่การต่อสู้ด้านหน้าดุเดือดยิ่งกว่าสมรภูมิใดๆที่เคยผ่านมาได้ดึงความสนใจของมิยูและนัตสึมิไปจนหมด เมื่อมีมอนสเตอร์บุกเข้ามาจากด้านข้างพวกเธอจึงตั้งตัวไม่ทัน มีเพียงไนซ์คนเดียวที่ตอบสนองต่อเหตุการณ์และร่วมมือกับทากะฆ่ามอนสเตอร์ที่เริ่มโอบล้อมเข้ามาเรื่อยๆ

    “มิยูกับนัตสึมิช่วยคุมกันพี่เฟรเทียร์เถอะ ตรงนี้ปล่อยให้เราจัดการเอง”

    ไนซ์ได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของผู้เล่นที่ถูกยกย่องให้เป็น ‘ดูอัลซอร์ดมาสเตอร์’ ที่มีเพียงหกคนในยุคเทสต์เบต้า ดาบคู่ในมือของเธอประสานจู่โจมศัตรูอย่างแม่นยำและรวดเร็ว กระบวนท่าโจมตีต่อเนื่องเหมือนกระแสน้ำในลำธาร เปลี่ยนแปรจากรุกเป็นรับหรือถอยหลบได้อย่างเป็นธรรมชาติ เฟรเทียร์มองดูการเคลื่อนไหวนั้นจนลืมบอกตำแหน่งศัตรูให้กับคู่หูนักเวทในแนวหน้าจนทั้งสองเกือบจะพลาดโดนหนอนกินทั้งเป็น ยังดีที่พวกเขาเก่งพอที่จะเอาตัวรอดได้

    กำจัดมอนสเตอร์กลุ่มใหญ่ได้ไม่ถึงห้านาที มอนสเตอร์กลุ่มใหญ่อีกกลุ่มตามซ้ำเหมือนคลื่นถาโถมเข้าสู่ชายหาดอย่างไม่มีวันจบสิ้น ในเวลาปกติหนึ่งชั่วโมงสามารถเดินทำระยะเฉลี่ยไม่น้อยกว่าสี่กิโลเมตร แต่ตอนนี้ทั้งกลุ่มคืบหน้าไปได้เพียงครึ่งหนึ่งของระยะเฉลี่ยนั้น ความยาวของพื้นที่มีถึงสิบกิโลเมตรเท่ากับเพิ่งผ่านมาได้เพียงหนึ่งในห้าเท่านั้น

    และตอนนี้ทั้งแปดคนถูกสิงโตฝูงหนึ่งล้อมไว้รอบด้าน เฟรเทียร์นับจำนวนศัตรูบนแผนที่แล้วแจ้งกับเอเซและอากิรอสอย่างยากลำบาก

    “เจ็ดสิบตัว”

    นัตสึมิกับมิยูได้ยินจำนวนแล้วก็ใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่มชั่วขณะ

    “นายเหลือเอ็มพีเท่าไร?”

    “ประมาณสี่สิบเปอร์เซ็นต์ จะประสานเวทมนต์งั้นเรอะ?”

    “ช่ายแล้น” น้ำเสียงเล่นๆของอากิรอสไม่เหมาะกับสถานการณ์ตึงเครียดแม้แต่นิด

    เอเซบอกให้ทุกคนถอยออกห่างแล้วแยกกับอากิรอสไปวิ่งล่อสิงโตทั้งฝูงให้เปลี่ยนเป้าหมายมาเล่นงานพวกเขาแทน มิยูมองตามด้วยความห่วง แต่สำหรับนัตสึมิเธอกลับอยากเห็นอากิรอสโดนฝูงสิงโตฉีกร่างกายเป็นชิ้นๆแทน

    เมื่อล่อสิงโตให้ตามพวกตนมาแล้ว อากิรอสและเอเซก็เหลือพื้นที่เพียงไม่กี่ตารางเมตรภายใต้วงล้อมของคมเขี้ยวเจ็ดสิบคู่

    “ประกาศิตแห่งวายุ!”

    เอเซขานชื่อท่าและปักดาบเคลย์มอร์ลงกับพื้น เกิดกระแสลมกรรโชกรุนแรงพัดออกไปรอบด้านโดยมีตัวเขาเป็นศูนย์กลาง

    “ประกาศิตแห่งอัคคี”

    อากิรอสประกาศชื่อท่าตามหลัง ประสานมือลงที่ดาบด้วย พลังแห่งลมหลอมรวมกับพลังแห่งไฟเปลี่ยนกระแสลมให้กลายเป็นพายุเพลิงแผดเผาทุกอย่างให้พินาศวอดวาย ทำลายล้างทุกอย่างด้วยอำนาจแห่งเวทมนต์ ‘แรงค์ดี’ สองบทที่ผสานรวมเป็นหนึ่ง สะเก็ดไฟปลิวว่อนพร้อมกับผลึกแสงของมอนสเตอร์เจ็ดสิบตัวที่ค่อยๆสลายไปพร้อมกัน ดูไปแล้วราวกับพวกเขาสองคนยืนอยู่ท่ามกลางประกายแสงที่สาดส่องลงมาจากฟากฟ้า

    กุห์ฟานโยนขวดโพชั่นซึ่งบรรจุของเหลวสีน้ำเงินเข้มให้รุ่นพี่ทั้งสอง พวกเขารับไว้แล้วรีบเปิดดื่มอึกเดียวหมดขวดทันทีเพราะตอนนี้เอ็มพีของพวกเขาหมดเกลี้ยงไปแล้ว ทั้งกลุ่มอาศัยช่วงเวลาที่มอนสเตอร์หยุดชะงักไม่บุกเข้ามาเพราะมหาเวทลมไฟวิ่งรวดเดียวไปได้ไกลพอสมควร เมื่อเริ่มมีมอนสเตอร์ดาหน้าบุกเข้ามาอีกครั้งก็ถูกจัดการลงอย่างรวดเร็วเพราะทุกคนเริ่มรู้หน้าที่ของตัวเองและทำงานประสานกันได้อย่างราบรื่นแล้ว








    ค่ำแล้ว จันทร์เสี้ยวลอยอ้อยอิ่งอยู่ที่ขอบฟ้าไกลๆ หมู่ดาวออกทยอยออกมาเปล่งแสงทีละกลุ่มจนเต็มฟ้าสว่างไสวไปหมด พวกเขาพาเพิ่งจะพาร่างกายที่อิดโรยอ่อนล้าออกมาจากเขตของเซเลสเทียลได้ไม่กี่นาที แต่จุดหมายของวันนี้ยังอยู่ไกลออกไปอีกห้ากิโลเมตร ต้องแข็งใจเดินกันอีกชั่วโมงในสภาพเหนื่อยแทบขาดใจและหิวจนท้องแทบทะลุ

    ปลายทางเป็นซากเมืองโบราณเล็กๆแห่งหนึ่ง สี่สาวฟุบลงกับพื้นศิลาจนฝุ่นดินเปื้อนเนื้อตัว หน้าตามอมแมมผมกระเซิงเสียทรงกันถ้วนหน้า สี่หนุ่มต้องทนหิวและจัดเตรียมที่พักก่อกองไฟต้มน้ำทำอาหารและวางเขตแดนป้องกันภัยให้เสร็จก่อนถึงจะเริ่มต้นพักได้

    หลังจากสี่สาวทยอยไปล้างหน้าและรอทากะย่างบาร์บีคิวเนื้อแซนด์ลิซาร์ดให้อยู่ กุห์ฟานได้หายไปในความมืดของซากเมืองโบราณและกลับมาพร้อมกับหีบเหล็กเก่าๆใบหนึ่ง เมื่อเฟรเทียร์ถามว่าไปเอามาจากไหนกุห์ฟานก็เริ่มต้นอธิบาย

    “สกิลค้นหาหีบสมบัติของผมทำงานอัตโนมัติน่ะ ตะกี๊มันเตือนว่ามีหีบอยู่ในพื้นที่นี้ก็เลยไปเดินหาแล้วก็เจอ ปกติมาหยุดพักตรงนี้ไม่เคยเจอเลยนะ สงสัยวันนี้ทำครบเงื่อนไขละมั้งหีบเลยเกิด”

    “เห...ดีจังเลยนะ นักสำรวจอย่างฉันยังต้องอาศัยลายแทงประกอบเลยกว่าจะหาหีบสมบัติได้สักหีบน่ะ” เฟรเทียร์ลูบคลำๆหีบโบราณใบนั้นอย่างหลงใหล

    “งั้นก็เปิดเลยสิ อาจจะเป็นแรร์ไอเท็มก็ได้นะ” นัตสึมิรบเร้าให้เปิดหีบด้วยความกระตือรือร้น

    “กินเสร็จแล้วค่อยเปิดดีกว่า ต้องวิเคราะห์หีบก่อนด้วยว่าต้องใช้กุญแจพิเศษด้วยรึเปล่า”

    พอหันเหความสนใจไปเรื่องกิน มิยูก็มีปฏิกิริยาด้วยเสียงท้องร้องที่ทุกคนได้ยินอย่างชัดเจนจนเจ้าตัวออกอาการเขินได้แต่ยิ้มแห้งๆ ทั้งแปดคนจึงล้อมวงกินบาร์บีคิวสุดอร่อยกันอย่างเอร็ดอร่อยให้สมกับที่ทนหิวมานาน

    “นายไปเอากล่องเก็บเนื้อนั่นมาจากไหน?”

    เฟรเทียร์หยิบแว่นขยายตรวจสอบกล่องพลาสติกใบใหญ่ที่ทากะหยิบเนื้อแซนด์ลิซาร์ดมาย่างใหม่อยู่เรื่อยๆ เมื่อถูกถามเขาก็ชี้คีมคีบเนื้อไปทางนักดาบผมสีน้ำตาลที่กำลังละเลียดเนื้อย่างอย่างมีความสุขในฐานะคนชอบกินเนื้อจนถูกเพื่อนๆตั้งชื่อให้ใหม่ว่า ‘สัตวกินเนื้อ’

    เอเซวางจานลง เคี้ยวเนื้อจนหมด หยิบแก้วน้ำขึ้นดื่มแล้วตอบคำถามของเฟรเทียร์ “ทำภารกิจกับหมอที่โรงพยาบาลแล้วได้เป็นรางวัลมาน่ะ ตอนเข้าป่าดำครั้งแรกนั่นแหละ หลังจากนั้นก็เข้าไปทำภารกิจอีกหลายรอบเอามาแจกไอ้พวกนี้คนละใบแล้วก็ให้ไนซ์ไปด้วยเหมือนกัน”

    “มีอีกใบรึเปล่า ฉันอยากได้บ้างน่ะ” เฟรเทียร์ขอกันตรงๆโดยไม่อ้อมค้อม

    “ไม่มีแล้ว กลับไปถ้าว่างแล้วจะแวะไปทำให้ก็ได้นะ”

    “ไม่เป็นไร ขอแค่มีข้อมูลก็พอแล้วเรื่องภารกิจเดี๋ยวฉันจัดการเอง”

    เอเซหรี่ตาลงเล็กน้อย “ไม่ได้จะพูดสบประมาทหรอกนะ แต่ต้องเข้าไปในป่าดำเชียวนะ”

    “ไม่ต้องห่วงหรอกฉันมีคนคุ้มกันระดับสุดยอดอยู่ทั้งคนนี่นะ” พูดเสร็จก็ยกมือตบบ่าทากะเสียงดัง

    หัวหน้าแคลนมัลดิโตเหล่ตามองกลับ “ไม่ถามผมหน่อยเหรอว่าอยากไปด้วยรึเปล่า?”

    เสียงหัวเราะดังไปทั่วซากเมืองโบราณ

    “ว่าแต่กล่องนั่นมันดียังไงเหรอ?” นักธนูสาวที่ใช้เวลาในโลกของแกรนด์ไกอาออนไลน์น้อยที่สุดถามด้วยความอยากรู้ตามนิสัยของเธอ เฟรเทียร์จึงอ่านข้อความที่ปรากฏขึ้นในแว่นขยายให้ฟังเพราะมีเพียงอาชีพนักสำรวจเท่านั้นที่ตรวจสอบคุณสมบัติของไอเท็มได้ละเอียดกว่า

    “กล่องรักษาสภาพ ช่วยรักษาความสดของวัตถุดิบทุกชนิดเป็นเวลาร้อยหกสิบแปดชั่วโมงหรือก็คือเจ็ดวันเต็ม สามารถใช้พลังเวทมนต์ช่วยยืดระยะเวลาในการรักษาสภาพของวัตถุดิบได้อีกครั้งละยี่สิบสี่ชั่วโมง บรรจุวัตถุดิบได้สูงสุดเจ็ดสิบสองชนิดและบรรจุน้ำหนักได้สูงสุดห้าร้อยกิโลกรัม”

    “โอ้โห! กล่องเล็กๆแค่นี้ใส่เนื้อได้ครึ่งตัน!”

    “ใช่แล้ว ที่พวกเราสี่คนแยกย้ายไปทำภารกิจได้โดยไม่อดตายก็เพราะกล่องใบนี้แหละ” เอเซยืนยันคำอธิบายของเฟรเทียร์

    “แต่ป่าดำที่พูดถึงนั่นก็ได้ยินมาว่าโหดไม่ใช่เล่นเลยไม่ใช่เหรอ”

    “ใช้คำว่าโหดมากน่าจะเหมาะกว่านะ เผลอนิดเดียวโดนงูกัดนอนชักน้ำลายฟูมปากห้านาทีแล้วก็กลับบ้านเก่าได้เลย” เอเซหัวเราะเสียงดังเพราะเขาเคยเสียท่างูเห่าในป่าดำจนเกือบไม่รอดมาแล้ว

    “นี่ไง...ให้สหายเอเซมันคุ้มกันสิ สหายของผมคนนี้เชี่ยวชาญป่าดำที่สุดแล้ว”

    “ไม่ต้องมาโบ้ยคนอื่นเลยนะ นายนั่นแหละต้องไปกับฉันเตรียมตัวเตรียมใจไว้เลย”

    อากิรอสรอจังหวะมานานใช้โอกาสตอนที่ทุกคนกำลังหัวเราะให้กับชะตากรรมของทากะหันเหหัวข้อสนทนามาที่เรื่องการดวลระหว่างเขาและนัตสึมิ

    “แล้วเรื่องของเราละครับจะว่ายังไงดี? นัต-สึ-มิ-จัง”

    “อะไร!? เรื่องของเราอะไรกัน?”

    “ผ่านมาแค่วันเดียวทำเป็นลืมไปได้ ก็สัญญาของเราตั้งแต่เมื่อคืนยังไงละจ๊ะ” นักเวทผมเทามองด้วยสายตากรุ้มกริ่มไม่คิดปิดบังเจตนาแม้แต่น้อย นัตสึมิถึงกับสะดุ้งและรู้สึกกลัวอย่างประหลาดกับดวงตาคู่นั้น

    “มิยูคิดว่าพี่อากิจะไม่ถือสาเอาเรื่องกับเพื่อนมิยูซะอีกนะเนี่ย”

    “แหม! แล้วไม่คิดบ้างเหรอถ้าพี่เป็นฝ่ายแพ้แล้วจะถูกสั่งให้ทำอะไรบ้างน่ะ”

    “ให้แต่งครอสเดสใส่ชุดเมดสีดำกับถุงน่องขาวติดที่คาดผม ถ่ายรูปแล้วเอาติดกระดานกลางเมืองอารันด์”

    “ส่งพวกนักข่าวให้เอาลงหนังสือพิมพ์แจกไปทุกเมืองด้วยค่ะ”

    เอเซโพล่งขึ้นมานัตสึมิก็รีบรับมุกต่อทันที

    “โวะ! ไอ้คุณเอเซ! นอกจากไม่ช่วยแล้วยังคิดแผนอุบาทว์ออกมาได้อีกนะ”

    “เราว่าที่เราคิดน่ะอุบาทว์น้อยกว่าที่นายจะให้น้องเขาทำเยอะเลยนะ”

    ทุกคนมองสายตาไปที่อากิรอสอย่างพร้อมเพรียง โดยเฉพาะสามสาวที่ส่งข้อความผ่านสายตาอย่างชัดแจ้งว่าห้ามทำอะไรที่เป็นการล่วงละเมิดทางเพศกับนัตสึมิเด็ดขาด

    “ทำไมทุกคนมองเราด้วยสายตาแบบนั้นอะ ไม่ได้ขอให้ทำอะไรมากเลยนะแค่ต่อจากจะให้นัตสึมิจังเรียกผมว่า ‘นายท่าน’ เท่านั้นเอง”

    “อุบาทว์!” นัตสึมิเบ้หน้าใส่ทันที

    “ไม่คิดเลยว่าความคิดของสหายอากิจะอุบาทว์ขนาดนี้”

    “โวะ! แค่ให้เรียกนายท่านนี่ถือเป็นความคิดอุบาทว์ขนาดนั้นเลยเหรอ ทีไอ้เอเซจะให้เราใส่ชุดเมดเอาไปติดทั่วเมืองนั่นไม่อุบาทว์เลยสินะ”

    “ความคิดสหายเอเซเข้าท่าดีออก ไม่แน่สหายอากิอาจจะกลายเป็นไอด้อลของเกมนี้เลยก็ได้นะ”

    นักเวทผมเทาทำหน้าเหมือนคนสิ้นหวัง เหมือนคนโดนให้ออกจากงาน เหมือนนักเรียนสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ เหมือนโดนปฏิเสธหลังจากสารภาพรัก เหมือนเพิ่งสูญเสียสิ่งสำคัญในชีวิตไปอย่างไม่มีวันได้กลับมา

    “นายท่านอย่าเศร้าไปเลยนะ ถ้าไม่อยากใส่ชุดเมดจะเปลี่ยนเป็นชุดนางพยาบาลสีชมพูก็ได้นะ” เอเซยกมือตบบ่าเพื่อนด้วยอาการพยายามกลั้นหัวเราะ

    “โวะ! ไม่คุยด้วยแล้ว งอน!”

    “ไม่ง้อนะ” กุห์ฟานดักตบมุขในจังหวะสุดท้ายทำให้นัตสึมิหัวเราะอย่างสะใจที่สุด

    มื้อค่ำในค่ำคืนนั้นเปี่ยมไปด้วยบรรยากาศสนุกสนาน เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและรอยยิ้มเปี่ยมสุขจากก้นบึ้งหัวใจ นัตสึมิมีนิสัยกล้าได้กล้าเสียจึงยอมเรียกอากิรอสว่า ‘นายท่าน’ ด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้างและประชดประชันสุดฤทธิ์ คนถูกเรียกเลยไล่ให้ไปหัดเรียนมารยาทสาวใช้กับไนซ์ แต่สุดท้ายแล้วนัตสึมิก็ยังคงเรียกด้วยน้ำเสียงแบบนั้นอยู่ดี

    ในระหว่างที่ทุกคนกำลังเฮฮากัน หีบเหล็กเก่าๆใบมือกุห์ฟานก็ถูกเปิดออกจนได้

    “ง่ายกว่าที่คิดแฮะ” นักล่าสมบัติจัดเรียงชุดสะเดาะกุญแจลงกล่องแล้วยัดเข้ากระเป๋าเป้ไป

    “ฝีมือระดับนี้จะเรียกว่าอัจฉริยะหรือมหาโจรดีวะเนี่ย”

    “พี่เอเซ...นี่มันสกิลครับ แล้วก็ไม่ต้องกลัวเพราะผมไม่ไปงัดห้องพี่แน่นอน”

    “ไม่ได้ล็อกอยู่แล้วเว้ย กุญแจหายเลยถีบประตูจนลูกบิดพังตั้งนานแล้ว”

    “มีอะไรดีๆบ้างไหมเนี่ย” เฟรเทียร์ยื่นหน้ามองลงไปในกล่องก่อนใครเพื่อน ด้วยนิสัยอยากรู้อยากเห็นของเธอเป็นนักสำรวจนับว่าเหมาะสมที่สุดแล้ว

    ด้านในกล่องมีม้วนกระดาษอยู่สี่แผ่น แผ่นแรกเป็นแผนที่มองเมืองโบราณทั้งหมดและบอกพิกัดทางลงดันเจียนลับที่บ่อน้ำกลางเมือง กระดาษแผ่นที่สองเป็นแผนที่ของดันเจียนชั้นแรกอย่างคร่าวๆ แผ่นที่สามและแผ่นที่สุดท้ายเป็นบอกว่าเป็นแผนที่ของอีกสองชั้นที่เหลือแต่ไม่มีรายละเอียดใดๆเลยนอกจากความว่างเปล่า

    “ผมพอจะเข้าใจแล้ว หีบใบนี้เกิดขึ้นมาแล้วผมไปหาเจอเนี่ยก็เพราะในกลุ่มของเรามีอาชีพนักสำรวจอยู่สองคนพอดี แผนที่เปล่าสองแผ่นนี่คงหมายถึงให้คนที่มาพบทำแผนที่ดันเจียนให้เสร็จสมบูรณ์แล้วดันเจียนถึงจะเปิดใช้งานได้ตามปกติ...น่าจะเป็นอย่างนั้นนะ”

    กุห์ฟานวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างรวดเร็วสมกับเป็น ‘มันสมอง’ ของแคลนมัลดิโต

    “แล้วพวกเราต้องทำเลยรึเปล่าละ?” ไนซ์ถามคำถามสำคัญขึ้นมาให้ทุกคนต้องระดมสมองคิด

    โอกาสพบดันเจียนลับเป็นเรื่องโชคดีเหมือนถูกล็อตตารี่รางวัลใหญ่เพราะภายในดันเจียนลับย่อมมีไอเท็มระดับสูงอยู่แล้ว แต่ตอนนี้เป้าหมายของกลุ่มคือไปให้ถึงเมืองเวเนสถ้าจะอยู่สำรวจดันเจียนก็เท่ากับต้องยืดเวลาไปเมืองเวเนสให้ช้าลงโดยไม่สามารถกำหนดเวลาที่แน่นอนได้




    สมาชิกแคลนมัลดิโตสุมหัวปรึกษากัน สำรวจไอเท็มที่จำเป็นต้องใช้แล้วพบว่าไอเท็มฟื้นฟูพลังถูกใช้ไปมากกว่าครึ่งตอนที่ฝ่าดงมอนสเตอร์ ถึงเสบียงและน้ำดื่มจะพอแต่ถ้าไม่มีโพชั่นเพียงพอก็ไม่มีประโยชน์ ฝั่งสี่สาวก็คุยกันในฐานะผู้ว่าจ้างจนตกลงได้ว่าทำตามแผนเดิมคือไปเมืองเวเนสและสะสางธุระของแต่ละคนให้เสร็จแล้วเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อสำรวจดันเจียนลับแห่งนี้ตอนขากลับ
    taleoftrue ถูกใจสิ่งนี้
  13. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    Grand Gaia Online 27 – The Magic City




    บ่ายอ่อนๆ ตะวันคล้อยต่ำ หมู่เมฆขาวลอยฉิวตามลมบน บรรยากาศเงียบสงบทำให้หลายคนม่อยหลับสัปหงก หลายคนฟุบหลับกลางกองเอกสารทั้งที่อีกหลายคนยังวุ่นวายกับการงานของตัวเองจนหัวหมุน

    จู่ๆมีเสียงระเบิดดังกึกก้องและเสียงฟ้าร้องกัมปนาทปลุกทุกคนขึ้นจากฝันกลางวัน

    เมฆดำที่เกิดจากอำนาจเวทมนต์สร้างฟ้าผ่านับสิบสายแหวกวงล้อมฝูงมอนสเตอร์กลุ่มสุดท้ายก่อนจะถึงเขตปลอดภัยรอบเมืองที่มอนสเตอร์ไม่อาจรุกล้ำได้ นอกจากเวทมนต์ ‘พายุสายฟ้า’ แล้วยังมีเวทมนต์ ‘ระเบิดเพลิง’ อีกด้วย เปลวเพลิงสีแดงผสานกับสายฟ้าสีเงินกลายเป็นงานศิลปะเฉิดฉายอยู่ตรงกลางระหว่างสีเขียวเข้มของป่าทึบและท้องฟ้าสีคราม

    เหล่าทหารยามพยักหน้าบอกต่อๆกันแล้วกลับไปประจำตำแหน่งของตน หมดความสนใจกับเหตุการณ์เช่นนี้ที่ถือเป็นเรื่องปกติของ ‘แคลนมัลดิโต’

    การเข้าเมืองเวเนส ผู้เล่นกลุ่มอื่นจะรอเวลาที่มีเซฟตี้แอเรียเกิดขึ้นที่ชายป่าและรออยู่ในนั้นเพื่อข้ามไปยังเซฟตี้แอเรียถัดไปจนกว่าจะถึงเมือง แต่แคลนมัลดิโตเลือกจะบุกฝ่าหักหาญเข้ามาอย่างบ้าบิ่นทุกครั้งด้วยเหตุผลว่าช่วยประหยัดเวลาลงได้ครึ่งวัน

    ชายหญิงแปดคนกระโดดสุดตัวพุ่งถลาออกมาจากชายป่าไถลตัวเกลือกกลิ้งกับพื้นหญ้านอนกันเกลื่อนกลาดอย่างหมดสภาพ เฟรเทียร์ซึ่งนอนฟุบคว่ำหน้ากับพื้นหญ้าพลิกตัวขึ้นมองท้องฟ้ากว้างแล้วก็พูดประโยคหนึ่งออกมา

    “โอย เข้าใจแล้วว่าทำไมเวลาชวนคนอื่นมาเมืองนี้ถึงไม่มีใครอยากมาด้วย”

    “ช่วยไม่ได้ก็เจ๊อยากเลือกทางเสี่ยงเองนี่นา” กุห์ฟานยกนิ้วโป้งตอบเธอ

    “งั้นคราวหน้าขอลองทางเซฟบ้างละกัน”

    “คราวหน้าหนูขอผ่านนะคะ” นัตสึมิโอดครวญ

    “เด็กขี้แยแค่นี้ก็ไม่ไหวแล้วเหรอ”

    พูดยังไม่ทันจบประโยค ฝ่ามือของนัตสึมิแหวกอากาศลงกลางหลังอากิรอสเกิดเสียงดังที่ไม่ว่าใครได้ยินก็ต้องรู้สึกเจ็บแผ่นหลังของตัวเองขึ้นมาทันที “นายท่านว่าใครเป็นเด็กขี้แยคะ?”

    “จะนอนกันไปถึงไหน? อีกร้อยเมตรก็ถึงประตูเมืองแล้วนะ”

    เอเซไล่พยุงทุกคนให้ลุกขึ้น ทั้งแปดคนกระปลกกระเปลี้ยเดินไปจนถึงประตูเมืองในที่สุด แต่ก่อนจะเข้าเมืองมีสิ่งหนึ่งที่ต้องทำเป็นลำดับแรกจนถือเป็นธรรมเนียมของพวกเขาไปแล้ว เมื่อสี่สาวขึ้นไปยืนเรียงบนกำแพงเมืองก็ต้องตื่นตากับผังเมืองแสนวิเศษของนครมนตราแห่งนี้


    ทั้งเมืองถูกโอบล้อมด้วยกำแพงสีขาวบริสุทธิ์เป็นวงกลม มีประตูเมืองเพียงแห่งเดียวคือด้านทิศเหนือ ตัวเมืองอยู่ลึกลงไปในพื้นดินลดหลั่นเป็นสามชั้น อาคารบ้านเรือนปลูกสร้างอย่างเป็นระเบียบ ชาวเมืองแต่งกายสะอาดสะอ้าน สวมสร้อยมีจี้คริสตัลกันทุกคนตั้งแต่เด็กไปถึงคนแก่ หอหอยฐานแปดเหลี่ยมสูงสง่าตระหง่านอยู่ ณ ใจกลางเมือง เมื่อแหงนหน้ามองตามหอคอยจะพบกับปราสาทคริสตัลลอยอยู่ท่ามกลางประกายแสงสีรุ้งอย่างงดงามอลังการ

    พื้นที่ระดับแรกของเมืองเวเนสเป็นพื้นที่เชิงพาณิชย์ มีร้านค้าสถานบริการสารพัดประเภท ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร ร้านขายวัตถุดิบต่างๆ ร้านหนังสือ โรงแรม โรงอาบน้ำ ตลาดประจำเมืองและพื้นที่ค้าขายสาธารณะของผู้เล่น

    ความลึกระดับที่สองเป็นที่ตั้งของสมาคมอาชีพ ลานฝึกซ้อมต่อสู้ สนามประลอง สนามกีฬา หน่วยงานต่างๆของเมืองเวเนส เช่น กรมทหารมนตรา ที่ทำการไปรษณีย์และที่ทำการผู้บริหารเมือง

    และความลึกระดับที่สามที่มีผู้เล่นตั้งชื่อให้ว่า ‘แมจิคโซน’ เพราะมีไอเท็มทุกชนิดสำหรับจอมเวทมีขายเฉพาะที่นี่เท่านั้นไม่ว่าจะเป็นไม้เท้า ผ้าคลุม ศิลามนตรา ไปจนถึงคัมภีร์เวทมนต์ต่างๆ และและเฉพาะสมาคมจอมเวทเท่านั้นที่ไม่ได้อยู่ที่ความลึกระดับสองแต่อยู่ที่หอคอยแปดเหลี่ยมแทน


    “ปราสาทนั่นคือห้องสมุดเวทมนต์ ถ้าอยากขึ้นไปก็ต้องเคลียร์เงื่อนไขก่อน”

    “งั้นก็รีบไปจัดการธุระของแต่ละคนให้เสร็จๆแล้วไปเที่ยวที่ห้องสมุดนั่นกันเถอะ”

    เฟรเทียร์ชูมือขึ้นฟ้าประกาศก้อง สามสาวตะโกนตอบรับเสียงดังอย่างพร้อมเพรียง

    เป้าหมายที่สี่สาวดั้นด้นผ่านอันตรายนานัปการมาถึงเมืองเวเนสแห่งนี้แตกต่างกันไป เฟรเทียร์จะมาลาออกจากการเป็นตัวแทนสมาคมนักสำรวจในต่างเมือง ไนซ์มาเพื่อทำภารกิจกับสมาคมนักดาบ มิยูมาเพื่อเปลี่ยนอาชีพเป็นนักดาบมนตรา และนัตสึมิมาเพื่อเรียนรู้เวทมนต์ที่ใช้โจมตีร่วมกับธนูได้ พร้อมกันนั้นเฟรเทียร์ก็บังคับให้ชาวมัลดิโตไปทำภารกิจปลดล็อกเงื่อนไขผู้ฝึกหัดของแต่ละคนให้เรียบร้อยด้วยเลย ทั้งสี่คนเปลี่ยนอาชีพที่ปราสาทในเมืองเริ่มต้นก่อนที่จะเข้าสู่ทวีปหลักของเกมเลยติดสถานะผู้ฝึกหัดมาตั้งแต่ต้น มีเพียงกุห์ฟานคนเดียวที่รู้แต่ก็ไม่คิดจะทำอะไรสักที

    หลังจากดูแผนที่แล้ว...สมาคมนักล่าสมบัติอยู่ใกล้ที่สุด เฟรเทียร์เลยบังคับกุห์ฟานให้ไปปลดล็อกเงื่อนไขผู้ฝึกหัดเป็นคนแรกสุด

    เมื่อเข้าไปในห้องโถงกว้างขวาง พื้นปูด้วยหินอ่อนสีขาวลายน้ำตาลแดง เสาทรงกลมขนาดใหญ่เชื่อมโยงพื้นดินและหลังคา ตรงกลางห้องมีโต๊ะยาวทำจากไม้สีดำและมีเอ็นพีซีสาวในชุดสาวออฟฟิศที่เห็นได้ทั่วไปยืนประจำการอยู่หนึ่งคน

    “ยินดีต้อนรับสู่สมาคมผู้ล่าสมบัติค่ะ คุณกุห์ฟาน รีส ริยาส สังกัดแคลนมัลดิโต วันนี้จะมารับภารกิจกับทางสมาคมหรือมาสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับอาชีพเพิ่มเติมคะ?” เอ็นพีซีประจำสมาคมทักทายตามหน้าที่

    “โดนเจ๊ๆลากมาปลดล็อกเงื่อนไขของนักล่าสมบัติฝึกหัดน่ะ”

    “ถ้าจะปลดล็อกเงื่อนไขของผู้ฝึกหัดต้องทำภารกิจสามอย่างค่ะ ภารกิจไม่ยากเพียงแค่รวบรวมไอเท็มมาให้ครบตามที่กำหนดค่ะ ยืนยันจะรับภารกิจแรกสุดเลยรึเปล่าคะ?”

    “ว่ามาโลด”

    “ภารกิจรวบรวมไอเท็มรายการแรกนะคะ ให้ผู้เล่นรวมรวม ‘ชิ้นส่วนแจกันแตกหัก’ ‘เข็มเงินยาวของนาฬิกา’ และ ‘หีบเปล่าที่ใช้งานไม่ได้แล้ว’ ขอให้ใช้ความสามารถให้เต็มที่เพื่อตามหาไอเท็มให้ครบค่ะ”

    เขากดตอบรับภารกิจแล้วเปิดหน้าต่างทักษะขึ้นมา ใช้งานทักษะ ‘หีบสมบัติส่วนตัว’ เรียกหีบเหล็กธรรมดาๆใบหนึ่งออกมา สะบัดขาขวาเตะหีบให้ฝาหีบเปิดออก เปิดหน้าต่างรายชื่อไอเท็มที่บรรจุอยู่ภายในหีบ หยิบไอเท็มสามอย่างที่เอ็นพีซีต้องการวางไว้บนโต๊ะ มีหน้าต่างภารกิจเสร็จสิ้นแจ้งเตือนแล้วปิดตัวเองไป

    “ขอภารกิจที่สองเลย”

    “ค่ะ ภารกิจที่สองนะคะ ให้ผู้เล่นรวบรวม ‘แก้วน้ำของราชา’ ‘โซ่ขึ้นสนิม’ และ ‘เขี้ยวไวเวิร์น’ เป็นภารกิจไม่จำกัดเวลาขอให้ใช้ความสามารถ...”

    น้องเล็กสุดแห่งแคลนมัลดิโตยกมือขึ้นห้ามเอ็นพีซีให้หยุดพูด เลือกหยิบไอเท็มที่ต้องใช้จากในหีบออกมาวางไว้ เฟรเทียร์ทนไม่ได้ต้องใช้แว่นขยายส่องหีบหน้าตาธรรมดาๆแต่คุณสมบัติไม่ธรรมดา พอเห็นคำอธิบายแล้วปากก็ร้องว่าโกงๆไม่หยุด

    “อะ ภารกิจสุดท้ายว่ามาไวๆ”

    “ภารกิจสุดท้ายนะคะ กรุณาตามหา ‘น้ำมนต์สีแดงจาง’ ‘โล่กางเขนชำรุด’ และ ‘ถุงใบใหญ่ทำจากแกะดำ’ ด้วยค่ะ”

    ไอเท็มทั้งสามชิ้นถูกหยิบออกมาวาง จากนั้นมีหน้าหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้ากุห์ฟานแจ้งว่าเขาผ่านเงื่อนไขของนักล่าสมบัติฝึกหัด สามารถใช้งานและเรียนรู้ทักษะทั้งหมดของอาชีพนี้ได้อย่างไม่มีเงื่อนไข ใช้เวลาปิดภารกิจทั้งสิ้นสี่นาทีสามสิบสองวินาที ได้บันทึกสถิติเร็วที่สุดสำหรับการปลดล็อกเงื่อนไขผู้ฝึกหัดของสมาคมนักล่าสมบัติและสถิตินี้คงไม่มีใครทำลายลงได้อย่างแน่นอน

    “โอเคแล้วนะเจ๊? ผมรู้อยู่แล้วว่าไอเท็มที่ต้องใช้ปลดล็อกเงื่อนไขผู้ฝึกหัดมีอะไรบ้างเลยไปหามาเตรียมไว้ตั้งนานแล้วละ” กุห์ฟานหันไปขยิบตาให้เฟรเทียร์หนึ่งที

    “จ๊ะๆ พ่อคนเก่ง”

    นักสำรวจสาวร่างสูงโปร่งอธิบายให้มิยูและนัตสึมิรู้ว่าหีบเหล็กเก็บไอเท็มของกุห์ฟานนั้นดีอย่างไร “หีบใบนี้ต้องใช้ร่วมกับสกิลของนักล่าสมบัติโดยเฉพาะ เป็นเหมือนคลังเก็บไอเท็มเคลื่อนที่เฉพาะบุคคล มีช่องเก็บไอเท็มสองพันรายการ แต่ละรายการใส่ของชนิดเดียวกันได้พันชิ้นและไม่จำกัดน้ำหนัก!!”

    “ยังๆ ยังไม่หมด หีบใบนี้ยังเรียกออกมาใช้ป้องกันการโจมตีได้ด้วย คุณสมบัติเทียบเครื่องป้องกันแรงค์เอ!”

    “ขยายขนาดได้ตามใจชอบด้วยนะ เวลาลงดันเจียนผมชอบขยายขนาดให้พอดีตัวแล้วลงไปนอนเวลาที่หาเซฟตี้แอเรียไม่เจอ มองจากข้างในออกมาก็ได้แถมมอนสเตอร์ไม่โจมตีหีบสมบัตินี่ด้วย” กุห์ฟานอธิบายสิ่งที่เฟรเทียร์ไม่สามารถตรวจสอบได้เพิ่มเติม

    นัตสึมิถึงกับเหล่มองหีบเหล็กที่ตอนนี้เป็นเก้าอี้ของกุห์ฟานไปแล้ว “อะไรจะโกงขนาดนั้น แล้วไปหามาจากไหนกันเนี่ย?”

    “เป็นรางวัลจากการเคลียร์ดันเจียนเมืองอารันด์น่ะ”

    “มิยูมีเงินอยู่สองพันขอซื้อต่อตรงนี้เลยละกัน”

    “เก็บไว้ซื้อโพชั่นเถอะนะ”

    เสียงหัวเราะของมิยูและทุกคนดังลั่นห้องโถง เอ็นพีซีประจำสมาคมนักล่าสมบัติรอจนเสียงหัวเราะเงียบลงจึงกระแอมไอออกมาเบาๆและพูดอย่างสุภาพ “ตอนนี้คุณกุห์ฟาน รีส ริยาส เป็นนักล่าสมบัติครบถ้วนตามเงื่อนไขของสมาคมแล้ว สนใจจะรับภารกิจเลยรึเปล่าคะ?”

    “มีอะไรน่าทำบ้างอะ”

    เอ็นพีซีเปิดลิ้นชักหยิบสมุดปกแข็งขนาดใหญ่เล่มหนึ่งออกมาและบอกให้เลือกรายการภารกิจได้ตามต้องการ เขารับหนังสือมาแล้วไปนั่งอ่านบนโต๊ะรับแขกพร้อมกับคนอื่นๆ มีเจ้าหน้าที่ของสมาคมมาถามว่าจะรับเครื่องดื่มอะไรแล้วยกออกมาเสิร์ฟให้

    ครึ่งชั่วโมงต่อมา กุห์ฟานนำหนังสือไปคืนและเลือกภารกิจที่ต้องอยากทำ คนถัดไปที่ต้องปลดล็อกเงื่อนไขผู้ฝึกหัดคือทากะ เฟรเทียร์ฉีกยิ้มกว้างรีบเดินนำไปที่สมาคมนักสำรวจทันที พอไปถึงห้องโถงที่เต็มไปด้วยแผนที่และแบบจำลองภูมิศาสตร์เหมือนเดินไปเข้าในงานนิทรรศการอะไรสักอย่าง เอ็นพีซีที่ประจำอยู่เป็นชายหนุ่มในชุดเดินป่าพอเห็นมีแขกมาจึงเดินออกมาต้อนรับ

    “มาปลดล็อกเงื่อนไขผู้ฝึกหัด” ทากะชิงบอกจุดประสงค์ไปก่อนที่อีกฝ่ายจะทันถาม

    “ภารกิจที่ตรงตามเงื่อนไข คือ สำรวจมอนสเตอร์ภายในป่ามายา สามารถเลือกได้ว่าจะไปที่เซคเตอร์ทางเหนือ ใต้ ตะวันออกหรือตะวันตก”

    “ไม่มีไอเท็มอะไรให้เป็นรางวัลเลยเหรอ?”

    “ไอเท็มมีให้ แต่ต้องปรับระดับภารกิจตามระดับของไอเท็มนะครับ”

    “ขอดูไอเท็มที่ว่าหน่อยสิ”

    “ด้วยความยินดีครับ”

    เอ็นพีซีดีดนิ้วหนึ่งครั้งเกิดเสียงเบาๆ ด้านหลังเยื้องไปซ้ายมือมีราวตัวหนึ่งปรากฏขึ้นพร้อมกับผ้าคลุมสิบตัวที่ไม่ว่ามองอย่างไรก็เหมือนกันหมดไม่ว่าขนาดหรือสี แต่เรื่องแค่นี้ถ้ามองไม่ออกก็ไม่อาจเป็นนักสำรวจที่ดีได้ ทากะจึงหยิบแว่นขยายออกมาส่องตรวจสอบคุณสมบัติของผ้าคลุมทั้งสิบตัวก่อน

    “เลือกได้หนึ่งผืนใช่ไหม?”

    เอ็นพีซีพยักหน้าตอบคำถาม

    “แล้วต้องทำอะไรบ้าง?”

    “สำรวจมอนสเตอร์ในป่ามายาให้ครบทั้งสี่เซคเตอร์ครับ”

    เจ้าหน้าที่สมาคมนักสำรวจพูดเหมือนเป็นเรื่องง่ายๆ แต่การตัดสินใจของทากะกลับเป็นเรื่องง่ายยิ่งกว่า

    “ตกลง”

    คุณสมบัติของผ้าคลุมผืนที่ทากะต้องการคือ เพิ่มผลของทักษะพรางกาย เพิ่มความเร็วในการเคลื่อนที่ เป็นเครื่องป้องกันที่มีพลังต้านทานเวทมนต์ค่อนข้างสูง เหมาะสำหรับเขาที่พลังป้องกันเวทมนต์น้อยนิด

    มีหน้าต่างภารกิจปรากฏขึ้นมาให้เขากดปุ่มตกลง เมื่อกดตกลงแล้วเอ็นพีซีหนุ่มจึงยื่นกล้องส่องทางไกลให้เขาตัวหนึ่ง “ใช้กล้องนี้ตรวจสอบมอนสเตอร์ภายในระยะสามสิบเมตร กดปุ่มที่อยู่ทางขวาเพื่อบันทึกภาพมอนสเตอร์นะครับ”

    “สามสิบเมตรเมตรก็อยู่ในระยะตรวจจับศัตรูของมอนสเตอร์น่ะสิ” เอเซที่เป็นแนวหน้าต่อสู้กับศัตรูในป่ามายามาตลอดรู้ดีว่ามอนสเตอร์พวกนั้นมีขอบเขตมองเห็นเป้าหมายในระยะเท่าไร

    “ใช่แล้วครับ เป้าหมายของภารกิจคือให้ไปสำรวจและเอาชีวิตรอดกลับมา นั่นคือ ‘โปรเฟสชันแนลโค้ด’ ของนักสำรวจครับ”

    ทากะหันไปถามเอเซ “เหมือนไม้โปรสำหรับใช้วัดมุมป่าววะ?”

    “เหมือน”

    “โวะ! เวลานี้ยังมีอารมณ์เล่นมุขตบมุขกันอีกนะพวกนาย ว่าแต่ภารกิจนี้ไม่โหดไปหน่อยสำหรับนายที่อ่อนด้อยเรื่องพลังป้องกันเวทมนต์เหรอวะ โดนเวทยิงใส่ไม่กี่ทีนายก็ม่อยกระรอกแล้วนะ”

    “ลองดูเดี๋ยวก็รู้”

    “เฮ้อๆ ไม่ไหวเลย เอานี่ไปใช้ละกัน” เฟรเทียร์ถอนหายใจส่ายหน้าและยื่นถุงใบใหญ่ให้

    “ระเบิดแสง ระเบิดไฟ ระเบิดแช่แข็ง ระเบิดควันทั้งแบบยาสลบ ควันยาชาและระเบิดสาปเป็นหิน นี่ให้ไปสำรวจและเอาตัวรอดไม่ได้ให้ไปเผาป่ามายาจนวอดวาย คุณเฟรเทียร์เองก็อย่าช่วยจนเกินงามสิครับ” เอ็นพีซีหนุ่มรู้รายการไอเท็มในถุงนั้นโดยไม่ต้องเห็นแล้วก็ดักคอเฟรเทียร์ไว้

    “ก็ไมได้ห้ามช่วยนี่นา จะใช้ยังไงก็ให้เจ้าตัวไปคิดดูเองละกัน”

    เมื่อจบธุระของทากะแล้วเธอจึงบอกเหตุผลที่มาที่นี่ให้เอ็นพีซีหนุ่มทราบ เขากลับทำหน้าเหมือนได้ยินข่าวร้ายและเชิญให้ทุกคนนั่งรอที่โซนรับแขกก่อนและพาเฟรเทียร์เข้าไปในห้องด้านหลัง เกือบหนึ่งชั่วโมงต่อมานักสำรวจสาวตัวแทนสมาคมในต่างเมืองกลับออกมาพร้อมสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีเท่าไรนัก

    “เขาบอกว่าตอนที่มอบสิทธิ์ตัวแทนสมาคมให้ลืมบอกไปว่าให้ทำตัวตามปกติไม่ต้องกังวลกับตำแหน่งมาก ให้พิจารณาความเหมาะสมในการมอบภารกิจได้เองเลย เพราะฉะนั้นก็ไม่จำเป็นต้องลาออกก็ได้”

    “แต่พี่เฟรเทียร์ก็ยังอยากลาออกไม่อยากเป็นตัวแทนสมาคมอยู่ดี”

    “ช่ายแล้ว” เฟรเทียร์คว้ามิยูมากอดแล้วหอมแก้มซ้ายไปหนึ่งฟอด

    “งั้นก็ไม่ต้องคิดมากแล้วละนะ ไปต่อกันเถอะ” เอเซบอกแล้วก็ลุกขึ้นยืนเป็นสัญญาณให้ทุกคนออกเดินทางไปที่สมาคมถัดไปทันที








    ถัดไปทางซ้ายของสมาคมนักสำรวจ เดินไปอีกสามร้อยกับอีกเจ็ดเมตรก็ถึงอาคารหลังหนึ่งที่มองก็รู้ทันทีว่าเป็นสมาคมนักดาบเพราะเหนือประตูมีรูปนูนต่ำเป็นดาบคู่ไขว้อยู่หลังโล่ให้เห็นอย่างชัดเจน เอ็นพีซีของสมาคมนักดาบเป็นชายสูงวัยอายุน่าจะมากกว่าห้าสิบปี เริ่มมีผมหงอกขึ้นแซมให้เห็น สวมชุดเกราะหนังสะพายดาบเหมือนนักดาบทั่วไปในเกมนี้

    ไนซ์เข้าไปสอบถามแล้วกลับออกมาบอกทุกคน ถ้าจะปลดล็อกสกิลดาบคู่โดยที่เป็นผู้เล่นอาชีพอื่นต้องเข้าทดสอบทักษะการใช้ดาบภายในห้องทดสอบของสมาคม เธอจึงตัดสินใจที่จะมาทดสอบในวันพรุ่งนี้แทน

    เสร็จธุระแล้วครึ่งกลุ่ม เหลืออีกสี่คนที่ต้องไปต่อคือ เอเซ มิยู นัตสึมิและอากิรอส โดยที่ทั้งสี่คนมีปลายทางร่วมกันคือที่หอคอยกลางเมืองที่ความลึกระดับสุดท้าย

    หอคอยกลางเมืองนอกจากเป็นที่ตั้งของสมาคมจอมเวทแล้วยังเป็นที่ทำการของสมาคมอาชีพที่เกี่ยวข้องกับเวทมนต์ รวมถึงอาชีพนักดาบเวทด้วย นอกจากนั้นก็เป็นอาชีพนักเวทอัญเชิญ อาชีพนักรบอาคม อาชีพอัศวินศักดิ์สิทธิ์ และอีกหลายอาชีพที่ใช้เวทมนต์เป็นทักษะหลักในการต่อสู้

    โจทย์ของนัตสึมิคือต้องการเรียนรู้เวทมนต์ที่ใช้โจมตีร่วมกับธนู เอ็นพีซีให้คำตอบเป็นทางเลือกมาสามทาง

    หนึ่งคือทำภารกิจกับทางสมาคมจอมเวทเป็นลำดับแรกเพื่อให้ได้สิทธิ์เรียนรู้เวทมนต์พื้นฐานและนำไปประยุกต์ใช้เอง สองคือซื้อคัมภีร์เวทมนต์ไปเรียนรู้ทักษะเวทมนต์ที่ต้องการ สามคือเปลี่ยนอาวุธไปใช้ธนูและศรมนตรา

    ทางเลือกที่สองและสามต้องใช้เงินจำนวนมาก คัมภีร์เวทมนต์ที่เป็นเวทมนต์ระดับพื้นฐานหนึ่งเล่มราคาซื้ออยู่ที่สองหมื่นกิล คัมภีร์เวทมนต์ระดับสูงขึ้นไปราคายิ่งแพงเป็นเท่าตัวและคัมภีร์เวทมนต์เฉพาะทางกับอาวุธประเภทธนูราคาทะลุไปถึงเลขหกหลัก ส่วนธนูมนตราราคาแรงไม่แพ้คัมภีร์เวทมนต์และยังมีเงื่อนไขด้านเลเวลและกำหนดค่าพลังโจมตีเวทมนต์ขั้นต่ำอีกด้วย

    นัตสึมิเห็นราคาไอเท็มแล้วก็ส่ายหน้าอย่างหมดทางเลือก “เกมนี้ออกแบบมาได้โรคจิตดีจริงๆ ของราคาแพงเวอร์แต่เงินหายากโคตรๆ”

    “ไปลองดูก่อนน่าว่าเผื่อภารกิจมันไม่ได้ยากขนาดนั้น” ไนซ์ให้กำลังใจนักธนูสาวด้วยรอยยิ้ม

    ภารกิจที่นัตสึมิต้องทำเป็นการทดสอบแบบเดียวกับที่ไนซ์รู้มาจากสมาคมนักดาบ คือต้องเข้าทดสอบภายในห้องทดสอบของสมาคมเพียงคนเดียว นัตสึมิจึงเลือกที่จะรับภารกิจทดสอบในวันพรุ่งนี้เช่นกัน




    หลังจากนั้นคือภารกิจเพื่อปลดล็อกเงื่อนไขผู้ฝึกหัดของอากิรอส เอ็นพีซีซึ่งเป็นชายวัยกลางคนคะเนอายุประมาณสามสิบปลายๆแต่แต่งตัวสุภาพเรียบร้อยและสวมผ้าคลุมสีดำตามแบบฉบับจอมเวททั้งหลาย ได้มอบหมายให้อากิรอสไปตามหาผลไม้มายาภายในป่ามายามาให้ได้

    “ผลไม้มายา หน้าตาเป็นแบบไหนกัน?”

    เอ็นพีซีประจำสมาคมจอมเวทหยิบรูปผลไม้มายาออกมาให้อากิรอสและทุกคนดู พอสาวๆเห็นรูปโพลารอยด์ใบใหญ่แล้วก็ทำท่าจะเป็นลมโดยพร้อมเพรียงกัน ผลไม้ที่ว่านั่นคือสัปปะรดเพียงแต่ว่ามีขนาดใหญ่กว่าปกติเกือบสี่เท่า สีเปลือกเป็นสีม่วงเข้มและที่สำคัญที่สุดคือตารอบผลเป็นดวงตาของมนุษย์จริงๆ

    จู่ๆมีเสียงตะโกนออกมาจากห้องด้านหลัง “มีนักเวทไปหาผลไม้มายาเรอะ? รอบนี้เป็นอะไรน่ะ”

    “สัปปะรดน่ะ”

    เอ็นพีซีตอบแล้วเดินหายเข้าไปในห้องนั้นเป็นเวลาเกือบสิบนาทีและกลับออกมาทำหน้าที่ตามเดิม

    “มีอะไร...อย่างนั้นเหรอครับ?” อากิรอสจะไม่ถามก็กระไรอยู่

    “ยินดีกับคุณอากิรอสล่วงหน้านะครับ เพราะภารกิจปลดล็อกผู้ฝึกหัดต้องทำทั้งหมดห้าภารกิจ แต่ดูเหมือนเจ้าหน้าที่คนอื่นๆในสมาคมจอมเวทเล็งเห็นแล้วว่าคุณอากิรอสมีความสามารถมากพอจึงให้ทำภารกิจครั้งเดียวแต่ปรับเป็นระดับสูงสุดเช่นเดียวเหมือนกับคุณทากะเพื่อนของคุณอากิรอสนั่นแหละครับ ผลไม้มายาที่ต้องไปตามหาคือ ‘สัปปะรดพันเนตร’ ซึ่งอยู่ใจกลางป่ามายา เพียงแต่ต้องไปตามหาให้ครบทั้งสี่ชนิดจากสี่เซคเตอร์ของป่ามายาครับ สามารถจับคู่ร่วมทางไปกับคุณทากะได้แน่นอน”

    “แหม! ไม่ถามกันหน่อยเหรอครับว่าอยากทำหนึ่งแบบยากหรือว่าห้าแบบปกติ”

    “ชื่อเสียงของแคลนมัลดิโตรับประกันอยู่แล้วว่าถ้ามีตัวเลือกทำครั้งเดียวผ่านแต่ยากสุด คุณอากิรอสก็ต้องเลือกอยู่แล้วละครับ”

    เอ็นพีซียิ้ม อากิรอสก็ยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่แฝงความเยือกเย็นน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก

    ทากะเข้ามาคลี่คลายสถานการณ์ด้วยฝ่ามือ เสียงตบบ่าอากิรอสดังจนมิยูรู้สึกเจ็บแทน

    “ไม่คิดเลยว่าต้องไปกับสหายอากิ ฝากตัวด้วยนะ”

    “เราว่าเราคงจะช้ำในตายก่อนได้ไปป่ามายาแน่เลยถ้านายฝากมือมาแรงๆแบบนี้”

    “เอ้า! ตาสหายไปทำภารกิจบ้างแล้ว” หัวหน้าแคลนมัลดิโตตบฝ่ามือลงบ่าเอเซหนักๆเช่นกัน เอเซหันกลับมายิ้มแสยะแล้วต่อยคืนด้วยฮุดซ้ายเข้าชายโครงเพื่อนสนิทจนตัวงอ




    ทั้งแปดคนเดินไปทางซ้ายมือสู่พื้นที่ของสมาคมนักดาบเวท พอเดินเข้าไปใกล้ๆเคาท์เตอร์ต้อนรับเอเซก็ชะงักเท้าเพราะรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาเอ็นพีซีที่ทำหน้าที่อยู่ตรงนั้น เป็นเอ็นพีซีคนเดียวกับตอนที่เขาเลือกเปลี่ยนอาชีพ

    “เวลคัม! คุณเอเซ แมคโดเวลและผองเพื่อนนะค๊า”

    น้ำเสียงและจริตก้านของเอ็นพีซีชายทำให้รู้สึกได้เลยว่าเขาเป็นชายแต่ภายนอกเท่านั้น

    “ลมอะไรหอบมาถึงที่นี่ละ หรือว่าคิดถึงกันก็เลยแวะมาหาเอ่ย?”

    “เอาดาบแทงเอ็นพีซีตายจะมีโทษอะไรไหม?” เอเซถามด้วยคำถามเดียวกับตอนเจอหน้าเอ็นพีซีคนนี้ครั้งแรก

    “ต๊าย! ปากคอเราะร้ายไม่เปลี่ยน แต่นั่นก็ถือเป็นข้อดีของคุณเอเซละนะ” เอ็นพีซีชายหนุ่มที่ท่าทางกระตุ้งกระติ้งขยิบตาให้หนึ่งครั้งก่อนจะเปลี่ยนน้ำเสียงการพูดเป็นการเป็นงาน

    “รู้อยู่แล้วละว่าจะมาปลดล็อกเงื่อนไขการเป็นผู้ฝึกหัดอาชีพนักดาบเวท เตรียมใจมาพร้อมแล้วรึยังละค๊า”

    “เรื่องของผมน่ะเอาไว้ทีหลังก็ได้ แต่เพื่อนผมคนนี้อยากจะเป็นนักดาบเวท ถ้าจะเปลี่ยนอาชีพต้องทำยังไงบ้างละ”

    “เพื่อนหรือแฟนจ๊ะ”

    ท่าทางว่าเอ็นพีซีจะหยอกหนักไปหน่อยเอเซจึงตั้งท่าจะกระโจนเข้าไปเอาดาบแทงจริงๆ

    “แหมๆ ไม่แซวละ ถ้าต้องการเป็นนักดาบเวทก็ง่ายนิดเดียวแค่เข้าห้องทดสอบแล้วผ่านการทดสอบให้ได้เท่านั้นเองไม่ยากใช่ไหมละ”

    “ฟังดูก็ไม่ยากนะคะ แต่ก็คงไม่ง่ายเหมือนกัน” มิยูยิ้มตอบอย่างสุภาพ

    “ไหนๆก็มากันแล้ว คนหนึ่งต้องการเปลี่ยนอาชีพ อีกคนต้องการปลดล็อกเงื่อนไขผู้ฝึกหัด งั้นก็เข้าห้องทดสอบไปด้วยกันและเรียนรู้ไปพร้อมกันเลย คิดว่าดีไหมฮะ?”

    “ก็...ก็ดีนะคะ”

    “งั้นก็ตามนี้นะ” เอ็นพีซีขยิบตาให้มิยู มีหน้าต่างภารกิจปรากฏขึ้นมาแต่เอเซกดปฏิเสธไปก่อน

    “อ้าว? ตายแล้วทำไมทำแบบนี้กันล่ะ?”

