The Legacy War ~Page X~ The Legend of Flame (part I)

กระทู้จากหมวด 'Fiction' โดย yoshiki, 12 พฤษภาคม 2008.

  1. maxlancer

    maxlancer ประธานรุ่น2ตุรกีเชียงใหม่

    EXP:
    1,183
    ถูกใจที่ได้รับ:
    1
    คะแนน Trophy:
    88
    Re: The Legacy War ~Page VIII~ The Roar of Sky

    เมื่อวานแค่พูดเล่นๆนะ ไม่คิดว่าจะปั่นลงวันนี้จริงๆ=="

    แอบรับไม่ได้ เฟทจังโกงอ่ะ โดนท่าชิปปุ จินไร ไปยังไม่เป็นอะไรเลยซักนิด=="

    ปล. เจเอ้ย ท่าสุดยอดเฮา มันได้เกิดแล้ววะ 555+

    กลับไปปั่นของตัวเองต่อ
  2. Ryuune

    Ryuune Well-Known Member

    EXP:
    1,084
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    86
    Re: The Legacy War ~Page VIII~ The Roar of Sky

    รอมานานในที่สุดก็มาต่อจนได้ เห็นภาพการต่อสู้ที่มันส์หยดมากเลยค่า
    (ส่วนของเรานั้นขอเวลาอีกหน่อย ยังไปไม่ถึงไหนเลยเพราะช่วงนี้เรียนหนัก + ติดเกม + สับสนในชีวิตหลายอย่างค่ะ)

    อนึ่ง ศึกเสื้อขาดนั่นเป็นคนอื่นพอว่า แต่เป็นชานะจังไม่ยอมนะ >_<
  3. ultima

    ultima Active Member

    EXP:
    933
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    36
    Re: The Legacy War ~Page VIII~ The Roar of Sky

    อะำไรกันนี่ ทำไมเฟทจังออกมาซะเทพเลย

    ว่าแต่ไอเย็นแห่งรัตติกาลเลี้ยงต้อยงั้นรึเนี่ย พอจะเข้าใจนะว่าม่อโลลิอ่ะ
  4. jenovasung

    jenovasung Member

    EXP:
    152
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    16
    Re: The Legacy War ~Page VIII~ The Roar of Sky

    มันต้องโกงสิเเม็กกี้ในเมื่อเป็นสุดที่รักของเจ้าของฟิกมันก็ต้องโกงน่ะสิ อ๊ากกกกกกกกก


    ป.ล. ว่าเเต่ท่าผสานเราไหงว่าถล่มได้ทั้งเมืองไงล่ะหาเจ้าง่อยสายฟ้า!!!!
  5. joi100

    joi100 นักเดินทางแห่งมิดการ์ด

    EXP:
    478
    ถูกใจที่ได้รับ:
    23
    คะแนน Trophy:
    38
    Re: The Legacy War ~Page VIII~ The Roar of Sky

    อ่านรวดเดียว 2 ตอนเลยแฮะ สนุกมากเจ้าน้องชาย แต่มันก็ว่าไม่ได้นะ ที่ตัวละครที่เราชอบ มันจะเก่งเกินหน้าเกินตาชาวบ้านฮาๆ
  6. yoshiki

    yoshiki FATE

    EXP:
    862
    ถูกใจที่ได้รับ:
    17
    คะแนน Trophy:
    38
    Re: The Legacy War ~Page VIII~ The Roar of Sky

    สวัสดีเหล่ามิตรรักแฟนฟิคทั้งหลาย เกล้ากระผมโยชิกิดันผลงานหลักขึ้นเตาเผาอีกครั้ง หลังจากหนีไปทำฟิคยำมาได้สามตอนและเพิ่งอัพไปเมื่อไม่นานมานี้ แต่เพิ่งมาเล๊งเห็นว่าหากปล่อยให้ฟิคหลักถูกดองอยู่เช่นนี้ คนอ่านตอนใหม่จะจำตอนเก่าๆไม่ได้ดังนั้นก่อนขึ้นตอนใหม่งวดนี้ข้อสรุปเรื่องสั้นๆทวนความจำจะได้ไม่ต้องโผล่กลับไปดูตอนเก่าๆล่ะกันนะ

    เนื้อเรื่องย่อ

    หลังสิ้นสุดสงครามเืมื่อหลายร้อยปีก่อน อาวุธทั้ง 13 ชิ้นที่เป็นกุญแจสำคัญนำชัยชนะได้ถูกสืบทอดลงไปในแต่ล่ะรุ่นจากเจ้าของเดิมของพวกมัน หากแต่ข่าวลืมประหลาดเกี่ยวกับผู้ที่สามารถครอบครองศาสตรา 13 ชิ้นจะได้รับพลังอำนาจมหาศาลที่ไม่อาจประเมินได้ ทำให้ผู้นำแห่งเบลก้าเกิดความทะเยอทะยานในการออกไล่ล่าเหล่าผู้ครองศาสตราคนอื่นๆ จนกระทั้งตั้งหน่วยพิเศษที่เรียกกันว่า SECTION 5 เพื่ออกล่าโดยเฉพาะ

    เหล่าผู้ครองศาสตราคนอื่นๆ เห็นภัยอันตรายจากการตามล่าโดยไม่ยั้งคิดจึงรวมตัวกันจัดตั้งกลุ่มเพื่อเอาตัวรอดและคอยจับตา แย่งชิง ศาสตราของอีกกลุ่ม ซึ่งก็คือ เนเธอร์เวิร์ล และ เหล่าอัศวินกางเขน Cross Knight

    สรุปสถานการณ์โดยรวม

    • Netherworld •

    -ฐานที่มั่นและตัวหัวหน้าพร้อมทั้งสมาชิกตัวสำคัญติดกับ 'นางฟ้าอัจฉริยะ' ถูกเหล่ากองทหารแห่งโครลิสดินแดนตะวันออกผู้เกลียดชังสงครามและศาสตราท้ง 13 ออกตามไล่ล่าให้พ้นไปจากดินแดนของพวกเขา

    -ฟิโอนอส โคลเวีย บิเลนเต้ หรือ 'เดม่อน ลอร์ด' ผู้สร้างความหวาดกลัวให้กับกองพันของเบลก้าด้วยตัวคนเดียวหายสาปสูญ

    -กลุ่มของชานะ แร๊กซ์ และ ฮิวโก้ ปะทะกับ 'นภาคำราม' และ 'ไอเย็นแห่งรัตติกาล' สองผู้ถูกหมายหัวจากฝั่งเบลก้า และพ่ายแพ้

    -กลุ่มรองหัวหน้าอัลทิม่า อันประกอบไปด้วย คานน ร็อกซัส ถูกแผนการปั่นหัวของ 'นางฟ้าอัจฉริยะ' เจ้าเก่าวิ่งรอบฟาลาจิ ดินแดนทิศตะวันตกอันไร้กฎระเบียบ จนไม่เป็นอันทำมาหากิน

    -กลุ่มของชานะ และ อัลทิม่า ได้เข้าสมทบกันหาทางฝ่าออกนอกชายแดนฟาลาจิที่ตอนนี้เต็มไปด้วยกลุ่มนักล่าที่ดักรอช่วงชิงศาสตราของพวกเขา

    Cross Knight

    -รูนเน็ต เคลมอรัส 'องค์หญิงดาบสวรรค์' หายสาปสูญไปในการต่อสู้กับ 'เดม่อน ลอร์ด'

    -รับรู้ถึงแผนการของฝ่ายเบลก้าที่จะยืมมือเจ้านครโครลิสในการกำจัดกลุ่มเนเธอร์เวิร์ล จากปากคำของ นาโอกิ 'ดาบบูรพา'

    -ราเชล โครนอส ผู้นำ ยังไม่ตัดสินใจว่าจะเข้าช่วยเหลือพันธมิตรชั่วคราวนี่หรือไม่ จึงได้แต่ปักหลักอยู่ที่รูบิเนเซีย ดินแดนทางเหนืออันหนาวเหน๊บ

    Section 5

    -ประสบความสำเร็จในแผนการอย่างงดงาม ความดีความชอบทั้งหมด ตกอยู่กับ 'นางฟ้าอัจฉริยะ'

    -ทราบผู้ถือครองศาสตราที่ไม่อยู่ในพันธสัญญาสองชิ้น คือ 'ดาบจ้าวนรก อัลฮาซาร์ด' และ 'ดาบลิขิตสวรรค์ แลงกริสเซอร์' ทั้งหมด

