10 พยัคฆ์กวางตุ้ง เป็นนิทานและเรื่องเล่าที่กล่าวถึงครูมวยของมณฑลกวางตุ้งที่โด่งดังทั้งสิบคนในปลายสมัยราชวงค์ชิง ประเทศจีนในตอนเหนือนั้นเป็นท้องทุ่งกว้าง แม้จะมีดินแดนกินพื้นที่เป็นส่วนใหญ่ของประเทศแต่กลับมีคนอาศัยอยู่น้อยกว่าในดินแดนทางภาคใต้ นั่นจึงเป็นเป็นเหตุให้ดินแดนทางตอนใต้เป็นแหล่งมังกรหมอบพยัคฆ์ซ่อนของประเทศ เพราะไม่ว่าจะด้วยการค้าขายสินค้ากับชาวต่างชาติ การฝึกกังฟู การก่อการก่อกบฎ ล้วนมีแหล่งชุมนุมที่ภาคใต้ โดยเฉพาะมณฑลกวางตุ้ง และมณฑลฮกเกี้ยน(ฝูเจียน)ต่างเป็นแหล่งชุมนุมเหล่ายอดฝีมือมากมาย ในช่วงที่ประเทศจีนกำลังเข้าสู่เหตุการผันผวนต่างชาติเริ่มรุกราน ดำเนินแผนยาฝิ่นบันทอนกำลังพลของประเทศ ขุนนางกังฉินรีดนาทาเร้น ราชสำนักสนใจแต่เรื่องในวังไม่สนใจชาวประชานั้นเอง ที่มณฑลกวางตุ้งก็มีครูมวยสิบท่านเป็นผู้นำชาวบ้านรวบรวมกำลังกันดำเนินกิจกรรมเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้แก่ชุมชน พวกเขาเหล่านั้นทั้งสิบถูกเรียกขานรวมกันว่า 10 พยัคฆ์กวางตุ้ง(Ten tigers from Kwangtung ชื่อหนังของชอบราเธอร์) ====================แนะนำตัวละคร================================================ เถี่ยเฉียวซาน (เหลียงควง) ( 梁坤 ) ---ตำนานว่ากันว่าเขาคือผู้นำของสิบพยัคฆ์กวางตุ้ง เขาเป็นบุตรคนที่สามของตระกูลเหลียง ฝึกวิทยายุทธ์หมัดใยเหล็ก ว่ากันว่าเขามีแขนที่แข็งแกร่งยากที่จะล้มลงจนเป็นที่มาของฉายาเถี่ยเฉียวซาน(สะพานเหล็กที่สาม=สามหมายถึงบุตรคนที่สาม) เถี่ยเฉียวซานนับเป็นผู้ที่เหี้ยมหาญที่สุดในสิบพยัคฆ์กวางตุ้งก็ว่าได้ ==================================================================================== หลีหยุนเชา 黎仁超 (ในภาพคือตี้หลุงตอนรับบทหลีหยุนเชาครับ) ---หลีหยุนเชาเป็นบุตรชายของเศรษฐีแซ่หลี เนื่องจากครอบครัวได้ผิดใจกันกับขุนนางกังฉินจนเป็นเหตุให้ต้องกำพร้าบิดามารดา ดังนั้นจึงฝึกวิชาฝ่ามือเหล็กเพื่อล้างแค้น แม้นดูภายนอกว่าเขาจะเป็นคนที่ยึดติดกับความแค้นแต่ที่จริงแล้วเขาเป็นคนที่อดทนที่สุด สุขุมที่สุด เยือกเย็นที่สุดในสิบพยัคฆ์กวางตุ้ง ----วิทยายุทธ์ประจำตัว ฝ่ามือทรายเหล็ก ที่สามารถฝึกถึงขั้นเหนี่ยวรั้งพลังฝ่ามือได้ดั่งใจ จนอยู่เหนือฝ่ามือทรายเหล็กทั่วไปที่เพียงเน้นขอให้ฟาดโดนเป็นเข้าว่า ===================================================================================== หวงฉีอิง ( 黄麒英 ) (ในภาพคือเจินจื่อตันตอนรับบทเป็นหวงฉีอิงในiron monkey) ----บิดาของหวงเฟยหงนั่นเองครับ หวงฉีอิง