    “ไว้พรุ่งนี้ค่อยมารับภารกิจกัน”

    เอเซโบกมือลาแล้วรีบดันทุกคนออกมาจากหอคอยทันที

    “คุยกับเอ็นพีซีคนนี้แล้วรู้สึกถึงแรงกดดันประหลาดๆทุกทีเลย”

    “นอกจากจะออกแบบระบบของเกมโรคจิตแล้วยังออกแบบเอ็นพีซีโรคจิตอีกเหรอเนี่ย” นัตสึมิยังขำกับท่าทางและคำพูดของเอ็นพีซีคนนั้นไม่หาย

    “แต่พี่ยังไม่เคยเห็นเอ็นพีซีทอมบอยห้าวๆเลยนะค๊า” เฟรเทียร์เลียนแบบคำพูดของเอ็นพีซีประจำสมาคมนักดาบเวทจนนัตสึมิหลุดขำออกมาเสียงดัง

    “หิวกันแล้วรึยังน่ะ ถ้าหิวแล้วจะได้พาไปตรงที่วิวดีๆชมพระอาทิตย์ตกดินกินข้าวเย็นกัน”

    สี่สาวได้ยินดังนั้นก็รีบบอกให้พาไปเร็วๆ ที่ที่กุห์ฟานบอกคือบนกำแพงเมืองฝั่งทิศตะวันตกที่ตกแต่งเป็นลานกว้าง มีโต๊ะและเก้าอี้พร้อมสรรพสำหรับนั่งดูพระอาทิตย์ตกดินและทำกิจกรรมอื่นๆไปพร้อมกัน สี่หนุ่มจัดแจงยกโต๊ะเก้าอี้มาต่อให้พอกับจำนวนแปดคน เสร็จแล้วก็เรียกเตาย่างบาร์บีคิวออกมาก่อไฟ ยกหน้าที่ปรุงอาหารให้สาวๆ แม่ครัวทั้งสี่ทำให้เรื่องง่ายๆอย่างการย่างเนื้อเป็นเรื่องสนุกสนานได้ กลิ่นเนื้อย่างโชยตามลมกระจายไปทั่ว ชาวเมืองและผู้เล่นที่ขึ้นมาเดินเล่นบนกำแพงเมืองแวะมาร่วมปาร์ตี้เนื้อย่างอย่างไม่เกรงใจแต่ทุกคนก็ยินดีต้อนรับเสมอ แถมยังเผื่อแผ่ไปถึงเหล่าทหารที่ยืนเฝ้าเวรอยู่ด้วย

    อิ่มท้องแล้วก็นั่งคุยกันเรื่อยเปื่อยรวมไปถึงภารกิจที่แต่ละคนต้องทำ

    ทากะและอากิรอสต้องจับคู่กันสำรวจป่ามายาให้ครบทั้งสี่ทิศสี่เซคเตอร์ เอเซและมิยูจับคู่กันร่วมรับบททดสอบจากสมาคมนักดาบเวท ไนซ์รับภารกิจทดสอบจากสมาคมนักดาบเช่นเดียวกับนัตสึมิที่รับภารกิจทดสอบจากสมาคมจอมเวทเช่นกัน กุห์ฟานมีภารกิจค้นหาสมบัติลับภายในเมืองเวเนส มีเพียงเฟรเทียร์คนเดียวที่ว่างจากภารกิจของสมาคมอาชีพเลยคิดจะไปทำภารกิจเพื่อขึ้นไปห้องสมุดเวทมนต์ที่ปราสาทลอยฟ้าแทน

    สรุปว่าคืนนั้นทั้งแปดคนต่างอยู่บนกำแพงเมืองรอดูพระอาทิตย์ขึ้นด้วยกันอีกครั้ง นั่งคุยนั่งเล่นเกมกระดานสารพัดชนิดที่ไนซ์หยิบติดมือมาด้วยอย่างสนุกสนาน จนเจ็ดนาฬิกาทุกคนจึงลงจากกำแพงเมือง กุห์ฟานแยกตัวไปคนแรก ไปส่งไนซ์ที่สมาคมนักดาบเป็นลำดับต่อมา ลงไปส่งเอเซ มิยู นัตสึมิ และเฟรเทียร์ที่หอคอยกลางเมือง เหลือคู่หูจำเป็นอย่างอากิรอสและทากะที่จะต้องไปเข้าไปในป่ามายาด้วยกัน

    “พร้อมจะลุยรึยัง?”

    “จะเสียเวลาทำไม?”

    ทากะตอบคำถามของอากิรอสด้วยคำถามแล้วออกตัววิ่งพรวดเดียวทำระยะสิบเมตรในพริบตา แต่เรื่องวิ่งแข่งก็นับได้ว่าเป็นเรื่องถนัดของนักเวทผมเทาเช่นกัน เช้าวันนี้ชาวเมืองเวเนสและผู้เล่นที่ออกมาจากที่พักแต่เช้าตรู่จึงได้เห็นคนบ้าสองคนวิ่งแข่งกันตั้งแต่หอคอยกลางเมืองไปจนถึงประตูเมือง

    จากประตูเมืองออกสู่ทุ่งหญ้ากว้างขวางแต่มีระยะสั้น ผืนป่ากว้างใหญ่หนาทึบรกครึ้มรอต้อนรับทั้งสองคนอยู่แล้ว กิ่งไม้ไหวเอนตามแรงลมเป็นเหมือนมือที่คอยกวักเชื้อเชิญ

    ไม่นานนักพวกเขาก็มาหยุดยืนที่ชายป่าเพื่อเตรียมตัวก่อนสักเล็กน้อยเพราะอย่างไรความหฤโหดของป่ามายาแห่งเมืองเวเนสนั้นไม่อาจมองข้ามหรือเห็นเป็นเรื่องล้อเล่นได้

    “สหายจะลุยเข้าไปเอาผลไม้ของสหายก่อนหรือว่ายังไง?”

    “เราว่า...นายตามหาเซฟตี้แอเรียก่อนดีกว่าระหว่างนั้นก็เก็บรายชื่อมอนสเตอร์ไปพลางๆ ถ้าผ่านใจกลางป่าเมื่อไรค่อยเข้าไปเอาสัปปะรดนั่นก็ได้”

    “โซนทางเหนือนี่เราฝ่ามาประจำ มีมอนสเตอร์พวกโกเล็มเป็นหลักนะ”

    “งั้นก็ต้องเวทไฟสินะ”

    นักเวทผมเทาเรียกไม้เท้ามาถือไว้ รอจนทากะตรวจสอบจนรู้พิกัดของเซฟตี้แอเรียแห่งแรกแล้วก็วิ่งฝ่าเข้าไปในเส้นทางที่ต้นไม้ขึ้นหนาแน่นน้อยที่สุด

    มอนสเตอร์ที่ปรากฏตัวออกมาสู้ชุดแรกคือ ‘วู้ดเด้นโกเล็ม’ ต้นไม้ที่มีอายุมากกว่าร้อยปีขึ้นไปและได้รับพลังธรรมชาติจนเคลื่อนไหวได้ รูปร่างของมันเหมือนมนุษย์คือมีสองแขนและสองขา มีส่วนใบหน้าอยู่บนซึ่งมีดวงตาคู่หนึ่งอยู่ด้วย

    วู้ดเด้นโกเล็มกวัดแกว่งอาวุธในมือคือท่อนไม้ไล่ทุบมนุษย์ทั้งสอง แต่เพราะมันเคลื่อนไหวช้าจึงถูกทากะใช้ดาบที่ยังสวมปลอกอยู่ปัดการโจมตีได้ทั้งหมด อากิรอสที่ร่ายเวทเสร็จแล้วจึงปิดฉากการต่อสู้ด้วยเวทไฟที่สร้างความเสียหายกับมอนสเตอร์ชนิดนี้ได้สองเท่า เพียงแค่เวทมนต์แห่งไฟชุดเดียวก็ส่งวู้ดเด้นโกเล็มไปสู่ความตายถึงสามตัว


    ในเกมแกรนด์ไกอาออนไลน์มีธาตุหลักทั้งสิ้นสี่ธาตุ คือ ดิน น้ำ ลม และไฟ ระบบสมดุลธาตุเป็นไปกฎแพ้ชนะหมุนเวียน คือ น้ำชนะไฟ ไฟชนะดิน ดินชนะลม ลมชนะน้ำ มอนสเตอร์ที่แพ้ทางธาตุจะได้รับความเสียหายมากขึ้นเป็นสองเท่า แต่ถ้าถูกโจมตีด้วยธาตุที่ชนะทางจะได้รับความเสียหายแค่หนึ่งในสาม


    โชคดีที่มอนสเตอร์ประเภทโกเล็มอยู่รวมกันไม่มาก การต่อสู้ครั้งหนึ่งต้องสู้กับศัตรูในปริมาณไม่เกินสิบตัวจึงมีเวลาเหลือให้ทากะถ่ายรูปพวกมันไว้ได้

    แต่ยิ่งเดินลึกเข้าไปในป่ามากเท่าไร ปริมาณมอนสเตอร์ยิ่งเพิ่มขึ้น ความแข็งแกร่งยิ่งเพิ่มขึ้น รูปแบบการโจมตีและลูกเล่นยิ่งเพิ่มมากขึ้น วู้ดเด้นโกเล็มแค่เปลี่ยนอาวุธเป็นหอกไม้ก็ทำให้อากิรอสต้องหยุดร่ายเวทแล้วถอยหนีออกห่างจนจังหวะปั่นป่วนไปหมด แต่เป้าหมายของพวกเขาไม่ใช่กวาดล้างมอนสเตอร์ให้หมดป่า เมื่อทากะบันทึกรูปมอนสเตอร์เสร็จแล้วทั้งเขาและอากิรอสก็ชิ่งหนีออกจากการต่อสู้มุ่งหน้าสู่เซฟตี้แอเรียทันที








    อีกด้านหนึ่ง...ที่สมาคมนักดาบมนตรา ภายในห้องทดสอบที่สอง

    มิยูกำลังรวบรวมพลังเวทให้ผนึกอยู่ที่ดาบ เป็นทักษะพื้นฐานของนักดาบมนตราโดยที่มีเอเซเป็นผู้ฝึกสอนอยู่ด้านข้าง

    “ช้าๆ ไม่ต้องรีบร้อน”

    หญิงสาวหันมาส่งยิ้มเล็กๆให้ สูดหายใจเข้าลึกๆรวบรวมสมาธิถ่ายทอดพลังเวทมนต์จากภายในร่างกายไปที่ดาบอย่างต่อเนื่อง ใบดาบเปล่งแสงวูบวาบเดี๋ยวสว่างเดี๋ยวอ่อนเหมือนหลอดไฟตอนไฟตก ยังห่างไกลจากเส้นชัยของการทดสอบคือผนึกพลังเวทมนต์ไว้ที่ดาบให้เกินสิบวินาที เธอผ่านการทดสอบแรกที่ให้ใช้เวทมนต์สี่ธาตุโจมตีมอนสเตอร์ที่ยืนอยู่เฉยๆ เลยคิดว่าการทดสอบที่สองน่าจะให้โจมตีใส่มอนสเตอร์ที่เคลื่อนไหว แต่ที่ไหนได้กลับเป็นการทดสอบผนึกเวทมนต์ไว้ที่อาวุธแทน

    ในที่สุดความอดทนของเธอก็หมดลงเป็นครั้งที่สิบสอง เธอผ่อนแรงที่ไหล่ลดดาบลงต่ำ เป่าลมออกจากปากระบายแรงกดดันภายในใจ สีหน้ายังเปี่ยมด้วยใจสู้แม้จะปวดแขนและข้อมือจากอาการเกร็งก็ตาม

    “เมื่อกี๊จับหลักการได้แล้วละ ครั้งหน้าคงทำดีกว่านี้แน่ๆ”

    “ตอนที่พลังเวทไหลผ่านข้อมือรู้สึกมันร้อนวูบๆ พอทำนานๆก็ร้อนจนเจ็บเลยน่ะ”

    “ดาบธรรมดาอาจจะส่งผ่านพลังเวทได้ลำบากกว่า ลองเปลี่ยนมาใช้ดาบของผมไหม ดาบเล่มนี้คราฟท์มาเพื่ออาชีพนักดาบเวทโดยเฉพาะน่ะ”

    พอได้ถือดาบเคลย์มอร์ซึ่งเป็นดาบสำหรับใช้สองมือที่ยาวเกือบหนึ่งเมตรครึ่งเธอก็รู้สึกถึงน้ำหนักของดาบที่มากกว่าดาบของเธอมากนัก

    “หนักอ่า”

    เอเซหัวเราะ ยื่นมือขวาประคองข้อมือเธออย่างแผ่วเบาให้อยู่ในท่าจรดดาบเตรียมพร้อม เขาสบสายตาและพยักหน้าให้เธอทดลองถ่ายทอดพลังเวทอีกครั้ง

    “ไม่ต้องเกร็งไหล่ ปล่อยแขนตามสบาย ออกแรงที่ข้อมือกำด้ามดาบไม่ต้องแน่นมากนะ”

    หญิงสาวพยักหน้ารับคำแนะนำ สูดลมหายใจรวบรวมสมาธิแล้วเปลี่ยนให้ศูนย์กลางสมาธิไปอยู่ที่ดาบ ใบดาบเปล่งแสงขึ้นมาอย่างช้าๆจนสว่างเป็นประกายสีเงินอย่างงดงาม

    รอยยิ้มดีใจผุดขึ้นบนใบหน้าของหญิงสาวที่อยากจะเป็นนักดาบมนตรา

    “ตั้งสมาธิไว้ ขอดูหน่อยว่าทำเวลาได้นานที่สุดเท่าไร”

    เธอพยักหน้าอีกครั้งด้วยความมั่นใจ ผ่านไปสองนาทีประกายแสงสีเงินที่ใบดาบจึงค่อยๆดับลง

    “เอ็มพีหมดแล้วค่า”

    มิยูหัวเราะสดใส เอเซประคองดาบกลับคืนและให้เธอไปพัก

    เมื่อเอ็มพีค่อยๆฟื้นฟูจนเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วเธอจึงหยิบดาบของตัวเองขึ้นมาอีกครั้ง หลับตารวมสมาธินึกถึงความรู้สึกที่ได้ทดสอบกับดาบเคลย์มอร์ของเอเซ ใบดาบเหล็กโค้งของเธอค่อยๆเปล่งแสงสว่างออกมาทีละน้อยจนสว่างจ้า เอเซยิ้มมุมปากอย่างพอใจเมื่อเห็นว่าเธอสอบผ่านอย่างแน่นอน

    มีเสียงของเอ็นพีซีประจำสมาคมนักดาบเวทที่คุ้นหูดังมาจากด้านบนของห้องทดสอบ ฟังแล้วเหมือนเสียงพิธีกรประกาศในรายการประกวดศิลปินสักรายการ

    “ยินดีด้วย คุณได้ไปต่อสำหรับห้องทดสอบที่สามค่า”




    บนกำแพงสีขาวด้านหนึ่งเกิดเส้นแสงลากขึ้นจากพื้น วกเป็นมุมฉากวิ่งขนานพื้นแล้ววกกลับเป็นมุมฉากลงสู่พื้นอีกครั้งและกลายเป็นประตูบานใหญ่รอให้ทั้งสองคนผ่านไปสู่บททดสอบต่อไปร่วมกัน
  14. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    ตอนนี้เหมือนบทเตรียมตัวสำหรับเนื้อเรื่องช่วงถัดไปเลยไม่ค่อยจะมีอะไรคอมเมนท์เท่าไหร่

    แต่จริงๆวู้ดโกเลมน่าจะเรียกว่า ทรีนท์(Treant)หรือทรีโฟล์ค(Treefolk)มากกว่านะ เพราะโดยพื้นฐานของแฟนตาซีพวกโกเลมมันเป็นสิ่งที่เกิดจากเวทมนตร์ไม่ใช่ของที่เกิดตามธรรมชาติ
  15. soulmaster

    soulmaster Endorphinlism

    EXP:
    403
    ถูกใจที่ได้รับ:
    11
    คะแนน Trophy:
    18
    เดินทางจากอัลเดอบารันมากิฟมันเหนื่อยขนาด (!+___+)

    โกเลมไม้มีอีกคำ treefellowครับ

    คำเพี้ยน

    หอหอยฐานแปดเหลี่ยมสูงสง่าตระหง่าน > หอคอย สง่ากับตระหง่านเลือกเอาสักอย่างจะดีกว่าไหมนะ
  16. Ryuto

    Ryuto 終わる道、始まる夢

    EXP:
    964
    ถูกใจที่ได้รับ:
    16
    คะแนน Trophy:
    88
    ลงชื่ออ่านก่อน

    /ย้อนกลับไปอ่าน
  17. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    คิดซะว่ากิฟเฟนมันลงไปอยู่ทางใต้ของพรอนเทราก็แล้วกันครับ /ผิด

    เรื่องชื่อมอนสเตอร์ไม่ได้คิดไว้ลึกขนาดนั้นครับ แค่อยากใช้คำให้เห็นภาพพจน์ชัดเจนมากกว่า

    อ่านแล้วเมนต์มั่งเดะวะว่าตรงไหนดี ตรงไหนไม่ดี -*-
  18. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    Grand Gaia Online 28 – Labyrinth Library




    เนื้อแซนลิซาร์ดย่างส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วกำแพงเมืองเวเนสฝั่งตะวันตก กลิ่นหอมลอยตามลมไปไกลให้ใครหลายคนรู้สึกหิวอีกครั้งทั้งที่เพิ่งกินมื้อเย็นไป ยิ่งตอนน้ำมันจากเนื้อหยดลงกระทบไฟส่งเสียงเปรี๊ยะๆทำให้ความอยากอาหารพุ่งขึ้นถึงขีดสุด

    “อ้าว? สองคนนั้นกลับมากันแล้วแฮะ”

    เฟรเทียร์ทักทายเอเซและมิยูที่กลับมาจากสมาคมนักดาบเวท ทั้งสองดูอ่อนล้าอิดโรยหลังจากตรากตรำในห้องทดสอบถึงสิบห้องตั้งแต่เช้าตรู่จนป่านนี้เพิ่งจะกลับมา ในวันนี้ทุกคนแยกย้ายไปทำภารกิจที่ตนเองมอบหมายโดยนัดหมายเจอกันที่เดิมบนกำแพงเมือง กุห์ฟานกลับมาเป็นคนแรกตามด้วยเฟรเทียร์ ทากะกลับมาพร้อมอากิรอสซึ่งทั้งคู่ไปสำรวจป่ามายาด้วยกัน ไนซ์กลับมาช้ากว่านัตสึมิเล็กน้อย และสองคนสุดท้ายที่เพิ่งจะกลับมาถึงคือคู่ของนักดาบเวท

    “กำลังหิวเลยค่า” มิยูรีบวางสัมภาระแล้วคว้าจานไปล้อมเตาบาร์บีคิวทันที

    “เป็นไงบ้างพี่?”

    เอเซรับแก้วน้ำจากรุ่นน้องมาดื่มแล้วส่งคืนเพื่อขอเติมแก้วที่สอง “มอนสเตอร์ในห้องทดสอบช่วงท้ายๆเป็นพวกเกราะหนาแถมต่อต้านเวทมนต์ทั้งนั้น”

    ไนซ์ยกจานสลัดผักโรยหน้าด้วยมันฝรั่งทอดแผ่นเล็กๆมาส่งให้ “แล้วผ่านมาได้ยังไงคะนั่น?”

    “ต้องอัดเอ็มพีลงดาบเปลี่ยนเป็นพลังโจมตีอย่างเดียวเลย ถ้าคำนวณพลังเวทผิดไปจนเอ็มพีหมดก่อนจะฆ่าศัตรูได้หมดก็ต้องสอบใหม่ถึงได้มาช้านี่ไง แล้วไนซ์กับนัตสึมิละเป็นไงบ้าง?”

    “ผ่านแล้วค่ะ แต่ก็เกือบไม่รอดเหมือนกัน” นัตสึมิตะโกนข้ามเตาตอบคำถามอย่างร่าเริง

    “แอบยัดใต้โต๊ะกับเอ็นพีซีมารึเปล่าเนี่ย?”

    “ว่าอะไรนะคะนายท่าน? ตะกี๊ได้ยินไม่ถนัดเลย”

    “เปล๊า! ไม่มีอะไร คิดไปเองต่างหาก” นักเวทผมเทาฉวยโอกาสที่นักธนูสาวหันมามองตาขวาง จัดการหยิบชิ้นเนื้อไปจากคีมคีบของเธอเอาดื้อๆ หลังจากนั้นทุกคนจึงได้ยินแต่เสียงโวยวายเถียงกันของอากิรอสกับนัตสึมิเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

    อาหารเย็นนอกจากจานหลักเป็นบาร์บีคิวแล้วยังมีสลัดผักฝีมือของไนซ์ ปลาที่เฟรเทียร์ซื้อมาจากตลาดเอามาทำเป็นยำเปรี้ยวหวาน และยังมีเห็ดที่อากิรอสและทากะเก็บมาพร้อมผลไม้สดมาผสมเป็นชาผลไม้ มีเรื่องเล่าภารกิจของทุกคนเป็นเครื่องเครียง ปิดท้ายด้วยของหวานเป็นคุกกี้ช็อกโกแลต

    สี่ทุ่มกว่าๆทั้งแปดคนจึงจัดการทุกอย่างลงท้องจนหมด หนังท้องตึงแต่หนังตาไม่หย่อนเพราะไม่ต้องนอนหลับจริงๆ แต่ก่อนที่จะมีใครเสนอให้เล่นเกมหรือทำกิจกรรมอื่น เฟรเทียร์ได้บอกให้ทุกคนเตรียมตัวขึ้นปราสาทคริสตัลลอยฟ้า – ห้องสมุดเวทมนต์ของเมืองเวเนสแห่งนี้ วันนี้ทั้งวันเธอวิ่งวุ่นทำภารกิจต่อเนื่องหลายสิบภารกิจเพื่อให้ได้ใบอนุญาตให้ขึ้นสู่ปราสาท และไปคนเดียวคงไม่สนุกสนานเท่ากับไปพร้อมหน้ากันทั้งแปดคน










    สี่ชายและสี่หญิงมุ่งหน้าสู่หอคอยฐานแปดเหลี่ยมที่ความลึกระดับสาม ผ่านบ้านเรือนและอาคารที่เงียบสงัดในยามวิกาล มีเพียงแสงไฟจากผลึกเวทมนต์บนปลายเสาเหล็กส่องสว่างไปตลอดทาง อากาศกำลังดีไม่เย็นเกินไปให้ความรู้สึกสบายตัว ระหว่างทางมีหน่วยทหารมนตราเดินลาดตระเวนอย่างแข็งขันเดินผ่านไปหมู่แล้วหมู่เล่า

    เอ็นพีซีที่หน้าหอคอยตรวจสอบหนังสือใบจากเฟรเทียร์และนำทางไปสู่ ‘วาร์ปเกท’ ที่ใช้เดินทางขึ้นสู่ปราสาทกลางฟ้า เมื่อทุกคนขึ้นไปยืนจนครบรอจนเอ็นพีซีร่ายเวทมนต์เสร็จสิ้น พื้นของวาร์ปเกทเกิดเป็นลวดลายวงเวทเปล่งแสงสีทองอร่าม

    เมื่อทุกคนรู้สึกตัวอีกครั้งก็ยืนอยู่บนลานกว้างหน้าบันไดทางเข้าของปราสาทเรียบร้อยแล้ว

    ปราสาททำจากคริสตัลใสมีเนื้อในเป็นผลึกขาวทึบคล้ายหินอ่อนหุ้มด้วยแก้ว บันไดหลักขึ้นสู่ปราสาทมีทั้งสิ้นแปดสิบแปดขั้น เมื่อเหยียบลงไปจะมีเสียงดังออกมาไล่จากเสียงโทนต่ำขึ้นสู่โทนสูงราวกับกำลังพรมนิ้วไล่ไปบนแกรนด์เปียโน แปดคนสิบหกเท้าได้ก่อให้เกิดท่วงทำนองดนตรีที่แสนประหลาดและหาฟังที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว

    เมื่อเข้าสู่ด้านในปราสาท มีโต๊ะรับแขกหลายชุดอยู่ทางซ้ายและขวา ตรงกลางมีบาร์ไม้และชั้นหนังสือเป็นสถานที่ทำงานของบรรณารักษ์ปนะจำห้องสมุดเวทมนต์ ด้านหลังชั้นหนังสือขนาดใหญ่เป็นบันไดโค้งสองด้านไปบรรจบกันตรงกลางที่ชั้นสอง เมื่อเดินเข้าไปหาบรรณารักษ์ทั้งแปดคนถึงเพิ่งสังเกตเห็นว่าหนังสือที่เรียงอยู่บนชั้นมีสีเข้มและอ่อนต่างกัน เมื่อตั้งใจเพ่งมองดูดีๆก็พบว่าหนังสือบนชั้นได้แจ้งข้อความหนึ่งออกมาราวกับการแปรอักษรบนแสตนด์เชียร์

    ‘กรุณาใช้ความเงียบ’

    อีกฟากของบันไดทำให้เฟรเทียร์ตื่นเต้นเป็นที่สุด ห้องสมุดแห่งนี้สมควรเรียกใหม่ว่าเป็นอภิมหาห้องสมุด มีทั้งสิ้นเจ็ดชั้น แต่ละชั้นยังมีห้องหนังสือแยกย่อยไปอีกนับร้อยห้อง ตรงกลางเป็นห้องโถงโอ่อ่ากว้างใหญ่จัดวางโต๊ะแก้วคริสตัลนับพันตัว ชั้นหนังสือเรียงรายราวอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย น่าเสียดายที่นอกจากพวกเขาแล้วไม่มีผู้เล่นคนอื่นอยู่ในนี้เลย หรืออาจจะมีแต่แยกย้ายไปอ่านหนังสือในบริเวณอื่นก็ไม่รู้

    สาวๆอีกสามคนดีใจไม่แพ้กันเฟรเทียร์ ต่างกับสี่หนุ่มมัลดิโตที่คิดว่าต่อให้ห้องสมุดใหญ่โตแค่ไหนก็คือห้องสมุดอยู่ดี

    เมื่อจับจองโต๊ะยาวตัวใหญ่ไว้แล้ว สี่สาวแยกย้ายกันไปตามหาหนังสือที่อยากอ่าน แค่สิบนาทีหลังจากนั้นบนโต๊ะก็เต็มไปด้วยหนังสือสารพัดชนิด ทั้งเล่มเล็กเล่มใหญ่ ทั้งหนังสือนิทานภาพ บางเล่มมีแค่ไม่กี่หน้าแต่บางเล่มหนาถึงสองพันหน้าก็มี

    “คิดจะมานั่งเล่นในห้องสมุดหรือยังไงกัน?” เฟรเทียร์เท้าสะเอวมองสี่หนุ่มมัลดิโต

    “ก็ยังไม่รู้จะอ่านอะไรดีนี่นา”

    เอเซตอบออกไปก็มีหนังสือเล่มหนึ่งก็วางลงตรงหน้าเขาทันที เป็นหนังสือประวัติศาสตร์โรมันยุคปลาย กุห์ฟานได้หนังสือแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวในประเทศญี่ปุ่น อากิรอสได้หนังสือจิตวิทยาสังคม ส่วนทากะได้หนังสือเกี่ยวกับดาบคาตะนะ

    อากิรอส คีฟมองเธอเหมือนจะถามว่ารู้ได้ยังไงว่าแต่ละคนชอบอ่านอะไร

    “ขอบคุณเจ๊” กุห์ฟานไม่อยากขัดใจเธอจึงตอบขอบคุณแล้วหยิบหนังสือมาเปิดอ่านไปเรื่อยๆเพราะยังไงก็ไม่มีอะไรให้ทำอยู่แล้ว

    “เล่มนี้เคยอ่านแล้ว” อากิรอสเลื่อนหนังสือไปไว้กลางโต๊ะแล้วลุกไปเดินหาหนังสือด้วยตัวเอง

    เอเซกับทากะเหลือบมองกันด้วยหางตาแล้วก็เลื่อนสายตาลงต่ำลงบนหน้ากระดาษที่เต็มไปด้วยตัวอักษรจากน้ำหมึกสีดำ

    อีกพักหนึ่งสาวสามหอบหนังสือมาคนละหลายเล่ม ล้วนแล้วแต่เป็นหนังสือเกี่ยวกับความสวยความงาม เคล็ดลับสุขภาพ คู่มือทำอาหารและขนมหวานนานาชนิด ผิดกับหนังสือกองโตของเฟรเทียร์ที่อัดแน่นไปด้วยสาระทางวิชาการหลากหลายสาขา

    เมื่อเฟรเทียร์เงยหน้าขึ้นจากหนังสือที่เพิ่งอ่านจบเป็นเล่มที่สามเธอก็พบสิ่งผิดปกติ เข็มของนาฬิกาไขลานเรือนใหญ่กลางห้องโถงบอกว่าตั้งแต่เริ่มอ่านหนังสือเพิ่งจะผ่านไปแค่สิบแปดนาทีเท่านั้น เธอรีบเปิดนาฬิกาส่วนตัวเพื่อตรวจสอบเวลา ผลที่ได้คือเวลาในหน้าต่างตรงกับเวลาบนนาฬิกาใหญ่

    “เวลาในห้องสมุดเร็วกว่าเวลาภายนอกสิบเท่าตัว ในขณะที่พวกเราอ่านหนังสือไปสามชั่วโมงข้างนอกก็เพิ่งผ่านไปสิบแปดนาทีเท่านั้น เวลาบนนาฬิกาใหญ่นั่นคือเวลาปกติของเกมยังไงละ” อากิรอสเป็นผู้ไขข้อข้องใจของนักสำรวจสาวทั้งที่ยังก้มหน้าอ่านหนังสืออยู่

    “งั้นก็หมายความว่า...ข้างนอกผ่านไปหนึ่งวันเท่ากับเวลาในนี้สิบวัน?”

    “ถูกต้องแล้ว”

    “เพื่ออะไรกันคะ?” มิยูและไนซ์ถามขึ้นแทบจะพร้อมกัน

    “ก็คงทำไว้ให้คนชอบอ่านหนังสือได้อ่านนานๆละมั้ง แล้วก็ในนี้มีห้องสำหรับฝึกทักษะต่างๆอยู่ด้วย คนชอบทำอาหารก็หยิบหนังสือเข้าห้องฝึกไปฝึกจนกว่าจะพอใจ ใครอยากได้สกิลดาบก็หยิบหนังสือไปเข้าห้องซ้อมดาบก็ได้”

    “อ้าว! แล้วทำไมไม่รีบบอกละคะ”

    “พี่คิดว่าพวกเธออยากพักการต่อสู้แล้วอ่านหนังสือกันมากกว่าน่ะสิ ตอนนี้เริ่มเบื่อหนังสือกันแล้วรึยังละ?”

    “ก็ไม่ถึงกับเบื่อหรอกค่ะ แต่ว่าถ้ามีห้องให้ฝึกด้วยก็น่าสนใจอยู่เหมือนกัน”

    “ลองไปถามบรรณารักษ์ดูสิว่าจะใช้ห้องฝึกยังไง”

    “พี่เฟรเทียร์ไปด้วยกันไหมคะ?”

    “ม่ายอะ อ่านหนังสือกำลังเพลินเลย”

    “งั้นเดี๋ยวพวกเรามานะ” ไนซ์บอกทุกคนแล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินออกไปพร้อมกับนัตสึมิและมิยู

    นักสำรวจสาวเอนกายกับพนักพิงแล้วถามขึ้นมาบ้าง “แล้วพวกนายอ่านหนังสือไม่เบื่อกันบ้างรึไง?”

    “เบื่อมันก็เบื่ออยู่หรอกแต่จะให้ทำอะไรได้นอกจากอ่านหนังสือละ?” เสนาธิการประจำแคลนตอบกลับด้วยน้ำเสียงเนือยๆ

    “...งั้นหรอกเรอะ”

    ห้าคนนั่งอ่านหนังสือต่อไปเงียบๆจนกระทั่งสามสาวกลับมาบอกว่าจะไปฝึกสกิลทำครัวกันที่ชั้นสาม เฟรเทียร์ขออยู่อ่านหนังสือต่อเหมือนเดิม ผ่านไปอีกสามชั่วโมงในห้องสมุดหรือแค่สิบแปดนาทีตามเวลาปกติ ข้อมูลจากหนังสือกองโตได้ถูกบันทึกเข้าสู่สมองของเฟรเทียร์จนหมดแล้ว เธอลุกหยิบหนังสือไปใส่ในกล่องสำหรับคืนหนังสือ หนังสือเหล่านั้นจะถูกส่งกลับตำแหน่งเดิมบนชั้นทันที หลังจากคืนหนังสือหมดแล้วนักสำรวจสาวก็เดินไปหาหนังสือชุดใหม่มาอ่านอีกรอบ

    คราวนี้เธอไม่ได้หอบหนังสือมาด้วยสองมือแต่ใส่รถเข็นมาเกือบยี่สิบเล่ม มีสี่เล่มที่เธอหยิบมาเผื่อหนุ่มๆทั้งสี่คนด้วย เอเซได้หนังสือการล่าแม่มดในยุคกลาง อากิรอสได้หนังสือจิตวิทยาการให้คำปรึกษา กุห์ฟานได้วรรกรรมญี่ปุ่นฉบับแปล และทากะได้หนังสือวิถีชีวิตซามูไร

    “นี่คือ?”

    “หนังสือภาพไงเดินไปเจอพอดีเลยหยิบมาให้”

    “ผมฝากวานให้หยิบ?”

    “เปล่า ฉันแค่หยิบเผื่อนาย”

    ทากะเลื่อนหนังสือตรงหน้าไปไว้กลางโต๊ะอย่างไม่สนใจ เธอยังอุตส่าห์ไปดึงกลับมาวางไว้ตรงหน้าเขาอีกครั้ง ชายหนุ่มหัวหน้าแคลนมัลดิโตมองหนังสือแล้วเงยหน้ามองหญิงสาว เธอพยักหน้าและส่งสายตายืนยันให้เขาอ่านหนังสือเล่มนี้ให้ได้

    ทากะดันหนังสือกลับไปที่กลางโต๊ะอีกครั้ง เฟรเทียร์ก็ดึงกลับมาไว้ที่เดิมอีกครั้งเช่นกัน

    “ทำไมนายถึงไม่อยากอ่านหนังสือที่ฉันหยิบมาให้?”

    “ไม่เกี่ยวหรอกว่าคุณจะหยิบมาหรือไม่หยิบมา ไม่อยากอ่านก็คือไม่อยากอ่าน”

    “ก็แล้วทำไมถึงไม่อยากอ่านละ? หนังสือไม่ดีตรงไหน? ถ้าไม่ชอบเล่มนี้ก็ไปหยิบเล่มอื่นมาอ่านสิไม่เห็นยากเลย”

    นักสำรวจหนุ่มเลื่อนเก้าอี้ถอยหลัง ลุกขึ้นยืน หันหลังเดินจากไปอย่างรวดเร็ว

    “นี่! นายจะไปไหน!? กลับมาคุยกันให้รู้เรื่องก่อนนะ!”

    เฟรเทียร์ เอเดลไรย์เผลอขึ้นเสียงจนเกือบจะเป็นตะโกน เสียงของเธอดังสะท้อนอยู่ในห้องโถงแต่ส่งไปไม่ถึงหูของทากะที่เดินห่างออกไปเรื่อยๆ ถ้ามีคนอื่นอยู่ในห้องสมุดนี้ด้วยคงหันมองมาทางนี้ทุกคนเพราะเธอได้ทำลายมนต์ขลังของห้องสมุดไปจนหมดสิ้นแล้ว

    นักสำรวจสาวได้แต่ยืนกัดฟันด้วยความโกรธ ตะโกนไล่หลังไปชุดใหญ่อย่างลืมตัวอีกครั้ง

    “เออ! จะไปไหนก็ไปเลย คนเขาอุตส่าห์หวังดียังมาทำแบบนี้อีก แล้วไม่ต้องกลับมาเลยนะ!”

    เธอลากเก้าอี้เสียงดังแล้วนั่งลงอย่างหงุดหงิด หยดน้ำเล็กๆเกาะอยู่ที่หางตาบอกว่าเธอกำลังเสียใจมากด้วยเช่นกัน

    รอจนหญิงลดระดับความโมโหและมีสติเพียงพอ เอเซจึงเปล่งเสียงออกมาเบาๆ “ผมไม่รู้หรอกนะว่าเฟรเทียร์รู้จักกับทากะระดับไหน แต่ถ้ารู้จักมันดีพอจะรู้ว่ามันเป็นคนไม่ชอบการถูกบังคับโดยเฉพาะการบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่ชอบ อย่าว่าแต่ตัวทากะเองเลยกระทั่งผมหรือคนทั่วไปก็ไม่ชอบถูกบังคับหรือถูกสั่งใช่ไหมละ?”

    “ก็ใช่ แต่ว่า...”

    “สไตล์พี่ทากะเป็นคนง่ายๆ สบายๆ แต่เวลาโกรธคนแบบนี้จะน่ากลัวที่สุดนะ” ยังไม่ทันที่เธอจะพูดจบประโยค กุห์ฟานก็พูดแทรกขึ้นมาก่อน

    “บางทีความหวังดีของเราอาจจะไม่ใช่สิ่งที่คนอื่นต้องการ และบางครั้งสิ่งที่ดีที่สุดอาจไม่ใช่สิ่งที่เหมาะสมที่สุดเช่นกัน” อากิรอส คีฟ พูดเตือนเฟรเทียร์เป็นคนที่สาม

    “ที่พูดนี่ไม่ได้เข้าข้างเพื่อนหรอกนะ แค่อยากจะบอกให้รู้ว่ามันเป็นคนนิสัยยังไง เรื่องไหนทำได้ก็บอกว่าได้ บอกว่าไม่ก็คือไม่ เป็นผู้ชายง่ายๆแค่นั้นเอง ส่วนตอนนี้ปล่อยให้มันอยู่เงียบๆคนเดียวไปก่อนอย่าเพิ่งไปคุยอะไรด้วยเลย ถึงเวลาถ้ายังไม่กลับมาเดี๋ยวพวกผมจัดการแก้ปัญหากันเองได้ไม่ต้องห่วงหรอก” เอเซตบไหล่ปลอบใจหญิงสาวให้คลายความกังวลลง

    “...ฉันขอโทษพวกนายด้วยละกัน ก็รู้ตัวนะว่าตัวเองเป็นพวกเอาแต่ใจจนลืมคิดไปถึงความรู้สึกของคนอื่นจนกระทั่งเรื่องราวบานปลายไปจนถึงขั้นนั้นได้”

    “ไม่เป็นไรหรอก คนเราก็ผิดพลาดกันได้ทั้งนั้นแหละ”

    “ขอบใจนะ แล้วก็ขอโทษอีกทีด้วยละกัน”

    เฟรเทียร์นั่งซึมอยู่พักใหญ่ทบทวนเรื่องราวที่เพิ่งเกิดขึ้นแล้วก็ยิ่งซึมหนัก น้ำตาใสๆเกาะกลุ่มรวมกันที่หางตาแล้วถูกปาดออกด้วยหลังมือก่อนที่จะหยดลงมาให้คนอื่นเห็น เธอนั่งคิดอยู่นานแล้วจู่ๆก็ลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้แล้ววิ่งไปที่บันได

    “ไปชั้นสามหาคนอื่น ไม่ต้องห่วงนะ”

    ชายหนุ่มทั้งสามโบกมือส่งเธอ มองหน้ากันแล้วก็ยิ้ม จากยิ้มเป็นหัวเราะในลำคอ










    ทางด้านทากะ ตอนนี้เขานั่งอยู่ริมระเบียงในห้องหนังสือเล็กๆ พิงหลังไว้กับขอบประตูมองออกไปบนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว สายตาของเขาไม่ได้อยู่ที่ดาวดวงใดดวงหนึ่งเพียงแค่มองออกไปอย่างไม่มีจุดมุ่งหมายเท่านั้น ในสมองก็ไม่ได้คิดอะไรสักเรื่องแม้แต่เรื่องที่เพิ่งทะเลาะกับเฟรเทียร์ก็ตาม ที่เขามาที่ห้องนี้ก็เพียงเพราะที่นี่สงบและเงียบเท่านั้น ปล่อยให้สายลมพัดปลายผมสีดำสะบัดไปมาอย่างไร้ความหมาย ให้จิตใจผสานกับความว่างและความเงียบเป็นหนึ่งเดียวกัน

    ท่ามกลางเสียงสายลมโหมปะทะปราสาทลอยฟ้า มีอีกเสียงหนึ่งแว่วเข้าสู่โสตประสาทของทากะ เสียงนั้นคล้ายเสียงกระซิบ ทั้งแผ่วเบาและขาดหาย ในครั้งแรกเขาปล่อยผ่านไม่ใส่ใจกับเสียงนั้น แต่เมื่อไม่ตั้งใจฟังเสียงนั้นกลับยิ่งชัดเจนมากขึ้น

    เมื่อเป็นแบบนี้ก็ได้แต่ต้องนั่งนิ่งๆตั้งสมาธิรับฟังเสียงนั้นอย่างตั้งใจ เมื่อฟังดูดีๆก็พบว่าเสียงนั้นเป็นเสียงของคนแก่

    ทว่า...ในห้องนี้ไม่มีใครอีกแล้วนอกจากทากะแล้วเสียงนี้มาจากที่ใดกัน

    เขาเชื่อเรื่องผีสางแต่ไม่กลัววิญญาณหลอน เสียงนี้จะต้องไม่ใช่สิ่งที่เรียกว่าปรากฏการณ์ทางวิญญาณอย่างแน่นอน เขาตั้งใจรับฟังเสียงเพื่อค้นหาตำแหน่ง เมื่อแน่ใจแล้วก็ลุกขึ้นตรงไปตามทางที่เกิดจากชั้นหนังสือวางกั้นเป็นระเบียบทั้งที่ยังหลับตาอยู่ เดินผ่านตู้หนังสือไปสามตู้ เลี้ยวซ้ายผ่านไปอีกหนึ่งตู้แล้วตรงไปอีกสองตู้ หยุดลงหันเข้าหาชั้นหนังสือทางขวามือ

    ที่มาของเสียงกระซิบแผ่วเบาคือหนังสือเล่มหนึ่ง!

    ทากะใช้สองนิ้วดึงหนังสือเล่มนั้นออกมาจากชั้น เมื่อลืมตาดูเห็นเป็นหนังสือปกสีน้ำตาลเล่มหนึ่ง รูปบนหน้าปกเป็นรูปวาดราชากับราชินี แต่ว่าในตำแหน่งเจ้าหญิงตัวน้อยเว้าหายไปเหมือนถูกตัดออก ครั้งนี้เสียงที่เคยได้ยินอย่างแผ่วเบากลับถูกส่งเข้าสู่สมองโดยตรง

    “ยินดีที่ได้พบ ข้ารอยคอยวันที่จะได้พบกับผู้กล้าเช่นท่านมานานแสนนานแล้ว”

    “ข้ามีนามว่าวิลฟอร์ด เป็นอัศวินรับใช้อาณจักรมากว่าสามสิบปีแล้ว บัดนี้เกิดเหตุร้ายขึ้นกับองค์หญิงรัชทายาท พระองค์ถูกจอมปีศาจจากโลกแห่งความมืดลักพาตัวไป นับเป็นเรื่องเสื่อมเสียเกียรติอย่างมากที่อัศวินเช่นข้าไม่อาจคุ้มครององค์หญิงได้ ข้าจึงมีเรื่องจะขอร้องท่านผู้กล้าสักหน่อย”

    “ต้องการให้ผมไปช่วยองค์หญิงสินะ ได้สิ”

    “เจ้าไม่หวาดกลัวต่อกองทัพความมืดของราชาปีศาจเลยรึ? พวกมันแข็งแกร่งจนมิอาจประมาณกำลังได้ หนำซ้ำยังมีจำนวนนับพันตน”

    ทากะยกมุมปากขึ้นจนเป็นรอยยิ้ม “กองทัพความมืด? น่าสนุกดีออก กำลังอยากหาอะไรทำแก้เซ็งอยู่พอดี”

    “ฮ่าๆ ท่านผู้กล้านี่น่าสนใจจริงๆ ตกลงเจ้าจะไปช่วยองค์หญิงพร้อมกับอัศวินแก่ๆอย่างข้าสินะ”

    “เรื่องนั้นมันแน่นอนอยู่แล้ว”

    มีหน้าต่างภารกิจปรากฏตรงหน้าทากะ ‘คำขอร้องของอัศวินแห่งอาณาจักรโฟลด์’ เป็นอย่างที่เขาคิดไว้ เสียงกระซิบที่ได้ยินตอนแรกเป็นจุดเริ่มต้นของอีเวนต์ที่นำไปสู่ภารกิจ เขากดปุ่มตกลงตอบรับทันที

    “นำข้าติดตัวเจ้าไปด้วย ข้าจะคอยช่วยท่านผู้กล้าอีกแรงหนึ่ง”

    หัวหน้าแคลนมัลดิโตนำหนังสือเล่มนั้นสอดไว้ที่กระเป๋าด้านในของเสื้อนอก

    “แล้วต้องไปที่ไหนละครับท่านอัศวิน”

    “โลกของปีศาจ ข้าจะใช้กุญแจแห่งเวทมนต์เปิดประตูมิติให้เจ้าเอง”

    ชั้นหนังสือตรงหน้าเปล่งแสงสว่างกลายเป็นประตูมิติข้ามไปยังโลกปีศาจ เมื่อเข้าก้าวเท้าเข้าไปประตูแสงบานนั้นทั้งตัวแล้วทุกอย่างก็กลับเป็นเหมือนเช่นเดิม ประตูแสงกลับคืนเป็นชั้นหนังสือที่มีหนังสือขาดไปหนึ่งเล่มเท่านั้น

    ทากะรู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อแสงจ้าที่ห่อหุ้มร่างกายสลายไป ตอนนี้เข้ามายืนอยู่หน้าปราสาทแห่งหนึ่งซึ่งเหมือนกับปราสาทคริสตัลลอยฟ้าทุกประการเพียงแค่เปลี่ยนจากสีขาวเป็นดำ ไอเย็นประหลาดแผ่ออกมาจากด้านในประตู ท้องฟ้ามืดครึ้มด้วยเมฆดำ เสียงฟ้าร้องคำรามดังกึกก้อง ท้องฟ้าสว่างวาบเป็นครั้งคราวด้วยประกายแสงจากฟ้าแลบดูน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก

    เมื่อเข้าไปด้านใน มีเกราะอัศวินอาบเลือดไร้ผู้สวมใส่เดินเข้ามาหา ภายในเฮลเม็ตที่ว่างเปล่ามีประกายแสงสีแดงคู่หนึ่งทำหน้าที่เป็นดวงตา “ยินดีต้อนรับผู้กล้าจากโลกแห่งแสง ข้าขอมาเตือนด้วยความหวังดีให้ท่านกลับไปก่อนที่จะต้องเผชิญชะตากรรมเช่นเดียวกับผู้กล้ารายอื่นที่นำชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่”

    เพียงสะบัดดาบครั้งเดียวก็ทำให้เฮลเม็ตของชุดเกราะอัศวินปลิวกระเด็นไปไกล “ไหนๆก็มาถึงที่นี่แล้วก็ขอชมปราสาทดำให้ทั่วหน่อยละกัน”

    “หึหึหึ ประตูนรกเปิดรอเจ้าอยู่แล้ว” เฮลเม็ตบนพื้นพูดประโยคสุดท้ายแล้วแตกเป็นผลึกสีดำสลายไป

    ทากะขึ้นบันไดวนขึ้นไปสู่ชั้นสอง ด้านในมีสภาพไม่ต่างจากห้องสมุดเลยสักนิด เพียงแต่ทุกอย่างล้มระเนระนาดไม่ว่าจะเป็นโต๊ะ เก้าอี้ ชั้นหนังสือ หนังสือหล่นกระจัดกระจายเต็มพื้น เสียงของอัศวินวิลฟอร์ดบอกให้เขาตรงไปด้านในจนสุดทาง เดินเข้าไปได้ไม่กี่ก้าว หนังสือหลายเล่มลอยขึ้นจากพื้นได้ด้วยตัวเองและพุ่งเข้าหาทากะจากทุกด้าน แต่พวกมันถูกดาบคาตะนะทำให้กลายเป็นเพียงเศษกระดาษปลิวว่อนกลางอากาศ

    เขาเก็บดาบกลับคืนสู่ปลอกไม้แล้วเดินลึกเข้าไปอีก จู่ๆเกิดแรงสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งปราสาทดำ ชั้นหนังสือที่ล้มกองอยู่กับพื้นถูกดึงขึ้นมาด้วยหมอกสีดำ จัดเรียงเป็นทางวงกตซับซ้อนปิดกั้นเส้นทางไม่ให้ไปต่อได้

    “น่าสนุกแฮะ”

    ทากะเปิดแผนที่ขึ้นมาดู เป็นไปอย่างที่เขาคิด...สกิลตรวจสอบแผนที่ไม่สามารถใช้งานได้ในพื้นที่นี้ เขาต้องฝ่าวงกตชั้นหนังสือไปด้วยกำลังของตัวเองเท่านั้น เขาเดินตรงไปเมื่อเจอทางแยกก็สุ่มเลี้ยวโดยอาศัยสัญชาตญาณล้วนๆ

    พอเลี้ยวซ้ายจะเข้าสู่ทางกว้างเส้นหนึ่ง มีหนังสือสี่เล่มพุ่งออกมาจากชั้น คลี่เปิดหน้ากระดาษได้เองและเปล่งแสงและกลายเป็น ‘อัศวินโลหิต’ สี่นาย พวกมันเคลื่อนเข้าหาเป้าหมายโดยพร้อมเพรียง เงื้อดาบในมือขึ้นเตรียมจู่โจม ทากะถอนเท้าถอยหลังไปหนึ่งก้าว หรี่ตาลงจับจ้องการเคลื่อนไหวของศัตรูอย่างระมัดระวัง อัศวินตรงกลางสองตัวทะยานเข้าหาและฟาดดาบเข้าใส่ตรงๆ หัวหน้าแคลนมัลดิโตบิดตัวหลบการจู่โจม แต่ยังไม่ทันจะได้โจมตีสวนกลับตามถนัดอัศวินอีกสองตัวจากซ้ายและขวาพุ่งชาร์จด้วยโล่พร้อมกันบีบให้เขาต้องก้าวถอยหลัง อัศวินทั้งสี่ตั้งแถวหน้ากระดานเดินเข้ามาพร้อมกันอีกครั้ง เป็นรูปแบบโจมตีประสานที่หาช่องโหว่ไม่ได้เลย

    “ท่านผู้กล้า การสู้กับทัพอัศวินซึ่งหน้าเป็นเรื่องเสียเปรียบ ต้องทำให้รูปขบวนนั้นสับสนเสียก่อนจึงมีโอกาสชนะ”

    “งั้นก็ไม่ยาก”

    เขาหยิบระเบิดมือออกมาลูกหนึ่ง พอดึงสลักนิรภัยให้หลุดออกก็กลิ้งเข้าหากลุ่มอัศวิน สามสินาทีให้หลังเกิดเสียงระเบิดดังสนั่น อัศวินโลหิตสองตัวตรงกลางถูกแรงระเบิดผลักให้ต้องถอย อีกสองตัวซ้ายขวาถูกผลักกระแทกเข้ากับชั้นหนังสือที่ไม่มีวันล้ม

    ซารุวาตาริ ทากะ แดชฝ่าเปลวไฟเข้าถึงอัศวินด้านซ้ายสุด ดาบคาตะนะสะบั้นเฮลเม็ตหลุดกระเด็นในพริบตา พลิกข้อมือดึงดาบลงแทงสวนขึ้นทะลุคออัศวินอีกตัวทางขวา พุ่งไปจัดการกับอัศวินอีกสองตัวก่อนที่พวกมันจะตั้งหลักได้

    เมื่อดาบเก็บลงฝัก ร่างของอัศวินโลหิตทั้งสี่ก็สลายไปจนหมด

    ด้วยความช่วยเหลือแนะนำจากอัศวิลวิลฟอร์ดในหนังสือ ทากะสามารถจัดการกับศัตรูที่ปรากฏตัวได้ตลอดทาง เสียเวลาเดินวนอยู่ในทางวงกตอยู่พักใหญ่นักสำรวจหัวหน้าแคลนมัลดิโตก็จดจำรายละเอียดของทางวงกตนี้ได้เกือบทั้งหมดแล้ว เมื่อรู้ว่าเส้นทางไหนพาไปสู่ทางตันและเส้นทางไหนวนกลับทางเก่าเขาก็หลีกเลี่ยงและผ่านออกจากวงกตชั้นหนังสือได้ในที่สุด

    ทางออกของเขาวงกตคือชั้นไม้หนึ่งตัวที่มีหนังสือวางอยู่ เมื่อนำมือแตะหนังสือตามคำบอกของวิลฟอร์ดทากะได้ถูกวาร์ปไปสู่อีกสถานที่หนึ่งทันที










    “หมอนั่นหายไปไหนกันนะ? ติดต่อก็ติดต่อไม่ได้อีก” น้ำเสียงของเฟรเทียร์กระวนกระวายสุดขีดเมื่อหาทากะไม่พบไม่ว่าที่ไหน

    “ผมบอกเจ๊เป็นรอบที่ร้อยแล้วนะว่าไม่ต้องห่วงพี่ทากะหรอก”

    “ก็หายตัวไปนานขนาดนี้จะไม่ให้ห่วงได้ยังไงกันละ? พวกนายใจเย็นเกินไปแล้วนะ”

    เอเซปิดหนังสือวางลงบนโต๊ะด้วยกิริยาปกติไม่แสดงออกว่าร้อนใจใดๆ “เอาน่า หมอนั่นไม่เป็นไรหรอก”

    “แต่นี่มันก็นานเกินไปจริงๆนะคะ” ไนซ์เห็นด้วยกับเฟรเทียร์

    เมื่อสามหนุ่มเห็นว่าคงไม่มีทางที่สี่สาวจะลดความเป็นห่วงลงก็ได้แต่ต้องลงมือทำอะไรสักอย่างเพื่อให้พวกเธอสบายใจ

    “งั้นรอบนี้พวกเราจะไปตามหากันเอง มิยูกับทุกคนพักผ่อนแล้วก็รออยู่ที่นี่ก่อนอย่าเพิ่งไปไหนละกัน ถ้ามีใครหายตัวไปอีกคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ”

    “งั้นพวกพี่ก็อย่าหายไปด้วยเหมือนกันล่ะ” นัตสึมิบอกด้วยน้ำเสียงห่วงใยจริงๆ

    “ว้าว เป็นห่วงคนอื่นเป็นเหมือนกันเหรอ?”

    ตอนนี้เธอไม่มีอารมณ์จะทะเลาะกับอากิรอสจึงยอมทำเป็นเมินไม่ได้ยินคำพูดนั้นไป

    “จะรีบกลับมาละกัน” กุห์ฟานบอกแล้วก็ออกไปพร้อมกับรุ่นพี่อีกสองคน

    เอเซใช้สกิลแกะรอยตามรอยเท้าของทากะไปจนถึงชั้นห้าของห้องสมุดแห่งนี้ เข้าไปในห้องหนังสือเล็กๆห้องหนึ่งริมทางเดินฝั่งซ้าย รอยเท้าไปหยุดอยู่ที่ประตูริมระเบียงและแยกออกไปทางชั้นหนังสือด้านใน เขาพากุห์ฟานและอากิรอสตามรอยไปหยุดอยู่หน้าชั้นหนังสือที่รอยเท้ามาสิ้นสุด

    “รอยเท้ามาแค่นี้ว่ะแล้วก็หายไปเลย”

    “หายไปดื้อๆเลย?”

    “ใช่ หายไปดื้อๆเหมือนที่นายว่านั่นแหละ”

    ทั้งสามคนมีคำถามในใจเหมือนกันว่า ‘แล้วทากะหายไปได้อย่างไร?’

    “มีหนังสือหายไปจากชั้นนี้หนึ่งเล่ม คิดว่าจะเกี่ยวกับพี่ทากะรึเปล่า?” กุห์ฟานชี้ให้ดูช่องว่างที่หนังสือหายไปจนเล่มที่อยู่ด้านข้างเอียงลงมาพิงอีกเล่มหนึ่ง

    “นายจะบอกว่ามันโดนหนังสือกินไปรึไง?”

    “ถ้าโดนหนังสือกินไปหนังสือก็ต้องอยู่ครบสิ” เอเซไม่เห็นด้วยกับอากิรอส “แต่ก็เป็นไปได้เหมือนกันว่าหนังสือเล่มที่หายไปน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของทากะ ถ้าหาหนังสือเล่มนั้นเจอก็คงพอได้เบาะแสอะไรบ้าง”

    ทั้งสามคนแยกย้ายหาหนังสือเล่มที่หายไปแต่หายังไงก็หาไม่เจอ เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีเบาะแสอื่นนอกจากนี้กุห์ฟานจึงติดต่อกลับไปหาสี่สาวเพื่อบอกข้อมูลที่พบแล้วรีบกลับลงไปรวมกลุ่มกัน

    “แน่ใจนะว่าตามหาจนทั่วแล้ว? แล้วได้ไปดูที่ห้องอื่นรึเปล่า? หนังสือเล่มอื่นผิดปกติไหม?” เฟรเทียร์ยิงคำถามเป็นชุดๆจนเอเซต้องยกมือห้ามให้เธอหยุดก่อน

    “ถ้าสกิลแกะรอยไม่ได้ติดบัคทำงานผิดพลาด รอยเท้าของทากะก็มีอยู่แค่เส้นทางเดียวไปจนถึงห้องนั้นตามที่บอกนั่นแหละ ตอนนี้เลยคิดได้อย่างเดียวว่าหมอนั่นอาจจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับอีเวนต์อะไรสักอย่างเท่านั้น”

    “งั้นลองไปถามกับบรรณารักษ์ดูดีไหมว่าที่นี่มีภารกิจอะไรหรือเปล่า เผื่อพี่ทากะอาจจะไปรับภารกิจก็ได้” มิยูเสนอความคิดเห็น ทุกคนเห็นด้วยกับความคิดนี้เลยยกโขยงไปหาบรรณารักษ์พร้อมกันทั้งเจ็ดคน

    “ห้องสมุดยังยังไม่เปิดให้ทำภารกิจค่ะ ตอนนี้มีเพียงบริการห้องฝึกซ้อมทักษะต่างๆเท่านั้น” คำตอบจากบรรณารักษ์ทำให้ทุกคนผิดหวัง

    “ออกมาทำอะไรกันน่ะ?”

