[ประกวดฟิคสั้น] ของขวัญวันเกิด

กระทู้จากหมวด 'ประกวดเรื่องสั้นครั้งที่ 4 "ขอบคุณ"' โดย PaiaAznable, 1 ธันวาคม 2010.

  1. PaiaAznable

    PaiaAznable มนุษย์ตู้ปลาช้ำรัก

    EXP:
    744
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    86
    วันนี้เป็นวันเสาร์วันที่ 23 มิถุนายน 20XX

    วันธรรมดาๆวันหนึ่งในชีวิตของผม ที่ยังคงมีลมหายใจให้เผชิญกับความโหดร้ายของโลก และไม่ได้ยิ่งใหญ่ไปกว่าวันคล้ายวันเกิดของโอดะ โนบุนางะ หนึ่งในวีรบุรุษของญี่ปุ่น เพียงแต่เวลานี้ ไม่ใช่เวลาปกติที่ผมมักจะยังอยู่ในสภาพหลับเป็นตายในบ้าน

    “ช้าจังแฮะยัยนั่น.... รึว่าเรามาเร็วไปหว่า”

    ผมบ่นกับตัวเองพลาวก้มลงมองหน้าจอโทรศัพท์มือถือบุโรทั่งของตนเอง หน้าจอเครื่องบอกเวลาเก้าโมงครึ่ง... ผมคงมาเร็วไปจริงๆแหละ เพราะเวลานัดของพวกเรานั้นถัดจากตอนนี้ไปอีกสามสิบนาทีพอดิบพอดี ผมคงโทษใครไม่ได้นอกจากตัวเองที่ไม่รักดี มาเร็วเกินไป จึงได้แต่ยืนรอเธอคนนั้นในสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง ซึ่งมักจะใช้เป็นจุดนัดพบของคู่หนุ่มสาว

    ช่างน่าเสียดาย ที่ผู้ชายห่วยๆ อย่างผมคงไม่มีวันจะถูกจัดรวมเป็นหนึ่งในคู่หนุ่มสาวอีกคู่หนึ่งที่มีนัดเดทด้วยกันตลอดชีวิต

    กว่าจะรู้สึกตัวว่าเวลาผ่านไปนานขนาดไหน ก็เมื่อผมเปิดฝาโทรศัพท์สีดำด้วยนิ้วหัวแม่มือดูนาฬิกาอีกเป็นครั้งที่ห้า ตอนนี้เป็นเวลาสิบโมงสิบห้านาที.... ผิดปกติ.... ผมรู้สึกถึงอะไรบางอย่างไม่สู้ดีนัก นิ้วหัวแม่มือขวาจึงกดปุ่มบนเครื่องไล่ดูเบอร์โทรศัพท์ตามรายชื่อที่บันทึกไว้อย่างลนลาน เธอไม่เคยมาสายขนาดนี้ ผมรู้ดี แต่ขณะที่กำลังจะกดปุ่มเครื่องหมายโทรออกนั้นเอง

    “ม...มาแล้วค่า!!!!”

    ราวกับเบรกฉุกเฉิน นิ้วนั้นหยุดลงกระทันหัน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองหาเจ้าของเสียง เบื้องหน้าเป็นเด็กสาวร่างบาง สูงราวร้อยห้าสิบต้นๆ ผมสีน้ำตาลมัดเป็นทรงทวินเทลปลายผมยาวเลยกลางหลังลงมาเล็กน้อย ทันทีที่เกือบถึงตัวผม เธอก็ก้มลงแทบทรุด พักหายใจด้วยความเหนื่อยอ่อน เธอคงวิ่งมาที่นี่อย่างเอาเป็นเอาตาย และคงสะดุดหกล้มอย่างน้อยหนึ่งครั้ง รอยถลอกภายใต้ถุงน่องสีดำซึ่งย่นลงมาเล็กน้อยนั่น คือหลักฐานยืนยันการคาดเดาของผม

    “ให้มันได้ยังงี้สิ พี่บอกไปหลายรอบแล้วนี่ชิโอริ ว่าไม่ต้องรีบขนาดนั้นน่ะ”

    “น....นั่นมันคำพูด....ที่ใช้ทักทายน้องสาวสุดน่ารักคนนี้เรอะ!? เจ้าพี่บ้า”

    ผมได้แต่เกาคางแกรกๆด้วยความหน่ายใจ คันซากิ ชิโอริ น้องสาวของผมยังคงคุณภาพฟาร์มสุนัขในปากและความหลงตัวเองได้อย่างไร้ที่ติ

    “เอาเถอะ..... แล้วที่นัดพี่มาเนี่ยมีอะไรเหรอ?”