    -ทราบผู้ถือครองของอาวุธที่สาปสูญอีก 1 ชิ้น

    -ส่งกำลังปะปนปิดล้องชายแดนฝั่งฟาลาจิในหมู่นักล่า หมายจัดการกลุ่มของชานะและอัลทิม่า ที่ติดแหงกอยู่

    -ส่งกำลังปะปนในโครลิส เพื่อออกล่า อลิสซาเบธ นายหญิงแห่งเนเธอร์เวิร์ล

    อื่นๆ

    -'ราตรีหมื่นดาว' หรือ Evageline A.K Mcdowell ผู้นำเหล่าแวมไพร์ผู้เป็นกำลังหลักจากสงครามครั้งก่อน จับตาดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

    -'ไอเย็นแห่งรัตติกาล' และ 'นภาคำราม' กบดานอยู่ในฟาลาจิ รอคอยการมาถึงของพวกชานะ


    เอาล่ะเข้าตอนใหม่กันเลยดีกว่า แต่ขออนุญาตขึ้นรีพลายใหม่นะครับ ไม่อยากให้มั่วกัน
  7. yoshiki

    yoshiki FATE

    EXP:
    862
    ถูกใจที่ได้รับ:
    17
    คะแนน Trophy:
    38
    Re: The Legacy War ~Page IX~ The Angel And The Demon

    ~History Page’s IX~

    ~The Angel And The Demon~



    ราตรีกาลปกคลุมเหนือดินแดนอันลี้ลับของฟาลาจิ....

    ไฟสลัวที่ส่องผ่านจากปากถ้ำ ส่องสว่างในบริเวณนั้นแม้ไม่มากแต่ก็สามารถทำให้มองเห็นรอบข้างได้ถนัดตา คทาสีดำถูกวางพิงไว้กับผนังทำที่เกิดจากหินและดิน โดยที่เจ้าของมันนั่งอยู่ไม่ห่างไปนัก ฝั่งตรงข้ามคือ ชายหนุ่มในเสื้อคลุมสีดำที่ปกปิดหน้าตามิดชิด ที่กำลังหยอกล้อกับก้อนน้ำแข็งบนฝามือเรียวยาวของตนเอง

    “อาการบาดเจ็บดีขึ้นหรือยัง” เสียงอ่อนนุ่นของชายหนุ่มที่นั่งฝั่งตรงข้ามเอ่ยขึ้น

    “อืม ไม่เจ็บมากแล้วล่ะ” เด็กสาวตอบพลางทอดสายตาสีแดงฉานไปทางเขา

    ชายหนุ่มในเสื้อคลุมสีดำเลิกฮูดที่คลุมหน้าออก เผยผมสีเงินยาวประบ่าและดวงตาทั้งสองที่ปิดสนิท ในหน้านั้นเพลิดเพลินไปกับการเต้นรำของผลึกน้ำแข็งจากฝ่ามือของเขา ผลึกนั้นกำลังเปลี่ยนรูปร่างไปตามความนึกคิดของผู้สร้างมัน เป็นนก บ้าง เป็นแก้วบ้าง ชายหนุ่มกำมือแน่นขยี้ผลึกในมือ ก่อนจะเงยหน้ามาทางเด็กสาว

    “ผมไม่โทษหรอกนะ ที่เฟทจังบาดเจ็บ แต่เคยบอกหลายทีแล้วใช่ไหมว่าอย่าประมาทกับผู้ครองศาสตรา” น้ำเสียงดุแต่แฝงความเป็นห่วงเข้าเล่นงานเด็กสาว

    “เนี่ยเหรอที่เรียกว่าไม่โทษ” เด็กสาวเบือนหน้าหนี “คราวหน้าจะไม่ประมาท” เด็กสาวผมทองแสดงความไม่พอใจตามประสาเล็กน้อย พลันส่งเสียงเหอะออกมาในลำคอ

    “อืม ดีแล้วล่ะ” ชายหนุ่มยิ้มอย่างอ่อนโยน เขาเข้าใจความรู้สึกของเธอที่เคยชินกับชัยชนะเป็นอย่างดี จนเกือบจะพลาดท่าเสียทีให้กับศัตรูที่น่าจะเรียกได้ว่าแข็งแกร่งจริงๆในสายตาของเขา ซึ่งเหนืออื่นใดนั้นคือความด้อยประสบการณ์กับศัตรูที่มีระดับฝีมือใกล้เคียงกัน

    ทั้งสองปล่อยอารมณ์ขุ่นมัวทุกอย่างผ่านไปตามบรรยายกาศอันสงบนิ่ง มีเพียงเสียงลมกับเสียงสะเก็ดไฟจากกองไฟตรงหน้าเท่านั้น ชายหนุ่มจ้องมองมันด้วยเนตรที่ปิดสนิท พลันนึกถึงบางสิ่งใดเมื่อจ้องมองเปลวไฟ “เกศาเพลิงเนตรอัคคีเป็นยังไงบ้างล่ะ”

    เด็กสาวยิ้มขึ้นเล็กน้อย “แข็งแกร่งมากทีเดียว” เธอตอบออกมาเพียงเล็กน้อย พร้อมเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มคู่สนทนา

    “งั้นเหรอ” หนุ่มไร้เนตรกล่าวอย่างพอใจพลางครุ่นคิดถึงความงามสง่าของเด็กสาวผู้ลุกโชนไปด้วยเปลวเพลิงอันงดงาม ยิ่งคิดถึงความงดงามนั้นเขาก็ยิ่งเผยรอยยิ้มที่แฝงความขี้เล่นเอาไว้เต็มเปี่ยม ชายหนุ่มลุกยืนตรงประดุจจอมทัพก้าวเข้าสู่สนามรบ “รีบไปกันเถอะ พวกนั้นคงกลับมาหาเราอีกรอบแน่”

    “อืม”



    ……………………..
    …………………………..
    ……………………………………


    …..การออกตามหาหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีปริศนาเริ่มขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้ทั้งรองอัลทิม่า และ พวกคานน ได้กลับมารวมกลุ่มกับพวกเราอีกครั้ง ในระหว่างนี้เราพยายามหลายทางที่จะหลบหนีออกไปจากชายแดนฟาลาจิให้ได้ แต่ดูเหมือนจะไร้ประโยชน์เพราะค่าหัวของพวกเราในตอนนี้ ทำให้เหล่านักล่าต่างอดทนรอทุกส่วนของชายแดน หรือ ทุกทางที่คิดว่าพวกเราจะเดินทางผ่าน สถานการณ์จึงกลายเป็นว่าพวกเราติดกับดักของศัตรูอยู่ในฟาลาจิ รอเวลาถูกพบตัวหรือถูกจับเท่านั้น

    รองหัวหน้าจึงเสนอทางเลือกรวมมือกับ ‘ไอเย็นแห่งรัตติกาล’ เผื่อฝ่าด่านนักล่าออกไป เพราะดูเหมือนว่า พวกเขาจะออกไปจากฟาลาจิไม่ได้เช่นกัน ทั้งที่มีฝีมือสูงขนาดนั้น หรือพวกเขาไม่อยากออกจากที่นี่กันแน่นะ ทุกอย่างยังคงเต็มไปด้วยปริศนา

    แต่เรื่องของชั้นและเหล่าเนเธอร์เวิร์ล ต้องขอพักไว้ตรงนี้สักครู่ก่อน ‘เดม่อนลอร์ด’ ที่หายไป กับ ‘องค์หญิงดาบสวรรค์’ นั้นคือ เรื่องที่จะเอ่ยถึงในบทนี้

    ..........................
    ......................................
    ....................................................



