We are the Luminous “ทำไมมาจอดตรงนี้ฟะ” “เฮ้ย พี่จอดตรงนี้มันเร้าใจไปไหม” “ง่วงนอน…..” “หนวกหูเฟ้ย ตรงนี้แหละดีแล้วเห็นอะไรชัดดี” สองร้อยปีผ่านไปสงครามระหว่างมนุษย์และเผ่าพันธุ์มายาได้สิ้นสุดลง การทำลายล้างกันอย่างยาวนานระหว่างสองเผ่าได้ผลาญสิ่งมีชีวิตบนโลกไปกว่า 3 ใน 4 “หู้ยยยยยยย ดูแม่สาวนั้นสิพี่เอเซ” “แหล่มโคตรรรรร” “ง่วงโว้ย” “ตั้งใจกันหน่อยได้ไหมพวกแก !!” สงครามที่ยืดเยื้อไร้ที่สิ้นสุดทำให้สองฝ่ายตระหนักในที่สุด หากยังคงรบพุ่งกันต่อไปสิ่งที่เหลืออยู่ก็คงมีเพียงซากปรักหักพังเท่านั้น ผู้นำของทั้งสองฝ่ายจึงร่วมประกาศยุติสงครามทำให้สันติภาพก่อเกิดได้ในท้ายที่สุด “เฟท ไปทำงานของแกได้ละ อย่ามัวแต่ดูหญิง” “เฮ้อ ให้พี่อีวานไปสิผมอยากดูหญิงต่อ” “ตรูง่วง…หิวข้าวด้วย” “จะว่าไปก๋วยเตี๋ยวตรงหัวมุมถนนข้างหน้านี่อร่อยโคตรไปกินกันมะ” ระยะเวลาผ่านไปรอยแผลจากสงครามค่อยๆได้รับการฟื้นฟูและการอยู่ร่วมกันของทั้งมนุษย์และเหล่าเผ่ามายาก็เป็นไปอย่างราบรื่น ผู้คนต่างพากันหลงลืมความโหดร้ายของสงคราม ราวกับมันไม่เคยมีตัวตน มหานคร Noctis แม้จะล่วงเลยเวลาหัวค่ำมากแล้วแต่ในย่านชุมชนก็ยังคงคลาคล่ำไปด้วยผู้คน ยิ่งเป็นสถานบันเทิงอันมากมายในใจกลางเมืองด้วยแล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึง พวกเขาต่างทอดทิ้งความเป็นจริงในยามพระอาทิตย์ขึ้นพลางปล่อยตัวไปตามแสงสี รถยนต์เก่าๆคันนึงเพิ่งได้เข้าจอดฝั่งตรงข้ามกับบ่อนคาสิโนยักษ์ใหญ่แม้ว่าจะมีป้ายห้ามจอดตัวใหญ่เท่าฝาบ้านปักไว้อยู่แต่ก็มิอาจทำให้คนขับสำนึกไม่ ร่างของชายหนุ่มผมสีแดงสดแต่ก็ยุ่งเหยิงสุดๆค่อยๆย่างกรายออกมาจากรถ ไม่นานนักชายผมสีเงินก็พุ่งตามออกมา แต่จริงๆต้องเรียกว่าโดนถีบออกมามากกว่า “พวกแกสองคนเข้าไปดูลาดราวซะ เดี๋ยวข้ากะลูกพี่จะรอสัญญาณอยู่นี่” ชายผมดำผมชี้ฟูนั่งอยู่บนที่นั่งคนขับชี้นิ้วสั่งฉอดๆ สองหนุ่มผู้ดูไม่เอาไหนเกาหัวแกรกๆก่อนจะโผล่งคำนึงออกมาแทบจะพร้อมกัน “อ้อ !! ให้ไปดูหญิงในบ่อนก่อนสินะ” “ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ” ชายหนุ่มผมสีน้ำเงินเข้มที่นั่งเบาะหลังหัวเราะลั่นพลางขยับแว่นตาให้เข้าที่ “ ตอบสมเป็นพวกแกดี ก็ตามนั้นละกัน เฮ้ย จ้อยไม่ต้องเครียดไปหนา” เขาตบไปที่บ่าของผู้ที่นั่งหน้าเมื่อเห็นว่าสีหน้านั้นบุญไม่รับสุดๆ “ลูกพี่ นี่ซีเรียสนะ “ ลูกพี่บิดขี้เกียจเล็กน้อยก่อนจะหันไปพูดกับอีกสองคนที่อยู่ด้านนอกรถ “ตามนั้น จะเล่นกันยังไงก็อย่าให้เสียงานละ” “รับทราบครับ” ทั้งสองทำท่าวันทยหัตถ์พร้อมกัน ก่อนจะตรงดิ่งเข้าไปในบ่อนพร้อมทำท่าล้วงกระเป๋าไปด้วย ไม่รู้ว่ามันดูเท่ห์หรือดูบ้านนอกกันแน่เหมือนกัน “จ้อย เดี๋ยวแวะร้านขายผักก่อนได้มะ” “โธ่ ลูกพี่ดึกป่านนี้ร้านขายผักที่ไหนมันจะเปิด ช่วยใส่ใจกะงานตรงหน้ากันหน่อยเหอะ” -------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------ -------------------------------------- ----------------------------- ด้านในคาสิโนอันหรูหราเต็มไปด้วยเหล่านักแสวงโชคที่ทั้งร่ำรวยในคืนเดียวและเหลือแค่กางเกงในกลับบ้านในคืนเดียว สองหนุ่มเดินสำรวจรอบๆพลางละม้ายตามองสาวสวยที่เดินผ่านไปมาคนแล้วคนเล่าจนต้องเก็บอาการน้ำลายยืดกันซะตลอดเวลา “เฟท เอ้ย งานนี้โคตรแหล่มว่ะ จีบสักคนนี่จะเป็นไรไหม” “พี่เอเซ งานต้องมาก่อนหนา แต่คนโน้นก็น่าเข้าไปทักดีนะพี่ สักหน่อยมะ” ทั้งสองเดินเคว้งไปมาในบ่อนพนันอันใหญ่โต ทำท่าเหมือนจะเล่นโต๊ะโน้นบ้างโต๊ะนี้บ้างแต่ด้วยกำลังเงินที่แค่เดินไปแลกชิพให้ดูไม่น่าเกลียดนี่ก็เต็มกลืนแล้ว ทำให้พวกเขาก็ได้แต่มองไม่อาจเข้าไปร่วมโต๊ะด้วยได้ ยิ่งจะจีบหญิงนี่ไม่ต้องพูดถึงเป็นอันรู้กันว่าผู้หญิงย่านนี้แม้เลเวลจะสูงแต่ถ้าพลังการเงินไม่สูงตามนี่อย่าหวังว่าจะได้กิน แต่ในระหว่างที่ทั้งสองกำลังเดินไปมาอย่างไร้จุดหมายนั้นเอง “เฮ้ย เฟท เอเซ ทางนี้” ตาลุงแก่ๆใส่สูทผูกไทด์ดูแต่งตัวภูมิฐานกว่าไอ้บ้าพวกนี้หลายขุมก็โบกมือเรียกเค้าจากโต๊ะโป็กเกอร์ “หาลุงอยู่ตั้งนาน” เอเซพูดแล้วก็นั่งแหมะลงบนเก้าอี้ข้างๆ โดยมีเฟทตามมาติดๆ “ว่าไงเจออะไรบ้างไหม” ลุงคนเดิมถามด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดี พลางเปิดไพ่ของตนเองดู เอเซยิ้มขึ้นเล็กน้อยพลางหันไปมองรุ่นน้องที่ยืนอยู่ด้านหลัง “เจอไหมบอด” “เรียกแบบนั้นอีกทีผมกุดหัวคุณพี่ตรงนี้แน่ เจอนานแล้วแต่หาจังหวะจะแจมอยู่ มีการ์ดคุ้มกันหนาแน่นมากเข้าไปดื้อๆไม่ไหวหรอก” “สมเป็นประสาทรับรู้ของน้องเฟทสุดที่รัก” “อย่างพวกแกมีไม่ไหวด้ยเหรอ ช่างเถอะ อะ เอานี้ไป” ชายสูงวัยส่งบัตรสีทองสองใบให้กับพวกเขา “บัตรไรอะลุง” เอเซพูดพลางเสยผมสีเพลิงไปด้วยจะเสยไปทำไมฟะ “บัตรผ่านไปชั้น VIP พวกแกจะได้ไม่ต้องทำตัวเอิกเกริกมากรีบไปได้แล้ว” สองหนุ่มรับบัตรไปด้วยท่าทางไม่ไว้ใจนิดๆ แต่กระนั้นพวกเขาก็แบ่งบัตรกันพลางเดินออกจากโต๊ะ คุณลุงยิ้มขึ้นเล็กน้อยกับท่าทางของทั้งสองพลางทิ้งไพ่ลงบนโต๊ะ “ฟูลเฮ้าซ์” ทั้งสองหยุดยืนบริเวณประตูไม้สักขนาดใหญ่การ์ดตัวสูงใหญ่พอๆกับประตูการ์ดคนนั้นมองพวกเขาด้วยสายตาดูแคลน การ์ดที่อยู่รอบข้างเองก็จ้องพวกเขาเขม็งคงเป็นเพราะลักษณะภายนอกมันดูไม่น่าจะอยู่ในที่ไฮโซแบบนี้ละนะ แต่ทั้งสองก็ไม่ได้หวั่นไหวแต่ประการใดพวกเขาโชว์บัตร VIP ขึ้นเมื่อได้รับการตรวจสอบทั้งการ์ดและการค้นตัวเรียบร้อยแล้วประตูที่อยู่ด้านหลังจึงเปิดออก การ์ดตัวยักษ์ก็เอ่ยต้อนรับทั้งสองด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ขอต้อนรับสู่งานประมูล ขอให้พวกคุณสนุกกับการเลือกซื้อสินค้าของเรา” เอเซ ยิ้มเป็นการตอบรับ “อ่า ขอบคุณมากคุณออร์ค” เฟทหัวเราะหึหึ พลางเดินเข้าประตูไป ภายในไม่ใช่ห้องแต่เป็นลิพฟ์ที่ตกแต่งอย่างหรูหรา ทันทีที่ประตูปิดลิฟท์ก็ทำงานทันทีมันค่อยๆนำทั้งสองลงสู่ด้านล่าง เฟทและเอเซติดบัตรไว้บนเสื้อตามคำแนะนำที่เขียนติดอยู่ข้างลิฟท์ “ไปแซวการ์ดแบบนั้นเดี๋ยวก็ได้มีเรื่องหรอก” ชายหนุ่มผมสีเงินหันดวงตาที่ปิดสนิทไปทางรุ่นพี่ที่ดูสะใจเล็กๆ “ไม่เป็นไรหรอกหน่า ตอนนี้เราเป็นลูกค้านะ อีกอย่างไอ้บ้านั้นคงโดนแบบนั้นตลอดน่ะแหละ” ออร์ค คือหนึ่งในเหล่าเผ่ามายาที่ปัจจุบันได้มาใช้ชีวิตอยู่ร่วมในสังคมมนุษย์ พวกเขามีรูปร่างสูงใหญ่กำยำและพละกำลังมหาศาล หากยิ่งเข้าสู่สภาพต่อสู้ร่างกายก็จะปรับเปลี่ยนให้ดูโหดขึ้นอีกหลายเท่า แต่ถึงอย่างไรก็พวกออร์คก็ขึ้นชื่อลือชาในเรื่อง IQ ที่ค่อนข้างต่ำ พวกเขาจึงมักจะได้งานเบ๊ไม่ก็เป็นแค่ทหารเลวเท่านั้น สัญญาณลิฟท์ดังขึ้นพร้อมประตูที่เปิดอ้าออก ผู้คนจำนวนมากแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าแบรนเนม สวมเครื่องประดับหรูหรา กำลังจับกลุ่มพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน พื้นพรหมทำจากกำมะหยี่ชั้นดี โคมระย้าขนาดใหญ่เปล่งแสงสีส้มนวลดูสบายตา นี่คือห้องโถงประมูลที่ถูกซุกซนอยู่ใต้คาสิโน่เบื้องบน เอเซทำหน้าพึ่งพอใจดวงตาสีทับทิมกวาดตาไปรอบๆ “คนละระดับกับข้างบนเลยแหะ” “ก็จริง แต่นี่ยิ่งดูเป็นแกะดำกว่าข้างบนอีกนะพี่เอเซ” ทั้งสองก้าวเดินออกจากลิฟท์ตรงไปยังที่นั่งที่ระบุไว้บนบัตร สายตาของเหล่าผู้ร่วมประมูลจับจ้องไปที่พวกเขา ก็แน่อยู่แล้วทั้งลักษณะการแต่งตัวรวมถึงอะไรหลายๆอย่างดูไม่เหมือนคนมีเงินเป็นอย่างยิ่ง เอเซทิ้งตูดลงบนที่นั่งนุ่มๆพลางบ่นเล็กน้อย “อะไรว่ะพวกนี้ ทำอย่างกะไม่เคยเห็นคนไม่มีเงิน” “โห พี่พูดแบบนี้ฟังแล้วเศร้างะ” “เฮ้อ ทำตามแผนได้ละไม่ต้องไปสนใจคนพวกนี้หรอก” “รับแซ่บ” เฟทกดปุ่มเครื่องส่งสัญญาณที่อยู่ภายในรองเท้า สัญญาณสีแดงกระพริบเป็นจังหวะภายในรถยนต์โทรมๆด้านบน อีวาน หนุ่มแว่นยิ้มอย่างพอใจ “ใกล้ได้เวลาปาร์ตี้แล้วสินะ” ส่วนจ้อยกำลังต่อรองกับตำรวจที่พยายามล็อคล้อพวกเขาอยู่ --------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------- ----------------------- ไฟภายในฮอล์ประมูลมืดลง พิธีกรชายชาวมนุษย์ออกมายืนหน้าเวที “ยินดีต้อนรับทุกท่านสู่การประมูลภายในค่ำคืนนี้ สินค้าของเราในคืนนี้ยังคงเป็นสินค้าหายากชั้นดีเช่นเคย ถึงแม้ว่าจะมีผู้ที่ประมูลไปได้จำนวนไม่มากในคืนนี้ แต่เรื่องคุณภาพนั้นแน่นอนว่ายอดเยี่ยมและไม่สามารถหาได้จากที่ไหนแล้ว…..เพื่อไม่เป็นการเสียเวลาเราไปชมสินค้าชิ้นแรกกันเลย” พิธีกรผายมือไปด้านข้างเวที พนักงานสี่คนช่วยกันเข็นตู้ปลาขนาดใหญ่ขึ้นมาบนเวทีและสิ่งที่อยู่ในตู้นั้นก็คือ “ครับผม สินค้าชิ้นแรกของวันนี้คือ นางเงือกแสนสวยตนนี้ครับ !!! เราจะเริ่มกันด้วยราคา 3 ล้านเหรียญ เริ่มประมูลได้ !!” ใช่แล้ว..ที่นี้คือแหล่งประมูลผิดกฎหมายซึ่งนำเผ่ามายาลักษณะงดงามและหายากเข้าประมูล เหล่าเศษรฐีที่เข้าประมูลจะนำพวกเขาและเธอไปเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยง ทาส หรือแม้แต่เรื่องอย่างว่า แย่ที่สุดคือถูกนำไปเป็นส่วนประกอบของตัวยาวิเศษหรือนำไปเป็นอาหารตามความเชื่อ นางเงือกสาวผมสีฟ้าครามพยายามเคาะกระจกตลอดเวลา ดวงตาสีทองมองหาความช่วยเหลือ “ตามที่ได้ยินมาเลยแหะ แต่นี่มันยิ่งกว่าที่คิดซะอีก” เอเซ กัดฟันแน่น จนเฟทที่สังเกตอาการต้องรีบจับไหล่ของเขาเอาไว้ “ใจเย็นพี่ ถ้าเราเคลื่อนไหวตอนนี้จะเสียแผนเอา ยังไงเราก็ต้องรอให้ถึงรายการสุดท้ายนะ” “แล้วน้องนางเงือกนั้นละฟะ” “ผมเองก็อยากไปช่วยเธอซะเดี๋ยวนี้ แต่เธอไม่ใช่เป้าหมายเรา ก็ต้องปล่อยไปตามบุญตามกรรมโอเคนะ” เอเซ ตั้งสติพลันตบหน้าตัวเองเบาๆให้เย็นลง “สัญญาณเรียบร้อยนะ” “เรียบร้อยละ ตอนนี้ผมแอบติดกล้องวีดีโอถ่ายบันทึกไว้ด้วย รับรองว่าหนุกแน่” ----------------------------------------------------------- -------------------------- ----------------- ทางด้านบนหลังจากจ้อยเคลียร์กับตำรวจเรียบร้อยพร้อมจ่ายเงินยัดไป เขาก็กลับมานั่งในรถอีกครั้ง “เฮ้อ ต้องให้เงินกว่าจะหุบปาก” “ก็แบบนี้แหละ ยุคสมัยแบบนี้เงินมันคือทุกอย่างแกทำผิดแค่ไหน ขอให้มีเงินยัดไปก็เปลี่ยนเป็นเรื่องที่ถูกต้องได้ทั้งนั้นแหละ” “พูดได้ดีนี่อีวาน” คุณลุงคนเดิม เดินมาเคาะหลังคารถเบาๆ อีวานเปิดกระจกให้กว้างขึ้นพลางทักทาย “สวัสดีครับลุงพีท” “อ่า ทุกอย่างราบรื่นดีไหม” “ราบรื่นดีครับ ตอนนี้เฟทตั้งกล้องเรียบร้อยข้อมูลทุกอย่างจะถูกส่งให้ลุงหลังจบงานแน่นอนว่าเรื่องนี้ต้องบวกเงินเพิ่ม ส่วนงานหลักก็…..” ก่อนที่อีวานจะพล่ามเริ่องเงินๆทองๆต่อคุณลุงพีทก็ทำท่าเบรกไว้ก่อน “พอเป็นเรื่องเงินกับเรื่องผักสวนครัวนี่พูดไม่หยุดเลยนะ จ่ายให้ตามที่เสนอแน่นอน จบงานนี้พวกแกรับสองเด้งไม่ต้องทำอะไรกันไปอีกหลายเดือนเลยแหละ” “ไม่หรอกลุง หางานมาเรื่อยๆดีแล้ว สามคนนี้ใช้เงินหมดไวจะตาย” จ้อยพูดไปถอนหายใจไป “เฮ้ย แกก็พูดเกินไปเงินทุกบาททุกสตางค์ของลูกพี่นี่เพื่อการปลูกผักอย่างมีประสิทธิภาพเลยนะเฟ้ย” “ฮ่าๆๆๆๆๆ ก็ไปบริหารกันเองละกัน ถึงคิวพวกแกละรถจอดได้แล้วใช่ไหม ไม่งั้นเดี๋ยวไปเคลียร์ให้” “สายไปแล้วครับลุง ผมจ่ายเงินยัดเจ้าหน้าที่ไปเมื้อกี้” จ้อยพูดอย่างหมดอารมณ์เพราะนั้นเป็นเงินค่าข้าวของเขาตั้งสามวัน “ไอ้พวกนี้ก็ใช้ไม่ได้ สงสัยต้องสังขยนากันใหม่ล่ะ” ลุงพีทถอนหายใจเล็กน้อย “ถึงคิวพวกแกละ พร้อมหรือยังละ” อีวานกับจ้อยยิ้มขึ้นบรรยายกาศรอบข้างของพวกเขาเปลี่ยนไปราวกับคนละคน “ลุงกล้าถามคำถามนี้กับพวกผมด้วยเหรอ” ------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------- ------------------------------- “แล้วสินค้ารายการที่เก้าของเรา นางฟ้าหรือชาวสวรรค์ ก็ออกไปในราคา 124 ล้านเหรียญครับ !!” นางฟ้าตัวเล็กที่อายุน่าจะแค่ 14-15 ปี นั่งร้องให้อยู่ภายในกรงนก มหาเศรษฐีชราจากเมืองข้างๆผู้ประมูลเธอได้ เดินเข้าไปชมสินค้าของตนอย่างพอใจพลางหายใจอย่างหื่นกระหาย เหล่าพนักงานเข็นกรงนกออกไปจากเวที เอเซ และ เฟท ผู้นั่งรอคอยจนมาถึงท้ายที่สุด สินค้ารายการที่สิบ ในที่สุดก็จะปรากฏโฉม กรงสีทองที่ดูธรรมดาถูกเลื่อนเข้ามา แต่ภายในนั้นคือสิ่งที่พวกเขาเองก็ยังถูกดึงดูด ร่างกายที่เหมือนกับเด็กสาวชาวมนุษย์ แต่กลับมีละอองประหลาดอยู่ตามร่างกาย ละอองเหล่านั้นสะท้อนแสงไฟเป็นแสงสีที่งดงาม ผมยาวสลวยสีม่วงอมส้ม ดวงตาสีเทาข้าง สีเหลืองข้าง เปลือกตาที่ราวกับถูกแต่งแต้มด้วยอายแชโดว์สีอ่อน และปีกผีเสื้อที่งดงามเกินจะบรรยายด้วยคำพูดบนแผ่นหลัง “นี่คือสินค้าที่หายากและงดงามที่สุดที่ธรรมชาติของโลกจะสร้างสรรค์ขึ้นมาได้ ภูตผีเสื้อสายรุ้งครับ !!!” เสียงฮือฮาของผู้คนทั้งงานดังสนั่นฮอล์ การประมูลนี้จะไม่มีบอกรายละเอียดสินค้ามีบอกเพียงแค่ว่าวันนี้จะมีสินค้าจำนวนกี่ชิ้นเท่านั้น การปรากฏตัวของภูตผีเสื้อสายรุ้งที่ว่ากันว่าใกล้สูญพันธุ์เต็มทีทำให้ผู้ประมูลตื่นตัวเต็มที่ เด็กสาวในกรงขังนั่งร้องไห้ก้มหน้านิ่งไม่ส่งเสียงใดๆออกมา พิธีกรที่พอใจอย่างมากกับปฏิกริยาของผู้ประมูลเขาผายมือไปทางเด็กสาว “เราจะเริ่มกันที่ราคา 200 ล้านเหรียญครับ !!” ทันใดนั้น “500 ล้านเหรียญ!!!!” “700 ล้าน !!” “850ล้าน “ การประมูลดุเดือดขึ้นทันที แต่สองหนุ่มกลับยังนั่งนิ่งไม่เคลื่อนไหว ราคาพุ่งขึ้นแทบจะต่อวินาทีจนใกล้ถึงแตะที่สองพันล้านเต็มทน ในขณะนั้นเอง “นี่จ้อยนะ จัดการด้านบนเรียบร้อยแล้ว…..เฮ้ยๆๆๆ นั้นเป้าหมายเราเหรอ” เสียงจากเครื่องสื่อสารขนาดเล็กที่ทั้งสองคนแอบติดไว้ข้างหูในช่วงกลางของการประมูล มีเสียงตื่นเต้นแบบสุดๆดังเข้ามา “ช่าย แค่เห็นก็แทบจะหยุดหายใจเลยละครับ” “ยังไงก็ช่างเถอะตรูยังติดใจน้องนางเงือกคนแรกอยู่เยยอะ” เอเซส่งเสียงงอแงเหมือนเด็กๆ “เรื่องนั้นช่างมันก่อน ตอนนี้พวกเราพร้อมแล้ว ห้องรักษาความปลอดภัยรวมถึงทางออกที่เตรียมไว้เคลียร์” “สมเป็นจ้อยจริงๆ โหดไม่เปลี่ยน” เอเซแซวเพื่อนร่วมงาน “เหลือแต่พวกแกละ งานนี้ถ้าจะฆ่าก็อย่าให้มันเยอะนักละกัน สงสารลุงที่ต้องมาเก็บกวาดที่หลัง เออ พี่อีวานรอเปิดตัวพร้อมละนะ เหลือแต่พวกแกละ ขอให้โชคดี” เสียงของจ้อยตัดไป ทั้งสองหันไปสนใจกับราคาประมูลอีกครั้ง “2400 ล้านครั้งที่ 1” เฟทคอยฟังการพูดคุยของผู้คนในงานด้วยประสาทที่เฉียบคมเกินธรรมดาของเขา ทำให้เขารู้ว่าราคามาถึงจุดที่คนทั้งห้องไม่สามารถสู้ด้วยได้แล้วชายหนุ่มผมเงินสะกิดรุ่นพี่ที่นั่งข้างเป็นการให้สัญญาณ “2400 ล้านครั้งที่สอง” ชายหนุ่มผมแดงลุกพรวดขึ้นเขาสูดลมหายใจเข้าไปเต็มปอดก่อนจะเปล่งเสียงออกมา “4000 ล้าน !!!” คนทั้งฮอล์ประมูลนิ่งเงียบเหมือนติดสตั้น จริงๆก็ติดน่ะแหละใครจะไปเชื่อว่าไอ้บ้าโทรมๆนี่จะเสนอราคาด้วยตัวเลขมหาศาลแบบนี้ออกมาได้ เสียงฮือฮาตามมาในไม่ช้า เฟทยิ้มอย่างพอใจเมื่อเค้ามั่นใจแล้วว่าไม่มีใครในห้องสู้ราคานี้ได้ “ขายที่ 4000 ล้านครับ !!” พิธีกรปิดการประมูลทันที เด็กสาวในกรงก้มหน้ากุดเมื่อรู้ชะตากรรมตัวเอง แต่ทันใดนั้นร่างของชายหนุ่มผมเงินได้ยืนอยู่ข้างกรงสีทองนั้นโดยที่ไม่มีใครทันรู้ตัวแม้แต่คนเดียว พิธีกรตกใจจนลงไปนั่งกับพื้น เฟทเดินไปแย่งไมค์โครโฟนพร้อมประกาศก้อง “แต่พวกเราไม่จ่าย !!” ทันใดนั้น ดาบคาตะนะรูปทรงแปลกตาตัวดาบเป็นสีฟ้าใสเหมือนแก้วจนมองทะลุเห็นอีกฝั่งก็ออกมาจากแหวนบนนิ้วชี้ขวาของเขา พริบตาเดียวที่เฟทตวัดดาบกรงที่ดูแข็งแรงก็ถูกตัดเหมือนมีดตัดเนยโดยที่เด็กสาวด้านในไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน พร้อมกับร่างของชายหนุ่มผมแดงที่กระโจนเข้าไปคุ้มกันเด็กสาวอีกแรง “พวกมันปล้นการประมูล !!!” ปากกระบอกปืนจากรอบทิศทางกระหน่ำยิงไปทางพวกเขา เฟทแสยะยิ้มพลางยืนมือไปด้านหน้า โล่กระจกขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นกระสุนทิ่ยิงเข้ามาสร้างไม่ได้แม้แต่รอยขีดข่วน ผู้คนในงานวิ่งหนีกันอย่างโกลาหล ออร์คสามตนวิ่งขึ้นมาบนเวที เอเซ ควักมือออกมาจากระเป๋ากางเกงเขาปล่อยหมัดตรงเข้าใส่ออร์คตนแรกที่วิ่งเข้ามาโดยไม่ทันระวัง ออร์คอีกสองตนที่เหลือกลายสภาพเป็นเข้าสู่โหมดต่อสู้ แต่ยังไม่ทันจะได้ทำอะไร เปลวเพลิงขนาดใหญ่ก็เข้าเล่นงานจนหมดสภาพไปทั้งคู่ เอเซ ผู้ยืนถือเปลวเพลิงมองร่างทั้งสามอย่างดูถูกสุดๆ “หึ ก็ได้แค่นี้ละนะ” “เฮ้ย เพ่ ถ้าเสร็จตรงนั้นแล้วช่วยมาจัดการด้านหน้านี่หน่อยได้ไหม” เฟทที่ยังกางโล่อยู่หันมาบ่นนิดๆ “อะไรว่ะ แค่นี้ก็ทำเป็นปอดแล้วเหรอ” “หืมมมม ดูถูก ?” “ระวังค่ะ !!” เด็กสาวส่งเสียงเตือนเฟทที่เสียสมาธิไปครู่นึง การ์กอยสองตนถึงหอกขนาดใหญ่จู่โจมมาจากด้านบนอย่างรวดเร็ว ปลายหอกกระแทกแต่โดนแค่พื้นเท่านั้น ร่างของชายผมเงินไร้เนตรอยู่เหนือหัวของพวกเขาพร้อมดาบเซเบอร์สีมรกตในมือซ้าย และ ร่างของเด็กสาวในมือขวา “หลับตาไว้นะ” ชายหนุ่มผมเงินกระซิบเบาๆ เด็กสาวทีได้ยินดังนั้นพยักหน้า เขาตวัดดาบเป็นแนวนอนตัดหัวของการ์กอยทั้งสองทันที ร่างไร้วิญญาณแน่นิ่งไปกับพื้นเฟทค่อยวางเด็กสาวลงบนพื้น เอเซตามมาสมทบพร้อมพูดกับเด็กสาว “อย่ารีบลืมตาซะก่อนละ การแสดงแบบนี้เด็กไม่ควรดู” “แต่ชั้นไม่เด็กแล้วนะคะ” เด็กสาวพยายามเถียงพร้อมเปิดตา แต่เฟทรีบปิดตาไว้ก่อน “โอเคๆ เราไม่อยากเห็นเธออ้วก ตกลงนะ” ทันใดนั้นจรวดสองลูกพุ่งลงมาทางพวกเขา เฟทต้องออกแรงอุ้มเด็กสาวกระโดดหลบไปอีกทาง “เวรเอ้ยถ้าโดนเด็กคนนั้นขึ้นมาจะทำยังไงว่ะ ระวังหน่อยสิ” ชายร่างอ้วนผู้สวมทักซิโด้สีดำ ตวาดใส่ลูกน้อง เสียงปืนยังคงดังสนั่นการ์ดทั้งมนุษย์และมายากรูเข้ามาในฮอล์ เอเซ เห็นแล้วก็หัวเราะขึ้น “นั้นไงเวดจ์ ลูทีส เจ้าของที่นี้โผล่มาจนได้ตัวละครครบแล้วนะ” เฟท รีบกดไปที่เครื่องมือสื่อสารที่ติดกับหู “หัวหน้าครับ ตัวละครครบแล้ว” “ทราบแล้ว” เสียงนิ่งสงบดังขึ้น พร้อมกับเสียงลิฟท์ที่เปิดออก ชายหนุ่มสีน้ำเงินเข้มขยับแว่นเล็กน้อย เข้ากระชับเสื้อสูทสีน้ำตาลให้เข้าที่ ในมือนั้นถือเคียวสีแดงอันมหึมากว่าตัวเขามากนัก อีวานเดินอย่างใจเย็นเข้าสู่งานเทศกาลที่ตระเตรียมให้เขาในเวลานี้ พวกการ์ดโจมตีอีวานทันทีแต่ยังไม่ทันจะได้ทำอะไร ก็โดนฟันขาดท่อนร่วงไปเหมือนใบไม้แห้ง “เฮ้อ เอิกเกริกน้อยไปนะ คุณเวดจ์” “อีวาน ซาดรี …..จ้าวแห่งยมฑูต” เวดจ์ หน้าซีดทันทีที่เห็นหน้าของชายผู้นี้ปรากฎขึ้นมาจากด้านหลังของเขา “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ เวดจ์ ดูล่ำซ่ำขึ้นเยอะเลยนะ” “ทำไมแก…..” “คือ ผมเปลีย่นอาชีพแล้วน่ะ รับงานสกปรกมากไปคนมันสาปแช่งกันเยอะ เลยอยากใช้ชีวิตเป็นคนดีบ้าง” “เหอะ ไอ้ฆาตกรอย่างแกเนี่ยนะ !!” เวดจ์ ตวาดแต่ขากลับก้าวถอยหลังทุกครั้งที่อีวานเดินเข้าใกล้ พวกลิ่วล้อยืนด้านหน้าเพื่อคุ้มกัน “ก็จริงที่ว่ามันคงไม่อาจล้างบาปของผมได้ แต่ก็อยากจะกลับตัวกลับใจบ้าง แม้ว่าจะยังเป็นเส้นทางที่เต็มไปด้วยเลือดก็เถอะนะครับ หึหึ” อีวานหัวเราะขึ้นพลางขยับแว่นอีกครั้ง เขาวาดเคียวไปทางเวดจ์แล้วกลับด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “วันนี้ผมจะมาฆ่าคุณล่ะ…..” “ไอ้เวรเอ้ย !!