เป็นบุตรของ หวงไท้ และยังเป็นศิษย์ของลูอาไฉ่ ศิษย์เอกเส้าหลินรุ่นเดียวกับ หงซีกวน โดยใช้กังฟูที่เรียกว่า หงฉวน(มวยสกุลหง) ซึ่งหงฉวนจะแบ่งออกเป็นสองสายคือสายของหงซีกวนที่มีการดัดแปลงเข้ากับมวยหย่งชุน ส่วนมวยหงฉวนของลู่อาไฉ่จะเน้นที่ความรวดเร็วเด็ดขาดมากกว่าพร้อมทั้งพลิกแพลงตามหลักเส้าหลินดั้งเดิมมากกว่าของหงซีกวน(หมายเหตุมวยหย่งชุนเป็นมวยที่เน้นความอ่อนหยุ่น อาศัยพิชิตศัตรูในระยะเพียงหนึ่งชุ่นยังได้เพลงหมัดติดตามศัตรู) กังฟูเส้าหลินแบบ หงฉวนเป็นหนึ่งในรูปแบบการต่อสู้ที่เก่าแก่ที่สุดของจีนตอนใต้ เทคนิคและวิธีการฝึกฝนกังฟูชนิดนี้คงรูปแบบดั้งเดิมมาจนถึงปัจจุบัน ประกอบด้วยท่าสัตว์ 5 อย่างได้แก่ เสือ นกกระเรียน เสือดาว งู และมังกร ซึ่งสัตว์แต่ละชนิดจะมีลักษณะเฉพาะและความสำคัญที่แตกต่างกันไป ในทางเทคนิคแล้ว กังฟู หงฉวนอาศัยการทำงานของระบบในร่างกายในเชิงวิทยาศาสตร์ การเคลื่อนไหวและท่าเทคนิคจะเรียบง่าย ปฏิบัติได้จริง และได้ผลในการป้องกันตัวหรือต่อสู้ ในการฝึกฝนจะเน้นที่ปัจจัยต่างๆ อันนำไปสู่การใช้พลังอย่างมีหลักการเชิงวิทยาศาสตร์ ปัจจัยที่ว่าได้แก่ ความเร็ว ความไว ความสมดุล ความยืดหยุ่น จังหวะที่เหมาะสม และการจดจ่อที่เป้าหมาย ส่วนต่างๆ ของร่างกายจะถูกฝึกให้ทำงานประสานกันอย่างดี ทำให้ผู้ฝึกต่อสู้ได้ไม่ว่าจะอยู่ในระยะที่เอื้อมถึง ระยะประชิด ระยะกลาง ระยะไกล หรืออยู่ไกลเกินระยะต่อสู้ก็ยังได้ หวงฉีอิงนับเป็นอัจฉริยะบุรุษในบรรดาสิบพยัคฆ์กวางตุ้ง เพราะนอกจากจะมีมวยหงฉวนแล้ว ยังสามารถหลอมรวมเพลงหมัดพยัคฆ์เข้ากับหมัดกระเรียนเรียกว่าหมัดพันแววกระเรียนแล้ว ยังได้แลกเปลี่ยนกับ หวังอิหลิน(หนึ่งในสิบพยัคฆ์กวางตุ้ง) จนบัญญัติท่าไม้ตายประจำตระกูลซึ่งก็คือเท้าไร้เงานั่นเอง นอกจากจะเป็นครูมวยแล้วหวงฉีอิงยังเป็นหมอยาแก้ช้ำในและเป็นเป็นคนที่ถ่อมตนที่สุดในบรรดาสิบพยัคฆ์กวางตุ้งอีกด้วย ============================================================================================= ยาจกซู (Beggar Soh-- Beggar Su -- Su Chan) ยาจกซู หรือซูฉาน (เจ้าตำนานหมัดเมา) เป็นบุตรชายของคหบดีในมณฑลกวางตุ้ง So Suen บิดามารดาของซูซาน เสียทีทำการค้าให้แก่ฝรั่งจนต้องถูกศาลตัดสินเป็นขอทานตั้งตระกูล นอกจากนี้ซุซานยังเป็นบุตรบุญธรรมของ หัวหน้าพรรคกระยาจก ยาจกซูอีกด้วย วิชาที่เลื่องลือของซูซานก็คือ 8 เซียนเมาเหล้า ============================================================================================= เถี่ยจี้เฉิน(ทิจี้ตั้ง