โครกครากกก!!! เสียงท้องร้องของนักเดินทางหนุ่มที่กำลังมองซ้ายมองขวาหาร้านอาหารหรืออะไรก็ได้ที่บรรเทาเสียงร่ำร้องจากท้องของเขาให้มันหายไปซักที เพิงขายอาหารข้างทางเล็กๆแต่มีลูกค้าคึกคักชายหนุ่มล้วงลงไปในกระเป๋าเงินเพื่อหาค่าอาหารของมื้อนี้แต่จะควานหาเท่าไรก็เจอเพียงเหรียญทองแดงสองเหรียญเท่านั้น เสียงถอนหายใจลอดออกมาจากชายหนุ่มผมดำ “สุดท้ายก็ได้แค่ขนมปังก้อนเดียวสินะ” นักเดินทางหนุ่มก็เดินไปยังเคาน์เตอร์หน้าร้าน “ขอขนมปังก้อนหนึ่งครับ แล้วเอ่อไม่ทราบว่าแถวนี้พอจะมีงานพิเศษให้ทำบ้างไหมครับ?” เจ้าของร้านขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางรับเงินจากนักเดินทางหนุ่ม “พ่อหนุ่มตอนนี้องค์หญิงของเมืองนี้ถูกปีศาจลักพาตัวไป ทางพระราชาให้รางวัลงามทีเดียว” และใบปลิวใบหนึ่งถูกยืนส่งให้พร้อมขนมปัง “ขอบคุณสำหรับข่าวสารนะครับคุณพ่อค้า”นักเดินทางก้มหัวเล็กน้อยแล้วยัดขนมปังเข้าปากพร้อมๆกับเดินไปอ่านใบปลิวไป “รางวัลเงินหนึ่งแสนทองและได้แต่งงานกับเจ้าหญิงอย่างนั้นรึ? คงจะสบายไปอีกนานเลยทีเดียวก็น่าคุ้มค่าที่จะลองอยู่นะ” . . . . . หลังจากตามข่าวสารภายในเมืองก็ได้ความว่าลึกสุดป่าทางเหนือของเมืองมีถ้ำแห่งหนึ่งตั้งอยู่ ซึ่งใครก็ตามที่ย่างกรายเข้าไปบริเวณนั้นแล้วก็ไม่ได้กลับมาอีกเลย นักเดินทางหนุ่มสาวเท้าผ่านต้นไม้ต้นแล้วต้นเล่าฝ่าความเงียบงันของป่าที่ไร้แม้กระทั่งเสียงของแมลงและนกขนาดเล็กที่ควรออกมาหากินตามปกติ ถึงจะเป็นนักเดินทางผ่านป่ามาหลายที่แต่บรรยากาศแบบนี้ก็ไม่มากครั้งนักที่เขาต้องเผชิญกับมันซึ่งหมายถึงความอันตรายของป่าแห่งนี้เลยทีเดียว ระหว่างทางแม้จะเผชิญสัตว์ป่าดุร้ายมากมายแต่มันก็ไม่เกินกำลังของนักเดินทางที่เคยชินสถานการณ์เช่นนี้มาแล้วพอจะเอาตัวรอดผ่านมาได้ นักเดินทางหนุ่มเลือกที่จะเลี่ยงการต่อสู้ให้มากที่สุดจนเดินทางมาถึงถ้ำเล็กๆติดเชิงเขาภายในป่าลึกแห่งนี้ ทันทีที่เข้ามาถึงบริเวณยังไม่ทันที่เขาจะได้หยุดยืนพักหายใจหรือนั่งลงพักเหนี่อย เงาสีดำทมึนของอะไรบางอย่างก็พุ่งเข้าใส่เขาอย่างรวดเร็ว เคล้ง!!!! เสียงโลหะปะทะกันอย่างรุนแรงของดาบทั้ง2เล่ม เล่มแรกเป็นดาบยาวเรียวรูปแบบตะวันออกที่เรียกติดปากกันว่า "คาตานะ" ในมือของนักเดินทางหนุ่ม อีกเล่มเป็นดาบใหญ่ใบหนาแบบตะวันตกในมือของคนในเสื้อคลุมสีดำ ทั้งคู่ต่างฟาดฟันกันอย่างรวดเร็วและรุนแรง