    “ก.... ก็ไม่มีอะไรหรอกค่ะ แค่เห็นว่าพี่ว่าง แถมเพื่อนหนูก็ให้ตั๋วมาด้วย..... บ... บอกไว้ก่อนนะ!!! หนูไม่ได้อยากจะไปดูหนังกับพี่เลยซักนิด ก็แค่ไม่มีใครดูเป็นเพื่อนแค่นั้นแหละ ขอบคุณหนูซะล่ะที่อุตส่าห์ชวนพี่มาน่ะ”

    ผมจำได้ว่ายังไม่ได้เปิดปากพูดซักคำว่าอยากไปดูหนัง แต่ขืนต่อปากต่อคำต่อตรงนี้ผมก็มีแต่จะเสียกับเสีย ด้วยเหตุนี้สงครามน้ำลายกับคาซึมิเลยจบลงด้วยการยกธงขาวของผมแต่เพียงแค่นี้ ยังไงซะผมมันก็แค่ตัวแทนของคนอื่นนี่นะ ช่วยไม่ได้

    ด้วยความที่ย่านการค้าของเมืองนี้ไม่ได้อยู่ไกลมากเท่าใดนัก พวกเราจึงเลือกที่จะนั่งรถโดยสารประจำทางจากตำแหน่งที่ค่อนข้างจะห่างไกลความเจริญเข้าสู่ตัวเมือง เมื่อเดินเข้ามาข้างในรถ ผมก็หย่อนตัวลงบนที่นั่งคู่ถัดจากประตูรถไม่ไกลเท่าใดนัก ตามด้วยคาซึมิที่มานั่งข้างๆ ทันทีที่แผ่นหลังกระทบกับพื้นพลาสติกบนที่นั่ง ปากก็หาวฟอดใต้มือซ้ายที่ปิดป้องช่องปากเอาไว้อย่างทันควัน เวลานั้นมือขวาก็ล้วงหยิบกล่องป๊อกกี้รสสตรอเบอรี่ในกระเป๋าสะพายออกมาแกะ แล้วส่งยื่นให้เด็กสาวข้างๆ

    เจ้าของร่างเล็กคงเห็นว่าผมไม่หันมามอง เธอเลยหยิบแท่งขนมหวานในห่อพลาสติกสีเงินนั่นมาลิ้มรสอย่างสำราญอารมณ์ ผมรู้ว่าชิโอริชอบของหวานแบบนี้ยิ่งกว่าอะไร จึงมักจะซื้อเอาไว้มาแบ่งกันกินทุกครั้งที่ผมรอเธอเลิกจากกิจกรรมชมรม ระหว่างที่นั่งบนรถไฟฟ้า ผมไม่ค่อยได้พูดอะไรมากเพราะยังไม่หายง่วง จึงรับบทเป็นกระสอบทรายทางอารมณ์ คอยฟังเรื่องราวต่างๆที่ออกมาจากปากของเธอ ไม่ว่าจะเรื่องวิชาเรียนเอย เพื่อนร่วมชั้น หรือว่าจะเป็นเรื่องในชมรมที่เธอสังกัดอยู่ ผมเองก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ว่าชมรมนี่มันมีอะไรดีเพราะผมเป็นพวกชมรมนักกลับบ้าน แต่ก็คอยฟังเด็กมัธยมปลายบ่นอย่างเต็มใจ

    ในที่สุดพวกเราก็มาถึงย่านการค้าประจำเมือง.... ดูท่าเธอจะรู้สึกเบิกบานเสียจนเผยออกมาผ่านแววเนตรสีมรกต เธอเดินลากผมราวกับเด็กน้อยที่ได้ของเล่นถูกใจ ทันทีที่ลงจากรถ เธอก็พาดูโน่นชมนี่ตามประสาเด็ก แม้ภาพตรงหน้าจะทำให้ผมรู้สึกอิ่มเอมใจที่ได้เห็นรอยยิ้มของชิโอริ แต่ในใจกลับเกิดความรู้สึกขุ่นข้องหมองใจกับอะไรบางอย่าง... บางทีคนที่มาเที่ยวกับเธอเป็นชายอื่นที่ไม่ใช่ผม เธออาจจะมีความสุขมากกว่านี้ก็ได้