    เสียงที่คุ้นเคยดังจากด้านหลังซึ่งเป็นประตูทางเข้า ทากะปรากฏตัวจากด้านนอกปราสาทสร้างความสงสัยให้แก่ทุกคน

    “นายไปไหนมาน่ะ? รู้ไหมว่าทุกคนเป็นห่วงขนาดไหน” เฟรเทียร์เข้าไปกอดทากะจนเขาเสียหลักเพราะอีกฝ่ายวิ่งมาเร็วมาก

    เอเซขยิบตาให้ทากะทีหนึ่งแล้วก็เดินเข้าตบบ่าเขา “นึกว่าโดนหนังสือต้องสาปกินเข้าไปแล้วซะอีกนะเนี่ย”

    เฟรเทียร์เพิ่งจะรู้สึกตัวว่าเธอกำลังกอดทากะต่อหน้าคนอื่นก็รีบผละออกมาแล้วปาดน้ำตาทิ้งอย่างรวดเร็ว

    “เดี๋ยวเล่าให้ฟังละกัน”

    ทากะขยิบตาคืนให้เอเซแล้วเดินตรงไปหาบรรณารักษ์ หยิบหนังสือจากกระเป๋าด้านในเสื้อนอกส่งคืนให้กับเจ้าหน้าที่ประจำห้องสมุดเวทมนต์ และภาพบนปกหนังสือกลับมาสมบูรณ์ด้วยภาพของราชา ราชินีและองค์หญิงตัวน้อยอย่างพร้อมหน้า

    “ขอบคุณที่ช่วยเหลือนะคะ” เธอนำหนังสือเล่มนั้นเก็บและหยิบหนังสืออีกเล่มส่งให้เขาเป็นรางวัลสำหรับภารกิจ

    “ขอถามบางอย่างได้ไหม?”

    “เชิญค่ะ”

    “เงื่อนไขที่ทำให้ผมได้เจอกับหนังสือพูดได้คืออะไร?”

    บรรณารักษ์สาวยิ้มกว้างและผายมือไปทางด้านหลังของเธอ ชั้นหนังสือที่เรียงปกหนังสือสลับสีจนเป็นคำว่า ‘กรุณาใช้ความเงียบ’

    “ผู้เล่นต้องอยู่เงียบๆภายในห้องสมุดแห่งนี้เป็นเวลามากพอถึงจะได้ยินเสียงจากหนังสือค่ะ”










    เมื่อทุกคนนั่งประจำที่ล้อมโต๊ะยาวแล้ว หัวหน้าแคลนมัลดิโตจึงเริ่มต้นเล่าเรื่องที่เขาหายตัวไปให้ฟัง

    พอถูกวาร์ปออกจากวงกตชั้นหนังสือแล้ว ทากะต้องปวดหัวกับเส้นทางสุดพิลึกในปราสาทดำที่ยิ่งกว่าวงกตชั้นหนังสือ ความซับซ้อนอาจจะเทียบชั้นบ้านวินเชสเตอร์ได้เลย บันไดที่ขึ้นไปแล้ววนกลับที่เดิม ประตูที่เปิดแล้วพบกับกำแพงแถมยังมีกับดักอีกหลายแห่งด้วย เมื่อเดินวนหลงอยู่ในนั้นจนเปิดประตูหน้าต่างครบทุกบานแล้วทากะถึงเพิ่งรู้ว่าทางออกที่แท้จริงอยู่ที่เตาผิงใกล้กับจุดที่เขาถูกวาร์ปมาต่างหาก

    เขาปีนเตาผิงขึ้นมาโผล่ที่ปากปล่องด้านนอกปราสาท เดินไต่หลังคาไปอีกฝั่ง ไต่ลงปล่องไฟอีกแห่งลงไปที่อีกห้องหนึ่ง ฝ่ากองทัพอัศวินโลหิตนับร้อยตัวกว่าจะไปถึงห้องสุดท้ายของปราสาท – ห้องของราชาปีศาจ

    “พี่ซัดกับตัวอะไรมาละเนี่ย?” กุห์ฟานถามแทรกพลางพิมพ์ข้อมูลที่รุ่นพี่ของเขาเล่าให้ฟังเก็บเป็นบันทึกอย่างรวดเร็ว

    “ไดโบล...ละมั้ง ปีศาจรูปร่างมนุษย์ ตัวแดงๆ เขาสีดำ ปีกแบบค้างคาว หางยาวเฟื้อยเลยด้วย”

    “โดนท่า ‘กราวิจา’ ด้วยรึเปล่าเนี่ยพี่”

    “ไม่แน่ใจแฮะ เห็นแต่มันยิงพลังมาเป็นลูกๆเลย โดนไปแต่ละทีเจ็บอย่างกับโดนไฟช็อต”

    “รอดมาได้ไงวะ”

    “ก็พอโดนซัดล้ม อัศวินในหนังสือก็ออกมาสู้แทน คงเป็นอีเวนต์บังคับนั่นแหละ นั่งดูเขาซัดกันจนราชาปีศาจตายแล้วก็ไปช่วยองค์หญิงออกมา จบ!”

    “บ๊ะ ไม่สนุกเลย”

    “ถ้าสหายเอเซอยากเจอเรื่องตื่นเต้นเร้าใจ ลองไปนั่งเงียบๆในห้องไหนดูสักห้องนะเผื่อจะเจอหนังสือแบบนี้บ้าง”

    “แค่นั้นเองเหรอพี่ทากะ” มิยูทำท่าเสียใจที่เรื่องราวจบสั้นเกินไป

    “อ้อ...ตอนก่อนสู้กับราชาปีศาจ มันเสนอบอกจะแบ่งโลกให้ปกครองครึ่งหนึ่งตามบทในเกมอาร์พีจีเก่าๆเป๊ะเลยด้วย”

    “แล้วพี่ทากะตอบไปว่ายังไงคะ?”

    “พี่ก็บอกไปว่า...ถ้าฆ่าแกได้ก็เท่ากับได้ครองทั้งโลกน่ะสิ มันก็เงียบไปแล้วก็ท้าสู้เลย”

    มิยูหัวเราะเสียงดังจนนัตสึมิต้องพูดว่าเพื่อนคนนี้เส้นตื้นเกินไปแล้ว

    “ว่าแต่นายได้อะไรเป็นรางวัลน่ะ ขอดูหน่อยสิ” เฟรเทียร์แบมือขอหนังสือที่ทากะได้รับจากบรรณารักษ์

    “มอนสเตอร์เอ็นไซโคพีเดีย เล่มหนึ่ง”

    ทากะอ่านชื่อหนังสือแล้วส่งให้เธอ นักสำรวจสาวรับไปเปิดดูแล้วก็ขมวดคิ้วทำหน้าสงสัยจนต้องหยิบแว่นขยายออกมาตรวจคุณสมบัติของหนังสือเล่มนี้

    “อย่างที่คิดไว้เลย ทั้งที่บอกว่าเป็นมอนสเตอร์เอ็นไซโคพีเดียแต่ไหงมีหน้าว่างอยู่เพียบ หนังสือเล่มนี้จะมีเฉพาะข้อมูลมอนสเตอร์ที่นายเคยต่อสู้มาด้วยเท่านั้น ถ้าอยากให้หนังสือเล่มนี้มีข้อมูลครบถ้วนนายต้องไปจัดการกับมอนสเตอร์ทั้งทวีปแล้วละ เล่มนี้เป็นไอเท็มเฉพาะของนักสำรวจเท่านั้นด้วยนะ”

    “บนปกเขียนว่าเล่มหนึ่ง แสดงว่ายังมีเล่มสองเล่มสามหรือมากกว่านั้นด้วย” กุห์ฟานบอกหลังจากบันทึกข้อมูลปิดหน้าต่างเอกสารไปแล้ว

    “ก็ต้องทำภารกิจกับห้องสมุดเพิ่มหรือไม่ก็อาจจะเป็นภารกิจระดับสูงของสมาคมนักสำรวจเอง” เฟรเทียร์วิเคราะห์ข้อมูลต่อ

    “ของที่ยังไม่มีก็เท่ากับยังไม่ได้ใช้ เล่มที่มีก็ทำให้มันเต็มก่อนเถอะ” เอเซตบบ่าเพื่อนนักสำรวจแล้วลุกขึ้น ขยิบตาให้อากิรอสและกุห์ฟาน ทั้งสองหนุ่มสะกิดสามสามให้ลุกขึ้นตามด้วย

    “อ้าว? จะไปไหนกันน่ะ?”

    “ไปหาหนังสือน่ะค่ะพี่เฟรเทียร์ พอดีมิยูยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องเวทมนต์เท่าไรเลยจะให้เอเซไปสอนด้วย”

    พอเธอตอบเสร็จทุกคนก็แยกย้ายกันไปหมดแล้ว เหลือเพียงทากะและเฟรเทียร์เพียงสองคนเท่านั้นที่ยังนั่งอยู่ที่โต๊ะ เกิดบรรยากาศกระอักกระอ่วนเพราะหญิงสาวยังรู้สึกผิดในใจที่ก่อนหน้านั้นบังคับให้ทากะอ่านหนังสือโดยไม่ได้คิดว่าเขาเต็มใจจะอ่านหรือไม่

    และเฟรเทียร์ก็เพิ่งรู้ตัวว่าโดนเพื่อนๆคนอื่นซ้อนแผนเพื่อให้เธอและทากะอยู่ด้วยกันสองต่อสองเพื่อปรับความเข้าใจกัน เธอเองนึกหาจังหวะเพื่อคุยกับเขาอยู่แล้วแต่พออยู่สองต่อสองแล้วก็ไม่รู้จะเริ่มต้นพูดอย่างไรดี ยิ่งเห็นทากะทำเป็นอ่านหนังสือไม่สนใจเธอ เธอก็ยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้น

    เฟรเทียร์หลับตาปี๋เพราะกลัวจะเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายที่กำลังโกรธ

    “ขอ...ขอโทษนะที่ฉันบังคับให้นายอ่านหนังสือน่ะ ฉันขอโทษด้วยก็แล้วกัน คราวหลังฉันจะไม่ทำอะไรแบบนั้นอีกแล้ว จะไม่บังคับให้นายทำสิ่งที่ไม่อยากทำ ฉันขอโทษจริงๆ”

    เกิดความเงียบขึ้นระหว่างหนุ่มสาวทั้งสาว เฟรเทียร์ใจเต้นโครมครามคิดเตลิดไปไกลว่าทากะโกรธจนไม่ยอมยกโทษให้แน่ๆแล้ว

    “เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ช่างมันเถอะ”

    นักสำรวจสาวลืมตาขึ้นอย่างกล้ากลัวๆ “นายไม่โกรธจริงๆนะ?”

    ทากะไม่ตอบคำถามของเธอ เปิดหนังสือมอนสเตอร์เอ็นไซโคพีเดียดูอย่างสนอกสนใจ แต่สีหน้าปลอดโปร่งและรอยยิ้มเล็กๆที่มุมปากของเขาก็แสดงเจตนาอย่างชัดเจนแล้วว่าเขาไม่ติดใจเรื่องนั้นจริงๆ เฟรเทียร์เข้าใจความหมายของรอยยิ้มนั้นจึงได้แต่ถอนหายใจคลายความกดดัน เธอตั้งใจจะถามบางเรื่องจากเขาแต่สุดท้ายก็เก็บคำถามนั้นไว้แล้วนั่งลงหยิบหนังสืออ่านได้อย่างสบายใจเหมือนเดิม
    soulmaster, taleoftrue และ joi100 ถูกใจสิ่งนี้
  19. soulmaster

    soulmaster Endorphinlism

    EXP:
    403
    ถูกใจที่ได้รับ:
    11
    คะแนน Trophy:
    18
    มีสะดุดนิดหน่อยตรงนี้น่ะ
    “แอบยัดใต้โต๊ะกับเอ็นพีซีมารึเปล่าเนี่ย?”
    “ว่าอะไรนะคะนายท่าน? ตะกี๊ได้ยินไม่ถนัดเลย”
    ทำให้ต้องย้อนขึ้นไปอ่าน แล้วคิดอีกตลบนึงว่าประโยคแบบนี้ใครจะเป็นคนพูด

    คำเพี้ยน
    เครื่องเครียง - เครื่องเคียง
    บรรณารักษ์ปนะจำห้องสมุดเวทมนต์ - ประจำ
    อีกพักหนึ่งสาวสามหอบหนังสือมาคนละหลายเล่ม - สาวสาม....... +__+
    รอจนหญิงลดระดับความโมโหและมีสติเพียงพอ - หญิง........ < __ <
    ทั้งสองหนุ่มสะกิดสามสามให้ลุกขึ้นตามด้วย - 33....... '___'
    เกิดความเงียบขึ้นระหว่างหนุ่มสาวทั้งสาว - หนุ่มสาวทั้งสาว........ o __ O

    ส่วน ไดโบล กับ เอ็นไซโคพีเดีย พอเข้าใจอยู่นะ
    Azemag ถูกใจสิ่งนี้
  20. Ryuto

    Ryuto 終わる道、始まる夢

    EXP:
    964
    ถูกใจที่ได้รับ:
    16
    คะแนน Trophy:
    88
    มาลงชื่ออ่านครับ

    แต่ฮาที่โซลมาสเตอร์พิมแก้ไว้ด้านบน ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ:cool:
  21. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    คำผิดเพียบเลยแฮะตอนนี้ - -*
    สงสัยต้องเลิกพึ่งบริการเส้นแดงคำผิดของ MS Word ซะละ

    ลงชื่ออ่านตลอดอะ -*-
  22. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    Grand Gaia Online 29 – Beneath Sand




    “พร้อมนะพี่?”

    กุห์ฟาน รีส ริยาส ถามรุ่นพี่ของเขาซึ่งมีตำแหน่งเป็นหัวหน้าแคลนมัลดิโตหลังจากตรวจเชือกและรอกสำหรับโรยตัวเสร็จแล้ว ตอนนี้สมาชิกแคลนมัลดิโตสี่คนในฐานะทหารรับจ้างและนายจ้างสาวอีกสี่คนอยู่ที่ซากเมืองโบราณกลางทะเลทราย พวกเขาพบทางลงดันเจียนลับตอนขามา เมื่อเสร็จธุระที่เมืองเวเนสแล้วจึงกลับมาสำรวจดันเจียนแห่งนี้ตามความตั้งใจแต่แรก

    ซารุวาตาริ ทากะ ยกนิ้วโป้งเป็นสัญญาณว่าพร้อมแล้ว กุห์ฟานคลายตัวล็อกให้เชือกเป็นอิสระ รอกหมุนเร็วรี่ตามแรงฉุด เชือกม้วนใหญ่บนพื้นทรายหดสั้นเหลือน้อยลงเรื่อยๆจนกระทั่งหยุดสนิท รอจนทากะกระตุกเชือกเป็นจังหวะบอกว่าปลดเชือกจากตัวแล้ว กุห์ฟานจึงม้วนเชือกขึ้นมาและส่งเอเซและอากิรอสตามลงไป จากนั้นจึงเป็นคิวของสี่สาวและตัวเขาเป็นคนสุดท้าย

    ด้านล่างของบ่อน้ำกลางเมืองเป็นโพรงขนาดใหญ่กว้างประมาณสิบเมตร ลึกลงมาจากพื้นเกือบสามสิบเมตร ทากะและเฟรเทียร์ช่วยกันตรวจสอบด้วยทักษะของอาชีพของนักสำรวจจนพบทางไปต่อ เป็นอุโมงค์เล็กๆซ่อนตัวอยู่หลังกองอิฐและก้อนหินที่สันนิษฐานได้ว่ามีคนจงใจนำมาปิดทาง หลังจากช่วยกันเปิดทางออกแล้วก็พบอุโมงค์ขนาดเล็กจริงๆ

    ประตูเหล็กสีดำบานใหญ่เต็มไปด้วยคราบสนิมปิดขวางอยู่ปลายอุโมงค์ สี่หนุ่มต้องออกแรงผลักกันสุดตัวกว่าจะทำให้มันแง้มเป็นช่องจนพอให้ทุกคนลอดผ่านไปได้ หลังบานประตูเหล็กผุกร่อนเป็นห้องขนาดใหญ่ กำแพงสี่ด้านและเพดานทำจากหินทรายขัดเรียบ ตรงกลางห้องมีแท่นวงกลมยกพื้นขึ้นมาสูงหนึ่งฟุตและมีแท่งหินคล้ายศิลาจารึกอยู่ด้วย

    ตัวอักษรที่สลักอยู่บนผิวหินลางเลือนจนอ่านไม่ออกแล้ว แม้กุห์ฟานจะใช้แว่นขยายส่องแล้วก็ยังไม่มีข้อมูลปรากฏออกมาเหมือนทุกที เฟรเทียร์สวมถุงมือและหยิบแปรงออกมาด้ามหนึ่ง เรียกใช้งานทักษะของอาชีพนักสำรวจ ใช้แปรงนั้นปัดไปบนผิวหินอย่างประณีต ตัวอักษรที่สลักไว้เปล่งแสงสีฟ้าออกมาตามการปัดของนักสำรวจสาว

    “เอ็งเป็นนักสำรวจแน่เหรอวะ ไม่เห็นทำแบบนี้ได้มั่งเลยไอ้คุณทากะ” เอเซกระทุ้งศอกใส่เพื่อน

    “ลองใช้แว่นขยายอีกทีสิ”

    “ได้เลยเจ๊” กุห์ฟานทำตามที่เฟรเทียร์บอก

    ที่นี่คือจุดเริ่มต้นการทดสอบ จงทิ้งความหวาดกลัวไว้ตรงนี้และมุ่งหน้าต่อไปด้วยความกล้าหาญ สมบัติ ณ ปลายทางจะมอบให้สำหรับผู้ที่เหมาะสมเท่านั้น

    กุห์ฟานอ่านข้อความให้ฟังแล้วก็มีหน้าต่างหนึ่งปรากฏขึ้นมาตรงหน้าทุกคน เป็นหน้าต่างภารกิจที่ต้องกดตอบรับทุกคน สี่หนุ่มมัลดิโตกดตกลงโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด ในขณะที่ฝั่งสาวๆยังลังเลกันอยู่เลยกันอยู่เลย แต่เมื่อพวกเธอเห็นความมั่นใจบนใบหน้าของพวกเขาแล้วก็กดตอบรับภารกิจด้วยเช่นกัน

    กำแพงหินทั้งสามด้านจู่ๆเกิดเป็นลวดลายขึ้นมาและกลายเป็นบานประตู ส่วนประตูเหล็กที่พวกเขาใช้เข้ามาในห้องนี้กลับหายไป

    หน้าต่างภารกิจของกุห์ฟานในฐานะหัวหน้ากลุ่มมีข้อความให้เลือกเปิดประตูบานใดบานหนึ่งจากทั้งสามบาน นักล่าสมบัติเปิดแผนที่ของดันเจียนชั้นนี้ขึ้นมาดูก่อน มีห้องแบบนี้ทั้งหมดสิบหกห้องเชื่อมต่อกันด้วยอุโมงค์ วางเรียงต่อกันเป็นทรงสมมาตรหรือก็คือสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ที่ถูกแบ่งเป็นสิบหกส่วน

    ทุกคนส่งสัญญาณผ่านสายตาว่าให้เขาตัดสินใจได้เลย

    ใช้เวลาคิดอยู่อึดใจ...เขาตัดสินใจเลือกเปิดประตูบานซ้ายมือ

    ประตูหินเปิดออกพร้อมกับแมงมุมตัวเขื่องกรูกันออกมา ขนยุบยับที่ขาทั้งแปดข้างให้ความรู้สึกน่าขยะแขยง เขี้ยวคู่ใหญ่ชุ่มไปด้วยเมือกเหลวจากต่อมพิษ แมงมุมยักษ์มีเกือบห้าสิบตัวในขณะที่พวกเขามีกันแปดคนเท่านั้น

    “แจ็คพอตแตกโว้ย!”

    เอเซตะโกนร่า กระชากดาบออกจากปลอกวิ่งปรี่เข้าหามอนสเตอร์ทันที ประกายแสงจากเวทมนต์สายฟ้าแล่นเข้าใส่แมงมุมตัวที่อยู่ใกล้ที่สุดจนมันระเบิดเป็นโพลิกอนสลายไปในพริบตา พลังสายฟ้าทะลุร่างแมงมุมตัวแรกไปยังทำให้อีกสองตัวที่อยู่ด้านหลังถูกช็อตจนนอนหงายท้องได้แต่รอความตายไปด้วย

    คนอื่นๆติดตามเข้าไปสู้กับศัตรู สี่สาวแยกออกเป็นสองคู่ นัตสึมิจับคู่กับมิยู ในขณะที่เฟรเทียร์ช่วยยิงหน้าไม้คุ้มกันไนซ์

    “ใครฆ่าได้น้อยกว่าครั้งหน้าเป็นคนเลือกเปิดประตูนะเว้ย!” นักดาบมนตราที่ฆ่าแมงมุมไปแล้วห้าตัวตะโกนกลับมาบอกเพื่อนร่วมแคลนอีกสามคน

    ทั้งสามคนตะโกนด่าและชูนิ้วกลางส่งคืนให้ “ไอ้ขี้โกง!”

    ถึงแมงมุมจะตัวใหญ่แค่ไหนแต่พวกมันเป็นแค่มอนสเตอร์ระดับต่ำสุด – แรงค์เอฟ ย่อมไม่อาจต้านทานความแข็งแกร่งของแคลนมัลดิโตที่ล้มบอสมาได้

    เมื่อกำจัดศัตรูได้หมดแล้วประตูอีกสองบานที่ไม่ได้เลือกได้กลายเป็นกำแพงหินเช่นเดิม

    “อย่างที่คิดเลย ถ้าเลือกผิดประตูจะไม่สามารถไปห้องข้างๆได้อีกเลยต้องเดินอ้อมเท่านั้น ตอนนี้พวกเราอยู่ห้องที่สองจากทางซ้ายฝั่งล่างสุด และถ้าห้องที่เป็นทางลงดันเจียนชั้นสองดันอยู่ฝั่งขวาบนสุดละก็...”

    “ถ้าเลือกผิดหลายๆครั้งทำให้ไปไม่ถึงห้องที่ถูกต้อง” ไนซ์และนัตสึมิตอบขึ้นมาพร้อมกัน

    เขาพยักหน้ายืนยัน “เลือกถูกทางเท่ากับต่อสู้น้อยครั้งและถึงห้องที่ถูกต้องได้เร็ว แต่ถ้าเลือกผิดตั้งแต่แรกก็ต้องวางแผนเผื่อไว้ว่าให้สามารถอ้อมไปสำรวจครบทั้งสิบหกห้องให้ได้ไม่งั้นภารกิจล้มเหลวแน่นอน”

    “โวะ! แล้วจะแข่งกันฆ่าไปทำไมเนี่ย”

    “ฝากด้วยนะ”

    ทากะตบบ่ารุ่นน้องผมแดง งานที่ต้องใช้สมองปล่อยให้เป็นหน้าที่ของกุห์ฟานได้อย่างวางใจ คนอื่นๆช่วยออกความเห็นตามสมควร เมื่อมั่นใจว่าวางเส้นทางไว้ไม่ผิดพลาดแล้วทั้งหมดแปดคนจึงมุ่งหน้าเข้าสู่เส้นทางที่เลือกไปยังห้องต่อไป อุโมงค์เชื่อมต่อระหว่างห้องมีสภาพไม่ต่างจากรังแมงมุม เต็มไปด้วยใยสีขาวเหนียวตลอดทาง ต้องใช้ไฟเผาและตัดฝ่าไปอย่างยากลำบาก

    กุห์ฟานตรวจสอบแผนที่อีกครั้ง ตอนนี้พวกเขาอยู่ห้องริมสุดฝั่งซ้ายมือของแถวแรก ทั้งแปดคนขึ้นไปบนบนแท่นวงกลมกลางห้องแล้วเกิดประตูขึ้นที่กำแพงฝั่งทิศเหนือเพียงตำแหน่งเดียวเท่ากับถูกบังคับเลือกเส้นทาง

    เป็นไปตามที่คาด...ด้านหลังประตูหินคือรังของมอนสเตอร์ แต่ครั้งนี้เป็นแมงป่องตัวเขื่องฝูงหนึ่ง

    สี่สาวช่วยกันฆ่าแมงป่องไปได้ไม่กี่ตัวเท่านั้นส่วนใหญ่ตายไปเพราะเกมแข่งกันฆ่าของฝั่งหนุ่มๆเสียหมด ถึงจะไม่มีเงื่อนไขว่า...คนที่ฆ่าได้น้อยกว่าต้องเลือกเปิดประตูแล้วพวกเขาก็ยังแข่งกันเองอยู่ดี กุห์ฟานตัดสินใจสำรวจทุกห้องเพื่อความสำเร็จของภารกิจเป็นหลัก แถมคิดเผื่อไปว่าบางห้องอาจจะมีหีบสมบัติ ลายแทงแผนที่ ข้อมูลหรือไอเท็มอื่นซุกซ่อนอยู่ด้วย

    ถ้าโชคดีเจอห้องที่เป็นทางลงไปชั้นสองกลางทางก็ถือว่ายุติการสำรวจชั้นแรกเพียงเท่านั้น

    แต่มีหรือที่พวกเขาจะโชคดีได้แบบนั้น พวกเขาต้องสำรวจทั้งหมดสิบหกห้องตามที่คิดไว้ตั้งแต่แรก ห้องที่ถูกต้องนั้นคือห้องที่อยู่มุมบนขวาสุด แม้การต่อสู้จะไม่ได้ลำบากกินแรงหรือเปลืองไอเท็มฟื้นฟูแต่ก็ทำให้เสียเวลาไปหลายชั่วโมง ผลลัพธ์จากการสำรวจทั้งสิบหกห้องเจอหีบสมบัติทั้งหมดสี่หีบและยังต้องรอวิเคราะห์ว่าจะเปิดอย่างไรต่อไป ไอเท็มอื่นๆที่ได้จากมอนสเตอร์รวบรวมเป็นกองกลางรอแบ่งตอนกลับถึงเมืองอารันด์แล้ว

    สภาพดันเจียนชั้นที่สองเป็นเหมือนอุโมงค์ของชาวเวียดนามในสมัยสงครามเย็นเพียงแต่ไม่คับแคบแออัดขนาดนั้น ทางเดินกว้างขวางพอๆกับถนนสองเลน เพดานสูงมีตะเกียงเก่าๆซึ่งครั้งหนึ่งเคยให้แสงสว่าง ห้องพักขนาดเล็กเรียงรายอยู่หลังกำแพงดิน นอกจากนั้นยังมีห้องโถงใหญ่และห้องที่คล้ายกับห้องอาหารและห้องครัวอยู่ด้วย

    แผนที่เปล่าๆที่ได้จากหีบสมบัติก่อนหน้านี้ถูกส่งให้เฟรเทียร์และทากะ ทั้งสองต้องช่วยกันทำแผนที่ของดันเจียนชั้นนี้ให้เสร็จ

    การทำแผนที่ของอาชีพนักสำรวจไม่ใช่เรื่องยาก แค่เรียกใช้ทักษะ ‘สร้างแผนที่’ เดินให้ทั่วบริเวณ ทุกถนนทุกตรอกซอกซอย กำหนดลักษณะและจุดสำคัญต่างๆในแผนที่ให้เรียบร้อย โดนสามารถใส่รายละเอียดได้ตามต้องการ

    “แบ่งเป็นสองทางแยกกันทำจะได้ประหยัดเวลาเสร็จแล้วจะได้เอาข้อมูลมารวมกัน ดีไหม?”