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!” เสียงปืนและเสียงระเบิดดังสนั่น อีวานหลบห่ากระสุนอย่างสบาย ออร์คพุ่งเข้ามาพร้อมดาบและโล่ยักษ์ อีวานกำด้ามเคียวไว้ก่อนจะฟาดเป็นแนวนอนตัดทั้งโล่และร่างยักษ์เป็นสองซีกอย่างง่ายดาย ไม่เพียงเท่านั้นเขากระโดดโยกไปทางซ้ายพร้อมฟาดเคียวไปจัดการพวกการ์ดไปอีกหลายคน เมื่อเห็นแล้วว่าระดับมันต่างกันสุดๆ พวกการ์ดต่างทิ้งเจ้านายหนีตายกันจ้าละหวั่นพวกที่ทำท่าจะขึ้นไปบวกกับสองหนุ่มไม่เอาไหนบนเวทีเห็นเจ้านายท่าไม่ดีแล้วก็ใช้ลิฟท์ขนของหลบหนี แต่สิ่งที่พวกเขาเจอเมื่อขึ้นไปถึงกลับเป็นชายผมดำที่มีรอยสักอยู่บนใบหน้า ดวงตาสีม่วงและดาบเครย์มอร์รออยู่บนกองซากศพของพวกการ์ดที่โดนเก็บซะเรียบ “ขอโทษด้วยนะที่พวกแกจะต้องตายกันหมด” จ้อย เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบ “เหวอออ ไม่เอาด้วยแล้ว!! “ เวดจ์หนีสุดกำลัง แต่ศรจากเวทีก็พุ่งเสียบเข้าไปที่น่องทั้งสองของเขาอย่างแม่นยำ เฟทซึ่งถือคันศรสีขาวงดงามอยู่ทำหน้าพอใจกับผลงาน “เอ่อ ชั้นลืมตาได้หรือยังคะ” เด็กสาวถามขึ้นอีกครั้ง “รีบไปไหนละนั้นหลับตาไปก่อน” เอเซพูดแซว ในมือขวาของเขาถือร่างศัตรูที่ไหม้เกรียมอยู่ อีวานค่อยๆขึ้นไปเหยียบร่างของเวดจ์พลางมองด้วยสายตาน่าขนลุก เคียวเข้าไปซุกใต้หลังคอ “แก….ไม่ว่ายังไงแกก็ไม่อาจพ้นไปจากเส้นทางนี้ได้หรอก !!” “ก็คงอย่างงั้นละครับ ถึงผมจะกลับตัวแล้วก็ตามอะนะ แต่ถามจริงเถอะคุณเวดจ์ คุณคิดว่าความถูกต้องจะสามารถดำรงอยู่ได้โดยที่คุณไม่คิดจะทำผิดอะไรเลยเหรอ โลกนี้มันไม่มีขาวหรือดำสนิทหรอก ก็มีแค่สีเทาๆเท่านั้นแหละ” “หรือ หรือ หรือ เอางี้ไหม ชั้นให้แกหมดตัวเลย แต่ปล่อยชั้นไปเถอะนะ” “แหม เมื่อกี้ยังปากดีอยู่เลย พอจวนตัวก็มาต่อรองเลยนะ สมเป็นคุณจริงๆ แต่ผมขี้เกียจฟังแล้วล่ะ” อีวานตวัดเคียวขึ้นหัวของเวดจ์ลอยตามขึ้นมาทันที “ลาก่อนครับ” ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- เด็กสาวถูกส่งให้คุณลุงพีทในที่ลับตาคน เจ้าหน้าที่ตำรวจบุกเข้าไปทลายบ่อนและแหล่งประมูล พวกที่ยังรอดอยู่ก็โดนจับไปซะเยอะ ส่วนซากศพก็เล่นเอาเจ้าหน้าที่อึ้งไปกับจำนวนไม่น้อย น่าจะมี 40-50 คน เห็นจะได้ “ เฮ้อ หักค่าแรงดีไหมเนี่ย” ลุงพีทที่อ่านผลสรุปแล้วถอนหายใจ “ปัดโธ่เอ้ย ก็บอกว่าอย่าฆ่าเยอะ” “แกน่ะแหละจ้อยตัวดีเลย วันนี้ทำแต้มเยอะสุดเลยนิ” “เอาหน่าๆอย่าทะเลาะกาน” “พี่อีวานเองก็ไม่เบาเลยนิครับ วันนี้ผมบ๊วยแหะ” สี่หนุ่มทะเลาะกันเล็กๆตามประสาคนที่ร่วมงานกันมานานจนสนิทชิดเชื้อ ลุงพีทหัวเราะขึ้นเล็กๆ “แต่เด็กคนนี้กลับมาอย่างปลอดภัยก็ตามเป้าละนะ ทำงานได้ดีมากพวกแก” “เอ่อ….” เด็กสาวภูตผีเสื้อเอ่ยขึ้น “ชั้นไม่คิดว่าพวกคุณเป็นคนไม่ดีหรอกนะคะ ขอบคุณมากค่ะ” เธอโค้งหัวให้ด้วยความนอบน้อมเล่นเอาทั้งสี่หนุ่มเขินไปเลย “เงินสดจะถูกส่งไปที่สำนักงานพวกแกเหมือนเดิม แล้วเจอกันเหล่า ลูมินัส [Luminous]” นี่คือยุคสมัย 200 ปีหลังมหาสงคราม ยุคสมัยที่ผู้คนลืมเลือนความโหดร้ายในอดีต และใช้ชีวิตร่วมกันอย่างสันติ เพียงแต่ความเป็นจริงมันไมได้สวยงามเช่นนั้น และพวกเราเองก็เช่นกัน เราไม่ได้ดำรงชีวิตในฐานะผู้ดำรงความยุติธรรม พวกเราเพียงแค่ตัดสินว่าสิ่งเหล่านั้นเราเห็นพ้องด้วยและมีเงินเป็นปัจจัยให้เราทำเท่านั้น หากคุณมีเงิน และ สิ่งที่คุณทำนั้นไม่ได้เลวร้ายซะจนอยากจะอาเจียนออกมาเป็นกับข้าวของเมื่อคืนวานละก็ ติดต่อพวกเราสิ ……..เหล่าพนักงานเก็บกวาดแห่งลูมินัสพร้อมรับใช้ --------------------------------------------------------------------------------------------------------------____________________ TALK ท้ายเรื่อง กำลังคิดอยู่ว่าจะเขียนยาวดีไหม ???? เอาจริงๆนะ ตอนนี้ผมว่างละ ฮ่าๆๆๆๆ กะว่ามีคนอ่านสักสามคนก็พอจะเขียนต่อได้ อยากจะลองเขียนแฟนตาซีแบบสมัยปัจจุบันดู ถึงแม้ว่าฝีมือจะตกลงไปแต่ถ้าทุกท่านสนุกผมก็ดีใจมากๆแล้วครับ ปล. งงๆ ออฟชั่นบอร์ดใหม่แหะ เดะค่อยๆงมเอาละกาน Special Thanks - Evan ท่านพี่ หัวหน้าแก็งเจ้าของบริษัท - พี่จ้อย พนักงานขับรถ - พี่เกม เอเซ พนักงานเบ๊ - เฟท เจ้าโยตัวไร้ประโยชน์ - พี่พีท Repeat again ตาลุงปริศนา - สาวน้อยแสนสวยไร้ชื่อ เพราะยังนึกไม่ออกว่าใครจะรับบทดี AND ALL FRIENDS AND FANS THX !!!!!
เข้าท่าๆ เป็นบทเปิดที่น่าสนใจเลยทีเดียวฮ่าๆ แต่ไม่ถามหาตอนต่อไปหรอกนะ คนที่อยู่ในแวดวงการ"ดอง"อย่างพวกเรามันรู้ตื้นลึกหนาบางกันดีฮ่าๆ