    ผมไม่เข้าใจ... ทำไมชิโอริถึงต้องมาชวนผมมาเที่ยวเล่นทั้งๆ ที่วันนี้เป็นวันธรรมดาทั่วไปวันหนึ่ง กับผู้ชายที่ไม่มีอะไรพิเศษนอกจากความธรรมดาคนหนึ่งอย่างผมด้วย
    ถึงจะบอกว่าวันนี้เป็นวันที่ 23 มิถุนายน ที่ทับซ้อนกับวันคล้ายวันครบรอบอายุสิบเก้าปีของผมก็เถอะ เรื่องแบบนั้นเป็นไปไม่ได้หรอก ไม่มีใครจำวันเกิดผมได้ ขนาดพ่อแม่แท้ๆยังไม่เหลียวแลมันเลยเสียด้วยซ้ำ ผมได้แต่กัดฟันข่มจิตมัวหมองเอาไว้ไม่ให้มันทะลักออกมาด้วยความเจ็บใจ

    .............
    ...................

    ถึงจะรู้อยู่แล้วว่ามีหนังดีๆให้เลือกมากมายในโรงหนังแห่งนี้ แต่ผมไม่เข้าใจ.... ทำไมเพื่อนของชิโอริต้องมามีธุระเอาวันนี้ แล้วปล่อยให้เจ้าของเรือนผมสีชาคนนี้มาลากผมให้ดูเรื่องนี้กันด้วยนะ ถ้าเป็นหนังคอมเมดี้ หรือโดราเอม่อนภาคมูฟวี่ผมยังพอเข้าใจได้เพราะเป็นความชอบของเจ้าตัว แต่โปสเตอร์ที่ผมเห็น ซึ่งเป็นเรื่องที่ชิโอริน่าจะตั้งใจจะพาผมมาดูดันมีชื่อเรื่องว่า Kamen Rider W Forever: A to Z/Unmei no Gaia Memory แต่ถึงจะไม่ต้องอ่านชื่อเรื่อง แค่เห็นโปสเตอร์ผมก็หันควับมายังสาวเจ้าไปเองโดยไม่มีใครมาสั่ง

    แน่ใจนะว่าเรื่องนี้?

    “เรื่องนี้แหละค่ะ”

    เด็กสาวยืนยันอีกครั้งว่าผมไม่ได้ตาฝาด.... ได้ยินแล้วก็ปวดขมับ พูดเป็นเล่นน่ายัยบ๊อง นี่เธอเป็นผู้หญิงดูหนังไอ้มดแดงไม่จิ้นวายที่มีไม่ถึง 10 เปอร์เซนต์บนโลกใบนี้รึไงฟะ ผมคงเผลอหลุดคำพูดดังกล่าวออกมาผ่านทางสีหน้าล่ะมั้ง เธอจึงแสดงท่าทางไม่พอใจออกมา

    “ทำไม? หนูอยากดูเรื่องนี้ผิดด้วยเหรอคะ?”

    “ป...เปล่าจ้ะ..... แค่อึ้งนิดหน่อยน่ะ หะๆๆๆ”

    ผมได้แต่หัวเราะแห้งๆ กับความชอบที่เราสองคนมีร่วมกันโดยบังเอิญแม้ลึกๆแล้วจะอดดีใจจนอยากตะโกนก้องให้โลกรู้ไม่ได้ เดิมทีไอ้เรื่องนี้ผมว่าจะมาดูเองอยู่หรอกแต่ไหนๆก็ไหนๆ ผมรับตั๋วมาดูรอบฉายจากเด็กคนนั้นาดูเวลาที่หนังจะเริ่มฉาย