    “หนาวววววว” ชายหนุ่มโอดครวญไปกับสภาพอากาศอันย่ำแย่รอบตัว ลมหนาวที่พัดกระหน่ำ หิมะที่ตกไม่รู้จักคำว่าสิ้นสุด ที่นี่คือเขตแดนเหนือสุดของรูบิเนเซีย เป็นจุดที่เรียกได้ว่าแทบจะรกร้างผู้คนและที่อยู่อาศัย มีเพียงพื้นที่ขาวโพลนอันเต็มไปด้วยหิมะ กับอากาศหนาวเย็นจนถึงกระดูกเป็นเพื่อนร่วมเดินทางเท่านั้น

    “เธอไม่หนาวบ้างเหรอ บรื๋ออออ” ชายหนุ่มผมทองหันไปพูดกับหญิงสาวในชุดพริ้วไหว หญิงสาวที่ต้องมาซวยร่วมชะตากรรมกับเขา สตรีรูปงามผู้ซึ่งปิดปากเงียบหลีกเลี่ยงการพูดคุยกับชายหนุ่มผู้ได้สมญานาม ‘เดม่อน ลอร์ด’ มาหลายวัน ตั้งแต่เหตุการณ์อุบัติเหตุที่พวกเขาทั้งสองตกมาตกระกำลำบากในเขตเหนือสุดอันสุดแสนจะหนาวเย็นของรูบิเนเซีย

    แต่ดูเหมือนความอดทนของเธอจะมีขีดจำกัดเช่นกัน “ชั้นคิดว่าถ้าคุณสงบปากสงบคำมากกว่านี้หน่อย เราจะสามารถเดินทางได้สะดวกขึ้นนะคะ”

    “ก็มันหนาวนี่หนา หรือว่า เธอไม่หนาว” ชายหนุ่มถามย้อนด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

    “…..” หญิงสาวไม่ตอบ แต่เธอใช้หางตานั้นมองกลับไปทางชายหนุ่มผมทองวูบหนึ่ง “ชั้นเบื่อที่จะอยู่กับคุณแล้ว เรารีบหาทางเข้าตัวเมืองให้เร็วที่สุดจะดีกว่านะคะ”

    รูนเน็ต แสดงอาการไร้เยื่อใยต่อฟิโอนอสหลายต่อหลายครั้งในตลอด 4 วันที่ผ่านมาที่พวกเขาติดอยู่ด้วยกัน แม้ว่าชายหนุ่มผู้ใช้ดาบสีขาวจะพยายามเปลี่ยนบรรยายกาศในการเดินทางเอาตัวรอด แต่ดูเหมือนจะไร้ผลเพราะเรื่องยุ่งยากทั้งหมดที่เกิดขึ้นก็เพราะความที่ตัวเองอยากโชว์ความเป็นพระเอกมากไปนั้นเอง

    “อ่ะ ดูข้างหน้านั้นสิ” ฟิโอนอสจับสังเกตถึงสิ่งก่อสร้างที่อยู่เบื้องหน้าได้ ถ้าดูไม่ผิดมันคือกระท่อมเก่าๆที่สร้างขึ้นอย่างลวกๆ คงเป็นที่พักชั่วคราวสำหรับนักพจญภัยหรือนักเดินทางที่มาติดอยู่ในที่แบบนี้เช่นเดียวกับพวกเขา

    รูนเน็ต สะบัดหิมะจากผมบลอนสวยของเธอพลางเดินนำหน้าไปยังกระท่อมหลังนั้นโดยไม่คิดจะรอชายหนุ่มที่ยังยืนกอดอกด้วยความหนาวเย็น “อะไรของเธอเนี่ย โกรธอะไรนักหนา”

    ทั้งสองก้าวเข้าไปในตัวกระท่อมไม้หลังนั้น ประตูที่ดูเหมือนยังใช้การได้ดีส่งเสียงเอียดอาดตามอายุของมัน เตียงเก่าๆที่ขาเตียงหักไปแล้วไม่อาจจะใช้การได้ มีเพียงฝูกกับผ้าห่มเพียงชุดเดียวเท่านั้นที่ยังดูพอเป็นประโยชน์อยู่บ้าง ที่กลางกระท่อมไม้โล่งๆนั้น มีร่องรอยของการใช้ไฟอยู่กลางห้อง ชายหนุ่มจ้องมองมันครู่นึง ก่อนจะหันไปเอ่ยกับหญิงสาว “รูนเน็ต คุณช่วยเปิดลิ้นชักตรงนั้นออกมาได้ไหม”

    สตรีผมบลอนแสดงท่าทีสงสัยครู่นึงก่อนจะเปิดลิ้นชักจากโต๊ะไม้เก่าๆ ในนั้นมีอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับจุดไฟทิ้งเอาไว้อยู่ที่นั้น มันเป็นผลึกสีแดงสองก้อนที่ส่งแสงริบหลี่ออกมาตลอดเวลา “นี่มันเฟรม คริสตัล....ทำไมคุณถึงรู้ล่ะ”

    “อ้อ ผมเคยมานั่งเล่นที่นี่อยู่ครั้งนึงน่ะ ไม่นานเท่าไร” ว่าแล้วชายหนุ่มก็ยืนมือไปทางรูนเน็ต หญิงสาวเข้าใจจุดประสงค์ทันที เธอส่งผลึกสีแดงทั้งสองก้อนให้กับฟิโอนอส

    “งั้นแสดงว่าคุณคงรู้เส้นทางต่อจากนี้ใช่ไหมคะ” ชายหนุ่มพยักหน้ารับ ก่อนจะประกบหินทั้งสองเข้าด้วยกันเกิดประกายไฟขนาดพอเหมาะที่สามารถจุดไฟจากเชื้อเพลิงบนพื้นได้อย่างสบายๆ

    เวลาค่ำคืนอันหนาวเหน็บเคลื่อนตัวไปอย่างช้าๆ รูนเน็ตนั่งขดตัวอยู่ใกล้เปลวไฟกลางห้อง โดยมีฟิโอนอสนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม เธอขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มด้วยความหนาวเย็นแม้จะพยายามเก็บอาการมากเท่าไร แต่ก็ไม่อาจฝืนความเป็นจริงอันโหดร้ายได้ ตัวชายหนุ่มผมทองก็รู้ดี เขาสังเกตอาการของรูนเน็ตมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว เนื่องจากเสื้อผ้าที่เธอใส่นั้นไม่เหมาะกับอากาศแบบนี้เอาซะเลย

    “ถ้าหนาวก็พูดตั้งแต่แรกก็ได้นิ” ชายหนุ่มเอ่ยอย่างเสียไม่ได้เมื่อเห็นอาการของเธอ

    “อัศวันไม่อาจแสดงความอ่อนแอได้” ฟิโอนอสลุกขึ้นทันที เขาเดินตรงไปหารูนเน็ตก่อนจะถอดเสื้อโค๊ทสีขาวยาวของเขาออก พลันคลุมลงไปบนร่างที่สั่นเทาของหญิงสาวพร้อมกับนั่งลงกอดเธอทันที

    “ท....ทำอะไรของคุณน่ะ” หญิงสาวตกใจกับสถานการณ์ที่เธอไม่เคยพบเคยเจอ ใบหน้าขาวนั้นเริ่มจะแดงขึ้นพร้อมความเขินอาย แล้วก็ยิ่งมากขึ้นเมื่อมือของชายหนุ่มนั้นสอดมือเข้ามาใต้ผ้าห่มและกำลังจับมือนุ่มที่เย็นเฉียบของเธออยู่

    “เกียรติศักดิ์ศรีอะไรนั้นน่ะ กินไม่ได้หรอกนะ” ฟิโอนอสพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นและสงบ ผิดกับภาพลักษณ์ตลอดหลายวันที่เขาแสดงออกมา ตัวรูนเน็ตเองก็รู้สึกอบอุ่นอย่างแปลกประหลาด เธอสงบนิ่งขึ้นแต่ก็ยังไม่ชอบอยู่ดี

    “กรุณาปล่อยชั้นเถอะค่ะ” หญิงสาวแสดงท่าทีจริงจังเป็นการประกาศว่าเธอรู้สึกไม่สบอารมณ์ที่ชายหนุ่ม ‘เดม่อน ลอร์ด’ ทำอะไรเกินเลยแบบนี้

    “อยู่แบบนี้แหละอุ่นกว่า ตอนนี้ก็มืดค่ำแล้วด้วย พายุหิมะด้านนอกก็กระหน่ำหนักกว่าทุกวันที่ผ่านมา ถ้าขืนคุณกับผมไม่อยู่แบบนี้ มันจะรอดไปถึงพรุ่งนี้ไหมล่ะ” รูนเน็ตจำยอมด้วยเหตุผลที่ฟังดูมีน้ำหนัก มือของเธอค่อยๆอุ่นขึ้นช้าๆ ชายหนุ่มกุมมือเธอแน่นขึ้น

    “คุณฟิโอนอส” เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบ ดึงความสนใจจากอากาศหนาวเย็นและเสียงลมพัดกระหน่ำรอบข้างจากชายหนุ่ม

    “หืม มีอะไรเหรอ”

    “ชั้นคิดว่าสักวันนึง เราสองคนคงต้องสู้กันเป็นแบบเป็นตายในไม่ช้าค่ะ” รูนเน็ตเปิดหัวข้อสนทนาที่ไม่น่าฟังเอาเสียเลยสำหรับเขา