บทที่ 1 เธอผู้มาจากแดนไกล ท่ามกลางอากาศร้อนจัด ไร้ทั้งสายลม และหมู่เมฆ ชายหนุ่มผมสีเงินหน้าละม้ายคล้ายผู้หญิง ลากสังขารที่แทบจะแห้งเป็นไส้เดือนโดดตากไปตามถนนที่ไร้ผู้คน นานๆจะมีรถยนต์ผ่านมาคันสองคัน ปากที่แห้งผากบ่นพึมพำถึงอะไรบางอย่างตลอดทาง เหงือผุดตามร่างกายจนเปียกชุ่ม ใบหน้าซีดเผือกเหม่อลอยเหมือนซอมบี้ไม่มีผิด หลังจากที่เดินเท้ามาจากอีกฝากของถนนอันแสนไกลตอนนี้เขาก็มาหยุดยืนอยู่หน้าตึกสำนักงานเก่าๆขนาดหนึ่งคูหาแห่งนึง ป้ายด้านหน้าทำด้วยไม้อัดกากๆ สลักตัวอักษรว่า Luminous ตึกแถวขนาดสามชั้นนี้ตั้งอยู่แถบชานเมือง เป็นทั้งที่ซุกหัวนอนและสถานที่รับงานของกลุ่มรับจ้างสารพัดนี้ชายหนุ่มไร้เนตรเปิดประตูกระจกของสำนักงานอย่างไร้เรี่ยวแรง “ร้อน…..เชี้ย เชี้ย” เขาทิ้งตัวลงบนโซฟารับแขกที่อยู่กลางชั้นสำนักงาน พลันเอาหน้าซุกลงไปบนหมอนจนทั้งหมอนและโซฟาเปียกเหงื่อไปหมด “เฮ้ย ไอ้เฟทลุกขึ้นมาเลยนะเว้ย ถ้าลูกค้าจะมาใช้เดี๋ยวได้ขยะแขยงกันพอดี” เจ้าของเสียงทุ้มคือชายผมดำหัวชี้ฟูที่กำลังปัดกวาดตามทางเดินอย่างขมักเขม้น ดวงตาสีดำสนิทเช่นเดียวกับเส้นผมฉายแววไม่พอใจ “ขอ ผม แปบ นึง นะ พี่ ไม่ ไหว แล้ว” เฟท พูดด้วยความยากลำบาก ก็ไม่ใช่ว่าคนอื่นในสำนักงานจะไม่เข้าใจ แต่เล่นไปนอนเช็ดเหงื่อบนโซฟารับแขกนี่คงอยากจะไม่มีงานทำไปสักเดือนสองเดือนสินะ “ไปนอนชั้นสองเด้ เอเซ แกก็มาช่วยหน่อยสิว่ะ” “ท่านจ้อยที่เคารพท่านก็เห็นอยู่ว่าตอนนี้กระผมไม่ว่าง” ชายหนุ่มผมแดงที่กำลังนั่งสบายอารมณ์อยู่บนเบาะหน้าทีวี พลางเกาตูดกินเซี่ยงไฮ้ไปด้วย ตามกลับมาอย่างไร้อารมณ์ “ไม่ว่าง ? ทำส้นตึกอะไรอยู่ว่ะ เห็นเอาแต่นอนเกาตูด” “ก็นี่ไง” เอเซ ว่าพลางชูหนังสือปกสีฟ้าและชมพูมีภาพการ์ตูนหวานแหววอยู่บนหน้าปก “เคล็ดลับหนุ่มฮอตชนะใจสาว ฉบับเคล็ดลับฟันแล้วทิ้ง” “มาลากไอ้ผีนี่ไปนอนชั้นสองเดี๋ยวนี้เลยเฟ้ย !!!” “อะไรว้า แค่นี้มาทำหงุดหงิด” ชายหนุ่มผมแดงค่อยๆลุกขึ้นพลันบิดขี้เกียจด้วยความเคยชิน ก่อนหันกลับไปทางจ้อยผู้เจ้าระเบียบประจำสำนักงาน “แค่ลากไอ้เวรนี้กลับห้องใช่มะ” จ้อยไม่ตอบอะไรทำเพียงแค่พยักหน้าไม่สบอารมณ์ เอเซเห็นดังนั้นก็ถอนใจเล็กๆสองเท้าก้าวเดินไปหยุดอยู่เหนือรุ่นน้องที่นอนเป็นศพอยู่บนโซฟารับแขก ใบหน้าได้รูปค่อยๆเลื่อนไปกระซิบที่ข้างหู “เฮ้ย เฟท…..หนังโป๊ที่แกโหลดเก็บไว้น่ะ จ้อยมันเอา HDD ไปทิ้งทั้งลูกเลยนะเว้ย” ยังไม่ทันไร หนุ่มผมเงินที่นอนตายอยู่ก็ฟื้นคืนชีพลุกพรวดพร้อมกระโดดจากโซฟารีบวิ่งขึ้นชั้นสองทันควัน ส่วนเอเซที่ไม่ทันระวังตัวก็โดนหัวของเฟทกระแทกเข้าปลายคางล้มหงายท้องไปกองบนพื้นในบัดดล จ้อยมองตามเสียงฝีเท้าที่รีบวิ่งกลับห้องตัวเองอย่างเอาเป็นเอาตาย จนน่าสงสัยว่าใช่ไอ้ผีตากแห้งตัวเดียวกับเมื่อครู่หรือเปล่า พลางเดินไปดูอาการเพื่อนผมแดงที่นอนหมดหมดอาลัยอย่างงุน งง “ไงตายยัง” “เฮ้ย ตรูยังดีอยู่” เอเซ รีบเปลี่ยนท่านอนรักษาฟอร์ม ช้าไปแล้วไหมเพ่ วันนี้ยังคงเป็นวันที่สงบสุขอีกหนึ่งวันหลังจากภารกิจทลายบ่อนใหญ่รวมไปถึงการถล่มงานประมูลเมื่อหนึ่งเดือนก่อน ก็มีแต่งานยิบย่อยจำพวกหาของ ซ่อมบ้าน เลี้ยงเด็ก ดูดส้วม ปลอกเม็ดแตงโม ขุดบ่อบาดาล ฯลฯ เรียกได้ว่าไม่มีความตื่นเต้นระดับแรร์ผ่านมาให้พวกเขาทำสักเท่าใดนัก สำหรับวันนี้นอกจากเฟทที่โดนลากออกช่วยหานกกระจิบในวันอากาศร้อนสลัดแล้ว ก็ไม่มีเรื่องอื่นใดให้เหล่าลูมินัสทำอีก “พี่เอเซ มันก็ยังอยู่ดีนิคับ” เฟท เดินกลับลงมาด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว “ก็แน่นอนอยู่แล้ว ถ้าตรูไม่พูดอะไรแบบนั้นแกจะลุกเหรอ” “ให้ตายเหอะ คนกำลังเหนือ่ยๆ” หนุ่มไร้เนตรทอดตัวลงบนขั้นบันใดไม้พลันถอนหายใจด้วยความเหนื่อย “ไอ้เฟท ตรงนั้นตรูเพิ่งถู แสรด” “แล้วจะให้ผมไปนั่งตรงไหนล่ะ !!” “เก้าอี้สิโว้ย เก้าอี้ เห็นไหมเนี่ย ตรงหน้าโต๊ะประธานเนี่ย แล้วก็อย่ามาเล่นมุขก็ผมไม่มีตาผมมองไม่เห็นหรอกนะครับ เอ็งออกไปหานกกระจิบยังได้จะไม่รู้ได้ไงว่าเก้าอี้มันอยู่ตรงไหนฟะ” เฟทเดาะลิ้นอย่างไม่สบอารมณ์เมื่อโดนรู้ทัน “ชิ ขี้บ่นเป็นป้าแก่ๆ” “เฮ้ย….เมื่อกี้ว่าไรนะ” จ้อยส่งสายตาอำมหิตมาทันที ทำเอารุ่นน้องผมเงินขนลุกซู่ “ไม่ได้ว่าอะไรครับพี่” เฟทเดินไปนั่งที่เก้าอี้อย่างว่าง่ายเลยทีเดียว “แล้วพี่อีวานยังไม่กลับมาอีกเหรอ” จ้อยยักไหลก่อนตอบ “กำลังคุยกับหัวผักกาดอยู่หลังบ้านเหมือนเดิมน่ะแหละ” “คนเรานี่ขนาดนั่งคุยกับผักสวนครัวได้ทุกวันนี่ควรจะเรียกว่าอัจฉริยะไหมอะพี่จ้อย” “ความบ้ากับอัจฉริยะน่ะ มันห่างแค่เส้นบางๆ” จ้อยตอบด้วยเสียงเรียบพลางปัดกวาดสำนักงานต่อ เอเซที่เห็นการโต้ตอบของทั้งสองพลันทำเสียง อืมๆ แถมมีแสดงสีหน้าประหลาดเหมือนครุ่นคิดหรือไม่พอใจอะไรสักอย่าง จ้อยที่สังเกตอยู่ตั้งแต่เมื่อครู่ก็เริ่มรู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูกกับอาการที่ดูเหมือนว่า เพื่อนตรูกำลังคิดอะไรเสียมารยาทกับพวกตน จึงต้องเอ่ยปากถาม “มีอะไรว่ะ เอเซ อยากจะพูดอะไรก็พูดดิ มา อืมๆ หาพระแสงเอ็กคาลิเบอร์อะไรฟะ” “ก็ไม่อะไร…..” หนุ่มผมแดงใช้ดวงตาสีทับทิมมองไปทางรุ่นน้องและสหาย