    ทากะยักไหล่และตอบ “ยังไงก็ได้”

    “งั้นเอเซ มิยูแล้วก็กุห์ฟานไปกับฉันก็แล้วกัน”

    หลังจากแบ่งเป็นสองทีมแล้ว ทีมของเฟรเทียร์จะสำรวจโซนทิศเหนือและตะวันตก ทากะและอีกสามคนแยกไปทางตะวันออกแล้ววกลงใต้ เสร็จแล้วย้อนขึ้นมาเจอกันตรงกลาง

    เฟรเทียร์จริงจังกับการกำหนดแผนที่มากเป็นพิเศษ เธอบอกว่าถ้าจะทำแผนที่ต้องทำให้ละเอียดเพราะอาชีพนักสำรวจเป็นอาชีพเดียวที่สร้างแผนที่และขายต่อให้ผู้เล่นคนอื่นได้ ถ้าแผนที่ไม่ได้คุณภาพย่อมทำให้นักสำรวจคนนั้นไม่ได้รับความเชื่อถือไปด้วย เธอเดินเข้าไปในทุกห้อง ห้องไหนประตูเก่าจนเปิดไม่ได้ก็พังเข้าไปดื้อๆ สำรวจทุกซอกทุกมุมละเอียดยิบยิ่งกว่าวิศวกรลงตรวจงานก่อสร้างเสียอีก ระหว่างทางมีแมงมุมยักษ์โผล่มาบ้างแต่ก็ถูกเอเซจัดการไปอย่างรวดเร็วไม่ให้รบกวนการทำงานของนักสำรวจสาวผู้มีความมุ่งมั่นเต็มเปี่ยมได้

    ในขณะที่เฟรเทียร์ทำงานความคืบหน้าไปมาก ทีมของทากะเพิ่งจะสำรวจได้เพียงครึ่งเดียวของอีกทีม ไม่ใช่เพราะเจออุปสรรคแต่ทากะไม่ถนัดทำงานที่ต้องลงรายละเอียด เขาคิดถึงรุ่นน้องผมแดงขึ้นมาทันทีเพราะอย่างน้อยถ้ามีกุห์ฟานอยู่ช่วยงานคงดีกว่ามีอากิรอสที่จ้องแต่จะหาเรื่องจิกกัดนัตสึมิ

    สุดท้ายแล้วเฟรเทียร์ก็ต้องมาช่วยสำรวจบริเวณที่ทากะยังไม่ได้สำรวจแถมต้องย้อนขึ้นไปเก็บรายละเอียดที่เขาตกหล่นไปด้วย แต่เมื่อนำข้อมูลสองส่วนมารวมกัน กระดาษแผนที่เปล่าๆกลับบอกว่ามีข้อมูลแค่ห้าสิบเปอร์เซ็นต์...เพียงครึ่งเดียวของดันเจียนชั้นสองเท่านั้น

    “พวกทางลับหรือห้องลับรึเปล่า?” มิยูเสนอไอเดีย

    “ไม่น่าเป็นไปได้นะ ระหว่างทางพี่ก็ใช้สกิลตรวจทางลับอยู่ตลอดเวลา ถ้ามีก็ต้องเห็นสิ”

    “นายได้ใช้สกิลอะไรนั่นรึเปล่าวะ?” เอเซถามเพื่อนของเขาที่เป็นนักสำรวจมือใหม่หมาดๆ

    ความหนักแน่นในดวงตาของทากะตอบกลับว่าเขาทำครบทุกอย่างแน่นอน เฟรเทียร์ทำหน้าไม่ค่อยเชื่อแต่ก็ไม่ได้ดึงดันถามมากไปกว่านี้

    “งั้นสำรวจอีกรอบละกัน คราวนี้สลับพื้นที่กันนะ”

    ผ่านไปอีกสองชั่วโมง ผลลัพธ์ออกมาเหมือนเดิมคือสำรวจได้แค่ครึ่งเดียวของพื้นที่ทั้งหมดและเป็นพื้นที่เพียงซีกซ้ายของแผนที่เท่านั้น

    ทุกคนหยุดพักที่ห้องแห่งหนึ่งตรงหัวมุม หาอะไรเติมลงท้องไว้เป็นพลังงานสำหรับคิดแก้ปัญหา

    ในระหว่างที่กุห์ฟานและเฟรเทียร์ช่วยกันวิเคราะห์ว่าอาจจะมีทางลับอยู่ตรงไหนสักแห่งที่ต้องทำตามเงื่อนไขก่อนถึงจะหาพบโดยมีเอเซและอากิรอสเสนอความคิดเป็นระยะ จู่ๆทากะลุกขึ้นและบอกให้ทุกคนตามออกไป เขาพาไปที่ห้องครัวทางทิศใต้ของแผนที่ ภายในห้องครัวแห่งนี้มีบ่อน้ำขนาดเล็กอยู่ด้วย หลังจากให้กุห์ฟานติดตั้งอุปกรณ์โรยตัวเสร็จแล้วเขาก็หย่อนตัวเองลงไปที่ก้นบ่อเพียงลำพัง

    “เหลวละสิ?” เฟรเทียร์กอดอกถามเมื่อเขาปีนกลับขึ้นมาหลังจากผ่านไปสิบนาที

    “อือ”

    ทากะตอบแค่นั้นแล้วยังไม่ยอมอธิบายอะไรอีกเหมือนเดิม คราวนี้พาไปที่ห้องโถงใหญ่ซึ่งอยู่ริมขวาสุดของแผนที่ แล้วก็เริ่มปีนขึ้นปล่องควันของเตาผิงไปเงียบๆคนเดียว

    “...อะไรของหมอนั่นเนี่ย?”

    หัวคิ้วของนักสำรวจสาวขมวดชนกัน น้ำเสียงเจืออารมณ์หงุดหงิดมากขึ้น

    การรอคอยเป็นเรื่องน่าอึดอัดโดยเฉพาะการรอคอยคำตอบ ห้องที่กว้างขวางดูแคบลงไปถนัดตาเมื่อใจของคนร้อนรน ความกระวนกระวายทำให้เวลาเพียงหนึ่งวินาทียาวนานเท่ากับหนึ่งชั่วโมง ทุกคนสัมผัสได้ถึงอาการกระสับกระส่ายของเฟรเทียร์ได้เป็นอย่างดีจนไนซ์ต้องปลอบให้เธอใจเย็นลงบ้าง

    จู่ๆผนังห้องโถงใกล้ๆเตาผิงก็สั่นสะเทือนจนฝุ่นดินคลุ้งออกมา ชายหนุ่มสามคนออกมายืนขวางกลุ่มของหญิงสาวไว้เผื่อเกิดเหตุอันตรายจะได้รับมือทัน เสียงกลไกบางอย่างดังออกมาจากอีกฟากหนึ่ง กำแพงยุบตัวลงไปเล็กน้อยและยกขึ้นเปิดเป็นช่องกว้าง ทางลับถูกเปิดออกในที่สุด

    ปลายทางของประตูลับมีทากะยืนรออยู่ ในห้องกว้างแห่งนี้เพียงแค่กวาดตาก็รู้ได้ว่าน่าจะเป็นห้องของชนชั้นสูง โต๊ะ เก้าอี้และเครื่องประดับห้องชิ้นอื่นอื่นๆแม้จะเก่าจนผุพังแต่ยังมองออกถึงความหรูหราในอดีต บนเพดานยังมีโคมไฟระย้าในสภาพหมิ่นเหม่จะหลุดร่วงลงมาอยู่เลย พรมกำมะหยี่สีแดงบนพื้นถ้าซักให้สะอาดน่าจะนำไปใช้ได้อีกครั้ง

    “จริงๆแล้วนี่เป็นเบสิคของเกมอาร์พีจีเลยนะ เจอบ่อน้ำ เตาผิง ไห แจกันหรือนาฬิกาใหญ่ต้องสำรวจก่อนสิ่งอื่น เพราะตอนแรกมัวแต่สนใจทำแผนที่ถึงได้ละเลยจุดเล็กน้อยๆเหล่านี้ไป”

    คำอธิบายของเขายืนยันประสบการณ์ในฐานะแฟนพันธุ์แท้เกมอาร์พีจีได้เป็นอย่างดี

    “นั่นสินะ...ตอนเข้าไปปราสาทดำนายก็ไปถึงห้องบอสได้เพราะปีนเตาผิงเหมือนกันนี่นา”

    ทากะพยักหน้าเล็กน้อย

    “เกมนี้มันจะออกแบบได้โรคจิตมากไปหน่อยละ”

    นัตสึมิบ่นกระปอดกระแปด และคำบ่นนั้นก็ได้ยินไปถึงหูของอากิรอส “คงโรคจิตไม่เท่าคนที่อยากถ่ายรูปคนอื่นแต่งครอสเดสไปลงหนังสือพิมพ์หรอก”

    นักธนูสาวหันขวับมาจ้องตาเขียวแต่นักเวทผมเทาแกล้งผิวปากทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ก่อนที่ศึกน้ำลายและสงครามประสาทจะเกิดขึ้นอีกรอบ กุห์ฟานได้ตัดบทให้ไปสำรวจพื้นที่ที่เหลืออยู่ขึ้นมาก่อน

    สภาพทั่วไปของพื้นที่ฝั่งขวาไม่แตกต่างจากฝั่งซ้ายมากนัก ส่วนใหญ่เป็นห้องพักแต่มีขนาดใหญ่และดูดีกว่า เครื่องใช้ต่างๆครบครันสมบูรณ์ จากเตียงดินกลายมาเป็นเตียงไม้มีฟูกบุรอง มีโต๊ะและเก้าอี้ส่วนตัวให้ด้วย มีห้องโถงใหญ่ๆที่คล้ายห้องพักผ่อนก็หรูหรามากกว่า ยังไม่นับพวกเครื่องจานถ้วยชามที่เป็นเครื่องดินเผาเคลือบน้ำยาในห้องครัวซึ่งยังมีสภาพดีพร้อมใช้งานทุกเมื่อ

    “อย่างกับที่พักของพวกขุนนางหรือเชื้อพระวงศ์เลย”

    “ฟากโน้นเป็นพวกชนชั้นล่างหรือไม่ก็ทาสสินะ”

    “เป็นไปได้อยู่” กุห์ฟานเห็นด้วยกับความคิดของนัตสึมิและมิยู

    “ที่สำคัญคือ...ทำไมต้องสร้างของแบบนี้ไว้ใต้ดินต่างหาก”

    ทุกคนคิดตามคำถามของนักดาบมนตราเหมือนถูกชี้นำ

    ในที่สุดแผนที่ของดันเจียนชั้นที่สองก็เสร็จสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ และตำแหน่งลงสู่ดันเจียนชั้นสามก็ปรากฏขึ้นมาให้เห็นบนแผนที่ ตำแหน่งนั้นอยู่ที่ห้องทางขวาสุดของดันเจียนและเป็นห้องที่ใหญ่และหรูหรามากที่สุดด้วยเช่นกัน








    ด้านหลังรูปปูนปั้นอัศวินในชุดเกราะควบม้าชูดาบขนาดเท่าของจริงในห้องนี้มีบันไดใหญ่อยู่ ทั้งที่ตอนแรกที่เข้ามาสำรวจห้องนี้ตรงตำแหน่งนั้นยังเป็นกำแพงก่ออิฐอยู่เลยแท้ๆ

    ดันเจียนชั้นสามเป็นเพียงลานกว้างแห่งหนึ่ง เพียงแต่ลานกว้างแห่งนี้ใหญ่โตโอ่อ่ามาก เก้าอี้แบบมีพนักพิงลดหลั่นเรียงรายนับพันนับหมื่นตัววนไปทั่วทั้งลานกว้างที่น่าจะมีไว้ใช้ในการแข่งขันบางอย่าง

    “ใกล้เคียงกับโคลอสเซียมเลยแฮะ”

    เอเซเพียงแค่เห็นก็สามารถระบุได้ว่าต้นแบบของสิ่งก่อสร้างแห่งนี้บนโลกแห่งความเป็นจริงคือสถานที่ใด

    “ชั้นแรกสุดเป็นด่านทดสอบผู้ที่จะมาเป็นนักสู้ลานประลองใต้ดิน ชั้นที่สองเป็นห้องพักสำหรับผู้ชมและนักสู้ ส่วนชั้นสามก็คือลานประลอง ถ้าคิดแบบนี้ก็ลงตัวพอดี” เสนาธิการของแคลนมัลดิโตยังคงเป็นคนที่เข้าใจสถานการณ์ได้รวดเร็วเช่นเคย

    “แล้วสมบัติที่เขียนไว้บนศิลาจารึกละ?”

    “ก็น่าจะหมายถึงรางวัลสำหรับผู้ชนะเลิศการแข่งขันละมั้ง ตอนนี้ก็หวังไว้แค่ว่าจะไม่ต้องสู้กับตัวอะไรก็พอแล้ว”

    ทากะชี้ไปยังลานกว้างที่มืดมิด “ขอโทษที่ขัดความหวังของทุกคน ตรงนั้นน่ะมีตัวอะไรขนาดใหญ่นอนอยู่แน่ะ”

    ประกายตาสีแดงคู่หนึ่งส่องสว่างในความมืดให้เห็นไกลๆ สามารถสัมผัสเจตนาร้ายที่เรียกกันว่า ‘จิตต่อสู้’ หรือ ‘จิตสังหาร’ ซึ่งแผ่ขยายออกมาจากตรงนั้น เงาตะคุ่มที่เกิดจากร่างกายใหญ่โตขยับเคลื่อนไหวเหมือนรู้ตัวแล้วว่าเหยื่อของมันปรากฏขึ้นแล้ว

    จู่ๆแสงสว่างจ้าจากพาดานสาดส่องลงมาราวกับเป็นสัญญาณเปิดการแข่งขันของลานประลองแห่งนี้ หญิงสาวทั้งสี่ยกมือบังตาไว้เพราะแสงนั้นเกิดขึ้นอย่างกะทันหันจนทำให้ตกใจ

    ‘ตัวอะไร’ ที่ทากะว่าอยู่ตรงกลางลานจริงๆ เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่รู้จะเรียกชื่ออย่างไรดีเพราะมีลักษณะของสัตว์หลายชนิดผสมปนเปกันไปหมดในร่างเดียว – ลำตัวยาวเป็นข้อปล้องแบบตะขาบแต่ขาแปดข้างสี่คู่กลับเป็นขาของแมงมุม ซ้ำมีหางโค้งตวัดขึ้นด้านบนแบบแมงป่อง ส่วนหัวมีเขี้ยวคู่ใหญ่บนขากรรไกรแข็งแรงแบบมด แขนสองข้างเป็นแขนของตั๊กแตน

    น่าจะเรียกว่าเป็นร่างผสมของสัตว์สายพันธุ์แมลงมากกว่า

    นัตสึมิเห็นแล้วเกิดอาการพะอืดพะอมจนต้องยกมือปิดปากทำท่าเหมือนจะอ้วกแม้จะอ้วกไม่ได้จริงๆก็ตาม สาวคนอื่นๆก็มีปฏิกิริยาไม่ต่างกันมากนัก

    “ใครมันออกแบบมอนสเตอร์ตัวนี้วะเนี่ย โคตรจะไร้หัวคิดสิ้นดี” อากิรอสทำหน้าผิดหวังสุดๆ

    “เห็นแบบนั้นแต่มันเป็นบอสระดับแรงค์ดีเลยนะ แหม...มันชื่อว่า ‘แองเจิ้ล’ ด้วยแหละ” เอเซบอกหลังจากใช้แว่นขยายตรวจสอบข้อมูลของสัตว์ประหลาดตัวนั้นแล้ว

    “โวะ! นอกจากออกแบบสิ้นคิดแล้วยังตั้งชื่อได้สิ้นคิดอีกเหรอวะเนี่ย”

    กุห์ฟานเปิดหน้าต่างภารกิจอ่านรายละเอียดแล้วบอกกับทุกคน “ต้องลงไปสู้กับบอสให้ชนะถึงจะจบภารกิจ แต่ลงได้แค่ครั้งละคนในฐานะผู้ท้าชิง ไอ้ตัวนั้นมันเป็นราชาของลานประลองอยู่”

    “ไหงเป็นงั้นวะ?”

    “ไม่รู้เหมือนกันอะพี่เอเซ”

    “หนึ่งต่อหนึ่งกับบอสมันก็หนักหนาเอาการอยู่นะสหายทั้งหลาย แถมเป็นบอสระดับสูงด้วยสิ”

    “งั้นจับไพ่ละกัน ใครแต้มน้อยลงไปสู้ก่อน”

    “พอเถอะสหาย ถ้าจะให้วัดดวงกับพวกนายละก็สู้บอกให้เราลงไปเป็นคนแรกง่ายกว่าเยอะนะ” ทากะตะปบบ่าของเอเซไว้ได้ทันก่อนที่จะล้วงหยิบสำรับไพ่ออกมา

    “งั้นจับไม้สั้นไม้ยาวก็ได้วะ”

    สี่สาวทำหน้าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งว่าพวกเขาจะลงไปสู้กับบอสตัวนั้นจริงๆ “พวกนายจะลงไปสู้จริงๆเหรอ?”

    “ถ้าไม่สู้ก็จบภารกิจไม่ได้นี่นา” นักเวทผมเทาจอมกวนบอกแล้วดึงไม้ออกจากมือเอเซ ตามด้วยทากะและกุห์ฟาน

    ผลจากเสี่ยงดวง...คนที่ได้ไม้สั้นที่สุดคือคนแรกที่หยิบ – อากิรอส คีฟ

    “ว้าว! อะไรจะดวงดีขนาดนี้วะเนี่ย นัตจังช่วยเชียร์นายท่านด้วยล่ะ” เขาขยิบตาให้นัตสึมิหนึ่งที

    “จะช่วยแช่งให้ตายไวๆละไม่ว่า ใช่มะ?” เอเซดันเป็นฝ่ายตัดมุกและหันไปประสานมือกับเธออีกด้วย

    “ใครจะอยู่ใครจะตายพูดตอนนี้ก็เร็วไปนะคุณเอเซ”

    อากิรอสปลดผ้าคลุมสีดำฝากไว้ที่กุห์ฟาน เดินลงไปสู่ประตูเข้าลานประลองด้วยรอยยิ้มที่ไม่รู้ว่าเป็นรอยยิ้มแสดงความมั่นใจหรือว่าเป็นรอยยิ้มโฉดชั่วเจ้าเล่ห์กันแน่ เพื่อนร่วมแคลนทั้งสามต่างนั่งลงเพื่อรอชมการต่อสู้อย่างใจจดใจจ่อ ซึ่งตามลำดับแล้วคนที่ต้องลงไปต่อสู้...หากว่าอากิรอสแพ้พ่าย คือ กุห์ฟาน ตามทากะและเอเซ








    การต่อสู้จะเริ่มต้นขึ้นเมื่อผู้ท้าชิงขึ้นไปยืนบนแท่นวงกลมเล็กๆซึ่งมีสัญลักษณ์เวทมนต์เขียนไว้ ทันทีที่แสงสว่างจากวงเวทสลายไป มอนสเตอร์ยักษ์รูปร่างน่าขยะแขยงปราดเข้าใส่อากิรอสทันที คะเนจากความสูงของมันคงไม่ต่ำกว่าสี่เมตร ความยาวตลอดลำตัวไม่รวมส่วนหางมีเหล็กในน่าจะอยู่ที่สิบเมตรเป็นอย่างน้อย ส่วนเหล็กในสีดำแหลมตรงยาวเกือบเมตรมีรูปร่างใกล้เคียงกับดาบมาก

    ทว่าการโจมตีแรกของบอสกลับกลายเป็นการเปิดฉากที่คาดไม่ถึง...เวทมนต์แห่งอัคคี

    เหล็กในสีดำที่ปลายหางยิงลูกไฟออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

    อากิรอสหลบได้แบบเฉียดๆ เสื้อตรงไหล่ซ้ายแหว่งโหว่ไปพร้อมกับพลังชีวิตที่ลดลงเล็กน้อย เขาโต้กลับด้วยเวทมนต์น้ำแข็ง...สร้างแหลนน้ำแข็งขึ้นกลางอากาศและปล่อยออกไปอย่างรวดเร็วโดยมีเป้าหมายอยู่ที่ตำแหน่งศีรษะของศัตรู

    แขนที่คมกริบของตั๊กแตนตวัดเพียงครั้งเดียวทำให้แหลนน้ำแข็งทั้งหมดแตกกระจายร่วงลงสู่พื้นและสลายไป ร่างกายที่ใหญ่โตปานภูเขาเคลื่อนไหวแคล่วคล่องด้วยขาทั้งแปดขยับเข้าใกล้นักเวทผมเทาในเสี้ยววินาที

    เหตุการณ์ต่อจากนั้นทำให้สี่สาวกรีดร้องด้วยความหวาดเสียวตามๆกันเมื่ออากิรอสออกตัววิ่งลอดใต้ท้องบอสหวุดหวิดจะโดนแขนเคียวตั๊กแตนผ่าร่างอยู่รอมร่อ เมื่ออยู่ในใต้ลำตัวแล้วเขาส่งปลดปล่อยพลังเวทมหาศาลออกจากฝ่ามือ เปลี่ยนให้เป็นเปลวไฟร้อนแรงเผาทำลายตำแหน่งที่ไร้การปกป้องใดๆ

    เสียงร้องแหลมเล็กดังสะท้อนไปทั่วลานกว้าง บอสใช้ขาทั้งแปดเกี่ยวเตะเข้าใต้ท้องเพื่อขับไล่ศัตรูออกมา อากิรอสกลิ้งหลายตลบกับพื้นแล้วพลิกตัวนั่งชันเข่าข้างเดียวและเรียกไม้เท้าคู่ใจออกมาเล็งส่วนหัวไปยัง มวลพลังเวทไหลไปรวมกันและบีบอัดจนถึงจุดวิกฤต เพลิงไฟพุ่งออกไปเป็นลำขนาดใหญ่และบิดเกลียวเพิ่มพลังทะลุทะลวงวิ่งเป็นส้นตรงเข้าหาบอส

    มวลพลังเวทอีกชนิดหนึ่งได้ก่อตัวขึ้นที่ปลายเหล็กในจังหวะเดียวกันและปลดปล่อยออกมาเป็นลมเย็นพร้อมเกล็ดน้ำแข็งจำนวนมหาศาล พลังเวทต่างขั้วปะทะกันและสูญสลายไปโดยไม่มีฝ่ายใดได้รับบาดเจ็บ

    “โวะ! มันจะโกงเกินไปหน่อยแล้วนะเว้ย”

    นักเวทผมเทาสบถเสียงดังพร้อมกับขยับเปลี่ยนตำแหน่งเพราะถูกศัตรูคุกคามด้วยขนาดร่างกายที่แตกต่างกันมาก

    “รับมือยากแฮะ ดูท่าต่อให้ใช้ดาบโจมตีตรงๆก็ถูกแขนทั้งสองข้างป้องกันได้อยู่ดี เกล็ดบนหลังก็ท่าทางจะหนาไม่ใช่น้อย” เอเซตีหน้าเครียดเมื่อเห็นว่าการโจมตีด้วยเวทมนต์แทบไม่มีผลอะไรกับบอสเลย

    ทากะจับตามองการต่อสู้บนลานประลองอย่างไม่กระพริบตา

    “โว้ยๆๆๆๆๆๆๆ”

    อากิรอสยิ่งไปพลางยิงลูกบอลเพลิงไปพลาง แต่เวทมนต์ระดับต่ำสร้างความเสียหายให้บอสได้น้อยนิด กลายเป็นเขาเองที่ถูกทั้งแขนที่โค้งและคมเหมือนเคียวไล่ต้อนโจมตีจนต้องวิ่งหนีเตลิดเปิดเปิง

    “พี่อากิท่าจะแย่แล้ว รีบๆเตรียมชุบชีวิตสิคะ!” มิยูเขย่าแขนเอเซด้วยใบหน้าเหมือนจะร้องไห้ คนถูกเขย่าแขนถอนหายใจเบาๆ

    “ในเขตลานประลองนั่นคนอื่นเข้าไปไม่ได้...นั่นคือยื่นมือไปช่วยเหลืออะไรไม่ได้รวมถึงชุบชีวิตด้วย”

    “หา?” เฟรเทียร์ร้องเสียงหลง “แล้วพวกนายยังปล่อยให้อีตานั่นลงไปสู้อีกเหรอ?”

    “ถ้าผมเป็นคนจับได้ไม้สั้นสุดก็ต้องลงไปเหมือนกัน พวกเราเตรียมใจเอาไว้แบบนั้นในทุกๆการต่อสู้ตั้งแต่แรกแล้วละ” เอเซพูดอย่างไม่กังวลอะไร ระหว่างพวกเขามีเพียงความเชื่อมั่นว่าแต่ละคนมีสติปัญญาเพียงพอที่จะเอาตัวรอดจากสถานการณ์คับขันแบบนี้ได้ และในสมองของทั้งสามคนต่างจินตนาการจำลองการต่อสู้ของตัวเองควบคู่ไปในขณะที่ดูการต่อสู้ไปด้วย

    หากอากิรอสตาย พวกเขามีหน้าที่ลงไปสานต่อสิ่งที่เพื่อนทำไม่สำเร็จ

    นักเวทผมเทาถูกไล่ต้อนจนเหลือพลังชีวิตแค่สามสิบหกเปอร์เซ็นต์ ใช้ความถนัดส่วนตัวผสานเข้ากับข้อได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ของลานกว้างแห่งนี้ วิ่งอ้อมเป็นวงกลมไปตั้งหลักไกลๆแล้วเปิดโพชั่นดื่มยืดเวลาตายออกไปอีกหน่อย

    แองเจิ้ล มอนสเตอร์บอสที่มีชื่อไม่เหมาะกับรูปร่างแม้แต่นิดย่างสามขุมเข้าหาเหยื่อช้าๆ สัตว์นักล่าที่ชาญฉลาดย่อมทำให้เหยื่ออ่อนแรงแล้วเผด็จศึกมากกว่าฆ่าให้ตายในครั้งเดียว

    แต่นั่นเท่ากับเปิดโอกาสให้อากิรอสตอบโต้คืน ระหว่างนิ้วชี้และนิ้วกลางมือขวามีศิลาเวทก้อนหนึ่งถูกหนีบไว้ เขาประสานมือทั้งสองเหยียดแขนออกไปข้างหน้าจนสุด ศิลาเวทแนบประชิดกับไม้เท้าเวทมนต์และเปล่งแสงสว่างร่วมกัน ไอเย็นมหาศาลและกระแสลมแรงปกคลุมไปทั่วทั้งลานกว้างอย่างรวดเร็ว เกล็ดน้ำแข็งก่อตัวหนาแน่นเป็นก้อนใหญ่ ขาทั้งแปดของบอสถูกแช่แข็งหยุดการเคลื่อนไหว มันส่งเสียงร้องและดิ้นรนเพื่อให้หลุดจากพันธนาการ มวลน้ำแข็งเริ่มแตกร้าวเพราะพลังมหาศาล

    จอมเวทแห่งแคลนมัลดิโตหยิบศิลาเวทมนต์ก้อนที่สองออกมา ประจุพลังเวทลงในศิลาเวทก้อนนั้นให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ในเวลาที่เหลืออยู่น้อยนิด ประกายแสงสีแดงทะลักออกมาจากกำปั้นขวาที่ชูอยู่เหนือหัวในตอนนี้

    ขาข้างที่สามทางซ้ายทำลายน้ำแข็งและเคลื่อนไหวเป็นอิสระและดิ้นรนทำลายน้ำแข็งให้ขาข้างอื่น

    “ไม่ต้องรีบไปหรอกน่า”

    อากิรอสฉีกยิ้มมุมปาก เคลื่อนไหวแขนขวาอย่างนุ่มนวลจากไหล่ผ่านศอกไปถึงข้อมือ ปลายนิ้วโป้ง นิ้วชี้และนิ้วกลางส่งผ่านแรงกระทำทั้งหมดไปสู่ศิลามนตราซึ่งส่องสว่างเจิดจ้า ก้อนหินเล็กๆหลุดลอยเป็นอิสระมุ่งไปทางมอนสเตอร์บอสอย่างไร้สิ่งใดขัดขวาง เสียงระเบิดกึกก้องกัมปนาทและแรงสั่นสะเทือนราวกับแผ่นดินไหวระดับแปดริคเตอร์ มวลอากาศแผ่ขยายออกจากจุดศูนย์กลางการระเบิดไปทุกทิศทุกทางพร้อมกับเปลวเพลิงสีแดงเข้มบิดม้วนเป็นรูปดอกเห็ดขนาดใหญ่แผดเผามอนสเตอร์รูปร่างน่าเกลียดน่าขยะแขยง ณ ใจกลางการทำลายล้าง

    ในขณะที่สี่สาวกรีดยิ้มดีใจตีมือกันอย่างร่าเริงเพราะคิดว่าการต่อสู้จบลงแล้ว เงาดำขนาดใหญ่พุ่งผ่าเปลวไฟออกมาอย่างรวดเร็ว เขี้ยวคู่ใหญ่เคลื่อนไหวแบบเดียวกับกรรไกรพุ่งเข้าหากลางอกของอากิรอส เขาระวังตัวอยู่ก่อนจึงหลบได้อย่างฉิวเฉียด แต่แขนเคียวมรณะไล่ตามเกี่ยวคร่าชีวิตเล็กๆอย่างไม่ลดละจนเขาต้องหลบเป็นพัลวันท่ามกลางเสียงกรีดร้องวี้ดว้ายของสาวๆที่ต้องเปลี่ยนอารมณ์กะทันหัน

    ระหว่างการหนีตายของอากิรอส...กุห์ฟานชูสองนิ้วแล้วเปลี่ยนเป็นสี่นิ้วให้เห็นเพียงแค่เอเซและทากะ ความหมายนั้นคือศิลามนตราถูกใช้ไปแล้วสองก้อนเท่ากับมูลค่าสี่หมื่นกิล และดูจากรูปการแล้วไม่น่าจะจบแค่สองก้อนแน่ๆ ทั้งสามเหลือบมองกันด้วยความรู้สึกแบบเดียวกัน งานนี้ขาดทุนป่นปี้เป็นแน่แล้ว

    กำแพงดินหนาๆจากเวทมนต์แห่งปฐพีช่วยป้องกันการโจมตีจากแขนตั๊กแตนไว้ได้และเปิดช่องว่างให้เขาวิ่งหน้าตั้งถอยออกห่างอีกครั้ง ตอนนี้ทั้งเขาและบอสต่างบาดเจ็บด้วยกันทั้งสองฝั่งแต่ทางผู้เล่นค่อนข้างสาหัสกว่า

    “ศิลามนตราอัดพลังเวทยังทำให้บอสบาดเจ็บหนักไม่ได้ เช็คเมตแล้วละ”

    “ยังไม่แน่หรอก” กุห์ฟานไม่เห็นด้วยกับความคิดของรุ่นพี่

    อากิรอสรอจนบอสขยับเข้าหาจนเกือบจะถึงระยะโจมตีของมันแล้ววิ่งหนีไปเกือบจะสุดขอบสนาม หยิบโพชั่นออกมาดื่มฟื้นพลังรอจนบอสเข้ามาใกล้แล้วก็วิ่งหนีอีกครั้งไปที่ขอบสนามอีกฝั่ง ทำแบบนี้อยู่หลายครั้งจนเขาพื้นฟูพลังเวทมนต์จนเกือบเต็มร้อย แต่ดันปล่อยพลังชีวิตเหลือทิ้งไว้ที่ยี่สิบเอ็ดเปอร์เซ็นต์เท่านั้น

    “นิสัยอย่างหมอนั่นไม่ทำอะไรเปล่าประโยชน์ กลับน่าจะวางแผนไว้สองสามชั้นด้วยซ้ำ”

    ทากะบอกกับเฟรเทียร์ที่แสดงความกังวลออกมาทางสีหน้าจนเห็นได้ชัดเจน

    หลังจากไล่ตามศัตรูที่เอาแต่วิ่งหนีวนไปวนมาเป็นเวลานาน มอนสเตอร์บอสที่มีชื่อว่าแองเจิ้ลได้ใช้การจู่โจมพิเศษซึ่งถูกใส่คำสั่งไว้ว่าให้ใช้ต่อเมื่อศัตรูคิดจะหนี เหล็กในสีดำปล่อยสสารสีขาวบางอย่างออกมาด้วยความเร็วเหลือเชื่อ อากิรอสถูกสสารชนิดนั้นกระแทกลอยละลิ่วปลิวไปติดอยู่กับกำแพงลานประลอง

    สสารสีขาวคือใยเหนียวที่มีไว้พันธนาการเหยื่อไม่ให้หลุดรอดไปได้

    อากิรอสถูกหยุดการเคลื่อนไหวได้โดยสิ้นเชิงทำได้เพียงรอคอยความตาย บอสย่างเท้าเข้าหาพร้อมกับขยับเขี้ยวไปมาเกิดเป็นเสียงคล้ายเสียงหัวเราะดีใจที่จะได้ขย้ำเนื้อดื่มเลือดของเหยื่อ

    แต่สีหน้าของคนที่ถูกใยแมงมุมยึดตัวไว้กลับดีใจเหมือนรอคอยให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อยู่แล้ว

    อีกไม่ถึงยี่สิบเมตรก่อนที่บอสจะเดินเข้าไปถึงตัวอากิรอส จู่ๆที่พื้นดินจุดที่บอสยืนอยู่เกิดเป็นแสงสว่างจ้าและมีวงเวทปรากฏขึ้นมา กำแพงแสงได้กักขังมันเอาไว้ภายในไม่ว่าจะดิ้นรนอย่างไรก็ไม่อาจฝ่าออกมาได้ วงเวทนี้ถูกวาดขึ้นตอนที่อากิรอสแกล้งทำเป็นวิ่งหนีถ่วงเวลาด้วยการใช้ปลายไม้เท้าลากไปกับพื้น และความสามารถของวงเวทนี้ไม่เพียงใช้กักขังศัตรูแต่ยังโจมตีศัตรูด้วยพลังทำลายล้างมหาศาลแลกกับปริมาณเอ็มพีที่เหลืออยู่ของผู้ใช้ นอกจากนั้นเขายังแอบหย่อนศิลามนตราไว้บนวงเวทอีกสามก้อนด้วย

    เหลือเพียงแค่นักเวทผมเทาพูดคีย์เวิร์ดออกมาเป็นขั้นตอนสุดท้ายเท่านั้น

    “มนตรามหาอัคคีวินาศ!”