    “เพราะว่าผมกอดคุณแบบนี้เหรอ” ฟิโอนอสถามทีเล่นทีจริง พลางยิ้มแห้งๆ กับบรรยากาศที่เคร่งเครียดอันเกิดขึ้นจากคำพูดประโยคเดียว

    “องหญิงดาบสวรรค์อย่างชั้น กับ จอมปีศาจ อย่างคุณ…คงไม่อาจจะอยู่ร่วมกันได้นานนักหรอกค่ะ” แม้จะเหมือนคำพูดลอยๆ แต่ลึกๆแล้วสำหรับรูนเน็ตมันไม่ใช่แบบนั้นเลย

    “ไม่เอาหน่า ก็แค่ฉายา” ฟิโอนอสพูดปัดไปตามเหตุผลของเขา

    “ไม่รู้สินะคะ ชั้นเพียงรู้สึกเช่นนั้น” หญิงสาวเอ่ยดูน้ำเสียงที่เหมือนจะอ่อนแรง เธอคงเพลียมากเลยทีเดียว ดวงตาสีซัฟไฟร์ทั้งสองดูไร้เรี่ยวแรง

    “ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ขอแค่คุณยิ้มผมก็ยอมแพ้แล้วล่ะ อ้าว.....” ฟิโอนอสเพิ่งสังเกตุเห็นว่า หญิงสาวที่เขากำลังกอดอยู่พล๊อยหลับไปแล้ว หน้าตายามนอนไม่ว่าจะมุมไหนก็ดูเป็นเพียงหญิงสาวบอบบางที่น่าเอ็นดูคนนึงเท่านั้น สงครามและการแย่งชิงที่เกิดขึ้นทำให้ผู้คนเหล่านี้ต้องเข้าสู่สนามรบเข่นฆ่าผู้คนด้วยความจำเป็นทั้งนั้น

    ฟิโอนอสถอนหายใจเล็กน้อยเมื่อคิดถึงสิ่งเหล่านั้นพลันกอดร่างของรูนเน็ตแน่นขึ้นจนสัมผัสถึงไออุ่นของร่างกายชัดเจน แต่สิ่งที่เกินความคาดหมายของเขาก็คือ

    เธอกำลังยิ้ม......หญิงสาวที่อยู่ในอ้อมกอดเขากำลังยิ้ม

    ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตามตอนนี้เธอคงกำลังหลับสนิทและยิ้มโดยที่ไม่รู้ตัว ชายหนุ่มที่เห็นภาพนั้นก็กระซิบเข้าที่ข้างหู “ผมบอกคุณแล้วใช่ไหม ว่าถ้ายิ้มเมื่อไรจะดูสวยขึ้นเป็นกองเลย”

    ไม่นานจากนั้น ‘เดม่อน ลอร์ด’ ก็หลับตาลงและพักผ่อนในราตรีอันหนาวเหน็บพร้อมกับ ‘องค์หญิงดาบสวรรค์’ นางฟ้าและปีศาจเข้าสู่นิทราในอ้อมกอดของกันและกัน......


    .....................................................
    ............................................
    ....................................
    ............................
    ....................
    ..............


    “ผมว่าแบบนี้เราแย่กันหมดแน่นะ อลิส” ชายหนุ่มในชุดสูทสีดำเอ่ยเสียงเครียด ห้องประชุมใหญ่ที่มีโต๊ะกลมทำจากไม้มะฮอกกานีชั้นดี ตั้งไว้กลางห้องเหล่าสมาชิกระดับสูงของกลุ่มเนเธอร์เวิร์ลอยู่กับเกือบจะพร้อมหน้า ขาดแต่เพียงผู้ที่ไปทำภารกิจในฟาลาจิเท่านั้น

    “ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการย้ายฐานทัพแล้วเหรอ” ชายร่างใหญ่ในชุดขนสัตว์สีขาวออกความเห็น

    “ดูท่าจะไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านั้น แต่เราต้องหาทางแจ้งพวกที่อยู่ฟาลาจิให้รู้” แวมไพร์สาวเพียงหนึ่งเดียว พูดแทรกขึ้น

    หญิงสาวผมไข่มุก ผู้นั่งอยู่ที่หัวโต๊ะประชุมลุกยืนขึ้นเมื่อสถานการณ์เริ่มวุ่นวาย “มุคุโร่ คาลอส เซราส ทั้งสามคนหยุดก่อน” การถกเถียงหยุดนิ่งเมื่อนายหญิงแห่งเนเธอร์เวิร์ลลุกยืนขึ้น

    “อย่างที่เซราสบอกทางเลือกที่ดี่ที่สุดสำหรับเราคือ ออกไปจากที่นี่ แต่ถ้าทำอย่างนั้นพวกที่อยู่ฟาลาจิอาจเข้ามาติดกับดัก ‘นางฟ้าอัจฉริยะ’ ในโครลิสได้ แต่เราก็ไม่สามารถส่งคนไปช่วยเพิ่มได้อีก จากการที่เราต้องคอยรับมือกองกำลังโครลิสและเบลก้าที่หมายจะขยี้พวกเรา แถมพวกที่อยู่ฝั่งฟาลาจิดันถือเป็นผู้ถือศาสตราไปซะ 4 คน” อลิส แจงทางเลือกยาวเหยียด ทุกคนในโต๊ะประชุมครุ่นคิดตาม บรรยายกาศตึงเครียดที่ต้องคิดเร็วทำเร็วแบบนี้ เล่นเอาปวดหัวไปตามๆกัน

    “แบบนั้นเราจะปล่อยให้พวกที่อยู่ฟาลาจิถูกลอยแพเหรอ” มุคุโร่เอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง ความเป็นห่วงต่อกองกำลังหลักที่ติดอยู่ในฟาลาจินั้นรบเร้าขึ้น ซึ่งก็ไม่ต่างจากคนอื่นๆเท่าใดนัก

    แซ็ค...พอจะติดต่อพวกนั้นได้ไหม” ชายหนุ่มตาสองสี ผู้มีผมยาวสีดำประบ่า คอยยืนอยู่หลังอลิสตลอดเวลา หนึ่งในหน่วยสื่อสารมือฉมังอีกคนนอกจาก เรน่า ไอรีนเน่

    “ไม่เลยครับ แถมการส่งคนเข้าไปช่วยก็ยากมาก ชายแดนฟาลาจิตอนนี้แทบจะเหมือนนรกเลย พวกนักล่าฆ่าหัว องค์กรเถื่อน อาชญกร เดินกันเต็มไปหมด” ชายหนุ่มอ่านรายงานในมือฉับไว

    “สำคัญคือตอนนี้เราคงต้องเอาตัวรอดกันก่อน” เซราส วิคตอเรีย แวมไพร์สาวออกความเห็นเพิ่มเติม

    “แล้วเราจะทิ้งพวกที่อยู่ฟาลาจิไว้แบบนั้น แล้วเอาตัวรอดกันไปเลยเนี่ยนะ” คาลอส ชายร่างใหญ่ผู้เป็นหนึ่งในกำลังสำคัญของกลุ่มเอ่ยปากขึ้น

    “ไม่แน่นอน” นายหญิงของกลุ่มเอ่ยเสียงเรียบ “เพราะพวกเราจะอพยพเข้าไปอยู่ในฟาลาจิไงล่ะ ภาวนาขอให้เจ้าพวกนั้นยังอยู่ในนั้นก็แล้วกัน”

    ……………………………………..
    …………………………………..
    ………………………………
    …………………………
    ……………………
    ……………….