ในภาษาแต้จิ๋ว) ( 陈铁志 )นิ้วเหล็กเฉิน ไม่มีใครรู้ชื่อจริงของ ทิจี้เฉิน (ซึ่งนับเป็นคนที่ลึกลับมากๆ) รู้แต่ว่าเขาโด่งดัง มาจาก วิชาดรรชนีเหล็ก (ทิจี้) และแซ่เดิมคือเฉิน คาดว่าทิจี้เฉินคงปกปิดชื่อจริง ในยุคที่กำลังทำสงครามกับฝิ่น นิ้วเหล็กเฉิน ฝึกวิชาดรรชนีเหล็กส่าย จนมีพลังนิ้วกล้าแข็ง สามารถจี้ปราดแทงออกคมดุจกระบี่ และเขายังดัดแปลงวิชาดรรชนีเหล็กส่ายนี้เข้ากับหมัดอสรพิษของเส้าหลินอีกด้วย ภายหลังดัดแปลงวิชาหมัดตั๊กแตนเข้าด้วยจนเกิดเป็นวิชาไม้ตายประจำตัว ============================================================================================ ซูเฮ่ยหู่ ( 苏黑虎 ) โด่งดังจากวิชา กรงเล็บพยัคฆ์ รวมกับหมัดร่างเสือดำ สองในห้ายุทธสัตว์ของเส้าหลิน โดยพัฒนาเป็นวิชากรงเล็บสายของตนเอง เรียกว่า มวยเล็บเสือดาว (เสือดำ(panther)กับเสือดาว(Leopard) เป็นสัตว์ชนิดเดียวกัน ซึ่งความจริงแล้ว เสือดำก็คือ เสือดาวที่จุดเยอะจนทึบนั่นเอง) วิชากรงเล็บนับเป็นวิชาที่โหดเหี้ยมที่สุดในกระบวนยุทธของเส้าหลิน อาจารย์ในเส้าหลินมักจะถ่ายทอดลักษณะของเพลงหมัดเสือดำเสียมากกว่า ในภายหลัง (ถึงปัจจุบัน) มวยเล็บเสือดาว ถูกนับเป็นมวยนอก (หมายถึงมวยที่ไม่ได้อิงจากเส้าหลิน และสายไท้เก้กของบูตึ๊ง) เพราะด้วยความเหี้ยมของกระบวนท่า ============================================================================================ หวังอิ่นหลิน ( 王隐林 ) หวังอิ่นหลินนับว่าเป็นพยัคฆ์ที่วิทยายุทธประหลาดที่สุดในจำนวน10คน เพราะในวัยเยาว์ หวังอิ่นหลินอาจารย์เป็นลามะธิเบตชื่อว่า SingLung วิชายุทธของเขา จึงถูกบางคนประนามว่า "นอกรีต" ในสมัยนั้น ในบรรดา 10 พยัคฆ์นั้น หวังอิ่นหลิน สนิทชิดเชื้อกับ หวงฉีอิงมากที่สุด ทั้งคู่ได้แรกเปลี่ยนวิชาซึ่งกันและกัน จนในที่สุดจึงพัฒนามาเป็น มวยลูกครึ่งพุทธ-ธิเบต และ ต่อมาเป็น มวยจีนสาย hapka รวมถึง พัฒนามาเป็น มวยกระเรียนขาว ============================================================================================ หวงเติ้งเข่อ ( 黄澄可 ) หรือ หวงหัวเหล็ก หวงหัวเหล็ก เป็นศิษย์ฆราวาสของวัดสาขาย่อยในเขตกวางตุ้งของเส้าหลิน หวงหัวเหล็กมีวิชาเด่นคือ หมัดอรหันต์เศียรเหล็ก ซึ่งเป็นวิชาเอาหัวโขกข้าง เน้นเป้าหมายไปที่ท้องน้อย เป็นอีกหนึ่งวิชาประหลาดของเส้าหลินที่ฝรั่งงง ============================================================================================ ถันหมิ่น เป็นที่ใจร้อนมุทะลุมาก จนปู่ของเขาไม่สอนกังฟูให้ แต่เนื่องจากมีพรสวรรค์และมีความสนใจเรียนรู้จึงแอบฝึกจนชำนาญมวยสกุลถันอันประกอบไปด้วย สามหมัด สามเท้าคลี่คลาย ซึ่งแม้ว่าจะมีแค่หกกระบวนเพลงแต่ก็สามารถพลิกแพลงได้ร้อยแปดประการจนไร้ผู้ต่อต้าน อนึ่งนั้นถันหมิ่นนับถือกันฉันพี่น้องร่วมอุทรกับหลีหยุนเชา ============================================================================================== โจวไท่ ( 周泰 ) โจวไท่ เป็นคนเดียวใน10พยัคฆ์ที่ใช้อาวุธ โดยอาวุธของ โจวไท่ คือ พลอง โจวไท่ มีวิชาพลองเป็นเอกลักษณ์ที่ชื่อว่า Tai Cho Chooi Wan Khun หรือ เพลงพลองปฐมจักรพรรดิ์ล่าวิญญาณ (ชื่อหรูเนาะ แปลเป็นปะกิด Soul-Chasing Staff of the First Emperor) ที่โจวไท่ โด่งดังก็เพราะ ครั้งหนึ่งมีขุนนางค้าฝิ่น ได้นำฝิ่นเข้ามาในกวางตุ้งโดยผ่านพ่อค้าตะวันตกคนหนึ่ง พ่อค้าคนนี้ มีบอดี้การ์ดเป็นชาวฝรั่งเศส ซึ่งเป็นถึงระดับแชมป์มวยยุโรปโจวไท่และพวก ออกมาต่อต้านการค้าฝิ่นอย่างโจ่งแจ้ง ขุนนางคนนั้น คิดจะให้โจวไท่ เสียชื่อเสียง ไม่เป็นที่เคารพอีกต่อไปในฐานะครูมวย เลยท้าให้Chow Tai ประลองกับแชมป์มวยฝรั่งเศส กะว่าแชมป์ชาวฝรั่งเศสคงชนะแบบนอนมาแหงๆ แต่ปรากฏว่าโจวไท่ ใช้พลอง ตีซะแชมป์หน้ายับ หงายเก๋งไม่เป็นท่า ============================================================================================ http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=rynekel&date=01-01-2005&group=1&gblog=3
บทที่1โรงรับจำนำซวิ่นเฮิง ..........แสงแดดยามอรุณรุ่งสาดส่องตัวเมืองซิงหยวน อีกประมาณหนึ่งก้านธูปจะเป็นเวลาเปิดกิจการของร้านรวงทั่วไปในตัวตลาด โรงจำนำซวิ่นเฮิงของหลีหยุนเชาก็ไม่เว้น หลังจากที่พ่อบ้านฉี ฉีเซี่ยฟางตรากตรำทำงานบ้านเป็นระยะเวลาร่วมชั่วยามเศษจนกระทั่งเสร็จสิ้นนี่ก็ได้เวลาที่มันต้องอาบน้ำชำระร่างกายแล้ว ..........ฉีเซี่ยฟางเป็นชายวัยกลางคน* มันติดตามรับใช้นายเหนือและนายผู้ล่วงลับของมันเป็นระยะเวลายี่สิบปีเศษๆแล้ว มาตรแม้นว่ามันจะทำงานหนักแต่นายเหนือก็ปฏิบัติต่อมันอย่างดียิ่ง นายเหนือของมันมีผู้รับใช้ไม่มากนับโดยละเอียดแล้วเห็นมีเพียงสามคนเห็นจะได้ ทั้งนี้เพราะนายเหนือของมันไม่ชมชอบความโอ่อ่าและความวุ่ยวาย ..........ฉีเซี่ยฟางบรรจงกวาดธุลีดินกองสุดท้ายออกนอกลานกว้างหลังตัวเรือน ครั้นพอทำงานบ้านเสร็จสิ้นแล้วมันค่อยยืดกายบิดตัวขึ้นสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดครานึง ได้ยินเสียงร้องฮึดฮัด เสียงกระทืบเท้า กระดูกลั่นดังกรอบแกรบ ติดต่อกันหลายครั้งครา ชายหนุ่มผู้หนึ่งเปลือยกายท่อนบนกำลังฝึกปรือฝีมือ ที่มันฝึกปรือเป็นมวยตระกูลถาน .........