ก่อนจะพูดขึ้นมาด้วยเสียงมุ่งมั่น “มันแห้งเหี่ยวเว้ย มันไม่ชุ่มชื่นเหมือนอากาศร้อนระอุ แล้วแอร์ก็เสียในสำนักงานเรานี่แหละ” ทั้งสองคนทำหน้างุน งงเล็กน้อย จนเอเซ ต้องแถลงต่อ “มาสค็อตยังไงละมาสค็อต !!” “จะเอามาทำบ้าไรอ่าครับ เอาคนใส่ชุดตุ๊กตามาอยู่ในสำนักงานแอร์เสียแบบนี้เหรอ ทรมานตายชัก” “โห ไอ้เฟท ใช้หัวคิดหน่อย แกลองคิดดูสิว่ะ ถ้ามาสค็อตของเราเป็นสาวน้อยน่ารัก มานั่งจุมปุกอยู่ในสำนักงานนะ แหล่มขนาดไหน” เอเซพูดพลางยิ้มเพ้อเจ้อ โดยมีจ้อยผู้ที่ไม่คิดจะสนใจคำพูดเพ้อเจ้อคนไอ้พวกนี้อีกแล้ว ทำการถูพื้นเป็นแบ็คกราวด์ “อืมมมม ก็ไม่เลวเลยนะพี่ ต้องโลลิๆ ด้วยสินะ แค่คิดก็เขินแล้วอ่า” “สมเป็นไอ้น้อง เราสองคนนี่มันเข้ากันดีจริงๆ” “แล้วต้องสเปคประมาณไหนดีอะพี่” จ้อยที่ทนฟังอยู่สักพักก็ทำหน้าสีหน้าเหนื่อยหน่ายขึ้นมาก่อนจะหาเรื่องขัดจังหวะ “นี่พวกเอ็ง คิดๆกันไปเนี่ย ไปถามผู้หญิงเขาหรือยังว่าเขาอยากจะมาอยู่ไหม” “หุบปากไปเลยพวกไม่มีความฝัน !!” เอเซ กับ เฟท ตะโกนแทบจะพร้อมกัน จ้อยเห็นดังนั้นจึงปล่อยพวกเพ้อเจ้อนี่ไปตามเวรตามกรรม หนุ่มผมแดงเพลิงจึงเปิดประเด็นต่อ “สเปคประมาณไหนเหรอ…น้องนางเงือก” “คนนั้นก็แหล่มดีนะพี่แต่ผมว่าน้องผีเสื้อที่เราไปช่วยน่ะลงตัวดี รับรองร้านเราดังระเบิด” “เออก็จริงนะ ถ่ายรูปลงเวปไซด์เป็นมาสค็อคควบตำแหน่งสาวสวยประจำร้าน แหล่มกว่า คา**ระ ในเรื่อง **ทามะ ซะอีก” “หืม…” จ้อยที่เลิกใส่ใจกับความคิดเพ้อเจ้อของเพื่อนร่วมงานทั้งสองสังเกตเห็นบางอย่างนอกร้าน นั้นคือรถยนต์หรูสีดำมาจอดหน้าร้านพร้อมทั้งใบหน้าที่ดูคุ้นเคยกำลังก้าวลงจากรถ “เฮ้ย พวกแกลูกค้าเว้ย” “อย่าขัดอีกสิว้า ไปรับลูกค้าก่อนไปเลย พวกตรูกำลังสนุก” เอเซรีบตัดบท จ้อยที่เห็นหน้าตาลูกค้าทั้งสองที่กำลังเข้าร้านก็แสยะยิ้มขึ้น “โอเค เดะตรูไปรับให้” “ต้องให้โพสท่าแบบนี้นะเว้ย ถึงจะโมเอ้” เอเซ ว่าพลางทำท่าประกอบสุดแอ๊บแบ๊ว แต่ผมไม่อาจบรรยายได้ไม่งั้นคนอ่านอาจจะอ้วกแตกกันก่อน “บ้าเหรอพี่ มันดูจริตไปปะ ต้องให้นั่งท่าน่ารักๆใส่ชุดโลลิต้าประมาณนี้ต่างหาก” ว่าแล้วเฟทก็ออกท่าทางบ้างอุบาทว์พอกัน “แกต้องคิดถึงชุดน้องเค้าด้วยนะเว้ย ปีกผีเสื้อสวยๆนั้นต้องเป็นชุดที่โชว์แผ่นหลังได้ สนองโลลิต้าแกเนี่ยมันไม่มีชุดแบบนี้หรอกม้าง” “สั่งตัดสิพี่สั่งตัด!!!” “เอ่อ…..คือว่า” มือปริศนาพยายามสะกิดเฟทที่กำลังเมามันส์ “อย่าเพิ่งดิพี่จ้อย หืม…” เฟทรู้สึกแปลกๆกับมือที่สัมผัสมันไม่ใช่มือที่หยาบกระด้างของคนบ้างานเจ้าระเบียบแต่สัมผัสที่เค้ารู้สึกได้มันนุ่มและเล็กกว่ามากๆ แถมด้วยเสียงที่เค้าเหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน “ชิบหายละ” เอเซ ที่นั่งฝั่งตรงข้ามกับเฟท เหลือบไปเห็นผู้ที่อยู่ด้านหลังรุ่นน้อง ผมยาวสีม่วงอมส้มสดใส ผิวขาวราวหิมะแต่มีละอองเปล่งประกายและปีกนั้น ถึงจะพับเก็บอยู่แต่นั้นคือปีกผีเสื้อไม่ผิดแน่ เฟทค่อยๆหันหลังกลับไปมองสิ่งที่เค้าเห็นนอกจากเด็กสาวผู้สวมชุดวันพีชสีฟ้าสดใสยืนเขินหน้าแดงเป็นลูกตำลึงแล้วก็คือ ตาแก่พีทกับพี่จ้อยที่แสยะยิ้มอย่างสะใจ “คือว่า…ชั้นก็ชอบนิดๆนะคะ ชุดโลลิต้า” เด็กสาวตอบอย่างเขินอาย แต่สองหนุ่มตอนนี้อายยิ่งกว่า “เอ่อ มาตั้งแต่ตอนไหนเหรอ” เฟทถามหวาดๆ “ก็ตั้งแต่ตอนพี่คนนั้นทำท่าเนี่ย” เด็กสาวชี้ไปทางเอเซแล้วพยายามทำท่าเหมือนที่เอเซบอกว่ามันดูโมเอ้ หนุ่มผมแดงตอนนี้แทบอยากจะแทรกแผ่นดินหนีไปไกลๆ “พวกแกนิ หื่นกันได้ทุกวันเลยนะ” ลุงพีทผู้มาพร้อมกับสาวน้อยผีเสื้อทิ้งตัวลงบนโซฟารับแขก “หืม ทำไมมันเปียกๆ” “ลุงพีท นั่งฝั่งนี้ตรงนั้นมีแต่เหงื่อไอ้เฟท” จ้อยรีบไล่ลุงให้ลุกขึ้น ลุงพีทก็พยักหน้าเออๆด้วยความงง เล็กๆ คนแก่และเด็กสาวนั่งบนโซฟารับแขกอีกตัวที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกัน พัดลมติดเพดานเก่าๆที่อยู่กึ่งกลางถูกเปิดให้แรงขึ้น ลุงพีทมองบรรยายกาศรอบๆพลางถอนหายใจ “ได้เงินไปตั้งสองล้านทำไมไม่ซ่อมแอร์สักหน่อย” “คือมันเพิ่งเสียเลยน่ะครับ ก็เลยตกลงกันว่าจะไปซื้อใหม่ซะเลย” เฟทตอบพลางชงชาเย็นๆมาให้ทั้งสองลุงพีททำท่าขอบใจเช่นเดียวกับเด็กสาว “ว่าแต่ลุงพาน้องเค้ามาทำอะไรละเนี่ยลุงไม่รู้เหรอครับว่าที่นี่มันอันตรายกับเด็กสาวน่ารักขนาดไหน” จ้อยยิงแทงใจดำใส่เพื่อนร่วมงานพร้อมส่งสายตาประมาณ หรือพวกเอ็งจะเอา “ก็ยังปลอดภัยกว่าหลายๆที่ละนะ” ลุงพีทยกแก้วชาขึ้นดื่มอึกนึง ก่อนที่จะสังเกตเห็นว่าบางอย่างหายไป “อ้าว อีวานละ” “คุยกับอลิซาเบธอยู่หลังบ้านครับ” เฟทตอบทันควัน ลุงพีทเข้าใจทันทีมีเพียงแค่เด็กสาวที่ยังตามไม่ทัน “เข้าเรื่องเลยละกัน พวกแกจะรังเกียจไหมถ้าเด็กคนนี้จะมาอยู่ที่นี่” บรรยายกาศนิ่งไปทันที