    “สถานการณ์ที่เบลก้าเป็นอย่างไรบ้าง” ชายหนุ่มผู้มักจะเม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง เอ่ยถามผู้ช่วยขณะจิบกาแฟร้อนเข้าปาก

    “พวกนั้นกำลังเตรียมแผนบดขยี้เนเธอร์เวิร์ลในไม่ช้านี่แหละ” แวมไพร์สาวผมน้ำตาลยาว พูดด้วยน้ำเสียงลอยๆแม้จะเป็นสารสำคัญ

    ราเชล โครนอส นายใหญ่แห่งกองกำลังอัศวินกางเขน กำลังอยู่ในช่วงการพักผ่อนและจับตามองสถานการณ์วุ่นวายอย่างใกล้ชิด แม้ว่าการเสียมือสำคัญอย่าง ‘องค์หญิงดาบสวรรค์’ ที่หายสาบสูญไปกับสมาชิกเนเธอร์เวิร์ลอีกคนจะเป็นเรื่องเร่งด่วน แต่ก็ไม่มากเท่าสถานการณ์ของกลุ่มเนเธอร์เวิร์ลที่แทบจะเรียกได้ว่าอยู่ในน้ำมือเขาว่าจะช่วยหรือจะฉวยโอกาศ

    ตัวเขานั้นรู้ดีว่า พวกอลิสไม่อาจอยู่ที่โครลิสได้อีกต่อไป เพราะการเล่นงานอย่างเจ็บแสบของ ‘นางฟ้าอัจฉริยะ’ ทำให้นายหญิงของเนเธอร์เวิร์ลต้องอยู่ไม่สุขและคงต้องรีบเผ่นออกจากโครลิสอาณาจักรอันเขียวชอุ่มในไม่ช้า

    สายลมที่พัดเอื่อยๆไปตามปราสาทหลังงามของเขาเหนือยอดเขารูบิเนเซีย ราเชลหลี่ตาเล็กลงพลันทอดสายตายาวไปตามขุนเขา “เรียกอัศวินกางเขนมีอันดับทุกคนมา เราคงต้องจัดงานปาร์ตี้ต้อนรับพวกนั้นสักหน่อย” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นบนหน้าของเขา

    “ปาร์ตี้แบบไหนกันล่ะ” โทนะ อากิฮะ ถามพลางคนน้ำตาลให้เข้ากับกาแฟดำในถ้วย

    “ความสัมพันธ์ของผู้ครองศาสตราเป็นยังไงล่ะ” ราเชล เอ่ยถามคำถามแปลกๆที่ทุกคนก็ทราบดีอยู่แล้วขึ้น แต่ตัวอากิฮะเองก็ตอบอย่างไม่ใส่ใจเท่าใดนัก

    “แย่งชิงศาสตราของอีกฝ่าย” เธอพูดพลางยกแก้วกาแฟขึ้นดื่ม

    “ก็นั้นแหละ......เราถึงต้องทำให้มันกลับไปยังจุดที่ควรจะเป็นยังไงล่ะ” คำสั่งนี้ทำเอาอากิฮะที่กำลังจิบกาแฟต้องหยุดมือกะทันหัน เธอวางแก้วกาแฟลงพลันจับจ้องใบหน้าได้รูปของหัวหน้าของเธอ

    “เอาจริงเหรอ”

    “แน่นอน ไม่มีโอกาศไหนดีกว่านี้อีกแล้ว”

    “จะเรียกประชุมกันเมื่อไร”

    “เดี๋ยวนี้ ที่ห้องมังกร”

    หญิงสาวลุกยืนขึ้น พลางก้มหัวให้ครึ่งนึง “หากเช่นนั้นเชิญท่านรอที่ห้องประชุมก่อนได้เลย ท่านราเซนเทียร์”

    “อ่า แล้วเจอกัน”


    ………………………………….
    …………………………..
    ………………………
    ………………


    เช้าวันใหม่เริ่มต้นขึ้นอย่างสดใส ดูเหมือนพายุหิมะที่พัดผ่านในตอนกลางคืนจะเริ่มเงียบสงบขึ้น ชายหนุ่มผู้กำลังหลับสบายใต้ผืนผ้าห่มกองโต เริ่มจะจับสังเกตอะไรบางอย่างที่ผิดปรกติไปได้.....ใช่แล้วหญิงสาวคนสวยที่เขากอดอยู่ตลอดทั้งคืนหายไป ฟิโอนอสดวงตาเบิกโพลงที่รู้ความจริงข้อนี้ พลันหันไปมองทางประตูที่เปิดอ้าซ่าอยู่ แถมดาบเล่มสวยอาวุธคู่ใจของเธอก็ดันหายไปอีก “ปัดโธ่ ยัยบ้า ไม่รู้ทางแล้วยังหนีไปคนเดียวอีก” ชายหนุ่มรำพึงเสียอารมณ์

    “มิทราบหาว่าใครบ้าคะ” ฟิโอนอสถึงกับผงะ เมื่อรูนเน็ตนั่นนั่งอยู่ข้างหลังเขาตลอดเวลา เธอเพียงแค่ตื่นเร็วกว่าและกำลังรวบผมตัวเองให้เข้าที่เข้าทางสำหรับการเดินทางเท่านั้น “เฮ้อ ชั้นน่าจะเฉือดคุณซะตั้งแต่ตอนนอนนะคะ”

    คำพูดทีเล่นทีจริงของรูนเน็ตดูจะทำให้เช้านี่ของชายหนุ่มดูดีขึ้นมามากทีเดียว หลังจากหลายวันที่อยู่ด้วยกันไม่เคยมีเหตุการณ์ทำนองนี้มาก่อนเลย ฟิโอนอสลุกบิดขี้เกียจเล็กน้อย ก่อนจะก้าวเดินเข้าไปกระซิบข้างหูรูนเน็ตที่หันกลับไปให้ความสนใจกับกระจกแตกๆในห้อง

    “ยิ้มทีสิ” ฟิโอนอสพูดแหย่แต่เช้า หญิงสาวหยุดมือก่อนจะหันมาสบตากับชายหนุ่มที่ยิ้มทะเล้นอยู่ก่อนจะ.....

    เปรี้ยง !!!!

    ชกเข้าไปหนึ่งหมัดเต็มๆหน้า แม้จะเป็นผู้หญิงแต่รูนเน็ตก็สามารถส่งผู้ชายอย่างฟิโอนอสลงไปกองกับพื้นได้ “เอาเป็นไอ้นี่ไปก่อนล่ะกันนะคะ”

    ชายหนุ่มลุกขึ้นมาจับแก้มตนเองที่ดูจะบวมปูดขึ้นมานิดหน่อย “เล่นแรงชะมัดเลย”

    “นั้นก็เพราะคนทำอะไรไม่เข้าท่าไงล่ะคะ” รูนเน็ตลุกยืนขึ้นหลังจากจัดการธุระเสร็จเรียบร้อย เธอเดินตรงไปที่ดาบทรงยุโรปสีขาวเล่มยาวของชายหนุ่มก่อนจะหยิบมันขึ้นมาด้วยความชำนาญ เธอยื่นดาบเล่มนี้มาทางฟิโอนอส

    “นี่ค่ะ.....ดูท่าครั้งนี้ชั้นต้องเพิ่งคุณแล้วนะ” เหมือนฟิโอนอสจะเห็นรอยยิ้มจางๆของเธอหลังจากคำพูดนั้น เขาคว้าดาบจากมือของหญิงสาวพร้อมลุกยืนอย่างมั่นคง

    “ถ้าคิดจะยิ้มก็ไม่ต้องมาอมไว้แบบนั้นก็ได้ ยิ้มให้มันเต็มที่หน่อยสิ” หญิงสาวทำหน้า งง เล็กน้อยพลันเอียงคอถามด้วยความสงสัย “ชั้นไม่ได้ยิ้มอะไรนะคะ”

    ฟิโอนอสยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะก้าวเดินออกจากกระท่อมโดยมีหญิงสาวผมบลอนตามมาติดๆ “จากจุดนั้นจะมีทางที่เราสามารถไปโผล่ที่เมืองคาเทนเบิร์กได้” ชายหนุ่มพูดพลางชี้ไปตามทางลาด

    “พอพ้นจากตรงนั้นไปจะมีถ้ำที่เป็นทางลัดที่ว่านั้นแหละ” รูนเน็ตพยักหน้าตาเป็นการรับรู้ ส่วนชายหนุ่มที่เห็นว่าทุกอย่างพร้อมแล้วเขาก็ย้ำก้าวไปตามเส้นทางที่เพื่อนคนนึงเคยบอกไว้ สหายที่มีฝีมือแทบเคียงกับเขาหรืออาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ

    ทั้งสองก้าวผ่านไปตามทางลาดถึงหน้าปากถ้ำอย่างไม่ยากเย็นนัก อาจเพราะสภาพอากาศตอนนี้ค่อนข้างปลอดโปร่งมีแสงแดดจ้าผิดกับตอนกลางคืนลิบลับ ชายหนุ่มควักแท่งผลึกใสขึ้นมาก่อนจะหักมันให้เกิดแสงที่พอส่องสว่างได้ในถ้ำอันมืดมิด “ดูเหมือนคุณจะเตรียมพร้อมมาดีมากเลยนะคะ” รูนเน็ตเอ่ยชมไร้อารมณ์ตามประสาของเธอ

    “อ้อ ต้องยกความดีความชอบให้เพื่อนผมน่ะ มันบอกละเอียดทุกขั้นตอนเลย”

    “เพื่อนเหรอคะ ?”