    ยังพอมีเวลาอีกนิดหน่อย ผมจึงตัดสินใจพาเธอเดินเล่นบริเวณนั้นเป็นการฆ่าเวลารอรอบฉายหนังมาถึง แม้จะยังคาใจว่าเหตุใดแม่นี่ถึงได้จงใจลากผมมาดูหนังถึงที่นี่และเรื่องนี้ แต่ก็ถือซะว่ามาพักผ่อนคลายเครียด ลืมเรื่องร้ายๆในชีวิตไปซักพักนึง ผมจึงโยนความคิดฟุ้งซ่านทิ้งลงถังขยะ แล้วใช้เวลาที่มีอยู่สนุกสนานกับการเที่ยวเล่นกับแม่นี่จะดีกว่า ผมคิดอย่างนั้น

    .............
    ...................

    ระหว่างที่ผมกำลังดูหนังไปได้ซักพักนึง จนถึงฉากที่ ฮิดาริ โชทาโร่ พระเอกของเรื่องแปลงร่างเป็นไอ้มดแดงโจ๊กเกอร์ ผมหันไปมองน้องสาวตัวดีที่นั่งอยู่ทางขวาของตัวเองเพียงเล็กน้อยด้วยความไม่เข้าใจว่าจะหันไปทำไม ดูท่าเธอจะอินกับหนังเอามาก หรือจะบอกว่าปลื้มกับความเท่ของโชทาโร่จะเข้าท่ากว่ากันแน่
    ผมแอบมองผ่านเลนส์แว่นตาของตัวเอง แววตาใสซื่อบริสุทธิ์แบบนั้นไม่ได้เห็นมานานแค่ไหนกันแล้วนะ พอเหลือบตาลงมาผมก็เพิ่งสังเกตชุดแต่งกายที่เธอสวมอยู่ มันเป็นชุดกระโปรงวันพีซสีขาวที่ผมซื้อให้... พูดให้ถูก ก็แค่ช่วยชิโอริเลือกซื้อเสื้อผ้าในย่านเสื้อผ้ามือสอง ผมจำได้ดีว่ายัยตัวดีเคยน้ำตาตกเพียงเพราะทำไอศกรีมเลอะลงบนชุด พาลเห็นแล้วทนไม่ได้จึงต้องอาสาซักมันเพื่อให้เธอหยุดงอแง ระหว่างที่กำลังนึกย้อนไปในอดีต ชิโอริคงจะรู้สึกตัวว่าผมมองเธออยู่ ก็เลยทักขึ้นอย่างงุนงง

    “มีอะไรเหรอคะ?”

    “อะ... ป... เปล่าๆ ไม่มีอะไรๆ”

    ผมรีบบ่ายหน้าหนี หันกลับไปดูหนังต่อโดยทำเป็นจะไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะมีปฏิกิริยาอะไรหรือไม่

    ไม่หรอก.... ยัยนั่นไม่รู้หรอกน่า...... ผมพยายามสะกดจิตตัวเอง กลบฝังความกังวลในใจ เกี่ยวกับเรื่องที่ไม่อยากให้เธอรู้ตอนนี้

    เรื่องที่ผม... มีความรู้สึกที่ให้กับชิโอริเกินกว่าคำว่า “พี่น้อง”

    .............
    ...................

    “ฮ้า~~~ ไอ้มดแดงสุดยอดดดดดดดด!!!!!!”
    “..........................”

    เด็กสาวร่างเล็กร้องขึ้นเสียงดังด้วยความร่าเริงสดใส และมีความสุขกับการได้ดูหนัง แต่ผมทำได้เพียงปิดปากเงียบ ฟุ้งซ่านกับความคิดของตัวเอง นี่ผมมาทำบ้าอะไรอยู่ที่นี่กันนะ มาเที่ยวกับน้องสาวไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมต้องมาจิตตกแบบนี้ด้วย โธ่โว้ย....

    “พี่คะ?”