อันมวยตระกูลถานนั้นกอปรด้วย สามเคล็ดหมัดคลี่คลาย สามเท้าไร้ผู้ต่อต้านในสามเท้าไร้ผู้ต่อต้านนั้นแต่ละกระบวนท่ากอปรด้วยด้วยสามท่าพลิกแพลง เมื่อฝึกปรือทั้งสองอย่างนี้สำเร็จแม้นว่ากระบวนท่าแต่เดิมมีจำกัดยิ่งแต่เมื่อเผชิญศัตรูเข้มแข็งสามารถพลิกแพลงรับมือได้แคล่วคล่อง ..........ฉีเซี่ยฟางเดินผ่านชายหนุ่มผู้นั้น เห็นมันชกหมัดกวาดเท้าฟาดฝ่ามือ ทุกท่าทั้งรวบรัดหนักหน่วงยิ่งมายิ่งใกล้กระทบถูกฉีเซี่ยฟาง ฉีเซี่ยฟางหวั่นเกรงตนได้รับบาดเจ็บถังกับไม่กล้าขยับกาย ร่างกายเนื้อหนังกลายเป็นแน่นิ่งดุจมนุษย์หิน แม้แต่ลมหายใจก็แทบจะขาดห้วง เห็นแน่ชัดว่าสองหมัดของชายหนุ่มผู้นั้นใกล้กระทบถูกใบหน้าของฉีเซี่ยฟางแต่แล้วพลันหยุดนิ่งลง ........เมื่อครู่นี้ชายหนุ่มผู้นั้นชกหมัดออกมาบังเกิดลมฝ่ามือรุนแรง กระทั่งฉีเซี่ยฟางรู้สึกปวดแสบนัยน์ตา แต่แล้วพลันหยุดนิ่งแม้แต่สภาวะต่อเนื่องก็หยุดชะงักนี่แสดงถึงฝีมือในการควบคุมช่วงแขนอันยอดเยี่ยมยิ่ง ชายหนุ่มผู้นี้ฝึกปรือถึงขั้นใดย่อมเป็นที่คาดคิดได้ ฉีเซี่ยฟางลืมเปลือกตาขึ้นเห็นใบหน้าหล่อเหลา ยิ้มอย่างกรอกกลิ้ง ชายหนุ่มผู้นั้นกล่าวว่า “นับว่าท่านฉลาดมากหากเมื่อครู่ท่านไม่หลบเลี่ยงเราก็ชกไม่ถูกท่านแล้ว” ว่าพลางใช้สองมือตบแก้มฉีเซี่ยฟาง เบาๆแล้วหัวร่อฮาๆ ฉีเซี่ยฟางฝืนยิ้มพลางตอบว่า “คุณชายถานบัญญัติกฎ ในการต่อยตี เราผู้เฒ่าทราบเรื่องนี้ตั้งแต่แรกไหนเลยบังอาจนอกเหนือกฎเกณฑ์” “ถูกแล้ว เราถานหมิ่นมีกฎเกณฑ์อยู่ข้อหนึ่งหากไม่ตอบโต้จะชกเพียงหมัดเดียว หากคิดตอบโต้หรือหลบเลี่ยงจะไม่ยั้งมือ” “คุณชายถาน บ่าวไพร่ขอตัวก่อน พวกเราจะตั้งโต๊ะตอนยามสี่เศษๆ(หมายถึงสองโมงเช้า) ท่านหากหิวโหยก็ไปรับประทานก่อนได้” “ไม่เป็นไรเราจะรับประทานพร้อมกันกับพี่หยุนเชา” ฉีเซี่ยฟางพอสนทนาเสร็จสิ้นก็ผละจากไปอาบน้ำชำระกาย .............ถานหมิ่นพออาบน้ำเสร็จสิ้นก็ได้เวลายามสี่เศษๆพอดี บนโต๊ะอาหารมีชายฉกรรจ์ผู้หนึ่งท่าทีสง่าผ่าเผยนั่งรออยู่ก่อนแล้ว มันแม้ไม่หล่อเหลาเท่าถานหมิ่นแต่ใบหน้ามันคมสันหนวดเหนือริมสีปากตัดเรียบไม่ขาดไม่เกินเข้ากับเค้าใบหน้าพอดี คนผู้นี้คือหลงจู้โรงจำนำซวิ่นเฮิงหลีหยุนเชานั่นเอง ถานหมิ่นทรุดนั่งลงที่เก้าอี้ฟากตรงข้ามหลีหยุนเชาพลางกล่าวว่า “พี่ใหญ่ ท่านรอนานแล้ว?” “ราวๆ ก้านธูปครึ่งเห็นจะได้” “ท่านกลับรอนานถึงเพียงนั้น กับข้าวทำเสร็จนานแล้วไฉนไม่ให้คนไปบอกข้าพเจ้า” หลีหยุนเชายิ้มพลางกล่าวว่า “เนื่องเพราะเราต้องการอยู่คนเดียว