    “ใช่ แต่ก็เพราะไอ้บ้านั้นแหละเลยทำให้ผมต้องมาใช้ชีวิตเดือดร้อนแบบนี้ แต่ก็สนุกดีเหมือนกัน ที่สำคัญก็ได้เจอคุณด้วยนี่ไง รูนเน็ต”

    “….” หญิงสาวไม่ได้มีปฎิกริยาอะไรกับมุขเสี่ยวๆ ของฟิโอนอสเลยสักนิดทำเอาชายหนุ่มผมทองเสียอารมณ์แหย่เล่นไปโดยใช่เหตุ

    ด้านในถ้ำนั้นเต็มไปด้วยหินงอกหินย้อยและคริสตัลสีใสออกฟ้าเรียงรายตามเส้นทาง บ้างก็ส่องแสงบ้างก็หรี่แสงแต่ถ้าสำหรับการเดินทางภายในนี้แล้วแสงเหล่านี้ก็ยังนับว่าน้อยเกินไปต่อการมองเห็นของมนุษย์ และมิได้วิจิตรพิศดารเกินกว่าจะเป็นแหล่งท่องเที่ยว ทั้งสองค่อยๆเดินผ่านตามทางเดินอย่างใจเย็นและระแวดระวังรอบข้างอยู่ตลอดเวลา มีเพียงเสียงผิดปกติเล็กน้อยที่ทั้งสองรู้สึก.....

    “ได้ยินเสียงแปลกๆไหมคะ” หญิงสาวเอ่ยถามขณะที่มองจับเสื้อโค๊ทยาวของฟิโอนอสเพื่อไม่ให้หลงทาง

    “เสียงพูดคุยใช่ไหม” ชายหนุ่มถามตรงประเด็น

    หญิงสาวพยักหน้ารับทันที เธอกวาดสายตาไปรอบด้านมองหาแหล่งต้นเสียง แต่ดูเหมือนมันจะเงียบสงบไปราวกับรู้ว่าพวกเขารู้ตัว ฟิโอนอสเองก็ระวังตัวเต็มที่เหมือนกัน และหากจะเกิดอะไรขึ้นมันต้องเกิดในพื้นที่ต่อไปเป็นแน่แท้

    ทั้งสองก้าวเข้ามาถึงส่วนที่เป็นพื้นที่กว้างของถ้ำอันเต็มไปด้วยคริสตัลใส่บาง ฟิโอนอสหยุดยืนนิ่งพลันหันกลับมาคุยกับรูนเน็ต “จุดนี้คือใจกลางถ้ำ ที่พวกเราคงต้องเหนื่อยกันหน่อย”

    หญิงสาวไม่พูดอะไรเธอดึงดาบสีทองออกมาจากฟัก ส่วนฟิโอนอสเองก็กระชับดาบในมือไว้แน่น “เฮ้ย พวกที่แอบอยู่น่ะ รีบๆออกมาได้แล้ว”

    กลุ่มคนจำนวนราวๆ 8-10 คน ค่อยๆก้าวออกมาจากที่กำบังพวกเขาแต่งตัวเหมือนนินจาย้อนยุคมีอาวุธที่เห็นว่าพกกันทุกคนคือดาบสิ้นและมีดสั้นและอาจมีอาวุธลับอื่นๆซ่อนอีก ทั้งสองคนยืนหลังชนกันพลางวิเคราะห์สถานการณ์ด้วยท่าทีไร้ความตื่นตระหนก

    “สมกับเป็นยอดฝีมืออันดับต้นๆของทั้งสองกลุ่มจริงๆ ไม่มีช่องว่างให้จู่โจมเลยนะ” เจ้าของเสียงผู้อยู่เหนือขึ้นไปกล่าวอย่างพอใจเมื่อเห็นท่าทีของทั้งสองคน

    เขาคือชายหนุ่มผมสีขาวอมเท่า ตาเรียวเล็กจนแทบมองไม่เห็นลูกตา ใบหน้ายิ้มแย้มแต่กลับแฝงความอันตรายไว้เต็มเปี่ยม และสัญลักษณ์บนเสื้อกั๊กหนังสัตว์นั้นก็ทำให้พวกฟิโอนอสรู้ทันที “โอ้ บอสกองโจรอันลื่อชื่อนั้นมาเองเลยเหรอ”

    “พวกลิชแชงค์” รูนเน็ตเอ่ยสั้นๆ

    “แหมๆ เป็นเกียรติจริงๆที่ยอดฝีมือทั้งสองรู้จักพวกผมด้วย” ชายหนุ่มหน้าตี๋กล่าวอารมณ์ดี

    “มิทราบว่ากองโจรอันโด่งดังแห่งฟาลาจิ มีธุระอะไรกับพวกเราที่นี่มิทราบ” ฟิโอนอสถามยียวน แต่ส่วนตัวก็ไม่ได้คาดหวังอะไรจากพวกโจรมากนัก

    “ไม่มีอะไรมากหรอกครับคุณทั้งสอง ผมเพียงแต่สนใจในอาวุธพิสดารของพวกคุณเท่านั้น ใช่แล้วๆๆ ‘ดาบกษัตริย์อันสาปสูญเอ๊กคาริเบอร์’ กับ ‘ดาบลิขิตสวรรค์ แลงกริสเซอร์’ มาอยู่ในที่เดียวกันมันช่างน่ายินดีจริงๆ”
    รูนเน็ตตกตะลึงทันทีที่ได้ยิน เธอหันมองหน้าเรียบเฉยของฟิโอนอสที่ดูไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไรเท่าไร

    “ชั้นขอเดาว่าแกถูกว่าจ้างมาโดนแองเจิ้ลจังสินะ” ฟิโอนอสโชว์ความหลักแหลมออกมาอย่างไม่น่าเชื่อ

    “แหม ร้ายกาจจริงๆ ก็ตามนั้นแล ถึงจะขึ้นชื่อว่าเป็นโจรก็ไม่จำเป็นต้องหาเงินด้วยการปล้นอย่างเดียว” หัวหน้าลิชแชงค์ ยอมรับโดยง่ายผิดกับที่พวกเขาคาดไว้ “ทางนู้นไม่ได้ขอให้ปกปิดถึงการว่าจ้างแต่อย่างใด ดังนั้นก็ไม่ผิดที่ชั้นจะยอมพูดถึงนายจ้างถูกไหม”

    “จบเรื่องนี้คงมีเรื่องคุยกับคุณยาวเลยนะคะ” รูนเน็ตพูดกับฟิโอนอสเบาๆ

    “ผมก็เช่นกัน”

    “เอาล่ะท่านสุภาพบุรุษและสุภาพสตรี ข้า คาเนล อาเฟลิคัล บอสแห่ง ลิชแชงค์ ขอเปิดฉากการแสดงอันเร้าใจ ณ บัดนี้” เหล่ากองโจรด้านล่างอยู่ในถ้าเตรียมพร้อมทันที เช่นเดียวกับรูนเน็ตและฟิโอนอสที่เปลี่ยนจากทางยื่นสงบนิ่งเป็นท่าร่างที่สามารถรับและโจมตีได้ตลอดเวลา

    “ดูท่าไอ้ความรู้สึกของคุณที่เราจะต้องมาฟัดกันยังอีกไกลนะครับ คุณอัศวินนางฟ้า”

    “ชั้นเองก็คิดเช่นนั้นค่ะ คุณจอมปีศาจ”

    ทั้งสองหยอกล้อกันราวกับเคยร่วมรบกันมานานแสนนาน เพียงเท่านี้ทุกอย่างก็พร้อมสรรพสำหรับการร่วมมือกันต่อสู้ของผู้มีสมญานามคนล่ะขั้ว


    ..............
    ........
    .......
    ........
    .............
    .......................