    ราวกับได้สติกลับมา ร่างกายก็มีปฏิกิริยาตอบสนองเสียงเรียกจากชิโอริด้วยการสะดุ้งโหยงขึ้นฉับพลัน

    “เป็นอะไรรึเปล่าคะ? สีหน้าดูไม่ดีเลยนะ”

    “ป... เปล่าๆ ไม่มีอะไรหรอก......... นี่ก็เย็นแล้วนะ พี่ว่าเรารีบกลับบ้านกันเถอะ เดี๋ยวคุณแม่จะเป็นห่วงเอานะ”

    ผมพูดขึ้นในขณะที่ก้มหน้ามองดูนาฬิกาบนโทรศัพท์รุ่นลายคราม ที่จริงแค่มองท้องฟ้าก็รู้แล้วว่าอากาศเย็น แต่ผมทำไม่ได้.... ความกลัวที่จะถูกเด็กสาวตรงหน้ามองทะลุเข้ามาในใจได้ครอบงำตัวผมโดยสมบูรณ์แล้ว

    สภาวะสูญญากาศทางการสนทนาเกิดขึ้นในหมู่ของพวกเราไปพักหนึ่ง ก่อนที่ชิโอริจะทำท่านึกออก

    “อ๊ะ.... หนูมีที่ดีๆที่นึง อยากจะพาไปดูด้วยล่ะ มาด้วยกันหน่อยสิ...คะ!!!”

    เธอเน้นคำพูดพยางค์สุดท้าย พร้อมกับคว้าข้อมือซ้ายของผมแล้วฉุกกระชากลากไปอีกครั้งโดยไม่สนใจว่าผมจะวิ่งตามเธอหรือไม่ เอาแต่ใจจริงๆเลย แต่ก็นั่นแหละ มันอาจจะเป็นที่ๆผมไม่รู้จักมาก่อนก็ได้ ถึงจะชอกว่าเมืองนี้เป็นบ้านเกิดเมืองนอนของสองเรา แต่ผมก็ใช่ว่าจะรู้ทุกซอกทุกมุมซักหน่อยนี่นะ....

    ผมวิ่งข้ามทางม้าลาย ข้ามสะพานลอย เดินทางไปเรื่อยๆไปตามจุดหมายที่คันซากิ ชิโอรินำทางให้กับคนไม่ได้ความคนนี้ เมื่อมาถึงที่หมาย ผมก็ได้แต่อ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง ที่ๆเธอพามาคือสวนสาธารณะอีกแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ริมฝั่งทะเล ลมทะเลพัดพาความเย็นสบายมาให้ผู้คนในท้องที่ ซึ่งมีตั้งแต่เด็กเล็กเล่นกันเป็นกลุ่ม ไปจนถึงคู่สามีภรรยาผู้ชราภาพแล้ว ผมจำได้ว่าไม่ได้เห็นภาพญี่ปุ่นในมิติตรงข้ามกับความรีบเร่ง แข่งกับเวลาแบบนี้เมื่อไหร่ เดี๋ยวนะ ตอนนี้มันใช่เวลาละเมอเพ้อพกแบบนี้ที่ไหนล่ะเจ้าเซ่อ!!!

    “อ๊ะ!!”

    ชิโอริรีบปล่อยมือเล็กๆที่กำข้อมือของผมลงทันที สงสัยเธอคงรังเกียจที่จะจับมือสกปรกๆข้างนั้นล่ะมั้ง ยังดีนะที่ผมเคยชินกับการถูกรังเกียจไปแล้ว ไม่งั้นความรู้สึกแย่ๆมันคงทับถมมากขึ้น... มากขึ้น....

    มากขึ้นจนผมไม่อาจแบกรับมันไหวอีกต่อไป...... แต่ขณะที่ผมกำลังจะเอ่ยปากพูดอะไรออกมา

    “พี่คะ..... ยังจำได้รึเปล่า วันปฐมนิเทศของรุ่นหนู วันนั้นน่ะ.....”

    จำได้สิ.... ผมจำได้ว่า วันนั้นมีเด็กนักเรียนหญิงมัดหางม้า มายืนหันซ้านหันขวาทำตัวน่าสงสัยอยู่ตรงสามแยกทางก่อนจะถึงโรงเรียนเพียงไม่กี่ร้อยเมตร พอเดินไปถามว่าเป็นอะไรมั้ยก็ดันมาถามนู่นถามนี่ว่าโรงเรียนอยู่ตรงไหน แค่นั้นไม่พอ ยังมาลากให้พาไปถึงที่ แถมยังโดนคุณเธอบังคับให้พาทัวร์โรงเรียนให้ทั่วอีก เป็นความทรงจำดีๆที่ไม่มีวันลืมจริงๆ....