เพียงประดาบกันได้เพียงแว่บแรก นักเดินทางหนุ่มบอกตัวเองได้ทันทีเลยว่าคนที่ประดาบด้วยอยู่นั่นฝีมือไม่ธรรมดาเลยแม้แต่น้อยถึงจะอยู่ในผ้าคลุมสีดำทั้งตัวแต่ก็เคลื่อนไหวได้รวดเร็วมาก นักเดินทางหนุ่มแสยะยิ้มนี่คงเป็นสิ่งที่เขาตามหา ข่าวสารที่เขาได้มาไม่ผิดแล้วสินะ หลังจากปะทะกันอยู่ในชั่วอึดใจนักเดินทางหนุ่มตัดสินใจที่จะจบการต่อสู้ครั้งนี้ลงเพียงเท่านี้เพราะขืนปล่อยให้มันยืดเยื้อไปกว่านี้เขาเองก็ไม่รู้จะต้านทานได้นานแค่ไหนด้านกำลังเขาด้อยกว่าฝ่ายตรงข้ามอยู่พอสมควรเลยทีเดียว นักเดินทางผู้ที่เดินทางรอนแรมมาเพื่อหารายได้พิเศษ กระโดดถอยหลังไปพิงต้นไม้ขนาดใหญ่ที่ไม่ห่างออกไปนักเก็บดาบคาตานะในมือลงฝักหลับตานิ่งราวกับเชื้อเชิญให้ฝ่ายตรงข้ามเข้าไปโจมตี คนในชุดดำชั่งใจเล็กน้อยแล้วก็พุ่งเข้าโจมตีอย่างรวดเร็วรุนแรงหมายจะจบการต่อสู้ในครั้งนี้ลงเช่นกัน ชั่ววินาทีที่ตัดสินชีวิตของคนที่หลับตานิ่งคาตานะถูกชักออกจากฝักด้วยความเร็วระดับที่สายตามองตามไม่ทัน กระแทกอย่างรุนแรงกับดาบเล่มใหญ่ส่งผลเปลี่ยนทิศทางของดาบใหญ่เบี่ยงออกจากจุดตายแม้เพียงเสี้ยววินาทีก็เพียงพอแล้วสำหรับนักเดินทางหนุ่มที่จะตวัดเอาสันดาบย้อนกลับพุ่งเข้ากระแทกบริเวณหัวของคนในชุดดำอย่างรุนแรง ส่งผลให้ร่างนั้นลอยเคว้งไปตามแรงปะทะของดาบลงไปฟุบนิ่งอยู่กับพื้น แต่ก่อนที่นักเดินทางหนุ่มจะได้ขยับตัวใดๆก็มีเสียงของหญิงสาวคนหนึ่งร้องมาจากในถ้ำ “หยุดนะ!!” ร่างของหญิงถลาเข้ามากอดคนในชุดดำร้องให้สะอึกสะอื้น “ได้โปรดปล่อยเรา 2 คนไปเถอะเราเองก็มีสร้อยคอเส้นนี้เป็นของมีค่าที่สุดในตัวเราแล้วถ้าท่านอยากได้เงินรางวัล เอาสร้อยเส้นนี้ไปขายมันในตลาด ท่านจะได้เงินมากว่ารางวัลที่ท่านพ่อให้ท่านเสียอีก ได้โปรดให้ข้าได้อยู่กับเขาเพียงลำพังด้วยเถิด”หญิงสาวที่นักเดินทางหนุ่มได้มองชัดๆก็คือเจ้าหญิงที่ถูกปีศาจจับไปนั่นเองเธอร้องให้สะอึกสะอื้นมองเขาด้วยสายตาอ้อนวอนพร้อมกับยื่นสร้อยคอเส้นงามให้ ถึงจะไม่ทราบเรื่องราวทั้งหมดแต่เขาก็พอจะเดาได้เลาๆ เพราะองค์หญิงตรงหน้าเปิดผ้าคลุมของคนชุดดำออกเผยให้เห็นชายหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่งสลบอยู่ซึ่งถ้าเขาเดาไม่ผิดคงจะเป็นคนรักขององค์หญิงคนนี้สินะ นักเดินทางหนุ่มเดินเข้ามารับสร้อยคอจากองค์หญิง