    Talk Talk Talk

    ผมรู้สึกว่าต้องรีบๆเอามาลงก่อนที่ทุกคนจะลืมอ่ะนะ ถึงอยากจะสนุกกับฟิคยำต่ออีกให้จบก่อนก็เถอะ แต่เพื่อความปลอดภัยต่อไหของผมเองก็ต้องรีบจัดการมันทุบมันซะ 5555+ แต่การมานั่งเขียนเรื่องราวรักน้ำเน่าสุดคลาสสิคตอนนี้ก็เพลินดีเหมือนกันแหะ

    คิดว่าหลายๆคนที่ได้อ่านทั้งฟิคนี้แหละฟิคที่ผมแต่งร่วมกับแม็กคงจะรู้สึกว่า รูนเน็ตและเรเชล ลูกสาวผมที่โลดแล่นอยู่ในฟิคร่วมนั้นค่อนข้างคล้ายคลึงกัน แต่จริงๆแล้วสำหรับผมรูนเน็ตดูจะเงียบขรึมมากกว่าเยอะเลยครับ เธอเป็นพวกยึดติดกับหน้าที่ไม่รู้จักปล่อยวาง ซึ่งเรเชลมีความยืดยุ่นตรงนี้มากกว่า

    ตอนนี้ชะตากรรมของเจ๊อลิสและลูกทีมแทบจะเรียกได้ว่าอับเฉาสิ้นดี ทุกอย่างอาจขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของอาเฮีย ราเชล ที่โผล่มากี่ตอนก็แก๊กทุกตอน แต่ที่น่ายินดีกว่านั้นคือ เรื่องนี้กำลังจะก้าวเข้าสู้ตอนที่ 10 แล้ว เย้ๆๆๆๆ จะเป็นเรื่องแรกที่ผมเขียนได้ถึง 10 ตอนเหรอเนี่ยเป็นปลื้ม เราเองก็เป็นผู้ใหญ่ขึ้นแ้ล้วสินะ น่ายินดีจริงๆ

    Special Thanks

    -เอสคริม่า ซาห์คาฮ์ วูลฟ์แกงซ์ หรือ แซ็ค จากคุณ Zan~Naz ออกมาน้อยไปนิด เพราะยังไม่มีบทสำคัญในตอนนี้ แต่ตอนหน้าได้เดือดแน่นอนครับ

    -คาเนล อาเฟลิคัล จาก ริวโตคุง จงยินดีไว้ซะว่าได้ออกแล้วนะเฟ้ย 555+

    And All Friends And Fans Thank You
  8. ultima

    ultima Active Member

    EXP:
    933
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    36
    Re: The Legacy War ~Page VIII~ The Roar of Sky

    ตัวผมเกือบลืมไปแล้วทานโย สำหรับเรื่องนี้ของท่าน

    รู้สึกว่าวันนี้จะมีคนขุดไหมา 2 คนและนะ ทั้งท่านโยและเจ้าแม็ก สงสัยเป็นเทศกาลขุดไห ต้อนรับปีใหม่

    เหอๆ รู้สึกว่าได้มาเจิมตอนที่ 9 เป็นคนแรก ดีใจเล็กๆ
  9. Ryuune

    Ryuune Well-Known Member

    EXP:
    1,084
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    86
    Re: The Legacy War ~Page IX~ The Angel And The Demon

    นึกว่าจะลืมกันแล้วซะอีกนะคะ มาอ่านแล้วค่า สนุกมากเลย

    อนึ่ง ส่วนฟิคเรา.... ขอเวลาอีกนิด เพิ่งเริ่มเขียนตอนใหม่ (ได้หยุด 5 วันนี่แหละถึงได้มีเวลาสักที)
  10. Hell

    Hell Member

    EXP:
    405
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    16
    Re: The Legacy War ~Page IX~ The Angel And The Demon

    อัพช่วงนี้พอดีเลย จะได้มีอะไรอ่านซักหน่อยหลังสอบกลางภาคเสร็จ

    ตอนนี้ราเซลเริ่มจะเป็นฝ่ายคุมเกมแล้วแฮะ อ่านไม่ออกจริงๆว่าเนื้อเรื่องจะไปทางไหน
  11. alladiya

    alladiya สมาชิกที่ไม่มีอยู่จริง

    EXP:
    1,207
    ถูกใจที่ได้รับ:
    11
    คะแนน Trophy:
    88
    Re: The Legacy War ~Page IX~ The Angel And The Demon

    กลิ่นไหตุๆ เหอๆ

    สรุปอพยพย้ายไปที่ฟาลาจิสินะ ก็ได้แต่หวังอย่างที่อลิสบอกนั่นแหละ-..-
  12. shinkyoto

    shinkyoto Well-Known Member

    EXP:
    580
    ถูกใจที่ได้รับ:
    3
    คะแนน Trophy:
    88
    Re: The Legacy War ~Page IX~ The Angel And The Demon

    ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร ทุกฝ่ายจ้องจะหาทางให้ตนเองได้ประโยชน์มากที่สุด

    อย่างเห็นได้ชัด ทั้ง ซิลเวอร์ครอสก็ดี หรือ เนเธอเวิลก็ดี ฃ

    หวังว่าเราจะไม่ได้คาดการณ์ผิดไปหรอกน่อ ถึงเบื้องหน้าจะดูเป็นฟิคแนว ฮาเร็ม โลลิ แต่ส่วนดราม่า ก็ยังมีน้ำหนักอยู่ไม่น้อยล่ะงุงิ
  13. yoshiki

    yoshiki FATE

    EXP:
    862
    ถูกใจที่ได้รับ:
    17
    คะแนน Trophy:
    38
    Re: The Legacy War ~Page X~ The Legend of Flame

    History page X

    The Legend of Flame (part I)​


    ผมเหม่อมองเธอ..

    หลงใหลในเปลวเพลิงอันงดงาม

    เปลวเพลิงอันโชติช่วงที่ไม่มีผู้ใดเหมาะสมยิ่งกว่า​


    หลายปีก่อนเด็กสาวคนนึงถูกนำตัวมาที่คฤหาสน์ใหญ่เมือง ริริอา อดีตเมืองแห่งสถาปัตยกรรมอันงดงาม ที่ถูกทำลายจากไฟสงครามที่คุกกรุ่น เด็กสาวผู้มีผมสีดำสนิท กับดวงตาสีดำอันดุน่าเกรงขามเกินไว เธอมองไปรอบๆห้องอย่างระมัดระวังราวกับมีคนพยายามล้อมทำลายเธอ

    ในตอนนั้นเธอเหมือนเด็กผู้อยู่โดดเดี่ยว ชอบนั่งหลบมุมคนเดียว ไม่สุงสิง ไม่พูดคุยกับใคร เว้นแต่เพียงหัวหน้าสาวเจ้าขาวเรือนผมสีไข่มุกเพียงคนเดียว

    ในกาลต่อมา

    เธอคือเด็กสาวปากจัด

    เด็กสาวผู้ยิ่มร่าไปกับกองของหวานมากมาย

    เด็กสาวผู้ชื่นชอบเมล่อนปังยิ่งกว่าอาหารหลักสามมื้อ

    เธอผู้เผาผลาญซากศัตรู เพื่อแย่งชิงกริดอันล่ำค่า

    เธอ..ฑูตน้อยที่จะนำจอมปีศาจเข้าสู่กลุ่ม

    เธอ ผู้ที่เปี่ยมด้วยพลังมหาศาล ที่แม้แต่ตัวเองก็ไม่เข้าใจ

    เธอ ผู้มีปริศนากับสุดยอดฝีมือผู้ลื่อเลื่อง

    มือสังหาร เกศาเพลิง เนตรอัตตี

    นั้นคือชื่อที่จะเรียกชั่วกาลนาน

    แม้แต่ตอนนี้ผมก็ยังไม่เชื่อว่า เด็กสาวที่กำลังเดินเคียงข้างผมในดินแดนอันแห้งผากตอนนี้จะกลายเป็นนักรบที่น่าหวั่นเกรงของศัตรูเรา ทั้งการบุกปล้นรถไฟยามค่ำคืนของเบลก้า การบุกเข้าช่วยรองหัวหน้าพร้อมกับ “เดม่อน ลอร์ด” การปะทะกับ “ไอเย็นแห่งรัตติกาล” กับ “นภาคำราม” ที่ผ่านมา สำหรับผมในตอนที่เพิ่งเจอเธอแล้ว มันช่างเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อจริงๆ

    ผมดีใจที่ได้มีส่วนร่วมในการเขียนบันทึกของเธอนี้ แม้ว่าเราจะสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักมากมายในมหาสงคราม แต่ยังไงซะเราก็ผ่านมาได้ล่ะนะ วิธีการต่อสู้ที่ดูเหมือนจะมั่วซั่วแต่แฝงไปด้วยกลยุทธ์ที่ไม่น่าเชื่อ ทำให้เธอรอดชีวิตจากสงครามมาได้เช่นกัน