    วงเวทเปล่งแสงรุนแรงและเกิดระเบิดต่อเนื่องสิบสองครั้งติดต่อกัน เกิดพายุเพลิงโหมรุนแรงภายในขอบเขตที่ถูกจำกัดไว้ เปลวไฟสีแดงกลืนกินทุกอย่างจนมองไม่เห็นภายในพร้อมกับเสียงกรีดร้องทรมานของสิ่งมีชีวิตที่ถูกเผาทั้งเป็น








    อากิรอสได้รับอิสระอีกครั้งเมื่อเพื่อนๆลงมาช่วยกันตัดทำลายใยแมงมุมให้

    “โวะ! มันยังไม่ตายอีกเหรอวะ!?”

    บัดนี้...มอนสเตอร์บอสอยู่ในสภาพนอนหงายท้อง ผิวและเนื้อรอบตัวไหม้เกรียมเกิดเป็นกลิ่นเหม็นไหม้รุนแรง แม้พลังชีวิตจะกลายเป็นศูนย์แล้วแต่กลับไม่กลายเป็นผลึกแสงแตกกระจายไปเหมือนเช่นมอนสเตอร์ตัวอื่นๆ

    ร่างโปรงใสเหมือนเป็นภาพโฮโลแกรมของมนุษย์เพศผู้คนหนึ่งปรากฏขึ้นจากร่างของมอนสเตอร์บอส ดูจากชุดและผ้าคลุมที่เขาสวมอยู่ก็พอคะเนได้ว่าน่าจะเป็นจอมเวท เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นจากริมฝีปากใสๆดังให้ได้ยินอย่างชัดเจนเหมือนถูกส่งตรงเข้าสู่สมอง

    “ขอขอบคุณที่ช่วยปลดปล่อยให้เราเป็นอิสระ”

    กุห์ฟานรับหน้าที่เป็นคนสื่อสารกับร่างโปร่งใสนั้น “สวัสดี คุณน่าจะเป็นวิญญาณที่ถูกกักขังอยู่ภายในมอนสเตอร์ตัวนี้...ใช่รึเปล่า?”

    ร่างนั้นพยักหน้าเล็กน้อย

    “นานมาแล้วเราเป็นผู้อัญเชิญที่ลงต่อสู้ในลานประลองแห่งนี้จนกระทั่งเกิดเหตุร้ายไม่คาดฝัน สัตว์เวทที่อัญเชิญมาจากต่างมิติเกิดคลุ้มคลั่งไม่อยู่ในการควบคุม ไล่เข่นฆ่านักรบและสัตว์เวทตนอื่นจนหมดสิ้น...รวมถึงฆ่าเราในฐานะเจ้านายด้วย เมื่อเราตายลงก็ไม่มีใครสามารถอัญเชิญย้อนกลับส่งสัตว์เวทตนนี้กลับสู่มิติเดิมได้ และความแข็งแกร่งของมันก็ไม่มีใครสามารถกำราบได้เช่นกัน เหล่าจอมเวททำได้เพียงผนึกและสะกดให้มันเข้าสู่ห้วงนิทราในสภาพจำศีลเท่านั้น”

    “หน้าที่ของพวกเราคือทำให้เจ้าตัวนั้นกลับสู่มิติเดิมสินะ”

    “ถูกต้องแล้ว ในกลุ่มของท่านมีผู้ใช้เวทมนต์อยู่ด้วยหรือไม่?”

    เมื่ออีกฝ่ายถามหาผู้ใช้เวทมนต์ อากิรอสจึงถูกผลักให้ออกไปยืนคู่กับกุห์ฟานด้วยเท้าขวาของเอเซ

    “ขอเชิญท่านนักเวทช่วยปลดปล่อยให้ทั้งเราและสัตว์เวทตนนี้เป็นอิสระจากพันธนาการของโลกนี้ด้วยเถิด”

    พิธีกรรมอัญเชิญสัตว์เวทย้อนกลับดำเนินไปอย่างเรียบง่าย ในขณะที่อากิรอสท่องมนต์ที่ได้ยินเพียงคนเดียวในหัว ‘แองเจิ้ล’ ถูกห่อหุ้มด้วยวงเวทขนาดใหญ่หลายวง ร่างที่ใหญ่โตหดเล็กลงเรื่อยๆและหายไปในที่สุด เมื่อสิ้นคำขอบคุณจากวิญญาณผู้อัญเชิญที่หายไปพร้อมกัน หน้าต่างแจ้งข้อความภารกิจเสร็จสิ้นได้ปรากฏขึ้นมาให้ทุกคนชื่นชมยินดีพร้อมกับหีบสมบัติขนาดใหญ่เป็นรางวัลแห่งความสำเร็จ
    soulmaster และ taleoftrue ถูกใจสิ่งนี้
  23. Azemag

    Azemag Aze McDowell

    EXP:
    2,368
    ถูกใจที่ได้รับ:
    262
    คะแนน Trophy:
    163
    Grand Gaia Online 30 – Summon!




    ในโลกนี้มีสถานที่แห่งหนึ่งที่มีความตรงข้ามอย่างสุดขั้วในตัวเอง – ทะเลทราย

    ตอนกลางคืนอากาศเย็นจัดต่ำกว่าจุดเยือกแข็งแต่ตอนกลางวันอุณหภูมิพุ่งสูงถึงสี่สิบองศาเซลเซียส เป็นความแตกต่างที่ทำให้ผู้เล่นหลายคนคิดหนักเมื่อรู้ว่าต้องเดินทางผ่านทะเลทราย คนที่มีประสบการณ์มาก่อนต่างเข็ดขยาดกับนรกสองขั้วเช่นนั้น ยอมใช้คริสตัลส่งตัวเองกลับเมืองไปเลย

    แต่ผู้เล่นประเภทนั้นย่อมไม่ใช่ ‘แคลนมัลดิโต’

    ต่อให้ทะเลทรายร้อนร้อนจัดหรือเย็นจัดกว่านี้ เพิ่มระยะทางอีกสามเท่าตัวพวกเขาก็พร้อมจะเดินฝ่าไปด้วยเหตุผลคำเดียวว่า ‘ประหยัด’

    มอนสเตอร์ในทะเลทรายมักอยู่รวมกันเป็นฝูง ฝูงเล็กแปดถึงสิบตัว ฝูงใหญ่มีมากกว่ายี่สิบตัว แต่ไม่ว่าจะมีจำนวนเท่าไรก็ไม่มีความหมายเมื่ออยู่ต่อหน้า ‘ทหารรับจ้าง’ ที่ผู้เล่นส่วนใหญ่ในโลกแกรนด์ไกอาออนไลน์ขนานนามว่า ‘ปีศาจทั้งสี่’ มอนสเตอร์โหดหินไม่ต่างอะไรกับกระต่ายตัวน้อยตามทุ่งหญ้ารอบเมืองในสายตาของพวกเขา

    แต่วันนี้ปีศาจทั้งสี่ตนได้แต่เดินหงอยอยู่ท้ายแถว เนื่องจากถูกสาวๆสั่งไว้ให้อยู่เฉยๆระหว่างที่พวกเธอแข่งกันฆ่ามอนสเตอร์แถมคนชนะยังได้สิทธิ์สั่งสี่หนุ่มตามใจชอบได้หนึ่งครั้งเป็นรางวัลอีกด้วย โดนสั่งอยู่เฉยๆยังไม่เท่าไรแต่ดันกลายเป็นเงื่อนไขของการแข่งขันแบบนี้ก็ต้องหงุดหงิดในใจกันบ้าง

    หมาป่าทะเลทรายตัวสุดท้ายของฝูงถูกนัตสึมิส่งไปเกิดใหม่ด้วยลูกธนูฉาบพลังเวท ตัดหน้าดาบของมิยูที่โจมตีช้ากว่าเพียงนิดเดียว ปกติแล้ว...การแย่งฆ่าจากระยะไกลเป็นเรื่องต้องห้ามระหว่างผู้เล่นด้วยกัน แต่นอกจากมิยูจะไม่โกรธยังยิ้มกลับให้อีกด้วย

    “นัตสึมิยิงแม่นจริงๆเลยนะ โดนเข้ากลางหัวเป๊ะเลย”

    “ก็เธอไล่ต้อนจนมันเปิดช่องว่างให้ต่างหากละ”

    สองสาวแท็คมือกันอย่างรู้ใจ ถึงจะอยู่ระหว่างแข่งสองสาวก็ยังยิ้มแย้มพูดคุยเป็นกันเองได้เหมือนปรกติ

    ทั้งสี่สาวตกลงกันว่าจะเอาจริงเต็มที่ไม่มีออมมือ ไนซ์จึงปลดปล่อยความสามารถทั้งหมดออกมา ประสบการณ์จากสมัยเทสต์เบต้าผสานเข้ากับทักษะดาบคู่ที่ที่เพิ่งได้มาทำให้จำนวนมอนสเตอร์ที่เธอจัดการนำห่างทุกคนไปมากจนยากจะตามทันแล้ว นัตสึมิกับมิยูเลยหันไปประสานโจมตีกันแทน ในขณะที่เฟรเทียร์ยังคงฆ่ามอนสเตอร์ไล่ตามแผ่นหลังของเทรดเดอร์สาวอย่างไม่ยอมแพ้ แต่ท่าทางของนักสำรวจสาวกลับดูสนุกสนานมากกว่า

    “ดูจากความเร็วระดับนี้ คงกลับถึงแบล็กแซนด์ดึกๆหน่อยละนะ” กุห์ฟานเปิดแผนที่ขึ้นมาคำนวณระยะทางที่เหลือเทียบกับตำแหน่งปัจจุบัน

    “ยังไงก็ได้ ทางโน้นเค้าไม่รีบนี่นา” เอเซตอบแบบขอไปที

    “แล้วจะทำยังไงกับไอ้ของสองชิ้นนี้ดี?”

    อากิรอสหยิบไอเท็มสองชิ้นที่ว่าออกมา ไอเท็มชิ้นแรกเป็นม้วนกระดาษสีน้ำตาลมัดด้วยเชือกสีแดงตรงกลาง เป็น ‘ซัมมอนสกอรล’ ใช้อัญเชิญสัตว์เวท ‘แองเจิ้ล’ มอนสเตอร์บอสแรงค์ดีที่อากิรอสปราบได้ ไอเท็มชิ้นที่สองเป็นลูกแก้วโปร่งใสสีม่วงเข้ม ขนาดพอๆกับลูกเทนนิส เมื่อตรวจสอบคุณสมบัติแล้วแสดงผลเป็นข้อความสั้นๆแค่ [อันโนนไอเท็ม] เท่านั้น

    ทั้งสองอย่างเป็นรางวัลจากการคลี่คลายภารกิจในดันเจียนลับใต้ซากเมืองโบราณ หลังจากพวกเขาขึ้นมาจากดันเจียนแล้วก็มีข้อความจากระบบส่งมาแจ้งว่าอีกสี่สิบแปดชั่วโมงให้หลังดันเจียนแห่งนี้จะเปิดใช้งานอย่างเป็นทางการ หลังจากนั้นกุห์ฟานก็วุ่นวายอยู่กับหน้าต่างสนทนานับไม่ถ้วนจาก ‘กุห์ฟานเน็ตเวิร์ค’ ที่ระดมคำถามเข้ามาทั้งคืน เนื่องจากข้อความระบบที่ผู้เล่นคนอื่นได้รับนอกจากข่าวสารเรื่องดันเจียนจะเปิดใช้งานแล้วยังมีรายชื่อของผู้ที่เคลียร์ดันเจียนอยู่ด้วยซึ่งก็คือพวกเขา

    เอเซเสนอความคิด

    “ลูกแก้วนี่ไม่รู้ว่าใช้ทำอะไรก็เก็บไปก่อน ส่วนม้วนกระดาษอัญเชิญเนี่ยขายดีไหม? มอนสเตอร์แรงค์ดีแถมเป็นคลาสบอสน่าจะขายได้หลายตังค์อยู่นะ”

    “ผมไม่เห็นด้วยนะ ถ้าจะขายทิ้งมีแต่ผลเสียทั้งนั้นเลย”

    “ทำไมถึงคิดว่าขายแล้วมีผลเสีย ขอคำอธิบายหน่อยสิไอ้น้องชาย”

    “ผู้เล่นส่วนใหญ่เทไปทางสายต่อสู้อย่างพวกนักดาบกับนักเวท มีส่วนน้อยที่เล่นอาชีพสายเทคนิคโดยเฉพาะอาชีพนักเวทอัญเชิญที่มีน้อยมากๆ ตอนนี้นักเวทอัญเชิญสองร้อยกว่าคนในเกมสังกัดอยู่แคลนเซเลสเทียลครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งอยู่แคลนพันธมิตรของพวกเขา พี่ทากะคิดว่าเราควรจะยื่นกระดาษแผ่นนี้ให้พวกเขาแลกกับเงินรึเปล่า?

    ซารุวาตาริ ทากะ ส่ายหน้า

    “ทางที่ดีผมว่าเราควรเก็บไอเท็มชิ้นนี้ไว้ก่อน จะให้พี่อากิหรือพี่เอเซไปปลดล็อกอาชีพนักเวทอัญเชิญหรือค่อยขายให้คนอื่นที่เราไว้ใจได้ก็ค่อยว่ากัน”

    ไม่มีใครปฏิเสธเหตุผลของเสนาธิการประจำแคลน ข่าววงในและรายละเอียดปลีกย่อยต่างๆคงไม่มีรู้มากไปกว่าหมอนี่อีกแล้ว

    “จริงแล้วไม่ต้องเป็นนักเวทอัญเชิญก็ใช้ไอเท็มนี่ได้แต่มีโอกาสที่สัตว์เวทจะหลุดการควบคุม ถ้าสัตว์เวทถูกผู้เล่นคนอื่นปราบได้เท่ากับสูญเสียสิทธิ์ในสัตว์เวทตัวนั้นให้คนที่ปราบได้ไปเลย” ทากะบอกข้อมูลที่มีแต่เขาจึงจะมองเห็นในฐานะนักสำรวจเท่านั้น

    “ยังไงอาชีพนักเวทอัญเชิญก็ต้องควบคุมสัตว์เวทได้ดีกว่าอยู่แล้วละ” อากิรอสโยนซัมมอนสกรอลให้ลอยม้วนในอากาศ แต่เอเซชิงคว้าไว้ได้ก่อนที่จะตกถึงมืออากิรอส

    “แต่ไอ้ตัวนี้มันน่าเกลียดเกินกว่าจะอัญเชิญออกมาให้ชาวบ้านชาวช่องเห็นหน้านะ ขนาดสาวๆฝั่งเราที่ว่าแน่ๆยังโบกมือยอมแพ้ไม่อยากได้เลย”

    นักเวทผมเทาชิงม้วนกระดาษกลับไป “มันคงไม่ได้ออกมาจากกระดาษแผ่นนี้หรอก”

    พักกินมื้อกลางวันตอนก่อนเที่ยงนิดๆท่ามกลางอากาศร้อนจัด เหลือระยะอีกประมาณยี่สิบห้ากิโลเมตรจะถึงเมืองแบล็คแซนด์ สามารถเดินเท้าไปถึงได้ภายในห้าชั่วโมงหากเร่งเต็มที่ แต่เมื่อสี่สาวพร้อมใจกันวิ่งเข้าหามอนสเตอร์ทุกฝูงทำให้ระยะทางที่เดินได้ในแต่ละชั่วโมงน้อยกว่าที่ควรจะเป็น ถึงอย่างนั้นพวกเธอก็ไม่กังวลเรื่องจะไปถึงเมืองช้าแม้แต่น้อย

    เฟรเทียร์ใช้สกิลค้นหาจนพบมอนสเตอร์ตัวหนึ่งซ่อนตัวอยู่ใต้ทรายห่างออกไปทางซ้ายมือแล้วแล้วลากเพื่อนสาวทั้งสามให้ไปด้วยกันอย่างรวดเร็ว

    โชคดีของพวกเธอหมดไปเมื่อดันไปยุ่งกับมอนสเตอร์ที่ไม่ควรยุ่งด้วย

    ‘มังกรปากจระเข้’ สังกัดเผ่ามังกรสายพันธุ์เลื้อยคลาน ขาทั้งสี่อัดแน่นด้วยกล้ามเนื้อทรงพลัง สูงเกือบสองเมตร ส่วนหัวมีลักษณะคล้ายจระเข้ ปากแบนยาวเต็มไปด้วยเขี้ยวคมกริบ ดวงตาขนาดใหญ่ปูดโปนออกมานอกเบ้าตา เขาสีทรายยาวโค้งออกมาด้านหน้าแบบเดียวกับเขากระทิง

    หางของมังกรปากจระเข้โจมตีด้วยความเร็วเหมือนตวัดแส้ ทั้งสี่สาวถูกหวดลอยละลิ่วแม้แต่ไนซ์ที่มีปฏิกิริยาตอบสนองไวที่สุดยังกระโดดหลบไม่พ้น พลังชีวิตของพวกเธอถูกลบหายไปทันทีกว่าครึ่ง ตอนนี้ระดับฝีมือของทั้งสี่สาวแข็งแกร่งพอที่จะสู้กับมอนสเตอร์ในระดับแรงค์เอฟได้ทุกระดับแล้ว แต่ถ้าเทียบกับแรร์มอนสเตอร์หรือมินิบอสยังถือว่าพวกเธอด้อยกว่าขั้นหนึ่ง แถมมังกรปากจระเข้ยังเป็นมินิบอสของแรงค์อีอีกด้วย

    ก่อนที่มินิบอสเผ่ามังกรจะได้จู่โจมซ้ำ เสาดินสองแท่งทะลวงพื้นทรายขึ้นมาจากใต้ตัวของมัน ร่างใหญ่โตถูกกระแทกลอยขึ้นกลางอากาศอย่างง่ายดาย กุห์ฟานและทากะวิ่งตัดกันที่ด้านหน้าของศัตรูได้ตรงจังหวะที่มันตกลงมา ประกายแสงสีฟ้าจากดาบคาตะนะตัดทะลุเกล็ดด้วยความคมระดับสุดยอด กุห์ฟานแทงมีดสีดำแทงซ้ำลงในแผล บิดข้อมือคว้านเนื้อก้อนใหญ่ให้หลุดกระเด็นตามมา

    แหลนน้ำแข็งเสียบทะลวงคอของมังกรปากจระเข้เข้าที่แผลพอดิบพอดี พลังเวทภายในแหลนน้ำแข็งส่งผลให้เลือดและเนื้อตรงนั้นกลายเป็นน้ำแข็งไปด้วย สายฟ้าสายหนึ่งจากดาบเคลย์มอร์พุ่งออกไปที่แหลนน้ำแข็งราวกับเป็นสายล่อฟ้า ส่วนหัวของมินิบอสระเบิดกระจุยกลายเป็นเศษเนื้อกระจายไปทั่ว

    ร่างกายที่เหลือแต่ส่วนคอเปล่งแสงสีรุ้งและแตกสลายไป สี่สาวได้แต่นอนตะลึง มอนสเตอร์ระดับมินิบอสของแรงค์อีถูกจัดการลงภายในเวลาไม่ถึงยี่สิบวินาที

    “เอาละสาวๆ ได้เวลาบอกลาเกมแข่งกันฆ่าแล้วนะ ถ้าไม่รีบเดินทางเดี๋ยวจะค่ำมืดซะก่อนถึงตอนนั้นจะลำบากยิ่งกว่านี้อีกนะ” กุห์ฟานบอก เข้าไปประคองไนซ์ให้ลุกขึ้นยืนด้วยแววตาดุๆ แต่นัยน์ตาสีแดงอ่อนคู่นั้นก็แฝงความห่วงใยอยู่ไม่น้อยเช่นกัน

    อากิรอสเข้าไปอุ้มนัตสึมิขึ้นขี่หลังโดยไม่สนใจเสียงโวยวายประท้วง โชคดีที่เธอขยับตัวไม่ได้นอกจากส่งเสียงดังไม่อย่างนั้นเขาคงถูกข่วนจนหน้าลายไปแล้ว หญิงสาวอีกสองคนได้รับการช่วยเหลือเช่นกัน เฟรเทียร์เลี่ยงไปมองทางอื่นไม่สบตาทากะตรงๆ ในขณะที่มิยูได้แต่ยิ้มเขินๆและกระซิบขอบคุณเอเซ












    เมื่อสมาชิกแคลนมัลดิโตออกนำหน้าทำให้เวลาในการต่อสู้หดสั้นลง เมื่อดวงอาทิตย์จมหายใต้ภูเขาทรายที่ปลายขอบฟ้าไปแล้วครึ่งหนึ่ง ทหารรับจ้างและนายจ้างก็อยู่ไม่ไกลจากเมืองแบล็กแซนด์ แนวกำแพงเมืองมองเห็นอยู่ลิบๆ ระยะทางเหลืออีกไม่กี่กิโลเมตรเท่านั้น

    แต่...มีคนกลุ่มหนึ่งยืนขวางปิดทางไปต่อของพวกเขา

    เอเซบอกให้สี่สาวถอยไปอยู่ด้านหลัง เขาและทากะยืนคั่นเป็นกันชนไว้ก่อนเพราะดูแล้วยังไงทางโน้นมาด้วยเจตนาไม่ดีอยู่แล้ว ปล่อยให้อากิรอสและกุห์ฟานออกหน้าไปคุยแทน

    ชายร่างสูงมีเส้นผมสีส้มเดินออกจากกลุ่มคนฝั่งโน้น เขาสวมเสื้อหนังสีน้ำตาล ปักสัญลักษณ์มังกรสามเขาไว้ที่แขนเสื้อทั้งสองข้าง

    “ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรเหรอครับ”

    อากิรอส คีฟ ถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ อีกฝ่ายทำหน้าประหลาดใจกับคำพูดที่ผิดไปจากที่คาดไว้

    “เมื่อหลายวันก่อน...พวกคุณได้ล่วงล้ำพื้นที่เฉพาะสิทธิ์ของพวกเราน่ะครับ”

    อากิรอสคิดอยู่แล้วว่าต้องเป็นเรื่องนี้ตั้งแต่เห็นสัญลักษณ์ประจำแคลนที่อกซ้ายของคู่สนทนา แต่เขาแกล้งเอียงคอ กลอกตาไปมาเหมือนไม่แน่ใจในเรื่องที่อีกฝ่ายพูด “เอ...หลายวันก่อนพวกเราอยู่ที่เมืองเวเนสนะ เป็นเรื่องเข้าใจผิดอีกแล้วรึเปล่าครับ”

    ถ้าหัวเราะได้...เอเซคงขำก๊ากเสียงไปแล้วที่เพื่อนของเขาตอแหลแบบหน้าด้านๆ

    ในบรรดาก๊วนหญิงมีเพียงมิยูและไนซ์ที่พอจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เทรดเดอร์สาวตัดสินใจคุยกับเฟรเทียร์และนัตสึมิผ่านช่องทางเฉพาะเพื่อน ให้พวกเธอเตรียมตัวรับมือกับการต่อสู้ที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อถึงแม้จะรู้ดีอยู่แล้วว่าผู้ชายทั้งสี่คนจะไม่ยอมให้เกิดอะไรขึ้นกับพวกเธอก็ตาม

    “เป็นเมื่อสิบสี่วันก่อน สองวันหลังจากพวกคุณพักค้างคืนนอกเมืองแบล็กแซนด์ระหว่างไปเมืองเวเนสครับ”

    “สิบสี่วันก่อน...สิบสี่วันก่อน สองวันหลังจากค้างนอกเมืองแบล็กแซนด์ นายพอจะนึกอะไรออกมั่งไหมกุห์ฟาน?”

    “อ่า...น่าจะเป็นตอนบ่ายโมงนิดๆรึเปล่านะ ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันนะพี่อากิ”

    อีกฝ่ายพอจะรู้ตัวว่าถูกถ่วงเวลาจึงตอบกลับทันที “ใช่ครับ บ่ายโมงสิบเจ็ดนาที”

    “อ๋อ! งั้นน่าจะเป็นตอนนั้นนี่เอง พวกผมไม่ได้ตั้งใจจะรุกล้ำพื้นที่หรอกนะครับ พวกเราฝ่าพายุทรายมาครั้งหนึ่งแล้วพายุอีกลูกกำลังพัดมาพอดี เพื่อนผู้หญิงของพวกเราหมดแรงไปต่อไม่ไหวแล้วพวกเรารีบร้อนเกินไปก็เลยต้องหนีเข้าไปในพื้นที่นั้นก่อนน่ะ พอเข้าไปแล้วก็ถูกมอนสเตอร์ไล่ล่าจนต้องถอยออกมาไม่ได้เลยตัดสินใจฝ่าออกไปอีกทางน่ะ”

    อากิรอสเดินเข้าไปยกมือป้องปากพูดให้ตัวแทนแคลนเซเลสเทียลได้ยินคนเดียว “มีสาวคนหนึ่งในกลุ่มเป็นคนสำคัญของหัวหน้าแคลนด้วย หวังพวกพวกพี่ๆจะพอเข้าใจนะ”

    ต่อให้กระซิบเบาแค่ไหนทากะและเอเซก็ยังได้ยินบทสนทนาอยู่ดี ดีที่ทากะกระทุ้งศอกให้ไม่ให้เอเซหลุดขำได้ทันไม่งั้นอีกฝ่ายจะจับพิรุธได้ก่อน

    “ผมเข้าใจครับ ที่มาวันนี้ก็เพื่อแจ้งว่าสมาชิกทั้งหมดตัดสินใจอย่างไรต่อเรื่องที่เกิดขึ้น”

    “ไม่มากันเยอะไปหน่อยเหรอ” กุห์ฟานหรี่ตาถามกลับ

    “อ้อผมลืมบอกไปเลย ผมชื่อบัลลาร์ด มีตำแหน่งเป็นกัปตันในแคลนครับ”

    “ว้าว! งั้นก็ระดับเดียวกับคุณดับเบิลฮาร์ทเลยน่ะสิเนี่ย เก่งจังเลยนะครับ”

    “ขอบคุณที่ชมครับแต่ผมว่าอย่าเพิ่งเปลี่ยนเรื่องเลยดีกว่า”

    จอมเวทผมเทาฉุกคิดในใจว่า...บัลลาร์ดคงถูกกลอเรียส อัลดิมัส แนะวิธีพูดเจรจาต่อรองมาอย่างแน่นอน เพราะทั้งรูปแบบและคำพูดนั้นคล้ายคลึงกันมาก

    “พวกคุณคงรู้อัตราค่าตอบแทนในการใช้พื้นที่เฉพาะอยู่แล้วนะครับ”

    “เผอิญผมเป็นพวกความจำไม่ดี ช่วยแจ้งอีกครั้งได้ไหมน่ะ”

    บัลลาร์ดนิ่งไปชั่วอึดใจเมื่อเห็นอากิรอสแกล้งโง่ต่อหน้าต่อตา

    “พวกคุณใช้เวลาในพื้นที่ทั้งหมดหกชั่วโมงสี่สิบหกนาที...ก็เท่ากับเจ็ดชั่วโมง คิดชั่วโมงละหนึ่งพันกิลคูณด้วยแปดคน รวมเป็นเงินห้าหมื่นหกพันกิล

    “เยอะจัง...ลดหน่อยไม่ได้เหรอ? ผ่อนจ่ายเป็นสี่สิบแปดเดือนได้ไหม?”

    “ลดไม่ได้หรอกครับรวมถึงผ่อนจ่ายก็ไม่ได้เช่นกัน นี่เป็นกฎที่เราประกาศไว้ในทุกเมืองแล้ว ผู้เล่นกลุ่มอื่นที่ล่วงล้ำพื้นที่ก็จ่ายในอัตรานี้มาตลอด”

    กุห์ฟานเปิดหน้าต่างไอเท็มและหมุนรายชื่อไอเท็มไปให้บัลลาร์ดดู “พวกผมไม่มีเงินมากขนาดนั้นหรอกนะ เอายังงี้ละกันนะพี่ชายบัลลาร์ด...ผมขอคืนไอเท็มที่ได้จากการต่อสู้ในพื้นที่นั่นคืนให้หมดทุกชิ้นเลย รับรองว่าไม่มีแอบอมไว้แม้แต่ชิ้นเดียวแน่นอน”

    “ขอโทษด้วยนะครับ มติของสมาชิกทุกคนคือทำตามกฎชดใช้ด้วยเงินไม่ใช่ไอเท็มใดๆ” น้ำเสียงของกัปตันแห่งแคลนเซเลสเทียลบ่งบอกว่ายังไงก็ไม่มีทางผ่อนปรนให้

    “ในเมื่อพวกคุณยืนกรานความคิด ไม่มีความยืดหยุ่นให้เหตุผลของกันและกันแล้วจะมาที่นี่เพื่อคุยทำไม ถ้าตัดสินใจแบบนั้นไปแล้วก็ส่งข้อความเป็นจดหมายแจ้งหนี้มายังดีกว่าซะอีก” อากิรอสยักไหล่แล้วหันไปทางกุห์ฟาน รุ่นน้องก็ยักไหล่กลับ

    “พวกผมยังมีธุระต้องทำอีกเยอะ ขอตัวละกัน”

    ทั้งสองคนตั้งท่าจะเดินไปรวมกลุ่มกับทากะและเอเซ แต่เสียงดึงดาบออกจากปลอก เสียงสายโซ่ของกระบองสองท่อน เสียงเสียดสีของถุงมือหนังกับสนับมือเหล็ก ทำให้พวกเขาหันกลับมาเผชิญหน้ากับบัลลาร์ดและสมาชิกแคลนเซเลสเทียลอีกห้าสิบห้าคนที่อยู่ด้านหลัง

    “ไม่ทราบว่า...ตั้งใจจะทำอะไรถึงต้องเตรียมอาวุธครบมือแบบนั้น หรือว่าแถวๆนี้จะมีบอสเกิดเลยจะแวะสู้เป็นของแถมด้วยเลย?” แม้น้ำเสียงของอากิรอส คีฟ จะสุภาพแต่แววตาของเขากลับแข็งกร้าวจนน่ากลัว จ้องไปที่กัปปตันของเซเลสเทียลอย่างตรงไปตรงมา

    บัลลาร์ดถอนหายใจ “ที่จริงผมก็ไม่อยากทำแบบนี้...แต่มติอีกข้อคือถ้าพวกคุณไม่จ่ายเงินชดใช้ให้ภายในวันนี้ พวกผมทั้งหมดต้องสู้กับพวกคุณแม้ว่าจะทำให้กลายเป็นอาชญากรก็ตาม”

    “คิดจะเชือดไก่ให้ลิงดู...ผู้เล่นคนอื่นจะได้ไม่กล้าทำตามพวกเราหรือขัดขวางแคลนของพวกคุณในทางอื่นด้วยสินะ”

    กัปตันของเซเลสเทียลถอนหายใจอีกครั้ง “แล้วแต่จะคิดครับ วันนี้ไม่สู้ยังไงวันหน้าก็ต้องสู้อยู่ดี”

    “งั้นจะรออะไรอยู่อีกละ? เข้ามาเลยสิ!”

    คำพูดที่แฝงด้วยความมั่นใจดังมาจากด้านหลัง คนที่ตอบรับคำท้าคือเอเซ แมคโดเวล

    กุห์ฟานหันไปมองกลุ่มสี่สาวก็เห็นพวกเธอถอยห่างออกไปอีกและอยู่ในสภาพพร้อมต่อสู้แล้วเช่นกัน

    แรงกดดันเกิดขึ้นกับทางฝั่งสมาชิกแคลนเซเลสเทียล ฝีมือและความแข็งแกร่งของนักดาบเวทผู้เหี้ยมโหดยังติดตรึงในความทรงจำครั้งการต่อสู้ที่เมืองบลูเพิร์ล แถมยังทากะที่ฝีมือทัดเทียมกับรองหัวหน้าแคลนอย่างไวโอเล็ตแซฟไฟร์อีกด้วย ยังไงพวกเขาประมาทก็ไม่ได้แม้จะเหนือกว่าในด้านจำนวนก็ตาม

    “เอ้า! ทำไมไม่เข้ามาละ?”

    เอเซหักนิ้วเกิดเสียงข้อกระดูกลั่น เดินออกไปประจันหน้ากับบัลลาร์ดในระยะห่างเพียงแค่ห้าเมตร เป็นระยะที่สั้นมากสำหรับการลงมือจู่โจมในพริบตา

    “เลี่ยงการต่อสู้ไม่ได้หรือครับ?”

    “ป่านนี้แล้วจะยังพูดเรื่องนั้นทำไมกันในเมื่อพวกนายเตรียมใจจะมาต่อสู้ตั้งแต่ต้น ยังไงก็รู้อยู่แล้วนี่ว่าทางนี้ไม่มีทางหาเงินเยอะขนาดนั้นมาจ่ายได้ในทันที”

    “พวกคุณไม่มีเงินจริงๆเหรอ? เป็นทหารรับจ้างนี่น่าจะมีรายได้งามเลยนะ?”

    เอเซ แมคโดเวล ถอนหายใจและส่ายหน้า เรียกหน้าต่างออกมาแล้วตั้งค่าอะไรบางอย่างเสร็จแล้วโยนแว่นขยายให้อีกฝ่าย

    “ดูเอาเองละกันว่าผมเป็นมหาเศรษฐีตามที่คิดรึเปล่า”

    บัลลาร์ดใช้แว่นขยายตรวจสอบตามที่อีกฝ่ายบอก

    ชุดที่เอเซใส่อยู่เป็นเพียงชุดพื้นฐานแรงค์เอฟที่นำไปอัพเกรดพลังป้องกันให้สูงขึ้นจนถึงระดับสูงสุด มีเพียงดาบเคลย์มอร์เท่านั้นที่เป็นอาวุธแรงค์อีซึ่งระบุไว้ว่าเป็นไอเท็มจากเทสต์เบต้า ไม่มีไอเท็มสวมใส่ชิ้นใดมีมูลค่าเลยแม้แต่ชิ้นเดียว

    “รู้แล้วใช่ปะ? งั้นจะเริ่มได้ยัง?”

    “สหายเอเซใจร้อนเป็นเด็กอายุสิบห้าไปได้” ทากะเดินเข้ามาตบบ่าพร้อมกับลากตัวอากิรอสมาด้วยในสภาพกึ่งกอดกึ่งล็อกคอ

    “สหายเอเซคงลืมไปแล้วว่ามีคนพูดไว้ว่าจะรับผิดชอบปัญหาที่ตามมาทุกอย่างด้วยตัวคนเดียวอยู่นะ”

    เอเซปล่อยมือจากด้ามดาบ ทุบกำปั้นขวาลงกับฝ่ามือซ้ายเลียนแบบท่าประจำตัวของทากะ “เออว่ะ”

    อากิรอสทำหน้าเซ็งๆ “พวกนายจะให้เราไปสู้กับห้าสิบคนฝั่งโน้น?”

    “ก็นายรับปากแล้วไงว่าจะรับผิดชอบเองทุกกรณี”

    “ก็ได้ๆ งั้นพวกนายถอยไปนั่งเล่นไพ่รอได้เลยตรงนี้ให้เราจัดการเอง” นักเวทผมเทาแกะมือทากะออก กระชับผ้าคลุมสีดำแล้วหมุนคอหมุนไหล่ทำท่าวอร์มอัพร่างกาย

    “เอางี้ละกันนะคุณบัลลาร์ดแอนด์สตาร์ทเตอร์ กระทืบเพื่อนผมเสร็จเมื่อไรค่อยมากระทืบพวกผมต่อละกัน”

    เอเซผลักหลังอากิรอสแรงจนอีกฝ่ายเกือบหน้าคะมำจากนั้นถอยไปรวมกลุ่มกับสาวๆ พอเฟรเทียร์รู้ว่าอากิรอสต้องสู้คนเดียวก็ไม่ยอมจะเข้าไปช่วยแต่ทากะห้ามไว้และบอกว่าเรื่องนี้อากิรอสรับปากไว้แล้วต้องปล่อยให้เขาจัดการเอง












    อากิรอสยืนอยู่เฉยๆให้อีกฝ่ายลงมือ ครั้งแรกดาบโจมตีลงมาติดกำแพงโปร่งใสของระบบป้องกัน ‘เพลย์เยอร์คิลเลอร์’ เมื่ออีกฝ่ายไม่สนใจต่อคำเตือนสถานะอาชญากรและลงมือซ้ำอีกหน นักเวทผมเทาเบี่ยงตัวหลบเล็กน้อยให้ปลายดาบเฉี่ยวไหล่ไป เมื่ออีกฝ่ายติดสถานะอาชญากรแล้วเขาจึงตอบโต้กลับด้วยการอัดลูกบอลเพลิงใส่หน้าในระยะประชิด ผู้เล่นคนนั้นลงไปดิ้นทุรนทุรายทันที

    “เอ้า! เข้ามาให้หมดนั่นน่ะแหละ” นักเวทผมเทาชูนิ้วกลางแล้วกระดิกกวักท้าทาย

    ผู้เล่นฝ่ายเซเลสเทียลที่เหลือกรูเข้าหาอากิรอสยกเว้นแต่บัลลาร์ด ลูกบอลไฟหลายลูกถูกปล่อยจากมือโจมตีผู้เล่นที่แห่เข้ามาเหมือนฝูงหมาในออกล่าเหยื่อ แม้จะมีคนถูกโจมตีล้มลงไปบ้างแต่คนที่เหลือรีบกระจายออกจนล้อมเป้าหมายไว้ได้ในที่สุด ฝ่ายที่ล้อมอยู่ไม่ผลีผลามลงมือ เพียงแต่บีบระยะให้หดลงเรื่อยๆสร้างแรงกดดันให้คนที่ถูกล้อมทีละเล็กทีละน้อย

    อากิรอส คีฟ กลับเผยรอยยิ้มในสถานการณ์เช่นนี้ กลายเป็นฝ่ายเซเลสเทียลทั้งห้าสิบห้าคนถูกบลัฟกลับด้วยรอยยิ้มนั้น ต่างคนต่างเหลือบมองกันว่าจะทำยังไงต่อดี

    “ทำอะไรอยู่!? บุกเข้าไปสิ!”

    เสียงตะโกนของบัลลาร์ดทำให้ลูกทีมหลุดออกจากภาวะลังเล เจ็ดคนที่ล้อมอยู่วงในวิ่งเข้าหาอากิรอสพร้อมกัน นักเวทผมเทารอจังหวะนี้อยู่แล้วก้มลงใช้ฝ่ามือซ้ายแตะพื้นทรายถ่ายทอดพลังเวทมนต์ลงไป แม้เขาจะไม่ชำนาญเวทแห่งสายลมเหมือนเอเซแต่ก็เพียงพอที่จะสร้างพายุหมุนขึ้นมาได้ลูกหนึ่ง กระแสลมทำให้ทรายคลุ้งขึ้นมาบดบังสายตาของกลุ่มคนที่ล้อมอยู่ ช่องว่างเพียงพริบตาทำให้อากิรอสวิ่งสุดฝีเท้าแหวกวงล้อมออกมาไปยืนผิวปากอย่างอารมณ์ดี ทั้งห้าสิบห้าคนเหมือนถูกหยามหน้าโดยตรง ความโกรธพลุ่งพล่านขึ้นมา ต่างคนต่างพุ่งเข้าหาเป้าหมายด้วยอารมณ์เดือดดาลถึงขีดสุด

    คราวนี้อากิรอสเรียกไม้เท้าออกมาใช้งาน เป็นไม้เท้าที่มีคุณสมบัติลดเวลาในการร่ายเวทมนต์ ระยะห่างระหว่างเขากับผู้เล่นแคลนเซเลสเทียลมีประมาณสิบเมตร ระยะแค่นี้ทำให้เขามีเวลาร่ายเวทไฟระดับต่ำสุดเพื่อโจมตีสกัดถ่วงเวลาได้ เมื่อระยะห่างระหว่างหนึ่งคนกับห้าสิบคนหดเหลือเพียงแค่สองเมตร มนต์เยือกแข็งระดับสูงที่อากิรอสอดทนร่ายอย่างใจเย็นก็จบพอดี

    “ฟรอสต์แลนด์!”

    ไอเย็นระดับจุดเยือกแข็งก่อกำเนิดน้ำแข็งผืนใหญ่แช่แข็งขาของผู้เล่นห้าสิบคนในพริบตา อากิรอสชาร์จพลังเวทไว้ที่ไม้เท้าเตรียมใช้มนต์สายฟ้าจัดการทั้งห้าสิบคนพร้อมกัน

    “แอคทีฟ!”

    คริสตัลสีแดงในมือของบัลลาร์ดระเบิดออก น้ำแข็งที่เกิดจากพลังเวทมนต์ของอากิรอสถูกทำให้หายไปด้วยพลังของคริสตัล ทั้งห้าสิบห้าคนถูกปลดปล่อยจากมนต์น้ำแข็งพันธนาการและโจมตีอากิรอสที่ตั้งสมาธิกับการร่ายเวทมนต์จนตอบสนองช้าลง สถานการณ์ได้เปรียบเสียเปรียบพลิกกลับ สารพัดอาวุธถูกประเคนให้นักเวทจอมกวนบั่นทอนพลังชีวิตของเขาไปเรื่อยๆ

    กุห์ฟานมองอย่างทึ่งๆที่บัลลาร์ดใช้ ‘ดิสเปลคริสตัล’ ลบล้างผลจากเวทมนต์ซึ่งเป็นไอเท็มหายากราคาแพงโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย

    ก่อนที่อากิรอสจะถูกฆ่าหมกทราย ลูกบอลไฟขนาดใหญ่ร่วงจากท้องฟ้าลงกลางวงต่อสู้ เกิดระเบิดรุนแรงทำให้จังหวะและรูปขบวนของฝ่ายเซเลสเทียลชะงักไปอึดใจ ทำให้นักเวทจอมกวนรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิดยื้อชีวิตจากช่วงเวลาวิกฤตมาได้

    สมาชิกแคลนเซเลสเทียลที่ไม่บาดเจ็บสลับขึ้นมาเป็นแนวหน้าให้เพื่อนที่บาดเจ็บถอยไปฟื้นฟูพลัง ตอนนี้อากิรอสถูกล้อมไว้อีกครั้งแถมแผนการต่อสู้แบบเดิมก็ใช้ไม่ได้ เมื่อมีบัลลาร์ดคอยซัพพอร์ทอยู่วงนอกแบบนี้การใช้มนต์น้ำแข็งหยุดการเคลื่อนไหวถูกปิดผนึกอย่างสมบูรณ์แบบ แถมยังไม่รู้อีกว่าอีกฝ่ายมีไอเท็มแบบไหนเตรียมไว้อีกด้วย

    ที่จริงแผนรับมือของอากิรอส คีฟ ยังมีอยู่อีกหลายแผน ที่เขาเลือกทำสิ่งที่เขาเพิ่งคิดได้สดร้อนๆ จอมเวทแห่งแคลนมัลดิโตแสยะยิ้มกว้าง หยิบ ‘ซัมมอนสกอรล’ ขึ้นมา แม้จะไม่รู้ว่าสิ่งที่อีกฝ่ายจะใช้คืออะไรแต่การปล่อยให้อีกฝ่ายตั้งตัวได้ไม่ใช่เรื่องที่ดีในการต่อสู้ ทั้งห้าสิบห้าคนพร้อมอาวุธครบมือจึงเป็นฝ่ายชิงลงมือก่อน

    เชือกแดงถูกปลดออก พริบตานั้นเขารู้สึกว่าม้วนกระดาษมีแรงดึงดูดเกิดขึ้น เอชพีและเอ็มพีของเขาถูกสูบหายหนึ่งในห้าทันที และมีเสียงหนึ่งดังขึ้นในหัวของเขา

    “จงขานชื่อของเรา จงเรียกชื่อของเรา”

    เขารู้ดีว่าปรากฏการณ์นี้หมายถึงอะไร มือขวาชูม้วนกระดาษที่คลี่ออกจนสุดแล้วเปล่งเสียงตะโกน

    “ในนามแห่งข้า อากิรอส คีฟ! แองเจิ้ลจงปรากฏตัว”

    เกิดห้วงบรรยากาศบิดเบี้ยวกลายเป็นบาเรียป้องกันรอบตัวเขา และ ‘สิ่งมีชีวิตบางอย่าง’ ได้ปรากฏตัวขึ้นจากศูนย์กลางบรรยากาศบิดเบี้ยว รูปกายใหญ่โตมโหฬาร ขาแปดข้างมีขนสากๆปกคลุมเหมือนขาแมงมุม หางยาวมีเหล็กในสีดำแบบแมงป่อง เขี้ยวใหญ่ของมดและแขนเหล็กกล้าคมกริบดุจเคียวของยมทูต

    ร่างนั้นน่าเกลียดและอัปลักษณ์ไม่เหมาะสมกับชื่อ ‘แองเจิ้ล’ แม้แต่ส่วนเดียว

    ทั้งห้าสิบหกคนต่างตกตะลึงนิ่งงัน การอัญเชิญสัตว์เวทในระดับสูงเป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย แม้แต่นักเวทอัญเชิญที่เก่งที่สุดในแคลนเซเลสเทียลยังไม่สามารถอัญเชิญสัตว์เวทในระดับนี้มาได้

    “จงบัญชา”

    นักเวทผมเทายิ้มกริ่มเพราะในใจก็คิดเผื่อไว้ว่าหากอัญเชิญออกมาแล้วควบคุมไม่ได้คงเป็นเรื่องน่าเสียดายแย่ แต่เมื่อสัตว์เวทเป็นฝ่ายร้องขอคำสั่งแบบนี้ก็แสดงว่ามันยังเชื่อฟังเขาอยู่

    “ในนามแห่งข้า อากิรอส คีฟ ข้าขอบัญชาให้บดขยี้ศัตรูทั้งหมดให้สิ้นซากอย่าให้เหลือแม้แต่คนเดียว”

    สมาชิกแคลนเซเลสเทียลเกือบครึ่งหมดสิ้นซึ่งความกล้า หันหลังกลับวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต อีกครึ่งที่เหลืออยู่ตะโกนปลุกใจข่มความกลัวแล้วเข้าต่อสู้กับสัตว์เวทอย่างลืมตาย

    ไม่ว่าจะเป็นดาบ หอก กระบองหรืออาวุธใดก็ไม่อาจทำอันตรายสัตว์เวทระดับบอสได้เลย แม้แต่อาวุธทรงพลังทำลายล้างและแข็งแกร่งเป็นอันดับต้นๆในทำเนียบอาวุธอย่างแกรนด์แอกซ์ยังหักบิ่นแหลกลาญในการปะทะครั้งเดียว

    นอกจากการโจมตีทางกายภาพจะไร้ผลแล้ว กลุ่มคนกว่ายี่สิบคนยังถูกสารพัดเวทมนต์จากปลายเหล็กในสีดำจู่โจมอย่างหนักหน่วง เสียงระเบิดดังสนั่นกึกก้องทะเลทรายราวกับฉากการศึกใน ‘ยุทธการสงครามอ่าวเปอร์เซีย’ เสียงร้องโหยหวนยิ่งเพิ่มระดับความกลัวความสยดสยองให้กับผู้เล่นที่เพิ่งจะหนีตายไปได้ไม่ไกลและกระตุ้นพวกเขาให้วิ่งเร็วขึ้นอีก

    บัลลาร์ดทนดูเพื่อนร่วมแคลนถูกฆ่าตายไม่ได้ เขาเรียกอาวุธประจำตัวออกมา เป็นดาบคู่ที่เปล่งประกายสีเงินเพียงแค่มองก็รู้ว่าไม่ใช่อาวุธที่มีขายทั่วไปในร้านค้า เขากระโจมเข้าสู่สมรภูมิอย่างรวดเร็ว เข้าปะทะเปิดทางให้เพื่อนร่วมแคลนที่ยังเหลือรอดชีวิตอยู่หนีไปได้ แต่ว่าเพียงแค่ยี่สิบเจ็ดวินาที กัปตันของเซเลสเทียลก็ถูกฆ่าตายตามลูกน้องใต้สังกัดไป

    ‘แองเจิ้ล’ มองตามเหยื่อที่วิ่งหนี กระโดดลอยตัวไปอย่างน่าเหลือเชื่อ พอร่างใหญ่โตลงถึงพื้นก็ทำให้แผ่นดินสั่นสะเทือนเหมือนเกิดแผ่นดินไหว มันก้าวขาทั้งแปดสลับกันไล่กวดเป้าหมายอย่างรวดเร็ว

    “เฮ้ยๆๆ ไอ้อากิ! มันวิ่งไปทางเมืองไม่ใช่เรอะ? รีบเรียกสัตว์เวทกลับมาดิเดี๋ยวก็ฉิบหายกันหมดหรอกนั่น”

    “ลองแล้วแต่มันไม่ยอมกลับอะ อีกอย่างมันคงเข้าเมืองไม่ได้หรอก...มั้งนะ”

    “แล้วถ้าเอ็งคิดผิดละเฮ้ย!?”

    “ก็มีหนี้เพิ่มไงพี่เอเซ” กุห์ฟานตบบ่ารุ่นพี่แล้วยักคิ้วซ้ายให้

    ทากะเหล่ตามองเพื่อนร่วมแคลน พูดออกมาช้าๆ “ไหนว่าจะไม่ให้มันออกมาจากม้วนกระดาษ?”

    “อย่ามัวแต่พูดอยู่เลย รีบตามไปกันเถอะ”

    นัตสึมิและมิยูเห็นด้วยกับเฟรเทียร์และวิ่งตามเธอไปทันที สี่หนุ่มยักไหล่ให้กันแล้ววิ่งตามหลังไปห่างๆ












    สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาพวกเขาคือเศษซากปรักหักพังของสิ่งก่อสร้างซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นซุ้มประตูและกำแพงเมืองบางส่วน ป้อมเล็กๆสำหรับให้ทหารยามนั่งพักพังทลาย ซุ้มร้านค้าที่เป็นเต็นท์ผ้าหรือกระโจมล้มระเนระนาด สินค้าจำพวกผลไม้ต่างๆตกกระจายเกลื่อนกลาด เสียงกรีดร้องของหญิงสาวชาวเมืองดังมาในเส้นทางที่ ‘แองเจิ้ล’ ผ่านไป เด็กเล็กเด็กโตร้องไห้จ้าละหวั่น ทั้งเมืองตกอยู่ในความโกลาหลวุ่นวายยิ่งกว่าเกิดกลียุคเสียอีก

    ผู้เล่นคนอื่นและทหารประจำเมืองพยายามเข้าสกัดสัตว์เวททุกวิถีทางแต่ทำอะไรไม่ได้แม้แต่น้อย มันไม่สนใจคนอื่นได้แต่ติดตามไล่ฆ่าเป้าหมายตามที่ได้รับคำสั่งมาเท่านั้น

    มิยูเห็นสภาพของเมืองแบล็กแซนด์แล้วหน้าซีดเผือด “หวาๆ จะทำยังไงดีเนี่ย ทุกคนช่วยกันคิดหน่อยสิ”

    “อากิ! นายลองเรียกมันกลับมาอีกครั้งสิ ทุกคนกำลังแย่อยู่นะ” นักสำรวจสาวบอก สีหน้าของเธอก็แย่ไม่แพ้มิยูเหมือนกัน

    “ผมลองแล้วละแต่ไม่ได้ผลเหมือนเดิม คงต้องรอให้มันฆ่าเป้าหมายให้หมดตามคำสั่งแรกก่อนละมั้งถึงจะป้อนคำสั่งใหม่ได้”

    “กุห์ฟาน ไม่มีทางทำอะไรเลยเหรอ?” ไนซ์ดึงแขนเสื้อเพื่อนหนุ่มแล้วกระซิบถาม

    “กำลังขอข้อมูลจากเน็ตเวิร์คอยู่แต่คงไม่ทันหรอก” เขากระซิบตอบกลับ

    “เอเซ! ทำอะไรสักอย่างสิ!” มิยูหันมองเขาด้วยสายตาวิงวอน น้ำตาคลอเบ้าจนเกือบจะล้นออกมา

    คนที่ถูกขอร้องยกมือประกบใบหน้าที่แสนเศร้า ใช้นิ้วโป้งปาดน้ำตาออกจากดวงตาของเธอ

    “เฮ้อ! ช่วยไม่ได้นะ”

    เอเซ แมคโดเวล ยกกำปั้นขวาแตะอกหัวหน้าแคลนบอกเป็นนัยว่าไม่ต้องตามไปด้วยหรอก

    นักดาบเวทดึงดาบเคลย์มอร์คู่ใจออกจากฝักเหล็ก หลับตาลงรวบรวมสมาธิ มวลอากาศไหลมาหมุนรอบตัวเขาเป็นพายุขนาดเล็ก เขาทะยานตัวออกไปด้วยความเร็วเหลือเชื่อ เข้าประชิดข้างตัวผู้เล่นที่เป็นหนึ่งในเป้าหมายสังหารของสัตว์เวท เขาจับหลังคอเสื้อของผู้เล่นคนนั้นแล้วโยนเข้าหา ‘แองเจิ้ล’ ร่างนั้นถูกแขนเคียวตั๊กแตนตัดขาดเป็นสองส่วนกลางอากาศตายไปทั้งอย่างนั้น เขาทะยานเข้าหาผู้เล่นแคลนเซเลสเทียลอีกหนึ่งที่ล้มลุกคลุกคลานระหว่างหนี จับโยนเข้าหาสัตว์เวท ผู้เล่นคนนั้นถูกเขี้ยวยักษ์ทะลวงท้องตายอย่างอนาถ

    เอเซทำผิดไปจากความคาดหมายของทุกคนที่คิดว่าเขาจะเข้าไปสู้กับสัตว์เวท มิยูและนัตสึมิช็อกตาตั้งอ้าปากค้างไปเลย

    ผู้เล่นคนอีกห้าคนถูกจับโยนไปให้สัตว์เวทสังหารกลางอากาศทำให้การไล่ฆ่าในเมืองหยุดลง ความโกลาหลสงบลงกลายเป็นหยุดนิ่งจนเหมือนเวลาจะหยุดตามไปด้วย เสียงอึกทึกครึกโครมและเสียงกรีดร้องเงียบลงจนได้ยินแต่เสียงแผ่วเบาที่เกิดจากลมร้อนพัดผ่านไป เมื่อเป้าหมายถูกฆ่าจนหมดแล้ว สัตว์เวทหมุนตัวกลับและเดินไปหยุดอยู่ต่อหน้าอากิรอส คีฟ

    “ปฏิบัติตามคำสั่งเสร็จสิ้น จงบัญชา”

    “ในนามแห่งข้า อากิรอส คีฟ ขอส่งเจ้ากลับสู่มิติเดิม”

    ร่างใหญ่โตปานภูเขาเรืองแสงสีทองขึ้นมา เมื่อแสงนั้นอ่อนลงร่างของสัตว์เวทก็อันตรธานกลับสู่มิติเดิมที่มันถูกเรียกมา

    สายตาของคนทั้งเมืองจ้องมาที่อากิรอส คีฟ อย่างพร้อมเพรียงกันด้วยความคาดหวังว่าเขาจะตอบคำถามได้ว่าเหตุการณ์เมื่อครู่เกิดขึ้นได้อย่างไร และใครจะรับผิดชอบต่อความพินาศฉิบหายของเมืองแบล็กแซนด์ที่เกิดขึ้นในวันนี้
    soulmaster และ taleoftrue ถูกใจสิ่งนี้
  24. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    สงสัยจะโดนทบหนี้เพิ่มเข้าไปอีกแล้ว
  25. soulmaster

    soulmaster Endorphinlism

    EXP:
    403
    ถูกใจที่ได้รับ:
    11
    คะแนน Trophy:
    18
    ติดลบซ้ำซาก +____+

Share This Page