ใช้สมองครุ่นคิดถึงเรื่องการค้า” ถานหมิ่นทอดถอนใจครานึงพลางกล่าวเสียงหงอยเหงาว่า “ข้าพเจ้าหนีออกจากบ้านมาอาศัยอยู่กับท่าน นึกว่าที่นี่มีเรื่องราวสนุกสนานไหนเลยคาดคิดว่า..........” มันหยุดกล่าวเล็กน้อยคล้ายกับมีเจตนาให้หลีหยุนเชาสอดคำ แต่หลีหยุนเชาเพียงนั่งนิ่งไม่กล่าววาจาดังนั้นจึงกล่าวว่า “ไหนเลยคาดคิดว่าที่นี่มีแต่ความเบื่อหน่าย ทั้งวันมีแต่เรื่องค้าขายไม่มีเรื่องราวอื่นให้กระทำ” “เรามิใช่บอกกล่าวต่อท่านหรอกหรือว่าที่นี่เป็นโรงรับจำนำมิใช่เวทีประลอง หรือบ่อนพนัน เป็นท่านเองที่ไม่เชื่อดื้อรั้นติดตามเรามา” ถานหมิ่นทอดถอนใจอีกคราพลางว่า “นั่นเพราะแรกเริ่มข้าพเจ้าได้ยินท่านบอกว่าจะดำเนินแผนการล้างแค้นให้แก่ท่านลุงหลีผู้ล่วงลับ ข้าพเจ้าจึงคิดว่าจะมีเรื่องราวสนุกสนานน่าติดตาม อีกทั้งยังคิดเป็นผู้ช่วยท่านหากมีการวิวาทแต่หาคาดคิดไม่จวบจนเวลาผ่านมาสิบเดือนครึ่งปียังมิได้ลงมือแม้แต่น้อย” หลีหยุนเชายกถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบอึกนึง ปั้นสีหน้าเคร่งเครียดพลางกล่าวว่า “น้องเรา นั่นมิใช่ว่าเราผู้พี่มิต้องการที่จะลงมือ หากแต่คิดที่จะลงมือต่อศัตรูต้องศึกษาใคร่ครวญเรื่องราวของฝ่ายตรงข้ามให้ละเอียด พอลงมือก็ต้องขุดรากถอนโครนให้สิ้นซากหาไม่แล้วภายภาคหน้าอาจจะนำภัยมาสู่ตัวได้” “ที่ท่านกล่าวมาก็ถูกอยู่ แต่ข้าพเจ้าว่าโจวเหว่ยเจียงผู้นั้นไม่น่าจะมีพิษสงเท่าใดนัก พี่ใหญ่ท่านออกจะระแวงไปแล้ว” “มิผิดหากลำพังแค่โจวเหว่ยเจียงนั้นไหนเลยอยู่ในสายตาเรา แต่คนผู้นี้เป็นพี่ชายของโจวตงเซิน ท่านอาจไม่ทราบโจวตงเซินมีความสามารถพิเศษอย่างหนึ่ง มันมีลิ้นทองลิ้นหนึ่งใช้กล่อมหูผู้คนเจรจาหว่านล้อมได้ดียิ่ง ท่านพ่อท่านแม่ที่ด่วนจากไปส่วนหนึ่งเป็นเพราะเชื่อน้ำคำมัน” วาจาพอเอ่ยถึงตอนท้ายแปรเปลี่ยนเป็นสั่นเครือ เต็มไปด้วยความเศร้าสลดคะนึงหาและความเคียดแค้น ได้ยินเสียงกระดูกลั่นกรอบแกรบกระทบหูคาดว่าหลีหยุนเชากำหมัดแน่นเป็นการระบายความเคียดแค้น ถามหมิ่นเห็นมันมีสีหน้าเคร่งเครียดทราบว่ามันนึกถึงความหลังอันน่าเจ็บช้ำ จึงหันเหหัวเรื่อง “ดีที่มาอยู่ที่นี่ข้าพเจ้าได้ฝึกปรือฝีมือเต็มที่ เฮอะจิ้งจอกเฒ่านั่นหวงแหนวิชาฝีมือ นึกหรือว่าเราฝึกปรือเองไม่ได้ ดีที่ได้พี่ใหญ่ช่วยเป็นคู่ซ้อม ครึ่งปีมานี้ข้าพเจ้ามีฝีมือรุดหน้าไปมากจริงๆ” “นั่นได้แต่โทษกล่าวว่าท่านใจร้อนวู่วาม ท่านปู่ของท่านกลัวว่าท่านหากฝีมือสูงเยี่ยมจะไม่เห็นผู้คนอยู่ในสายตา พอเอ่ยปากก็ต่อยตีอย่างนั้นใยมิใช่การนำภัยมาสู่ตัว” ถานหมิ่นเปลี่ยนเป็นเซื่องซึมหงอยเหงา