จ้อยทำหน้าประมาณคิดอะไรของลุงอยู่ฟะ ส่วนอีกสองหน่อแอบตะโกนในใจ ยิปปี้ !!!!! “อะแฮ่ม ลุงพีทนึกไงให้เธอมาอยู่นี่เหรอครับ” เอเซ ถามไปเก็บอากาศลิงโลดไป “อ้าว ไม่ชอบเหรอ พวกแกจะเอาเธอไปเป็นมาสค็อตอย่างทีคุยกันตะกี้ก็ได้นะถ้าดูแลกันไหวน่ะ” “พอเหอะลุงอย่าพูดถึงมันอีกเลย” เสียงหนุ่มผมแดงอิดโรยในทันที “เอาดีๆครับลุงพีท” เมื่อเห็นจ้อยผู้จริงจังเร่งเร้า ลุงพีทที่วันนี้มาในชุดเที่ยวชายหาดกับกางเกงขาสั้นก็ทิ้งน้ำหนักลงไปที่พนักพิง “จริงๆแล้วเด็กคนนี้ไม่มีผู้ปกครองเหลือแล้วน่ะ” “หมายความว่ายังไงเหรอครับ” หนุ่มผมเงินถามต่อ ลุงพีทหันหน้ามองเด็กสาวเป็นเชิงให้เธอตามคำถาม เด็กสาวจึงพูดขึ้นหลังนั่งเงียบมาสักพัก “จริงๆแล้วชั้นถูกเก็บมาเลี้ยงโดยครอบครัวชาวมนุษย์ แต่ตอนที่ชั้นถูกลักพาตัวคนพวกนั้นสังหารพ่อแม่บุญธรรมของชั้นหมดค่ะ” ตอนนั้นลุงพีทได้กล่าวเสริมขึ้น “หนึ่งเดือนที่ผ่านมาเธออยู่ในความคุ้มครองของชั้น แต่บรรดาคนรอบตัวมันทำสายตาไม่น่าไว้ใจเอาซะเลย แถมภรรเมียก็ยังเข้าใจว่าชั้นพาอีหนูมาอยู่ด้วยอีก เฮ้อ วุ่นวายกันใหญ่” “อะไรนะลุง คุณนายอ่ะนะ ฮ่าๆๆๆๆ” เอเซ หัวเราะดั่งลั่นไม่เกรงใจฟ้าดิน “ระวังไว้เถอะไอ้หนุ่ม เดี๋ยวลุงคนนี้จะเอาท่าโพสมะกี้ไปเผยแพร่” “ผมขอโทษครับ….” “แล้วทำไมถึงเป็นที่ละครับลุง” จ้อยถามขึ้น “ก็ดูน่าไว้ใจที่สุดแล้วละนะ เออ ไม่ต้องห่วงอยากจะจีบน้องเค้าก็ได้นะ ไม่หวง” “อย่าไปชี้โพรงให้กระรอกสิลุง” หนุ่มผมดำเกาหัวแกรกๆ เมื่อเห็นปฏิกิริยาของอีกสองคนเมื่อได้ยินคำว่า จีบได้นะ ลุงพีทยิ้มขึ้นอย่างพอใจก่อนจะลุงขึ้นพลันเช็คเวลาจากนาฬิกาข้อมือ “ลุงคนนี้ต้องไปทำงานต่อแล้ว ฝากดูแล เนออน ด้วยล่ะ อ้อ อีกเรื่องวันนี้จะมีงานใหญ่มา รีบตามอีวานกลับมานั่งรับงานซะด้วย” ว่าเสร็จคุณลุงพีทก็เดินออกจากสำนักงาน ท่ามกลางการโบกไม้โบกมือของเหล่าพนักงานที่ดูเอาไหนและไม่เอาไหน เด็กสาวมองตามรถสีดำที่ค่อยๆไปไกลจนสุดสายตาพลางนึกขอบคุณในใจ “เอ่อ ชื่อเนออน สินะครับ” เฟททักเด็กสาวที่กำลังอยู่ในภวังค์ จนเธอสะดุ้งเล็กน้อย “ค่ะ ขอโทษที่แนะนำตัวช้านะคะ” “ยังไงก็ยินดีต้อนรับสู่ลูมินัสละนะ เดี๋ยวจะพาไปดูห้องละกัน เล็กหน่อยไม่เป็นไรนะ” จ้อยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ไม่มีปัญหาค่ะ แล้วแบบนี้หนูต้องทำอะไรที่นี้บ้างเหรอคะ” “มาสค็อค มาสค็อต มาสค็อต!!!!” สองหนุ่มประสานเสียงดังลั่นจ้อยเลยจัดด้ามไม้กวาดไปคนละโป๊ก “เดี๋ยวค่อยว่าเรื่องหน้าละกัน ตามชั้นมา” เด็กสาวเดินตามหนุ่มผมดำไปอย่างว่าง่ายปล่อยให้ไอ้บ้าสองตัวนั่งกุมหัวด้วยความเจ็บปวดฟาดมาซะเต็มแรง เอี้ยด….. เสียงจอดรถดังขึ้นอีกครั้ง เฟท กับ เอเซที่ยังกุมหัวชะโงกหน้ามองออกไป พวกเขาเห็นร่างสามร่าง สองหญิง หนึ่งชายกำลังตรงเข้ามาในสำนักงาน ผู้ชายรูปร่างสูงโปร่งผมขาวหวีเรียบร้อยสวมชุดพ่อบ้านเต็มยศ ผู้หญิงอีกคนผมดำปนไฮไลท์ฟ้าดวงตาเฉยชาสวมชุดเมดสีม่วง ส่วนหญิงสาวอีกคนตัวเล็กพอกับเนออน ผมสีทองสลวยดวงตาสีฟ้าน่าดึงดูดแต่กลับรู้สึกเปี่ยมไปด้วยอำนาจ สวมชุดเดรสสีขาวและร่มสีขาวในมือขวา เฟทกับเอเซ อ่านบรรยายกาศออกนี่คงเป็นงานใหญ่อย่างที่ลุงพีทเพิ่งทิ้งข้อความไว้ก่อนไปแน่ๆ พวกเขาลุกขึ้นยืนพร้อมต้อนรับ ประตูเก่านั้นเปิดออก…. ทั้งสามร่างเดินเข้ามา ด้วยท่าทางหยิ่งยโส…. ชายผู้ดูน่าจะเป็นพ่อบ้านเก็บร่มให้เธอ….. เด็กสาวผมทองนั่งลงบนโซฟาด้วยท่วงท่าสง่างาม…. รอยยิ้มที่งดงามสะกดทุกสายตา….. สองบริวารยืนขนาบข้างเธอ…. ริมฝีปากสีชมพูได้รูปนั้นเอ่ยขึ้น…… “เราคือ แองเจิ้ล คลอเดีย ดีวาน เรามีงานมาให้พวกคุณเหล่าลูมินัส” ……………………………………………………………………… …………………………………………. ………………………. “ว่าแต่ว่า โซฟาของพวกคุณมันเปียกอะไรค่ะเนี่ย” “เหงื่อคนนี้ครับ” เอเซ ชี้ไปทางเฟทที่ทำหน้าเหวอทันที ----------------------------------------------------------------------------------- ---------------------------------------------------------- ------------------------------------------ TALK หลังตอน หืมอะไรนะ รีบ ??? อ้อ เปล่า ผมแค่เอาสิ่งที่มีอยู่แล้วมาโปะไปก่อนเท่านั้นเอง กลัวโดนพี่เกมสาปด้วย ฮ่าๆๆๆ ประกอบกับการเปิดเรื่องผมเขียนอะไรๆค่อนข้างน้อยไปหน่อยเลยอยากจะลงอีกตอนแก้ตัวไว้ก็เท่านั้นแหละ ตอนหน้ามาเมื่อมีอารมณ์จะมานั่งเขียน ฮ่าๆๆ Special Thanks - ผีเสื้อน้อย เนออน ก็เคยอาศัยอยู่บอร์ดเราเมื่อหลายปีก่อนน่ะแหละ - แองเจิ้ลเจ้าประจำในยุคฟิครุ่นเรืองสุดขีด คิดถึงสองสาวมากมาย AND ALL FRIENDS AND FAN THANKS
การที่ใครซักคนคุยกับผักสวนครัวได้นี่มันไม่ธรรมดา แต่ไอ้ท่าที่ถ้าไม่มีแอลกอฮอล์ในเส้นเลือดคงจะไม่ทำออกมา นี่มันคงไม่ธรรมดายิ่งกว่า