พลั่ก!! องค์หญิงที่กำลังร้องให้สติหลุดลอยออกจากร่างทรุดฮวบนอนซบอยู่บนร่างของชายหนุ่มในผ้าคลุมสีดำนักเดินทางหนุ่มยิ้มมุมปาก นักเดินทางหนุ่มแบกร่างของหญิงสาวขึ้นบ่ามุ่งตรงกลับไปเมืองหลวงพร้อมทิ้งจดหมายฉบับหนึ่งไว้ในมือร่างที่ไร้สติของชายหนุ่มในผ้าคลุมดำ . . . . . ข่าวการช่วยเหลือองค์หญิงกลับมายังปราสาทแพร่สะพัดไปทั่วเมือง งานเฉลิมฉลองถูกจัดขึ้นพร้อมการมอบรางวัลแก่นักเดินทางหนุ่ม ภายในท้องพระโรงถูกตกแต่งอย่างงดงาม พระราชาสีหน้าสดใสปรากฏตัวเข้ามาในท้องพระโรงพร้อมกับเจ้าหญิงในชุดเต็มยศแต่สีหน้านั้นเศร้าหมองผิดกับผู้เป็นบิดาราวกับฟ้ากับเหว แต่ก่อนที่จะได้ดำเนินการพิธีการใดๆร่างของชายหนุ่มหน้าตาดีคนนั้นปรากฏตัวในชุดเกราะเต็มยศของแม่ทัพนายกองชั้นสูงแม้จะสร้างความแปลกใจให้กับหลายๆคนแต่ไม่ใช่นักเดินทางหนุ่มที่ลอบยิ้มอยู่มุมปาก “ท่านพระราชา ข้าน้อยเป็นเพียงผู้นำเจ้าหญิงมาส่งเท่านั้น ส่วนชายหนุ่มคนนี้แหละคือผู้ช่วยเหลือที่แท้จริงที่ไปช่วยเจ้าหญิงมาจากปีศาจร้าย ฉะนั้นรางวัลทั้งหมดก็ควรตกเป็นของเขา”นักเดินทางหนุ่มยืนขึ้นเอ่ยเสียงดังก้องพร้อมกับผายมือไปยังแม่ทัพคนนั้น ที่ได้แต่ยืนนิ่งเพราะงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ประโยคที่ไม่คาดฝันว่าจะออกมาจากปากของนักเดินทางหนุ่ม เรียกเสียงเซ็งแซ่ไปทั่วทั้งท้องพระโรงแต่ก่อนที่ใครจะได้ตั้งตัวหรือสอบถามอะไรนักเดินทางหนุ่มก็เดินเข้าไปก้มหัวให้เจ้าหญิงที่มีสีหน้าแปลกใจเป็นอย่างมาก “สิ่งที่องค์หญิงขอร้องข้านั้นเป็นจริงแล้วนะขอรับ ส่วนสร้อยเส้นนี้มันไม่เหมาะกับคนจรไร้หัวนอนอย่างข้าน้อยเลยซักนิดขอให้พระองค์รับมันคืนไปด้วยเถิด” นักเดินทางหนุ่มกล่าวพลางยื่นสร้อยคอเส้นที่องค์หญิงเคยให้เขาไว้เพื่อส่งคืนเจ้าของ แล้วเขาก็เดินตรงไปยังหีบที่มีเงินจำนวนหนึ่งแสนทองตั้งไว้อยู่พลางหันหน้าไปคุยกับแม่ทัพคนนั้นที่ยังคงยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูก “สำหรับค่าตอบแทนในการนำเจ้าหญิงมาส่งยังเมืองแทนตัวของท่านข้าน้อยขอรับไปล่ะนะ” กล่าวจบนักเดินทางหนุ่มก็ก้มไปหยิบเหรียญทองสีสุกใสขึ้นมาจากหีบเพียงหนึ่งกำมือใส่ในกระเป๋าของเขาแล้วเดินออกจากท้องพระโรงโดยไม่ใส่ใจกับเสียงร้องเรียกจากทั้งพระราชาและคนอื่นๆภายในนั้นแม้แต่น้อย แต่ก่อนที่นักเดินทางจะเดินพ้นออกจากเขตปราสาทก็มีเสียงตะโกนเรียกเขาไว้อีกครั้ง เมื่อเหลือบกลับไปมองก็พบแม่ทัพคนนั้นกับองค์หญิงวิ่งกระหืดกระหอบตามเขามา “ท่านนักเดินทางทำไมถึงทำแบบนี้?”