    และแน่นอน

    สายเลือดอันทรงพลังของเธอ ก็เป้นปัจจัยสำคัญด้วย​


    ก่อนอื่นผมต้องขอกล่าวก่อนว่า สงครามเฮงซวยนี้มันเริ่มมาจากใครบ้างคนเกิดความเชื่อบ้าๆ โดยมีผู้นำบ้าๆ ทำการเปิดฉากไล่ล่าเหล่าผู้ถือ ‘อาวุธจากการสืบทอด legacy weapon’ เพียงเพราะข่าวลือว่า หากสามารถรวบรวมได้ทั้งหมดหรือตามเงื่อนไข อาวุธวิเศษเหล่านี้จะประทานพลังอันไร้ขอบเขต ถึงขนาดจะสามารถเนรมิตสิ่งใดก็ได้

    Section 5
    ที่นำโดย นายพลอเล็กซ์ หรือ ที่พวกเราเรียกขานเขาว่า ‘ยมทูตแห่งเบลก้า’ ได้นำกองกำลังที่ผ่านการฝึกฝนในการต่อกรกับเหล่าผู้ครองศาสตรา ออกไล่ล่าเหล่าผู้ถือครองชนิดไร้ความปราณี การไล่ล่าดำเนินต่อไปอย่างโหดร้ายทำให้ชายผู้ได้ชื่อว่าเป็นตัวละครสำคัญของเรื่องอย่าง ราเชล โครนอส เจ้าของสมญา ‘กางเขนเลือด’ ตัดสินใจรวบรวมเหล่าผู้ถือครองตั้งเป็นกลุ่ม ‘อัศวินกางเขน’ เพื่อตอบโต้

    แต่สำหรับพวกเราแล้ว คงต้องบอกว่าที่เรารวมกลุ่มกันแบบนี้เพราะขี้เกียจไปสู้รบปรบมือกับใครอีก (หรือจะแค่ผมคนเดียวก็ไม่รู้) การรวบกลุ่มของเหล่า ‘อัศวินกางเขน’ จึงดูเหมือนจะมีจุดประสงค์เดียวกับเรา แต่แท้จริงแล้วไม่ใช่...

    พวกเขาพยายามโน้มน้าวเราให้เข้าร่วม โดยมีเงื่อนไขสุดแสบนั้นคือ ต้องยุบรวมกลุ่มเข้าด้วยกัน โดยมีเขาและหัวหน้าสาวของเราเป็นผู้นำ ทว่า..

    หัวหน้าเรา 'ดวงตานรกไร้ก้น' ไม่ไว้ใจหมอนี่...

    หลังการปฎิเสธอย่างนิ่มนวล หัวหน้าจึงประกาศถึงจุดยืนที่ชัดเจนของกลุ่ม และสถานปนากลุ่มไร้ชื่อของเราว่า

    Netherworld


    พวกเราเหยียบย่างสู่สมรภูมิในวันนั้น

    พร้อมกับเด็กสาวที่กล่าวอย่างห้าวหาญเกินวัย

    นั้นคือวันที่ ‘เกศาเพลิง เนตรอัคคี’ ได้ถือกำเนิด
    ลงชื่อผู้บันทึก

    ‘อัสนีบาตรแห่งเทพ’ เร็กซแนล ซาเมอท์




    ........................................................................................
    ................................................................

    Talk Talk Talk

    อ่าไม่ได้กลับมาเขียนฟิคซะนาน ฝีมือตกแหะรู้สึกได้ - -*

    หลายคนสงสัยไอ้โยหายไปไหนจากหมวดฟิคนานเหลือเกิน ไม่มีอะไรมากครับปิดเทอมนี้งานเข้าอย่างแรงใครไปงานคอส งานอนิเม ช่วงนี้จะเจอผมบ่อยมากๆ นอกจากจะเดินร่อนดูสาวคอสในงานแล้ว จะเห็นผมขึ้นไปเล่นบนเวทีอีกด้วย นี่ก็ต้องเตรียมตัวสำหรับงานมังงะ มาเช่ ที่ยูเนี่ยนมอล์ นะเนี่ย 555+ ติดตามรายละเอียดอื่นๆได้ที่ลายเซ็นผมละกันนะ

    ที่อยากประกาศแรงๆขึ้น มันยังไม่ล้มโว้ยยยย เรื่องนี้ตั้งใจแต่แรกแล้วว่ายังไงก็ต้องจบฉะนั้นไม่ว่าตูจะดองเป็นปี มันก็ต้องจบ ส่วนไอ้ฟิคยำบ้านั้นกำลังคิดอยู่้ว่าจะลองก่อน part 2 ดีไหมเพราะมันจะจบแย้ว ดูความเห็นพี่น้องก่อนละกันนะ

    สำหรับเรื่องนี้ผมอยากแนะนำให้เสียเวลากลับไปอ่านใหม่กันหน่อยนะครับ T T ไอ้โยอุตส่าห์ลากออกมาจากไหแล้วนะ แต่ถ้าไม่อ่านใหม่ไม่เป็นไร ตอนนี้ผมสรุปช่วงแรกถึงช่วงกลางของเรื่องเอาไว้ให้ท่านแล้ว 555+ โปรโมชั่นสุดๆ

    สำหรับ part 1 ผมจะแค่เกริ่นนำไว้เท่านั้น ไม่นานเกินรอตัว part 2 จะตามมานอนแน่ ฟันธง !!!

    Special Thanks

    ทุกท่านที่ยังอุตส่าห์แวะเข้ามาระลึกความหลัง

    And All Friends and Fans Thanks !!
  14. joi100

    joi100 นักเดินทางแห่งมิดการ์ด

    EXP:
    478
    ถูกใจที่ได้รับ:
    23
    คะแนน Trophy:
    38
    เฮ้ย โยเจ้ายังมีชีวิตอยู่นี่ฝ่า นึกว่าไปท่องเที่ยวต่างประเทศศซะและไม่เห็นหน้าเห็นตา ฮาๆ สบายดีไหมเจ้าน้องชาย

    จะฟิคไหนก็เอาซักทางเหอะพี่น้อง จัดมาตามอารมณ์เลย อยากอ่านฝีมือเจ้าโยเต็มที ช่วงนี้สงสัยเป็นเทศกาล งด"ดอง" ทุบไหกันเพียบฮาๆ

    แต่บทใหม่ จับใจความได้นิดเดียว สมเป็นบทเกริ่นนำ สู้เขาเจ้าน้องชาย
  15. derick

    derick Member

    EXP:
    339
    ถูกใจที่ได้รับ:
    1
    คะแนน Trophy:
    18
    ขออภัยอย่างแรง = =" พลาดไปหลายตอนมาก กร๊ากกกกกกก

    ไม่ได้อ่านนานชักมึนกับตัวละคร กร๊ากกกกกกกกกกกกก = =" เป็นความผิดของผมเองแหละ

    รู้สึกแต่ละตัวจะเมพ(??) เริ่มแบ่งแยกบทบาทตัวละครออกแล้ว ต่างตัวละครต่างมีเส้นทางและหน้าที่ของตัวเองที่จะต้องทำต้องเผชิญ อืม...ดีครับ ไม่ลำบากเวลาเขียนมากนัก แต่ไงก็ระวังนิดนะครับเยอะไปเดียวจะแย่เอา ฮา...

    ยังเป็นกำลังใจให้สำหรับบทใหม่ครับ ขออภัยอย่างแรงที่พลาดไปหลายตอน = ="
  16. alladiya

    alladiya สมาชิกที่ไม่มีอยู่จริง

    EXP:
    1,207
    ถูกใจที่ได้รับ:
    11
    คะแนน Trophy:
    88
    กลิ่นไหดองสุดยอดจริงๆ


    //me วิ่งหนีออกจากกระทู้ไปหาอากาสบริสุทธิ์
  17. jenovasung

    jenovasung Member

    EXP:
    152
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    16
    ......................
    ..............
    .....
    ...
    เซลล์สมองปิดการทำงานเรียบร้อย.....

    โยจังลงเเล้ว เเล้วตูล่ะ เมื่อไหร่จะลง

    /เผ่นนนนนนนน

    ปล..ไอ้บทนำนี่มันบทสารภาพรักของเจ้าเเม็คชัดๆเล๊ยยยยยยยยยย
  18. ultima

    ultima Active Member

    EXP:
    933
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    36
    เห้ย

    ไหงตอนนี้ ออกมาแค่นิดเดียวละทัน

    /me เหม็นกลิ่นไห สุดบรรยาย

Share This Page