ที่หลีหยุนเชากล่าวมานั้นถูกต้องจริงๆ มันมีนิสัยใจร้อนวู่วามไม่รู้จักยั้งคิด ทั้งยังชมชอบการต่อยตี ครั้งนึงมันเห็นพ่อค้าผู้หนึ่งใช้งานชายชราผู้หนึ่งนวดเฟ้นบีบเค้น มันเข้าใจว่าพ่อค้าคนนั้นเอาเปรียบผู้ยากไร้ ดังนั้นลงมืออาละวาทใส่พ่อค้ารายนั้นทำร้ายคนงานมันสิบกว่าคน กับพ่อค้ารายนั้นทุบตีมันแทบตาย ภายหลังค่อยทราบว่าชายชราผู้นั้นมีอาชีพเป็นหมอนวดแก้ช้ำใน พ่อค้ารายนั้นเดินทางไกลนั่งรถเทียมล้อตกหล่มจนเอวเคล็ดขัดยอก ดังนั้นจึงว่าจ้างชายชราผู้นั้นให้รักษา เรื่องนี้สร้างความเสื่อมเสียหน้าให้แก่ถานจี้อุนปู่ของถานหมิ่นยิ่ง ดังนั้นกับมวยสกุลถานนั้นถานจี้อุนเพียงสอนให้แก่ถานหมิ่นในระดับพื้นฐาน เคล็ดความพลิกแพลงชั้นสูงเป็นถานหมิ่นลักลอบร่ำเรียนเอง ยังดีที่หลีหยุนเชาครั้งเยาววัยเคยพึ่งพาตระกูลถานจึงสนิทชิดเชื้อกับถานจี้อุนไปมาหาสู่กันอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นถานหมิ่นพอได้เห็นหลีหยุนเชาปรึกษาเรื่องการล้างแค้นกับถานจี้อุน จึงขอติดตามหลีหยุนเชามาด้วย หลีหยุนเชาฝึกฝ่ามือแปดทิศ ทั้งยังฝึกปรือมวยทงปี้และฝ่ามือทรายเหล็ก ฝีมือสูงเยี่ยมหายากหาใครเทียบ ถานหมิ่นพอมาอาศัยอยู่โรงจำนำซวิ่นเฮิงเลยได้รับคำชี้แนะจากหลีหยุนเชาไปด้วย เมื่อเทียบกับการฝึกปรือโดยตรงแล้วการมีคู่มือสูงเยี่ยมอย่างหลีหยุนเชายังช่วยให้รุดหน้าโดยเร็วกว่าขั้นหนึ่ง หากเป็นผู้อื่นนั้นคงมิอาจรับความวุ่ยวายของถานหมิ่นได้ แต่หลีหยุนเชาเป็นคนที่มีความอดทนอดกลั้นเป็นเลิศ มันฝึกปรือฝ่ามือทรายเหล็กเป็นเวลาสองชั่วยามต่อวันตั้งแต่อายุ สิบสี่จนถึงยี่สิบ พออายุยี่สิบเอ็ดปีค่อยลดเวลาเป็นหนึ่งก้านธูปต่อวัน ความทรมานที่ได้รับเป็นระยะเวลาเนิ่นนานหล่อหลอมจิตใจคนให้แข็งแกร่งดุจเหล็กกล้าเยือกเย็นดั่งน้ำแข็งกับนิสัยอันแปลกประหลาดของถานหมิ่นกลับกลายเป็นเรื่องธรรมดาสามัญไป ถานหมิ่นฝึกปรือฝีมือจนอ่อนเรี่ยวแรง ท้องร้องโครมครามดังนั้นจึงว่า “พี่ใหญ่รับประทานข้าวเถอะ” ทั้งสองคนรับประทานได้สักครู่หนึ่งหลีหยุนเชาจึงกล่าวว่า “น้องเรา เราเห็นท่านเบื่อหน่ายวันนี้เมื่อถึงยามบ่ายแล้วท่านออกไปข้างนอกกับเราดีหรือไม่” “ดียิ่ง ไม่ทราบว่าพี่ใหญ่คิดไปที่ใด” “ไปหาซูเฮอหู่แห่งท่าเรือหมีหู่” ถานหมิ่นกล่าวด้วยความยินดีว่า “ว่ากระไร ได้ยินมาผู้แซ่ซูฝึกปรือกรงเล็บเสือดาวมีฝืมือสูงเยี่ยมนี่พอดีสบอารมณ์ข้าพเจ้า ฮาๆซูเฮอหู่เอยเราขอต่อยตีกับท่านสักครา” หลีหยุนเชากล่าวเสียงเย็นชาว่า “ถานหมิ่นเราไปหาหัวหน้าท่าซูมิใช่เพื่อไปประลองฝีมือ หากแต่ไปเจรจาดำเนินธุรกิจท่านทางที่ดีประพฤติตัวเอาให้เรียบร้อยเข้าไว้ อย่าได้ทำอันใดนอกสายตาเราเป็นอันขาด” ถานหมิ่นถอนหายใจหนักหน่วงครานึงปากร่ำร้องว่า “การค้าขายอีกแล้ว พี่ใหญ่หรือว่าท่านไม่คิดล้างแค้นแล้วจริงๆ” “เราไม่ใช่ล้มเลิกความตั้งใจที่จะล้างแค้น หากแต่ต้องการบีบให้ฝ่ายตรงข้ามจนตรอกและสำนักเสียใจ.” จากนั้นหยุดเล็กน้อยแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “หากคิดกำจัดตระกูลโจวให้สิ้นซากต้องชิงปิดกั้นหนทางรอดของมันก่อน จากนั้นค่อยสำเร็จโทษพวกมัน ตระกูลโจวมีกิจการน้อยใหญ่ในกวางตุ้งมากมายอีกทั้งยังมีการคบหากับผู้มีอิทธิผลในมณฑลใกล้เคียงแต่ยังดีที่ทางด้านการค้าขายส่งออกทางน้ำมันยังมิได้ครอบงำ ดังนั้นเราจึงต้องลงมือก่อน การไปพบซูเฮ่อหู่ก็คือหนทางไปสู่การเป็นเจ้าของกิจการทางชายฝั่งที่ว่านั่น” ถ่านหมิ่นยกมือเกาศีรษะสีหน้ามึนงงไม่เข้าใจยิ่งยามอับจนถ้อยไม่ทราบว่ากล่าวกระไรดีได้แต่บอกว่า “ข้าพเจ้าพอได้ฟังแล้วยังสงสัยอยู่หลายส่วน แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามพี่ใหญ่คิดกระทำการใดข้าพเจ้าล้วนคล้อยตาม” หลีหยุนเชาปิติยินดียิ่งยกมือตบไหล่ถานหมิ่นพลางบอกว่า “ดี นี่จึงสมควรเป็นพี่น้องอันประเสริฐ” จากนั้นแย้มยิ้มพลางกล่าวว่า “น้องเราท่านไม่ต้องกลัวว่าท่านจะมิได้ต่อยตี เราผู้พี่วางแผนถล่มบ่อนของผู้โจวนั่นแล้ว มารดามันเถอะผู้แซ่โจวเอาแต่เปิดแหล่งอบายมุข เช่น โรงฝิ่น บ่อนการพนัน ทั้งยังปล่อยกู้เรียกดอกเบี้ยในอัตราสูง จนเป็นการทำร้ายชาวบ้านทั้งทางตรงและทางอ้อม แม้นเราไม่มีความแค้นกับมันยังคงรังเกียจมันดุจอาจม” “อย่างนั้นเราก็ได้แต่เฝ้ารอวันนั้นแล้ว” ทั้งสองรับประทานอาหารได้อีกสักพัก ก็เห็นฉีเซี่ยฟางเดินสาวเท้ารวดเร็วมาแต่ไกล หลีหยุนเชาถามว่า “ลุงฉีมีเรื่องราวใดหรือ?” “เรียนนายน้อยเมื่อครู่นี้มีหญิงสาวนางหนึ่งล้มลงสิ้นสติยังหน้าร้านปากร่ำร้องต้องการพบหลีหลงจู้ ตอนนี้ให้หนีมาคอยดูแลปฐมพยาบาลอยู่” “อืมดีแล้ว อีกสักครู่รบกวนท่านลุงส่งคนไปเชิญหมอมาดูอาการของนางด้วย” “ทราบแล้ว นายน้อยต้องการให้เราเรียกท่านไปพบนางทันทีหลังจากได้สติหรือไม่” “มิจำเป็นรอให้นางพักฟื้นให้ดีก่อน ค่อยไปพบนางก็ไม่สายเกินไป....ยังมีอีกเรื่อง วันนี้เราจะออกไปข้างนอกกับถานหมิ่น......เรื่องราวในโรงจำนำรบกวนท่านลุงจัดการด้วย” “บ่าวทราบแล้ว...ไม่ทราบว่านายน้อยคิดไปที่ใด” “ไปท่าเรือหมีหู่ เพื่อพบกับซูเฮอหู่” ================================================================================================