องค์หญิงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย นักเดินทางหนุ่มยิ้มให้เล็กน้อย “ก็องค์หญิงขอร้องข้าน้อยว่าให้ได้อยู่กับชายผู้นี้มิใช่หรือ ตอนนี้ท่านทั้งคู่ก็ได้แต่งงานอยู่ด้วยกันตามที่พระราชาตั้งรางวัลให้แล้วมิใช่หรือ?มันไม่ดีตรงไหนล่ะ?” “จดหมายที่ท่านทิ้งไว้บอกให้ข้ามาที่ปราสาทก็เพื่อสิ่งนี้สินะท่านนักเดินทาง?”แม่ทัพหนุ่มซึ่งบัดนี้คืออนาคตสามีขององค์หญิงเอ่ยถามมาด้วยเช่นกัน นักเดินทางหนุ่มส่ายหน้ายิ้มยวนๆ “เปล่าถ้าท่านไม่มาข้าก็ว่าจะอยู่แบบสุขสบายเป็นราชบุตรเขยอยู่ที่นี่เหมือนกันล่ะนะ แต่ในเมื่อท่านมาก็ดีเรื่องก็จบแบบมีความสุขไปอีกแบบ ขออวยพรให้พวกท่านครองรักกันอย่างมีความสุขล่ะ” “เดี๋ยวก่อนข้าขอเพียงได้อยู่กับองค์หญิงก็มากเกินความฝันของข้าแล้ว รางวัลหนึ่งแสนเหรียญทองขอให้ท่านรับไปด้วยเถอะแค่นี้มันก็มากพอที่จะทำให้สุขสบายไปทั้งชีวิตแน่ๆล่ะ”แม่ทัพหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง นักเดินทางหนุ่มเลิกคิ้วแล้วตบกระเป๋าที่เต็มไปด้วยเหรียญทองกระทบกันส่งเสียงกรุ๊งกริ๊ง “ข้าได้ค่าตอบแทนที่พอใจแล้วล่ะขอตัวไปก่อนนะท่านทั้งสอง” นักเดินทางหนุ่มหันหลังให้คนทั้งคู่แล้วเริ่มออกเดิน ทำให้แม่ทัพหนุ่มและองค์หญิงมองหน้ากันเอง แล้วก็เอ่ยออกมาพร้อมกันว่า “ขอบคุณ” พร้อมกับกับก้มหัวโค้งตัวลงแสดงความขอบคุณจากใจจริงที่ไม่อาจจะได้เห็นง่ายๆที่คนสูงศักดิ์มียศตำแหน่งจะแสดงแก่คนพเนจรที่ไร้หัวนอนปลายเท้าแบบนี้ นักเดินทางหนุ่มโบกมือให้โดยไม่หันกลับมามองเชิงรับการขอบคุณแล้วก็เดินหายลับไปจากสายตาของคนทั้งคู่ มาหยุดอยู่ที่หน้าเมืองเงยหน้ามองท้องฟ้ายามสายที่สว่างเจิดจ้าจนต้องเอามือบังแสงแดดไม่ให้แยงดวงตา “เงินทุนในการเดินทางก็มีแล้วจะไปไหนต่อดีนะเรา”จบประโยคก็มีสายลมพัดวูบผ่านร่างของเขาไปนักเดินทางหนุ่มยิ้มออกมาเล็กน้อยแล้วเดินมุ่งหน้าไปตามทิศทางของสายลมที่พัดผ่านไป . . . . . . “เรื่องราวทั้งหมดก็จบลงอยู่เท่านี้ล่ะนะเด็กๆ นี่ก็เย็นมากแล้วเอาล่ะแยกย้ายกลับบ้านไปได้แล้วเดี๋ยวโดนพ่อแม่ดุเอานะ” ชายหนุ่มผมสีดำยุ่งๆในชุดผ้าคุลมสีเทาตุ่นๆขะมุกขะมอมไปทั้งตัวเอ่ยกับเด็กชายหญิง 4-5 คนนี่นั่งฟังเขาเล่าเรื่องอยู่เบื้องหน้าเขา “แล้วแม่ทัพกับองค์หญิงแต่งและอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขใช่มั๊ยพี่ชาย?” เด็กชายคนหนึ่งถามขึ้น ชายหนุ่มยิ้มเล็กน้อย “มีความสุขสิทั้งคู่แต่งงานอยู่ในกันอย่างมีความสุข และได้ครองเมืองนั้นแทนพระราชาที่แก่ตัวลงด้วย” เด็กหญิงคนหนึ่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงและสีหน้าเศร้าๆ “หนูสงสารนักเดินทางคนนั้นจังต้องออกเดินทางต่อแทนที่จะได้แต่งงานกับเจ้าหญิงอย่างมีความสุขเขาไม่ได้อะไรเลยนอกจากเหรียญทองนิดหน่อย” ชายหนุ่มเดินเข้ามาลูบหัวเด็กหญิงคนนั้นอย่างเอ็นดู “นักเดินทางคนนั้นไม่ได้น่าสงสารซักหน่อยเขาได้สิ่งที่เขาต้องการแล้วแถมได้รับคำขอบคุณแล้วด้วย แค่นั้นมันก็เพียงพอสำหรับนักเดินทางคนนั้นแล้ว” เด็กหญิงเช็ดน้ำตาที่คลอเบ้า “จริงหรือคะพี่ชาย?” “จริงสินักเดินทางคนนั้นตอนนี้มีความสุขไม่แพ้แม่ทัพกับองค์หญิงแม้แต่น้อย เอาล่ะกลับบ้านกันได้แล้วพรุ่งนี้พี่ก็จะไปจากที่นี่แล้วล่ะพี่ให้นี่ไว้เป็นของที่ระลึกละกันนะ” ชายหนุ่มล้วงเข้าไปในกระเป๋าหยิบหินก้อนเล็กๆสีสวยสดใสขึ้นมาแจกให้เด็กๆทุกคน "ขอบคุณค่ะพี่"เด็กเหล่านั้นต่างยินดีที่ได้รับยิ้มแป้นกล่าวคำขอบคุณกับชายหนุ่มเสียงเจื้อยแจ้วแล้ววิ่งกลับไปบ้านเพื่ออวดพ่อแม่ของตน ส่วนชายหนุ่มก็หยิบดาบคาตานะที่เขาวางพิงไว้ใกล้ๆพร้อมย่ามสัมภาระออกจากตรงนั้นมาหยุดอยู่ที่หน้าเมืองอีกครั้งมองไปยังพระอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้าส่องแสงย้อมทุกอย่างรอบตัวให้เป็นสีส้ม "คำขอบคุณไม่ว่าจะเป็นเด็กน้อยหรือคนใหญ่คนโตถ้ามันออกมาจากใจจริง สำหรับคนโง่ๆไร้หัวนอนปลายเท้าอย่างเรามันมีค่ามากกว่าเงินทองและยศฐาบรรดาศักดิ์เยอะเลยล่ะนะ"นักเดินทางหนุ่มพึมพัมกับตนเองพลางยืดตัวบิดขี้เกียจแล้วออกก้าวเดินไปอย่างไร้จุดหมายอีกครั้ง จบเรื่องเล่าจากคนจร
นิทานก่อนนอนขิงๆ! ชอบตรงประโยคสุดท้ายที่เอ่ยมากๆ =v=b แลดูให้แง่คิด (นิทานอีสป? /me โดนตบ) แต่ที่พี่จ้อยต้องแก้ไขอย่างด่วนคือเรื่องของการเว้นวรรคและบรรทัด!!!!!! แต่เรื่องภาษาไม่มึนนะ โอเคฮะ เรื่อยๆดี คำผิดก็ยังไม่เห็น เรื่องฝีมือการบรรยายคงต้องค่อยๆพัฒนากันไป โอ๊สสึ ขอให้ท่านโชคดี *-*/
ผมชอบแนวแบบนี้เลยอ่านเพลินเลยล่ะ เสียดายแค่ว่าฉากเดินทางผจญภัยน้อยไปนิด แล้วก็เหตุการณ์ฉากที่นักเดินทางมอบความชอบให้นักรบดำออกจะดูรวบรัดไปหน่อย แต่ Happy Ending แบบนี้ก็อย่างที่ชอบล่ะ >_<