    ผมได้แต่หัวเราะแห้งๆ เมื่อนึกย้อนกลับไปกับวีรกรรมครั้งแรกที่เธอก่อเอาไว้กับผม พูดไปก็เหมือนโกหก ตอนนี้ผมพวกเราสนิทกันจนเรียกได้เต็มปากว่าเป็น “พี่น้อง” ได้ยังไงใครก็ให้คำตอบกับผมไม่ได้

    “ตอนนั้นน่ะนะ.... คือ..... จะว่ายังไงดี...... ขอบคุณมากนะคะ ที่คอยดูแลหนูมาตลอด......”

    “ไม่ต้องขอบคุณอะไรหรอก พี่ก็แค่..... อยากจะดูแลชิโอริ.... ไม่สิ อยากจะดูแลน้องสาวคนสำคัญของตัวเอง ก็แค่นั้นเอง......”

    เพราะคนอย่างผมมันก็เป็นได้แค่นี้ ไม่มีสิทธิ์หมายฝันว่าจะได้เป็นอย่างอื่น ที่สามารถทุ่มเทให้เด็กผู้หญิงคนนึงได้มากไปกว่านี้อีกแล้ว ประโยคหลังนี้ผมเก็บมันเอาไว้เงียบๆในใจ ความหดหู่ก่อตัวขึ้นท่ามกลางช่องว่างที่ไม่อาจถมเต็ม หัวใจดวงนี้มีบาดแผลที่ใหญ่และลึกเกินไป เกินกว่าที่จะเติมเต็มได้ด้วยความสัมพันธ์ฉันพี่น้องกับคนที่ไม่ได้มีสัมพันธ์ทางสายเลือดใดๆ

    “หนูน่ะ..... ไม่อยากเป็นน้องสาวของพี่หรอกนะ.......”

    คำพูดนั้นโพล่งออกมาจากริมฝีปากบางๆของสาวน้อยทันทีที่ผมตอบกลับไป ตอนนั้นเองเสียงกระจกแตกก็ดังขึ้น.... มันไม่ใช่เสียงที่ลอดผ่านเข้ามาในหูหรอก แต่เป็นเสียงที่ก้องกังวาลอยู่ในหัว พร้อมกับความว่างเปล่าที่ดูดกลืนทุกอย่างในใจจนหมดสิ้น

    กะแล้วว่าต้องเป็นแบบนี้..... กะแล้ว ว่าคนอย่างเรามันก็ได้แค่นี้........ ทุกที เป็นอย่างนี้ทุกทีเลย ไอ้โง่เอ๊ย.........

    จำนวนครั้งที่ถูกผู้หญิงหักอก ก็ถูกขีดเพิ่มขึ้นบนกำแพงบันทึกความทรงจำชีวิตอีกเส้นหนึ่ง หลังจากกลับบ้านไปผมคงต้องหาทุกวิถีทางที่จะเค้นน้ำตา และตั้งต้นใหม่กับชีวิตที่ล้มเหลวอีกครั้ง

    ขณะที่ผมกำลังจมดิ่งกับหลุมดำแห่งความสิ้นหวังลงไปเรื่อยๆนั้นเอง....

    “หนูชอบพี่ค่ะ.... ไม่ใช่พี่ในฐานะพี่น้อง แต่เป็น มิซางาริ ชินจิ ในฐานะคนที่หนูรักที่สุด.... จะมาเป็นแฟนกับหนู.... ได้มั้ยคะ?”

    จู่ๆน้ำตาก็ไหลออกมาเองโดยไม่รู้ตัว ผมไม่รู้ว่าทำไม.... มันไหลออกมาได้ยังไง? เมื่อกี๊ไอ้ความรู้สึกว่าอกหักแล้วยังไม่ทำให้ผมร้องไห้ได้ แต่กับประโยคหลังสุดผมฟังไม่ค่อยชัดเท่าไหร่เพราะเธอพูดเบา... เบามากจนผมเกือบจะไม่ได้ยินนั้น กลับทำให้ผมเสียน้ำตาได้เธอบอกว่าชอบผมเหรอ??? ไม่น่า.... เป็นไปไม่ได้ ทำไมล่ะ? ผมได้แต่อึ้ง ทึ่ง และนิ่งกับคำสารภาพจากปากของน้องสาวผู้เป็นที่รักของผม

    “ไม่ได้ยินรึไง.... หนูบอกว่า หนู! ชอบ!! พี่!!! เข้าใจมั้ย!?!?”

    เธอเดินเข้ามาใกล้ๆ แล้วตะโกนดังๆราวกับจงใจให้แก้วหูผมแตก ได้ยินแล้วล่ะน่า ไม่ต้องตะโกนได้มั้ยยัยบ้า!!!

    “ไม่ตอบอะไรแบบนี้ถือว่าตกลงนะ งั้น...รีบๆกลับบ้านกันเถอะเจ้าพี่บ้า!!! ชักช้าไม่รอนะจะบอกให้ วันนี้วันเกิดพี่ทั้งที แถมยังวันเสาร์ด้วย คืนนี้ถ้าแมนฯซิตี้ไม่ชนะหนูไม่กลับบ้านนะจะบอกให้”

    ชิโอริวิ่งไปข้างหนักซักสี่ห้าก้าว ก่อนจะหันมาแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ ไม่น่ารักเอาซะเลย ยัยนี่..... เอะอะก็เอาแต่ใจ ตัวเองเป็นใหญ่ ไม่เคยสนเลยว่าผมจะเป็นยังไง

    แต่ก็ขอบคุณมากนะ......... ชิโอริ ที่ให้ของขวัญวันเกิดอันลำค้าขนาดนี้ให้กับผม.........

    + + + + +

    ผมใช้ฟอนท์ขนาด 14 จำนวนเกือบหกหน้า หวังว่าจะทันนะขอรับ TT^TT
  2. train

    train Member

    EXP:
    498
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    16
    อืม ของไพอาโครงเรื่องแหวกแนวมากเลยแฮะ

    จากนี้ไปขอติชมเน่อไพอา ถ้าแรงไปก็ต้องขออภัยด้วยครับแต่พูดตามความรู้สึกน่ะ

    ในส่วนของภาษาการใช้สรรพนามที่1 ถือว่าทำได้ค่อนข้างดีนะฮะ
    มีคำผิดอยู่บ้างแต่เล็กน้อยมากไม่ว่ากัน
    แต่การบรรยายยังไม่ค่อยเห็นภาพรอบข้างมากนัก โอกาสหน้าลองเพิ่มบทบรรยายมากกว่านี้นิดนึงน่าจะได้บรรยากาศมากขึ้นนะ

    อืม...ส่วนสุดท้าย พูดตามตรงผมรู้สึกเหมือนไม่ค่อยรู้สึกถึงธีมเท่าไหร่เลยง่ะ =v="
    เหมือนกับคำว่าขอบคุณมันไม่อิมแพคกระแทกใจพอน่ะครับ...

    ยังไงก็ตามสู้ๆครับไพอา *-*/
  3. taleoftrue

    taleoftrue Well-Known Member

    EXP:
    900
    ถูกใจที่ได้รับ:
    52
    คะแนน Trophy:
    113
    ยินดีด้วยที่แต่งจบแล้ว >_</

    เห็นแต่งไปกลุ้มไปอยู่นานแต่พอของจริงออกมาก็ดีกว่าที่ไพอากังวลไว้เยอะนะ ไหนๆงานนี้ก็ด้นฟิคสั้นออกมาได้แล้วต่อไปก็ฟิคหลักมั่งสิ
  4. DEATHSIM

    DEATHSIM New Member

    EXP:
    8
    ถูกใจที่ได้รับ:
    0
    คะแนน Trophy:
    1
    ว้าววววววว >< โรแมนติค สุด ๆ เลยครับอาจารย์

    ไม่ได้อ่านฟิคอาจารย์นานแล้วนะครับเนี่ย แต่รู้สึกว่าตัวเอกจะมาแนวเดิมตลอด 55+

    ตอนจบสื่ออารมณ์ได้ดีมากครับ ท่านอาจารย์เข้าถึงอารมณ์โรแมนซ์ได้แล้วเหรอครับเนี่ย ><

    ถึงจะอยากลงเรื่องสั้นมั่ง แต่คงจะสายไปแล้วสินะครับ T-T

Share This Page